อัจฉริยะสมองเพชร 1718-1721

 ตอนที่ 1718 จางเซวียนถูกจับ

“แกทรงพลังขนาดนี้ได้อย่างไรกัน?” จางเซวียนหน้าถอดสีด้วยความพรั่นพรึงขณะล่าถอยอย่างปั่นป่วน


ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาในตอนนี้คือนักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติ โลกจารึกเท่านั้น ตราบใดที่ศัตรูยังไม่รู้สึกว่าตัวเขาเป็นภัยคุกคาม พวกมันก็จะไม่ทำอันตรายตัวประกัน


เห็นชายหนุ่มพร้อมหลบหนีทันทีที่การลอบสังหารของตัวเองล้มเหลว เผ่าพันธุ์ปีศาจที่สวมชุดเกราะสีดำคำราม “แกคิดจริงๆหรือว่าตัวเองยังมีโอกาสหนีรอด?”


พริบตาต่อมา พลังจากฝ่ามือของเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวนั้นก็เข้มข้นขึ้น แรงกดดันหนักหน่วงแผ่ออกมาเป็นคลื่น ทำให้จางเซวียนรู้สึกราวกับกำลังยืนอยู่ตรงหน้ายักษ์ตัวใหญ่


“จัดการเลย!” จางเซวียนคำรามด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกความตื่นตระหนก


เคร้งงงง!


ดาบระดับเซียนขั้นสูงสุดที่เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวนั้นยังคงยึดไว้แตกสลายไปกลางอากาศ เกิดเป็นคลื่นความสั่นสะเทือนที่เทียบเท่ากับการระเบิดจุดตันเถียนของนักรบระดับเซียนขั้น 9 แรงกดดันหนักหน่วงนั้นทำให้เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่สวมชุดเกราะสีดำซวนเซ เปิดช่องให้จางเซวียนมีโอกาสหลบหนี


จางเซวียนใช้เวลาอันมีค่าที่ได้มาด้วยการสละอาวุธอันเป็นที่รัก เขารีบหนีไปโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้


“หยุดอยู่ตรงนั้นเลย!”


เมื่อเห็นฆาตกรกำลังหลบหนี เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวอื่นๆที่อยู่โดยรอบต่างก็ชักอาวุธออกมาเตรียมพร้อมเพื่อเปิดการโจมตี


“เก็บอาวุธก่อน หมอนั่นทำให้ผมสนใจ ปล่อยมันไว้ให้ผมจัดการเอง!” เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่สวมชุดเกราะสีดำหัวเราะหึๆขณะก้าวออกไปข้างหน้า 1 ก้าวและปล่อยพลังจากฝ่ามือ


การระเบิดของอาวุธระดับเซียนขั้นสูงสุดนั้นจัดว่าทรงพลังไม่น้อย แต่ก็ยังอ่อนด้อยเกินกว่าที่จะทำให้นักรบขั้นชั่วกัลปาวสานสะดุ้งสะเทือน


ฟึ่บ!


พลังฝ่ามือหนักหน่วงปรากฏขึ้นกลางอากาศเหนือศีรษะของจางเซวียน พร้อมกันนั้น มิติที่อยู่รอบตัวเขาก็ดูจะแข็งทื่อไป ทำให้ไม่อาจขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้


“บ้าจริง!” จางเซวียนสบถด้วยสีหน้าหวาดหวั่น


พริบตาตอบมา เลือดก็กระอักออกจากปากของเขา ราวกับเขาได้เรียกใช้พลังจากสายเลือด รังสีของจางเซวียนเข้มข้นขึ้นเป็น 2 เท่า ด้วยพละกำลังที่ได้มาใหม่ เขาพยายามทำลายมิติแข็งทื่อที่โอบล้อมอยู่รอบตัว


“แกนี่ถือว่าทรงพลังไม่เบาสำหรับนักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติ แต่ช่องว่างระหว่างวรยุทธขั้นร่างอันทรงเกียรติกับชั่วกัลปาวสานนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะเอื้อมถึงกันได้เพียงแค่การใช้ความฉลาดปราดเปรื่องและไหวพริบ…ยอมแพ้ซะเถอะ!”


บึ้มมมมม!


เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่สวมชุดเกราะสีดำประสานมือเข้าด้วยกัน แล้วเสียงระเบิดดังสนั่นก็ดังกึกก้องไม่หยุด จางเซวียนยังไม่อาจทำลายปราการแห่งมิติที่อยู่รอบตัวเขาได้ เขามีสภาพราวกับปูที่ถูกรัดไว้แน่น ไม่ว่าจะต่อสู้ดิ้นรนสักแค่ไหนก็ทำอะไรไม่ได้เลย


“มานี่!” เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่สวมชุดเกราะสีดำร้องเรียกพร้อมกับโบกมือ แล้วร่างของจางเซวียนก็ลอยเข้าหาอีกฝ่ายอย่างไม่มีทางสู้


ตอนนี้ ใบหน้าของจางเซวียนซีดเผือด ราวกับสูญเสียพละกำลังทั้งหมดไปแล้วจากการเรียกใช้พลังงานของสายเลือด


รู้ดีว่าชะตาของตัวเองคงจะถึงจุดจบในไม่ช้า จางเซวียนถุยน้ำลายใส่เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่สวมชุดเกราะสีดำพร้อมกับตวาดก้อง “ฆ่าฉันเลยถ้าแกต้องการ แต่ฉัน, เซวียนจาง จะไม่มีวันยอมจำนนให้แก!”


“ฆ่าแก? ฮ่าฮ่าฮ่า! วางใจเถอะ ฉันจะปล่อยให้แกอยู่ดูโลกอีกสักหน่อย ยิ่งปรมาจารย์มีความเก่งกาจไร้เทียมทานมากขึ้นเท่าไหร่ พลังปราณของพวกเขาก็ยิ่งบริสุทธิ์ขึ้นเท่านั้น ถือเป็นเครื่องบรรณาการที่สมบูรณ์แบบสำหรับเทพเจ้าของเรา ฉันยังกังวลอยู่ว่าพวกเราจะมีเครื่องบรรณาการไม่มากพอ แต่ในเมื่อแกอยู่ที่นี่แล้ว ฉันก็ค่อยคลายใจ…”


เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่สวมชุดเกราะสีดำหัวเราะหึๆ จากนั้นก็โยนจางเซวียนไปกองรวมกับหูเหยาเหย่าและคนอื่นๆ “มัดมันไว้! เราจะใช้มันเป็นหนึ่งในเครื่องบรรณาการของเรา!”


“ขอรับ ท่านแม่ทัพ”


เผ่าพันธุ์ปีศาจอีก 2 ตัวรี่เข้าใส่จางเซวียน จากนั้น ด้ายเส้นบางๆก็ถูกนำมาพันรอบข้อมือของเขาไว้เพื่อสกัดกั้นวรยุทธ ในสภาพนี้ จางเซวียนจะไม่สามารถปลดปล่อยพลังปราณได้เลย


หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการ เผ่าพันธุ์ปีศาจทั้ง 2 ตัวก็รีบหันกลับไปจัดเตรียมแท่นบูชา


เห็นทุกอย่างเป็นไปตามแผน จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก ขณะที่เขากำลังจะพิจารณาด้ายเส้นบางๆที่พันรอบข้อมือของเขา ก็พลันได้ยินเสียงถอนหายใจอยู่ข้างหู


“คุณไม่ควรมาที่นี่เลย คุณกำลังสังเวยตัวเองไปโดยเปล่าประโยชน์!”


ผู้พูดคือผู้อาวุโสคนหนึ่งที่มีวรยุทธขั้นการพักฟื้นภายในซึ่งอยู่ไม่ห่างออกไปจากเขานัก


“ผู้อาวุโส คุณรู้ไหมว่าทำไมพวกมันจึงจัดเตรียมแท่นบูชา?” จางเซวียนตั้งคำถาม


เขาออกจะประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นอีกฝ่ายยังคงมีสติและรู้สึกตัวดี ต่างกับสีหน้าไร้ชีวิตชีวาของนักรบคนอื่นๆที่อยู่รอบตัว แต่แล้วก็ประเมินระดับวรยุทธของผู้อาวุโสได้อย่างรวดเร็ว เป็นไปได้ว่าบางทีของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่อาจใช้การไม่ได้ผลนักกับอีกฝ่าย


“พวกมันตั้งใจจะใช้พวกเราเป็นเครื่องบรรณาการเพื่อทำลายมิติและสร้างสะพานที่จะนำพาพวกมันตรงเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อ” ผู้อาวุโสกระซิบกระซาบ


เพราะถูกสกัดกั้นวรยุทธไว้ เขาจึงไม่อาจส่งโทรจิตโดยใช้พลังปราณได้


“ทำลายมิติ? สร้างสะพานที่จะนำพาพวกมันตรงเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อ?” จางเซวียนถึงกับชะงัก “ในมิติหิมะแห่งนี้ไม่มีทางออกหรือ? ขอแค่พวกมันพบทางออก ก็จะเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อได้ จำเป็นต้องทำขนาดนี้ด้วยหรือไง?”


“ทางออก?” ได้ยินคำนั้น ผู้อาวุโสยิ้มเจื่อนๆ “ที่นี่น่ะมีทางออก แต่เส้นทางเหล่านั้นไม่อาจนำไปสู่วิหารแห่งขงจื๊อได้!”


“เป็นไปไม่ได้น่ะ?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


ด้วยการเดินทางจากมิติหนึ่งไปสู่อีกมิติหนึ่ง เขาพอจะสรุปได้ว่าอาณาจักรโบร่ำโบราณแห่งนี้มีโครงสร้างที่เหมือนกับคุกใต้ดิน ขอแค่เขาเดินทางลงไปลึกพอ ในที่สุดก็จะเข้าถึงวิหารแห่งขงจื๊อ


“วิหารแห่งขงจื๊อมีหอบริวาร 6 หอ และหอลำดับแรกอีก 1 หอ หอบริวารแต่ละหอแสดงถึงมิติแต่ละมิติ ซึ่งทั้งทางออกและทางเข้าของมิติเหล่านี้ก็เชื่อมโยงถึงกันด้วย ดังนั้น หากเราเดินทางจากมิติหนึ่งไปสู่อีกมิติหนึ่ง ก็จะทำได้เพียงแค่วนเวียนอยู่ภายในทั้ง 6 มิตินี้เท่านั้น ไม่มีทางที่จะเข้าถึงวิหารแห่งขงจื๊อได้ ไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม!” ผู้อาวุโสตอบ


“ดูมิติหิมะแห่งนี้เป็นตัวอย่าง หากเรายังคงเข้าสู่ทางออกในมิติแห่งนี้เพื่อทะลุไปยังอีกมิติหนึ่ง เมื่อผ่านไปครบ 5 มิติแล้ว เราก็จะวนกลับมาที่นี่อีก”


“ฮะ…เป็นแบบนั้นจริงๆหรือ?” จางเซวียนถึงกับผงะ


เขาเคยคิดว่าตราบใดที่เดินทางทะลุทั่วทุกมิติแล้ว สุดท้ายก็จะไปถึงวิหารแห่งขงจื๊อ ใครจะไปคิดว่าแท้ที่จริงแล้วมิติเหล่านี้เชื่อมโยงถึงกันเป็นวงกลม?


ก็หมายความว่าเขากำลังเดินทางเป็นวงกลมใช่ไหม?


“แต่นี่เป็นความลับสุดยอดที่แม้แต่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ก็ยังไม่รู้ แล้วคุณรู้ได้อย่างไร?” จางเซวียนถามด้วยความสงสัย


ขนาดตัวเขามีตำแหน่งมากมาย ก็ยังไม่รู้ข้อมูลสำคัญแบบนี้ ถ้ารองประธานเหรินแห่งสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่รู้เรื่องนี้ ก็คงบอกเขาไปนานแล้ว…ดูไม่สมเหตุสมผลเลยที่ผู้อาวุโสที่อยู่ตรงหน้าจะรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี


“ผมบังเอิญมีความเชี่ยวชาญในภาษาของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น และได้ยินพวกมันหารือเรื่องนี้กันเมื่อครู่ก่อนหน้า ดูเหมือนวิธีเดียวที่จะเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อได้ก็คือทำลายมิติและตรงเข้าสู่หอบริวารโดยตรง” ผู้อาวุโสตอบ


“เข้าสู่หอบริวารโดยตรง? ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด มีแต่ผู้ที่ครอบครองเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานเท่านั้นถึงจะเข้าสู่หอบริวารได้ไม่ใช่หรือ?”


หากใครก็เข้าสู่หอบริวารได้เพียงแค่ทำลายมิติในอาณาจักรโบร่ำโบราณ แล้วการแบ่งสรรปันส่วนเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานที่เกิดขึ้นในตอนแรกจะทำไปเพื่ออะไร?


และก็แน่นอนว่าโลกทั้งโลกไม่จำเป็นต้องแย่งชิงมันด้วย


“ความจริงก็คือเราไม่อาจเข้าสู่หอบริวารได้หากไม่มีเครื่องรางฟ้าประทานในตำนาน แต่ก็ยังสามารถเข้าถึงบริเวณภายนอกหอบริวารได้ นั่นคืออาณาเขตรอบนอกของวิหารแห่งขงจื๊อที่มีพลังจิตวิญญาณเข้มข้นมาก ใครก็ตามที่ฝึกฝนวรยุทธที่นั่นจะสามารถยกระดับวรยุทธได้อย่างรวดเร็ว อีกอย่าง ต่อให้ผู้นั้นไม่อาจเข้าสู่หอบริวาร แต่ก็ยังสามารถพักแรมที่อาณาเขตรอบนอกและรอแย่งชิงทรัพย์สมบัติจากผู้ที่สามารถเข้าไปข้างใน ดังนั้น ผู้เชี่ยวชาญส่วนมากจึงเลือกที่จะพักแรมอยู่ในอาณาเขตรอบนอก และว่ากันว่า…มีแม้แต่เหล่านักปราชญ์โบราณอยู่ในหมู่พวกเขาด้วย!” ผู้อาวุโสอธิบาย


“นักปราชญ์โบราณ? พวกเขาพักแรมอยู่ในอาณาเขตรอบนอกด้วยหรือ?” จางเซวียนหรี่ตาด้วยความพรั่นพรึง


“ใช่แล้ว ด้วยกฎเกณฑ์อันเข้มงวดของวิหารแห่งขงจื๊อ จะไม่มีใครเข้าสู่หอบริวารหรือหอลำดับแรกได้ แต่พวกเขาก็สามารถพักแรมอยู่ในอาณาเขตรอบนอกและพยายามฉกฉวยแย่งชิงทรัพย์สมบัติของผู้ที่ออกมาจากด้านใน เพราะถึงอย่างไร ผู้ที่เข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อได้ก็จะต้องออกมาในสักวันหนึ่งอยู่ดี อันที่จริง นั่นคือสถานที่ที่อันตรายที่แท้จริงรออยู่ นักรบทั่วไปอย่างพวกเราคงทำได้แค่ท่องตระเวนไปทั่วมิติต่างๆ แต่หากเราไปถึงอาณาเขตรอบนอกได้จริงๆ ก็คงเสียชีวิตเสียก่อนที่จะทันรู้ตัว” ผู้อาวุโสตอบอย่างขมขื่นใจ


“ช่างมันเถอะ พูดไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ อีกไม่ช้าเราก็จะกลายเป็นเครื่องบรรณาการแล้ว เรื่องนั้นก็ไม่มีผลอะไรกับเราอีก!”


“ผมก็ว่าอย่างนั้น” จางเซวียนตอบขณะประมวลข้อมูลจำนวนมหาศาลที่เพิ่งได้รับมา


เขาเคยคิดว่าเหล่านักปราชญ์โบราณไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสู่มิติใดๆ แต่พวกเขาก็เข้าถึงอาณาเขตรอบนอกของวิหารแห่งขงจื๊อได้


จางเซวียนพลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา


ถ้าเผ่าพันธุ์ปีศาจรู้ข้อมูลพวกนี้ นั่นก็หมายความว่าพวกมันได้สำรวจมิติครบทั้ง 6 มิติ หรือจะเป็นไปได้ไหมว่าผู้เชี่ยวชาญสักคนของพวกมันได้เข้าถึงอาณาเขตรอบนอกของหอบริวารแล้ว?


ตอนนี้เขาฝ่าฟันมิติต่างๆมาได้ถึง 3 มิติ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าทั้งจ้าวหย่า เว่ยหรูเหยียน และคนอื่นๆอยู่ที่ไหน อีกทั้งยังไม่พบกลุ่มคนจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ และแม้แต่หลัวลั่วชิงกับคนอื่นๆที่เขารู้จักก็ไม่ปรากฏตัว


เป็นไปได้หรือไม่ว่าคนเหล่านั้นเข้าถึงอาณาเขตรอบนอกของหอบริวารแล้ว?


ตอนที่ 1719 เปิดใช้งานแท่นบูชา

เท่าที่เห็น ดูเหมือนเราจะยังล้าหลังคนอื่นๆอยู่ ต้องเร่งมือหน่อยแล้ว…


จางเซวียนเสียเวลาไปเกือบ 10 ชั่วโมงกับการเดินทางผ่านมิติทั้ง 3 มิติ ซึ่งหากใครสักคนเข้าถึงหอบริวารได้ระหว่างช่วงเวลานี้ ทรัพย์สมบัติที่อยู่ภายในก็คงถูกกวาดเกลี้ยง


เขาต้องทำเวลา จะมัวเสียเวลาไปกับการค้นหาทางออกไม่ได้


จางเซวียนหันกลับไปมองเผ่าพันธุ์ปีศาจ และเห็นว่าพวกมันจัดเตรียมของล้ำค่าสำหรับแท่นบูชาเกือบเสร็จแล้ว รู้ดีว่าไม่มีเวลาจะเสีย จางเซวียนทาบนิ้วลงไปบนเส้นด้ายที่สกัดกั้นวรยุทธของเขาไว้


วิ้ง!


เกิดการกระตุก หนังสือเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในหอสมุดเทียบฟ้า


ข้อมูลที่อยู่ภายในหนังสือนั้นลอยเข้าสู่สมองของเขา


“พันธนาการถ่วงวิญญาณ, ของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่มีอานุภาพในการสกัดกั้นพลังปราณและจิตวิญญาณของนักรบไว้ ทำจากเส้นเอ็นของอสูรที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึก, ปลานรกดึกดำบรรพ์ แม้แต่นักรบขั้นชั่วกัลปาวสาน โลกจารึกก็ยังหนีรอดจากมันได้ยาก ข้อบกพร่อง : …”


เมื่ออ่านรายละเอียดจบ จางเซวียนพยักหน้า


เป็นอย่างที่เขาคาดเดาไว้ ของล้ำค่าที่คุมขังคนกลุ่มนี้เป็นของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ถ้าเขาเลือกสังหารเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่สวมชุดเกราะสีดำแทนที่จะปล่อยให้ตัวเองถูกจับ หูเหยาเหย่ากับคนอื่นๆจะต้องถูกพวกมันฆ่าทิ้งแน่!


เราต้องจัดการกับสิ่งนี้ก่อน…จางเซวียนสูดหายใจลึกก่อนจะเปิดใช้ดวงตาหยั่งรู้


เมื่อรู้ข้อบกพร่องของเส้นด้ายแล้ว เขาก็หาวิธีจัดการมันได้อย่างรวดเร็ว


ฟึ่บ!


เพียงแค่ใช้ความคิด จิตวิญญาณต้นกำเนิดของจางเซวียนก็สลัดเอาเส้นด้ายนั้นออกไปได้อย่างแผ่วเบา พลังปราณของเขาทำลายของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่และไหลเวียนทั่วร่างกายได้อย่างราบรื่นอีกครั้ง


แต่จางเซวียนก็ไม่กระโตกกระตาก เขาหันไปส่งโทรจิตหาผู้อาวุโสที่อยู่ข้างๆ “ผู้อาวุโส คุณอยากฆ่าเผ่าพันธุ์ปีศาจพวกนี้ไหม?”


ผู้อาวุโสถึงกับผงะ


การที่อีกฝ่ายสามารถส่งโทรจิตหาเขาได้ก็หมายความว่าชายหนุ่มไม่ได้ถูกสกัดกั้นวรยุทธไว้


เกรงว่าผู้อาวุโสจะพูดอะไรที่ทำให้เผ่าพันธุ์ปีศาจรู้ตัว จางเซวียนรีบพูดต่อ “อย่าเพิ่งพูดอะไรนะ แค่ทำตามคำสั่งของผม ผมมีกระแสพลังปราณอยู่ ผมอยากให้คุณทำตามคำสั่งและถ่ายทอดพลังปราณเข้าสู่เส้นด้ายที่พันรอบข้อมือของคุณ”


รู้ดีว่ามีความจำเป็นสูงสุดที่จะต้องไม่ทำให้เผ่าพันธุ์ปีศาจรู้ตัว ผู้อาวุโสพยักหน้าอย่างเงียบๆ


“เพื่อทำลายเส้นด้ายที่พันธนาการพวกเราไว้ เราต้องใช้คน 10 คนร่วมมือกัน ผมจึงอยากให้คุณถ่ายทอดพลังปราณนี้ไปยังคนอื่นๆด้วย” จางเซวียนสั่งการขณะถ่ายทอดกระแสพลังปราณเข้าสู่ร่างของผู้อาวุโส


วิธีที่ดีที่สุดในการรับมือกับของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ก็คือต้องทำให้มันยอมจำนนและนำมาใช้ประโยชน์ ซึ่งวิธีการที่จะทำให้มันยอมจำนนได้นั้นจะต้องเล่นงานจุดอ่อนของมันให้ได้ 10 ข้อพร้อมกัน แต่ในเมื่อตอนนี้ทุกคนถูกคุมตัวไว้ และเขาก็ไม่กล้าเคลื่อนไหวอะไรมากไปเพราะเกรงจะทำให้เผ่าพันธุ์ปีศาจรู้ตัว จางเซวียนจึงต้องยืมมือคนเหล่านี้เพื่อสำแดงพลังปราณของเขา


ผู้อาวุโสพยักหน้าขณะทำปากบุ้ยใบ้ ได้สิ


ด้วยการใช้ร่างของตัวเองเป็นสะพาน ผู้อาวุโสถ่ายทอดกระแสพลังปราณไปยังนักรบที่อยู่ติดกับเขา


นักรบที่ได้รับกระแสพลังปราณไปนั้นถึงกับผงะไปครู่หนึ่ง แต่ก็ได้รับโทรจิตจากจางเซวียนอย่างรวดเร็ว กระบวนการนี้จึงดำเนินต่อไป


รู้ดีว่านี่เป็นหนทางเดียวที่จะเอาชีวิตรอด ทุกคนจึงทำตามคำสั่งของจางเซวียนอย่างเคร่งครัดโดยไม่พูดอะไรสักคำ กระแสพลังปราณเดินทางไปเป็นรูปครึ่งวงกลมก่อนจะถึงตัวหูเหยาเหย่า


เป็นคุณจริงๆด้วย…


เมื่อได้ยินและรับรู้ได้ถึงกระแสพลังปราณที่ไหลเข้าสู่ร่างของเธอ ภาพชายหนุ่มคนหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวสมองของหูเหยาเหย่า ร่างของเธอกระตุกและรีบหันขวับไปมอง


เซวียนจาง…จางเซวียน! เป็นเขาจริงๆ!


เธออดไม่ได้ที่จะยิ้มน้อยๆเมื่อได้ยินอีกฝ่ายประกาศชื่อของตัวเอง


ถ้าหมอนั่นอยู่ที่นี่ ทุกคนก็ปลอดภัยแล้ว


แม้เธอจะเข้าสู่สมาคมผู้เชี่ยวชาญด้านนาฏศิลป์สำนักงานใหญ่หลังจากที่ออกจากสถาบันปรมาจารย์หงหย่วนไปได้ไม่นาน แต่ข่าวคราวของจางเซวียนก็แพร่สะพัดมาเข้าหู


ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่เดือน เขาได้รับทั้งเกียรติและตำแหน่งสูงส่งในทวีปแห่งปรมาจารย์ หากจางเซวียนออกโรงด้วยตัวเองแล้ว ก็ไม่มีทางที่จะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเธอ


จางเซวียนไม่รู้ว่ามีใครคนหนึ่งมองเห็นเขาแล้ว เขายังคงส่งโทรจิตหาทุกคนต่อไป “เอาล่ะ เคลื่อนไหวตามคำสั่งของผมนะ ดูให้แน่ใจก่อนว่าถ่ายทอดพลังปราณที่ผมมอบให้ให้กับคนข้างๆคุณแล้ว เราจะปล่อยให้เกิดความผิดพลาดไม่ได้!”


พริบตาต่อมา ทุกคนที่ได้พลังปราณจากจางเซวียนก็ทาบนิ้วลงบนเส้นด้ายที่พันรอบข้อมือของพวกเขาพร้อมกัน


“เริ่ม!”


วิ้ง!


เส้นด้ายนั้นสั่นสะท้านเล็กน้อย แล้วจางเซวียนก็รู้สึกได้ถึงกระแสจิตใต้สำนึกที่ซึมซาบเข้าสู่หัวสมองของเขา


ของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ยอมจำนนให้เขาแล้ว!


“คุ้มกันคนพวกนี้ไว้ ถ้าเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวไหนจงใจทำให้พวกเขาได้รับอันตราย ยับยั้งมันไว้ให้ได้ ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนก็ตาม!” จางเซวียนสั่งการเส้นด้ายก่อนจะหันกลับไปมองเผ่าพันธุ์ปีศาจอีกครั้ง


พวกมันยังคงวุ่นอยู่กับการจัดเรียงแท่นบูชา และอีกราว 10 นาทีหลังจากนั้นพวกมันก็หยุด


แม้ทุกตัวจะดูเหน็ดเหนื่อยแสนสาหัส แต่ก็มีความตื่นเต้นปรากฏอยู่ในแววตา


เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวหนึ่งประสานมือและรายงาน “ท่านแม่ทัพ พวกเราจัดเตรียมแท่นบูชาเรียบร้อยแล้ว พร้อมเปิดใช้งานได้ทุกเมื่อ!”


“เยี่ยมเลย บอกเจ้าพวกนั้นให้เตรียมตัวด้วย!” เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่สวมชุดเกราะสีดำพยักหน้ารับ


มันสะบัดข้อมือ แล้วคริสตัลที่ดูเย็นเยือกก็มาอยู่ในกำมือของมัน มันนำคริสตัลนั้นไปวางไว้ที่ใจกลางแท่นบูชา


วิ้ง!


เกิดแสงสว่างเรืองโอบล้อมแท่นบูชาไว้ กระแสพลังงานดูเหมือนจะไหลเวียนช้าๆอยู่ในพื้นที่โดยรอบ


คริสตัลนั่น…คือของล้ำค่าที่อารักขามิติหิมะนี้ไว้หรือเปล่า? จางเซวียนสงสัย


ผู้อารักขามิติผืนป่าคือ 5 อสูรผู้ยิ่งใหญ่ ผู้อารักขามิติทะเลทรายคือไม้ทรายเหลืองวิปลาส ส่วนคริสตัลเย็นเยือกนี้ก็ดูจะกลมกลืนกันดีกับสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยหิมะ จนถึงขนาดที่ดูเหมือนว่ามันกุมอำนาจของทั้งมิตินี้ไว้


เพียงเท่านี้ก็เห็นชัดแล้วว่าเป็นรูปแบบเดียวกันกับ 5 อสูรผู้ยิ่งใหญ่และไม้ทรายเหลืองวิปลาส


ในเมื่อมีความเป็นไปได้ที่ผู้อารักขาจะเป็นทั้งอสูรและพืช ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่สินแร่จะทำหน้าที่นี้ไม่ได้


วิ้ง! วิ้ง! วิ้ง!


ทันทีที่แท่นบูชาถูกเปิดใช้งาน พลังงานจากก้อนคริสตัลก็ดูจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ลำแสงเจิดจ้าระเบิดขึ้นสูงกลางอากาศ ฉีกกระชากมิติจนเกิดรอยแยก


ดูเหมือนมิติแต่ละแห่งจะมีฉนวนแห่งมิติปิดกั้นไว้ ทำให้ผู้ที่เข้ามาไม่อาจเคลื่อนไหวได้สูงเกินกว่าหรือต่ำลงไปเกินกว่า 30 เมตร ดังนั้น เมื่อลำแสงพุ่งขึ้นไปแตะระดับ 30 เมตร มันก็ดิ้นรนที่จะผ่านฉนวนไปให้ได้ แต่ก็ไม่อาจก้าวข้ามขีดจำกัดนั้น


“เรียกพลัง!”


เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่สวมชุดเกราะสีดำมีสีหน้าเคร่งเครียด มันแตะแท่นบูชา และแท่นบูชาก็เริ่มมีปฏิกิริยา ราวกับก้อนน้ำแข็งที่ถูกนำไปวางไว้ในหม้อที่มีอานุภาพแผดเผา ของล้ำค่าชิ้นต่างๆที่วางอยู่บนแท่นบูชาเริ่มหลอมละลาย ทำให้ลำแสงนั้นมีพละกำลังเพิ่มขึ้น


เมื่อได้การผนึกกำลังจากการเรียกพลังจากของล้ำค่า ในที่สุดลำแสงนั้นก็ฝ่าปราการมิติขึ้นไปได้ มันคำรามลั่นและพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า


ด้วยการโจมตีของลำแสง เกิดประกายระยิบระยับมากมายปรากฏขึ้นทั่วไป มิติหิมะสั่นสะท้านไม่หยุดราวกับมีใครบางคนพยายามฉีกกระชากมัน


พวกมันกำลังพยายามทำลายกฎเกณฑ์ของมิติในมิติแห่งนี้หรือ? จางเซวียนชะงักด้วยความประหลาดใจ


เขายังคิดอยู่ว่าการทำลายมิติเพื่อเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อนั้นจะทำได้อย่างไร แต่นึกไม่ถึงว่าวิธีการจะเป็นแบบนี้


กลับกลายเป็นว่าความมั่นคงแข็งแกร่งของมิติในอาณาจักรโบร่ำโบราณนั้นเป็นผลจากการทำงานอย่างเป็นระเบียบของกฎเกณฑ์แห่งมิติ ตราบใดที่ใครสักคนทำลายระเบียบของกฎเกณฑ์แห่งมิตินั้นได้ ก็สามารถฉีกกระชากมิติให้เกิดรอยแยกและเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อได้ทันที


ฟิ้วววว!


ยิ่งจำนวนของล้ำค่าที่อยู่บนแท่นบูชาถูกหลอมละลายไปมากเท่าไหร่ ลำแสงนั้นก็ยิ่งพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ไม่ช้ามันก็สูงขึ้นไปเกินกว่า 50 เมตร


60 เมตร!


70 เมตร!


80 เมตร!


…..


99 เมตร!


ดูเหมือนที่ความสูงนั้นจะเป็นขีดจำกัดของท้องฟ้าแล้ว ขณะที่ลำแสงเข้าปะทะจุดนั้น ฉนวนก็ปรากฏขึ้นอย่างเลือนราง ประกายเจิดจ้าของลำแสงซึมซาบผ่านรอยแยกทั้งหมดที่มีอยู่บริเวณนั้น


แต่ไม่ว่าลำแสงจะพยายามโจมตีฉนวนอย่างไร ก็ไม่อาจผ่านมันไปได้


วิหารขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นอย่างเลือนราง ดูเหมือนมันซ่อนตัวอยู่อีกฟากหนึ่งของฉนวนนั้น


“นั่นมันวิหารแห่งขงจื๊อนี่!” จางเซวียนอุทานขณะหันกลับไปมองแท่นบูชา


ในตอนนั้น ของล้ำค่าทุกชิ้นที่ถูกนำมาจัดเรียงไว้สลายตัวไปหมดแล้ว พละกำลังของลำแสงเริ่มจะถดถอย


ราวกับคาดเดาไว้แล้วว่าจะต้องเกิดเหตุการณ์แบบนี้ เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่สวมชุดเกราะสีดำคำราม “พวกแกเตรียมตัวไว้ให้ดี เราจะปลดปล่อยพลังปราณของเครื่องบรรณาการเหล่านี้เพื่อคารวะเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ!”


เผ่าพันธุ์ปีศาจร่างสูงเดินเข้าหานักรบทั้งกลุ่มก่อนจะนำของล้ำค่าหน้าตาประหลาดชิ้นหนึ่งออกมา มันลอยอยู่กลางอากาศอย่างเงียบเชียบ


ตอนที่ 1720 เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณปรากฏตัวอีกครั้ง

ของล้ำค่าชิ้นนั้นดูเหมือนกับเข็มทิศหยก ซึ่งเป็นไปได้ว่ามันอาจเป็นกระดองเต่าหยก ทันทีที่มันเชื่อมต่อกับเส้นด้ายบางๆที่ผูกมัดไว้ ทั้งกลุ่มก็รู้สึกถึงอาการชาไปทั่วทั้งร่างกาย ต่อมาพลังปราณก็เริ่มพวยพุ่งออกจากเส้นด้ายนั้นอย่างไม่อาจควบคุมได้


“มันไม่ได้ตั้งใจจะสังหารตัวประกันหรือ?”


ความคิดเบื้องต้นของจางเซวียนก็คือใช้พันธนาการถ่วงวิญญาณเพื่อตอบโต้และสังหารเผ่าพันธุ์ปีศาจ แต่กลับตรงกันข้ามกับความคาดหมายของเขา เพราะแทนที่เผ่าพันธุ์ปีศาจจะสังหารตัวประกันมนุษย์ที่พวกมันจับตัวมาเพื่อใช้เป็นบรรณาการต่อเทพเจ้า พวกมันกลับสูบพลังปราณของคนเหล่านั้นแทน


ในเมื่อเป็นอย่างนั้น เขาจึงไม่คิดว่าจำเป็นจะต้องเคลื่อนไหวในตอนนี้ พูดตามตรง จางเซวียนก็อยากเห็นว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจจะทำอย่างไรเพื่อให้ได้เข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อ


ในเมื่อตอนนี้ยังไม่มีอันตรายใด จางเซวียนจึงแสร้งแสดงทีท่าเหมือนกับว่าตัวเขาถูกควบคุมเช่นกัน และปล่อยให้พลังปราณไหลเวียนไปตามพันธนาการถ่วงวิญญาณเหมือนกับตัวประกันคนอื่นๆ


ไม่ช้า กระแสพลังปราณก็ก่อตัวขึ้นเป็นรูปวงกลม


วิ้ง!


เกิดแสงสว่างเป็นประกายจากพันธนาการถ่วงวิญญาณ หลอมรวมเข้ากับอักษรจารึกที่อยู่บนพื้น


ลำแสงที่อยู่เหนือแท่นบูชาขยายขนาดขึ้นอีกหลายเท่าในทันที เมื่อผนวกเข้ากับพลังงานจากเหล่าตัวประกัน มันก็พุ่งขึ้นสู่สวรรค์ได้ไกลกว่าเดิม


ซู่!


ด้วยการโจมตีอย่างหนักหน่วงจากลำแสง เกิดเสียงน้ำไหลจากฉนวนที่อยู่ด้านบน แต่ฉนวนก็ยังไม่ยอมเปิด


เมื่อเห็นภาพนั้น เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่สวมชุดเกราะสีดำหรี่ตา มันสะบัดข้อมือ จากนั้นก็นำกระบี่ออกมาและโบกมือเบาๆ


เลือดสดๆไหลออกจากฝ่ามือของมันและหยดลงบนแท่นบูชา


ทันใดนั้น ลำแสงก็สว่างเจิดจ้ากว่าเดิม


“ทายาทเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณ, เป่ยหง, ขอมอบเลือดของเขาเพื่อเป็นบรรณาการต่อเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ ขอวิงวอนเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณได้โปรดมอบพละกำลังให้พวกเรา เพื่อให้เราสามารถทำลายปราการแห่งมิติได้ด้วยเถอะ!” เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่สวมชุดเกราะสีดำพูดด้วยสำเนียงดั้งเดิมของเผ่าพันธุ์ปีศาจ


ลำแสงที่อยู่เหนือแท่นบูชาเจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นประตูบานใหญ่ก็ปรากฏตรงหน้า


ประตูบานนี้แผ่รังสีคุกคามอย่างเหลือเชื่อออกมา ทำให้เกิดความรู้สึกว่าต่อให้ใครสักคนที่มีความเก่งกาจระดับจางเซวียน ก็ยังไม่ต่างอะไรกับมดตัวหนึ่งเมื่ออยู่ต่อหน้ารังสีนี้


มันกำลังร้องเรียกเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณหรือ? จางเซวียนหรี่ตา


ราชาใบไม้ท้องฟ้าเคยใช้ความสามารถนี้มาก่อน ซึ่งตอนนั้นระดับวรยุทธของจางเซวียนยังอ่อนด้อย แต่ในตอนนี้ เขาไม่คิดว่าตัวเองจะจนปัญญา ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับเจตจำนงที่อยู่อีกฟากฝั่งหนึ่งของประตู


แอ๊ด!


ประตูบานนั้นเปิดออกช้าๆ เงารางเลือนร่างหนึ่งปรากฏ


การปรากฏตัวของเงานั้นนำมาซึ่งแรงกดดันหนักหน่วงที่พุ่งเข้าใส่จิตวิญญาณของเขา แม้จางเซวียนจะมีระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณถึง 29.9 แต่ก็ยังอดรู้สึกแย่ไม่ได้เมื่อตกอยู่ในสภาวะนั้น


ในเมื่อแม้แต่เงายังทรงพลังพอที่จะสร้างความรู้สึกนั้นให้เกิดขึ้น หากร่างนั้นปรากฏจริงๆ ก็เป็นไปได้ว่าจิตวิญญาณของทุกคนคงถูกทำลาย และอาจตายในทันทีก่อนจะทันได้มอบบรรณาการใดๆ


ช่างน่าทึ่งเสียจริง…จางเซวียนตัวแข็งและใบหน้าซีดเผือด


เขาเคยปะทะกับเผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณมาก่อน แต่เห็นได้ชัดว่าเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณตัวนี้แข็งแกร่งกว่านักปราชญ์โบราณมาก อันที่จริง ยังน่าสงสัยอยู่ว่าแม้แต่ไอ้โหดก็จะเอาชนะมันได้หรือเปล่า!


ดูเหมือนว่าหากเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณเดินทะลุบานประตูมา ทวีปแห่งปรมาจารย์ทั้งทวีปก็คงต้องแหลกสลายเพราะแรงกดดันมหาศาลที่มันแผ่เข้าใส่


แต่ทำไมเงาของเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณจึงดูคุ้นตาเหลือเกิน?


แม้จะยังคงอัศจรรย์ใจกับพละกำลังของเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ แต่ความรู้สึกคุ้นเคยก็เกิดขึ้นในหัวสมองของจางเซวียน


เมื่อตอนที่เขายังอยู่ในพระราชวังชิวอู๋ ตอนที่ได้พบกับเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณที่ราชาใบไม้ท้องฟ้าเรียกมา ก็รู้สึกได้ถึงความคุ้นเคยนี้ หากจะให้บรรยาย ก็เป็นอะไรสักอย่างที่คล้ายกับเดจาวู ราวกับว่าเขาเคยเห็นอีกฝ่ายมาก่อนในที่ไหนสักแห่ง


และตอนนี้ ความรู้สึกแบบเดิมก็กลับมาอีกครั้ง ไม่เพียงแต่เขาจะสลัดมันไม่หลุด ยังดูเหมือนจะแจ่มชัดและเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆด้วย


แต่เมื่อจางเซวียนพยายามจะจับความรู้สึกนั้นให้ได้ ก็พบว่าความทรงจำของตัวเองรางเลือนและสติสัมปชัญญะเริ่มถดถอย ทำให้หัวสมองไม่แล่น ดูเหมือนกับว่าพลังมหาศาลนั้นจงใจปิดกั้นเขาไว้ไม่ให้คิดอะไรได้ลึกซึ้งไปกว่านี้


หากมันเป็นสิ่งที่มีอำนาจเหนือกว่าที่จางเซวียนจะทำอะไรได้ เขาก็จะไม่ยอมเสียเวลากับมัน ดังนั้น จางเซวียนจึงสลัดความคิดวกวนออกไปและหันมาสนใจกับเงาที่อยู่ด้านบน


เมื่อเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณปรากฏตัว กระแสพลังปราณก็ถูกแผดเผาเร็วขึ้น เพียงชั่วระยะเวลาไม่นาน ใบหน้าของทุกคนก็ซีดเผือด


“ผมขอวิงวอนเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ ช่วยมอบเส้นทางที่นำไปสู่วิหารแห่งขงจื๊อให้พวกเราด้วย…” เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่สวมชุดเกราะสีดำซึ่งมีชื่อว่าเป่ยหงพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก ขณะปล่อยให้เลือดหยดลงสู่แท่นบูชาต่อไป


เพราะเสียเลือดมาก ร่างของมันจึงสั่นสะท้านไม่หยุด ดูราวกับว่ามันใกล้จะหมดความอดทนเร็วๆนี้


บึ้มมมมม!


หลังจากพูดประโยคนั้นจบได้ไม่นาน ลำแสงก็ระเบิดทะลุบานประตู และฉนวนแห่งมิติที่แท่นบูชาไม่อาจทำลายได้ก็เริ่มละลาย ราวกับน้ำแข็งในฤดูหนาวที่ถูกแสงอาทิตย์ของฤดูใบไม้ผลิสาดเข้าใส่


ไม่ช้า เส้นทางหนึ่งก็ปรากฏ


เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณตอบรับคำขอของเป่ยหงแล้ว!


“ขอบคุณมาก เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ!” เป่ยหงทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้นและโค้งคำนับอย่างงาม


จากนั้น ร่างนั้นก็หายวับไป แล้วบานประตูก็ค่อยๆสลายตัว เป่ยหงลุกขึ้นยืนและหันไปพูดกับเผ่าพันธุ์ปีศาจที่อยู่โดยรอบ “เส้นทางนี้จะคงอยู่เพียง 30 อึดใจเท่านั้น รีบเคลื่อนกำลังโดยเร็ว!”


“ท่านแม่ทัพ มนุษย์พวกนี้เห็นพวกเรามอบบรรณาการแก่เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณแล้ว พวกเราควรจะ…”


เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวหนึ่งเสนอให้สังหารตัวประกันเสีย


“อำมาตย์เฉินหย่งสั่งไว้ว่าตอนนี้ว่ายังไม่ให้ทำร้ายปรมาจารย์คนไหน และพลังปราณของพวกเขาก็ถูกดูดออกไปแล้ว เพราะฉะนั้นคงทำอะไรไม่ได้มาก อย่าทำให้ทุกอย่างยุ่งยากโดยไม่จำเป็น รีบออกจากพื้นที่นี้เถอะ!” เป่ยหงคำรามขณะพุ่งเข้าใส่ฉนวนแห่งมิติที่กำลังเปิด


“แกคิดจะไปไหนน่ะ?”


เห็นเป่ยหงกำลังจะออกจากพื้นที่ แล้วจางเซวียนจะปล่อยอีกฝ่ายให้ทำตามอำเภอใจได้อย่างไร? เขาเลิกกดข่มวรยุทธ จากนั้นก็พุ่งเข้าใส่เป่ยหงและคว้าตัวอีกฝ่าย


ฟึ่บ!


ทั้งคู่อยู่ห่างกันเกือบ 100 เมตร แต่การเคลื่อนไหวของจางเซวียนไม่ได้ถูกปิดกั้นด้วยข้อจำกัดของมิติ มือของเขาคว้าข้อเท้าของเป่ยหงไว้ ทำให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวไม่ถนัด


“แก…แกซ่อนวรยุทธของแกไว้หรือ?” เป่ยหงนัยน์ตาเบิกโพลงด้วยความพรั่นพรึงขณะที่ถูกทุ่มลงกับพื้น


ความแข็งแกร่งของมือที่ยึดข้อเท้าของมันไว้นั้นทรงพลังยิ่งกว่าตัวมันเสียอีก เป่ยหงรีบชักกระบี่ออกมาเพื่อเล่นงานมือนั้น


แม้เป่ยหงจะมีพละกำลังมาก แต่ก็ไม่ได้ใช้เรี่ยวแรงเต็มพิกัด เพราะคิดว่าชายหนุ่มคงจะดึงมือออก แต่กลับตรงกันข้ามกับที่คิดไว้ มือของชายหนุ่มคว้าขาของมันไว้แน่น สีหน้าของเป่ยหงเคร่งเครียดขณะรวบรวมพละกำลัง


เคร้งงงง!


กระบี่ปะทะกับดาบของชายหนุ่ม ทำให้เกิดประกายไฟ แต่แล้วกระบี่ก็ไม่อาจทิ้งร่องรอยใดๆบนมือของชายหนุ่ม


“เป็นแบบนี้ได้อย่างไรกัน?” เป่ยหงหรี่ตาอย่างไม่อยากเชื่อ


กระบี่ของมันเป็นของล้ำค่าระดับกึ่งนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ อย่าว่าแต่นักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติเลย เพียงแค่การฟาดฟันครั้งเดียวก็เกินพอจะกุดหัวนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานแล้ว แต่กระบี่เล่มนี้ก็ไม่อาจสร้างบาดแผลให้กับชายหนุ่มได้ แปลว่าอีกฝ่ายจะต้องทรงพลังขนาดไหน?


“ฆ่ามัน!”


ในตอนนั้น เป่ยหงรู้ทันทีว่ามันกำลังเสียเปรียบ รู้ดีว่าไม่อาจเล่นงานชายหนุ่มได้ด้วยกระบี่ จึงหันมามองพันธนาการถ่วงวิญญาณ


เป่ยหงยังทำให้พันธนาการถ่วงวิญญาณยอมจำนนไม่ได้ แต่ก็สามารถสั่งการให้มันทำตามคำสั่ง เมื่อมีของล้ำค่าชิ้นนี้อยู่ในครอบครอง มันก็จะไม่หวาดกลัวชายหนุ่ม ต่อให้การป้องกันตัวของอีกฝ่ายจะทรงพลังแค่ไหนก็ตาม


เป่ยหงสั่งการพันธนาการถ่วงวิญญาณผ่านทางกระแสจิต แต่หลังจากรออยู่ครู่หนึ่ง ก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง มันรีบหันไปมองพันธนาการถ่วงวิญญาณ แต่แล้วก็เห็นว่าของล้ำค่านอนนิ่งอยู่ในฝ่ามือของอีกฝ่าย


“แก…ทำให้ของล้ำค่าของฉันยอมจำนนได้แล้วหรือ?”


ในตอนนั้น เป่ยหงรู้สึกเหมือนหัวสมองจะระเบิด


เพื่อเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อ อำมาตย์เฉินหย่งได้มอบของล้ำค่าชิ้นนี้ให้มันใช้ แม้แต่ตัวมันยังไม่อาจทำให้พันธนาการถ่วงวิญญาณยอมจำนนได้ แล้วทำไมมันถึงยอมจำนนให้กับชายหนุ่มภายในระยะเวลาอันสั้นแบบนี้?


“ฮึ่มมม!”


ชายหนุ่มแตะพันธนาการถ่วงวิญญาณอย่างแผ่วเบาพร้อมกับคำราม


ฟิ้วววว!


พันธนาการถ่วงวิญญาณพุ่งเข้าใส่และร้อยรัดร่างของเป่ยหงไว้ราวกับเขาเป็นก้อนแป้ง


ในเมื่อชายหนุ่มทำให้พันธนาการถ่วงวิญญาณยอมจำนนได้ เป่ยหงรู้ทันทีว่าไม่มีทางที่พวกเขาจะสามารถรับมือกับอีกฝ่ายต่อให้ผนึกกำลังกัน จึงรีบหันไปหาบริวารและตวาดอย่างร้อนรน “ทุกคน รีบหนี!”


แต่ทันทีที่เสียงตะโกนนั้นหลุดออกจากปาก ก็พลันรู้สึกได้ว่าอสูรที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสาน โลกจารึกถึง 5 ตัวปรากฏตัวขึ้นในทุ่งน้ำแข็งนั้นและสังหารบริวารของมันจนหมด ไม่เหลือเผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีชีวิตรอดแม้แต่ตัวเดียว


“แก…พลั่ก!”


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะต้องเป็นการกระทำของชายหนุ่ม เป่ยหงทนไม่ไหว ถึงกับกระอักเลือดออกมากองใหญ่


“สกัดกั้น!”


รู้ดีว่าคงไม่อาจเรียกข้อมูลอะไรจากเป่ยหงได้ จางเซวียนสะบัดข้อมือและโยนร่างของอีกฝ่ายเข้าไปในรังนางพญามด หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการ ก็เก็บแท่นบูชาและคริสตัลเยือกแข็งที่อยู่เหนือแท่นเข้าสู่แหวนเก็บสมบัติด้วย


จากนั้นจางเซวียนก็หันไปมองทั้งกลุ่มที่เหลือและสั่งการ “อาณาเขตรอบนอกวิหารแห่งขงจื๊อนั้นอันตรายเกินไป จะปลอดภัยกว่าถ้าพวกคุณจะอยู่ที่นี่!”


เมื่อพูดจบ เขาก็กระโจนพรวดและมุ่งหน้าสู่ทางเดินแห่งมิติ


ตอนที่ 1721 เซวียนเอ๋อ, รีบมา!

“รอฉันด้วย!”


ยังไม่ทันที่จางเซวียนจะไปถึงทางเดิน ก็ได้ยินเสียงตะโกนมาจากด้านล่าง เมื่อมองลงไป ก็เห็นร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาคว้าเสื้อคลุมของเขาไว้


“หูเหยาเหย่า?” จางเซวียนถึงกับพูดไม่ออก


ผู้ที่คว้าตัวเขาไว้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากสาวน้อยที่มีใบหน้าคุ้นตาคนนั้น, หูเหยาเหย่า!


“สหาย การจะไปต่อนั้นอันตรายมากนะ จะดีที่สุดหากคุณอยู่ที่นี่” จางเซวียนพูดขณะยกมือขึ้น ตั้งใจจะส่งสาวน้อยกลับสู่พื้น


จากการพูดคุยกับผู้อาวุโสก่อนหน้านี้ เขาได้รู้ว่าที่อาณาเขตรอบนอกวิหารแห่งขงจื๊อนั้นไม่ได้มีแค่เผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสาน ยังเป็นไปได้ว่าจะมีนักปราชญ์โบราณอยู่ด้วย ถือเป็นสถานที่ที่อันตรายมากซึ่งเขาไม่อาจรับประกันความปลอดภัยได้แม้แต่ของตัวเอง ในเมื่อหูเหยาเหย่าเป็นแค่นักรบระดับเซียนขั้น 9 การที่เธอจะไปที่นั่นก็ไม่ต่างอะไรกับฆ่าตัวตาย!


ถึงอย่างไรเขาก็ปลอมตัวแล้ว จึงไม่น่าเป็นไปได้ว่าหูเหยาเหย่าจะรู้ว่าเป็นเขา


ขณะที่จางเซวียนกำลังจะเคลื่อนไหว ก็ได้ยินเสียงโทรจิตเข้ามาในหัว “จางเซวียน ถ้าคุณกล้าโยนฉันลงไป ฉันจะฟ้องตระกูลจางว่าคุณลวนลามฉัน และเรียกร้องให้คุณรับผิดชอบฉันด้วย!”


“ฮะ?” จางเซวียนแทบลมจับเมื่อได้ยินคำนั้น “คุณรู้ได้อย่างไรว่าเป็นผม?”


เขาไม่อาจอวดอ้างว่าการปลอมตัวของตัวเองนั้นไร้ที่ติ แต่ก็มั่นใจว่าต่อให้นักปราชญ์โบราณก็ยังระบุตัวตนที่แท้จริงของเขาได้ยาก แล้วในเมื่อหูเหยาเหย่าเป็นแค่นักรบระดับเซียนขั้น 9…เธอจดจำเขาได้อย่างไร?


ที่สำคัญกว่านั้น…เธอถึงกับขู่ว่าจะเข้าไปสร้างความปั่นป่วนที่ตระกูลจางด้วย


เรื่องทำนองเดียวกันนี้เคยเกิดขึ้นเมื่อครั้งที่ทั้งคู่ยังอยู่ที่สถาบันปรมาจารย์หงหย่วน เพียงแต่ในครั้งนั้น เขาคือคนที่ประกาศว่าตัวเองถูกทำร้าย ยายคนนี้ช่างเจ้าคิดเจ้าแค้นเสียจริง เรื่องผ่านมาเนิ่นนานแล้วก็ยังจำไม่ลืม!


แต่เมื่อพิจารณาจากนิสัยของหูเหยาเหย่า…ก็ชัดเจนว่าทำว่าเธอทำอะไรแบบนั้นได้แน่!


แม้จะเป็นไปได้ว่าอาจไม่มีใครเชื่อเธอ แต่แค่คิดก็น่าอับอายเกินทนแล้วสำหรับหัวหน้า 3 ตระกูลชั้นนำและปูชนียสถานนักปราชญ์ อีกทั้งยังเป็นปรมาจารย์ระดับ 9 ดาว ที่จะมีสาวน้อยคนหนึ่งวิ่งโร่ไปถึงบ้านเพื่อกล่าวหาว่าเขาลวนลามเธอ…ต่อให้ไม่มีใครถือเป็นเรื่องจริงจัง แต่ชื่อเสียงและเกียรติยศของเขาคงป่นปี้


ที่สำคัญกว่านั้น ถ้าหลัวลั่วชิงรู้เรื่องนี้…จะเป็นอย่างไร?


จางเซวียนถอนหายใจเฮือก จากนั้นก็ส่ายหน้าและส่งโทรจิตตอบ “อีกฟากหนึ่งน่ะอันตรายมากนะ คุณคิดดูให้ดีเถอะ…”


“ฉันจะไป!” หูเหยาเหย่ายืนกรานหนักแน่น


“ถ้าอย่างนั้นก็ได้” เห็นความดื้อดึงของหูเหยาเหย่า จางเซวียนรู้ดีว่าคงเปลี่ยนใจเธอไม่ได้


เขาคว้าตัวเธอไว้และพุ่งเข้าสู่ทางเดินของมิติ


ฟึ่บ!


ทั้งคู่หลุดเข้าไปในลำแสง 2 ลำที่พุ่งผ่านทางเดินแห่งมิตินั้น ทันทีที่ทั้งคู่หายวับไป ทางเดินแห่งมิติก็สลายตัวไปด้วย มิติสมานตัวกลับคืนเข้าหากันอย่างรวดเร็ว


เมื่อเห็นภาพที่เกิดขึ้น ฝูงชนที่ถูกจับตัวไว้ก่อนหน้านี้ถึงกับจังงัง


พวกเขาคิดว่าตัวเองคงตกที่นั่งลำบากแล้ว แต่ยังไม่ทันจะรู้ตัว เผ่าพันธุ์ปีศาจมากมายก็ถูกสังหารเรียบ และผู้มีพระคุณของพวกเขาก็จากไปยังทางเดินแห่งมิติ ทิ้งให้พวกเขาจังงังอยู่อย่างนั้น


“ผู้อาวุโส พวกเราควรทำอย่างไรดี?”


ทุกคนหันไปมองผู้อาวุโสที่จางเซวียนพูดคุยด้วยก่อนหน้านี้


เขาเป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม จึงเป็นธรรมดาที่ทุกคนจะขอความเห็นจากเขา


ผู้อาวุโสครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “ในเมื่อเผ่าพันธุ์ปีศาจถูกสังหารไปหมดแล้ว ตอนนี้พวกเราก็คงไม่เป็นอันตราย ทำไมเราไม่ฝึกฝนวรยุทธกันล่ะ? ถ้าวิหารแห่งขงจื๊อปิด เราก็จะไม่มีโอกาสแบบนี้อีกนะ”


พูดกันตามตรง ต่อให้เขามีความกล้ามากกว่านี้อีก 10 เท่า ก็ยังไม่กล้าเข้าสู่อาณาเขตรอบนอกของวิหารแห่งขงจื๊ออยู่ดี เขารักตัวกลัวตายเกินกว่าจะเข้าไปเสี่ยง ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น ก็ควรจะฝึกฝนวรยุทธอยู่ที่นี่และพยายามฝ่าด่านวรยุทธให้ได้โดยเร็วที่สุดจะดีกว่า


“คุณพูดถูก”


ทุกคนพยักหน้ารับ


หลังจากเพิ่งรอดปากเหยี่ยวปากกา พวกเขาก็หมดความกระหายที่จะเสี่ยง รู้ดีว่าความทะเยอทะยานเกินขนาดมีแต่จะทำร้ายตัวเอง จึงไม่อยากทำอะไรที่เป็นการทดสอบขีดจำกัดของตัวเองอีก


“เซวียนจาง…” เมื่อจ้องมองท้องฟ้าที่ทั้งคู่หายตัวไป ผู้อาวุโสออกความเห็นอย่างเคร่งขรึม “ใครจะไปคิดว่าจะมีชายหนุ่มที่เก่งกาจไร้เทียมทานขนาดนี้อยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ ความสามารถของเขาแทบจะเรียกได้ว่าทัดเทียมกับจางเซวียนผู้ยิ่งใหญ่คนนั้นเลยทีเดียว…”


แต่ยังไม่ทันจะพูดจบประโยค ร่างของเขาก็แข็งทื่อขึ้นมาทันที “เซวียนจาง, จางเซวียน…หรือว่า…”


เมื่อคิดได้ ผู้อาวุโสก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ


ดูเหมือนว่าจะเป็นความจริงที่คนฉลาดมักไม่ใส่ใจรายละเอียดปลีกย่อย


เขาจะใช้ชื่อปลอมที่มันแนบเนียนกว่านี้หน่อยได้ไหม?


ใครก็สามารถปะติดปะต่อเรื่องนี้เข้าด้วยกันได้หากพิจารณาให้ถี่ถ้วน


คุณแน่ใจแล้วหรือว่าคุณพยายามจะปกปิดตัวตนของตัวเองจากสายตาชาวโลกและไม่ต้องการให้ใครรู้?


เอาเถอะ…แต่เรื่องนี้ก็หมายความว่าเราเป็นหนี้บุญคุณเขา ในอนาคตเราจะต้องหาทางตอบแทนบุญคุณต่อตระกูลจางให้ได้…


หนี้ชีวิตนั้นไม่ใช่สิ่งที่ใครควรจะละเลย ในเมื่อเขารู้ตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่ายแล้ว ก็จะต้องหาทางทำอะไรตอบแทนตระกูลจางให้ได้ในอนาคต


…..


ตุ้บ!


หลังจากเดินทางฝ่าฉนวนแห่งมิติ จางเซวียนกับหูเหยาเหย่าก็ร่วงลงกับพื้นพร้อมกัน


ทั้งคู่เห็นสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ลอยอยู่กลางอากาศ


“พวกเรามาถึงแล้วหรือ?” หูเหยาเหย่าส่ายหน้า พยายามขจัดความมึนงงก่อนจะกระเสือกกระสนลุกขึ้นยืน


“ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นแหละ” จางเซวียนตอบ


กฎเกณฑ์แห่งมิติของมิติที่พวกเขาเพิ่งเข้ามานั้นดูจะเข้มงวดกว่ามิติผืนป่า มิติผืนทราย และมิติหิมะ แม้ด้วยประสิทธิภาพระดับเขาก็ยังไม่สามารถบินได้


ก่อนหน้านี้ อย่างน้อยจางเซวียนก็ยังบินได้ในระดับความสูงไม่มากนัก แต่เมื่ออยู่ในมิติแห่งนี้ ก็ทำได้เพียงแค่เดินเท้าเหมือนกับมนุษย์ธรรมดา


หูเหยาเหย่าชี้ไปที่สิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ซึ่งลอยอยู่ไกลๆ ก่อนจะจัดแจงเสื้อผ้าของเธอให้รัดกุม “นั่นคือวิหารแห่งขงจื๊อหรือเปล่า?”


จางเซวียนพยักหน้ารับ


ดูเหมือนผู้อาวุโสจะพูดถูก การเดินทางทะลุฉนวนแห่งมิตินำพาพวกเขามาสู่อาณาเขตรอบนอกของวิหารแห่งขงจื๊อ แต่การจะพรวดพราดเข้าไปย่อมไม่ใช่การตัดสินใจที่ดีนัก ในเมื่อมีอันตรายอยู่โดยรอบ ก็ควรตรวจสอบสถานการณ์ให้ถี่ถ้วนก่อนจะเข้าไป


โดยเฉพาะเมื่อทางเดินนี้ถูกเปิดออกโดยเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น เพราะหากมีเผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีวรยุทธระดับนักปราชญ์โบราณรออยู่ข้างหน้า พวกเขาคงตายทันทีแน่!


ฟึ่บ!


จางเซวียนสะบัดข้อมือ แล้วเป่ยหงที่ถูกมัดแน่นก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า


“การค้นหาจิตวิญญาณ!”


รู้ดีว่าเป่ยหงคงไม่ยอมปริปากหากเขาซักถามอะไร จางเซวียนจึงไม่อยากเปลืองแรงตั้งคำถาม เขาใช้ศิลปะการค้นหาจิตวิญญาณกับเป่ยหงโดยไม่ลังเล


ฟิ้วววว!


ข้อมูลพรั่งพรูเข้าสู่หัวสมองของจางเซวียน


เหมือนอย่างที่เขาได้ฟังจากผู้อาวุโสก่อนหน้านี้ อาณาเขตรอบนอกของวิหารแห่งขงจื๊อนั้นก่อตัวขึ้นจากมิติ 6 มิติ ทั้งทางออกและทางเข้าเชื่อมโยงถึงกัน ดังนั้น หากใครสักคนเดินทางจากทางออกหนึ่งไปสู่อีกทางออกหนึ่ง ก็มีแต่จะเคลื่อนไหวเป็นวงกลม


นี่คือข้อมูลที่เป่ยหงได้รับจากอำมาตย์เฉินหย่ง


ในเมื่อเป่ยหงได้รับข้อมูลนี้จากอำมาตย์เฉินหย่งตอนที่มันไม่สามารถใช้ตราหยกสื่อสารได้ ความลับจึงอยู่ที่แท่นบูชา


เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณที่เผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นให้ความเคารพนั้นทรงพลังจนแม้แต่วิหารแห่งขงจื๊อที่ปรมาจารย์ขงสร้างขึ้นด้วยตัวเองก็ยังมีพละกำลังไม่เพียงพอที่จะยับยั้งอำนาจของอีกฝ่าย


ถ้าอำมาตย์เฉินหย่งส่งข้อมูลมาที่นี่ได้ ก็แปลว่าเขาน่าจะเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อแล้ว จางเซวียนเลิกคิ้วด้วยความกังวลใจ


ก่อนหน้านี้ จางเซวียนรู้มาว่าฮ่องเต้เผ่าพันธุ์ปีศาจที่ทรงพลังที่สุดตัวหนึ่งได้ลักลอบเข้าสู่ทวีปแห่งประมาจารย์เป็นผลสำเร็จ ซึ่งเท่าที่เห็น ก็ดูเหมือนว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวนั้นจะเป็นอำมาตย์เฉินหย่งนี่เอง!


ไม่มีใครในสภาปรมาจารย์ที่เคยพบอำมาตย์เฉินหย่งมาก่อน แต่แน่นอนว่าเขาน่าจะเป็นนักรบที่มีวรยุทธระดับนักปราชญ์โบราณ สิ่งนี้ทำให้จางเซวียนไม่ค่อยสบายใจเมื่อรู้ว่ามีผู้เชี่ยวชาญผู้ทรงพลังอยู่รอบตัวเขา


ว่าแต่…ทำไมอำมาตย์เฉินหย่งถึงสั่งการเป่ยหงไม่ให้สังหารเหล่าปรมาจารย์?


นี่เป็นคำสั่งอันแปลกประหลาดที่เป่ยหงได้รับมา ซึ่งทำให้จางเซวียนออกจะงงเล็กน้อย


ระหว่างการเดินทางในอาณาจักรใต้ดิน จางเซวียนรู้ได้รู้ว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่


จากข้อมูลที่เขาได้มาก่อนหน้านี้ อำมาตย์เฉินหย่งเป็นผู้นำที่สั่งการให้เผ่าพันธุ์ปีศาจทำสงครามกับมนุษย์


ส่วนอำมาตย์เฉินหลิงเป็นผู้สนับสนุน คอยจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับกองทัพเผ่าพันธุ์ปีศาจเท่าที่จะทำได้


สำหรับอำมาตย์เฉินชิงนั้นดูเหมือนจะเหยียบเรือสองแคม มีบางครั้งที่เขาเป็นพันธมิตรกับอำมาตย์เฉินหย่ง แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะแปรพักตร์ไปเข้าข้างอำมาตย์เฉินหลิงเรียบร้อยแล้ว


ในเมื่ออำมาตย์เฉินหย่งเป็นผู้นำที่ออกจะหัวโบราณ ก็เป็นไปได้ที่เขาจะออกคำสั่งไม่ให้ใช้ความรุนแรงกับเหล่าปรมาจารย์ บางทีเขาอาจจะไม่อยากทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเผ่าพันธุ์ปีศาจกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ย่ำแย่ลงไปอีก


ไม่ช้า จางเซวียนก็วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้มาจากเป่ยหงเสร็จสิ้น


โดยรวมๆ ดูเหมือนเป่ยหงจะได้รับคำสั่งให้นำกองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นมาเปิดเส้นทางเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อโดยใช้แท่นบูชา ไม่มีอะไรนอกเหนือไปกว่านั้น


ส่วนข้อมูลอื่นๆเกี่ยวกับวิหารแห่งขงจื๊อ ก็ยากที่จะบอกได้ว่าอำมาตย์เฉินหย่งได้รับข้อมูลจากบริวาร หรือเขามาสำรวจด้วยตัวเอง


หลังจากเสร็จสิ้นการค้นหาจิตวิญญาณ จางเซวียนก็ทาบฝ่ามือลงบนศีรษะของเป่ยหงอย่างแผ่วเบาและสังหารมัน


ลงท้าย เขาก็ไม่อาจทำใจให้เชื่อในตัวเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นได้


ไม่ว่าอำมาตย์เฉินหย่งจะกำลังแสดงความปรารถนาดีต่อมนุษย์หรือไม่ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เผ่าพันธุ์มนุษย์จะเชื่อมั่นในเจตนาดีของเผ่าพันธุ์ปีศาจ เพราะนั่นไม่ต่างอะไรกับการฝากชะตาชีวิตของมนุษย์ไว้กับความกรุณาของศัตรู ซึ่งเป็นความโง่เง่าอย่างมหันต์!


อีกอย่าง ก็เพิ่ง 2-3 วันนี้เองที่เผ่าพันธุ์ปีศาจพยายามบุกเข้าโจมตีเผ่าพันธุ์มนุษย์ครั้งใหญ่


ถึงที่สุดแล้ว ก็ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่าจะมาเสียใจภายหลัง


จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่และเงยหน้าขึ้นเพื่อสำรวจภัยอันตรายในพื้นที่โดยรอบก่อนจะเลิกคิ้ว เขาสะบัดข้อมือ แล้วตราหยกอันหนึ่งก็ปรากฏ ถ้อยคำแถวหนึ่งอยู่บนผิวหน้าของตราหยกนั้น


“เซวียนเอ๋อ, เมื่อลูกเห็นข้อความนี้ รีบมาหาพวกเราทันทีนะ พวกเราเพิ่งเห็นจ้าวหย่า…”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)