ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 1718-1725
ตอนที่ 1718 ตาไม่มีแวว
หลินฮั่นเหวินได้รับสายจากเหมยเหมยก็รีบวิ่งแจ้นมาหาทั้งยังพาภรรยาของเขามาด้วย ซึ่งก็คือเซี่ยเข่ออิ๋งพิธีกรหลักช่องหนึ่งของฮ่องกงที่เพิ่งเลื่อนขั้นมาเป็นคุณนายหลินอย่างเป็นทางการเมื่อหลายเดือนก่อน
เซี่ยเข่ออิ๋งอายุไม่น้อยแล้วน่าจะราวๆ สามสิบห้าสามสิบหกปี เธอได้เลื่อนตำแหน่งเป็นพิธีกรหลักประจำช่องโทรทัศน์หลังผ่านการแก่งแย่งชิงดีอย่างดุเดือด สิ่งจำเป็นไม่เพียงแค่ความสามารถกับพรสวรรค์แต่ยิ่งกว่านั้นคือเวลา
พอไปได้ดีทั้งการงานและความรักจึงทำให้หลินฮั่นเหวินดูมีชีวิตชีวากว่าหลายปีก่อนมากโข ไหนจะย้อมผมเป็นสีดำและยืดหลังตรงก็ดูอายุแค่สามสิบกว่าเท่านั้น สองสามีภรรยายืนข้างกันก็ดูเหมาะสมเป็นกิ่งทองใบหยกและดูหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกันด้วย
เซี่ยเข่ออิ๋งตัดผมสั้นประบ่าเผยให้เห็นดวงหน้าอันโดดเด่น สาวเจ้ามาในชุดกระโปรงพิธีการสีเทาอ่อนที่ไม่อาจบดบังหุ่นเพรียวได้รูปของเธอได้เลยสักนิดกลับยิ่งทำให้ดูสวยงามตามประสาเวิร์คกิ้งวูแมนที่ทำงานพึ่งพาตัวเอง
“ฉันเรียกเธอว่าเหมยเหมยได้ไหม?” เซี่ยเข่ออิ๋งยิ้มยื่นมือออกมา ภาษาจีนกลางแน่นอนว่าสู้พิธีกรในประเทศจีนไม่ได้แต่ก็ถือว่าถูกต้องได้มาตรฐานแล้ว เพียงแค่ติดสำเนียงฮ่องกงไปสักหน่อยแต่มันน่าฟังมาก
เหมยเหมยรู้สึกประทับใจเซี่ยเข่ออิ๋งมากแค่ดูก็รู้ว่าเป็นคนนิสัยตรงไปตรงมาเรียบง่าย เธอยื่นมือไปอย่างใจกว้างก่อนจะยิ้มกล่าว “ได้อยู่แล้ว คุณเรียกฉันตามคุณอาเหวินก็ได้ค่ะ”
เหตุผลที่เซี่ยเข่ออิ๋งมาแน่นอนว่าเป็นเพราะเรื่องรายการ เมื่อก่อนน้อยคนนักที่จะมีคนดังจากจีนแผ่นดินใหญ่มาให้สัมภาษณ์ถึงฮ่องกง เนื่องจากเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ในยุคนั้นเพราะตอนนี้ยังไม่ถึงปีเก้าเจ็ด จีนแผ่นดินใหญ่กับฮ่องกงไม่ได้มีความสัมพันธ์อันดีเท่าภายหลัง ถึงขั้นทำให้ภายในใจของชาวฮ่องกงจำนวนไม่น้อยรู้สึกว่าจีนแผ่นดินใหญ่คือคำนามใช้แทนความแร้นแค้นและล้าหลัง จึงดูถูกคนจีนแผ่นดินใหญ่แต่กำเนิด
แต่เซี่ยเข่ออิ๋งเหมือนหลินฮั่นเหวินที่ล้วนเป็นลูกหลานชาวจีนแผ่นดินใหญ่ที่อพยพมา ฉะนั้นเธอหวังว่าสองแผ่นดินจะรวมเป็นปึกแผ่นเดียวกันได้ในเร็ววัน และอยากให้วัยรุ่นชาวฮ่องกงได้รู้จักประเทศแม่ตัวเองให้มากกว่านี้ จึงไม่นับว่าเป็น ‘มนุษย์กล้วยหอม[1]’ ที่หลงลืมกำพืดตัวเอง
ชุดการ์ตูน ‘เจ้าหญิงอัปลักษณ์’ ของเหมยเหมยขายดีเป็นเทน้ำเทท่าในฮ่องกงและยึดครองยอดขายอันดับหนึ่งยาวนานนับปี เอาชนะนักวาดการ์ตูนชื่อดังในพื้นที่รวมถึงผลงานจากประเทศญี่ปุ่นมากมาย ซึ่งเรียกความตกใจจากเซี่ยเข่ออิ๋งอย่างมากเลยอยากสัมภาษณ์จ้าวเหมยมานานแล้ว
จะว่าไปเหตุผลที่เธอยอมตกลงแต่งงานกับหลินฮั่นเหวินส่วนมากก็เห็นแก่ที่หลินฮั่นเหวินเป็นเพื่อนของจ้าวเหมยแหนะ!
“เหมยเหมย ฉันกับเจ้าอ้วนออกไปหาผู้จัดการส่วนตัวของฉันนะ รอเรากลับมาค่อยไปเที่ยวโอเชี่ยนปาร์คกัน” สยงมู่มู่กับอู่เชาเดินก้าวฉับออกมาจากห้อง พอเห็นว่ามีแขกอยู่ในห้องก็รีบหุบปากใช้สายตากวาดมองเชิงประเมินสถานการณ์
เหมยเหมยกำลังจะแนะนำแต่เซี่ยเข่ออิ๋งกลับมองสยงมู่มู่อย่างตกใจ แล้วถามเสียงระมัดระวัง “ไม่ทราบว่าคุณคือมู่มู่ที่ร้องเพลง ‘พเนจรทั่วทุกทิศ’ หรือเปล่าคะ?”
เธอมีข่าวจากวงในว่ามู่มู่นักร้องแต่งเพลงที่กำลังโด่งดังเป็นพลุแตกในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ถูกช่องโทรทัศน์ที่นี่เชิญมา ไม่คิดว่าสยงมู่มู่จะรู้จักกับจ้าวเหมย อีกทั้งดูท่าทางความสัมพันธ์สนิทสนมกันด้วย!
ช่างเป็นเรื่องดี ๆ เหนือความคาดหมายเสียจริง!
เหมยเหมยมองเซี่ยเข่ออิ๋งที่อายุปูนนี้แล้วแต่กลับทำท่าเขินอายราวกับสาววัยแรกแย้มอย่างแปลกใจ สองตาทอประกายความรักหวานอมชมพู…
หมดคำจะพูด…
“เขาคือลูกพี่ลูกน้องของฉันค่ะ ซึ่งก็คือมู่มู่ที่แต่งเพลงคนนั้นแหละค่ะ ชื่อสยงมู่มู่” เหมยเหมยแนะนำ
“พระเจ้า…มู่มู่ ฉันชอบฟังเพลงของคุณมาก…ฉันเก็บสะสมอัลบั้มเพลงของคุณทุกอัลบั้มเลยนะ…ช่วยเซ็นลายเซ็นต์ให้ฉันหน่อยได้ไหม…”
เซี่ยเข่ออิ๋งมือเท้าพันกันไปหมดและพูดไม่ออก หมดซึ่งเค้าพิธีกรหลักผู้หนักแน่นก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง เหลือเพียงท่าทางเขินอายราวกับหญิงสาวที่เพิ่งเคยเสียจูบแรกให้ผู้ชายไป…
เธอล้วงอัลบั้มเพลงจากกระเป๋าออกมาซึ่งเป็นอัลบั้มใหม่ล่าสุดของสยงมู่มู่พอดี แล้วยื่นไปตรงหน้าเขาอย่างระมัดระวัง ได้ยินว่าสยงมู่มู่เป็นคนเจ้าอารมณ์ เธอละลาบละล้วงแบบนี้เทพแห่งการร้องเพลงเสี่ยวสยงจะโกรธหรือเปล่านะ?
สยงมู่มู่ยืนแน่นิ่งไป นี่มันเรื่องอะไรกัน?
เหมยเหมยยกขาถีบทันทีพลางตวาดใส่ “รีบเซ็นให้น้าเหวินสิ!”
ตาไม่มีแววเลยสักนิด ลำพังอีคิวแบบนี้ทำไมถึงอยู่ในวงการบันเทิงได้นะ?
มิน่าชาติก่อนถึงได้มีชีวิตย่ำแย่ขนาดนั้น!
[1] มนุษย์กล้วยหอม หรือ ชาว ABC (American born Chinese)
…………………….
ตอนที่ 1719 หลงระเริงความเป็นตะวันตก
สยงมู่มู่ชะงักไปครู่หนึ่งแล้วรับอัลบั้มจากเซี่ยเข่ออิ๋งมาแต่โดยดี ขีดเขียนลายเซ็นลงไปอย่างรวดเร็วแล้วยังเรียกขานอย่างมีมารยาทอีกเสียง “น้าเหวิน!”
เพิ่มคำต่อท้ายอีกนิดแบบนี้สิถึงดูเป็นกันเอง!
ต่อหน้าคนแปลกหน้าเจ้าเด็กสยงมู่มู่วางตัวมีกิริยามารยาทมาโดยตลอด ทั้งเป็นเด็กดีทั้งหน้าตาดีจึงเป็นที่ชื่นชอบของผู้คน อย่างเช่นเซี่ยเข่ออิ๋งเป็นต้น
น่ารักเสียจนใจแทบละลาย!
แต่กลับไม่ค่อยพึงพอใจต่อคำเรียกว่าน้าเหวินสักเท่าไรนัก เรียกพี่เข่ออิ๋งดีกว่า แบบนี้เธอจะได้ดูอ่อนเยาว์ลงไงล่ะ!
เหมยเหมยแนะนำอู่เชากับเซี่ยวเซ่อให้รู้จักอีกด้วย ชื่อของอู่เชาเซี่ยเข่ออิ๋งไม่คุ้นหูเลยสักนิดแต่ถ้าชื่อคุณชายน่าหลันกลับเป็นที่คุ้นหูกันอย่างดี เรื่องที่จ้าวเหมยเป็นเพื่อนสนิทกับคุณชายน่าหลันเซี่ยเข่ออิ๋งเคยฟังหลินฮั่นเหวินพูดถึงมาก่อน ทำให้เธอไม่ตกใจเมื่อเจออู่เชา
เนื่องด้วยข้อจำกัดทางสถานะของเซียวเซ่อจึงไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังนัก ซึ่งเซี่ยเข่ออิ๋งไม่ได้สนใจอะไรพาลยังหลงคิดว่าเธอตามมาเพื่อเที่ยวเล่นสนุก ๆ ไม่ใช่คนในวงการ แต่พอภายหลังเธอรู้ถึงสถานะตัวตนของเซียวเซ่อก็ตกใจแทบแย่
หากเปรียบเทียบกันจริง ๆเซียวเซ่อต่างหากที่เป็นไม้เด็ดที่ไม่เปิดเผยตัวตนอย่างแท้จริงต่างหาก!
ฮ่องกงในยุคสมัยนี้ยังอยู่ภายใต้การปกครองของประเทศอังกฤษ เซียวเซ่อเป็นหลานสาวเชื้อพระวงศ์แห่งอังกฤษและเป็นรัชทายาทอันดับหนึ่ง ก็พอจะรู้ได้ถึงสถานะของเธอในฮ่องกง ต่อให้เป็นท่านผู้บริหารสูงสุดของฮ่องกงก็ไม่กล้าเบ่งอำนาจต่อหน้าเซียวเซ่อ!
เซี่ยเข่ออิ๋งอธิบายลำดับตารางงานอย่างละเอียดและได้กำหนดขอบเขตบางเรื่องที่ไม่ควรถาม จากนั้นก็เป็นอันเสร็จสิ้นเรื่องงาน แต่เธอไม่ได้ขอตัวลากลับทันทีแต่ลังเลอยู่อึดใจก่อนจะเอ่ยถึงอีกเรื่อง
“ช่องทีวีเรามีรายการวาไรตี้หนึ่งดังมาก แขกรับเชิญส่วนมากเป็นนักศึกษาและมีนักศึกษาแลกเปลี่ยนบ้างบางส่วน ที่อายุยังน้อยแล้วยังมีความสามารถกันมาก…”
เซี่ยเข่ออิ๋งเริ่มพูดอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุจนเหมยเหมยฟังแล้วก็แปลกใจจนเลิกคิ้วกล่าว “น้าเหวินพูดมาตรง ๆ เถอะ ไม่ต้องอ้อมค้อมหรอกค่ะ!”
หลินฮั่นเหวินที่เงียบมาตลอดตบมือของภรรยาที่ทำท่าอึดอัดเล็กน้อยแล้วกล่าว “เข่ออิ๋งเธอแค่อยากเชิญเหมยเหมยไปร่วมรายการนั้นเพื่อเชิดชูเกียรติให้กับประเทศ และเป็นการสั่งสอนคนที่ยกยอเทิดทูนของตะวันตก”
เดิมทีผู้วางแผนรายการนี้ก็เป็นพิธีกรคิวทองอีกคนที่มีประสบการณ์มากกว่าเซี่ยเข่ออิ๋ง แต่หลายปีมานี้ถูกเซี่ยเข่ออิ๋งไล่บี้จนกลบกระแสได้ทำให้ผู้ครองอันดับหนึ่งคนนี้ไม่สบายใจถึงได้วางแผนสร้างรายการนี้ขึ้นมา
ความจริงรายการออกจะลอกเลียนแบบรายการวัยรุ่นอัจฉริยะที่พวกเหมยเหมยเคยเข้าร่วมมาก่อนหน้านี้ แต่รายการที่ออกใหม่นี้พลิกแพลงกว่าเดิมมากโดยรายการเลือกเดินสายตลกเป็นหลัก ทำให้ยอดผู้เข้าชมสูงลิ่วตั้งแต่เพิ่งฉายตอนแรก นี่จึงเป็นการจุดกระแสชีวิตการงานของพิธีกรคนนี้ใหม่อีกครั้ง จนสามารถดึงกระแสในวันวานกลับมาได้
เหตุผลที่เซี่ยเข่ออิ๋งไม่พอใจแน่นอนว่าไม่ใช่เพราะรายการนี้แย่งกระแสของเธอไปแต่เพราะพิธีกรอันดับหนึ่งคนนี้คือ GD[1] หยามเหยียดจีนแผ่นดินใหญ่อย่างมาก ฉะนั้นแขกรับเชิญที่เขาเชิญมาล้วนเป็นคนประเภทเดียวกันกับเขา เขามักจะพูดจาดูถูกเหยียดหยามจีนแผ่นดินใหญ่ในรายการเป็นประจำ
แน่นอนว่าไม่ได้เถรตรงขนาดนั้นแต่ความหมายที่แอบแฝงก็คือจีนแผ่นดินใหญ่ทั้งยากจนทั้งล้าหลัง ถึงขั้นดูถูกวัฒนธรรมที่ยาวนานถึงห้าพันปีของฮวาเซี่ย นี่เป็นสิ่งที่เซี่ยเข่ออิ๋งทนไม่ได้
เซี่ยเข่ออิ๋งอยากบั่นทอนความเหิมเกริมของคนกลุ่มนี้มาตลอดแต่แย่ตรงที่ไม่มีจังหวะดี ๆสักที วันนี้เห็นพวกเหมยเหมยกับสยงมู่มู่เธอจึงผุดความคิดนี้ขึ้นมา
จ้าวเหมยกับพวกสยงมู่มู่ต่างเป็นวัยรุ่นที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่วัยเยาว์และมีความรู้กว้างขวาง ทำไมไม่ให้พวกเขาไปสั่งสอนพวกคนไม่รู้ที่ต่ำที่สูงนั่นล่ะ?
ให้พวกเขาได้เห็นพื้นเพวัฒนธรรมของประเทศจีนสักหน่อย?
เหมยเหมยไม่ได้ตอบตกลงในทันทีเพราะนี่ได้อยู่นอกเหนือตารางงานของเธอแล้ว แต่ถ้าหากเป็นอย่างที่เซี่ยเข่ออิ๋งว่าจริง ๆมันก็น่าโมโหไม่น้อยเลย
“หนูขอดูคลิปอัดรายการพวกนี้ก่อนแล้วกัน พรุ่งนี้จะให้คำตอบนะคะ”
เธอไม่ได้ตอบกลับไปตรง ๆแต่พูดเชิงกลาง ๆไป เซี่ยเข่ออิ๋งเองก็ไม่ผิดหวังเพราะเธอคิดว่าจ้าวเหมยจะต้องรับปากอย่างแน่นอน
เพราะขอเพียงเป็นชาวจีน เมื่อเห็นวาจาคำวิพากษ์วิจารณ์อันน่ารังเกียจของคนพวกนั้นย่อมโกรธกันอยู่แล้ว!
………………………..
[1] เป็นคำเรียกแทนกลุ่มคนชาวฮ่องกงที่เรียกร้องแบ่งแยกดินแดนฮ่องกงออกจากจีนแผ่นดินใหญ่
ตอนที่ 1720 ลืมกำพืด
เซี่ยเข่ออิ๋งเป็นคนกระฉับกระเฉงว่องไวใช้เวลาไม่ถึงสองชั่วโมงก็ให้หลินฮั่นเหวินส่งเทปอัดรายการมาให้ดู ซึ่งเอามาให้แค่สามตอนที่ถ่ายทอดในช่วงนี้จึงมีเทปทั้งหมดสามแผ่น
หลินฮั่นเหวินอยากช่วยภรรยาเลยกล่าวว่า “เหมยเหมยต้องดูนะ คนพวกนั้นมันน่าโมโหมากจริง ๆ แต่สิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกเศร้าใจกว่าคือมีวัยรุ่นมากมายที่ปกป้องพวกเขา ฉันความรู้ตื้นเขินจริง ๆไม่อย่างนั้นฉันยังอยากไปสั่งสอนคนพวกนั้นด้วยตัวเองเลย!”
ชายผู้นอบน้อมสง่าคนนี้ดูท่าทางจะโกรธเข้าจริง ๆจึงทำหน้าขึงขังและแดงก่ำด้วยความโมโห
“คุณอาเหวินสบายใจได้ อีกเดี๋ยวจะดูเลยค่ะ” เหมยเหมยก็ชักจะแปลกใจว่าคนพวกนี้พูดอะไรไปกันแน่?
เดิมทีแผนของวันนี้ว่าจะไปเที่ยวโอเชี่ยนปาร์คแต่เหมยเหมยได้ล้มเลิกแผนการไปแล้วเลือกจะดูเทปอัดรายการอยู่บ้าน เซียวเซ่อที่หวังอยากให้เป็นเช่นนั้นอยู่แล้วพลางถือไอศกรีมนั่งดูเป็นเพื่อนเธอรวมถึงพวกสยงมู่มู่ที่กลับมาได้ทันเวลาพอดี
รายการมีชื่อว่า ‘ตั้งใจเล่าเรียน’ ฟังดูเหมือนเป็นรายการเพื่อการศึกษาแต่ความจริงเป็นรายการวาไรตี้เพื่อความบันเทิง ครูประจำชั้นก็คือพิธีกรคิวทองคนนั้น นอกจากนี้ยังมีนักเรียนนั่งอยู่หลายคนซึ่งก็คือแขกรับเชิญที่ล้วนเป็นวัยรุ่นที่เพิ่งอายุยี่สิบต้น ๆ
วัยรุ่นกลุ่มนี้พื้นเพเป็นชาวฮ่องกงแต่ก็มีชาวต่างชาติหลายคนที่มีประวัติการศึกษาสูงลิ่ว คนที่ด้อยสุดต่างเป็นนักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่ระดับปริญญาตรี นอกจากนี้ยังมีถึงขั้นปริญญาเอกบ้างประปราย แต่นี่เป็นข้อมูลจากทางรายการเอง จริงหรือเท็จก็ไม่มีใครพิสูจน์ได้
เนื้อหาเรียนหลากหลายวิชาไล่ตั้งแต่ประวัติศาสตร์ด้านวัฒนธรรมของจีนและต่างชาติตั้งแต่สมัยโบราณยันปัจจุบันรวมถึงเครื่องดนตรี การเต้นรำและดนตรีต่าง ๆล้วนถูกพาดพิงถึงทุกศาสตร์ทุกแขนง
เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องรอง เหมยเหมยเพิ่งดูไปครึ่งเดียวก็เริ่มมีน้ำโห มิน่าเซี่ยเข่ออิ่งกับหลินฮั่นเหวินถึงโกรธขนาดนี้ แขกรับเชิญรวมถึงพิธีกรรายการเป็นคนต่อต้านชาวจีนกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะพูดอะไรก็สามารถโยงเข้าฮวาเซี่ยได้ทั้งนั้น ก่อนจะตามมาด้วยถ้อยคำวาจาเชิงดูถูกเหยียดหยาม
สิ่งที่น่าโมโหที่สุดไม่พ้นผู้ชมในห้องส่งที่เป็นพวกไม่มีสมองเหมือนกันอย่างสิ้นเชิง ทุกครั้งที่พวกเขากล่าวว่าจีนแผ่นดินใหญ่เทียบตะวันตกไม่ได้ผู้ชมไร้สมองกลุ่มนี้ก็จะปรบมือเฮลั่นอย่างขันแข็ง!
ราวกับชื่นชอบความรู้สึกที่ได้เหยียบย่ำประเทศต้นกำเนิดไว้ใต้เท้าตนเองเสียเหลือเกิน!
มันน่าซัดให้น่วมจริง ๆ!
“พูดเหลวไหลทั้งเพ…ประวัติศาสตร์ของอเมริกาเทียบได้แค่น้ำซุปหนึ่งหม้อของชาติเราเท่านั้นแหละ พวกเขามีวัฒนธรรมบ้าอะไรกันบ้างล่ะ ลืมตาพูดจาเพ้อเจ้อกันทั้งนั้น!” สยงมู่มู่โกรธจนกระเด้งตัวขึ้นมา
หากจะว่าคุณปู่จ้าวไม่ใช่คนดีเด่อะไรแต่เรื่องรักชาตินั้นเป็นเรื่องที่ไร้ซึ่งข้อกังขาใดเลย ฉะนั้นสยงมู่มู่ที่เติบโตมาท่ามกลางตระกูลจ้าวตั้งแต่เด็กย่อมได้รับอิทธิพลมาด้วย ทนฟังคนกลุ่มนี้พูดจาห้าวหาญไม่ได้
“น่าขำจริง ๆ เครื่องดนตรีของชาวจีนสู้เครื่องดนตรีชาวตะวันตกไม่ได้? กบในกะลา มองการณ์ตื้นเขิน พวกหมูโง่เง่า…”
อู่เชาแค่นหัวเราะ เขารำคาญเครื่องดนตรีตะวันตกที่สุดเลย แต่สิ่งที่ชื่นชอบมากที่สุดกลับเป็นดนตรีพื้นบ้าน
เซียวเซ่อที่ได้ฟังก็โมโหไม่แพ้กันพลางแค่นเสียงทีหนึ่ง “เอาหน้าที่ไหนมาบอกว่าภาพวาดสีน้ำมันเป็นราชาในบรรดาภาพวาด? แค่ดูก็รู้เลยว่าไม่เข้าใจเรื่องศิลปะเลย คนแบบนี้ยังเป็นถึงดอกเตอร์? จบมาจากมหาวิทยาลัยเส็งเคร็งที่ไหนเนี่ย?”
สยงมู่มู่ฟาดต้นขาอู่เชาหนึ่งทีแล้วคำรามอย่างโกรธเคือง “บอกน้าเหวินว่ารายการนี้ฉันเข้าร่วมแน่!”
อู่เชานวดคลึงต้นขาไปมาอย่างน้อยใจก่อนจะขยับหนีไปอีกฝั่งหลายก้าว ฟาดต้นขาเขาทุกครั้งเลย ทำไมไม่ฟาดขาตัวเองล่ะ?
เขาไม่เจ็บหรือไงกัน?
เซียวเซ่อกลอกตาใส่เขาแวบหนึ่งแล้วพูดเสียงเย็นชา “นายไปแล้วจะทำอะไรได้? แข่งสวยกับพวกเขาเหรอ?”
สยงมู่มู่กระอักเลือด…
“ทอมบอย เธอคิดว่าฉันกลัวเธอจริง ๆงั้นเหรอ? เพราะฉันเป็นสุภาพบุรุษเลยยอมให้เธอหรอก เธออย่าได้คืบจะเอาศอกนักเลย!”
“ฉันยังต้องขอให้นายยอมด้วยเหรอ? นายปล่อยมาเต็มที่เลย แค่นิ้วเดียวของฉันก็สั่งสอนนายได้แล้ว!” เซียวเซ่อกระดิกนิ้วก้อยใส่เขาพร้อมทำหน้าดูถูกดูแคลน
“พวกเธอจะหยอกล้อหยอกเอินอะไรก็เข้าห้องไป อย่ามากวนฉันคุยโทรศัพท์ข้างนอก!”
เหมยเหมยตบรางวัลเหวี่ยงขาคนละข้างเตะเจ้าสองคนนี้ไปคนละฝั่ง กดโทรหาเซี่ยเข่ออิ๋งเพื่อบอกจุดประสงค์ของพวกเขาไปว่าต้องการจะร่วมรายการด้วย
………………………….
ตอนที่ 1721 โอหยางซานซาน
“ฉันรู้อยู่แล้วว่าเหมยเหมยเธอจะต้องตอบตกลง ฉันจะไปบอกทางช่องให้เดี๋ยวนี้” เซี่ยเข่ออิ๋งดีใจอย่างมาก
“ไม่ใช่ฉันคนเดียว แต่พวกเราทั้งสี่คนจะขอร่วมรายการด้วยทั้งหมดค่ะ” เหมยเหมยกล่าว
ลำพังตัวเธอคนเดียวไม่มีความสามารถจะไปสั่งสอนคนพวกนั้นได้อยู่แล้ว พอมีสี่คนเป็นกลุ่มเป็นก้อนก็พอจะมั่นใจขึ้นมาบ้าง
เซี่ยเข่ออิ๋งค่อนข้างแปลกใจ สยงมู่มู่กับอู่เชาต่างเป็นวัยรุ่นที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่วัยเยาว์อีกทั้งยังมีชื่อเสียงไม่น้อย เดิมทีเธอก็ตัดสินใจจะขอยื่นเสนอทางช่องโทรทัศน์อยู่แล้วแต่เซียวเซ่อกลับไม่มีชื่อเสียงเท่าไร นี่กลับเป็นเรื่องน่าลำบากใจล่ะ
เหมยเหมยรู้ถึงความลำบากใจของเธอเลยยิ้มพูด “น้าเหวินรู้ประวัติของเซียวเซ่อไหมคะ? พ่อของเธอคือเซียวจิ่งหมิงศิลปินชื่อดังระดับโลก คุณปู่คืออาจารย์เซียวเยี่ยน คุณย่าคือท่านเคานต์วิคตอเรียที่สนิทสนมกับราชินี เซียวเซ่อกำลังเรียนระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ฉินหมากรุกบทกวีงานวาดศิลปะฟันดาบขี่ม้า…เขาถนัดทุกอย่าง!”
เซี่ยเข่ออิ๋งกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง พระเจ้า นี่ยังเป็นคนอยู่ไหม?
ประวัติวัยรุ่นพวกนี้แต่ละดูไม่ธรรมดากันทั้งนั้น หรือว่าคนประเภทเดียวกันมักจะดึงดูดกันจริง ๆ?
หลานสาวของท่านเคานต์วิคตอเรียอยากร่วมรายการด้วย ทางช่องโทรทัศน์จะไม่ยอมตกลงได้อย่างไร?
เกรงว่าแม้แต่เจ้านายยังต้องออกมาต้อนรับด้วยตัวเองด้วยซ้ำไป!
“ไม่มีปัญหา เธอรอข่าวดีจากฉันได้เลย!” เซี่ยเข่ออิ๋งมั่นอกมั่นใจนักหนา เดิมทีเธอยังกังวลว่าจำนวนจะมากเกินไป แต่ตอนนี้กลับไม่หลงเหลือความกังวลอะไรอีก
การทำงานในฮ่องกงรวดเร็วตามคาด นี่เพิ่งผ่านไปแค่วันเดียวก็ได้ผลสรุปจากเซี่ยเข่ออิ๋งแล้ว เธอบอกว่าเจ้านายตกลงให้พวกเขาสี่คนร่วมรายการซึ่งก็คือเทปถัดไป โดยจะเริ่มอัดรายการหลังอาทิตย์หน้า
เป็นช่วงเวลาที่รายการของสยงมู่มู่เสร็จเรียบร้อยพอดี เวลากำลังดีเลย
“ได้ค่ะ เปิดเผยข้อมูลของแขกรับเชิญอีกสี่คนได้ไหมค่ะ?” เหมยเหมยสอบถาม รู้เขารู้เราถึงจะรบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งได้ไง
“เตรียมไว้หมดแล้ว เดี๋ยวฉันจะส่งให้เธอ”
เพิ่งทานมื้อเย็นไปเซี่ยเข่ออิ๋งก็รีบมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับข้อมูลหนาหนึ่งปึก นี่เป็นรายชื่อแขกรับเชิญอีกสี่ท่านซึ่งฉบับหน้าสุดกลับเป็นคนคุ้นเคยอย่างดี
“โอหยางซานซานอยู่ฮ่องกงเหรอ? เธอไม่ได้เรียนอยู่อเมริกาหรอกเหรอ?” เหมยเหมยพึมพำกับตัวเองพลันขมวดคิ้ว
หลังจากหวงอวี้เหลียนตายไปโอหยางซานซานก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีข่าวคราวมาตลอดสองปีแต่คราวนี้กลับโผล่หัวออกมาเสียอย่างนั้น มันน่าตกใจจริง ๆ!
“ทำไมถึงเป็นยายหมีสีน้ำตาลไปได้? เธอมีสิทธิ์อะไรมาร่วมรายการด้วย?”
สยงมู่มู่ทำหน้ารังเกียจพลางหยิบข้อมูลของโอหยางซานซานขึ้นมาอ่าน บนนั้นมีรูปถ่ายระยะประชิดของเธอที่ดูจะผอมลงไปมากโขและเป็นรูปถ่ายจากบริเวณชายหาด ชุดกระโปรงยาวสายเดี่ยวสีดำปล่อยผมยาวประบ่า ผิวขาวเนียนดุจหิมะที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางบางเบาขับให้ดูโตเป็นผู้ใหญ่ เทียบกับเมื่อหลายปีก่อนแล้วบุคลิกดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด? โอ้โห…มหาลัยออกซ์ฟอร์ดกลายเป็นมหาลัยเส็งเคร็งไปตั้งแต่เมื่อไหร่?” สยงมู่มู่ทำหน้าเหลือเชื่อ
เขาจะไม่รู้ภูมิหลังของโอหยางซานซานได้อย่างไร เก่งกว่าเหมยเหมยในสมัยก่อนไม่เท่าไร ความสามารถแค่นั้นสอบเข้ามหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดได้อย่างนั้นหรือ?
“บางทีอาจจะใช้เส้นสายเข้าล่ะมั้ง?” อู่เชาคาดเดาก่อนจะโดนสยงมู่มู่ฟาดเข้าให้
“เป็นไปไม่ได้ มหาลัยออกซ์ฟอร์ดไม่มีการใช้เส้นสายมีแต่ใช้ความสามารถตัวเองสอบเข้าทั้งนั้น ยายหมีสีน้ำตาลไปเรียนกำลังภายในมาหรือไงกัน?” สยงมู่มู่ทำหน้าขบคิดอย่างหนัก
เหมยเหมยเองก็รู้สึกเหลือเชื่อแต่เธอไม่ได้คิดมาก บางทีโอหยางซานซานอาจค้นพบวิธีการเรียนที่ถูกต้องเหมือนอย่างเธอเจอแล้วก็ได้!
แขกรับเชิญอีกสามคนที่เหลือล้วนเป็นคนในพื้นที่แต่เล่าเรียนอยู่ในต่างประเทศ ทั้งยังเป็นสถานศึกษาชื่อดังกันหมดประวัติส่วนตัวในเอกสารเหมือนแสงประกายเจิดจ้า แต่ละคนล้วนเก่งกาจไม่ธรรมดากันทั้งนั้น
ท้องฟ้ายามค่ำคืนเริ่มมืดลงเรื่อย ๆ บ้านหรูหราแห่งหนึ่งเปิดไฟสว่างไสวเพราะกำลังจัดงานเต้นรำอยู่ ในบ้านเต็มไปด้วยวัยรุ่นหนุ่มสาว บรรยากาศรื่นเริงอย่างยิ่ง!
“อาเมย์ รีบมาเต้นเร็ว!” มีคนเอ่ยเรียก
โอหยางซานซานกระดกเบียร์หมดภายในอึกเดียวแล้วเดินไปยังฟลอร์เต้นรำบิดตัวส่ายไปตามจังหวะเพลง เรือนร่างอรชนยืดหยุ่นราวกับงู พออยู่ภายใต้แสงไฟสลัวก็ยิ่งน่าเย้ายวนใจ
ตอนที่ 1722 สีแห่งความตาย
ส่วนบนโอหยางซานซานสวมเสื้อกล้ามรัดรูปและกางเกงยีนสีเดียวกันปกปิดเรือนร่างอันสมบูรณ์แบบไว้ ไหนจะเต้นรำได้น่าเย้ายวนขนาดนี้ทำเอาเหล่าผู้ชายรอบข้างจ้องตาเป็นมันเผลอกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว
“อาเมย์ ทำไมเธอถึงชอบใส่เสื้อสีดำล่ะ? เธอขาวขนาดนี้ หุ่นก็ดีขนาดนี้ ใส่สีขาวต้องดูดียิ่งกว่าแหง ๆ!” มีคนฉงนใจ ทั้งที่มีต้นทุนดีขนาดนี้กลับสวมแต่เสื้อสีเดิม น่าเสียดายจริง ๆ!
โอหยางซานซานกระตุกยิ้มที่มุมปากแล้วรับแก้วเหล้าจากชายหนุ่มคนหนึ่งมาเขย่าไปมาเบา ๆ “สีดำดีจะตาย สีแห่งความตาย cheese!”
เธอยกเหล้าดื่มหมดแก้ว มุมปากเปื้อนน้ำอำพันหนึ่งหยดทำให้ลิ้นสีอมชมพูถูกส่งออกมากวาดเข้าปากอย่างแผ่วเบา
“อึก”
พวกผู้ชายกลืนน้ำลายจนลูกกระเดือกขึ้นลงเป็นว่าเล่น มองหญิงสาวแสนเซ็กซี่น่าเย้ายวนใจตรงหน้าไม่ละสายตา โคตรเย้ายวนเลยให้ตายเถอะ!
โอหยางซานซานใช้หางตากวาดมองทุกความเคลื่อนไหวแล้วยกยิ้มอย่างได้ใจน้อย ๆ จากนั้นถึงวางแก้วเหล้าลงอมยิ้มทีหนึ่งก่อนจะบิดตัวเดินเข้าฟลอร์เต้นรำไปอีกครั้ง ขณะนี้ดนตรีเปลี่ยนแนวเพลงจากจังหวะช้าเนิบกลายเป็นเพลงจาก DJ ที่เมามันสนุกสนาน จุดประกายทั้งโถงใหญ่ให้มอดไหม้ ทุกคนต่างส่ายโยกอย่างเต็มที่ตามประสาวัยรุ่น
สปอร์ตไลท์ปิดไปแล้วเปิดเพียงไฟดวงเล็กแสงสลัว ๆที่พอจะเห็นหนุ่มสาวกำลังเต้นอยู่บนฟลอว์อย่างบ้าบิ่น ผมยาวสยายไปมา ชายกระโปรงบิดพลิ้ว รวมถึงเสียงหัวเราะคิกคัก…
โอหยางซานซานกลับเป็นเป้าสายตาท่ามกลางกลุ่มวัยรุ่นหนุ่มสาวทั้ง ๆที่เธอสวมเสื้อสีดำ ทว่ากลับทำให้คนตรงหน้าดวงตาประกายวาวและจับจ้องไปตามจังหวะการเคลื่อนไหวของร่างกายเธอ
เธอบิดลำตัวอันยืดหยุ่นพลางอมยิ้มไป ยิ้มฉาบหน้าที่แฝงด้วยความเยือกเย็น
จ้าวเหมย…ฉันกลับมาแล้ว…
******
เพราะต้องจดจ่อสมาธิเตรียมตัวประชันในรายการอีกหนึ่งสัปดาห์ให้หลัง เซี่ยเข่ออิ๋งเองก็เอาใจใส่เป็นอย่างดี เธอเป็นฝ่ายเสนอเลื่อนรายการสัมภาษณ์ของเหมยเหมยออกไปก่อน รอสั่งสอนพวกเชิดชูความเป็นตะวันตกเหล่านั้นเสร็จค่อยถ่ายรายการเธอก็ยังไม่สาย
แน่นอนว่าเหมยเหมยไม่มีข้อโต้แย้ง ในเมื่อตัดสินใจจะเชิดชูเกียรติของฮวาเซี่ยแล้วก็จะแพ้ไม่ได้ ฉะนั้นทั้งสัปดาห์นี้เธอไม่ออกไปไหนเอาแต่หมกตัวซักซ้อมอยู่แต่ในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดนตรี เต้นรำ งานศิลปะ…ครบถ้วนไม่มีตก
อู่เชากับพวกสยงมู่มู่เองก็มีความคิดเดียวกัน เพียงแต่สยงมู่มู่ถูกจัดตารางงานไว้แต่แรกแล้วจึงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงวันเวลาได้ โชคดีที่เป็นเพียงรายการสัมภาษณ์ทางวิทยุความยาวเพียงหนึ่งชั่วโมง
การสัมภาษณ์อยู่ในวันถัดไปซึ่งสยงมู่มู่ดูท่าทางผ่อนคลายอย่างมาก อีกทั้งยังบอกเรื่องที่จะเข้าร่วมรายการ ‘ตั้งใจเล่าเรียน’ ในรายการสัมภาษณ์นี้ไปด้วยจึงมีคนรวมตัวกันสร้างกลุ่มให้กำลังขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว พลังแฟนคลับในพื้นที่ของเจ้าหมอนี่ดูถูกไม่ได้เลย!
อู่เชามาฮ่องกงกลับไม่มีธุระอะไรเพราะหลัก ๆมาเที่ยวเลยถือโอกาสมาเจอแฟน ๆหนังสือบ้างเขาจึงมีเวลาเป็นอิสระ เหมยเหมยตัดสินใจรวมงานเจอแฟน ๆหนังสือของพวกเขาสองคนเป็นงานเดียวกัน พวกเขาจะจัดงานนี้ขึ้นหลังจบรายการโดยมอบหมายให้หลินฮั่นเหวินเป็นฝ่ายจัดการไป
สัปดาห์นี้ภายในบ้านเต็มไปด้วยเสียงเครื่องดนตรีทุกวี่วัน ทั้งยังเป็นเครื่องดนตรีพื้นบ้านที่จะว่าไปแล้วพวกเหมยเหมยก็เล่นเครื่องดนตรีได้ไม่น้อยเลยจริง ๆ คนที่เล่นได้มากที่สุดคืออู่เชา เขาเป็นคนใฝ่เรียนใฝ่รู้และเรียนรู้ทุกอย่างโดยไม่มีครูสอน อย่างน้อยเล่นได้สิบกว่าชนิด
เช่นเอ้อร์หู ปี่โหว ซอหม่าโถว ขลุ่ยไม้ไผ่ เซียว ฉิน ซวิน ผีผา เปียนจง…เป็นต้น เจ้าอ้วนล้วนเล่นได้ทั้งนั้น หนำซ้ำยังเล่นได้อย่างเชี่ยวชาญอีกต่างหาก
สยงมู่มู่กับเหมยเหมยเองก็เล่นได้ไม่น้อยอย่างกู่เจิงที่เห็นกันโดยทั่วไป ผีผา เอ้อร์หูรวมถึงกลองเป็นต้น ทั้งสามคนรวมตัวกันก็สามารถทำการแสดงเพลงพื้นบ้านที่สมบูรณ์แบบได้ทันที
วันเวลากระชั้นชิดเข้ามาเรื่อย ๆ แม้ทุกคนจะรู้สึกมั่นใจแล้วแต่ก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอยู่ดี แม้แต่คู่รักคู่แค้นอย่างเซียวเซ่อกับสยงมู่มู่ยังดูจริงจังไปด้วย ไม่มีการทะเลาะต่อปากต่อคำกันแต่อย่างใด
เหยียนหมิงซุ่นรับรู้เรื่องนี้แต่แรกแล้ว คืนก่อนอัดรายการเขาได้หาเวลาว่างโทรมาหาโดยเฉพาะ “ไม่ต้องตื่นเต้นนะ เธอเก่งที่สุดอยู่แล้ว พี่จะรอข่าวดีจากเธอ!”
“อืม พี่ก็ต้องระวังตัวเหมือนกันนะ!” เหมยเหมยออกจะเป็นห่วงหน่อย ๆ หากเหยียนหมิงซุ่นไม่มีธุระสำคัญเขาไม่มีวันปล่อยให้ตนมาฮ่องกงเพียงลำพังอย่างแน่นอน
บ่งบอกว่าธุระของเขาต้องอันตรายมากแน่นอน!
………………………..
ตอนที่ 1723 ไร้ทางหนี
เหยียนหมิงซุ่นใจอุ่นวาบขึ้รมา “สบายใจได้ ไม่กระเทือนถึงศักยภาพคืนเข้าเรือนหอหลังเธอกลับมาแน่!”
“คนนิสัยไม่ดี!”
เหมยเหมยพูดกระเง้ากระงอดไปทีหนึ่งก็ยิ้มวางสายไป อารมณ์ผ่อนคลายขึ้นอย่างบอกไม่ถูก
เหยียนหมิงซุ่นหุบยิ้มเดินออกจากห้องแล้วเอ่ยต่อลูกน้องที่เฝ้าอยู่นอกห้องว่า “ออกเดินทางกันเถอะ!”
เฉินหมิงถูกเขาไล่ต้อนไปถึงชายแดนทางใต้แล้ว เขาต้องเป็นคนไปกำจัดด้วยตัวเอง แม้จะวางแผนอำพรางกับดักไว้อย่างดีแต่เหยียนหมิงซุ่นก็รู้สึกหนักหน่วงมากอยู่ดี
ไม่ใช่ว่ากลัวจะจับตัวเฉินหมิงไม่ได้
แต่เพราะวันนี้เฉินหมิงต้องตาย!
ในเมื่อเฉินหมิงเคยช่วยเหลือเขาในยามที่เขาลำบากที่สุด หากไม่ได้เฉินหมิงคอยสอนเขาพิสูจน์ของเก่าแล้วชี้แนะให้เขาทำธุรกิจ ชีวิตของเขาไม่มีทางราบรื่นขนาดนี้ อีกอย่างคุณยายก็คงไม่มีชีวิตที่ยาวนานจนถึงป่านนี้
แน่นอนว่าจุดประสงค์ของเฉินหมิงเองก็ไม่บริสุทธิ์ซึ่งส่วนมากก็เพื่อหลอกใช้เขา
แต่ความช่วยเหลือพวกนี้มันเคยเกิดขึ้นจริงถึงขั้นมีอยู่ห้วงหนึ่งเขาเคยจินตนาการว่าเหตุใดเฉินหมิงถึงไม่ใช่พ่อของเขา?
เหยียนหมิงซุ่นหัวเราะเย้ยตัวเองก่อนจะเก็บซ่อนความอ่อนแอที่พลั่งพรูออกมาชั่วขณะไว้ใต้ก้นบึ้งของหัวใจ
สถานะและภาระที่เขาแบกไว้ไม่อนุญาตให้เขาอ่อนแอ!
“ลุงหลานโอหยางปินเป็นยังไงบ้าง?” เหยียนหมิงซุ่นเดินไปถามไป
“โอหยางปินตายแล้ว ภรรยาและลูกของเขาก็หนีไม่พ้นตายหมดแล้ว โอหยางสยงได้รับบาดเจ็บสาหัสหนีไปทางใต้” ลูกน้องรายงานด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก
บุญคุณความแค้นเป็นการส่วนตัวไม่ควรไปลงกับภรรยาลูกหลานหรือคนในครอบครัว เฉินหมิงทำผิดกฎนี่นา!
เหยียนหมิงซุ่นชะงักแต่กลับไม่ตกใจ เมื่อครั้นนั้นโอหยางปินก็ไม่ปล่อยภรรยาและลูกของเฉินหมิงไปเหมือนกัน จากนิสัยใจแคบเจ้าคิดเจ้าแค้นของเฉินหมิงแล้วจะปล่อยภรรยากับลูกชายเขาไปได้อย่างไร?
คนที่บริสุทธิ์ที่สุดยังคงเป็นภรรยาและลูกของพวกเขาที่พลอยลำบากไปด้วย!
“ลูกพี่ จะบอกให้พวกพี่น้องทางใต้ตามจับโอหยางสยงไหม?”
“ยังไม่ต้อง รวบรวมกำลังจัดการเฉินหมิงก่อน โอหยางสยงไม่น่ากลัวหรอก” เหยียนหมิงซุ่นไม่ใส่ใจโอหยางสยงเท่าไร เป็นเพียงคนร้ายที่เป็นตัวประกอบเท่านั้นเอง ให้เขามีชีวิตอีกหน่อยแล้วกัน
อีกอย่างเกิดความเคลื่อนไหวในเมืองหลวงขนาดนี้ต้องสะเทือนไปถึงเฮ่อเหลียนเช่ออย่างแน่นอน คู่ลุงหลานโอหยางปินเป็นลูกน้องของเขา เจ้าหมอนี่ย่อมไม่มีวันนิ่งนอนใจ ตอนนี้ยังไม่มีความจำเป็นต้องปะทะกับเฮ่อเหลียนเช่อ
พวกเหยียนหมิงซุ่นตามหาตัวเฉินหมิงเจอได้อย่างรวดเร็วราวกับตามล่าสัตว์ ทั้งยังมีลูกน้องหลายคนที่ตกใจจนทำตัวไม่ถูกอยู่ด้วย เดิมทีก็หวาดผวาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอเห็นเหยียนหมิงซุ่นกับลูกน้องในชุดเครื่องแบบเต็มยศก็แข้งขาอ่อนแรง ไม่พูดพร่ำทำเพลงขอยกธงขาวทันที
เฉินหมิงรู้ดีว่าตนได้สูญเสียอำนาจไปแล้ว แม้จะเสียดายที่ยังทำการใหญ่ไม่สำเร็จแต่ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว
“ไม่คิดว่าฉันเฉินหมิงจะตายในเงื้อมมือของแก…แกมันไอ้เนรคุณ!” เฉินหมิงตวาดด้วยความโมโห ความเคียดแค้นพรั่งพรูออกมา
เหยียนหมิงซุ่นมองเขาอย่างเย็นชา “ผมเคยเตือนลุงแต่แรกแล้วว่าอย่าทำสิ่งที่เกินขอบเขต แต่ลุงก็ฝ่าฝืนกฎทำสิ่งผิดคุณธรรมครั้งแล้วครั้งเล่า ลุงทำตัวเองทั้งนั้น!”
“คนทำการใหญ่ไม่ควรไปสนใจเรื่องเล็กน้อย เหยียนหมิงซุ่นแกกล้าพูดหรือว่ามือของแกขาวสะอาด?” เฉินหมิงไม่พอใจ
“สิ่งที่ผมทำไปก็เพื่อประเทศชาติกับประชาชนทั้งนั้น แต่ลุงกลับทำเพื่อเติมเต็มความละโมบของตัวเอง ผู้หญิงที่โดนลุงจับไปขายตัวพวกเธอทำผิดอะไร? แล้วก็คนที่ติดยาพวกนั้น ลุงรู้บ้างไหมว่าลุงทำลายครอบครัวไปมากแค่ไหน…”
เหยียนหมิงซุ่นก่นด่าอย่างโกรธเคืองด้วยสายตาที่ฉายแววผิดหวัง
ไม่ว่าจะเป็นการค้าขายมนุษย์หรือค้ายาเสพติด มันไม่ได้ทำลายแค่คน ๆเดียวแต่มันทำลายครอบครัวที่สมบูรณ์ไปครอบครัวแล้วครอบครัวเล่า มันน่าขยะแขยงยิ่งกว่าฆาตกรด้วยซ้ำ
กลับยังมีหน้ามาบอกว่าคนทำการใหญ่ไม่ควรไปสนใจเรื่องเล็กน้อยอีกเหรอ?
หน้าไม่อาย!
เฉินหมิงแค่นเสียงทีหนึ่งซึ่งใบหน้าไม่ฉายแววรู้สึกผิดสักนิด เหยียนหมิงซุ่นส่ายศีรษะก่อนกล่าว “สบายใจได้ ผมจะฝังไว้ข้างภรรยาและลูกของลุง”
ถือว่าเป็นน้ำใจอันน้อยนิดครั้งสุดท้ายที่เขาจะทำเพื่อเฉินหมิงแล้วกัน!
“ฮ่า ๆ…”
จู่ ๆเฉินหมิงก็ระเบิดเสียงหัวเราะขึ้นมา เสียงหัวเราะที่ดูโอหังน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
ตอนที่ 1724 ตายเพราะฤทธิ์ของพิษ
เหยียนหมิงซุ่นมองเฉินหมิงที่เหมือนคนบ้าอย่างเฉยชา ลูกน้องที่ทนดูต่อไม่ไหวหมายจะสั่งสอนเขาแต่ถูกเหยียนหมิงซุ่นห้ามไว้
เสียงหัวเราะของเฉินหมิงดังขึ้นเรื่อย ๆจนน้ำตาเล็ด ดูเหมือนจะได้ใจอย่างมากแต่ก็เหมือนกำลังสมน้ำหน้า
“…เหยียนหมิงซุ่น แกอย่าคิดว่าแกชนะแล้ว ฉันจะบอกแกให้ว่าต่อให้แกได้ยึดครองทั้งโลกไปแกก็แพ้อยู่ดี…ฮ่า ๆ!” เฉินหมิงทำหน้าเย้ยหยัน
“ผมไม่สนใจจะครองโลกทั้งใบหรอก ลุงมีอะไรจะพูดอีกไหม?” เหยียนหมิงซุ่นขมวดคิ้วน้อย ๆพลางรู้สึกว่าถ้อยคำของเฉินหมิงมีนัยยะบางอย่างแฝงอยู่
เฉินหมิงหยุดหัวเราะสายตาฉายแววเห็นใจเล็กน้อย เหยียนหมิงซุ่นมุ่นคิ้วแน่นกว่าเดิม เฉินหมิงคนนี้กำลังคิดจะสื่อความหมายอะไรอยู่?
“แกจะทำยังไงกับพี่สาม?” เฉินหมิงถามขึ้นกะทันหัน
เหยียนหมิงซุ่นตอบเสียงเรียบ “ขอแค่เขาสงบเสงี่ยมอย่างเคย ผมรับรองได้ว่าเขาจะมีชีวิตสุขสบายไปตลอดชีวิต”
ช่วงก่อนหน้านี้อิทธิพลของพี่เฉินถูกคนอื่นที่อยู่บนเส้นทางเดียวกันแบ่งไปไม่น้อย ตอนนี้ในเมืองหลวงคนที่มีอิทธิพลมีอยู่สามคนซึ่งไม่ใช่พี่เฉินที่เป็นใหญ่เพียงหนึ่งเดียวอีกต่อไป นั่นเป็นสิ่งที่เฮ่อเหลียนชิงยินดีเหลือเกิน
เดิมทีเหยียนหมิงซุ่นคิดว่าพี่เฉินจะมาหาเขาแต่อีกฝ่ายไม่มาสักที พี่เฉินดูเหมือนจะคาดคะเนถึงผลลัพธ์นี้ไว้แต่แรกแล้วเลยไม่ลนลานอะไร วัน ๆยังทำตัวปกติ จิบน้ำชาฟังฉินเชยชมของเก่า ใช้ชีวิตได้สุขสำราญดีเหลือเกิน
“กรรมตามสนองเอง ผมเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่ลุงกลับทำหูทวนลม ทำไมลุงถึงไม่เรียนรู้จากลุงเฉินบ้าง?” เหยียนหมิงซุ่นมองเฉินหมิงอย่างนึกขุ่นใจเพราะเขาเองก็รู้สึกไม่ดีเช่นกัน
“ฮ่าฮ่าฮ่า…เรียนรู้จากเฉินซาน?” เฉินหมิงระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอีกครั้งพลางกัดฟันกรอด “แกคิดว่าเฉินซานเป็นคนดีเหรอ? แกนี่มันใสซื่อจริงๆ…ตอนนั้นมันกำลังรอให้แก…อ๊าก…เจ็บ…”
เฉินหมิงยังไม่ทันพูดจบประโยคดีพลันก็เปลี่ยนสีหน้ารีบกุมท้องไว้แน่นกลิ้งไปมาบนพื้นไม่หยุดหย่อน
“ลุงเป็นอะไร?”
เหยียนหมิงซุ่นดูออกว่าเฉินหมิงไม่ได้แสดงละครแต่กำลังปวดท้องจริง ๆ เลยก้มลงหมายจะพยุงเขาขึ้นมากลับพบว่ามีเลือดสีดำไหลออกจากมุมปากของเฉินหมิง รวมถึงจมูกของเขาที่ดูแล้วน่าสยดสยองจับใจ
“…เจ็บชะมัด…อ๊าก…” ใบหน้าขาวอวบของเฉินหมิงในตอนแรกบัดนี้เนื้อไขมันเกร็งกระตุกและกลายเป็นสีดำแดง ความจริงแล้วเป็นเลือดสีดำที่ซึมออกมาจากรูขุมขน ช่างเป็นภาพที่น่ากลัวสยดสยอง
เหยียนหมิงซุ่นใจหล่นวูบ ชัดเจนว่าเป็นสัญญาณของการโดนยาพิษ ใครวางยาพิษให้เฉินหมิง?
“ใครวางยาพิษลุง? ผมจะไปส่งลุงที่โรงพยาบาล!”
เหยียนหมิงซุ่นกล่าวสรุปทันทีแล้วอุ้มเฉินหมิงขึ้นมาเตรียมจะไปโรงพยาบาล เขาไม่อยากเห็นเฉินหมิงตายด้วยวิธีแสนทรมานแบบนี้
“…ไม่…ทันแล้ว…แก…ระวัง…เสียวเป่า…”
เฉินหมิงสำรอกเลือดสีดำออกมาไม่หยุด เขารู้ว่าจวนถึงจุดจบของชีวิตแล้วและรู้ว่าใครเป็นคนวางยาพิษให้เขา แต่เขาพูดไม่ออกแล้ว
ตรงหน้าราวกับมีเด็กทารกขาวอวบคนหนึ่งกำลังหัวเราะคิกคักโบกมือให้เขารัว ๆ เฉินหมิงยิ้มอย่างมีความสุข “เสียวเป่า พ่อมาแล้ว…”
“ลุงหมิง…”
เหยียนหมิงซุ่นขานเรียกทีหนึ่งแต่ก็ไร้ปฏิกิริยาตอบโต้จากเฉินหมิง เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่งวางศพของเฉินหมิงลงพร้อมกับความสงสัยที่ฝังรากลึกลงในใจ
ประโยคสุดท้ายของเฉินหมิงหมายความว่าอย่างไร?
อีกฝ่ายเตือนให้เขาต้องระวังใคร?
คนคนนี้ต้องเป็นคนที่วางยาพิษให้เฉินหมิงหรือเปล่า?
เหยียนหมิงซุ่นคิดจนปวดศีรษะ เฉินหมิงตายแล้วแต่เขากลับรู้สึกว่าหมอกควันตรงหน้ามัวหมองมากขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับใยแมงมุมพัวพันระโยงระยางและรายล้อมตัวเขาไว้แน่น
“ไปสืบมาให้ดีว่าเฉินหมิงโดนยาพิษตัวไหน? และไม่กี่วันก่อนเขาตายเคยเจอใครมาบ้าง!” เหยียนหมิงซุ่นออกคำสั่ง
ลูกน้องหามศพของเฉินหมิงไปแล้ว เหยียนหมิงซุ่นถอนหายใจยาว เดินย่ำด้วยฝีเท้าที่หนักอึ้ง
…………………………
ตอนที่ 1725 ความอ่อนแอที่ถาโถมเข้ามากะทันหัน
เหมยเหมยได้รับสายจากเหยียนหมิงซุ่นอีกครั้ง รายการจะเริ่มขึ้นในช่วงบ่ายแต่เหยียนหมิงซุ่นโทรมาในช่วงกลางวัน เสียงที่ฟังดูอ่อนแออย่างไม่เคยเป็นมาก่อนพอจะฟังออกว่าเขากำลังอารมณ์ย่ำแย่มาก
“เฉินหมิงตายแล้ว โดนยาพิษ แต่พี่สืบไม่ได้ว่าใครเป็นคนวางยาพิษเขา” เหยียนหมิงซุ่นเศร้าเสียใจ
จากการชันสูตรศพของเฉินหมิงโดยแพทย์นิติเวชกลับตรวจสอบไม่ได้ว่าเฉินหมิงโดนยาพิษชนิดไหน อีกทั้งลูกน้องก็ตามสืบได้ว่าเมื่อหลายวันก่อนที่เฉินหมิงตายไม่เคยพบปะกับใคร
สิ่งที่ทำให้เขายากจะเข้าใจมากที่สุดคงไม่พ้นถ้อยคำสุดท้ายที่น่าประหลาดใจก่อนที่เฉินหมิงตาย คนใกล้ตายมักหลงลืมความชั่วร้ายของตัวเอง เฉินหมิงไม่มีทางพูดปดปั่นหัวเขาก่อนตายแน่นอน ฉะนั้นเหยียนหมิงซุ่นก็ยิ่งคิดไม่ตก
เหมยเหมยหลงคิดว่าเหยียนหมิงซุ่นกำลังเสียใจกับความตายของเฉินหมิงเลยพูดปลอบโยนว่า “เขาทำตัวเอง พี่ดีกับเขาอย่างถึงที่สุดแล้ว อย่าเสียใจไปเลย”
“พี่เดาว่าอาจจะเป็นศัตรูของเฉินหมิงวางยาพิษ ในเมื่อเขาทำเรื่องชั่วร้ายมาตั้งมาก ศัตรูก็ต้องมากเช่นกัน ประมาทตัวเข้าหน่อยเลยโดนเข้าอย่างจัง” เหมยเหมยพูดเสียงมุ่งมั่น
คนที่มาสายธุรกิจด้านมืดจะมีสักกี่คนที่หลับสนิทตลอดคืน?
ไม่เดือดร้อนถึงครอบครัวก็นับว่าเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแล้ว!
พอฟังเสียงเจื้อยแจ้วของเหมยเหมยจากปลายสายก็ช่วยทำให้หัวใจอันยุ่งเหยิงของเหยียนหมิงซุ่นสงบลงอย่างมาก อมยิ้มที่มุมปากอ่อน ๆ ค่อย ๆสงบสติอารมณ์ ไม่ว่าเฉินหมิงจะหมายถึงอะไรแต่ก็นับได้ว่าคลื่นลมสงบไปชั่วคราว ฉะนั้นไม่จำเป็นต้องคอยกังวลใจอะไรอีก
ส่วนถ้อยคำพวกนั้นของเฉินหมิง ไว้ค่อย ๆตามสืบแล้วกัน!
ทหารมาก็ใช้ต้านรับ น้ำมาก็ใช้ดินต้านทาน มีอะไรให้กลัวกัน?
“พี่ไม่เป็นไรแล้ว เธอไปถ่ายรายการเถอะ รอพี่จัดการธุระเสร็จจะไปหาเธอที่ฮ่องกงนะ” เหยียนหมิงซุ่นนึกเสียดายอยู่บ้าง หากเป็นไปได้เขาอยากไปให้กำลังใจภรรยาที่ฮ่องกงเสียเดี๋ยวนี้เลย
“อืม พี่ต้องระวังตัวด้วยนะ บางเรื่องขอแค่ทำสุดความสามารถก็พอ อย่าแบกภาระอะไรไว้คนเดียว ถ้าเหนื่อยจนร่างพัง รอฉันกลับบ้านไปใครจะทำปีกไก่ย่างน้ำผึ้งให้ฉัน แล้วก็สเต๊กแห่งรัก…” เหมยเหมยจงใจออดอ้อน เหยียนหมิงซุ่นผู้เศร้าโศกเมื่อครู่เธอไม่เคยเห็นมาก่อนเลย
เธอเป็นห่วงเหลือเกิน
ตลอดเวลาที่ผ่านมาเหยียนหมิงซุ่นมีความเป็นอยู่ดั่งเทพเจ้าในใจเธอ ราวกับไม่มีเรื่องไหนทำไม่ได้ เข้มแข็งไม่มีวันล้ม เปรียบดั่งบนโลกใบนี้ไม่มีเรื่องใดที่เหยียนหมิงซุ่นทำไม่ได้
แต่ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าตนคิดผิดไป เหยียนหมิงซุ่นเป็นคน ไม่ใช่เทพเจ้า
อีกทั้งเขาแบกภาระไว้มากเกินไปทั้ง ๆที่เขาก็เพิ่งอายุยี่สิบห้าปีเท่านั้น มีชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันกับเขามากมายที่ยังไม่ ‘หย่านม’ ด้วยซ้ำ!
เหมยเหมยกัดฟันลอบตัดสินใจเพียงคนเดียวว่าอนาคตเธอจะต้องช่วยแบ่งเบาภาระของเหยียนหมิงซุ่น อืม…เรื่องเล็กน้อยพวกนี้ก็จัดการเองแล้วกัน จะเพิ่มปัญหาให้เหยียนหมิงซุ่นไม่ได้!
เหยียนหมิงซุ่นฟังเสียงหวานใสของเหมยเหมยพลันก็อารมณ์ดีขึ้นทันตา เอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ “ก็ได้…เธออยากทานอะไรจะทำให้หมดเลย”
“คุยอะไรอีกเนี่ย? คุยอีกรายการก็จบแล้ว…มีอะไรไว้กลับไปค่อยคุยไม่ได้เหรอ?” สยงมู่มู่วิ่งมาอย่างอารมณ์เสีย ตกลงกันไว้แล้วว่าจะโทรคุยแค่ห้านาทีแต่พวกเขารออยู่ในรถมาครึ่งชั่วโมงแล้วก็ไม่เห็นวางสายสักที
มีเรื่องให้พูดมากมายขนาดนั้นเชียว?
เพิ่งจะห่างกันแค่สัปดาห์เดียวเท่านั้นเอง!
เหมยเหมยกลอกตาใส่เขาแวบหนึ่งก่อนจะยิ้มพูดกับคนปลายสายเสียงเบาอีกประโยคหนึ่งถึงวางสายไป ปั้นหน้าเย็นชาแค่นเสียงใส่ทีหนึ่งแล้วผลักสยงมู่มู่ออกสะพายกระเป๋าเป้ออกเดินทาง
เสี่ยวอวิ๋นไปส่งพวกเขาที่สถานีโทรทัศน์ เซี่ยเข่ออิ๋งกับหลินฮั่นเหวินมากันแล้ว รวมถึงเจ้ากวางน้อยใสซื่ออย่างเฉินเจียก็ตั้งใจมาให้กำลังใจโดยเฉพาะ พอหมอนี่เห็นสยงมู่มู่กับอู่เชาเดินมาก็โผกอดอย่างดีใจ แต่สำหรับเหมยเหมยและเซียวเซ่อเขาพยายามข่มเก็บอาการไว้ซึ่งทำเพียงจับมือทักทายตามมารยาท
แต่ดูจากท่าทางของเขาแล้วคิดว่าคงอยากโผกอดเช่นเดียวกัน
รถอีกคันเคลื่อนมาจอดตรงหน้าประตูสถานีโทรทัศน์ คนที่ลงจากรถก่อนคือวัยรุ่นหนุ่มสามคน เหมยเหมยมองปราดเดียวก็ดูออกว่าเป็นแขกรับเชิญสามคนนั้นเลยอดมองไปไม่ได้ โอหยางซานซานก็น่าจะอยู่บนรถคันนี้เหมือนกันสินะ?
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น