คัมภีร์วิถีเซียน 1719-1720
ตอนที่ 1719 รางวัล
เสียงแปลกประหลาดดังขึ้น!
จานทรงกลมระเบิดลำแสงสีทองเจิดจ้าออกมา ภายใต้ผลกระทบของพลังหลักการที่แข็งแกร่งมันบิดเบี้ยวเปลี่ยนรูป แล้วแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
คาดไม่ถึงว่าจานทรงกลมสีทองจะอ่อนแอเพียงนี้ กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในพริบตา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
กลางอากาศเหลือเพียงระลอกคลื่นจางๆ
ในเวลาเดียวกันที่สมบัติวิเศษพังทลาย ในห้องลับแห่งหนึ่งกลางส่วนลึกของมหาสมุทรแดนวิญญาณ เงาร่างคนสูงผอมคนหนึ่งนั่งสมาธิอยู่บนพื้นไม่ขยับเขยื้อน ฉับพลันนั้นพลันเงยหน้าขึ้น ดวงตากลวงโบ๋มีเปลวเพลิงสีเขียวสองลูกปรากฏอยู่ในนั้น
สะท้อนใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน!
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นใบหน้าโครงกระดูกสีขาวโพลน เปลวเพลิงสีเขียวสองลูกเปล่งแสงสว่างวาบในเบ้าตาไม่หยุด เผยความแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่งออกมา
ตรงหน้าโครงกระดูกไม่ไกลนัก มีตะเกียงโบราณสีเขียวสูงสองสามฉื่อสิบสองดวงวางอยู่ ด้านมีเปลวเพลิงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบขนาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากัน
ใหญ่หน่อยก็มีขนาดเท่าไข่ไก่ เล็กน้อยก็มีขนาดเท่าหัวแม่มือ
แววตาของหัวกะโหลกฉายแววตกตะลึงระคนสงสัยออกมา เอียงศีรษะขบคิดเล็กน้อย ถึงได้ดูเหมือนจะนึกอันใดได้ พลันอ้าปากออกพ่นลำแสงสีเงินออกมา
ในลำแสงสีเงินจานทรงกลมสีเงินขนาดเท่าฝ่ามือปรากฏขึ้นในนั้น นอกจากขนาดและสีสันที่ไม่เหมือนกันแล้ว รูปร่างภายนอกก็เหมือนกับจานทรงกลมสีทองที่ถูกทำลายในแดนกว้างเย็นทุกระเบียบนิ้ว
ทว่าจานทรงกลมสีเงินในยามนี้มีรอยแตกเป็นซี่เล็กๆ เต็มไปหมด และถูกพ่นออกมาในพริบตา เปล่งเสียงกรีดร้องโหยหวนแล้วสลายหายไป
หัวกะโหลกลึกลับเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ แววตาพลันส่งเสียง “สวบ” เพลิงสีเขียวขยายใหญ่ขึ้นสองสามเท่า ขนมีขนาดเท่ากำปั้น
เมื่อเสียงคำรามดังออกมาจากปากของหัวกะโหลก เสียงคำรามก็เต็มไปด้วยความตกตะลึงและโกรธขึ้งเป็นอย่างยิ่ง!
หัวกะโหลกยืนขึ้น ภายใต้ความโกรธเกรี้ยว แขนโครงกระดูกพลันตะปบไปกลางอากาศอีกด้าน
ชั่วขณะนั้นระลอกคลื่นพลันปรากฏขึ้น กรงเล็บยักษ์สีดำสนิทข้างหนึ่งปรากฏออกมา และตะปบไปทางกำแพงด้านข้าง
เสียง “ตูม” ดังสนั่นขึ้น กำแพงหนาๆ ด้านหนึ่งของห้องลับถูกกรงเล็บยักษ์ตะปบจนแหลกละเอียด
ส่วนโครงกระดูกก็ดูเหมือนว่าจะยังไม่ได้ระบายความโกรธแค้นในจิตใจออกไป อ้าปากไปทางกำแพงอีกด้าน ชั่วขณะนั้นลำแสงสีดำพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ดูเหมือนว่าจะพ่นอันใดออกมา
แต่ในยามนั้นเองแววตาของมันพลันเปล่งประกาย กวาดสายตาไปบนตะเกียงโบราณที่มีเปลวไฟสีเขียวทั้งสิบสองดวง
แววตาของมันเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ สุดท้ายแล้วก็ยังค่อยๆ หลับตาลง คาดไม่ถึงว่าจะเยือกเย็นขึ้นไม่น้อย
ปากของหัวกะโหลกมีเขี้ยวแหลมงอกออกมา หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ถึงได้แค่นเสียงหึออกมา แล้วนั่งสมาธิลงอีกครั้ง
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ในห้องลับก็ไม่มีสุ้มเสียงใดๆ อีก
เปลวเพลิงสีเขียวอ่อนบนตะเกียงโบราณทั้งสิบสองดวงเปล่งแสงสว่างวาบ สะท้อนที่นั่นจนเดี๋ยวสว่างไสวเดี๋ยวมืดสลัว
……
กระบี่สวรรค์ทมิฬเปล่งแสงสีเขียวมรกตสว่างวาบ ใบมีดกระบี่เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป กลับคืนเป็นกระบองไม้เช่นกัน
จากนั้นกระบี่เล่มนี้ก็เปล่งเสียงร้องอันไพเราะออกมา กลายเป็นลำแสงสีเหลืองกลุ่มหนึ่ง ลอยมายังแขนของหานลี่ ชั่วขณะนั้นตราประทับสีเหลืองอ่อน ก็ปรากฏขึ้นบนแขนอีกครั้ง
กระบี่สวรรค์ทมิฬถูกผนึกอีกครั้ง!
หานลี่มองตราประทับบนแขน สีหน้าทั้งตกตะลึงระคนดีใจสลับกันไปมา
เขาพ่นลมหายใจยาวๆ ออกมา เคลื่อนไหวร่างกาย หมายจะยืนขึ้นจากหลุม
ชั่วพริบตาที่จานทรงกลมสีทองถูกทำลาย ความเจ็บปวดในร่างกายก็มลายหายไป นี่จึงทำให้เขารู้สึกหนีรอดจากความตายมาได้
แต่เห็นได้ชัดว่าหานลี่ดีใจเร็วเกินไป เมื่อยืนขึ้น ยังไม่ทันเคลื่อนไหวใดๆ สองขาก็อ่อนแรง เสียง “ตูม” ดังขึ้นล้มลงไปกองกับพื้นอีกครั้ง
จากนั้นก็รู้สึกชาไปทั่วร่าง ส่วนต่างๆ ของร่างกายไร้ซึ่งความรู้สึก
หานลี่พลันตกตะลึง รีบร้อนกวาดจิตสัมผัสไปทั่วเรือนร่าง
ผลคือพลันหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา!
แม้ว่าเขาในยามนี้จะอยู่ในระดับยอดสุดของระดับหลอมสุญตาขั้นปลาย แต่ในร่างกายกลับว่างเปล่า คาดไม่ถึงว่าจะไม่มีพลังปราณเลยสักนิด
เห็นได้ชัดว่าการสับลงมาของกระบี่สวรรค์ทมิฬเมื่อครู่ เป็นสิ่งที่มีอานุภาพไม่อาจต้านทานได้ แต่ก็ดูดพลังปราณในร่างกายของเขาไปจนไม่เหลือ นี่คือสถานการณ์ที่พลังลึกลับถูกดูดไปจนเกลี้ยงเช่นกัน มิเช่นนั้นเทวรูปร่างทองคงไม่อยู่ข้างกายเขา และไม่อาจกระตุ้นกระบี่สวรรค์ทมิฬให้มีพลังสับลงมาได้
ยามนี้เขาแค่พลังปราณหมดสิ้น ไม่มีสูญเสียเลือดเนื้อหรือปราณแท้ไป และไม่ได้ทำให้ระดับของพลังยุทธ์ลดลง ก็นับว่าโชคดีแล้ว
ทว่าเป็นเพราะจุดชีพจรต่างๆ ในร่างกายถูกพลังลึกลับถมจนเต็ม และเสียหายไปอย่างไม่รู้ตัว ยามนี้กำลังและพลังปราณจึงว่างเปล่า ผลข้างเคียงต่อมาย่อมกำเริบขึ้น
ทว่าหานลี่กลับไม่ได้กังวลใจอันใด จากพลังการฟื้นฟูกายเนื้อที่แข็งแกร่งของเขา หลังจากผ่านไปชั่วครู่ก็สามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้แล้ว กลับเป็นการสูญเสียพลังปราณจำนวนมหาศาลนี้ที่ต้องใช้ระยะเวลาในการฟื้นฟู
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรอารมณ์ของเขาในยามนี้ย่อมไม่ได้ดีใจเลย
แม้เขาจะมั่นใจว่าเขาไม่เหมือนกับผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นๆ หากกินยาลูกกลอนเสริมอย่างยาลูกกลอนมังกรต่างๆ เข้าไป การพัฒนาขึ้นมาอยู่ในระดับหลอมสุญตาขั้นปลายก็เป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นในอีกไม่ช้าก็เร็ว แต่ยามนี้หากจะพัฒนาระดับเปล่าๆ คงต้องใช้เวลาฝึกบำเพ็ญเพียรอย่างหนักอย่างน้อยห้าหกร้อยปีหรือแม้กระทั่งพันปี นี่เป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมสุดๆ
เทียบกับเรื่องนี้ปัญหาแค่นี้จึงไม่เพียงพอให้เป็นปัญหาอันใด
หานลี่ขบคิดในใจเช่นนั้น มุมปากพลันเผยรอยยิ้มออกมา กลอกตาไป กลับกวาดไปยังใจกลางของแท่นสูง
ร่างทองสามเศียรหกกรพลันปรากฏขึ้นกลางอากาศ นั่งขัดสมาธิลงเช่นกัน ดวงตาทั้งหกปิดสนิท
จากความสัมพันธ์ทางจิตสัมผัสของทารกวิญญาณหลักและทารกวิญญาณที่สอง เขาในยามนี้ย่อมรู้ว่าทารกวิญญาณที่สองปลอดภัย แต่แค่การที่พลังยุทธ์เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดนี้ กำลังพยายามทำให้ระดับในปัจจุบันมั่นคงอย่างสุดชีพชีวิต มิเช่นนั้นหากไม่กลัวก็อาจจะทำให้ตกลงมาสักระดับสองระดับ
นี่คือในสถานการณ์ที่ร่างของหานลี่อยู่ในระดับผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตา มิเช่นนั้นหากทารกวิญญาณที่สองฝึกฝนอย่างหนักเพียงลำพัง การก้าวข้ามระดับที่มากขนาดนี้ แค่การถูกมารแว้งกัดจากการที่ระดับแตกต่างกันมาก ก็ทำให้ทารกวิญญาณที่สองคลุ้มคลั่งจนจบชีวิตลงได้แล้ว
แต่เช่นนั้นภายในระยะเวลาสั้นๆ ทารกวิญญาณที่สองก็อย่าคิดไปต่อสู้กับผู้ใดเลย
หากไม่นั่งสมาธิฝึกฝนสักสิบกว่าปี จิตมารก็อาจจะปรากฏได้ตลอดเวลา ทำให้ระดับของเขาไม่มั่นคง
ทว่าสิ่งที่ทำให้หานลี่ส่งเสียงจุ๊ๆ ว่าสุดยอดกลับเป็นร่างทองของพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์ในยามนี้
ร่างทองนี้ผ่านการหลอมด้วยพลังลึกลับมาหลายครั้ง ยามนี้ผิวของมันมีอักขระสีม่วงทองปรากฏขึ้นเต็มไปหมด กลิ่นอายที่แผ่ออกมาก็แข็งแกร่งกว่าเดิมหลายเท่า
เดิมร่างทองพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว หากอานุภาพที่แท้จริงยังเพิ่มได้อีกเท่าหนึ่ง ระดับความน่ากลัวแค่ไหนไม่ต้องคิดก็รู้แล้ว
สำหรับหานลี่ แน่นอนว่าย่อมเป็นเรื่องดีที่คาดไม่ถึง
แม้ว่าหานลี่จะเหนื่อยล้าแต่ก็ยังคงรักษาสีหน้าเยือกเย็นเอาไว้ได้ แต่มุมปากกลับเผยรอยยิ้มน้อยๆ ออกมา แน่นอนว่าย่อมไม่อาจปกปิดอันใด
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ร่างของหานลี่พลันเคลื่อนไหว นั่งตัวตรง แล้วนั่งขัดสมาธิลงอีกครั้ง
ชีพจรต่างๆ ของเขาที่ได้รับบาดเจ็บ ยามนี้ฟื้นฟูกลับมากว่าครึ่งแล้ว
มือหนึ่งพลิกฝ่ามือ ขวดยาหลากสีสันสองสามขวดปรากฏขึ้นในมือ เทยาลูกกลอนกลิ่นหอมหวานออกมาจากด้านใน ปากก็กลืนลงไปทั้งหมด
ภายใต้การเอามือทั้งสองมาบีบกัน ขวดยาพลันสลายหายไป กลับมีผลึกศิลาสีเขียวมรกตสองก้อนปรากฏขึ้นแทน
หานลี่เปรียบเทียบโดยไม่ปริปาก เริ่มอาศัยพลังของยาลูกกลอน ดูดซับไอวิญญาณบริสุทธิ์ของศิลาวิญญาณระดับสุดยอดในมือ
จะว่าไปแล้วก็น่าขันนัก
ก่อนหน้านี้ไม่นาน หานลี่แทบอยากจะกำจัดพลังวิญญาณทั้งหมดที่มีเพราะพลังปราณในร่างมากเกินไป ยามนี้พลังปราณในร่างหมดแล้ว ก็จำใจต้องค่อยๆ ดูดซับทีละนิดๆ
สถานการณ์ที่ไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้เช่นนี้ ย่อมทำให้หานลี่รู้สึกหมดคำพูด
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาก็ผ่านมาแล้วครึ่งวัน
ดวงตาที่หลับทั้งสองข้างของหานลี่เบิกโพลงขึ้น ด้านในเปล่งแสงสว่างวาบ ดูเหมือนว่าพลังปราณจะฟื้นฟูกลับมาแล้ว
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ค่อยๆ ยืนขึ้น
เพราะว่าเขาข้ามระดับมาสองขั้น พลังปราณที่บรรจุอยู่ภายในร่างก็มากกว่าแต่ก่อน ไอวิญญาณที่นี่เข้มข้นมากกว่าแดนนอก ประกอบกับมีสมุนไพรวิญญาณและศิลาวิญญาณช่วยเหลือ เวลายาวนานเช่นนี้ คาดไม่ถึงว่าจะฟื้นฟูพลังปราณได้สองในสิบส่วนเท่านั้น
แน่นอนว่าสิ่งที่เรียกว่าหนึ่งส่วน ก็เพียงพอจะเทียบกับพลังปราณครึ่งหนึ่งตอนที่เขายังไม่พัฒนาระดับแล้ว
ทว่ายามนี้หานลี่ย่อมไม่อาจนั่งสมาธิได้สองสามวันจริงๆ การเสียเวลาไปขนาดนั้นก็รู้สึกว่ามีพลังป้องกันตัวเองแล้ว ถึงได้เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง
เขากลับไม่ได้เดินออกจากประตูในทันที แต่สาวเท้าไปยังใจกลางของแท่นหิน
แม้ว่าสมบัติที่สำคัญที่สุดของที่นี่ อย่างจานทรงกลมสีทองจะถูกทำลาย แต่นอกจากนี้สมบัติอื่นๆ ที่เหลืออยู่ ก็ทำให้เขาสนใจ แล้วคิดจะเก็บกลับไป
แน่นอนว่าเก้าอี้สีเขียวมรกตตรงหน้าย่อมเป็นหนึ่งในนั้น
เมื่อครู่ยามที่เก้าอี้ตัวนี้ประสานกับจานทรงกลมสีทองกลางอากาศปล่อยพลังวิญญาณออกมา อักขระยันต์เปล่งแสงสว่างวาบ เห็นได้ชัดว่ามันลึกลับมาก จะต้องมีประวัติความเป็นมาแน่
หานลี่สะบัดแขนเสื้อ ชั่วขณะนั้นหมอกสีเขียวก็ม้วนวนมา เก้าอี้วิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป
หลังจากกวาดสายตาไปรอบด้าน เขาก็ขยับร่างกาย มาปรากฏตัวอยู่หน้าหุ่นเชิดนักรบชุดเกราะตัวหนึ่ง
เทียบกับเก้าอี้วิญญาณตัวนั้น หานลี่รู้สึกสนใจหุ่นเชิดเหล่านี้ยิ่งกว่า
ยามนี้หุ่นเชิดเหล่านี้หายวับไป จานทรงกลมสีทองก็กลับมาอยู่ในสภาพเดิม แล้วกลายเป็นของตายอีกครั้ง
แต่หานลี่กลับไม่กล้าดูถูกมันเลยสักนิด
ก่อนหน้ายามที่หุ่นเชิดนักรบชุดเกราะเหล่านี้ถูกกระตุ้น ปล่อยพลังแรงกดออกมา ทุกตัวก็แทบจะอยู่ในระดับผสานอินทรีย์ หากเขาควบคุมหุ่นเชิดนักรบเกราะเหล่านี้ได้ จะได้รับประโยชน์แค่ไหนแค่คิดก็รู้แล้ว
เมื่อขบคิดเช่นนั้น เขาก็ใช้จิตสัมผัสสอดแทรกเข้าไปในหุ่นเชิดตรงหน้า
แต่หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หานลี่ก็หน้าเปลี่ยนสีเป็นแปลกประหลาด
คาดไม่ถึงว่าโครงสร้างของหุ่นเชิดเหล่านี้จะหยาบเป็นอย่างยิ่ง แต่สิ่งที่ทำให้หานลี่ไม่เข้าใจก็คือ แกนของหุ่นเชิดเหล่านี้ฝังศิลาวิญญาณที่ไม่ธรรมดาอยู่ เป็นศิลาประหลาดสีแดงโลหิตที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน
ไม่รู้ว่าศิลาประหลาดเหล่านี้คือสิ่งใด ผิวของมันเรียบลื่นดุจกระจก แต่เส้นไหมบางๆ สีทองจำนวนนับไม่ถ้วน พลันเปล่งแสงสว่างวาบไม่หยุด ลำแสงมืดมนเป็นอย่างยิ่ง ราวกับจะมอดดับได้ตลอดเวลา
เห็นได้ชัดว่าการเคลื่อนไหวของหุ่นเชิดก่อนหน้า เป็นการใช้อานุภาพของศิลาประหลาดไปกว่าครึ่งแล้ว หากเคลื่อนไหวเต็มอัตรา หุ่นเชิดนี้ก็คงเหลือการโจมตีอีกครั้งสองครั้ง
หานลี่ขมวดคิ้วอยู่ชั่วครู่ แต่สุดท้ายก็สะบัดแขนเสื้อ ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ คิดจะเก็บหุ่นเชิดนี้เช่นกัน
ตอนที่ 1720 พังทลาย
แต่ฉากที่ทำให้หานลี่ตกใจจนสะดุ้งโหยงพลันปรากฏขึ้น
ในเวลาเดียวกันที่ลำแสงสีเขียวห่อหุ้มหุ่นเชิดตรงหน้า หุ่นเชิดพลันเปล่งแสงเจิดจ้า แผ่กลิ่นอายอันตรายออกมา
คาดไม่ถึงว่าแค่กลิ่นอายนี้ จะบีบให้ลำแสงสีเขียวแตกกระจายออกไป
หานลี่พลันตกตะลึง ร่างกายพลิ้วไหวอย่างไม่ต้องขบคิด เงาที่ไม่สมบูรณ์พุ่งออกไป
หลังจากกะพริบวาบสองสามครั้ง เขาก็มาปรากฏตัวด้านนอกแท่นสูง
ชั่วพริบตานั้นหุ่นเชิดทั้งเก้าก็โบกสะบัดขวานสีเงินในมือพร้อมกัน ลำแสงสีเงินที่น่าตกตะลึงสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบแล้วพ่นออกมา คาดไม่ถึงว่าจะแยกกันสับไปยังหุ่นเชิดอีกตัวหนึ่งที่อยู่ใกล้ตนที่สุด
หลังจากเสียงอึกทึกดังขึ้นสองสามครั้ง หุ่นเชิดทั้งเก้าตัวก็ถูกสับออกเป็นสองส่วนในเวลาเดียวกัน และทยอยกันล้มลงแล้วระเบิดตัวออก
บนแท่นสูงเต็มไปด้วยเศษซากการระเบิดของหุ่นเชิด หุ่นเชิดทั้งเก้าตัวสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
หานลี่มองดูทุกอย่างแน่นอนว่าย่อมรู้สึกเสียดาย สายตากวาดไปบนเศษซากของหุ่นเชิด ครุ่นคิดเล็กน้อย ลำแสงหลีกหนีเคลื่อนไหวล้อมรอบแท่นสูงอย่างรวดเร็วรอบหนึ่ง
ภายใต้หมอกลำแสงที่หมุนวน หุ่นเชิดทั้งหมดบนแท่นถูกกวาดไปจนเกลี้ยง
ลำแสงหลีกหนีบนแท่นสูงหม่นแสงลงแล้วปรากฏขึ้นอีกครั้ง
แม้ว่าหุ่นเชิดเหล่านี้จะถูกหลอมขึ้นอย่างหยาบๆ แต่วัตถุดิบทั้งหมดที่ใช้กลับเป็นของที่ไม่เคยเห็นมาก่อน หานลี่จึงตัดสินใจเก็บเอาไว้ศึกษาหรือไม่ก็เอาไว้ใช้ประโยชน์ภายหลัง
แต่หลังจากที่ทำทุกอย่างเสร็จแล้ว ก็ก้มหน้าลงมองด้านล่าง
บนแท่นสูงนั้นว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดอีก แต่ภาพวาดดวงดารายักษ์บนแท่นกลับยังคงไม่เป็นอันใด
เคล็ดวิชาลวงตาบนรูปภาพนี้ร้ายกาจมาก หานลี่ประสบมากับตาตัวเองแล้ว แม้ว่ายามนี้พลังยุทธ์จะเพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่กล้ามองนานนัก
หลังจากที่เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง ก็พลิกฝ่ามือ ฉับพลันนั้นม้วนคัมภีร์สีขาวก็ปรากฏขึ้น
สะบัดแขนเสื้อแล้วโยนไปด้านล่าง
ม้วนคัมภีร์กลายเป็นลำแสงสีขาวร่อนลงไปด้านล่าง แต่เมื่ออยู่ห่างจากแท่นสูงไปสิบกว่าจั้ง ก็หยุดชะงักแล้วลอยต่ำอยู่อย่างนั้น
หานลี่ใช้มือหนึ่งร่ายอาคม ปากก็บริกรรมคาถา และชี้ไปด้านล่าง
เสียง “ปัง” ดังขึ้น
กรงล้อกางออกอีกครั้ง เผยภาพวาดว่างเปล่าขนาดสองสามฉื่อออกมา
จากนั้นม้วนภาพวาดก็เปล่งเสียงบริกรรมคาถาแล้วขยายใหญ่ขึ้น ชั่วครู่ก็มีขนาดเท่าแท่นหิน ราวกับมีม้าสีขาวลอยอยู่กลางอากาศ
หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา ปากที่บริกรรมคาถาพลันหยุดชะงัก นิ้วทั้งสิบร่ายคาถาไปด้านล่าง
ชั่วขณะนั้นพลันร่ายอาคมออกไปเป็นสายๆ กะพริบวาบแล้วจมหายเข้าไปในม้วนภาพวาดว่างเปล่าอย่างไร้ร่องรอย
อาชาสีขาวเปล่งแสงหลากสีสันออกมา และค่อยๆ ร่อนลงมาด้านล่าง ยามนั้นก็ปกคลุมแท่นศิลาเอาไว้
ภายใต้การร่ายคาถากระตุ้นกลางอากาศ ม้วนภาพวาดที่ว่างเปล่าก็หมุนวนไปมาไม่หยุด เผยท่าทีงดงามออกมา ดูลึกลับเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งถ้วยน้ำชา หมอกลำแสงถึงได้ค่อยๆ สลายหายไปจากม้วนภาพวาด สุดท้ายก็หายวับไป
แต่สีขาวหิมะเดิมพลันเปลี่ยนเป็นห้าสี
หานลี่ใช้มือหนึ่งกวักออกไปโดยไม่ปริปาก
ม้วนภาพวาดเปล่งแสงสว่างวาบแล้วบินขึ้นไปจากแท่น แล้วหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว
ชั่วพริบตาก็มีขนาดสองสามฉื่อเท่าเดิม
บนภาพวาดที่ว่างเปล่ามีรูปภาพขนาดจิ๋วที่เหมือนกับด้านล่างทุกระเบียบนิ้วปรากฏขึ้น
คาดไม่ถึงว่าหานลี่จะใช้เคล็ดวิชาลับถูตราประทับดวงดาราบนแท่นหิน
ม้วนภาพวาดหมุนวน กลายเป็นม้วนภาพวาดที่แผ่ลำแสงห้าสีออกมา มันสั่นเทาแล้วพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ
เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในแขนเสื้อของหานลี่
เมื่อมีภาพวาดดวงดาราที่คัดลอกมา เขาก็มั่นใจว่าจะศึกษาพวกมันได้ สิ่งที่ไม่ดีก็คือความรู้ในเคล็ดวิชาลวงตาของเขา มันจะช่วยได้เป็นอย่างมาก
เช่นนั้นที่นี่ก็นับว่าไม่มีของมีค่าใดๆ แล้ว
แต่หานลี่ก็ยังคงตรวจสอบอย่างละเอียดอีกรอบหนึ่ง เมื่อมั่นใจว่าไม่มีอันใดซ่อนอยู่แล้ว ก็ถอนหายใจออกมายาวๆ เฮือกหนึ่ง กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพุ่งออกไปด้านนอก
เขาอยู่ในห้วงมิติเวลามาเกือบหนึ่งวัน แน่นอนว่าย่อมไม่ยอมอยู่ที่นี่ต่ออีก
เสียง “ตูม” ดังสนั่นขึ้น
ฉากกั้นขนาดยักษ์ในตำหนัก พลันปริแตก ลำแสงสีดำขนาดสองสามจั้งปรากฏขึ้นบนฉากกั้น และยิ่งไปกว่านั้นยังหมุนวนเร็วขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นระลอกคลื่นขนาดเล็ก
เสียงแหวกอากาศพลันดังขึ้น สายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพุ่งออกมาจากระลอกคลื่น หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง ในตำหนักก็มีเงาร่างของหานลี่ปรากฏขึ้น
เขาหันหน้ากลับไปมองฉากกั้นแวบหนึ่ง หว่างคิ้วมีเนตรสีดำสนิทที่สามปรากฏขึ้น มันกำลังหลับตาสนิท แล้วเปล่งแสงสว่างวาบพลางหายวับไป
“น่าเสียดายสมบัติชิ้นนี้ถูกคนอื่นหลอมไปแล้ว ไม่ใช่สิ่งที่คนนอกจะเก็บไปได้ มิเช่นนั้นหากได้สมบัติชิ้นนี้ล่ะก็ ก็คงมีประโยชน์มาก” หานลี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเสียดายเล็กๆ สายตากวาดมองไปรอบๆ
ไม่เกินที่คาดไว้ หลิวสุ่ยเอ๋อร์และพวกทั้งสองไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว
เขามีสีหน้าเย็นชาแต่กลับไม่ได้เผยสีหน้าร้อนใจอันใดออกมา แต่เมื่อครุ่นคิดเล็กน้อย ก็สาวเท้าเดินออกมาจากนอกวิหาร
เขาอยู่ในวิหารเขาพระสุเมรุนานขนาดนี้ คิดดูแล้วจุดต่างๆ ในวิหารคงถูกทั้งสองสำรวจหมดแล้ว ยามนี้ไปหาทั้งสองก็ไม่ได้มีเจตนาอื่น แค่อยากไปจากที่นี่เร็วหน่อยเท่านั้น จากนั้นค่อยหาที่นั่งสมาธิอย่างสงบสักสองสามวัน ฟื้นฟูพลังปราณของตนก่อนแล้วค่อยว่ากัน
แต่หานลี่เพิ่งจะเดินออกมาจากตำหนัก ขณะที่กำลังคิดจะเปล่งเสียงร้องยาวๆ ติดต่อกับหลิวสุ่ยเอ๋อร์และพวกทั้งสอง พื้นดินพลันมีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น จากนั้นก็สั่นสะเทือนราวกับฟ้าถล่มดินทลาย
หานลี่พลันตกตะลึง แต่ไม่รอให้ค้นหาอันใด กลางอากาศก็มืดมน เมฆสีดำสนิทปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ปกคลุมท้องฟ้ากว่าครึ่งเอาไว้
สายฟ้าในเมฆหมอกเปล่งเสียงฟ้าผ่าดังสนั่น!
พายุหมุนสีเทาเป็นสายๆ ราวกับมังกรวารีพุ่งออกมาจากพื้นดิน จมหายเข้าไปในเมฆสีดำสนิท
มองจากไกลๆ ราวกับท้องฟ้ามีเสายักษ์สูงค้ำฟ้าเพิ่มขึ้นมาสองสามต้น ดูโอ่อ่าสง่างามยิ่งนัก
หานลี่หน้าเปลี่ยนสีเป็นดูไม่ได้
ยามนี้ไม่ต้องตรวจสอบอันใด ก็สัมผัสได้ถึงพลังปราณฟ้าดินที่ก่อตัวขึ้น พลังแรงกดต่างๆ ทอตัวทั่วท้องฟ้า
สิ่งที่ทำให้หานลี่ตกตะลึงยิ่งกว่าก็คือ บรรยากาศรอบๆ มีระลอกคลื่นเขตอาคมจำนวนมากปรากฏออกมา เดี๋ยวแข็งแกร่งเดี๋ยวอ่อนแอ ไม่มั่นคงเลยสักนิด
นั่นก็คือสัญญาณที่เขตอาคมต้องห้ามของที่จะถูกสูญเสียการควบคุม
หานลี่ไม่ทันได้ขบคิด ผิวพลันเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ ลอยขึ้นไปกลางอากาศ บินสูงจากพื้นดินไปห้าหกจั้ง แล้วถึงได้หยุดชะงักอยู่ตรงนั้น
แม้ว่าพลังของเขตอาคมห้ามเหาะเหินจะไม่ได้สูญเสียไปทั้งหมด แต่พลังเขตอาคมก็มีไม่ถึงครึ่งเท่านั้น
หากเป็นเช่นนั้นหากเหาะเหินต่ำๆ ก็ไม่มีปัญหาอันใด
ในยามนั้นพื้นดินพลันสั่นเทาอย่างรุนแรง แม้แต่ด้านหลังวิหารหลักก็เริ่มเปล่งแสงสีม่วงออกมา ฉับพลันนั้นก็เปล่งแสงสว่างวาบไม่หยุด
กลางหอคอยในวิหารหลัก ลำแสงสีเหลืองสายหนึ่งพุ่งขึ้นไปยอดหลังคา เปล่งเสียงร้องยาวๆ แล้วพุ่งไปทางหน้าวิหาร
แทบจะในเวลาเดียวกันนั้น ในวิหารข้างด้านข้างวิหารหลักก็มีลำแสงสีขาวเปล่งแสงสว่างวาบแล้วพุ่งออกมาทางเดียวกัน
นั่นก็คือหลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุน
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทั้งสองคงไม่ได้คิดถึงความเปลี่ยนแปลงนี้มาก่อน ใบหน้าพลันเผยแววหวาดกลัวออกมา
หางตาของหานลี่กระตุก ไม่ได้ลังเลใดๆ อีก
ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ กลายเป็นสายรุ้งสายหนึ่งพุ่งแฉลบผ่านด้านหน้าวิหารหลักไป กะพริบวาบๆ สองสามครั้ง ก็มาอยู่ตรงทางเดินภูเขาด้านนอกประตูวิหาร จากนั้นก็แทบจะพุ่งลงไปด้านล่างทันที
เดิมเขายังกังวลว่าทางเดินบนภูเขาจะยังมีแรงดูดอยู่ เพื่อไม่ให้ลงจากภูเขา
แต่หลังจากที่บินไปได้สิบกว่าจั้ง ก็วางใจแล้ว
ไม่รู้เพราะความเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศ หรือว่าเขตอาคมบนทางเดินภูเขามีผลแค่การขึ้นภูเขา คาดไม่ถึงว่าจะไม่ได้ขัดขวางลำแสงหลีกหนีเลยสักนิด ยามนั้นสายรุ้งสีเขียวพลันเปล่งแสงสว่างวาบ กะพริบสองสามครั้งก็ลงมาถึงตีนเขา
พอเท้าแตะพื้นลำแสงหลีกหนีของสือคุนและหลิวสุ่ยเอ๋อร์ก็มาอยู่ด้านข้างหานลี่
“นี่มันเรื่องอันใดกัน? เหตุใดห้วงเวลาที่นี่จะพังทลาย ข้ายังมีสมบัติสำคัญที่เกือบจะได้มาแล้ว” สือคุนปรากฏกายขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะคำรามด้วยเสียงทุ้มต่ำอย่างโกรธเกรี้ยว
“หึ จะไม่ใช่เจ้าได้อย่างไร ข้าเพิ่งจะทลายเขตอาคมในห้องลับได้ กำลังจะเข้าไปข้างใน” หลิวสุ่ยเอ๋อร์เองก็เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
แม้ว่าทั้งสองคนจะไม่มั่นใจคำพูดของผู้ใด แต่สายตากลับจ้องเขม็งไปยังหานลี่อย่างอดไม่ได้
“อันใด หรือว่าสหายทั้งสองคิดว่าเกี่ยวข้องกับผู้แซ่หาน ข้าเองก็เพิ่งออกมาจากเขตต้องห้ามมิติเวลา จะทำเรื่องนี้เช่นนี้ได้อย่างไร” หานลี่มีสีหน้าเคร่งขรึม แน่นอนว่าย่อมไม่ยอมเป็นแพะรับบาป
“แต่ว่า…”
“มีอันใดออกไปค่อยคุยกัน หากยังไม่หนี แล้วห้วงเวลาพังทลาย พวกเราจะตายโดยไม่มีแม้แต่หลุมฝังศพ”
สือคุนยังคิดจะเอ่ยอันใด แต่กลับถูกหลิวสุ่ยเอ๋อร์ชิงตัดบทล่วงหน้าไปก่อน
เมื่อได้ยินคำนี้สือคุนก็หุบปาก หานลี่ย่อมไม่เอ่ยอันใดอีก
ทั้งสามคนบินขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกครั้ง ลำแสงหลีกหนีผสานกัน ความเร็วเพิ่มขึ้นหลายเท่า
แค่สองสามอึดใจ ทั้งสามคนก็มาถึงเขตอาคมส่งตัวบนแท่นหินที่อยู่ไม่ไกลนัก
ร่างของทั้งสามคนพลิ้วไหว แล้วเดินเข้าไปในเขตอาคมส่งตัวพร้อมกัน
หานลี่พลันชูมือขึ้น อาคมสายหนึ่งโจมตีไปยังขอบของเขตอาคม
เขตอาคมเปล่งเสียงหึ่งๆ ออกมา ลำแสงสีขาวเปล่งแสงสว่างวาบ
เงาร่างของหานลี่และพวกทั้งสามเปล่งประกาย ชั่วขณะนั้นพลันถูกลำแสงสีขาวห่อหุ้มเอาไว้
เมื่อเสียงกรีดร้องหายไป ลำแสงหม่นแสงลง เขตอาคมส่งตัวก็ว่างเปล่า
……
สายรุ้งสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ หลังจากที่หมุนวนโคจรอยู่สูงไปสองสามพันจั้ง ร่างของหานลี่ก็ปรากฏตัวออกมา
หลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนเองก็ปรากฏตัวห่างออกไปสิบกว่าจั้งเช่นกัน
ทั้งสามคนไม่ปริปาก แววตาเปล่งประกายจ้องเขม็งไปยังหลุมลำแสงขนาดยักษ์ด้านล่าง
ในหลุมมีหมอกลำแสงหลากสีสันเปล่งแสงสว่างวาบไม่หยุด เสียงกรีดร้องดังขึ้นไม่ขาดสาย และยิ่งไปกว่านั้นขอบยังมีลำแสงวิญญาณกะพริบวาบๆ ดิ้นไปดิ้นมา ราวกับว่าจะพ่นภูเขาไฟออกมาอย่างไรอย่างนั้น
“ไป! อยู่ที่นี่นานไม่ได้ ด้านล่างจะพังทลายแล้ว หากถูกม้วนเข้าไปในระลอกคลื่นห้วงเวลา จะอันตรายมากเช่นกัน” หานลี่เอ่ยด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก และไม่สนใจการกระทำของหลิวสุ่ยเอ๋อร์และพวกทั้งสอง หันกายบินแหวกอากาศไป
สือคุนและพวกทั้งสองมองสบตากันแวบหนึ่ง สีหน้าเคร่งขรึม กลายเป็นลำแสงหลีกหนีโดยไม่ได้ปริปาก ไล่ตามหานลี่มาติดๆ
จากความเร็วของทั้งสามคน ชั่วครู่ก็บินออกมาสองสามพันลี้
และในยามนั้นเองเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นก็ดังมาจากด้านหลังไกลๆ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น