กระบี่จงมา 172.1-173.1

 บทที่ 172.1 พบเจอความอยุติธรรมบนเส้นทางแห่งยุทธภพ

โดย

ProjectZyphon

ไม่มีการจงใจชักนำเหมือนครั้งแรกและครั้งหลังจากชุยตงซาน เส้นทางในภายหลังของเฉินผิงอันจึงเป็นการเดินทางในยุทธภพ ไม่ใช่เดินบนภูเขาที่เต็มไปด้วยเหตุการณ์แปลกประหลาด


เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันไม่รู้ตัวเลย เขาแค่รู้สึกเสียดายนิดหน่อยที่ไม่ได้เจอกับภูตผีปีศาจซึ่งช่วยเปิดโลกทัศน์ ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องพะวงถึงเรื่องความปลอดภัยของพวกหลี่เป่าผิงอีกแล้ว อีกทั้งข้างกายตัวเองยังมีงูคู่หนึ่งที่ฝึกตนจนมีสติปัญญาให้การปกป้อง เฉินผิงอันจึงหวังว่าจะเจอเรื่องพิลึกพิสดารอีกสักหน่อย แน่นอนว่าทางที่ดีที่สุดคือมองอยู่ไกลๆ ทั้งได้เพิ่มความรู้ แล้วก็ไม่พาตัวเองไปตกอยู่ในอันตราย


น่าเสียดายที่ใกล้จะออกจากอาณาเขตของแคว้นหวงถิงแล้ว การเดินทางของเขากลับยังคงราบรื่นน่าเบื่อหน่าย


ช่วงสนธยาของวันนี้ หลังจากฝึกเดินนิ่งบนสันหลังงูน้ำเสร็จ เฉินผิงอันก็เลือกพักผ่อนอยู่ในวัดร้างข้างทางภูเขาที่เงียบสงบสายหนึ่งแล้วเริ่มก่อไฟหุงหาอาหาร


แม้ว่าเฉินผิงอันจะจงใจเลือกเส้นทางแถบชานเมืองเพื่อย้อนกลับไปยังต้าหลี แต่ก็ยังเจอชายและหญิงที่เดินทางผ่านป่าเขามาไม่น้อย คนส่วนใหญ่ล้วนสวมเสื้อคลุมหนังจิ้งจอก สวมอาภรณ์ผ้าแพร ห้อยดาบพกกระบี่ แผ่กลิ่นอายของคนในยุทธภพ แล้วก็มีบางส่วนที่หน้าตาค่อนข้างดุร้ายอำมหิต แค่มองก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนดีมีคุณธรรม แต่ยังดีที่พอเห็นพวกเฉินผิงอันสามคน อย่างมากก็แค่ปรายตามองหลายครั้งหน่อย ไม่ได้มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น


การเดินทางในยุทธภพ หากพบเจอบุคคลที่ดูเหมือนรังแกง่ายอย่างหลวงจีนเฒ่า นักพรตเต๋าน้อย หรือแม่ชีสะคราญโฉม ทางที่ดีที่สุดไม่ควรไปข้องแวะด้วย นี่คือหลักการที่ผู้อาวุโสจำนวนนับไม่ถ้วนในยุทธภพซึ่งเคยทำผิดพลาดสืบทอดต่อกันมาหลายต่อหลายรุ่น


เฉินผิงอันได้พึ่งใบบุญของเด็กชายชุดเขียวกับเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพู เพราะอย่างไรซะก็มีคนธรรมดาไม่กี่คนเท่านั้นที่จะพาเด็กเล็กสองคนเดินทางมาด้วย อีกอย่างแต่ละคนต่างก็หน้าตางดงาม ผิวพรรณอมชมพูราวกับหยกแกะสลัก นอกจากนี้คนทั้งสามยังเดินทางในป่าลึกอันเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ร้ายอย่างไม่กลัวตาย ขอแค่เป็นคนที่มีสมองสักหน่อยย่อมไม่มีทางคิดลงมือสังหารพวกเขาง่ายๆ


อันที่จริงก่อนหน้านี้ก็เจอกับชายฉกรรจ์ป่าเถื่อนที่เป็นนักโทษหลบหนีกลุ่มหนึ่ง แล้วพวกเขาก็มีเจตนาร้ายจริงๆ จึงคอยสะกดรอยตามคนทั้งสามอย่างระมัดระวัง คิดจะหาโอกาสเหมาะๆ แล้วค่อยลงมือ ผลสุดท้ายกลับเห็นว่าเด็กชายชุดเขียวที่มองดูเหมือนสามารถขยี้ให้ตายได้ด้วยนิ้วมือเดียวจำแลงร่างกลับคืนสู่ร่างจริงที่น่าหวาดกลัว ใช้ร่างงูที่ยาวเหยียดเลื้อยข้ามภูเขา ต้นไม้ระหว่างทางพากันโค่นหัก ทำเอาคนกลุ่มนั้นตกใจจนแทบฉี่ราดกางเกง


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูช่วยหอบกิ่งไม้แห้งมาให้เฉินผิงอัน สาละวนทำงานไม่หยุดมือ เด็กชายชุดเขียวกลับเป็นตัวขี้เกียจขนานแท้ จะอ้าปากก็ต่อเมื่อข้าวมาเท่านั้น ตอนนี้เขานั่งหาวอยู่นอกวัดร้าง กล่าวอย่างเกียจคร้าน “นายท่าน สองฝั่งของถนนบนภูเขาต่างก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้าหากัน อีกไม่นานก็จะเจอกันแล้ว ทางฝ่ายซ้ายมือกำลังเข่นฆ่ากัน ดูเหมือนว่าจะสนุกมาก ส่วนทางฝั่งขวามือควบม้าในชุดงดงาม ในกลุ่มยังมีสาวสวยขายาวด้วย หากนายท่านต้องการ ข้าจะไปแย่งเอามาทำเป็นเมียโจรให้ท่านดีไหม เล่นเบื่อแล้วค่อยปล่อยนางกลับบ้าน หากมีปัญหา เดี๋ยวข้าค่อยให้เงินทองหรือโชควาสนากับนางเพิ่มอีกสักเล็กน้อย ไม่แน่ว่านางอาจจะยังซาบซึ้งในความกรุณาของนายท่านก็ได้…”


เฉินผิงอันที่กำลังกระดกก้นโน้มตัวไปเป่าสะเก็ดไฟในกองไฟตอบรับอย่างไม่ใส่ใจ “อีกเดี๋ยวหากพบพวกเขา เจ้าอย่าหาเรื่องใส่ตัว”


เด็กชายชุดเขียวขยี้แก้มอย่างเบื่อหน่าย กล่าวเสียงขุ่น “นายท่าน หากข้าไม่ยืดเส้นยืดสายบ้าง มือเท้าคงขึ้นราเป็นแน่”


เฉินผิงอันไม่สนใจเขาอีก


ปลายฝั่งด้านหนึ่งของเส้นทางภูเขานอกวัดร้างมีเสียงตะโกนดังเอะอะ


ชายคนหนึ่งหน้าตาสกปรกมอมแมมกำลังไล่ตามสาวงามสีหน้าตื่นตระหนก ด้านหลังมีชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่พูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “นังแพศยา วิ่ง! วิ่งต่อไป! หากครั้งนี้ถูกนายท่านใหญ่จับได้ คอยดูเถอะข้าจะลอกคราบเจ้าให้เกลี้ยง ขอให้ข้าคิดดูก่อนนะว่า ถึงเวลานั้นจะเริ่มกินเนื้ออวบๆ ขาวๆ ของเจ้าจากตรงไหน!”


คนห้าหกคนข้างกายชายฉกรรจ์หัวโล้นหัวเราะครืนอย่างสนุกสนาน รอยยิ้มชั่วช้าเปี่ยมไปด้วยความเคียดแค้นและสาแก่ใจ


“สตรีใจดำอำมหิตเช่นนี้เอาเนื้อมาตุ๋นกินตรงๆ เลยดีกว่า จากนั้นก็โรยต้นหอม ผักชี เหยาะพริกไทยตามลงไป จุ๊ๆ ต้องอร่อยล้ำแน่นอน เนื้อทั่วร่างจะอย่างไรก็ต้องได้สักร้อยจิน (ประมาณห้าสิบกก.) พอให้พวกเรากินได้หลายมื้อ”


“พวกเจ้าอย่ามาแย่งข้านะ ข้าชอบกินลูกนกพิราบ (ในที่นี้เป็นคำเปรียบเปรยถึงผู้หญิงที่สดใหม่ ขาวอวบอิ่ม) มาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว!”


ดวงตาของเด็กชายชุดเขียวสว่างวาบ


เฉินผิงอันบอกให้เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูช่วยหุงข้าว ส่วนตัวเองลุกขึ้นยืน เดินไปหน้าประตูวัดร้าง เด็กชายชุดเขียวคันไม้คันมือเต็มที แต่กลับถูกเฉินผิงอันกดศีรษะเอาไว้จึงได้แต่ยืนอยู่ที่เดิมอย่างว่าง่าย


บนทางภูเขาอีกฝั่งหนึ่งคือเสียงฝีเท้าม้าดังเป็นระลอกคลอกับเสียงหัวเราะอย่างเบิกบาน เพียงไม่นานคนฝั่งนั้นก็ค้นพบความผิดปกติบนถนน หลังจากได้ยินวาจาสกปรกหยาบคายของชายฉกรรจ์ที่เหมือนโจรภูเขากลุ่มนั้นแล้ว ดุรณีน้อยที่ด้านหลังสะพายคันธนูก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นเยียบเย็น แสดงความขุ่นเคืองใจอย่างถึงที่สุด นางปรายตามองสตรีแต่งงานแล้วหุ่นอวบอิ่มที่วิ่งโซซัดโซเซ ก่อนจะเก็บสายตากลับคืนอย่างรวดเร็ว คราวนี้มองไปยังพวกโจรที่โบกดาบตวัดกระบี่ชูหราแล้วแค่นเสียงเย็น ขาเรียวยาวที่หนีบอยู่ตรงท้องม้าพลันกระแทกถี่เร็ว ควบม้าห้อตะบึงพุ่งนำไปด้านหน้า “ข้าจะไปช่วยคน!”


ชายหนุ่มพกกระบี่พู่สีเงินคนหนึ่งรีบเฆี่ยนแส้ควบม้าตามหญิงสาวไปทันที เขาขี่ม้าเคียงข้างไปกับนาง ขณะเดียวกันก็เอ่ยเตือนเบาๆ กลั้วเสียงหัวเราะ “หลันจือ ก่อนหน้านี้มีคนนอกอยู่ด้วย ข้าเลยไม่สะดวกพูดอะไรมาก แต่ในบันทึกลับของเขตการปกครองของพวกเราบอกไว้ว่าเทือกเขาสันตะขาบลูกนี้มักจะมีสัตว์ประหลาดและสิ่งชั่วร้ายคอยก่อกวน ถึงขั้นที่ว่ามีภูตผีปีศาจในภูเขาใหญ่หลายลูกที่รู้จักให้การช่วยเหลือกันและกัน เดิมทีก็รับมือได้ยากมากอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่ทางการเชิญเทพเซียนให้ขึ้นเขาไปค้นหา กลับเจอแต่พวกภูตน้อยที่ไม่มีความสำคัญ พวกปีศาจใหญ่ที่ได้ข่าวมาล่วงหน้าล้วนหลบหนีไปซ่อนตัวกันหมด เจ้าเล่ห์มากเลยล่ะ หากไม่เป็นเพราะก่อนหน้านี้ทางการเพิ่งจะพาคนทำความสะอาดสันตะขาบไปรอบหนึ่ง ข้าก็ไม่กล้ารับปากพาพวกเจ้าเข้ามาในภูเขาลูกนี้หรอก”


นอกจากหญิงสาวจะสะพายธนูยาวสีเงินที่สลักตัวอักษรโบราณและเรียบง่ายไว้ด้านหลังแล้ว ตรงเอวยังห้อยดาบแคบฝักสีดำสนิทอีกเล่มหนึ่ง มือของนางกดที่ด้ามดาบ พูดเสียงเย็น “หากมีภูตผีปีศาจจริงๆ ก็ดีน่ะสิ กำจัดปีศาจปราบมาร ไม่ได้มีแค่เทพเซียนบนภูเขาเท่านั้นที่ทำได้ พวกเราก็ทำได้เหมือนกัน!”


ชายหนุ่มยิ้มอย่างจนใจ ไม่พูดอะไรให้มากความอีก ควบม้าห้อตะบึงออกไป หวังเพียงว่าการผดุงความเป็นธรรมในครั้งนี้จะไม่เกิดปัญหาแทรกซ้อน ไม่เหมือนกับหญิงสาวที่ออกจากสำนักมาเผชิญโลกกว้างครั้งแรก เขาคือลูกหลานตระกูลขุนนางที่ชาติตระกูลไม่ธรรมดา จึงมีประสบการณ์และเข้าใจความอันตรายความชั่วร้ายในโลกมนุษย์มากกว่า


สตรีแต่งงานแล้วผู้นั้นเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งไม่อาจปกปิดเรือนกายได้ ผิวพรรณขาวนวลเนียนจึงโผล่วับแวมเป็นแถบๆ สภาพน่าเวทนา แม้ว่านางเองก็เป็นผู้ฝึกตนคนหนึ่ง แต่ด้วยถูกไล่ฆ่ามาตลอดทางจึงเป็นเหมือนม้าตีนปลาย ฝีเท้าเบาล่องลอย เห็นชายหญิงควบม้าตรงเข้ามาก็ฝืนรวบรวมเรี่ยวแรงตะโกนเสียงดัง “จอมยุทธ์ทั้งสองท่านโปรดช่วยข้าด้วย!”


หญิงสาวปลดผ้าคลุมโยนให้กับสตรีแต่งงานแล้ว นางบังคับม้าอย่างเชี่ยวชาญ ขณะที่สวนทางกับสตรีแต่งงานแล้ว นางก็ชักดาบแคบออกมา ดึงบังเหียนหยุดม้า ถลึงตาเดือดดาลใส่ฝ่ายตรงข้าม “ไสหัวไปไกลๆ!”


ชายหนุ่มมาหยุดอยู่ข้างกายของหญิงสาว ยิ้มบางๆ “ฮูหยินคงตกใจแย่แล้ว”


สตรีแต่งงานแล้วเอาผ้าคลุมลมห่มทับเรือนกายอวบอิ่ม หอบหายใจเสียงดัง ใบหน้าซีดเผือด พูดเสียงสั่นด้วยยังหวาดหวั่นไม่คลาย “คุณชาย พวกท่านต้องระวังพวกป่าเถื่อนเหล่านั้นให้มาก พวกเขาเรียกตัวเองว่าเป็นผู้ฝึกตน แล้วก็สามารถร่ายใช้เวทอภินิหารบางอย่างได้จริงๆ ทางที่ดีที่สุดคุณชายควรเตือนเพื่อนของท่านว่าไม่ควรทำอะไรหุนหัน หากไม่ได้จริงๆ คุณชายกับแม่นางท่านนั้นแค่ช่วยขวางพวกเขาให้ข้าก็พอ ข้าจะเร่งเดินทางต่อเดี๋ยวนี้ เพียงแต่ว่าเสื้อคลุมกันลมตัวนี้คงต้องขออภัยจอมยุทธ์หญิงผู้มีคุณธรรมท่านนั้นแล้ว…”


ชายหนุ่มแอบมองประเมินสตรีแต่งงานแล้วตลอดเวลา ฟังประโยคนี้ของนางก็ยังมองไม่เห็นพิรุธใดๆ จึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “ฮูหยินไม่ต้องหนีตายอีกแล้ว กลางวันแสกๆ แบบนี้ พวกเขาคงไม่กล้าก่อกรรมทำชั่วหรอก หากเป็นพวกที่ฆ่าคนปล้นชิงมาจนเคยชินจริงๆ ต่อให้พวกเขาคือผู้ฝึกตนบนภูเขา ฮูหยินก็ไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลให้มากนัก พวกเราย่อมต้องมีวิธีรับมืออยู่แล้ว ฮูหยินแค่ทำใจให้สบายก็พอ”


สตรีแต่งงานแล้วขยับปากจะพูดอธิบาย แต่ก็หยุดความคิดนั้นไป เพียงแค่เอ่ยอย่างน่าสงสารว่า “คุณชายควรระวังตัวไว้เป็นการดี คนกลุ่มนั้นทำเรื่องชั่วช้าได้ทุกประเภท พูดจาหยาบคายก็ยิ่งเป็นเรื่องปกติสามัญสำหรับพวกเขา ระวังจะระคายหูทุกท่าน”


ชายหนุ่มเริ่มคลายความระมัดระวังตัวลง พยักหน้ารับพร้อมยิ้มบางๆ “ฮูหยินจิตใจดียิ่งนัก ไม่ควรเลยที่จะต้องพบเจอกับเหตุร้ายเช่นนี้”


สตรีแต่งงานแล้วได้ยินก็ขบริมฝีปากแน่น สีหน้าพลันหม่นหมอง ก้มหน้าพูดสะอึกสะอื้นไม่เป็นคำ “น่าสงสารก็แต่สามีและบุตรสาวข้า มันช่าง…บุตรสาวของข้าเพิ่งจะอายุสิบสองปีเท่านั้น ข้าเองก็ไม่ควรมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว…”


ม้าหลายตัวที่ตามมาเบื้องหลังมาหยุดอยู่ข้างกายชายหนุ่มและสตรีแต่งงานแล้วผู้น่าสงสาร ได้ยินคำพูดของสตรีแต่งงานแล้ว คนทั้งหลายก็เข้าใจได้ทันทีว่านางประสบพบเจอเรื่องน่าเวทนาแบบใดมา เดินทางในพื้นที่กันดารรกร้าง โจรปล้นทรัพย์ข่มขืนผู้หญิงมีให้พบเห็นไม่มากนักในแคว้นหวงถิง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่หายากแน่นอน


ไฟโทสะของบุรุษคนหนึ่งที่อายุยังน้อยแต่กลับไว้หนวดเครารุงรังพลันพุ่งสูงสามจั้ง แม้ว่าตัวเขาเองที่อยู่ในสำนักและยุทธภพจะไม่ถือว่าเป็นพวกพูดง่าย แต่ก็เกลียดการเห็นคนอ่อนแอถูกรังแกมากที่สุด จึงเฆี่ยนม้าบุกตะลุยไปด้านหน้าอย่างแค้นเคือง “จือหลัน ข้าจะช่วยเจ้าเอง! พวกโจรชั่วช้าสามานย์กลุ่มนี้สมควรตายเป็นหมื่นครั้ง!”


ด้านหน้า ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่เห็นจอมยุทธ์หญิงที่ถูกเรียกว่าจือหลันเป็นอันดับแรก แล้วค่อยเห็นว่าสตรีแต่งงานแล้วผู้นั้นกำลังจะหนีไป ชายฉกรรจ์ที่เป็นหัวหน้าร้อนใจจนตาแดงก่ำ ผรุสวาทเสียงดัง “นังเด็กน้อยตาบอด เจ้าบอกให้ข้าผู้อาวุโสไสหัวไปงั้นรึ?”


ชายฉกรรจ์มองเห็นความดุร้ายเต็มใบหน้าของสตรีผู้นั้นก็โกรธจนกลายเป็นขำ “เจ้านั่นแหละรีบไสหัวไปเสีย เป็นแค่ลูกกระต่ายยังไม่หย่านมขนยังขึ้นไม่ครบก็กล้าอวดเก่งเป็นวีรบุรุษแล้วรึ? ต่อให้ผู้อาวุโสในสำนักของพวกเจ้ามาอยู่ตรงนี้ ข้าผู้อาวุโสก็ตบให้ปลิวได้ด้วยฝ่ามือเดียว รีบหลบไปซะ สตรีผู้นั้นคือปีศาจเฒ่าที่ทำเรื่องชั่วช้ามาหนึ่งร้อยปี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องต่ำช้าแค่ไหนนางก็ทำมาหมดแล้ว รอให้ข้าผู้อาวุโสถลกหนังดึงเส้นเอ็นของนางออกมาเมื่อไหร่ ก็จะได้รู้กันเองว่านางเป็นคนหรือเป็นปีศาจ!”


คนหนุ่มไว้หนวดเคราที่ควบม้าบุกออกมาเพียงลำพังชักกระบี่ยาว ชี้ปลายกระบี่ไปที่คนกลุ่มนั้นแล้วหัวเราะร่า “หน็อยแน่ะ เป็นคนเลวแล้วยังชิงฟ้องก่อนอีกรึ?”


ผู้เฒ่าสวมชุดสีดำด้านหลังชายฉกรรจ์ขมวดคิ้ว “หันปลายกระบี่ใส่คน? ใครเป็นคนสอนมารยาทเจ้า!”


ชายหนุ่มไว้เคราถลึงตาตอบกลับ “บรรพบุรุษเจ้าไงล่ะ!”


ผู้เฒ่าชุดดำหัวเราะเสียงเย็น “เหล่าซ่ง พวกเจ้าไปจับตัวนังปีศาจนั่นมาก่อน ข้าจะสั่งสอนเจ้าเด็กรุ่นหลังผู้นี้ให้รู้จักหลาบจำสักหน่อย”


“อย่าชักช้าอยู่ล่ะ เห็นได้ชัดว่านังปีศาจเฒ่ายังมีท่าไม้ตายซ่อนอยู่ ต้องให้เจ้าใช้คาถาชุบชีวิตเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน” ชายฉกรรจ์ร่างบึกบึนพยักหน้ารับ จากนั้นก็พาทุกคนบุกจู่โจม ไม่สนใจชายหนุ่มหญิงสาวที่ขวางทางอยู่แม้แต่น้อย


ทางถนนสายนี้ไม่ได้กว้างขวางนัก แค่พอให้ม้าสามตัวเดินเรียงกันผ่านไปได้ หญิงสาวหน้าตางดงามผู้พกดาบแคบตวาดเสียงเฉียบ “ยังไม่ยอมหยุดอีกรึ?!”


ชายฉกรรจ์ควบม้าบุกตะลุยผ่าไปตรงกลางระหว่างหญิงสาวดาบแคบกับชายไว้หนวดเครา หญิงสาวตวัดดาบขวางไว้ กลับถูกชายฉกรรจ์ผู้นั้นใช้ดาบที่กำอยู่ในมือปัดขึ้นเบาๆ ก็ผลักพ้นทาง สตรีที่คิดว่าตัวเองพอจะประสบความสำเร็จบนวิถีวรยุทธ์จึงมีชื่อเสียงในยุทธภพอยู่บ้างอึ้งค้างอยู่กับที่ สีหน้าเต็มไปด้วยความตะลึงลาน ชายหนุ่มไว้หนวดเคราที่ถนัดใช้ดาบเหมือนกันยิ่งโมโห ตวัดดาบฟันลงไป ทว่าชายกำยำผู้นั้นแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น สายตาเอาแต่จับจ้องสตรีแต่งงานแล้วที่อยู่เบื้องหน้า เพียงเอื้อมมือไปคว้าดาบที่ฟันเข้าหาอย่างไม่ใส่ใจ พอดาบยาวเล่มนั้นมาอยู่กลางฝ่ามือก็โยนทิ้งลงไปจากภูเขา


จอมยุทธ์ชายหญิงที่เปี่ยมไปด้วยพลังอันคึกคักฮึกเหิมยืนอึ้งคล้ายเทพทวารบาลสองฝั่งซ้ายขวา ปล่อยให้โจรภูเขากลุ่มนี้ควบม้าตะบึงผ่านไป


ผู้เฒ่าชุดดำที่รั้งอยู่ท้ายสุดเดินขยับมาอย่างเชื่องช้า เห็นสีหน้าตะลึงพรึงเพริดของมือดาบหนุ่มก็หลุดหัวเราะพรืด “เป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสามก็กล้าก่อเรื่อง? เด็กน้อยไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ รู้หรือไม่ว่าผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างที่ต้องตายด้วยน้ำมือของนังปีศาจเฒ่าผู้นั้นมีมากแค่ไหน? มือคู่หนึ่งยังไม่พอให้นับ แล้วคนอย่างเจ้าเนี่ยนะจะปกป้องนาง? ไม่แน่ว่าในหัวของนางอาจกำลังคิดว่าจะค่อยๆ เขมือบกลืนผู้มีพระคุณอย่างพวกเจ้าลงท้องอย่างไรอยู่ก็ได้!”


ผู้เฒ่ากระตุกมุมปาก “แต่ก็ไม่แน่เสมอไป นังปีศาจเฒ่าเชี่ยวชาญการฝึกวิชาคู่หยินหยางที่อำมหิต ชอบดื่มเลือดสูบของเหลวจากร่างผู้ชายที่แข็งแรง ลูกหมาน้อยที่ขาที่สามยาวแล้วอย่างเจ้า หากตายใต้ต้นดอกโบตั๋น กลายเป็นผีก็ยังคุ้มค่า” (เปรียบเปรยถึงผู้ชายที่ยอมตายเพื่อสาวงาม)


ชายหนุ่มเครายาวหน้าแดงก่ำ อับอายจนพานเป็นความโกรธ “ตาแก่ เจ้ารังแกกันมากเกินไปแล้ว!”


ชายชราสวมชุดดำเงื้อมือขึ้นตบผ่านอากาศ เขายังอยู่ห่างจากชายหนุ่มไว้หนวดเคราไปไกลมาก แต่เสียงตบดังกังวานกลับดังขึ้นบนใบหน้าของฝ่ายหลังอย่างแรง ร่างของเขาพลัดตกจากหลังม้า หมุนคว้างกลางอากาศสองรอบถึงร่วงลงบนพื้น


หากอิงตามความรู้บนยุทธภพ วิชาอภินิหารเช่นนี้อย่างน้อยก็ต้องเป็นความสามารถของปรมาจารย์น้อยขอบเขตสี่ห้าเท่านั้นถึงจะมีได้ ขอบเขตหกเจ็ดล้วนเป็นปรมาจารย์ใหญ่ที่มีคุณสมบัติจะก่อตั้งพรรคหรือสำนักในอาณาเขตของแคว้นแห่งหนึ่ง แล้วขอบเขตแปดเก้าในตำนานล่ะ? อยากเจอก็ยังยาก ใครบ้างที่ไม่ใช่แขกผู้ทรงเกียรติของราชวงศ์ในโลกมนุษย์? ดังนั้นพวกเขาจึงหลุดพ้นจากยุทธภพไปนานมากแล้ว


สภาพจิตใจของหญิงสาวผู้นั้นมั่นคงไม่น้อย นางรีบหันหน้าไปเอ่ยเตือนเพื่อนทันที “ระวังสตรีแต่งงานแล้วผู้นั้น!”


สตรีแต่งงานแล้วมีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็วกว่าที่คิด นางที่สวมเสื้อคลุมกันลมพลันเงยหน้าขึ้น เอื้อมมือไปกระชากชายหนุ่มผู้หนึ่งที่อยู่ข้างกายลงมาจากหลังม้า กำแขนของเขาเอาไว้แน่น แล้วยิ้มหยาดเยิ้ม “ยังนึกว่าดีชั่วก็พอจะช่วยถ่วงเวลาให้ได้ คิดไม่ถึงว่าจะมีแต่พวกมดตัวน้อยไร้ค่า ในเมื่อเป็นอย่างนี้ก็ช่วยฮูหยินภูเขาชิงหยาของพวกเจ้าสักหน่อยเถอะ!”


เพียงแต่ว่าสตรีแต่งงานแล้วเพิ่งจะโคจรลมปราณหมายดึงเอาเลือดลมในร่างของชายหนุ่มมาเป็นสารบำรุงให้กับช่องโพรงลมปราณของตัวเอง หางตากลับเหลือบไปเห็นว่าเด็กหนุ่มตรงวัดร้างที่นิ่งดูดายมาตลอดเวลาขยับตัวว่องไวดุจกระต่ายที่เผ่นหนี ร่างของเขากระโดดผลุงขึ้น เรือนกายที่แข็งแรงปราดเปรียวเกินจินตนาการนั้นปล่อยหมัดเข้าใส่ศีรษะของนาง สตรีแต่งงานแล้วยิ้มเย้ายวน แค่มองอีกฝ่ายเป็นเด็กโง่อายุน้อยไม่รู้ความ จึงมองเมินหมัดนั้นอย่างสิ้นเชิง ด้วยเชื่อว่าต่อให้ต่อยลงบนร่างของตนก็ไม่อาจทำให้เสื้อผ้าของนางขาดออกได้


ทว่านางเพิ่งจะดื่มด่ำกับกลิ่นอายชวนเคลิบเคลิ้มจากการที่เลือดลมของคนหนุ่มเติมเต็มเข้ามาในช่องโพรงลมปราณของตน หมัดที่ต่อยลงบนศีรษะกลับเป็นเหมือนค้อนเหล็กที่ทุบลงมาบนจุดไท่หยางข้างขมับฝั่งหนึ่งของนาง ทำเอาศีรษะของสตรีแต่งงานแล้วผงะส่ายเป็นวงกว้าง แม้ว่าจุดไท่หยางจะไม่ถูกหมัดนั้นทุบจนเละ แต่กล้ามเนื้อกลับเกิดอาการปวดแสบปวดร้อนดั่งถูกไฟแผดเผา นิ้วทั้งห้าบนมือข้างที่จับแขนชายหนุ่มตวัดงอเป็นตะขอจิกลงไปในเนื้อแขนของชายผู้นั้นอย่างรุนแรง สร้างความเจ็บปวดจนเขาแผดเสียงร้องดังด้วยความทรมาน ราวกับว่าจิตวิญญาณถูกคนฉีกกระชาก


หลังจากโจมตีไปหนึ่งที เด็กหนุ่มอาศัยแรงดีดทิ้งระยะห่างกับสตรีแต่งงานแล้วเล็กน้อย พอเท้าทั้งสองข้างสัมผัสพื้น ลมปราณในร่างก็โคจรอย่างว่องไว ลอดทะลวงผ่านช่องโพรงลมปราณหกหยุดระหว่างทางอย่างคุ้นเคย ขณะเดียวกับที่ออกหมัดก็เอ่ยเสียงทุ้มหนักไปด้วย “ช่วยกันลงมือ!”


 —–


บทที่ 172.2 พบเจอความอยุติธรรมบนเส้นทางแห่งยุทธภพ

โดย

ProjectZyphon

ชายฉกรรจ์ร่างกำยำถูกเด็กหนุ่มรองเท้าแตะชิงลงมือตัดหน้าไปก้าวหนึ่ง ตอนแรกเขาอึ้งตะลึงอยู่กับการลงมือที่รวดเร็วดุจสายฟ้าคำรามของเด็กหนุ่ม จากนั้นก็กลัวว่าหากฝ่ายตนร่วมมือกันใช้พลังสังหารที่รุนแรงจะทำร้ายผู้บริสุทธิ์ จึงตกอยู่ในสภาะเลือกไม่ถูกไปชั่วขณะ ได้แต่ทำมือบอกให้พันธมิตรที่อยู่ด้านหลังล้อมปีศาจเฒ่าไว้ให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน ส่วนตัวชายร่างกำยำเองขยับเข้าไปใกล้อีกฝ่ายต่ออีกครั้ง ป้องกันไม่ให้เด็กหนุ่มฆ่าปีศาจเฒ่าไม่ได้แล้วกลับกลายมาเป็นอาหารที่นังปีศาจเฒ่าใช้เพิ่มลมปราณเสียเอง


เมื่อเทียบกับเด็กรุ่นหลังของยุทธภพที่บุ่มบ่ามวู่วามแล้ว ชายฉกรรจ์กลับถูกชะตากับเด็กหนุ่มที่มองดูเหมือนเพิกเฉยเย็นชา แต่ลงมือเฉียบขาดดุดันผู้นี้มากกว่า


เดินทางท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพร พบเจอภูตผีปีศาจคือสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ แต่การมีสายตาที่เฉียบไวมากพอหรือไม่นั้นกลับสำคัญยิ่งกว่าความสามารถที่มีมากหรือน้อยเสียอีก มีความสามารถเท่าไหร่ก็ทำเรื่องที่ใหญ่เท่ากับความสามารถ อย่าได้หาเรื่องใส่ตัวส่งเดช นี่ต่างหากถึงจะเป็นต้นทุนของการมีอายุขัยยืนยาวนับร้อยปี


ชายฉกรรจ์ชื่นชมในความมีคุณธรรมน้ำใจของชายหญิงเหล่านั้น แต่ก็โมโหในความหุนหันไม่รู้ความของพวกเขาอยู่มาก


สตรีแต่งงานแล้วที่โฉมหน้าเย้ายวนยังคงไม่ยอมปล่อยแขนชายหนุ่มคนนั้น หลังจากเสียเปรียบไปแล้ว คราวนี้จึงไม่กล้าประมาทอีก รีบเบี่ยงตัวหันข้างอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มน่ารังเกียจคนนั้นเหวี่ยงหมัดต่อยมาอีกครั้ง จึงถีบใส่เขาเต็มกำลังเท้า ก่อให้เกิดเสียงลมพร้อมเสียงฟ้าคำราม แม้แต่ก้อนหินบนหน้าผาก็ยังหลุดออกจากซอกเพราะเท้านี้ของนาง


เด็กหนุ่มสีหน้าเด็ดเดี่ยว ฝีเท้าของเขาเบาและว่องไวเป็นพิเศษ ไม่ได้พุ่งไปข้างหน้าเป็นแนวเส้นตรงอีก แต่ขยับเบี่ยงไปด้านข้างในเสี้ยววินาที หลบการเตะที่ดุดันนั้นมาได้ ขณะเดียวกันก็ก้มตัวลงต่ำ ยกแขนขึ้นตั้งเสมอไหล่ป้องกันเผื่อสตรีแต่งงานแล้วฟาดเท้าปาดเข้ามา แล้วพุ่งไปข้างหน้าต่อเพื่อเหวี่ยงหมัดใส่อีกฝ่าย


นี่ถึงทำให้สตรีแต่งงานแล้วมองตื้นลึกหนาบางของเด็กหนุ่มออก หมัดนี้มองดูเหมือนเรียบง่ายไม่มีอะไรอัศจรรย์ แต่แท้ที่จริงแล้วกลับมีสัจธรรมแห่งวิชาหมัดไหลเวียนวน มิน่าเล่าก่อนหน้านี้ถึงทำร้ายตนได้


ชายฉกรรจ์ผู้นั้นตวาดก้อง “อย่าหวังว่าจะทำร้ายใครได้อีก!”


เห็นเพียงว่าหมัดหนึ่งของชายฉกรรจ์กระแทกลงบนความว่างเปล่า พายุหมุนพัดแหวกอากาศพุ่งจู่โจมเข้าใส่ศีรษะของสตรีแต่งงานแล้ว


แล้วก็มีโซ่ตรวนสีขาวหิมะที่ไม่อาจจับต้องได้จริงพุ่งพรวดออกมาจากชายแขนเสื้อของคนผู้หนึ่งที่อยู่ด้านหลังชายฉกรรจ์


และยังมีชายที่สะพายกระบี่ไม้ท้อคนหนึ่งประกบนิ้วเข้าหากัน หันไปตะโกนคำว่าเร็วใส่สตรีแต่งงานแล้ว กระบี่ไม้ท้อที่เตรียมพร้อมรออยู่แล้วพุ่งออกจากฝัก บินทะยานสู่อากาศสูง แล้ววาดเส้นโค้งดิ่งเข้าหาลำคอของสตรีแต่งงานแล้ว


“นึกว่าข้าผู้อาวุโสรังแกได้ง่ายจริงๆ น่ะรึ?! ที่ข้าผู้อาวุโสอดทนกับพวกเจ้ามาตลอดระยะทางสองร้อยลี้เพราะต้องการอะไร?!”


สตรีแต่งงานแล้วหัวเราะอย่างกำเริบเสิบสาน เป็นอย่างที่เด็กหนุ่มรองเท้าแตะคาดการณ์ พอถีบไม่โดน นางก็ฟาดขาเหวี่ยงไปที่ไหล่ของเด็กหนุ่ม ขณะเดียวกันด้านหลังของนางก็มีภาพมายาหางยาวสีแดงสดลักษณะคล้ายกับหางเตียวและจิ้งจอกจำแลงขึ้นมาสามหาง แต่ละหางแยกกันไปขัดขวางพายุหมัดของชายร่างกำยำ โซ่ตรวนที่พุ่งออกมาจากชายแขนเสื้อและกระบี่ไม้ท้อที่แหวกอากาศมาถึง แม้ว่าหางยาวจะอาบเลือดเพราะการกระทำนี้ แต่สุดท้ายก็ขัดขวางการโจมตีดุดันที่พุ่งเข้ามาอย่างพร้อมเพรียงกันไว้ได้


นางโยนแขนที่บาดแผลลึกจนเห็นกระดูกของชายหนุ่มผู้นั้นทิ้งไป เอามืออีกข้างคว้าหมัดของเด็กหนุ่ม อดทนกับความเจ็บปวดแสบร้าวจากกลางฝ่ามือ อีกมือหนึ่งจิ้มนิ้วไปยังหว่างคิ้วของเด็กหนุ่มเบาๆ สตรีแต่งงานแล้วคิดอย่างเดือดดาลว่าต้องจิ้มให้ทะลุมันสมองของเด็กหนุ่มถึงจะหายแค้น นางมีใจระแวงต่อเด็กหนุ่มอยู่บ้าง ทว่าศัตรูร้ายที่จะตัดสินความเป็นความตายอย่างแท้จริงยังคงไม่ใช่เด็กหนุ่ม เส้นสายตาของนางมองข้ามไปยังจุดห่างไกลด้านหลังวัดโบราณร้างผุพังแล้วเอ่ยยิ้มๆ “ไงล่ะสหายเก่า จะยอมทนเห็นบุตรสาวของเจ้าถูกคนนอกรังแกคาตาอย่างนี้น่ะหรือ?!”


คาดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มคนนั้นจะเจ้าเล่ห์รับมือยากอย่างยิ่ง เขาที่หมัดถูกสตรีแต่งงานแล้วจับไว้แน่นหงายตัวไปด้านหลัง เท้าสองข้างถีบไปที่หน้าท้องของสตรีแต่งงานแล้ว ด้วยได้รับความเจ็บปวดเป็นระลอกนางจึงเผลอดึงมือกลับโดยอัตโนมัติ ไม่ได้ไล่ตามไปฆ่าเด็กหนุ่มคนนั้น เพียงเลิกคิ้วใส่เขา “อีกเดี๋ยวค่อยกลับมาจัดการเจ้า ฮูหยินอย่างข้าขึ้นชื่อเรื่องจิตใจเมตตาดุจพระโพธิสัตว์ รับรองว่าเจ้าจะมีความสุขสุดขีด ก่อนตายยังต้องรู้สึกเจ็บใจที่ตัวเองไม่มีหลายชีวิตให้เสวยสุข!”


ชายร่างกำยำเหมือนยกภูเขาออกจากอก อดหันไปชูนิ้วโป้งให้เด็กหนุ่ม เอ่ยชมพร้อมเสียงหัวเราะร่าไม่ได้ “เยี่ยมมาก!”


หลังจากถอยกลับมาได้อย่างปลอดภัย เฉินผิงอันก็สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่อันที่จริงจริงก็พุ่งออกมาจากวัดร้างนานแล้วเกือบจะปล่อยโฮ “นายท่านๆ ไอ้หมอนั่นบอกให้ข้ามาปกป้องท่าน ส่วนเขาไปรับมือกับคนที่ร้ายกาจกว่า แต่ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะต่อสู้อย่างไร นายท่านข้าขอโทษ เป็นเพราะข้าไร้ประโยชน์…”


เฉินผิงอันจ้องมองไปยังสตรีแต่งงานแล้วตลอดเวลา แต่กลับยื่นมือมาตบศีรษะเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเบาๆ กล่าวปลอบใจว่า “ไม่เป็นไร คราวหน้าระวังตัวหน่อยก็พอ”


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่ซ่อนตัวฝึกตนอยู่ในหอหนังสือมาตั้งแต่เด็กยิ่งละอายใจ จึงร้องไห้จ้าเสียงดังทันใด


ชายฉกรรจ์เอ่ยเตือนเบาๆ “ในสันตะขาบแห่งนี้ยังมีปีศาจบำเพ็ญตนที่ตบะสูงล้ำอยู่อีก พวกเราค่อยหาโอกาสเหมาะๆ ลงมือ หากไม่ได้จริงๆ อย่างน้อยก็ต้องปกป้องเด็กๆ พวกนี้ไว้ก่อนแล้วค่อยถอยหนี”


ทุกคนพยักหน้ารับ แม้จะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าหากพบเจอกับผลลัพธ์ที่เลวร้ายเช่นนั้นแล้วยังต้องทำให้ได้อย่างที่ว่า เป็นเรื่องยากยิ่งกว่าเดินขึ้นสวรรค์ แต่ก็ยังไม่มีใครเห็นต่าง


การไล่ฆ่าปีศาจตลอดทางที่ผ่านมานี้อันตรายเกินไป หากไม่เป็นเพราะมีคาถาชุบชีวิตของผู้เฒ่าชุดดำ คงมีคนในกลุ่มบาดเจ็บล้มตายกันไปนานแล้ว บวกกับที่ปีศาจตนนั้นมีโทษมหันต์ ภายใต้สถานการณ์ที่ภาพรวมมั่นคงดีแล้ว พวกเขาจะ “พูดจาหยาบโลน” ใส่สตรีแต่งงานแล้วไปอีกทำไม ล้วนเป็นเพราะเคียดแค้นเกินจะทน อยากจะจับนางมาลงหม้อตุ๋นจริงๆ ถึงจะสาแก่ใจ


หยอกเย้าอย่างลำพองใจเสร็จ สตรีแต่งงานแล้วก็พบว่าห่างออกไปไกลไม่มีความผิดปกติ ตามหลักแล้วด้วยนิสัยของเจ้าหมีโง่นั่นควรจะเปิดฉากเดินขึ้นเวทีอย่างอลังการจนฟ้าสะท้านดินสะเทือนถึงจะถูก นางพลันร้อนใจ กรีดร้องเสียงแหลม “คนล่ะ?!”


ผืนป่าด้านหลังวัดร้างที่ห่างไปไกล ชายร่างยักษ์ล่ำสันตัวสูงจั้งกว่า สองมือถือขวานมองไปยังเด็กชายชุดเขียวที่อยู่ห่างไปสิบกว่าก้าว อีกฝ่ายกำลังแสยะยิ้มแยกเขี้ยวให้เขา ทำสีหน้าน้ำลายไหลย้อยเหมือนอยากชิมอาหารเลิศรส ชวนให้ขบขัน


ปีศาจใหญ่แห่งขุนเขาร่างเท่าภูเขาลูกย่อมกลืนน้ำลายแล้วหันหลังเผ่นหนีทันที มันวิ่งห้ออย่างบ้าคลั่ง เจอภูเขาผ่าภูเขา เจอต้นไม้ฟันต้นไม้หักโค่น สุดท้ายถึงขนาดทิ้งขวาน กลับคืนสู่ร่างเดิม เห็นเป็นหมียักษ์ตัวหนึ่งใช้ทั้งขาหน้าและเท้าหลังควบตะกุยไปบนพื้นดิน เผ่นหนีหัวซุกหัวซุน


ไม่มีปีศาจหมียักษ์ที่มีพลังการต่อสู้มาเป็นกำลังเสริมอย่างที่คาดการณ์ไว้ สตรีแต่งงานแล้วที่คำนวณผิดพลาดเริ่มลนลาน ระหว่างการต่อสู้กับฝ่ายตรงข้ามในช่วงหลัง ไม่ทันระวังจึงถูกพายุหมัดของชายฉกรรจ์กระแทกลงบนร่าง ผงะล้มลงบนพื้น จากนั้นก็ถูกกระบี่ไม้ท้อแทงเข้าที่ไหล่ โซ่ตรวนรัดพันกาย ตามมาด้วยอาวุธอาคมและเวทอภินิหารถาโถมเข้าใส่อีกหนึ่งระลอก สุดท้ายชายฉกรรจ์ที่เชี่ยวชาญวิชาหมัดก็เหยียบลงบนหน้าผากของสตรีแต่งงานแล้ว บังคับทำลายการโคจรในช่องโพรงลมปราณของนาง เหยียบให้ทั้งศีรษะของนางจมลงไปในดินโคลน


ครั้นชายฉกรรจ์ก็เรียกดาบสีเงินเล่มเล็กออกมาหนึ่งเล่ม แทงเข้าไปในหัวใจของสตรีแต่งงานแล้ว ก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งคว้าคอของนางขึ้นมา แบกนางพาดไหล่ตัวเอง เดินเอาไปโยนไว้บนหลังม้า ชายฉกรรจ์มองเด็กชายชุดเขียวที่นั่งยองอยู่บนหลังคาของวัดร้างด้วยสายตาซับซ้อน สุดท้ายมองไปยังเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างกายเด็กหญิงกระโปรงชมพูแล้วกุมมือคารวะ “วันหน้าคุณชายเดินทางอยู่ในยุทธภพต้องระวังตัวให้มาก เพราะอย่างไรซะบนภูเขาก็ไม่ได้มีแค่คนอย่างพวกเราเท่านั้น”


เฉินผิงอันเข้าใจความหมายของชายฉกรรจ์ได้อย่างรวดเร็ว ขอแค่เป็นเทพเซียนบนภูเขาที่มองร่างจริงของงูหลามข้างกายออก เกรงว่าคงจะลงมืออย่างไม่สนใจเหตุผล ไม่เหมือนคนอย่างพวกเขาที่หากไม่เจอคนทำชั่วก็จะไม่มีทางลงมือ เฉินผิงอันจึงกุมมือคารวะกลับ “ข้าจะระวังตัว”


ชายฉกรรจ์พลิกตัวขึ้นหลังม้า หันมามองแล้วเห็นว่าไม่มีวี่แววที่สตรีแต่งงานแล้วจะฟื้นขึ้นมา จึงหัวเราะเสียงดังชวนเฉินผิงอันคุย “วิชาหมัดไม่เลว มานะบากบั่นต่อไป!”


เฉินผิงอันนึกว่าคนผู้นี้ล้อเลียนตัวเองจึงยิ้มอย่างเขินอาย “วิชาหมัดของท่านผู้อาวุโสต่างหากที่ร้ายกาจอย่างแท้จริง”


ชายฉกรรจ์หัวเราะเสียงก้องกังวาน กุมมือคารวะเด็กหนุ่มโดยไม่พูดอะไรอีก เขาหันม้ากลับ เดินย้อนกลับไปทางเดิมพร้อมกับทุกคน การกำจัดปีศาจของพวกเขาครั้งนี้ไม่ได้ราบรื่นนัก แค่ล่อตัวศัตรูก็ต้องใช้เวลาไปเกินครึ่งเดือน หลังจากนั้นก็ไล่ฆ่ามาตลอดทางจนถึงตรงนี้ ซึ่งเป็นเวลาสองวันสองคืนแล้ว ต่อให้มีร่างกายและจิตใจของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตห้าอย่างเขาก็ยังอดอ่อนล้าไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ฝึกลมปราณคนอื่นๆ ในกลุ่มเลย ต้องรีบกลับไปส่งมอบงานยังหน่วยราชการของเมือง ไม่ต้องพูดถึงว่าหลังจบเรื่องจะได้รับของรางวัลอย่างงามจากราชสำนักแคว้นหวงถิง กลับไปถึงสำนักของแต่ละคนก็จะถือว่าได้ทำความชอบอย่างใหญ่หลวงเช่นกัน


ตอนที่ชายฉกรรจ์คนนั้นเดินสวนไหล่กับหญิงสาวก็กระชากเสียงพูดอย่างไม่พอใจ “คนดีคนเลวล้วนไม่ได้มีสลักบอกไว้ตรงหน้าผากให้พวกเจ้าได้เห็น วันหน้าอย่าได้บุ่มบ่ามวู่วามแบบนี้อีก ในเมื่อเลือกที่จะลงจากภูเขามาฝึกประสบการณ์ แม้มีความกล้าหาญน่านับถือ แต่ก็อย่าทำเรื่องโง่ๆ ให้คนในสำนักต้องคอยตามเช็ดตามล้างให้มากนัก”


แล้วทั้งสองฝ่ายก็จากลากันทั้งอย่างนี้


ชายหนุ่มไว้หนวดเคราตามหาดาบของตัวเองจนเจอ คนหนุ่มที่ถูกสตรีแต่งงานแล้วจับแขนมีสภาพอเนจอนาถที่สุด ต่อให้จะถูกโปะยาห้ามเลือด แต่เขาก็ยังร้องโหยหวนไม่หยุด แขนข้างหนึ่งโชกไปด้วยเลือด ผิวเนื้อแหลกเละ ดูท่าคงมีความเป็นไปได้เกินครึ่งที่แขนข้างนั้นจะใช้งานไม่ได้อีก


คนผู้หนึ่งหน้าซีดขาว ทนมองสภาพน่าเวทนาของเพื่อนไม่ไหวอีกต่อไป พลันเหลือบไปเห็นเด็กหนุ่มที่เดินไปทางวัดร้างจึงลุกขึ้นยืนแล้วด่าอย่างแค้นเคือง “เจ้ามันเป็นคนยังไงกัน ทำไมไม่ลงมือให้เร็วกว่านี้! หากมองพิรุธของปีศาจตนนั้นออกตั้งแต่แรก ทำไมไม่ยอมเอ่ยเตือนกันสักคำ?! หรือคิดจะรอดูเรื่องสนุกจากพวกเราอย่างเดียว!”


จากนั้นก็มีเสียงสั่นๆ เอ่ยคล้อยตาม “เจ้าทำร้ายศิษย์น้องหม่า!”


เฉินผิงอันหยุดเดิน หันหน้ากลับมามองสองคนนั้นโดยไม่พูดอะไร


คนผู้หนึ่งตกใจถอยหลังไปหลายก้าว อีกคนหนึ่งปลุกความกล้าถลึงตากลับไป “ทำไม เจ้าทำตัวไร้เหตุผลแล้วยังคิดจะลงมือทำร้ายคนอื่นอีกรึ?!”


เฉินผิงอันยังคงไม่พูดอะไร แต่ยื่นนิ้วชี้ไปที่ศีรษะรวมไปถึงหัวใจของตัวเอง แล้วจึงหมุนตัวเดินกลับไปที่กองไฟ ทรุดตัวนั่งยองมองหม้อใบเล็กที่ใช้ต้มข้าว


คนผู้นั้นยังไม่ยอมเลิกรา บ่นพึมพำด้วยถ้อยคำประมาณว่าทหารของทางการ ไร้ขื่อไร้แป แม่ทัพทหารม้า ฯลฯ อะไรทำนองนี้ สุดท้ายถูกคุณชายที่พกกระบี่พู่สีเงินห้ามปราม ถึงได้หยุดพูด คนทั้งกลุ่มพากันขึ้นม้า หนึ่งในนั้นขี่ม้าร่วมกับคนที่ได้รับบาดเจ็บ ใช้เชือกมัดร่างของพวกเขาสองคนเอาไว้ หลีกเลี่ยงไม่ให้ฝ่ายหลังตกม้าเพราะความเจ็บปวดจากบาดแผล


เด็กชายชุดดำยืนอยู่ตรงหน้าประตูวัดมองแผ่นหลังของคนกลุ่มนั้นที่จากไปไกลด้วยสายตาวาววับ เอ่ยถามว่า “นายท่าน ทำไมไม่ให้ข้าสั่งสอนพวกคนอกตัญญูกลุ่มนั้นล่ะ? ข้าโมโหจนแทบจะระเบิดแล้ว ข้าผู้อาวุโสโมโหยิ่งนัก โมโหยิ่งนัก! ไม่ได้ ข้าต้องดับไฟโทสะซักหน่อย!”


ว่าแล้วเด็กชายชุดเขียวก็ร่ายเวทเรียกรวมไอน้ำสร้างลูกน้ำขนาดใหญ่เหนือศีรษะตัวเองหนึ่งลูก จากนั้นก็ราดรดลงบนหัว เล่นงานตัวเองจนมีสภาพเหมือนไก่ตกน้ำ


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่นั่งยองอยู่ข้างกายเฉินผิงอันเอ่ยคล้อยตามอย่างที่หาได้ยาก “น่าโมโหมากจริงๆ!”


เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ “คนอื่นไม่มีเหตุผล ไม่ใช่สาเหตุที่พวกเราจะทำตัวไร้เหตุผลตามไปด้วย แค่ไม่ละอายต่อใจตัวเองก็พอแล้ว”


แล้วเฉินผิงอันก็พลันคลี่ยิ้ม “จะอย่างไรซะวันหน้าก็ไม่มีทางได้เจอกันอีกแล้ว อีกอย่างพวกเราก็ไม่ใช่พ่อแม่ของพวกเขา ไม่จำเป็นต้องรู้ชัดเจนไปเสียทุกเรื่อง ข้าเพิ่งจะเข้าใจหลักการบางอย่าง แต่กว่าจะอ่านมาจากหนังสือได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เรื่องอะไรข้าต้องสอนให้พวกเขาด้วย”


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูปิดปากยิ้ม


เด็กชายชุดดำดีดนิ้วหนึ่งที อาภรณ์ที่เปียกโชกก็แห้งสนิทในบัดดล เขาหมุนตัวเดินเข้ามาในวัด ใช้มืออังไฟ “นายท่าน ข้าไม่ได้บอกว่าจะต้องพูดคุยอย่างมีเหตุผลกับพวกเขาสักหน่อย แต่ข้าอยากจะกินพวกเขาให้หมดในคำเดียว…”


เห็นสายตาของเฉินผิงอันที่เงยหน้ามองมา เขารีบเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ว่า “แน่นอนว่าจะทำอย่างนั้นไม่ได้! เฮ้อ นายท่าน ข้าก็แค่อยากจะสั่งสอนพวกเขาสักเล็กน้อย ยกตัวอย่างเช่นต่อยให้พวกเขาแต่ละคนหน้าเขียวจมูกแดง ขนาดพ่อแม่ก็ยังจำหน้าพวกเขาไม่ได้ อืม เว้นแม่นางขายาวคนนั้นไว้สักคน ไว้ให้นายท่านจัดการเอาเอง”


 เฉินผิงอันเปิดฝาหม้อ กลิ่นหอมของข้าวสุกอบอวลไปทั่ว เด็กหญิงกระโปรงชมพูส่งช้อนตักข้าวและชามสีขาวใบเล็กสามใบที่ซ้อนกันมาให้อย่างคล่องแคล่ว


คนทั้งสามนั่งล้อมวงกินข้าวกับผักดอง จู่ๆ เฉินผิงอันก็นึกถึงคนผู้หนึ่งที่มักจะใช้ตะเกียบเคาะถ้วย ร่ำร้องจะกินเนื้อ และไพล่นึกไปถึงประโยคหนึ่งที่เขาเคยเอ่ยไว้ จึงพูดกับเด็กชายชุดเขียวว่า “ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงจะเต็มใจใช้อิสระของผู้อ่อนด้อยมาเป็นขอบเขตของตัวเอง”


มองดูเหมือนเด็กชายชุดดำก้มหน้าก้มตาพุ้ยข้าวเสียงดังฟั่บๆๆ แต่อันที่จริงตั้งแต่ต้นจนจบเขากินไปแค่คำเล็กๆ คำเดียวเท่านั้น ได้ยินประโยคนี้ก็กะพริบตาแล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงใจว่า “ว้าว นายท่าน ท่านช่างใจกว้างยิ่งกว่ามหานที นับถือๆ ซาบซึ้งต่อฟ้าซาบซึ้งต่อดิน เสียดายที่นายท่านไม่ใช่บัณฑิต หาไม่แล้วคงกลายเป็นวิญญูชนที่ถูกสำนักหรือสถานศึกษาเรียกตัวไปนานแล้ว”


แม้จะฟังออกถึงน้ำเสียงแดกดันในคำพูดของเด็กชายชุดเขียว แต่เฉินผิงอันก็แค่ถอนหายใจ นึกถึงเรื่องของตัวเองแล้วเอ่ยเนิบช้าว่า “ประโยคนี้ข้าไม่ได้เป็นคนพูด”


เด็กชายชุดเขียวหรือจะกล้าได้คืบเอาศอก คำประจบสอพลอในประโยคถัดมาจึงจริงใจมากกว่าเดิม พูดพลางหัวเราะฮ่าๆ “ข้าก็นึกว่านายท่านเป็นคนพูดประโยคนี้เอง นายท่านคุณธรรมสูงส่งย่อมเหมาะสมคู่ควรกับคำพูดประโยคนี้!”


เฉินผิงอันยิ้ม “เจ้าไปเรียนคำพูดประจบยกยอมากมายขนาดนี้มาจากที่ไหน เวลาปกติไม่ได้ฝึกบำเพ็ญตนหรือ?”


“ฝึกสิ หากข้าตั้งใจฝึกบำเพ็ญตนขึ้นมาเมื่อไหร่ แม้แต่ตัวเองก็ยังรู้สึกหวาดกลัว…”


เด็กชายชุดเขียวแค่นเสียงพูดขึ้นจมูก “ข้ามานะบากบั่นไม่ย่อท้ออย่างที่ใครก็เทียบไม่ได้ แต่ก็มีบางครั้งที่ออกมาสูดอากาศภายนอก มาดื่มเหล้ากินเนื้อกับสหายเทพวารีบ้าง พวกคนเบื้องล่างล้วนพูดถึงข้าเช่นนี้ ข้าก็แค่ยืมมาใช้เท่านั้น”


เด็กชายชุดเขียวมองเฉินผิงอันพลางโคลงศีรษะ “เมื่อก่อนนี้ข้าก็ยังสงสัยอยู่บ้างว่าเจ้าเด็กน้อยพวกนั้นพูดจาน่าขนลุกแบบนี้เพราะหวังของรางวัลใช่หรือไม่ แต่ตอนนี้พอข้าได้รู้จักกับนายท่านกลับรู้สึกว่าพวกเขาต้องจริงใจแน่นอน เพราะข้าจริงใจต่อนายท่านจนจริงใจไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว เฮ้อ หากรู้อย่างนี้แต่แรกน่าจะตบรางวัลพวกเขามากสักหน่อย ต่อให้ต้องติดหนี้สหายเทพวารีก็ไม่เป็นไร เฮ้อ ข้าทำแบบนี้ทำให้ทหารเสียขวัญกำลังใจแท้ๆ ว่าไหม นายท่าน? คนเบื้องล่างมีความจริงใจให้ คนเบื้องบนก็ต้องรู้จักทะนุถนอมและเห็นคุณค่าสิ!”


พูดจาวกวนอ้อมไปอ้อมมาอยู่เป็นนาน สุดท้ายคือวนกลับมาขอของรางวัลจากเฉินผิงอัน?


เฉินผิงอันหัวเราะขบขัน “อยากได้หินดีงูรึ? ที่บ้านเกิดข้ามีอยู่จริง แถมยังไม่ได้มีแค่ก้อนเดียว แต่ข้าไม่ให้เจ้าหรอก”


เด็กชายชุดเขียวลงไปในคุกเข่า ชูถ้วยข้าวไว้เหนือศีรษะทันใด “สวรรค์เป็นพยาน นายท่านผู้เฒ่าโปรดสงสารข้าเถอะ ตลอดทางมานี้ข้าไม่มีคุณความชอบก็มีความเหนื่อยยาก ทุกวันต้องข่มกลั้นอารมณ์ไม่ให้กินนังเด็กโง่ มันลำบากมากเลยนะ!”


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูดขยับมาหลบอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน


เฉินผิงอันกล่าวเนิบช้า “เอาเถอะ เมื่อไปถึงบ้านเกิดข้า ข้าจะให้หินดีงูพวกเจ้าคนละก้อน”


เด็กชายชุดเขียวพลันเงยหน้าขึ้น สีหน้าไม่พอใจ “นางมีสิทธิ์อะไรถึงได้หนึ่งก้อน? นายท่าน หากท่านจะมอบให้นางให้ได้ งั้นก็ต้องให้ข้าสองก้อน!”


นางไม่กล้าตอบโต้อะไร ได้แต่ทำสีหน้าน้อยเนื้อต่ำใจ น้ำตาคลอเจียนหยด


เฉินผิงอันยื่นนิ้วสองนิ้วให้เด็กชายชุดเขียวดู “สองก้อนใช่ไหม?”


ฝ่ายหลังพยักหน้ารัวราวไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก


เฉินผิงอันหดนิ้วกลับมา “ไม่มีแล้วล่ะ”


เด็กชายชุดเขียววางถ้วยข้าวไว้ข้างเท้าแล้วกระโจนมาข้างหน้า กอดขาเฉินผิงอัน ดิ้นปัดๆ ร้องโวยวาย “นายท่าน ข้าผิดไปแล้ว ก้อนเดียวก็ก้อนเดียว”


เฉินผิงอันไม่สนใจเด็กชายชุดเขียว มองไปยังสีท้องฟ้านอกวัดเล็กพลางพึมพำ “หิมะใกล้จะตกแล้วกระมัง?”


 —–


บทที่ 173.1 คนผ่านทางที่เดินทางอย่างรีบร้อน

โดย

ProjectZyphon

มีพบต้องมีจาก ชีวิตคนก็คือการหักกิ่งหลิวครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นนี้ (ในสมัยโบราณยามที่คนจากลากันจะมีธรรมเนียมหักกิ่งต้นหลิวมอบให้)


ระหว่างเส้นทางของแม่น้ำแห่งกาลเวลาอันยาวไกลคล้ายจะมีท่าเรือที่ต้นหลิวโน้มกิ่งอยู่หลายต่อหลายแห่ง ในโรงเตี๊ยมแห่งกาลเวลาที่ตั้งอยู่ทุกๆ ช่วงระยะทางหนึ่งจะต้องมีคนทิ้งเรือจากไป บ้างก็ลงเรือเดินทาง แล้วการพบและการจากลาครั้งใหม่ก็จะมีขึ้นตรงท่าเรือถัดไป


ก็เหมือนเด็กหนุ่มจากตรอกหนีผิงผู้หนักเอาเบาสู้คนนั้นที่ลาจากทุกคนไปไกลตั้งแต่ท่าเรือท่าก่อน


ฟ้าเริ่มสาง ครอบครัวหลี่เอ้อร์สามคนที่จัดเตรียมสัมภาระไว้เรียบร้อยแล้วบอกลากับทุกคนตรงตีนเขาตงหัว เมื่อเทียบกับตอนแยกจากกับครอบครัวครั้งแรกที่เมืองเล็ก ครั้งนี้หลี่ไหวไม่ได้ทำตัวแล้งน้ำใจ ไม่ได้แค่รู้สึกว่าจะไม่มีคนมาคอยควบคุม สามารถกินพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลและน่องไก่ได้ทั้งวันอีกแล้ว แต่มีอารมณ์เศร้าหมองอยู่หลายส่วน จะอย่างไรซะเด็กชายก็โตแล้ว


หลี่เป่าผิง หลินโส่วอี อวี๋ลู่ เซี่ยเซี่ยและชุยตงซานเด็กหนุ่มผู้มีหน้าตาหล่อเหลาชวนมองต่างก็มาส่งพวกเขา


สตรีแต่งงาแล้วตาแดงก่ำ ไม่ยอมปล่อยมือหลี่ไหว พูดจู้จี้ด้วยคำพูดทำนองว่าอากาศหนาวแล้วต้องสวมเสื้อผ้าหนาชั้น ต้องกินให้อิ่มนอนให้หลับ ฯลฯ ไม่หยุดปาก หลี่ไหวรับฟังเงียบๆ หลี่เอ้อร์ยืนซื่อบื้ออยู่ข้างๆ ตลอดเวลา ส่วนหลี่หลิ่วที่หลังจากช่วยจัดระเบียบเสื้อผ้าซึ่งพอจะเรียกได้ว่าชุดใหม่เอี่ยมให้หลี่ไหวเรียบร้อยแล้วก็เงยหน้ามองไปทางกรอบป้ายของสำนักศึกษาซานหยา ไม่สนใจสายตามองประเมินจากคนวัยเดียวกันสองคนอย่างอวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ย


ในที่สุดสตรีแต่งงานแล้วก็ยอมตัดใจจากไปได้ เมื่อเดินออกไปแล้วก็แข็งใจไม่หันกลับมามองอีก หลี่เอ้อร์ตบศีรษะของหลี่ไหวเบาๆ ก่อนจะเดินตามฝีเท้าภรรยาไปพร้อมรอยยิ้ม หลี่หลิ่วตบไหล่น้องชาย จากนั้นหันไปยอบตัวให้กับทุกคนแล้วก้าวเดินจากไปอย่างแช่มช้า


หลี่ไหวเตะหลินโส่วอีเบาๆ หนึ่งที ฝ่ายหลังกำจดหมายฉบับหนึ่งไว้ในกำมือที่ชื้นไปด้วยเหงื่อ เด็กหนุ่มผู้เย็นชาส่ายหน้า มองแผ่นหลังของเด็กสาวพลางตอบงึมงำ “ไว้คราวหน้าเถอะ”


หลี่ไหวไม่ต้องการเผยอารมณ์เศร้าสร้อยต่อหน้าพวกเขาจึงฝืนข่มกลั้นความทุกข์ในใจ หาหัวข้อสนุกสนานมาพูดคุยพลางหัวเราะหึหึ “ชุยตงซาน หากเจ้าเป็นลูกศิษย์ของเฉินผิงอัน ส่วนพวกเราล้วนเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ฉี แล้วเป่าผิงก็เรียกเฉินผิงอันว่าอาจารย์อาน้อย เจ้ากับพวกเราจะแบ่งลำดับศักดิ์กันอย่างไร?”


ชุยตงซานที่ยืนสองมือไพล่หลังประดุจต้นไม้หยกตระหง่านรับสายลม ตอบอย่างลำพองใจ “ข้าเป็นถึงลูกศิษย์ใหญ่บุกเบิกสำนักของอาจารย์ข้า ลำดับศักดิ์สูงมาก สูงกว่าภูเขาตงหัวแห่งนี้ตั้งหนึ่งแสนแปดพันลี้”


หลี่ไหวตะลึง “หรือต้องเรียกเจ้าว่าศิษย์พี่ใหญ่?”


“ศิษย์พี่ใหญ่?”


ชุยตงซานร้อนรนขึ้นมาทันใด “ทั้งตระกูลเจ้าสิเป็นศิษย์พี่ใหญ่! ข้าผู้อาวุโสไม่เป็นศิษย์พี่ใหญ่ ส่วนอย่างอื่นจะเรียกอะไรก็ตามใจพวกเจ้า”


หลี่ไหวมึนงง “ถ้าอย่างนั้นก็เรียกเจ้าว่าศิษย์พี่น้อย? แต่ไม่ค่อยชินปากเท่าไหร่เลยนะ”


ดวงตาชุยตงซานเป็นประกาย “ศิษย์พี่น้อยดีสิ ทั้งเคารพผู้ใหญ่ ทั้งให้ความใกล้ชิดสนิทสนม วันหน้าพวกเจ้าก็เรียกข้าว่าศิษย์พี่น้อยแล้วกัน อวี๋ลู่ เซี่ยเซี่ย พวกเจ้าเองก็เหมือนกัน นับจากวันนี้ไปไม่ต้องเรียกว่าคุณชายแล้ว ห่างเหินกันเกินไป เรียกข้าว่าศิษย์พี่น้อยเหมือนพวกหลี่เป่าผิงก็แล้วกัน”


หลี่เป่าผิงแค่นเสียงเย็น “ข้าไม่ได้รับปากซะหน่อย!”


แม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงพุ่งตัวออกจากซุ้มประตูหิน หลี่ไหวตะโกนเรียก “หลี่เป่าผิง เรายังมีเรียนต่อนะ!”


“ลงโทษให้คัดบทความ เมื่อคืนข้าเขียนไว้เสร็จแล้ว จะกลัวอะไร! ข้าจะไปเดินเล่นแถวนี้ให้ทั่วคนเดียวก่อน วันหน้าจะได้พาอาจารย์อาน้อยไปเดินเล่นได้ถูก” หลี่เป่าผิงเชิดหน้าสูง วิ่งตะบึงตามนกพิราบกลุ่มหนึ่งที่บินอยู่กลางท้องนภาสีครามสดใสไปตลอดทาง เสียงนกพิราบร้องดังเดี๋ยวสูงเดี๋ยวต่ำ ก้องสะท้อนกังวานไปทั่วเมืองหลวงของต้าสุย


หลี่ไหวแผดเสียงตะโกนตามหลัง “งั้นก็พาข้าไปด้วยสิ”


หลี่เป่าผิงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เทียบกับเรือนกายเล็กบางของนางที่วิ่งห่างไปจากซุ้มประตูสำนักศึกษาแล้ว ความคิดของแม่นางน้อยยิ่งห่างไกลนับพันนับหมื่นลี้


……


เดินมาถึงภูเขาลูกหนึ่งริมชายแดนแคว้นหวงถิง เฉินผิงอันหยุดพักล้างหน้าที่ริมธารน้ำสายหนึ่งในภูเขา


ต่างจากเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่แบกหีบหนังสือของคนอื่น เด็กชายชุดเขียวพกวัตถุฟางชุ่นชิ้นหนึ่งที่ข้างในบรรจุของเล่นประหลาดไว้กองโต ตอนแรกเขาไม่คิดจะเอาออกมาโอ้อวดต่อหน้านายท่าน ตอนหลังติดใจหินดีงู คิดพะวงถึงทุกวันจึงเริ่มหยิบออกมา ขอร้องให้เฉินผิงอันเอาหินดีงูมาแลกกับสมบัติของเขา


ก็เหมือนกับตอนนี้ที่เด็กชายชุดเขียวหยิบขวดใบเล็กลักษณะเหมือนกันทุกใบออกมากองหนึ่ง นั่งยองอยู่ข้างเฉินผิงอัน อธิบายให้นายท่านของเขาฟังถึงความน่าสนใจของขวดเหล่านี้ เขาดึงฝาจุกของขวดสีเขียวอ่อนหนึ่งในนั้นออก เอียงขวดลงหาธารน้ำ เพียงไม่นานก็มีแสงจันทร์อ่อนโยนสาดส่องลงบนผืนน้ำประหนึ่งภาพฝันมายา


เด็กชายชุดเขียวหัวเราะร่าเริง “นายท่าน สวยไหมล่ะ นี่คือขวดแสงจันทร์ที่ผู้ฝึกตนชื่นชอบกันมาก นอกจากนี้ยังมีอีกมากมายอย่างเช่นขวดเมฆาเรือง ขวดแสงตะวัน ฯลฯ ซึ่งเป็นก้อนเมฆ แสงเรืองรอง แสงตะวัน แสงจันทรา ฯลฯ ที่ถูกเก็บมาจากห้าขุนเขาใหญ่โดยเฉพาะ ปราณวิญญาณที่ซุกซ่อนอยู่ข้างในนั้นมีไม่มาก แน่นอนว่าไม่อาจเทียบกับในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลที่มีปราณวิญญาณอุดมสมบูรณ์เปี่ยมล้นอีกทั้งยังต่อเนื่องยาวนาน ทว่ากลับชนะขาดลอยด้านความงดงามยามที่เทออกมาจากขวดเหล่านี้ นายท่านเห็นด้วยไหม?”


เฉินผิงอันตะลึงลานอยู่มากจริงๆ เมื่ออยู่ท่ามกลางผืนป่ารกทึบ แม้จะเป็นเวลากลางวันแดดจ้า บรรยากาศก็ยังมืดสลัว เวลานี้พอได้เห็นแสงจันทร์สาดส่องลงบนธารน้ำที่ไหลเอื่อยจึงทำให้เขารู้สึกว่าไม่มีเรื่องมหัศจรรย์ใดที่ไม่อาจปรากฎบนโลกใบนี้


เด็กชายชุดเขียวยังพูดจ้อไม่หยุด “ขวดเล็กๆ ใบเดียวเอามาแลกกับหินดีงูของนายท่านย่อมไม่เป็นธรรม ที่ข้ายังมีขวดอีกสามใบซึ่งมีชื่อเรียกเดียวกันว่าขวดเร่าเหลียง (ล้อมวนคานขื่อ) มาจากประโยคว่า ‘เสียงเพลงยังแว่วล้อมคานขื่อ สามวันคืนตราตรึงไม่จางหาย’ ในแต่ละขวดล้วนบรรจุเสียงแห่งธรรมชาติที่งดงามชนิดต่างๆ ในฟ้าดิน ยกตัวอย่างเช่นในขวดใบนี้เป็นเสียงกบร้อง ขวดนี้เป็นเสียงกระแสน้ำขึ้น ส่วนขวดใบนี้เป็นเสียงต้นสนบนยอดเขาสูง นายท่าน ท่านลองคิดดูสิ เวลานอนเปิดขวดใดขวดหนึ่งในนี้ ข้างหมอนมีเสียงน้ำไหล แสนจะสุขสบาย ท่านไม่หวั่นไหวเลยหรือ? ขวดที่มีค่าของข้าตั้งมากมายขนาดนี้ แลกกับหินดีงูของท่านแค่ก้อนเดียว! ก้อนเดียวเท่านั้น! ขอแค่นายท่านพยักหน้าตอบรับ ขวดเจ็ดแปดใบนี้จะเป็นของนายท่านทั้งหมดทันที ไม่ทำการแลกเปลี่ยนแบบนี้ ต้องถูกฟ้าผ่าตายแน่…”


เฉินผิงอันคิดคำนวณทรัพย์สมบัติของตัวเองที่อยู่ในเมืองเล็กในใจ พบว่าหินดีงูลักษณะดีเยี่ยมยังมีอีกไม่น้อยจึงพยักหน้ารับยิ้มๆ “ตกลง”


เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูที่อยู่ด้านข้างโบกมือเป็นพัลวันพลางส่งสายตาให้นายท่านของตัวเอง คิดจะห้ามไม่ให้เฉินผิงอันตอบรับการแลกเปลี่ยนครั้งนี้


เด็กชายชุดเขียวผลักขวดเล็กขวดน้อยทั้งหมดมาให้เฉินผิงอัน ดีใจกระโดดโลดเต้น ยื่นนิ้วสองนิ้วไปให้เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพู เอ่ยด้วยน้ำเสียงจองหอง “มากกว่าเจ้าหนึ่งก้อน ตอนนี้ขอบเขตสูงกว่าเจ้าหนึ่งขั้น พอไปถึงบ้านเกิดของนายท่าน กินก้อนหินเข้าไป ข้าผู้อาวุโสก็จะมีขอบเขตเหนือกว่าผู้หญิงหน้าโง่อย่างเจ้าสองขอบเขต ถึงเวลานั้นเจ้าก็ทำตัวให้รู้จักกาลเทศะด้วยล่ะ ไม่ต้องมาอยู่ข้างกายนายท่านแล้ว นายท่านมีข้าเป็นเด็กรับใช้คนเดียวก็พอ ไม่จำเป็นต้องมีเด็กรับใช้โง่ๆ อย่างเจ้า…”


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูมุ่ยปาก ย่นใบหน้าเล็กๆ สีขาวอมชมพูพาให้ลมฟ้าลมฝนพัดกระโชกแรง


เฉินผิงอันระอาใจ “หากเจ้ายังรังแกนางอีก ข้าจะเปลี่ยนใจ”


เด็กชายชุดเขียวรีบกระแอมหนึ่งทีแล้วพูดเป็นงานเป็นการกับนาง “วันหน้าเวลาดูแลอาหารการกิน ที่หลับที่นอนของนายท่านต้องตั้งใจให้มาก เข้าใจไหม? ยกตัวอย่างเช่นพอกินหินดีงูก้อนนั้นเข้าไปแล้วก็รีบจำแลงร่างเป็นหญิงสาวรูปร่างหน้าตางดงาม เมื่อนายท่านเลือดลมพลุ่งพล่านก็จะรู้สึกว่ากลางคืนยาวนาน เจ้าเองก็ต้องรู้จักเสนอตัวไปอุ่นเตียง…”


เฉินผิงอันเก็บขวดเล็กหายากที่ทำมาจากวัสดุแตกต่างกันเรียบร้อยแล้วก็หันมาเขกมะเหงกใส่ศีรษะของเด็กชายชุดเขียว “หยุดพูดเหลวไหลได้แล้ว”


เด็กชายชุดเขียวแสร้งทำท่าคารวะ “นายท่านสั่งสอนได้ถูกต้องแล้ว”


เฉินผิงอันนั่งยองกลับลงไปบนก้อนหินริมธารน้ำอีกครั้ง หยิบแผ่นแป้งมากัดกินแล้วถามชวนคุย “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้องราชามังกรคืออะไร?”


เด็กน้อยสองคนหน้าซีดขาวพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย เด็กชายชุดเขียวยิ่งตัวแข็งทื่อ อย่าว่าแต่เอ่ยคำพูดที่จะช่วยให้สถานการณ์คึกคัก แม้แต่ขยับตัวเดินเขายังทำไม่ได้เลย


 —–

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)