พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1716-1721
บทที่ 1716 ประมุขชิงลงมือ
เซี่ยโห้วท่าหันกลับไปมองลูกชายของตัวเองแวบหนึ่ง เห็นเพียงเซี่ยโห้วลิ่งกำลังจ้องเหมียวอี้ไม่ละสายตา
โพ่จวินขมวดคิ้ว ซ่างกวนชิงกับซือหม่าเวิ่นเทียนแทบจะหรี่ตาจ้องเหมียวอี้พร้อมกัน
เทพประจำดาวฟ้าเถาะผังก้วนมองเหมียวอี้ด้วยแววตาตกตะลึงอย่างชัดเจน จอมพลสายวอกลั่วหม่างก็ยิ่งตกใจไม่ใช่น้อย
ขนาดเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยังพูดไม่ออก เป็นครั้งแรกที่เห็นคนบ้าระห่ำขนาดนี้ที่ตำหนักสวรรค์ กล้าขอตำแหน่งขุนนางต่อหน้าฝ่าบาท
เม่ยเหนียงและลูกสาวก็ยิ่งตกใจจนหุบปากไม่ลว ไม่น่าเชื่อว่าจะอยากกระโดดจากตำแหน่งแม่ทัพภาคไปนั่งตำแหน่งใหญ่อย่างหัวหน้าภาคเลย
ประมุขชิงมองต่ำลงมา จ้องเหมียวอี้อย่างเย็นเยียบ “เป็นคนตัวเล็กๆ แต่ความกระหายของเจ้าไม่เล็กเลย!”
ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะพูดสิ่งที่ทำให้คนตกตะลึงต่ออีก “สิ่งเดิมพันนี้เป็นแค่หนึ่งในนั้น ที่จริงไม่นับว่าเป็นสิ่งเดิมพันอะไรหรอก เพียงแต่ข้าน้อยรวบรวมความกล้าขอความเมตตาจากฝ่าบาท! ในเมื่อท่านโหวทั้งสี่จำกัดเงื่อนไขข้าน้อยสามข้อ เช่นนั้นข้าน้อยก็ย่อมต้องขอสิ่งเดิมพันจากท่านโหวทั้งสี่สักส่วนหนึ่ง หากข้าน้อยสามารถดึงกำลังพลเก่งๆ จากสี่ทัพมาสร้างทัพเกรียงไกรหนึ่งแสนได้ หวังว่าท่านโหวทั้งสี่จะปรึกษากับบรรดาขุนนางใหญ่สักหน่อย สี่ทัพต้องให้ตำแหน่งท่านโหวคนละตำแหน่งแก่ฝ่าบาท!”
เมื่อเขากล่าวเช่นนี้ ก็ราวกับเกิดคลื่นยักษ์ซัดกระเพื่อมขึ้นในตำหนัก ไม่น่าเชื่อว่าแม่ทัพภาคต่ำต้อยคนเดียวจะอยากตัดสินใจเรื่องตำแหน่งท่านโหวสี่ตำแหน่ง บ้าบิ่นเกินไปแล้ว!
ประมุขชิงพลันหรี่ตา ในดวงตาฉายประกาย ถ้าสามารถหาทางตัดอำนาจของสี่อ๋องสวรรค์ได้ นั่นก็เป็นสิ่งที่เขาเฝ้าหวังอยู่แล้ว ตำแหน่งโหวสี่ตำแหน่ง ในสายตาเขาสำคัญกว่าตำแหน่งหัวหน้าภาคของเหมียวอี้ตั้งเยอะ เมื่อเทียบกับตำแหน่งท่านโหวแล้ว ตำแหน่งหัวหน้าภาคไม่นับว่าสำคัญเลย!
ซ่างกวนชิงกับซือหม่าเวิ่นเทียนมองเหมียวอี้ด้วยแววตาตกตะลึงอย่างแท้จริง โพ่จวินกับอู๋ฉวี่ก็เช่นกัน แต่ละคนทำสีหน้าชื่นชม ราวกับกำลังชมว่าเจ้าเด็กนี่ก็ไม่เลว!
ในสายตาของประมุขชิง สิ่งเดิมพันที่เหมียวอี้เสนอมาต่างหากถึงจะเหมือนคนกำลังทำงานอย่างแท้จริง
เซี่ยโห้วท่าวางจอกสุราลง หลับตาลงอย่างช้าๆ ไม่รู้ว่ากำลังครุ่นคิดอะไร
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่มองปฏิกิริยาประมุขชิงที่อยู่ข้างกันแวบหนึ่ง รู้ว่าคำพูดของเหมียวอี้ทำให้ประมุขชิงสำราญใจแล้ว นางมองเหมียวอี้อีกครั้งด้วยแววตาชื่นชม รู้สึกทันทีว่ายิ่งมองก็ยิ่งถูกชะตา ตอนนี้นางหวังให้เหมียวอี้เดิมพันชนะ เช่นนั้นในภายหัลงตลาดผีเล็กๆ ใต้สังกัดตำหนักนารีสวรรค์ก็จะหลายเป็นน่านฟ้าทั้งแดนรัตติกาลแล้ว
ไม่รู้ว่ามีคนตั้งมากมายเท่าไรที่ตกตะลึงจนพูดไม่ออก เม่ยเหนียงและลูกสาวก็ไม่รู้ว่าตกตะลึงหรือกังวล แต่รู้ว่าคำพูดของเหมียวอี้ล่วงละเมิดผลประโยชน์ของอ๋องสวรรค์ก่วงแล้ว
บนใบหน้าโค่วเจิงก็ฉายแววเดือดดาลเช่นกัน อิ๋งอู๋หม่านพลันยืนขึ้น แล้วตะคอกอย่างเดือดดาล “บังอาจ! แม่ทัพภาคต่ำต้อยอย่างเจ้าช่างกล้าพูดเหลวไหลกับเจ้าของตำแหน่งโหว!”
“บอกว่าเป็นเพียงสิ่งเดิมพันเองไม่ใช่เหรอ ไม่ได้ร้ายแรงขนาดที่เจ้าพูดหรอก จะให้คำพูดประโยคเดียวของเขาตัดสินเจ้าของตำแหน่งโหวได้อย่างไร ถ้าเป็นเช่นนี้จริง ข้าจะเป็นคนแรกที่ไม่ปล่อยเขาไป!” ประมุขชิงเอ่ยปากพูดแล้ว โบกมือให้อิ๋งอู๋หม่านพลางหัวเราะเบาๆ บอกเป็นนัยว่าอย่าโมโหมากไปนัก รอยยิ้มค่อนข้างเป็นมิตรสนิทสนม
อิ๋งอู๋หม่านจะหลีกทางให้ประเด็นนี้ง่ายๆ ได้อย่างไร เขาถามกดดันเหมียวอี้ “ได้ยินแต่เจ้าร้องขอ ไม่รู้ว่าถ้าเจ้าแพ้แล้วจะเอาอะไรมาเป็นสิ่งเดิมพันที่เท่าเทียมกัน?”
เหมียวอี้เงียบแล้ว คนในตำหนักก็มองเขาอย่างเงียบงันเช่นกัน ประมุขชิงมองเหมียวอี้ด้วยแววตาเฝ้าคอย หวังว่าเจ้าเด็กนี่จะทำเรื่องดีๆ เพียงครึ่งเดียว
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เหมียวอี้ก็ทำสีหน้าสุขุมใจเย็น แล้วกล่าวเสียงดังฟังชัด “ข้ายินดีถวายหัวให้!”
อิ๋งอู๋หม่านแสยะยิ้ม “ถ้าเจ้าแพ้แล้วก็แปลว่าเจ้าใส่ร้ายขุนนางใหญ่ทั้งราชสำนัก ต่อให้เจ้าไม่ต้องมอบศีรษะให้ แต่ก็มีโทษตายอยู่ดี นี่นับเป็นสิ่งเดิมพันอะไรกัน?”
เรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว เหมียวอี้เองก็ระมัดระวังตัวสุดๆ ชั่งน้ำหนักเลือกใช้คำพูดในใจ กลัวว่าจะล้มเหลวเอาตอนสุดท้าย
ใครจะคิดว่าความเงียบของเขาจะทำให้ประมุขชิงเปล่งเสียงพูดแล้ว ยังไม่ทันรอให้เหมียวอี้ใช้แผนสำรอง ประมุขชิงก็หัวเราะลั่นแล้ว “วันนี้เป็นงานวันเกิดของท่านปู่สวรรค์ การเดิมพันนี้ช่างน่าสนุกมาก เพื่อเพิ่มความบันเทิงให้ท่านปู่สวรรค์ ข้าจะเพิ่มรางวัลก็แล้วกัน ไม่ทราบว่าท่านปู่สวรรค์มีความคิดเห็นอย่างไร?” เขาเอ่ยถามขณะมองเซี่ยโห้วท่า
กลุ่มขุนนางใหญ่รู้ทันทีว่าเกิดเรื่องแล้ว รู้ว่าตำแหน่งท่านโหวทั้งสี่ดึงดูดความสนใจประมุขชิงแล้ว ตอนนี้ประมุขชิงต้องการลงมือแล้ว กลุ่มขุนนางเรียกสติให้กระปรี้กระเปร่าเพื่อเตรียมรับมือทันที ถ้าเจอช่องโหว่จากคำพูดของประมุขชิงเมื่อไรก็จะเถียงกลับทันที ส่วนหนิวโหย่วเต๋อนั้นไม่ได้อยู่ในสายตาพวกเขาเลย คนที่พวกเขากังวลจริงๆ ก็คือประมุขชิงที่นั่งอยู่เบื้องสูง
ในเวลานี้เซี่ยโห้วท่าย่อมไม่บุ่มบ่ามเข้ามาเกี่ยวข้อง เขาย่อมไม่ตอบตกลงหรือไม่ตอบตกลงให้ขัดใจใคร ผลักเรื่องนี้กลับไปทันที ตอบอย่างร่าเริง “ทุกสิ่งล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของฝ่าบาท!”
“ดี! เช่นนั้นก็ทำตามประสงค์ของท่านปู่สวรรค์ เพิ่มการเฉลิมฉลองสักหน่อยแล้วกัน” ประโยคนี้ประมุขชิงบอกกับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ นางย่อมพยักหน้ายิ้มอย่างให้ความร่วมมือ แสดงออกว่าเห็นด้วย
ประมุขชิงยืนขึ้น เอามือไขว้หลังมองลงมาที่กลุ่มขุนนาง กวาดมองด้วยสายตาคมกริบ กล่าวในขณะที่ยิ้มแย้มว่า “เช่นนั้นข้าก็จะเพิ่มความบันเทิงสักหน่อย เพิ่มความบันเทิงอะไรดีล่ะ? ชีวิตของหนิวโหย่วเต๋อจะเทียบกับตำแหน่งท่านโหวทั้งสี่ได้อย่างไร ชีวิตของเขามีน้ำหนักเบาไปหน่อย เดิมพันกับเขาอาจจะเสียเปรียบ เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าจะช่วยนำตำแหน่งโหวสี่ตำแหน่งมาช่วยเขาแบ่งน้ำหนักก็แล้วกัน ถ้าเขาชนะแล้ว ข้าอาจจะให้ท่านโหวสี่ตำแหน่งจากสี่ทัพปลิดชีพตัวเองเหมือนกัน สี่คนจากตระกูลต่างๆ แบบนี้ยังยุติธรรมมั้ย?”
ยุติธรรมบ้าบออะไรล่ะ! ขุนนางใหญ่ของสี่ทัพเข้าใจทันทีว่าประมุขชิงใช้แผนชั่วเพื่อเอาเปรียบ หลังจากเรื่องที่น้ำพุวังเวง สี่ทัพเหนือใต้ออกตกก็อาศัยโอกาสย้ายทัพใหญ่ ฉวยโอกาสถอดอำนาจคนของประมุขชิงแล้ว ลองคิดดูว่าถ้าเกิดศึกใหญ่ขึ้นมา แต่เส้นทางหลักของประตูดวงดาวสำคัญกลับถูกคนของประมุขชิงควบคุมไว้ คนของประมุขชิงก็สังหารเข้ามาได้ง่ายๆ แต่ฝั่งนี้กลับไม่อาจสังหารออกไปได้อย่างราบรื่น ถ้าพลาดโอกาสสำคัญตอนทำศึก ก็จะเป็นภัยคุกคามที่อันตายถึงชีวิต ภายใต้สถานการณ์แบบนั้น ถ้าสี่อ๋องสวรรค์ไม่ถอดคนที่เฝ้าตำแหน่งสำคัญออกก่อนก็แปลกแล้ว ตอนนี้ประมุขชิงนำตำแหน่งที่แทบจะมีแต่ในนามมาเป็นสิ่งเดิมพัน แบบนี้ไม่เรียกว่าเอาเปรียบแล้วจะเรียกว่าอะไร?
ที่สำคัญคือประมุขชิงมีอำนาจตัดสินใจเบ็ดเสร็จที่คนอื่นไม่มี ไม่ว่าเขาจะแพ้สี่ตำแหน่งนั้นหรือชนะสี่ตำแหน่งนั้น แต่ก็ล้วนมีความชอบธรรมที่จะเลือกมาลงมือได้ตามอำเภอใจ
เหมียวอี้รู้สึกผิดคาดอยู่บ้าง นึกไม่ถึงว่าตัวเองยังไม่ทันเพิ่มของเดิมพัน แต่ประมุขชิงก็โผล่ควักกระเป๋าช่วยเขาเพิ่มของเดิมพันแล้ว แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ลดความยุ่งยากให้เขาได้
ก่วงจวินอันกุมหมัดคารวะ “ฝ่าบาท สิ่งเดิมพันนี้มากเกินไป ข้าน้อยทั้งสี่มีเพียงตำแหน่งโหวต่ำต้อย จะถือวิสาสะตัดสินใจได้อย่างไรว่าจะเก็บหรือจะปล่อยตำแหน่งโหวสี่ตำแหน่ง”
อิ๋งอู๋หม่าน ฮ่าวเจ๋อ โค่วเจิง ทั้งสามสบตากัน ก่อนจะกุมหมัดคารวะพร้อมกัน “เป็นเช่นนี้จริงๆ ฝ่าบาทได้โปรดเก็บของเดิมพันกลับไป”
ทว่าคนในตำหนักมีใครไม่รู้บ้างว่าตอนนี้สี่คนนี้เป็นตัวแทนของสี่ทัพในราชสำนัก เพียงแต่เมื่อเจอกับเรื่องแบบนี้ พวกเขาจึงอ้างว่าตัวเองตำแหน่งไม่สูงพอมาเป็นโล่กำบังทันที
ประมุขชิงชำเลืองขุนนางใหญ่คนอื่นๆ “พวกเจ้าไม่มีอำนาจตัดสินใจ แต่ผู้บังคับบัญชาของพวกเจ้าย่อมตัดสินใจได้” ในเมื่อเหมียวอี้ให้โอกาสเขาลงมือแล้ว ถ้าเขาไม่ได้ความสามารถที่แท้จริง มีหรือที่จะยอมหยุด
หวงฮ่าวจอมพลสายมะเมียยืนขึ้นแล้ว กุมหมัดคารวะต่อเบื้องบน “ฝ่าบาท ตำแหน่งขุนนางราชสำนัก ตำแหน่งโหวอันทรงเกียรติ จะนำมาเดิมพันเหมือนเป็นของเล่นได้อย่างไร ถ้าข่าวแพร่ออกไป ตำหนักสวรรค์จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน? จะให้ค่านิยมแบบนี้ลุกลามไม่ได้ ฝ่าบาทได้โปรดคืนคำสั่ง!”
ไม่ผิดหรอก ประมุขชิงรักหน้าตาศักดิ์ศรี แต่ก็ต้องการเห็นการเปรียบเทียบว่าเป็นอย่างไรเหมือนกัน ยิ่งไปกว่านั้น การที่เขาได้เปรียบก็ถือว่าได้หน้า เมื่อได้ยินแบบนี้ ประมุขชิงก็สีหน้าบึ้งตึงเล็กน้อย “ตอนนี้รู้จักเห็นแก่หน้าตาตำหนักสวรรค์แล้วเหรอ? หรือว่าเมื่อครู่นี้เจ้ากำลังหลับอยู่? เมื่อครู่ตอนพวกเขาสี่คนออกมาเจรจาต่อรองเงื่อนไขกับหนิวโหย่วเต๋อ เจ้าไปไหนแล้วล่ะ? ตอนนี้รู้จักคิดแล้วเหรอว่าจะปล่อยให้คค่านิยมแบบนี้ลุกลามไม่ได้? หวงฮ่าว ข้าถามเจ้าหน่อย เจ้ามีเจตนาอะไรกันแน่? หรือว่าเจ้าคือคนที่ขัดขวางการรับคนเข้าจวนแม่ทัพภาคตลาดผีอยู่เบื้องหลัง?” เสียงนี้ดังก้องทั้งตำหนัก
คำพูดนี้ทำให้ฮูหยินที่นั่งอยู่ข้างกายหวงฮ่าวหวาดระแวงกลัว ทำให้กลุ่มขุนนางใหญ่พูดไม่ออกเช่นกัน ก่อนหน้านี้ใครจะไปรู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อจะเปลี่ยนแปลงเรื่องราวให้กลายเป็นอย่างนี้
“ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะ ข้าน้อยไม่ได้ทำเรื่องขัดขวางการรับคนเข้าจวนแม่ทัพภาคตลาดผีจริงๆ” หวงฮ่าวกล่าว
“แล้วพวกเจ้าล่ะ?” ประมุขชิงโบกมือชี้รอบในตำหนัก “ทำไมไม่พูดอะไรกันแล้วล่ะ? วางแผนจะขัดขวางการรับคนเข้าจวนแม่ทัพภาคตลาดผีให้ได้เลยใช่มั้ย?”
เมื่อเห็นประมุขชิงกดดันให้กลุ่มขุนนางใหญ่แสดงท่าที สี่คนที่สี่อ๋องสวรรค์ส่งมาก็ย่อมไม่อาจนิ่งเฉยดูเรื่องนี้ถูกกำหนดตายตัว ฮ่าวเจ๋อกุมหมัดคารวะกล่าวเสียงดัง “ฝ่าบาท การเดิมพันนี้เป็นเรื่องระหว่างพวกเราสี่คนกับหนิวโหย่วเต๋อ ไม่เกี่ยวกับขุนนางคนอื่นขอรับ”
ประมุขชิงแสยะหัวเราะ แล้วพยักหน้าบอกว่า “พูดได้ดี! ในเมื่อเป็นสิ่งเดิมพันระหว่างพวกเจ้าสี่คนกับหนิวโหย่วเต๋อ แล้วพวกเจ้าสี่คนก็นั่งอยู่บนตำแหน่งโหวพอดี ยินดีเดิมพันก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ ถ้าพวกเจ้าสี่คนแพ้แล้ว ข้าจะริบตำแหน่งโหวของพวกเจ้า!” เขาชี้ทั้งสี่คน แล้วก็ชี้ทุกคนอีก “ทุกคนคิดว่าอย่างไร?”
เมื่อประมุขชิงกล่าวเช่นนี้ ฮ่าวเจ๋อก็แอบร้องว่าแย่แล้วทันที
กลุ่มขุนนางแอบทอดถอนใจอย่างพูดไม่ออก เมื่อเทียบกับอ๋องสวรรค์แล้ว ตัวแทนพวกนี้ยังอ่อนหัดเกินไปจริงๆ ตอนนี้มาพูดก็ไม่มีความหมายอะไร ถ้าจะริบตำแหน่งโหวสี่ตำแหน่งนี้จริง เช่นนั้นจะไม่ฟังดูเหลวไหลหรอกเหรอ ไม่ว่าสุดท้ายจะแพ้หรือจะชนะ ขุนนางใหญ่ที่อยู่ตรงนี้ก็ไม่อาจปล่อยให้สี่ตำแหน่งนี้อยู่ในอันตราย เมื่อถูกประมุขชิงลงมือกดดันถึงขั้นนี้แล้ว ทุกคนนับว่ามองออก วันนี้ถ้าไม่อาจวางเดิมพันให้เป็นรูปเป็นร่างได้ ประมุขชิงก็จะไม่ยอมเลิกราแน่นอน
เถิงเฟยจอมพลสายชวดยืนขึ้นแล้ว เขาหัวเราะเบาๆ ช่วยคลายบรรยากาศตึงเครียดในตำหนักใหญ่ก่อน เสร็จแล้วถึงได้กุมหมัดคารวะต่อประมุขชิง “ฝ่าบาท การเดิมพันที่ราชสำนัก จะให้ความนิยมนี้ลุกลามไม่ได้ เพียงแต่มีประโยคหนึ่งที่ฝ่าบาทกล่าวได้ดี วันนี้เป็นงานวันเกิดท่านปู่สวรรค์ เดิมพันเล็กน้อยเพิ่มความบันเทิงให้งานวันเกิด ครั้งนี้ยกเว้นให้ แต่ไม่มีครั้งหน้าอีก! ดังนั้นข้าน้อยยินดีตอบรับฝ่าบาทที่จะร่วมสนุก ควบคุมผู้ใต้บังคับบัญชาไม่ให้แทรกแซงการรับคนที่ตลาดผี”
เขากำลังให้บันไดลงแก่หวงฮ่าว และกำลังทำให้อิ๋งอู๋หม่านหลบอันตรายด้วย
“ข้าน้อยสนับสนุนให้เพิ่มความบันเทิง!” จอมพลสายฉลูเฉิงไท่เจ๋อยืนขึ้นเช่นกัน
“ข้าน้อยสนับสนุนให้เพิ่มความบันเทิง!”
“ข้าน้อยสนับสนุนให้เพิ่มความบันเทิง!”
กลุ่มขุนนางใหญ่ทยอยกันยืนขึ้นแสดงท่าทีว่าสนับสนุน ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือเพื่อปกป้องสี่คนนี้
หลังจากกลุ่มขุนนางแสดงท่าทีแล้ว ประมุขชิงก็พยักหน้าอย่างพอใจ “ดี! หลังจากนี้หนึ่งปี ข้าจะดูผลลัพธ์ไปพร้อมกับทุกคน แล้วค่อยตัดสินอย่างยุติธรรมอีกที!”
ใครจะคิดว่าหวงฮ่าวกลับกุมหมัดคารวะอีกครั้ง “ฝ่าบาท การเรื่องที่พระตำหนักอุทยาน จะให้ความนิยมนี้ลุกลามไม่ได้ อิ๋งอู๋เชวียกับหนิวโหย่วเต๋อต่างคนต่างมีเหตุผลของตัวเอง ข้าน้อยแนะนำให้เลือกคนไปตรวจสอบเรื่องนี้ เพื่อให้เป็นไปตามกฎระเบียบ!”
เมื่อกล่าวเช่นนี้ ก็มีคนไม่น้อยเกิดความคิดในใจอีก เข้าใจเจตนาของหวงฮ่าวแล้ว ทำแบบนี้เพื่อจะอาศัยการตรวจสอบขยายเวลาการเดินพัน ไม่แน่ว่าในระหว่างที่ตรวจสอบอาจจะใช้อุบายอะไรเล่นงานให้หนิวโหย่วเต๋อตายไปก็ได้ การเดิมพันก็ย่อมพังไปด้วย
ขณะที่กลุ่มขุนนางใหญ่กำลังจะกล่าวสนับสนุน ใครจะคิดว่าประมุขชิงจะแย่งลงมือแล้ว “ก่อเรื่องเอะอะโวยวายที่พระตำหนักอุทยาน ไม่ว่าใครจะมีเหตุผลอะไร แต่ถ้าอดทนไว้หน่อยก็ทำให้เรื่องสงบได้แล้ว แต่กลับมีคนมองข้ามหัวเดชานุภาพสวรรค์! ข้าไม่สนว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ทำโทษก่อนแล้วค่อยว่ากัน! วันนี้เห็นแก่หน้าท่านปู่สวรรค์ ข้าไม่อยากทำให้เสียบรรยากาศ โทษตายหลีกได้ โทษเป็นมิอาจเว้น ทหาร ลากสองคนนี้ไปให้รางวัลคนละสิบแส้!”
บทที่ 1717 ลิ้มรสแส้สยบมังกรอีกแล้ว
สิบแส้? เหมียวอี้พูดไม่ออก นี่เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วที่ตัวเองโดนแส้สยบมังกร? เขาย่อมเข้าใจอยู่แล้วว่าตำหนักสวรรค์ไม่มีทางใช้แส้ธรรมดามาเฆี่ยนให้คันแน่ รสชาติที่เหมือนวิญญาณหลุดร่างร่างแบบนั้นทำให้เขากลัวจนตัวสั่นเช่นเดียวกัน!
ใช้เครื่องมือลงโทษโดยไม่แม้แต่จะตรวจสอบก่อน สิ่งนี้เหนือความคาดหมายของเขานิดหน่อย
อิ๋งอู๋เชวียที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นงงเป็นไก่ตาแตก เขาไม่เคยลิ้มรสแส้สยบมังกรแต่ก็เคยเห็นมาก่อน นั่นเป็นวิธีการลงโทษที่เขาชอบทำมาใช้สั่งสอนลูกน้อง ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าวันหนึ่งมันจะมาเยือนบนร่างกายตัวเอง เขาไม่อยากจะลิ้มรสชาติมันเลยจริงๆ จึงหันซ้ายหันขวามองขุนนางใหญ่ในเครือข่ายตระกูลอิ๋ง แล้วหันไปมองพี่น้องตัวเองอีก หวังว่าจะมีคนช่วยวิงวอนขอความเมตตาให้
ทว่าผลลัพธ์ก็ทำให้เขากลัวมาก ขุนนางใหญ่ทั้งราชสำนักล้วนอยู่ในความเงียบ ไม่มีใครพูดอะไรสักคน แม้แต่พี่ใหญ่ของเขาก็ทำหน้าขรึมไม่พูดอะไร
ราชสำนักก็เป็นอย่างนี้ ขนาดประมุขชิงยังต้องควบคุมตัวเอง เป็นสถานที่ที่พูดกันด้วยเหตุผล พูดกันตามกฎระเบียบ ไม่ใช่สถานที่ประลองว่าหมัดใครใหญ่กว่า ไม่อย่างนั้นใครวรยุทธ์สูงคนนั้นก็มีอำนาจตัดสินใจ ไม่จำเป็นต้องสร้างระบบราชสำนักขึ้นมาปกครองใต้หล้าหรอก ประมุขชิงเองก็จำกัดตัวเองไว้ในขอบเขตนี้ พูดจาอย่างมีเหตุผลเช่นกัน บรรดาขุนนางใหญ่ก็ย่อมว่าอะไรไม่ได้แล้ว
ที่จริงในใจกลุ่มขุนนางเข้าใจชัดเจนมาก ว่าภายนอกประมุขชิงลงโทษหนิวโหย่วเต๋อ แต่ความจริงแล้วกำลังยื่นมือปกป้องหนิวโหย่วเต๋ออยู่ การยื่นมือครั้งนี้ถือว่าเล่นในงดงามมาก ทำให้ไม่มีใครว่าอะไรได้
ทำไมกลายเป็นอย่างนี้ไปได้? ในขณะที่หวาดกลัว อิ๋งอู๋เชวียถูกทหารสวรรค์กลุ่มหนึ่งเข้ามาดึงขึ้นจากพื้น ถูกลากออกไปข้างนอกพร้อมเหมียวอี้แล้ว
ปฏิกิริยาของบรรดาขุนนางใหญ่ในตำหนักเงียบสงบมาก กลับเป็นพวกผู้หญิงที่มีการตอบสนองแตกต่างกันไป บ้างก็ตกตะลึง บ้างก็ตกใจ บางคนยินดีในความโชคร้ายของคนอื่น คนที่เสียดายก็มี
ลูกหลานแต่ละตระกูลที่อยู่ในงานเลี้ยงนอกตำหนักลุกขึ้นยืนทันที ได้แต่มองดูอิ๋งอู๋เชวียกับเหมียวอี้ถูกลากไป ต่างก็มองออกว่าสองคนนี้กำลังถูกลากไปทำโทษ จะประหารหรืออะไรก็ไม่มีใครรู้ คนในตำหนักกล้าร่ายอิทธิฤทธิ์สอดแนมออกมาข้างนอก แต่พวกเขาไม่กล้าร่ายอิทธิฤทธิ์สอดแนมเข้าไปในตำหนัก
เพียงแต่พอได้เห็นว่าตระกูลอิ๋งที่มีอำนาจมากขนาดนั้นแต่ยังปกป้องอิ๋งอู๋เชวียไม่ได้ ก็นับว่าสะเทือนใจกลุ่มลูกหลานขุนนางมาก
ประมุขชิงที่อยู่ในตำหนักเอียงหน้ามองซ่างกวนชิงที่อยู่ข้างกัน แล้วถ่ายทอดเสียงบอกว่า “เรื่องยังไม่เรียบร้อย อย่าทำให้คนตายไปก่อน”
ซ่างกวนชิงก้มหน้าเล็กน้อยบอกใบ้ว่าเข้าใจแล้ว ย่อมรู้ว่าหมายถึงใคร เพราะของอย่างแส้สยบมังกร เวลาได้ลงมือขึ้นมาก็เกิดเหตุไม่คาดคิดได้เยอะมาก บางครั้งเฆี่ยนร้อยครั้งก็อาจจะไม่ถึงตาย แต่บางครั้งเฆี่ยนครั้งเดียวก็อาจทำให้ตายได้ เขาแอบใช้ระฆังดาราที่อยู่ในแขนเสื้อถ่ายทอดคำสั่งลงไป
ตอนนี้ประมุขชิงถึงได้ยิ้มพลางยกจอกสุราขึ้นจากโต๊ะ แล้วกล่าวกับเซี่ยโห้วท่าด้วยรอยยิ้ม “คิดเสียว่าเพิ่มความสนุกสนานให้งานเลี้ยง เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ท่านปู่สวรรค์ข้าเก็บไปใส่ใจ”
เซี่ยโห้วท่ารีบยกจอกสุราขึ้นเอ่ยรับ แล้วประมุขชิงก็ยกจอกสุราหันไปทางกลุ่มขุนนางอีก “ชนจอกอวยพรท่านปู่สวรรค์ร่วมกัน”
ทุกคนย่อมทยอยกันยืนขึ้น จากนั้นพอซ่างกวนชิงโบกมือ บรรดาเทพธิดาที่เรือนร่างอรชรอ่อนช้อยก็หลั่งไหลออกมาจากตำหนักข้างซ้ายและขวา เสียงดนตรีระบำดังขึ้นอีกครั้ง
ราชินีสวรรค์ที่กำลังยกจอกสุราจิบเอียงหน้าส่งสายตาให้เอ๋อเหมยที่อยู่ข้างกัน เอ๋อเหมยติดตามรับใช้นางมาหลายปี ย่อมเข้าใจความหมายที่นางจะสื่อ จึงก้มหน้าเล็กน้อยบอกใบ้ว่าเข้าใจแล้ว
ตรงจุดทำโทษที่อยู่อีกแห่งหนึ่ง ท่ามกลางเสียงแส้ฟาดเปรี๊ยะๆ อิ๋งอู๋เชวียส่งเสียงร้องครวญครางราวกับผีสาง วันนี้เขาเพิ่งจะรู้รสชาติที่กระชากวิญญาณของแส้สยบมังกร เขาไม่อยากจะกรีดร้องอย่างอนาถขนาดนี้ แต่กลับควบคุมความรู้สึกไม่ไหว สั่นสะท้านไปทั้งวิญญาณจริงๆ
ถึงแม้เหมียวอี้จะไม่ได้กรีดร้องอย่างอนาถขนาดนั้น แต่ในลำคอกก็ครางเสียงต่ำ “ฮือฮือ” อย่างควบคุมไม่อยู่เช่นกัน แขนขาทั้งสี่ที่ถูกโซ่เหล็กล่ามก็สั่นเทิ้มเช่นกัน เหงื่อเม็ดใหญ่บนใบหน้าก็เพียงพอจะอธิบายปัญหาได้แล้ว
หลังของทั้งสองเละเทะจนเห็นกระดูก เลือดสดไหลเต็มพื้น
มังกรทองที่พันอยู่บนเสาไกลๆ ทั้งยังมีหงส์สีรุ้งอีกตัวที่เหาะบนเสาหิน พวกมันกำลังมองมาทางลานทำโทษอย่างไม่ละสายตา
หลังจากทำโทษเสร็จแล้วแกะโซ่ออก ทั้งสองก็นอนหมอบชักกระตุกอยู่ทางกองเลือด ทหารสวรรค์ที่ทำโทษเสร็จแล้วเก็บแส้ จากนั้นก็มีท่าทีนิ่งดูดาย ทำท่าเหมือนสนใจแต่การฆ่า ไม่สนใจการฝัง
คนของตระกูลอิ๋งรีบพุ่งเข้ามาแล้ว หามอิ๋งอู๋เชวียที่สลบเป็นตายออกไป ขณะเดียวกันก็มองเหมียวอี้ที่หมอบอยู่บนพื้นอย่างโกรธแค้น ถ้าไม่ใช่เพราะมีทหารสวรรค์อยู่ คาดว่าคงจะเข้าไปแตะสักสองที
เหมียวอี้ยังไม่ทันสลบ แค่นอนหมทอยกระตุกอยู่ตรงนั้น เขาเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองโดนฟาดจนมีแรงต้านแล้วหรือเปล่า เอาเป็นว่าครั้งนี้รู้สึกเหมือนการโดนแส้ไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้น แต่ก็เพียงพอจะทำให้เขานอนนิ่งลุกไม่ไหว
ครั้งนี้ตระกูลโค่วไม่มีใครเข้าไปช่วยเขา
รอจนกระทั่งคนของตระกูลอิ๋งออกไปหมดแล้ว แน่ใจแล้วว่าเหมียวอี้ไม่ถูกคุกคามอีก ทหารสวรรค์ที่ทำหน้าที่ลงโทษถึงได้มองเหมียวอี้พลางส่ายหน้าถอนหายใจ จากนั้นทยอยกันเดินออกไป ถึงอย่างไรเหมียวอี้ก็เคยเป็นคนของกองทัพองครักษ์ นับว่าเคยเป็นตัวละครที่สำคัญที่สุดของกองทัพองครักษ์เช่นกัน ทุกคนต่างรู้ว่าเขาได้รับความชื่นชมจากนายท่านโพ่จวินผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้าย อีกทั้งในบรรดาพวกเขาก็มีคนเคยดื่มสุรากับเหมียวอี้มาแล้วด้วย ย่อมเป็นตอนที่เหมียวอี้เฝ้ายามอยู่ที่อุทยานหลวง
ในขณะนี้เอง ด้านหลังประตูพระจันทร์ที่อยู่ไม่ไกลถึงมีเทพธิดากลุ่มหนึ่งพุ่งออกมา พุ่งมาข้างกายเหมียวอี้แล้วรีบประคองขึ้นมา มีบางคนยัดสมุนไพรเซียนซิงหัวเข้าปากเหมียวอี้ แล้วมีอีกหลายคนเป่าละอองดาวหลายกลุ่มใส่บาดแผลอันน่าหวาดกลัวบนหลังเหมียวอี้
นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? เหมียวอี้ที่เหงื่อออกเต็มศีรษะมองซ้ายมองขวาอย่างยากลำบาก หรือว่าจะเป็นคนของแม่เฒ่าลวี่ที่สวนกลางเขียวขจี? เทพธิดาจากสวนกลางเขียวขจีสามารถเข้าพระตำหนักอุทยานได้เหรอ? และดูจากเครื่องแบบของเทพธิดากลุ่มนี้ ก็เหมือนจะเป็นของวังสวรรค์นะ นี่มันเรื่องอะไร?
รอจนอาการบาดเจ็บของเหมียวอี้บรรเทาคงที่แล้ว กลุ่มเทพธิดาก็หามเหมียวอี้ขึ้นมาอีก หามออกไปนอกพระตำหนักอุทยาน
ไม่ได้ลากไปที่อื่น นำเหมียวอี้ไปส่งที่สวนกลางเขียวขจีโดยตรง
เมื่อเห็นเหมียวอี้อยู่ในสภาพนี้ แม่เฒ่าลวี่กับเฟยหงที่กำลังรอฟังข่าวจากเหมียวอี้อยู่ก็ตกใจมาก
หลังจากนำทางให้พวกเทพธิดาส่งเหมียวอี้เข้าโพรงไม้แล้ว แม่เฒ่าลวี่ก็ออกมาพร้อมกับพวกนาง แล้วถามว่า “นางหนู เขาเป็นอะไรไปแล้ว?”
นางจำได้ว่าผู้หญิงพวกนี้คือเทพธิดาของตำหนักนารีสวรรค์ แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นนางที่ควบคุมส่งพืชพรรณไปให้ตำหนักนารีสวรรค์ แต่สิ่งที่นางแปลกใจก็คือ เหตุใดคนของตำหนักนารีสวรรค์ถึงมาส่งเหมียวอี้ที่นี่ด้วยตัวเองได้?
เทพธิดาเหล่านั้นยิ้มบางๆ พวกนางรู้ว่าแม่เฒ่าลวี่เข้าออกตำหนักนารีสวรรค์บ่อย ถึงขนาดพูดคุยสัพเหระกับราชินีสวรรค์บ่อยด้วย จึงไม่กล้าวางมาดต่อหน้าแม่เฒ่าลวี่ แต่วันนี้ปิดปากสนิทมาก ทำความเคารพแล้วกล่าวขอตัวลาเลย “แม่เฒ่า พวกเรายังมีธุระ ขอตัวก่อนค่ะ”
ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลอะไรทั้งนั้น ทั้งหมดหันตัวแล้วจากไป
แม่เฒ่าลวี่ที่มองส่งด้วยความสงสัยกลับเข้ามาในโพรงไม้แล้วอึ้งอีกรอบ ไม่ใช่เพราะสภาพบาดแผลที่อนาถของเหมียวอี้ แต่เพราะเห็นเฟยหงร้องไห้อย่างเจ็บปวดใจขณะใช้สมุนไพรเซียนซิงหัวรักษาบาดแผลให้เหมียวอี้
แม่เฒ่าลวี่ตั้งใจจ้องสีหน้าเฟยหงที่ร้องไห้อย่างปวดใจ แล้วก็จ้องเหมียวอี้ที่กำลังครางเบาๆ อีก นางค่อยๆ หลับตาแล้วเงียบงันอยู่นานมาก สุดท้ายก็เดินอ้อมเสาไปตรงหน้าเตียง มองเหมียวอี้ที่เหงื่อออกเต็มศีรษะพลางแสยะยิ้ม “ไปก่อเรื่องอะไรมาอีกแล้วล่ะ? รู้อยู่ชัดๆ ว่าไม่มีใครชอบขี้หน้าเจ้า ยังจะเป็นฝ่ายไปเข้าไปหาเรื่องเจ็บตัวอีก ที่เจ้าเก็บชีวิตกลับมาได้ ก็นับว่าดวงแข็งแล้ว ในสายตาเจ้า แม่บุญธรรมอย่างข้าคงไม่สำคัญอะไร เจ้าน่ะ ดูแลตัวเองให้ดีเถอะ ข้าไปยุ่งกับเจ้าไม่ไหวแล้ว” พูดจบก็เหลือบมองเฟยหงแวบหนึ่ง แล้วหันตัวเดินจากไป ไม่พูดอะไรกับนางสักคำ
เหมียวอี้ยิ้มอย่างขื่นขม พอหันไปเห็นเฟยหงร้องไห้ ก็รีบถ่ายทอดเสียงเกลี้ยกล่อม “บาดเจ็บกว่านี้ข้าก็เคยมาแล้ว กายเนื้อบาดเจ็บไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เช็ดน้ำตาสักหน่อย อย่าให้คนอื่นมองพิรุธอะไรออก”
เฟยหงกัดริมฝากพลางพยักหน้าเช็ดน้ำตา
งานวันเกิดที่อุทยานหลวงจัดต่อเนื่องอีกหนึ่งวัน รายการแสดงบันเทิงต่างๆ ที่สวนหรรษาก็ย่อมขาดไม่ได้
ระหว่างทางไปสวนหรรษามีเวลาว่างเล็กน้อย ประมุขชิงเรียกซือหม่าเวิ่นเทียนมาคุยเป็นการส่วนตัว “เรื่องวันนี้ เจ้าคิดว่ายังไง?”
ซือหม่าเวิ่นเทียนเห็นว่านอกจากซ่างกวนชิงที่ติดตามอยู่ข้างกาย ก็เหลือแค่เขาคนเดียว เขารับผิดชอบด้านไหนล่ะ? ที่เรียกเขามาก็ย่อมต้องเกี่ยวกับเรื่องที่เขารับผิดชอบอยู่แล้ว พอจะเข้าใจความหมายในคำพูดของประมุขชิงแล้ว “หรือฝ่าบาทรู้สึกว่าเรื่องในวันนี้มีเงื่อนงำ?”
ประมุขชิงลูบเครา “เจ้าลูกลิงนั่นใจกล้าไม่เบา เรียกได้ว่าใช้แผนการชุดแล้วชุดเล่า ไม่ว่าจะคิดอย่างไร ข้าก็รู้สึกว่าเจ้าลูกลิงนั่นเตรียมตัวมา? หดหู่ท้อแท้ชีวิต เลยตบตีอนุภรรยาระบายอารมณ์เหรอ? เจ้าดูท่าทางที่มีชีวิตชีวาของเขาสิ เหมือนคนที่หดหู่ท้อแท้ชีวิตเหรอ?”
ซือหม่าเวิ่นเทียนกลุ้มใจนิดหน่อย “ข่าวที่สายลับส่งมาเป็นอย่างนี้จริงๆ หรือว่าจงใจเล่นละคร?”
ประมุขชิงเหล่ตาถาม “ไม่ใช่ว่าสายลับของเจ้าโดนเขาซื้อไปแล้วร่วมกันเล่นละครตบตาหรอกนะ?”
ซือหม่าเวิ่นเทียนรีบปฏิเสธ “น่าจะไม่ถูกซื้อขอรับ” จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียง “ฝ่าบาท จุดอ่อนของสายลับคนนั้นอยู่ในมือข้าน้อบ ฐานะของสายลับคนนั้นคือ…”
ซ่างกวนชิงไม่รู้ว่าเขากำลังพูดความลับอะไร จากนั้นก็พบว่าประมุขชิงเหลือบมองซือหม่าเวิ่นเทียนด้วยสีหน้าครุ่นคิดแล้วไม่ได้ถามอะไรอีก เปลี่ยนเป็นกล่าวช้าๆ ว่า “ถ้าเจ้าลูกลิงนั่นวางแผนมานานแล้วจริงๆ แสดงว่าเจ้าลูกลิงนั่นก็ไม่ธรรมดา!”
ซือหม่าเวิ่นเทียนพยักหน้าเห็นด้วย เพียงแต่ในใจอดไม่ได้ที่จะพึมพำว่า ต่อให้รู้ว่าอีกฝ่ายวางแผนมานานแล้วยังไงล่ะ คนเบื้องล่างมีใครบ้างที่ไม่คิดทำทุกวิถีทางเพื่อไต่เต้าขึ้นมาข้างบน ชัดเจนแล้วว่านี่คือแผนลับ ตำแหน่งโหวสี่ตำแหน่ง ขนาดท่านยังอดไม่ได้ที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเลย
ทว่ากลับได้ยินประมุขชิงถ่ายทอดเสียงบอกว่า “เจ้าลูกลิงนั่นใจกล้าไม่เบา คิดวางแผนลามปามมาถึงหัวข้าแล้ว ถ้ามีความสามารถ ข้าไม่เสียดายที่จะให้ผลประโยชน์หรอก แต่ถ้ากล้าคิดไม่ซื่อ…ใช้ความพยายามกับสายลับคนนั้นหน่อย ในอนาคตอาจจะได้ใช้งานสำคัญก็ได้” พูดจบก็โบกมือให้ออกไป
ซือหม่าเวิ่นเทียนงงไปชั่วขณะ จากนั้นก็เข้าใจทันที เมื่อสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลง เกรงว่าในอนาคตสายลับคนนั้นคงจะกลายเป็นมือสังหาร จึงกุมหมัดคารวะทันที “รับทราบ! ข้าน้อยขอตัว”
รอจนเขาออกไปแล้ว ประมุขชิงก็เอียงหน้าบอกอีก “เรีบกอู๋ฉวี่กับเกาก้วนมา”
“ขอรับ!” ซ่างกวนชิงเอ่ยรับ แล้วใช้ระฆังดาราติดต่อ
“ฝ่าบาท!” ไม่นานอู๋ฉวี่กับเกาก้วนก็เข้ามาทำความเคารพพร้อมกัน
“ไม่ต้องมากพิธี!” ประมุขชิงโบกมือให้ทั้งสอง แล้วบอกอู๋ฉวี่ว่า “เจาจัดกำลังพลกลุ่มหนึ่งคุ้มกันส่งหนิวโหย่วเต๋อกลับไป แล้วคุ้มกันที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีชั่วคราว ป้องกันไม่ให้มีคนเล่นตุกติกกับหนิวโหย่วเต๋อก่อนผลการเดิมพันจะออก…” จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียง “ถ้าการเดิมพันดำเนินไปอย่างเสียเปรียบ จะมีคนไปรื้อเวที ให้คนของเจ้าให้ความร่วมมือด้วย เข้าใจความหมายของข้าใช่มั้ย?”
อู๋ฉวี่เงียบไปครู่หนึ่ง เขาเข้าใจแล้ว ถ้าการเดิมพันทำให้ฝั่งนี้ได้เปรียบก็ให้ปกป้งหนิวโหย่วเต๋อ แต่ถ้าการเดิมพันทำให้ฝั่งนี้เสียเปรียบ ที่บอกว่าจะมีคนรื้อเวที ก็หมายความว่าจะมีคนกำจัดหนิวโหย่วเต๋อทิ้งเพื่อพังการเดิมพันนี้ ส่วนคนที่เขาส่งไปคุ้มกันก็ห้ามแทรกแซง เขาพยักหน้ากุมหมัดคารวะ “น้อมรับบัญชา!”
ประมุขชิงหันกลับมาสั่งเกาก้วนอีก “หน่วยตรวจการขวาเบิกตากว้างๆ หน่อย ถ้ามั่นใจว่ามีคนเล่นตุกติกแทรกแซงอยู่เบื้องหลังการรับคนที่ตลาดผี คงไม่ต้องให้ข้าสอนว่าเจ้าต้องทำยังไง?”
“ข้าน้อยน้อมรับบัญชา!” เกาก้วนกุมหมัดคารวะ
บทที่ 1718 ต่างฝ่ายต่างมีแผนสำรอง
ขณะมองคล้อยหลังเกาก้วนเดินจากไป ซ่างกวนชิงก็เงียบแล้ว กำลังครุ่นคิดว่าการที่ประมุขชิงเรียกคนมากำชับต่อเนื่องกันคงเป็นเพราะกังวลว่าหนิวโหย่วเต๋อจะไม่ชนะ อย่างไรเสียเบื้องล่างอ๋องสวรรค์คนหนึ่งก็มีโหวแค่สิบกว่าตำแหน่ง ตำแหน่งท่านโหวสี่ตำแหน่งไม่ใช่เรื่องเล็กๆ
เป็นอย่างที่คาดไว้ ประมุขชิงเอยถามอย่างไม่รีบร้อน “ซ่างกวน เจ้าคิดว่าหนิวโหย่วเต๋อจะทำสำเร็จหรือเปล่า?”
ซ่างกวนชิงไม่สะดวกจะตอบคำถามนี้ ที่จริงทุกคนต่างก็รู้ชัดอยู่ในใจ ว่าไม่มีใครขัดขวางการรับสมัครโถงชุมนุมอัจฉริยะของหนิวโหย่วเต๋อ เพราะไม่มีใครเต็มใจไปสมัครเลย ขนาดนักพรตอิสระยังไม่กล้าไปด้วยซ้ำ สี่ทัพเกรียงไกรไม่มีใครอยากไปสถานที่เส็งเคร็งอย่างนั้น มิหนำซ้ำสี่ตระกูลก็จำกัดเงื่อนไขไว้แล้วด้วย
แต่เขาก็ไม่สะดวกจะพูดสิ่งที่ทำให้ประมุขชิงไม่สบายใจ ได้แต่ยิ้มอย่างอึดอัด “ในเมื่อเขากล้าเอาชีวิตตัวเองมาเดิมพันแล้ว คาดว่าคงมีความมั่นใจอยู่บ้าง”
ว่ากันตามจริง ประมุขชิงอยากจะเรียกเหมียวอี้มาถามต่อหน้ามาก แต่พอคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าไม่จำเป็น ถ้ามีวิธีการดีก็ย่อมทำสำเร็จ แต่ถ้าวิธีการไม่ดี ต่อให้เข้าไปแทรกแซงก็ไม่มีความหมายอะไรนัก ราชันสวรรค์ผู้สง่าผ่าเผย ถ้าทำตัวจริงจังเกินไปก็จะทำให้คนหัวเราะเยาะ อีกทั้งสี่อ๋องสวรรค์ก็จำกัดเงื่อนไขไว้ ถ้าให้คนเที่ยวบอกไปทั่ว จะไม่ให้เกิดข่าวลือก็คงยาก สี่อ๋องสวรรค์ไม่ใช่คนหูหนวก
หลังจากเอามือไขว้หลังยืนเงียบๆ สักพัก ประมุขชิงก็กล่าวช้าๆ “ช่วยเขาสร้างกระแสสักหน่อยก็แล้วกัน ให้ทางสมาคมวีรชนเคลื่อนไหว ปล่อยข่าวเรื่องเดิมพันให้เร็วที่สุด”
“รับทราบ!” ซ่างกวนชิงโค้งตัวเอ่ยรับ
ประมุขชิงประชุมอยู่ตรงนี้เงียบๆ คนของสี่ทัพก็ประชุมกันเงียบๆ เช่นกัน
ยอดเขาแห่งหนึ่งที่สามารถมองทิวทัศน์เทือกเขาสูงหลายแห่งไกลๆ ได้ เก้าจอมพลมาถึงก่อนแล้วรอได้ครู่หนึ่ง ไม่นานอิ๋งอู๋หม่าน ฮ่าวเจ๋อ ก่วงจวินอัน โค่วเจิงก็ทยอยกันมาถึง
โค่วเจิงมาถึงเป็นคนสุดท้าย พอเหยียบลงพื้น อิ๋งอู๋หม่านก็แสยะยิ้ม “ตระกูลโค่วของพวกเจ้าช่างหาลูกเขยได้ดีจริงๆ !”
โค่วเจิงเหน็บแนมกลับทันที “ถ้าไม่ใช่เพราะน้องชายแสนฉลาดของเจ้าไปหาเรื่องก่อน จะมีเรื่องแบบนี้เหรอ?”
“เฮ้อ!” เฉิงไท่เจ๋อจอมพลสายฉลูยืนขึ้นกดมือทั้งสองฝ่ายทันที “ทั้งสองท่าน ตอนนี้อย่าทะเลาะกันเรื่องนี้เลย ในเมื่อหนิวโหย่วเต๋อนั่นกล้าพูดอย่างนี้แล้ว คาดว่าคงจะมีความมั่นใจอยู่หลายส่วน ทางท่านอ๋องทั้งหลายมีความเห็นอะไรบ้าง?”
ก่วงจวินอันตอบว่า “ความเห็นของท่านพ่อเรียบง่ายมาก ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว ฝ่าบาทสอดมือเข้ามาแทรกแล้ว จะให้พูดอะไรอีกก็ไม่มีประโยชน์ ควรจะคิดหาทางหลีกเลี่ยงความเสียหาย”
หวงฮ่าว จอมพลสายมะเมียสังกัดตระกูลโค่วถามว่า “ไม่ทราบว่าท่านอ๋องเตรียมจะหลบเลี่ยงยังไง?”
ก่วงจวินอันตอบว่า “ท่านพ่อบอกว่า ถ้าดูจากภาพรวม ฝั่งพวกเรายังได้เปรียบ ตอนแรกยังไม่มีใครเต็มใจไปตลาดผีแน่นอน ถ้ามีคนไปก็แสดงว่าในนั้นมีการเล่นตุกติกแน่ ดังนั้นพวกเราไม่จำเป็นต้องขู่ให้ตัวเองตกใจ ส่วนทางฝ่าบาทอาจจะไม่นิ่งดูดายปล่อยให้ตัวเองแพ้ ดังนั้นฝ่ายพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องยึดปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ ถ้าภายนอกขัดขวางไม่ได้ ก็ไม่ได้แปลว่าจะแอบขัดขวางไม่ได้ กำลังพลล้วนอยู่ในมือของทุกคน คาดว่าทุกคนคงมีวิธีการเยอะ ทำเรื่องที่มองเห็นได้แต่กลับหาจุดอ่อนไม่ได้ คาดว่าคงไม่ยากสำหรับทุกคน”
ทุกคนพยักหน้า เฉิงไท่เจ๋อมองไปที่คนของตระกูลโค่ว ตระกูลอิ๋ง ตระกูลฮ่าวอีก “คาดว่าท่านอ๋องทั้งสามคงไม่นั่งอยู่เฉยๆ หรอกใช่มั้ย ไม่ทราบว่ามีความเห็นอันสูงส่งอะไร?”
โค่วเจิงบอกว่า “ท่านพ่อของข้าก็คิดอย่างนี้เช่นกัน ท่านพ่อเดาออกแล้วว่าฝ่าบาทจะช่วยเสริมอานุภาพให้หนิวโหย่วเต๋อ ถ้าข่าวเรื่องเดิมพันแพร่ออกไปทั้งใต้หล้า ก็แสดงว่าฝ่าบาทวางแผนอยู่เบื้องหลังแน่นอน คนทั่วไปไม่อาจกระจายข่าวได้เร็วขนาดนั้น เรื่องแบบนี้พวกเราเองก็ไม่มีจุดอ่อนอะไรไปกล่าวหาว่าฝ่าบาทช่วยหนิวโหย่วเต๋อ ถึงตอนนั้นพวกเราอาจจะทำเรื่องที่เฉียดฉิวแต่ก็หาจุดอ่อนไม่เจอเหมือนกันก็ได้ กำลังพลอยู่ในมือทุกคน คาดว่าคงไม่มีใครล่วงเกินพวกเราเพื่อจะไปแหล่งที่ไร้อนาคต ทุกคนล้วนต้องชั่งน้ำหนักผลที่ตามมา”
เถิงเฟย จอมพลสายชวดพึมพำอยู่ข้างๆ “คนของพวกเราควบคุมได้ง่าย กลัวก็แต่พวกกำลังพลที่ฝ่าบาทจับยัดเข้ามา อาจจะไม่เชื่อฟังพวกเรา”
โค่วเจิงแสยะยิ้ม “เรื่องนี้ไม่ต้องกังวล ท่านพ่อบอกไว้แล้ว ถ้าคนของฝ่าบาทกล้าสั่งให้คนไปเข้าพวกกับหนิวโหย่วเต๋อ นั่นก็รับมือได้ง่ายมาก ขอเพียงคนทางนั้นกล้าไป พวกเราก็ไม่ได้มีไว้เฉยๆ อยู่แล้ว ใช่ว่าฝั่งนั้นจะไม่มีคนของพวกเรา ถึงตอนนั้นปลุกระดมคนให้ไปพึ่งพาทางนั้นมากๆ หน่อย เมื่อกำลังพลกลุ่มใหญ่ไปขอพึ่งพาที่ตลาดผี เฮ่อๆ! คิดว่าผลที่ตามมาจะเป็นยังไงล่ะ?”
เฉิงไท่เจ๋อยกนิ้วหัวแม่มือ “อ๋องสวรรค์โค่วความคิดเหนือชั้น พอเป็นแบบนี้ก็จะไม่ใช่ปัญหาเรื่องสัญญาเดิมพันแล้ว แต่เป็นเพราะคนบางคนที่ปกครองทัพมีปัญหาและทำหน้าที่ได้ไม่ดี ถึงตอนนั้นไม่ต้องให้ฝ่าบาทปล่อยตำแหน่งออกมา พวกเราก็สามารถแก้ไขปัญหาได้อยู่ดี”
“อืม!” ทุกคนพยักหน้าเงียบๆ อีกครั้ง หลังจากมองหน้ากันแล้วพบว่ามีความเห็นเป็นเอกฉันท์ ต่างคนต่างมีแผนสำรองไว้อุดช่องโหว่ ก็นับว่าวางใจแล้วไม่น้อย
มีเพียงเถิงเฟยที่ส่ายหน้า “อย่าไปมองนะว่าหนิวโหย่วเต๋อมีพลังไม่เท่าไร แต่ลักษณะการทำศึกของเขาควรค่าแก่การชื่นชมจริงๆ เกรงว่าจะไม่ง่ายขนาดนั้น ต่อไปทุกคนก็คิดมากๆ หน่อย ดูว่ามีช่องโหว่ตรงไหนหรือเปล่า”
“จอมพลเถิงเหมือนจะเอาใจช่วยหนิวโหย่วเต๋อนั่นมากเลยนะ?” อิ๋งอู๋หม่านถามพร้อมรอยยิ้ม
เถิงเฟยเดิมทีอยู่ในเครือข่ายตระกูลอิ๋ง ย่อมต้องเคารพนอบน้อมต่ออิ๋งจิ่วกวงสักหน่อย แต่อิ๋งอู๋หม่านอ่อนหัดไปหน่อยเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ไม่มีบารมีอะไรมาข่มเขาได้ เขาเองก็ไม่จำเป็นต้องลดศักดิ์ศรีมากเกินไป จึงยิ้มเรียบๆ พลางโบกมือ “ไม่เกี่ยวกับรู้สึกดีหรือไม่รู้สึกดีหรอก แต่ในปีนั้นตอนที่ข้าเฝ้าแดนอเวจี ข้าเห็นกับตาว่าหนิวโหย่วเต๋อพุ่งสังหารอยู่ท่ามกลางกำลังพลหนึ่งล้าน หัวใจเขาก็ไม่ธรรมดา เห้นได้ชัดว่ากล้าหาญไม่กลัวตาย พุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่หวาดหวั่นสิ่งใด ดูถูกไม่ได้จริงๆ ดูจากตอนที่เขาอยู่ในตำหนักใหญ่แล้วไม่ลนลานสักนิดก็รู้แล้ว ข้ายอมรังแกคนชราผมขาวดีกว่ารังแก่เด็กหนุ่มยากจน ทุกคนระวังตัวเอาไว้น่ะถูกแล้ว อย่าให้เรือคว่ำในคลองแคบก็แล้วกัน”
คำพูดนี้ทำให้ทุกคนครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ในดวงตาอิ๋งอู๋หม่านฉายแววไม่สบอารมณ์ ถึงแม้เขาจะไม่แสดงออกชัดเจนเหมือนอิ๋งอู๋เชวีย แต่ความเจ็บปวดที่สูญเสียลูกชายก็ยังอยู่ในใจ ไม่อยากฟังคนอื่นพูดถึงเหมียวอี้ในแง่ดี
เถิงเฟยสังเกตได้ถึงความไม่สบอารมณ์ที่แวบผ่านเข้ามาในดวงตาเขา ในใจยิ้มเย้ย เจ้าเด็กที่ขนยังขึ้นไม่ครบ ถ้าเก่งนักก็ชักสีหน้าให้ตาแก่คนนี้ดูสิ ถ้าขาดข้าสนับสนุนไปสักคน เจ้าก็ไม่ได้นั่งตำแหน่งหัวหน้าตระกูลอิ๋งหรอก เจ้ายังไม่พอใจอีกเหรอ ข้ายังสังเกตเจ้าอยู่นะว่าเหมาะสมจะเป็นผู้นำหรือเปล่า
สำหรับคำพูดของเถิงเฟย ในใจโค่วเจิงรู้สึกปลงที่สุด เพราะเขารู้ชัดที่สุดว่าเหมียวอี้ทำอะไรในตำหนักใหญ่ เพราะนั่นคือการดันทุรังยัดข้อหาตระกูลอิ๋งต่อหน้าขุนนางทั้งราชสำนัก แต่จนใจที่ตอนนั้นตระกูลโค่วก็ไม่สะดวกจะออกมาเป็นพยาน ตอนแรกไม่เป็นพยาน ตอนหลังก็ยิ่งเป็นพยานให้ไม่ได้แล้ว เท่ากับว่าเหมียวอี้หลอกใช้ตระกูลโค่วไปแล้วยกหนึ่ง จากนั้นก็ยังช่วยประมุขชิงแย่งประโยชน์จากตระกูลโค่วด้วย ตอนนั้นทำให้เขาโมโหแทบแย่
หลังจากส่งข่าวไปให้บิดารู้ บิดาก็ชมทันทีว่าช่างเป็นลูกเขยที่ดี บอกว่าในปีนั้นมองคนไม่ผิด มีความสามารถทำให้ตระกูลโค่วทุ่มหินใส่เท้าตัวเองได้ ก็ไม่นับว่าเสียหน้าเช่นกัน
โค่วเจิงแนะนำให้โค่วหลิงซวีโยนคำสั่งตำหนักนารีสวรรค์ที่ได้จากตระกูลเซี่ยโห้วออกไปก่อน แล้วสั่งถอนกำลังคนตระกูลโค่วที่อยู่ตลาดผีกลับมาให้หมด
ทว่าโค่วหลิงซวีไม่เห็นด้วย กลับตอบเขาอย่างหยาบคายว่า : ขนาดโสเภณียังอยากสร้างซุ้มประตูปกปิดความอับอายให้ตัวเองเลย ตระกูลโค่วจะสู้โสเภณีไม่ได้เชียวหรือ? ระดับตระกูลโค่วจะไม่ทำเรื่องจอมปลอมได้อย่างไร? ยิ่งยืนอยู่ในตำแหน่งสูง ก็ยิ่งต้องการดูดีในสายตาคนอื่น เพราะยิ่งเจ้าอยู่ในที่สูง คนที่มีเจ้าในสายตาก็ยิ่งเยอะ จะให้แก้ผ้าให้คนอื่นดูหรือไง? เก็บคนเอาไว้ก่อน อย่าเพิ่งให้ผ้าชิ้นสุดท้ายที่ปิดบังจุดน่าอับอายฉีกออก จะได้ดูด้วยว่าหนิวโหย่วเต๋อกำลังเล่นลูกไม้อะไรกันแน่
ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร ตามที่ได้รู้จักมากขึ้น โค่วเจิงก็เห็นความสามารถของหนิวโหย่วเต๋อมากขึ้นเช่นกัน ยิ่งนับถือสายตาของท่านพ่อ ถูกใจหนิวโหย่วเต๋อตั้งแต่ในปีนั้นแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะประมุขชิงเข้ามาแทรกแซง นี่จะเป็นเรื่องดีขนาดไหน รอให้ตัวเองอายุมากขึ้นในระดับหนึ่งแล้ว เบื้องล่างมีคนอย่างนี้สนับสนุนจะดีขนาดไหน
ในขณะเดียวกัน ราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็เชิญท่านปู่สวรรค์เซี่ยโห้วท่ามาพบเพื่อคุยเป็นการส่วนตัว
พอเห็นเซี่ยโห้วท่า เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็รีบก้าวขึ้นมาย่อเข่าคำนับ “หลานสาวขออวยพรให้ท่านปู่อายุยืน”
“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้อง ลุกขึ้นเถอะ รีบลุกขึ้น เจ้ากำลังตั้งครรภ์” เซี่ยโห้วท่ายื่นมือประคองนางให้ลุกขึ้น แล้วก็มองท้องกลมกลึงของนางพลางพยักหน้าอย่างร่าเริง “เหนียงเหนียงเรียกบ่าวชรามาพบ ไม่ทราบว่ามีอะไรจะกำชับ?”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยื่นมือเชิญ แล้วก็เดินเนิบนาบอยู่ข้างกายเขา ก่อนจะถามหยั่งเชิงว่า “ท่านปู่ ท่านคิดว่าเรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อรับสมัครคนมีความมั่นใจขนาดไหน?”
เซี่ยโห้วท่ายื่นมือไปประคองแขนนางเป็นระยะ แล้วถามอย่างร่าเริง “เหตุใดเหนียงเหนียงเริ่มสนใจเรื่องนี้แล้วล่ะ?”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยิ้มแห้ง “ถึงยังไงเขาก็เป็นแม่ทัพภาคตลาดผี เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาใต้สังกัดตำหนักนารีสวรรค์”
“อ้อ!” เซี่ยโห้วท่าพยักหน้าอย่างแฝงความหมายล้ำลึก ชำเลืองมองนางแวบหนึ่ง เป็นครั้งแรกที่เห็นนางให้ความสำคัญกับตำแหน่งแม่ทัพภาคตลาดผี เขาส่ายหน้าเบาๆ “พูดยาก เรื่องนี้ข้าน้อยก็พูดได้ไม่แม่นยำ”
“ก็หมายความว่า อาจจะไม่สำเร็จใช่มั้ยคะ?” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ถามอย่างกังวลเล็กน้อย
“ดูท่าเหนียงเหนียงจะหวังให้เขาทำสำเร็จ” เซี่ยโห้วท่ากล่าว
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตอบว่า “ถึงยังไงเขาก็เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาสายตรงของหลานค่ะ อำนาจของเขาก็เพิ่มขึ้นเรื่องๆ ไม่ใช่เรื่องแย่อะไรสำหรับหลานใช่มั้ยล่ะ? ถ้าตระกูลเซี่ยโห้วสามารถช่วยเขาได้ ก็น่าจะไม่ใช่เรื่องยากอะไร ดังนั้น…”
“โถ่เหนียงเหนียง!” เซี่ยโห้วท่าพูดตัดบท แล้วกล่าวช้าๆ ว่า “เรื่องที่เจ้าควรทำก็คือปรนนิบัติฝ่าบาทให้ดี อย่าให้เรื่องแย่งชิงผลประโยชน์มาเปื้อนมือจะดีกว่า เกรงว่าฝ่าบาทคงไม่หวังจะเห็นวังหลังมีการช่วงชิงอำนาจเกินไป”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เอามือลูบท้อง “หลานไม่ได้อยากได้อำนาจอะไรหรอกค่ะ ถ้าหาลูกน้องคนสนิทให้ลูกในท้องได้ก็ดีเหมือนกัน”
เซี่ยโห้วท่ากล่าวกลั้วหัวเราะ “เหนียงเหนียงคิดมากไปแล้ว เหนียงเหนียงไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้ อนาคตของโอรสสวรรค์ ฝ่าบาทย่อมเตรียมไว้อย่างดีแล้ว ข้าน้อยยังยืนยันคำเดิม ตราบใดที่ตระกูลเซี่ยโห้วไม่ล้ม ไม่ว่าใครก็สั่นคลอนตำแหน่งของท่านไม่ได้…นางหนูเอ๋ย อย่าใกล้เกลือกินด่าง เข้าใจมั้ย?”
สวนกลางเขียวขจี มีชีวิตชีวาทั้งยังเงียบสงบ เฟยหงเหาะออกมาเพียงลำพัง สุดท้ายก็มาถึงในหุบเขาแห่งหนึ่งที่ลับตาคน
เสียงน้ำในลำธารไหลจ๊อกๆ ขณะที่เดินเลียบฝั่งลำธารขึ้นไป เฟยหงสังเกตรอบๆ อย่างระมัดระวัง สุดท้ายก็เห็นเงาคนคนหนึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโขดหินก้อนหนึ่งภายใต้แสงแดด ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือทูตตรวจการซ้ายซือหม่าเวิ่นเทียนนั่นเอง ทำให้นางตกใจจนต้องหยุดฝีเท้า
นางได้รับแจ้งจากผู้บังคับบัญชาให้มาที่นี่ ผลปรากฏว่าไม่เห็นผู้บังคับบัญชา แต่กลับเห็นหัวหน้าใหญ่ของหน่วยตรวจการซ้าย นางเคยเห็นซือหม่าเวิ่นเทียนไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่กลับไม่เคยคุยกับซือหม่าเวิ่นเทียนมาก่อน นางมีปมในใจกับหน่วยตรวจการซ้าย โดยเฉพาะการมาเจอกับตัวละครอย่างซือหม่าเวิ่นเทียนตามลำพัง นางก็ยิ่งอกสั่นขวัญแขวน นางไม่ได้มีสภาพจิตใจที่จะกล้าโต้แย้งกับกลุ่มขุนนางใหญ่เต็มราชสำนักเหมือนเหมียวอี้
บทที่ 1719 แม่ลูกพบกันอีกครั้ง
เรียกได้ว่านางรู้สึกกลัวซือหม่าเวิ่นเทียนจนฝังลึกถึงกระดูก ปมความหวาดกลัวที่ยากจะลบเลือนนั้นมาจากในปีนั้นที่พวกนางสองแม่ลูกฟื้นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองถูกขังอยู่ในกรง และในช่องว่างใต้ดินอันมืดมิด ภายใต้แสงสลัวจากโคมไฟ ซือหม่าเวิ่นเทียนยืนจ้องพวกนางสองแม่ลูกอย่างเย็นเยียบอยู่บนแท่นบันไดสูง สีหน้าภายใต้แสงไฟที่เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างนั้นเต็มไปด้วยความชั่วร้าย ราวกับมองดูมดตัวเล็กๆ สองตัว
เมื่อเห็นซือหม่าเวิ่นเทียน สองแม่ลูกก็เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว พวกนางหวาดกลัวถึงขั้นตัวสั่น โผเข้าเกาะกรงขังพร้อมตะโกนอย่างเดือดดาลสุดชีวิตว่าขอพบฝ่าบาท จากนั้นก็ร้องไห้คร่ำครวญวิงวอนให้ปล่อยพวกนางสองแม่ลูกไป แต่ก็ไร้ประโยชน์ ตะโกนจนคอแตกก็ไม่ประโยชน์ ซือหม่าเวิ่นเทียนได้แต่ยืนมองลงมาที่สองแม่ลูกอย่างเย็นชา ไม่สะทกสะท้าน แล้วสุดท้ายก็หันตัวลอยจากไป สิ่งนั้นได้ตัดสินชะตากรรมของพวกนางสองคนแล้วเช่นนั้น ฉากนั้นกลายเป็นฝันร้ายที่ฝังลึกอยู่ในกระดูกนางจริงๆ
ร่างของเฟยหงยืนทื่ออยู่กับที่ ไม่รู้ว่าควรจะเข้าไปหรือจากไปเงียบๆ
“มาแล้วเหรอ” เสียงของซือหม่าเวิ่นเทียนทำลายความเงียบในหุบเขา สายตาย้ายออกจากม้วนหนังสือ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบราบเรียบ “เป็นข้าเองที่สั่งให้ผู้บังคับบัญชาของเจ้าเรียกเจ้ามา”
เฟยหงรีบก้าวขึ้นมาข้างหน้าทันที คุกเข่าอย่างค่อนข้างประหม่า ใช้มือข้างเดียวยันพื้น ใช้ธรรมเนียมการคารวะผู้บังคับบัญชาของหน่วยตรวจการซ้ายก้มหน้าทำความเคารพเขา “คารวะท่านทูตซ้าย!”
ตอนนี้ซือหม่าเวิ่นเทียนถึงได้ย้ายสายตาออกจากตัวนาง เก็บหนังสือในมือ ยืนขึ้นแล้วเดินเหยียบหินกลมเข้ามาตรงหน้าเฟยหงที่กำลังก้มหน้า ก้มมองต่ำลงมาที่นางพร้อมกล่าวว่า “ไม่ต้องมากพิธี ยืนขึ้นเถอะ”
เฟยหงยืนขึ้นช้าๆ ด้วยความกังวลใจสุดขีด ไม่กล้าเงยหน้ามองเขาตรงๆ
ซือหม่าเวิ่นเทียนยื่นมือจับคางของนาง เชิดใบหน้ารูปไข่ของนางขึ้นมาอย่างช้าๆ เขารู้สึกได้ว่านางตัวสั่นเล็กน้อยอย่างควบคุมได้ยากเพราะความหวาดกลัว ในดวงตาเขาจึงฉายรอยยิ้มอ่อนโยนใจเย็น “ไม่ต้องประหม่า ตอนเด็กข้าก็เคยอุ้มเจ้ามาก่อน เจ้าอาจจะจำไม่ได้แล้ว”
ถึงแม้บนใบหน้าจะเจือด้วยรอยยิ้ม พูดเรื่องอ่อนโยนในอดีต แต่สำหรับเฟยหงแล้ว นางกลับรู้สึกเหมือนมองเห็นมารร้ายตนหนึ่ง ราวกับได้เห็นสิ่งชั่วร้ายอัปมงคลอันไร้ที่สิ้นสุดซ่อนอยู่ในดวงตาของอีกฝ่าย
เมื่อปล่อยคางนางแล้ว ซือหม่าเวิ่นเทียนก็เอามือไขว้หลังเดินวนรอบตัวนาง มองประเมินเรือนร่างอรชรอ่อนช้อยของนาง แล้วก็เดินวนกลับมาตรงหน้า จ้องใบหน้าสวยสะคราญของนางพร้อมเดาะลิ้นชม “ข้ามองออกตั้งแต่เจ้าเด็กๆ แล้วว่าจะเติบโตมาเป็นหญิงงามคนหนึ่ง คิดว่าเจ้าเป็นคนที่ทำงานใหญ่ได้ ข้าถึงช่วยชีวิตเจ้าไว้ตอนที่เจ้ากำลังจะหัวหลุดลงพื้น ตอนนี้ยิ่งโตยิ่งงดงามจริงๆ ใบหน้านี้ เรือนร่างนี้ ไม่มีตรงไหนที่ไม่งดงาม ยกประโยชน์ให้เจ้าหนิวโหย่วเต๋อนั่นแล้วจริงๆ เดิมทีเจ้าควรจะได้แสดงบทบาทกับคนที่มีฐานะสูงกว่านี้ ตอนนี้กลับทำให้เจ้าได้รับความไม่ยุติธรรมแล้ว”
เฟยหงก้มหน้าเล็กน้อย ตั้งใจฟังเงียบๆ
“ข่าวที่เจ้ารายงานขึ้นมาก่อนหน้านี้ผิดพลาด ที่บอกว่าหนิวโหย่วเต๋อหดหู่ท้อแท้ชีวิตแล้วมาตบเจ้าระบายอารมณ์อะไรนั่นน่าจะเป็นเรื่องหลอกลวง เขามาที่อุทยานหลวงน่าจะวางแผนมาเรียบร้อยแล้ว พุ่งเป้ามาที่งานเลี้ยงวันเกิดท่านปู่สวรรค์ เจ้าบอกมาซิ เรื่องเป็นยังไงกันแน่?” น้ำเสียงของซือหม่าเวิ่นเทียนยังคงสงบนิ่ง ลักษณะมืดครึ้มน่าสะพรึงที่แผ่ออกจากการกระทำและคำพูดของเขาเป็นสิ่งหาไม่เจอยามอยู่ข้างกายประมุขชิงและเกาก้วน
เฟยหงย่อมรู้สึกได้ถึงความน่ากลัวของเขาอยู่แล้ว นางเองก็รู้ว่าในสายตาของขุนนางตำหนักสวรรค์จำนวนไม่น้อย คนคนนี้ก็คือร่างจำแลงที่น่ากลัว น่ากลัวกว่าทูตตรวจการขวาเกาก้วนเสียอีก อย่างน้อยเกาก้วนก็น่ากลัวในที่แจ้ง เป็นผู้บังคับใช้กฎหมายอย่างเปิดเผย แต่ท่านนี้กลับสามารถแต่งเรื่องใส่ร้ายยัดข้อหาอย่างเงียบๆ ทำให้คนบ้านแตกสาแหรกขาดได้อย่างง่ายดาย เหมือนงูพิษน่ากลัวที่ซ่อนตัวอยู่ในที่มือตลอดเวลา ไม่รู้ว่าจะกัดเจ้าตอนไหน ทำให้คนป้องกันไม่ชนะ
เฟยหงกล่าวอย่างกังวล “ข้าน้อยก็ไม่รู้เช่นกันว่าเรื่องเป็นยังไง หลังจากมาถึงอุทยานหลวงแล้ว ข้าน้อยก็สังเกตเห็นความไม่ชอบมาพากลบางอย่างเหมือนกัน”
“ในเมื่อสังเกตเห็นความไม่ชอบมาพากลแล้ว ทำไมถึงไม่รีบรายงานตั้งแต่แรก?” ในดวงตาซือหม่าเวิ่นเทียนฉายแววเย็นเยียบ
เฟยหงตอบว่า “ไม่ใช่อย่างที่ท่านทูตซ้ายคิด ข้าน้อยไม่รู้ชัดจริงๆ ว่าเขามาที่อุทยานหลวงเพราะต้องการอะไร ก่อนหน้านี้เขาเมาหัวราน้ำและตบตีข้าน้อยมาตลอด ประกาศว่าจะหย่ากับข้าน้อย แต่พอมาถึงอุทยานหลวงเพื่อเจอแม่เฒ่าลวี่ หลังจากถูกแม่เฒ่าลวี่ตีสั่งสอนไปยกหนึ่ง จู่ๆ เข้ากลับเปลี่ยนท่าที บอกว่าต้องการคืนดีกับข้าน้อย ข้าน้อยเองก็รู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง กำลังจับตาดูเขา แต่นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเขาจะบุกเข้าไปก่อเรื่องที่พระตำหนักอุทยานกะทันหัน ท่านทูตซ้ายได้โปรดตรวจสอบให้ชัดเจน!” พูดจบก็รีบคุกเข่าก้มหน้า
ซือหม่าเวิ่นเทียนก้มหน้ามองนาง “เขารู้ถึงตัวตนของเจ้าแล้วหรือเปล่า?”
เฟยหงเงยหน้า “ทางฝั่งข้าน้อยไม่มีความเป็นไปได้นี้ นอกเสียจาก…นอกเสียจาก…”
“นอกเสียจากอะไร?” ซือหม่าเวิ่นเทียนตะคอกเบาๆ
เฟยหงรีบก้มหน้า “นอกเสียจากทางหน่วยตรวจการซ้ายจะมีคนเปิดเผยตัวตนของข้าน้อยค่ะ”
“เจ้าคิดมากไปแล้ว คนของหน่วยตรวจการซ้ายที่รู้จักตัวตนเจ้ามีน้อยจนนับนิ้วได้” ซือหม่าเวิ่นเทียนเถียงกลับ ที่จริงเขาเองก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ที่หนิวโหย่วเต๋อจะรู้ถึงตัวตนของเฟยหง ต่อให้ก่อนหน้านี้จะไม่กล้าแตะต้องเฟยหงเพราะกลัวหน่วยตรวจการซ้าย แต่ตอนหลังก็สามารถยืมมือตระกูลโค่วเพื่อกำจัดเฟยหงได้เลย แถมตอนที่หนิวโหย่วเต๋อไปขอพึ่งพาตระกูลโค่ว ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะคาดเดาออกว่าตอนหลังจะได้ไปอยู่ตลาดผี ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะคาดเดาถึงสถานการณ์ตอนหลังแล้วเปลี่ยนมาหลอกใช้เฟยหงแทน คิดไปคิดมา สุดท้ายก็มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว ก่อนหน้านี้คาดเดาได้ว่าฝ่าบาทจะจัดการเลี้ยงวันเกิดให้เซี่ยโห้วท่า ในจุดนี้เดาได้ไม่ยาก ดังนั้นจึงเริ่มรังแกเฟยหง เป็นเพราะอาศัยความสัมพันธ์ของเฟยหงกับแม่เฒ่าลวี่ล้วนๆ เขาถึงเข้ามาในอุทยานหลวงได้สะดวก ไม่ใช่เพราะรู้กำพืดของเฟยหง ไม่อย่างนั้นก็สามารถอาศัยโอกาสนี้หย่ากับเฟยหงได้เลย ไม่จำเป็นต้องเก็บสายลับไว้ข้างกายให้ตัวเองกินนอนไม่สงบอีก
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่เขาก็ยังจ้องเฟยหงอย่างเย็นเยียบ “แต่ทำไมข้าได้รับข่าวมา ว่าเจ้าถูกหนิวโหย่วเต๋อซื้อแล้ว?”
เฟยหงหัวใจกระตุกวูบ แต่ภายนอกกลับพูดเหมือนตกใจมาก “ท่านทูตซ้าย ข่าวผิดพลาดแน่นอนค่ะ หนิวโหย่วเต๋อเองยังอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลม ข้าน้อยจะถูกเขาซื้อได้ยังไงคะ? ท่านทูตซ้ายโปรดตรวจสอบให้ชัดเจน!” นางรู้ว่าถ้าข่าวที่ตัวเองไปเข้ากับฝ่ายเหมียวอี้ถูกเปิดโปงเมื่อไร ก็จะไม่ใช่แค่นางเท่านั้นที่จะตายอย่างอนาถ
ซือหม่าเวิ่นเทียนสังเกตปฏิกิริยาของนาง แล้วเดินช้าๆ ออกจากข้างกายนางไป “เดินตรงไปเรื่อยๆ แม่เจ้ารออยู่ทางนั้น อย่าเสียเวลานานนัก จะได้ไม่ถูกหนิวโหย่วเต๋อสงสัย”
เฟยหงตกใจจนเหงื่อท่วมตัว จู่ๆ ได้ยินว่ามารดายังอยู่ นางก็ได้เดินออกมาจากความหวาดกลัวอีกครั้ง รู้สึกตื่นเต้นดีใจอย่างบอกไม่ถูก
“ขอบคุณท่านทูตซ้าย ขอบคุณท่านทูตซ้าย!” เฟยหงแทบจะร้องไห้ออกมา หันตัวยกกระโปรงวิ่งออกไปแล้ว นางไม่เจอมารดาตัวเองมาหลายปี อาศัยการส่งจดหมายเพื่อยืนยันว่าต่างฝ่ายต่างยังมีชีวิตอยู่มาตลอด
พอมาถึงปลายสุดของหุบเขา ด้านล่างของน้ำตกแห่งหนึ่งที่น้ำไหลดิ่งลงจากที่สูง สตรีวัยกลางคนชุดสีเทาที่ไม่ได้ใช้เครื่องประทินโฉมยืนอยู่ตรงนั้นลำพังอย่างกระวนกระวาย ดูจากใบหน้าก็รู้ว่าในอดีตเคยเป็นหญิงงามที่หาพบได้ยาก เพียงแต่บนใบหน้าเต็มไปด้วยความกร้านโลก จอนผมสองข้างมีสีขาว ไม่เห็นความมีสง่าราศีเหมือนในปีนั้นแล้ว มีเพียงความกังวลในดวงตา นางเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองถูกพาตัวมาที่นี่กะทันหันหมายความว่าอะไร
จู่ๆ ตรงทางเข้าหุบเขาก็มีสตรีผู้งดงามเลิศล้ำปรากฎตัว ยืนมองนางอย่างตะลึงงันอยู่ไกลๆ หน้าตาของทั้งสองคล้ายกันหลายส่วน ผู้ที่มาย่อมเป็นเฟยหง
สตรีวัยกลางคนสงสัยอยู่บ้าง ทว่าเมื่อเห็นเฟยหงยืนมองตนอย่างตะลึงแล้วเริ่มน้ำตาไหล สองมือของนางก็เริ่มสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ พอจะตระหนักอะไรบางอย่างได้แล้ว
“ท่านแม่!” จู่ๆ เฟยหงก็ร้องเรียกด้วยเสียงเศร้ารันทดเพราะความคนึงหาไร้ที่สิ้นสุด แล้ววิ่งเข้าคุกเข่าตรงหน้านาง กอดขานางเอาไว้ ชั่วพริบตาเดียวก็ร้องไห้โหเหมือนจะขาดใจ
สตรีวัยกลางคนน้ำตาไหลพรากทันที สองมือที่สั้นเทิ้มสัมผัสศีรษะเฟยหง พร้อมถามเสียงสั่น “อ้าวเสวี่ย…อ้าวเสวี่ย…เป็นเจ้าจริงเหรอ?”
ในปีนั้นสองม่ลูกตกอับ หลังจากตกอยู่ในมือหน่วยตรวจการซ้ายแล้วถูกจับแยก ก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย เด็กผู้หยิงในปีนั้นกลายเป็นสาวอย่างนี้แล้ว ต่อให้เป็นมารดาแต่มองปราดเดียวก็จำไม่ได้อยู่ดี…
ส่วนซือหม่าเวิ่นเทียนที่รออยู่ในหุบเขาก็ต้อนรับแขกอีกคน แม่เฒ่าลวี่
สีหน้าท่าทางซือหม่าเวิ่นเทียนตอนเห็นแม่เฒ่าลวี่กับตอนเห็นเฟยหงต่างกันโดยสิ้นเชิง เขากุมหมัดคารวะ “พี่หญิงลวี่ ไม่ได้ตั้งใจมารบกวน หวังว่าจะไม่ถือสา”
แม่เฒ่าลวี่เดินเลี้ยวเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ ถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “ท่านทูตซ้ายเรียกพบ ยายแก่คนนี้จะกล้าไม่มาได้เหรอ”
ซือหม่าเวิ่นเทียนยิ้มแห้งทันที แล้วโค้งตัวกุมหมัดคารวะอีกครั้ง “ตอนอยู่ต่อหน้าคนแล้วข้าวางมาดใส่ ท่านอย่าถือสาเลย ทำแบบนั้นก็เพื่อปกป้องท่าน ตรงนี้ไม่มีคนนอก พี่หญิงลวี่จะเหน็บแนมข้าทำไม”
แม่เฒ่าลวี่ไม่ได้ปฏิเสธหรือรับปาก “บอกมาเถอะ มาหาข้ามีเรื่องอะไร คงไม่ใช่เพราะเรื่องหนิวโหย่วเต๋อหรอกใช่มั้ย?”
“พี่หญิงลวี่ช่างเหมือนกระจกที่ใสสะอาด ข้ามาเพราะเรื่องเขาจริงๆ” ซือหม่าเวิ่นเทียนกล่าว
“เจ้าเด็กนั่นก่อเรื่องอะไรที่พระตำหนักอุทยานกันแน่ นึกไม่ถึงว่าจะรบกวนให้ข้ามาด้วยตัวเอง?” แม่เฒ่าลวี่ถาม
“ฮึ! เจ้าเด็กนี่ใจกล้าไม่เบา ทะเลาะกับอิ๋งอู๋เชวียลูกชายอิ๋งจิ่วกวงในงาน…” ซือหม่าเวิ่นเทียนเล่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตำหนักตอนนั้นให้ฟังคร่าวๆ
แม่เฒ่าลวี่ฟังจบแล้วเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถามว่า “เรื่องนี้เกี่ยวกับข้าด้วยเหรอ?”
ซือหม่าเวิ่นเทียนขมวดคิ้วเดินไปเดินมา “จากเบาะแสต่างๆ ที่แสดงออกมา เหมือนเจ้าเด็กนั่นจงใจก่อเรื่อง ทุกอย่างที่ทำเหมือนจะพุ่งเป้าไปที่ตำแหน่งหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล หรือพูดได้อีกอย่างว่า ตั้งแต่เขาเริ่มทารุณเฟยหง ก็มีความเป็นไปได้สูงว่านั่นจะอยู่ในแผนการของเขา”
แม่เฒ่าลวี่จึงบอกว่า “ในเมื่อสงสัยว่าเขามีปัญหา เจ้าส่งคนไปจับเขาออกจากสวนกลางเขียวขจีเลยก็สิ้นเรื่อง กังวลว่ายายแก่คนนี้จะห้ามหรือไง?”
ซือหม่าเวิ่นเทียนกระตุกมุมปากเล็กน้อย แล้วส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “เจ้าเด็กนั่นไม่ธรรมดาเลย วางแผนนี้ได้อย่างสง่าผ่าเผย ทำให้คนอยากจะหลบก็หลบไม่พ้น ใส่ฝ่าบาทเอาไว้ในแผนการเขาด้วย ฝ่าบาทรู้อยู่แจ่มแจ้งว่าเขากำลังเล่นลูกไม้ แต่ก็ทำอะไรเขาไม่ได้ กลับต้องช่วยทำให้ความปรารถนาของเขาเป็นจริงด้วยซ้ำ เจ้าจะให้ข้าจับเขายังไง?”
“งั้นเจ้ามาหาข้าแล้วจะมีประโยชน์อะไร?” แม่เฒ่าลวี่ถาม
“เรื่องบางเรื่องนั้นแกล้งโง่ได้ แต่เรื่องบางเรื่องต้องมีข้อมูลในใจ ข้าคุมหน่วยตรวจการซ้าย ยากจะเลี่ยงความรับผิดชอบ เรื่องสถานการณ์โดยรวมย่อมมีฝ่าบาทควบคุมอยู่ แต่เรื่องจุกจิกปลีกย่อยข้าก็ต้องจัดการให้ดี หนิวโหย่วเต๋อเริ่มลงมือวางแผนนี้จากตัวเฟยหง หนิวโหย่วเต๋อปิดบังเฟยหง หรือว่าเฟยหงรู้เรื่องล่วงหน้าแล้วกันแน่ เรื่องนี้ข้าไม่มีมีทางยืนยันได้ พี่หญิงลวี่กับเฟยหงอยู่ด้วยกันมาหลายปี อาศัยดวงตาเฉียบแหลมของพี่หญิงลวี่ ไม่ทราบว่ามองเห็นอะไรบางหรือเปล่า?” ซือหม่าเวิ่นเทียนกล่าว
บทที่ 1720 พอเปล่งเสียงร้องก็ทำให้คนแ...
แม่เฒ่าลวี่เงียบไปอีกพักหนึ่ง แล้วสุดท้ายก็ถอนหายใจ “พอพูดแบบนี้ ข้าก็ว่าข้าถูกเจ้าเด็กนั้นหลอกใช้แล้วจริงๆ หึหึ จากที่ข้าดูนะ นางหนูเฟยหงนั่นช่างชะตาลำเค็ญนัก อยู่ทางนั้นถูกหนิวโหย่วเต๋อปิดบังหลอกใช้ อยู่ถวายชีวิตรับใช้เจ้าทางนี้ก็ยังต้องทนรับความหวาดระแวงจากเจ้าอีก หากเจ้าไม่เชื่อ จะฆ่าทิ้งเสียก็สิ้นเรื่องแล้ว ทำไมต้องมาอ้อมค้อมไม่รู้จับจักสิ้น เจ้าเหนื่อยบ้างหรือเปล่า”
ซือหม่าเวิ่นเทียนส่ายหน้าหัวเราะเยาะ “พูดแบบนี้ แสดงว่าพี่หญิงลวี่ไม่สังเกตเห็นความผิดปกติอะไรใช่มั้ย?”
แม่เฒ่าลวี่โบกมือ “ไม่เห็นความผิดปกติอะไรหรอก ก่อนหน้านี้ยังไม่รู้ว่าทางพระตำหนักอุทยานเกิดเรื่องอะไรกันแน่ ตอนนี้พอได้ยินเจ้าบอก ข้าถึงแน่ใจว่านางหนูนั่นถูกหนิวโหย่วเต๋อหลอกใช้แล้ว ท่านทูตซ้าย ผู้ชายอย่างพวกเจ้ารู้สึกว่าผู้หญิงน่ารังแกหมดเลยใช่มั้ย?”
“เหอะๆ! เหอะๆ…” คำถามนี้เหมือนจะทำให้ซือหม่าเวิ่นเทียนเก้อเขินนิดหน่อย เขาเอามือลูบจมูก “พี่หญิงลวี่พูดเกินไปแล้ว”
แม่เฒ่าลวี่มองประเมินเขาศีรษะจดเท้า “นางหนูเฟยหงนั่นเป็นเด็กดีแท้ๆ แต่เจ้าจับนางยัดไปเป็นอนุภรรยาหนิวโหย่วเต๋อ ตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อหลอกใช้นางเหมือนเป็นของเล่น เกรงว่าเจ้าคงทำเรื่องพรรค์ไว้ไม่น้อยเลยล่ะสิ? ท่านทูตซ้าย เรื่องขาดคุณธรรมน่ะอย่าทำเยอะนัก ระวังกรรมจะตามสนอง”
ซือหม่าเวิ่นเทียนยิ้มแห้ง “ใต้หล้าของฝ่าบาทใหญ่ขนาดนี้ เรื่องบางเรื่องจำเป็นต้องมีคนไปทำให้”
แม่เฒ่าลวี่ทำเสียงฮึดฮัด “เจ้าไม่ต้องอ้างเขามาข่มข้า ข้าแค่เฝ้าสวนของข้าไป ต่อไปนี้อย่าเอาเรื่องวุ่นวายอย่างนี้มาทำให้ข้าสะอิดสะเอียดเยอะนักล่ะ ถ้าทูตซ้ายไม่มีอะไรจะกำชับแล้ว ข้าขอตัวก่อนได้หรือเปล่า?”
ซือหม่าเวิ่นเทียนยิ้มเจื่อน กุมหมัดคารวะส่ง จนกระทั่งแม่เฒ่าลวี่เหาะขึ้นฟ้าหายไปแล้ว เขาถึงได้ส่ายหน้าด้วยความปลง “พี่หญิงเฒ่าเอ๊ย ทำไมท่านต้องลำบากล่ะ…”
สวนกลางเขียวขจี เฟยหงที่ไม่ได้ออกไปนานกลับเข้ามาในโพรงไม้แล้ว เหมียวอี้ที่นอนหมอบอยู่บนเตียงเตี้ยเอียงหน้ามองแวบหนึ่ง เห็นเฟยหงตาสองข้างแดงก่ำ จึงอดไม่ได้ที่จะตกใจ ถ่ายทอดเสียงถามว่า “เป็นอะไรไป? หน่วยตรวจการซ้ายไม่ได้ทำอะไรเจ้าใช่มั้ย?”
เฟยหงได้รับข่าวจากผู้บังคับบัญชาให้ไปพบ เรื่องนี้เขาก็รู้ เขาเองก็กังวลว่าเฟยหงอาจจะมีอันตรายอะไร แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ เขาเองก็ไม่มีทางเลือกเหมือนกัน ทำให้เพียงให้เฟยหงไปเสี่ยงอันตรายคนเดียว ในระหว่างนี้เขากังวลอยู่ตลอด
เฟยหงส่ายหน้า นั่งยองๆ ข้างเขา จับฝ่ามือเขามาแนบใบหน้าตัวเองเพื่อหาที่ปลอบใจ พร้อมถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ข้าไปพบซือหม่าเวิ่นเทียนมาแล้ว”
“หา!” เหมียวอี้ตกใจทันที เขาเองก็เคยเจอซือหม่าเวิ่นเทียนที่อุทยานหลวงมาแล้ว แต่ไม่เคยคุยกันเลย ในภาพจำของเขา อีกฝ่ายเป็นคนลึกล้ำพูดน้อยคนหนึ่ง แต่กลับเคยได้ยินข่าวลือเรื่องความน่ากลัวของคนคนนี้มาไม่น้อย ในข่าวลือบอกว่าเขาเป็นตัวละครที่เหมือนงูพิษและหมาป่าชั่วร้าย ทำให้คนที่เห็นรู้สึกสยองไม่กล้าเข้าใกล้โดยจิตใต้สำนึก
เฟยหงกล่าวด้วยแววตาเศร้าโศกไร้ที่สิ้นสุด แทบจะร้องสะอื้นแล้ว “ข้ายังได้เจอท่านแม่ของข้าด้วย”
“…” เหมียวอี้ตะลึงงัน “มีเรื่องอะไรกันแน่?”
เฟยหงเล่าเรื่องที่ตัวเองได้พบกับซือหม่าเวิ่นเทียนและมารดาให้ฟังทันที แต่จนใจที่หน่วยตรวจการซ้ายไม่ให้นางกับมารดาอยู่ด้วยกันนานเกินไป จึงพามารดานางกลับไปแล้ว
เหมียวอี้ได้ยินแล้วก็วางใจ ขณะเดียวกันก็พูดไม่ออกไปพักหนึ่ง เขาย่อมเคยได้ยินเฟยหงบอกมาก่อน ว่านางถูกหน่วยตรวจการซ้ายจับแยกกับมารดาตั้งแต่ยังเด็ก เพื่อจะใช้สิ่งนี้เป็นจุดอ่อนในการบีบให้ทำงานให้ เขาลูบใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศกของเฟยหง “ขอเพียงแน่ใจว่แม่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ดีแล้ว ถ้ามีโอกาสข้าจะต้องคิดหาทางช่วยแม่เจ้าออกมาแน่นอน ตอนนี้นางเป็นยังไงบ้าง?”
เฟยหงน้ำตาไหลอย่างเจ็บปวด “ท่านชราลงไม่น้อย น่าจะได้รับความทุกข์ทรมานมามาก ถ้าไม่ใช่เพราะกลัวจะส่งผลกับความปลอดภัยของข้า เกรงว่าท่านแม่คงจบชีวิตตามท่านพ่อไปแล้ว”
เหมียวอี้พอจะจินตนาการออกถึงสภาพจิตใจของสองแม่ลูก เดิมทีเป็นสตรีที่สูงส่ง ไม่ต้องกังวลเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ ร่ำรวยมีหน้ามีตาไร้ที่เปรียบ แต่กลับตกต่ำกลายเป็นนักโทษมาหลายปี เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง แค่คิดก็รู้ถึงสถานการณ์ของนางแล้ว “เฟยหง อย่าเศร้าไปเลย เจ้าไม่ได้ถือโอกาสถามแม่เจ้าสักหน่อยเหรอว่าถูกขังไว้ที่ไหน?”
เมื่อเห็นว่าตอนนี้เขายังคิดถึงเรื่องนี้อยู่ตลอด เฟยหงก็ซาบซึ้งใจมาก แสดงว่าผู้ชายคนนี้คิดจะช่วยชีวิตพวกนางสองแม่ลูกจริงๆ นางพยักหน้าบอกว่า “ข้าถามแล้วค่ะ ท่านแม่บอกว่าไม่รู้เหมือนกันว่าถูกขังไว้ที่ไหน รู้เพียงว่าทำงานอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งมาเป็นเวลานาน เหมือนจะเป็นสถานที่หลอมของวิเศษ ตามที่ท่านแม่คาดเดา ท่านสงสัยว่าตัวเองอาจถูกขังอยู่ในสถานที่หลอมสร้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ค่ะ”
สถานที่หลอมสร้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เหรอ? เหมียวอี้ตกใจอีกครั้ง “ทำไมแม่เจ้าถึงคิดว่าตัวเองโดนขังอยู่ที่หลอมสร้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์?”
เฟยหงตอบว่า “ข้าก็ถามอย่างนี้เหมือนกัน ท่านแม่ไม่มีหลักฐานอะไร แต่ท่านแม่รู้ว่าในมือประมุขชิงมีช่องทางลับที่ใช้หลอมสร้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ สถานที่หลอมของวิเศษเก็บเป็นความลับมาตลอด แล้วนางก็บอกว่าสถานที่กักขังนางเป็นสถานที่หลอมของวิเศษขนาดใหญ่มากพอดี คนที่ใช้แรงงานอยู่ที่นั่นส่วนใหญ่เป็นคนในครอบครัวขุนนางที่ถูกยึดทรัพย์ ในจำนวนนั้นมีคนที่ท่านแม่รู้จักด้วย เดิมทีนึกว่าคนตายไปแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะไปโผล่อยู่ที่นั่น นางเองก็นับเป็นผู้หญิงที่มีประสบการณ์ความรู้ แต่นางงงที่แยกไม่ออกว่าตัวเองอยู่ที่ไหน อาจจะเป็นเพราะสาเหตุนี้ นางจึงสงสัยว่าตัวเองถูกขังอยู่ในสถานที่ลับหลอมสร้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์”
“แบบนี้…” เหมียวอี้ครุ่นคิดเงียบๆ รู้สึกว่าสิ่งที่มารดาเฟยหงคาดเดาก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ในใจรู้สึกปลงอนิจจัง ดูท่าแล้วการที่นางเป็นฮูหยินของเทพประจำดาวจะไม่สูญเปล่า เป็นคนที่มีประสบการณ์ความรู้จริงๆ เขาพูดปลอบใจ “เบาะแสที่แม่เจ้าบอกสำคัญมาก อย่างน้อยก็ไม่ได้เหมือนเมื่อก่อนที่หาเบาะแสไม่เจอเลย เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าจะหาคนไปสืบเรื่องนี้อย่างลับๆ ยังมีเบาะแสอื่นเกี่ยวกับที่อยู่ของแม่เจ้าหรือเปล่า?” บอกเพียงทิศทางเท่านั้น เบาะแสยังน้อยไปหน่อย
เฟยหงส่ายหน้า “หน่วยตรวจการซ้ายให้เวลาน้อยเกินไป ไม่ยอมให้พวกเราสองแม่ลูกคุยกันเยอะเท่าไร ก็พาแม่ข้าไปแล้ว จากนั้นข้าก็กลับมาพบซือหม่าเวิ่นเทียนอีก ซือหม่าเวิ่นเทียนบอกให้ข้าทำงานให้ดี บอกว่าจะให้ท่านแม่ทำงานน้อยๆ จะหางานสบายให้ท่านแม่ทำ รอให้ข้าทำงานสะสมครอบแล้ว ก็จะให้ข้ากับแม่อยู่ด้วยกัน”
เหมียวอี้ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี รู้สึกหนักหน่วงในอารมณ์ ยังไม่ต้องพูดถึงสาเหตุอื่น ถ้ามารดาของเฟยหงใช้แรงงานอยู่ในสถานที่หลอมสร้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จริง เกรงว่าหน่วยตรวจการซ้ายก็ยิ่งปล่อยมารดานางไปไม่ได้ จะต้องใประโยชน์จากสองแม่ลูกจนแห้งเหี่ยวแน่นอน แต่จนใจที่เขาไม่สะดวกจะพูดให้สะเทือนใจเฟยหง
สรุปก็คือไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ครั้งนี้ก็อาจจะจับพลัดจับผลูช่วยเหลือเฟยหงได้ ให้สองแม่ลูกที่ไม่พบกันหลายปีมาเจอหน้ากัน อย่างน้อยก็ทำให้รู้เบาะแสเกี่ยวกับที่อยู่มารดาของเฟยหงบ้างแล้วนิดหน่อย ถึงแม้อาจจะไม่ถูกต้องแม่นยำก็ตาม
มีอยู่อีกจุดที่เหมียวอี้ค่อนข้างนับถือเฟยหง นั่นก็คือใช้เวลาสั้นๆ เพียงเท่านี้ แต่ก็ยังรู้จักสืบที่อยู่ของมารดาแข่งกับเวลา ไม่เหมือนผู้หญิงทั่วไปที่สนใจแต่อารมณ์อาลัยที่แยกจากกันไปนาน สมกับเป็นสายลับที่ผ่านการฝึกจากหน่วยตรวจการซ้าย
ตอนนี้เขาแปลกใจนิดหน่อยว่าอวิ๋นจือชิวสยบเฟยหงได้อย่างไร
วันต่อมา เอ๋อเหมย หญิงรับใช้ข้างกายราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็มาแล้ว มาที่สวนกลางเขียวขจีเพื่อเยี่ยมเหมียวอี้ด้วยตัวเอง หลังจากกล่าวให้กำลังใจแล้ว ก็บอกว่าราชินีสวรรค์ชื่นชมเขามาก ให้เขาตั้งใจทำงานให้ดี และประทานยาวิเศษกับทรัพย์สินให้เป็นกอง
ส่วนอาการบาดเจ็บของเหมียวอี้ก็ทำให้ไม่สะดวกจะออกจากสวนกลางเขียวขจีภายในสองสามวัน ทำได้เพียงอยู่ที่นี่สักระยะ หลังจากอาการบรรเทาแล้วก็ติดต่อไปบอกอวิ๋นจือชิวว่าตัวเองยังสบายดี ไม่ได้บอกว่าตัวเองโดนทำโทษรุนแรง บอกเพียงว่าจะพักอยู่ที่นั่นสักระยะแล้วค่อยกลับ ขณะเดียวกันก็ติดต่อไปบอกหยางชิ่งว่าจัดการเรื่องนี้สำเร็จแล้ว
ทว่าสิ่งที่ทำให้เหมียวอี้นึกไม่ถึงก็คือ เรื่องเดิมพันที่พระตำหนักอุทยานแพร่ออกไปทั่วใต้หล้าในเวลาเพียงไม่กี่วัน ถึงแม้จะไม่กล้าแพร่ข่าวอย่างโจ่งแจ้งเพราะเกี่ยวกับตำหนักสวรรค์ แต่กลับแพร่ข่าวอย่างลับๆ ได้เร็วเร็วมาก ท่านขุนนางหนิวชื่อเสียงสะท้านใต้หล้าอีกแล้ว
ตลาดผี อวิ๋นจือชิวที่อุดอู้อยู่ในห้องนั่งหวีผมอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มองใบหน้าตัวเองในกระจกที่มีคราบน้ำตาไหลอาบแก้มเงียบๆ สีหน้าโศกสลด ตอนนี้นางเพิ่งจะรู้ว่าทำไมเหมียวอี้ถึงยังไม่รีบกลับมา ที่แท้เป็นเพราะถูกแส้เฆี่ยนทำโทษที่พระตำหนักอุทยาน เขาปิดบังไว้เพราะไม่อยากให้นางกังวลใจ
ตอนนี้นางเพิ่งจะรู้ว่าเหมียวอี้ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงเพียงลำพัง เผชิญหน้ากับการรุมกลั่นแกล้ง ตัวอยู่ในบ่อมังกรถ้ำเสือ แต่กลับอาศัยร่างกายอันอ่อนแอต่ำต้อยเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่มีกลุ่มผู้แข็งแกร่งล้อมรอบ อาศัยความสุขุมสงบนิ่งไปเผชิญหน้าบนราชสำนักอย่างฮึกเหิมเร่าร้อน มองความตายเหมือนการกลับสู้มาตุภูมิ สุดท้ายก็พาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์ที่ถอยกลับไม่ได้ ฝ่าฟันเพื่อวันพรุ่งนี้ที่สว่างสดใส
สมกับเป็นชายชาตรีแท้ๆ ชาตินี้ได้แต่งงานกับผู้ชายแบบนี้ ทั้งชีวิตก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว ในดวงตาอวิ๋นจือชิวฉายแววภาคภูมิใจ แต่พอนึกถึงสองบ่าเล็กๆ ของเหมียวอี้ที่แบกรับสถานการณ์เสี่ยงตายทุกอย่างไว้เพียงลำพัง นางก็รู้สึกใจสลายแล้ว!
หลินผิงผิงมองหยางเจาชิงที่ยืนเงียบอยู่ริมหน้าต่าง เขายืนอยู่อย่างนี้มานานแล้ว สีหน้าตึงเครียดตลอดเวลา ตั้งแต่ได้ยินข่าวท่านแม่ทัพภาคที่พระตำหนักอุทยาน เขาก็ยืนอย่างนี้มาตลอดยังไม่พูดอะไรสักคำ
เป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ใช่วิธีการที่ดี หลินผิงผิงเดินมาจับแขนเขาเบาๆ แล้วกล่าวปลอบใจเสียงเบา “ไม่ต้องห่วงหรอก ขนาดด่านอันตรายอย่างนั้นยังผ่านมาได้ ท่านแม่ทัพภาคไม่เป็นอะไรหรอก”
หยางเจาชิงทำสีหน้ามุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว หันมามองนาง แล้วกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “นายท่านเป็นวีรบุรุษที่แท้จริง ชาตินี้ได้ติดตามรับใช้นายท่านนับเป็นโชคดีของหยาง!”
หลินผิงผิงพยักหน้าเบาๆ แล้วซบไหล่เขาพลางถอนหายใจ นางเองก็จินตนาการไม่ออก สถานที่อย่างราชสำนัก คาดว่าคนมากมายที่เข้าไปคงตกใจจนขาอ่อนปวกเปียก แต่ท่านนั้นกล้าโต้เถียงอย่างเหิมเกริมต่อหน้าขุนนางเต็มราชสำนัก เป็นลักษณะที่ทำให้คนทึ่งจริงๆ
คนที่ยืนริมหน้าต่างในจวนแม่ทัพภาคยังมีมู่หรงซิงหัวอีกคน นางจ้องนอกหน้าต่างนานมาก ถอนหายใจเบาๆ เช่นกัน ลักษณะท่าทางแฝงอารมณ์ที่ซับซ้อนไร้ที่เปรียบ ตอนนี้เพิ่งจะเข้าใจว่าสิ่งที่เรียกว่าเมาหัวราน้ำกับท้อแท้ในชีวิตเป็นเพียงการอดทนเท่านั้น เพียงเพื่อจะสร้างเสียงฮือฮาในวันนี้
ในตึกศาลาสัตยพรต เฉาหม่านที่นั่งหลังโต๊ะยาวถือแผ่นหยกอ่านซ้ำไปซ้ำมา ถ้าเทียบกับข่าวลือด้านนอก เขามีปัจจัยที่ทำให้รู้สถานการณ์ในพระตำหนักอุทยานละเอียดยิ่งกว่า ในมือกำลังถือบันทึกเหตุการณ์ของเหมียวอี้ที่พระตำหนักอุทยานโดยละเอียด ทุกคำพูดและการกระทำไม่ตกหล่นสักอย่าง
สุดท้ายก็กดแผ่นหยกบนโต๊ะยาว ถอนหายใจใส่ชีเจวี๋ยที่ยืนรออยู่ข้างๆ “บ่มแสงไว้ในความมืด แค่ไม่เปล่งเสียงร้องเท่านั้นเอง พอเปล่งเสียงก็ทำให้คนแตกตื่น เจ้าเด็กนี่ไม่ใช่สัตว์เล็กในบ่อน้ำ หากสามารถผ่านเคราะห์หนักได้ครั้งแล้วครั้งเล่า จะต้องทะยานขึ้นสวรรค์เก้าชั้นฟ้าแน่นอน!” พูดจบก็หลับตา แล้วส่ายหน้าช้าๆ พลางยิ้มเจื่อน
“บางทีเขาอาจจะมีหกลัทธิวางแผนอยู่เบื้องหลัง!” ชีเจวี๋ยกล่าว
เฉาหม่านหลับตาพลางทำเสียงฮึดฮัด “หกลัทธิมีคนวางแผนเก่ง แต่คนที่สามารถวางแผนลับอย่างนี้ได้ เหมือนข้าจะไม่เคยได้ยินมาก่อน อย่างน้อยในบรรดาข้อมูลสมาชิกที่พวกเรามีก็ยังไม่มีใครที่เชี่ยวชาญวิธีพลิกเมฆคว่ำฝนโดยการใช้ไม้อ่อนไม้แข็งควบกันอย่างนี้ นอกเสียจากหกลัทธิจะมีตัวละครที่ผงาดขึ้นใหม่แต่พวกเรายังไม่รู้จัก”
บทที่ 1721 ถูกดดันจนร้อนรน
ในขณะเดียวกันนี้เอง ในสวนต้องห้ามของจวนท่านปู่สวรรค์ เว่ยซูกำลังเดินเล่นอยู่ข้างกายเซี่ยโห้วท่า กำลังพูดคุยเรื่องนี้เช่นกัน
ประมุขชิงจัดงานเลี้ยงที่พระตำหนักอุทยานให้เป็นเพียงเกียรติยศและชื่อเสียงเท่านั้น อย่างไรเสียก็ใช่ว่าทุกคนจะเข้าพระตำหนักอุทยานได้ สถานที่ที่มีแขกเยอะอย่างแท้จริงยังเป็นฝั่งตระกูลเซี่ยโห้ว ตระกูลที่ใหญ่ขนาดนี้ ต่อให้เป็นเพียงญาติสนิทมิตรสหายในที่แจ้ง แต่แค่คิดก็รู้แล้วว่ามีจำนวนเยอะขนาดไหน ในฐานะที่เซี่ยโห้วท่าเป็นเจ้าของวันเกิด เรียกได้ว่าต้องตั้งใจรับแขกอยู่หลายวันจริงๆ ตอนนี้เพิ่งจะเริ่มว่าง เรื่องบางอย่างในตอนท้ายไม่จำเป็นต้องให้เขาออกหน้าจัดการอีก
“นายท่านกำลังสงสัยใช่มั้ยว่าเบื้องหลังหนิวโหย่วเต๋อยังมีมือมืดลึกลับอีก? จะใช่คนนั้นหรือเปล่า?” เว่ยซูที่ติดตามอยู่ข้างกายเอ่ยถาม
เซี่ยโห้วท่ากล่าวช้าๆ ในขณะที่หรี่ตาครุ่นคิด “ลักษณะการทำงานของคนคนหนึ่งมีเค้าส่อให้เห็นเสมอ เป็นไปไม่ได้ที่จู่ๆ จะพลิกโฉมแตกต่างกันมากอย่างขนาดนี้ มือมืดข้างนั้นถนัดอาศัยมุมมองและขอบเขตสายตาที่สูงกว่านั้นเพื่อเดินตามแนวโน้มสถานการณ์ที่เอื้อประโยชน์ เหมือนจะไม่พัวพันกับรายละเอียดปลีกย่อย นั่นไม่ใช่สิ่งที่คนวิสัยทัศน์แคบจะทำได้ ข้าก็เลยสงสัยว่าจะใช่บุคคลระดับสูงคนใดคนหนึ่งของตำหนักสวรรค์หรือเปล่า อีกทั้งเรื่องในครั้งนี้ก็ทั้งดุเดือดทั้งเสี่ยงอันตราย นี่เป็นวิธีการที่แข็งกร้าวห้าวหาญสง่าผ่าเผยจริงๆ ลักษณะไม่เหมือนมือมืดล่องหนที่ซ่อนอยู่เลย ด้วยเหตุนี้ ข้าก็เลยตัดสินได้ว่าไม่ใช่คนคนเดียวกัน แบบนี้กลับเหมือนลักษณะที่คุ้นเคยของหนิวโหย่วเต๋อด้วยซ้ำ ยังมีอีกจุดหนึ่ง เรื่องราวกะทันหันต่างๆ ในพระตำหนักอุทยานก็เห็นได้ชัดเจน การกระทำที่เสี่ยงอันตรายอย่างนี้ยากที่จะวางแผนล่วงหน้าได้ อย่างมากก็ทำได้แค่วางแผนคร่าวๆ มีเพียงหนิวโหย่วเต๋อเองที่ต้องกำหนดตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปถึงจะรับมือได้
ถ้าเปลี่ยนให้คนที่มีความสามารถในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้ากับสภาพจิตใจแย่กว่านี้สักหน่อย เมื่อพูดจาลังเลในสถานที่แบบนั้นแม้แต่น้อย ก็จะถูกพวกขุนนางใหญ่โจมตีอย่างดุเดือด พวกเขาจะกดดันดันเจ้าทีละก้าวจนกว่าเจ้าจะเอาชนะเจ้าได้ เมื่อรวมปัจจัยแต่ละอย่างแล้ว ก็เหมือนพฤติกรรมเดิมของหนิวโหย่วเต๋อจริงๆ เพียงแต่ความเหนือชั้นของวิธีการนี้ทำให้ข้าทำใจเชื่อได้ยากว่ามาจากมือหนิวโหย่วเต๋อ เรื่องนี้ดูเหมือนบ้าระห่ำแต่กลับต้องผ่านการวางแผนมาอย่างรอบคอบ คนที่สามารถกระโดดออกมาด่าอิ๋งจิ่วกวงว่าขายผู้หญิงแลกเกียรติยศที่อุทยานหลวงได้ ข้าว่าเขาเหมือนคนที่มีปฏิภาณและความมุทะลุผสมกันมากกว่า ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็ไม่เหมือนคนที่วางแผนมางานเลี้ยงวันเกิดข้าตั้งแต่สองปีก่อน หรือว่าหกลัทธิจะมีตัวละครใหม่ที่ข้าไม่รู้จักผุดขึ้นมาจริงๆ?”
เว่ยซูพยักหน้า “ถ้าเป็นการกระทำของหนิวโหย่วเต๋อเองจริงๆ เช่นนั้นหนิวโหย่วเต๋อก็จะทำให้คนมองด้วยสายตาใหม่จริงๆ แล้ว”
เซี่ยโห้วท่ากล่าวกลั้วหัวเราะ “ไม่ว่าจะเป็นการกระทำของหนิวโหย่วเต๋อ หรือจะมีคนวางแผนอยู่เบื้องหลังหนิวโหย่วเต๋อ ก็ล้วนเป็นฝ่ายเดียวกับหนิวโหย่วเต๋อทั้งนั้น การที่สามารถยกผลงานให้หนิวโหย่วเต๋อก็แสดงว่าไม่ธรรมดา ตอนนี้ข้าอยากรู้มากว่าเขาจะดึงตัวทัพเกรียงไกรหนึ่งแสนยังไง สี่ตำแหน่งโหวอย่างมากก็เท่ากับสองตำแหน่งเทพประจำดาว ขนาดประมุขชิงยังอยากได้ แล้วมีหรือที่สี่ตระกูลนั้นจะนิ่งดูดายเล่นตามกติกา? จะต้องเล่นไม่ซื่อเบื้องหลังแน่นอน”
เว่ยซูครุ่นคิด “ตอนนี้ทำให้คนรู้กันหมดแล้ว ถ้าการเดิมพันไม่ทำให้ประมุขชิงได้เปรียบ ด้วยนิสัยรักศักดิ์ศรีอย่างประมุขชิง เกรงว่าชีวิตของหนิวโหย่วเต๋อคงจะไม่มีค่าไปกว่าหน้าตาศักดิ์ศรีของประมุขชิง หนิวโหย่วเต๋อคงต้องกังวลเรื่องชีวิตตัวเองแล้ว”
เซี่ยโห้วท่าพยักหน้าเบาๆ
“หรูอี้ พวกเรากลับบ้านกันเถอะ”
บนตึกศาลาในจวนท่านโหวของจ้านผิงที่อุทยานหลวง จ้านหรูอี้ที่แต่งกายหรูหรางดงามมองไปทางสวนกลางเขียวขจีด้วยสีหน้าสงบเยือกเย็น อิ๋งลั่วหวนที่เดินขึ้นมาข้างบนเตือนลูกสาวเบาๆ ประมุขชิงไม่ได้สั่งให้จ้านหรูอี้อยู่ต่อ แต่ทางตำหนักนารีสวรรค์ส่งข่าวมาเตือนแล้ว บอกว่างานเลี้ยงจบเลี้ยง นี่คือการเร่งให้จากไป
ดาวเทียนหยวน ตำหนักคุ้มเมือง ฝูชิงที่ยืนพิงระเบียงอยู่บนตึกสูงเงียบงันอยู่นานมาก ยืนอยู่ตรงนั้นหนึ่งวันเต็มๆ
ในคฤหาสน์แห่งหนึ่งที่อยู่ในป่าโบราณหุบเขาลึก สวีถังหรานกำลังเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่ข้างใน สีหน้าคร่ำเครียดหม่นหมอง เกิดข้อเปรียบเทียบชัดเจนกับแปลงดอกไม้ที่งดงามดุจลายผ้าแพรรอบกาย
สตรีที่งามเย้ายวนสองคนเดินออกมาจากประตูพระจันทร์ เมื่อเห็นสวีถังหรานเดินไปเดินมา ทั้งสองก็รีบเข้ามาปลอบใจ หนึ่งในนั้นกอดแขนแล้วลูบไล้หน้าอก อีกคนกล่าวด้วยเสียงออดอ้อน “นายท่านอารมณ์ไม่ดีเหรอคะ? เดี๋ยวข้าจะช่วยผ่อนคลาย…”
“ไปตายทางนั้นไป!” สวีถังหรานตะคอก แล้วตบซ้ายตบขวา มีเสียงกรีดร้องดังสองครั้ง ร่างสองร่างกระเด็นออกไปทางซ้ายและขวา หนึ่งคนกระแทกกำแพงจนศีรษะแยก อีกคนชนอ่างดอกไม้จนร่างเละ ผู้หญิงที่เป็นมนุษย์ธรมดาสองคนจะทนไม้ทนมือเขาได้อย่างไร
เงาคนคนหนึ่งถลันเข้ามาจากด้านนอก หวงเสี้ยวเทียนวิ่งเข้ามาเพราะตกใจเสียงกรีดร้อง เมื่อเห็นสาวงามที่เมื่อครู่นี้เพิ่งหัวเราะคิกคักตัวติดกับสวีถังหรานตายอนาถ เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกงง นี่คือคนที่เขาตั้งใจเลือกมาปรนนิบัติสวีถังหราน นึกไม่ถึงว่าจะเล่นเสียของอย่างนี้
ขณะมองสวีถังหรานเดินไปเดินมาอย่างร้อนรน หวงเสี้ยวเทียนก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “นายท่าน นี่คือ?”
สวีถังหรานทีเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาหยุดฝีเท้า แล้วถามว่า “เรื่องพระตำหนักอุทยานของตำหนักสวรรค์ยังมีข่าวอะไรตามมาอีกมั้ย?” เขาอยู่ที่นี่ได้ยินข่าวเหมียวอี้ที่พระตำหนักอุทยานแล้ว
นี่เป็นนางโลมคนที่เท่าไรแล้ว หวงเสี้ยวเทียนยิ้มเจื่อน “ตอนนี้ก็เป็นอย่างนี้ ข่าวที่ได้จากข้างนอกก็มีแค่เท่านี้ ยังไม่มีข่าวใหม่อะไร”
ดังนั้นสวีถังหรานจึงเดินไปเดินมาอย่างกระวนกระวายอีก เขากับหยางเจาชิงมีควมคิดแตกต่างกัน เพราะเขาถูกกดดันจนร้อนรน เขานึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะไปก่อเรื่องใหญ่ขนาดนั้นที่วังสวรรค์ นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะออกรบเท้าเปล่าเพื่อการรับสมัครคน เขาคิดว่าเหมียวอี้ขาดความเชื่อมั่นให้ตัวเขาสวีถังหราน เรียกได้ว่าหมดหวังกับสวีถังหรานจริงๆ!
ในอากาศเริ่มมีกลิ่นคาวเลือดโชยออกมา “กรรร…” จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเสือคำรามมาจากที่ไกลๆ สวีถังหรานหยุดเดินอีกครั้ง เอียงหน้ามองไปทางจุดที่มีเสียงเสือดังมา แล้วชี้ไปทางนั้น “ไป จับเสือดุตัวนั้นมาให้ข้า แล้วส่งไปที่คุกใต้ดิน เอาแบบตัวเป็นๆ ถ้าทำตายแล้ว ข้าจะปลิดชีวิตเจ้า” พูดจบก็สะบัดแขนเสื้อเดินออกไป
“…” หวงเสี้ยวเทียนอ้าปากค้าง ไม่รู้ว่าเจ้าคนประสาทนี่เป็นบ้าอะไรอีก แต่ก็ไม่มีทางเลือด ทำได้เพียงไปจัดการตามที่สั่ง
คฤหาสน์สร้างอิงภูเขา ข้างในมีทางใต้ดินผ่านไหล่เขาด้านหลังคฤหาสน์ บนผนังฝังไข่มุกราตรีที่เปล่งแสงอ่อนละมุนหลายเม็ด ตรงจุดที่ลึกที่สุดของไหล่เขาคือคุกใต้ดินที่สร้างขึ้นมาส่วนตัว ในคุกที่แยกสองฝั่งมีคนหลายสิบคน มีทั้งชายหญิงทั้งเด็กทั้งคนชรา ขังไว้ห้องละสามถึงห้าคน หรือไม่ก็ห้องละห้าหกคน และบนแท่นทรมานนอกคุกก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งถูกมัดทั้งแขนทั้งขา ปล่อยผมก้มหน้า ถูกทรมานจนสภาพสะบักสะบอมเลือดไหล จะเห็นได้ว่าถูกทรมานมานานแล้ว
สวีถังหรานเดินก้าวยาวเข้ามา ในคุกสองฝั่งมีเสียงสะอื้นเบาๆ ดังเป็นระยะ สวีถังหรานไม่แยแส เดินมาหน้าแท่นทรมาน กระชากผมชายหนุ่มคนนั้นขึ้นมา “เจ้าเซ่สวี ข้าจะให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ลูกชายผู้นำของพวกเจ้าซ่อนตัวอยู่ที่ไหน?”
ชายหนุ่มอ้าปากที่เต็มไปด้วยเลือด หอบหายใจพร้อมตอบว่า “ข้าบอกไปหลายรอบแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาผู้นำของข้าไม่เคยชอบผู้หญิง จนถึงวันนี้ก็ยังไม่แต่งงาน จะไปมีลูกชายจากไหน”
สวีถังหรานคว้าผมเขาแล้วผลักอยู่พักหนึ่ง “พูดเหลวไหลกับพ่อให้มันน้อยๆ หน่อย เรื่องที่ไม่มีเงา ข้าจะตามเจ้าเจอได้ยังไง? ตามที่ข้ารู้มา เมียที่ฉู่อันเทียนแอบแต่งงานด้วยกับลูกชาย เจ้าเป็นคนจัดหาที่ซ่อนให้เอง บอกมา ซ่อนอยู่ที่ไหน?”
“ไม่ต้องสิ้นเปลืองความคิด จะฆ่าจะแล่ก็เชิญท่านตามสะดวก” ชายหนุ่มตอบ
สวีถังหรานโบกมือชี้เด็กสตรีและคนชราในคุกสองฝั่ง “เพื่อผู้นำตูดหมาของเจ้าคนเดียว ควรค่าให้ลากทั้งครอบครัวมาซวยด้วยเหรอ?”
ชายหนุ่มเหล่ตามอง แล้วหัวเราะแห้งๆ “อย่ามาใช้ลูกไม้นี้กับข้า ถ้าข้าบอกไป เกรงว่าพวกเขาคงจะตายเร็วกว่าเดิม”
“หึ!” สวีถังหรานปล่อยเขา หัวเราะประชดด้วยความโมโห ปรบมือสองสามทีแล้วยกนิ้วหัวแม่มือพร้อมเอ่ยชม “ข้าชื่นชมคนที่จงรักภักดีต่อเจ้านายที่สุดแล้ว เจ้ากล้าหาญ! แล้วข้าก็ชอบเล่นกับคนอย่างเจ้าที่สุดด้วย ชอบชั่งกระดูกเจ้าว่าจะแข็งสักแค่ไหน!” พูดจบก็เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมา ดูจากสีหน้าแล้วเห็นได้ชัดว่าโมโหแทบทนไม่ไหว
ผ่านไปไม่นาน หวงเสี้ยวเทียนก็มาแล้ว พอเข้ามาใกล้ตรงหน้าแล้วโบกมือ ก็โยนเสือโคร่งตัวใหญ่ตัวหนึ่งออกมาจากกระเป๋าสัตว์ เป็นตัวเป็นๆ อย่างที่สวีถังหรานบอกจริงๆ ด้วย พอโยนออกมานิสัยสัตว์ร้ายก็ปะทุทันที มันกระโจนไปหาสวีถังหรานโดยตรง
สวีถังหรานใช้มือคว้าเอาไว้ บีบคอมันเอาไว้ราวกับเป็นแมวตัวหนึ่ง แล้วก็ลากไปกับพื้น กรงเล็บทั้งสี่ของเสือดุต้านพื้นจนเกิดรอยวาดออกมา
พอเดินไปถึงประตูคุกห้องหนึ่ง สวีถังหรานก็โบกมือ “เปิดประตู!”
หวงเสี้ยวเทียนเปิดประตูคุกด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว ผู้หญิงหลายคนในคุกตกใจจนร้องไห้กอดกันกลม ชายหนุ่มที่โดนมัดอยู่บนแท่นทรมานดิ้นรนดึงโซ่ พลางคำรามถามอย่างเดือดดาล “เจ้าจะทำอะไร?”
ทำอะไรงั้นเหรอ? สวีถังหรานโยนเสือดุลายพร้อยตัวนั้นเข้าไปในคุกเสียเลย แล้วก็ปิดประตูคุกไว้
“กรรร…” ในคุกมีเสียงเสือดุร้ายคำราม มันเริ่มหมอบหัวไปทางผู้หญิงพวกนั้น จากนั้นก็กระโจนเข้าใส่กลุ่มคนพร้อมกลิ่นคาวเลือดทันที กลิ่นคาวเลือดของฉากนั้นโหดร้ายจนทำให้คนทนมองตรงๆ ไม่ไหว เสียงร้องโอดครวญขอชีวิตอย่างเศร้ารันทดของผู้หญิงพวกนั้นดังก้องอยู่ในคุกใต้ดิน
“หยุดนะ! หยุดนะ…” ชายหนุ่มบนแท่นทรมานร้องตะโกนจนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด
ใช้เวลาไม่นาน พวกผู้หญิงที่อยู่ในคุกก็ไม่มีความเคลื่อนไหวแล้ว เหลือแต่เลือดนองเต็มพื้น สวีถังหรานผลักประตูคุกออก กางนิ้วทั้งห้าดูดเสือร้ายที่กำลังกัดเคี้ยวออกมา ดึงไปที่ประตูคุกห้องถัดไป แล้วตะโกนว่า “เปิดประตู!”
ถึงแม้หวงเสี้ยวเทียนจะเป็นปีศาจสิงโตตัวหนึ่ง แต่ถึงอย่างไรก็กลายร่างเป็นคนมาหลายปีแล้ว คุ้นเคยกับวิธีคิดของคนแล้ว แต่เมื่อเห็นฉากสอบสวนคนเป็นๆ แบบนี้ก็ตัวสั่นอยู่บ้าง เขามองสวีถังหรานเหมือนมองสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง ราวกับว่าสวีถังหรานเป็นปีศาจแล้วเขาเป็นมนุษย์อย่างนั้นแหละ แต่เขาก็ยังเปิดประตูให้ตามคำสั่ง
“ท่านพ่อ! ช่วยข้าด้วย…” เด็กน้อยที่ถูกชายชราอุ้มเห็นเสือร้ายเข้ามาใกล้ประตู จึงกรีดร้องอย่างสะเทือนขวัญ
สวีถังหรานเพิ่งจะปล่อยเสือเขาคุก ชายที่ถูกมัดอยู่บนแท่นทรมานก็ร้องอย่างเศร้าโศก “หยุด! ข้าบอกก็ได้! ไอ้เดรัจฉาน หยุดนะ ข้าบอกแล้ว…”
ตอนที่เสือร้ายกำลังจะแผลงฤทธิ์ สวีถังหรานก็กางนิ้วดูดมันออกมาอีก ในคุกสองฝั่งมีเสียงร้องตกใจดังเป็นแถบ บางคนในคุกตกใจจนปัสสาวะราด บางคนตกใจจนไม่กล้ามองตรงๆ บางคนถึงขนาดเป็นลมไปเลยก็มี
พอโยนเสือโคร่งลายพร้อยให้หวงเสี้ยวเทียน สวีถังหรานก็เดินก้าวยาวไปหน้าแท่นทรมาน จากนั้นลูบผมชายหนุ่มอย่างอ่อนโยนมาก กล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “พูดมาตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่องแล้ว จะลำบากไปทำไมล่ะ ทุกคนออกมาทำงานก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ที่จริงข้าก็ไม่อยากทำแบบนี้หรอก ข้าเองก็นับถือในความจงรักภักดีของเจ้ามาก ทว่าแต่ไหนแต่ไรมา เจ้าจะเลือกทั้งความกตัญญูทั้งความจงรักภักดีไม่ได้หรอก ต้องให้เจ้าเลือกสักอย่างอยู่แล้ว ล้วนเป็นเจ้าที่บีบข้าทั้งนั้น”
ชายหนุ่มร้องไห้น้ำตานองหน้า “ข้าบอกแล้วเจ้าจะปล่อยพวกเขาไปหรือไง?”
สวีถังหรานตอบอย่างไร้ยางอายมาก “ถ้าเจ้าพูดตั้งแต่แรก ข้าจะปล่อยพวกเขาไปแน่นอน ทั้งยังจะปล่อยเจ้าไปพร้อมกันด้วย ตอนหลังเจ้ากับข้าจะได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขมากแน่ๆ แต่ตอนนี้มือข้าเปื้อนเลือดแล้ว ถ้าปล่อยพวกเขาไป ในอนาคตพวกเขาก็จะมาล้างแค้นข้าน่ะสิ ถ้าจะพูดให้ถูก พวกเขาถูกทำร้ายเพราะเจ้านั่นแหละ เจ้ารู้สึกผิดบ้างมั้ยล่ะ? เจ้าให้พวกเขามีจุดจบที่สบายเถอะ แน่นอน ข้าเองก็ไม่ใช่คนไร้ความเมตตาปรานี อย่างน้อยก็จะทำให้พวกเขาไปสบาย ให้พวกเขาหลับยาวโดยไม่เจ็บปวดอะไรอีก เจ้าคิดว่าดีมั้ย?” เขาหยิบขวดหยกใบเล็กออกมาแกว่งไปแกว่งมาตรงหน้าชายหนุ่ม ให้เลือกเอาเอง สรุปก็คือไม่ให้ทางรอดชีวิตแล้ว
ชายหนุ่มส่ายหน้าอย่างคับแค้น “เจ้าเป็นใครกันแน่?”
สวีถังหรานตอบว่า “อย่านอกเรื่องไปไกล เจ้าปั่นหัวข้ามานานเกินไปแล้ว เจ้าทำให้ข้าหมดความอดทนแล้ว” พูดจบก็หันหน้าไป ทำท่าจะจับเสืออีก
“ข้าบอกแล้ว…” ชายหนุ่มร่ำไห้แล้วก้มหน้า เขาแทบสติแตกแล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น