ลำนำบุปผาพิษ 1714-1719

 บทที่ 1714 โศกาอาลัย


นัยน์ตาของเขาลึกล้ำเสมอมา ยามนั้นที่มองตาเธอมักจะเจือแววหยอกเอินอยู่เสมอ ทุกครั้งที่สบตากับเขา หัวใจเธอจะเต้นถี่รัวไม่ลดละ


ตอนนี้เธอได้นอนอยู่อ้อมแขนเขาในท่วงท่าเช่นนี้อีกครั้ง มองดวงตาของเขา ในที่สุดหัวใจก็ไม่เต้นรัวอย่างโง่งมอีกแล้ว


เบื้องหน้าเธอมืดมัวเป็นพักๆ สายตามองเห็นไม่ใคร่แจ่มชัดนัก เพียงรู้สึกได้รางๆ ว่าดวงตาที่เจือรอยยิ้มไว้เสมอมามีละอองน้ำอยู่เลือนราง…


เขาเสียใจเพื่อเธอใช่ไหม?


เขาร้องไห้หรือ?


คล้ายว่าเขากำลังพูดบางอย่าง หน้ากากบนใบหน้าสั่นไหวเล็กน้อย


เขาสงสารเธออยู่กระมัง? เสียใจให้เธอเล็กน้อยด้วยใช่ไหม?


แต่เธอไม่ต้องการความเวทนาสงสารจากเขา สิ่งที่เธอต้องการเขามอบให้เธอไม่ได้อีกแล้ว สิ่งที่เขามอบให้เธอล้วนเป็นสิ่งที่เธอไม่ต้องการทั้งสิ้น…


ในหูเธอมีเสียงอื้ออึง ไม่อาจได้ยินว่าเขาพูดอะไร


ตี้ฝูอีหวาดผวาเมื่อพบว่าแววตาของนางค่อยๆ สลัวลง ซ้ำนางยังไม่ได้ยินเสียงด้วย! ถึงขั้นที่ร่างกายของนางเริ่มมีประกายแสงเจิดจ้าแผ่ออกมาแล้ว…


นี่เป็นสัญญาณว่าดวงวิญญาณกำลังจะสลายหายไป!


เขาสั่นสะท้านไปทั้งร่าง นั่นคือความดหวาดกลัวที่จะต้องสูญเสียไปแต่กลับไร้หนทางยื้อกลับมาได้…


“ซีจิ่ว! กู้ซีจิ่ว! เจ้าอย่ายอมแพ้นะ! ซีจิ่ว อย่าตายนะ เจ้าฟังข้าสิ ข้าไม่ได้หักหลังเจ้า คนที่ข้าชอบพอเสมอมาก็คือเจ้า…”


“ซีจิ่ว เจ้าฟังสิ คนดี ฟังนะ เจ้าใช้เคล็ดหทัยวิญญาณรวมรวมสติเอาไว้สิ ข้ารู้ว่าเจ้าทำได้! รอให้เจ้าหายแล้ว ข้าจะอธิบายกับเจ้าดีๆ…”


“ซีจิ่ว…”


เขาพูดไปด้วย พยายามถ่ายทอดพลังวิญญาณเข้าสู่ร่างนางอย่างสุดชีวิตไปด้วย คิดจะทำให้เส้นเลือกที่แทบจะแข็งทื่อไปแล้วของนางไหลเวียนอีกครั้ง


แน่นอนว่าในช่วงเวลาเช่นนี้เขาก็ใช้วิชอาคมแล้วเช่นกัน พยายามรวบรวมดวงวิญญาณที่กำลังจะแตกสลายของนางไว้สุดชีวิต


เขาหลอดหน้ากากทิ้ง เพื่อให้นางได้เห็นรูปปากของตนชัดๆ เขาทราบว่านางอ่านปากเป็น ต้องรู้แน่นอนว่าเขาพูดอะไร


นางยิ้มแล้ว มุมปากหยักโค้ง


จากนั้นตี้ฝูอีก็พบว่าสายตาของนางร่อนลงบนเรือนผมเขา


สายตาของเธอพร่ามัวแล้ว แต่สามารถมองเห็นสีขาวที่เสียดแทงสายตาได้รางๆ…


เธอพยายามยกแขนที่ห้อยอยู่ข้างลำตัวขึ้นมา ปลายนิ้วแตะเส้นผมสีเงินของเขาเบาๆ ริมฝีปากขยับเล็กน้อย เอ่ยพึมพำไม่กี่ประโยค เสียงแผ่วเบายิ่ง แต่ตี้ฝูอีกลับได้ยินชัดเจน “ข้า…ไม่ชอบที่ท่านผมขาวเลย…เห็นท่านผมขาวแล้ว…ข้าเสียใจมาก…”


เขากอดนางแน่น “ข้าจะทำให้มันดำ! ซีจิ่ว ข้าจะทำให้ผมขาวกลายเป็นผมดำ เจ้ายืดหยัดไว้นะได้ไหม?”


น้ำเสียงเขาสั่นพร่า ฝืนข่มความหวาดกลัวมหาศาลในจิตใจไว้ถือโอกาสยื่นเงื่อนไขกับนาง


นิ้วของนางยังคงลูบไล้เส้นผมของเขา เบื้องหน้ามืดมัวไปหมดแล้ว สัมผัสได้ว่ามีหยดน้ำร่วงลงบนหน้าเธอ อุ่นเล็กน้อย ทว่ากลับทำให้ผิวที่เย็นเฉียบไปนานแล้วของเธออุ่นขึ้นไม่ได้


“ตี้ฝูอี…” เสียงเธอแผ่วเบา “ท่านร้องไห้เพื่อข้าหรือ? ข้าตายแล้ว…ท่านน่าจะดีใจสิ…สังขารนี้…ข้าทุ่มเทอย่างเต็มที่เพื่อรักษามันไว้…ครบถ้วนสมบูรณ์…ท่านอย่ากลัวเลย ยังใช้การได้…หลังจากวิญญาณข้าแตกสลายไปแล้ว…จิตสำนึกนั้น…ท่านสามารถเรียกกลับมาได้… เพียงแต่…หากว่ามันยังแฝง…ยังแฝงความทรงจำ…ความทรงจำของกู้ซีจิ่วไว้ จงลบมันทิ้ง…ให้หมดจดเสีย…แล้วค่อยใช้ กู้ซีจิ่ว…ไม่อยาก…ไม่อยากมายังโลกใบนี้อีกแล้ว…และไม่อยาก…เป็นตัวแทนของผู้ใดแล้ว ข้าขอ…ขอคืนหลานจิ้งเคอ…ให้ท่าน…”


นางมองไม่เห็นสิ่งใดแล้ว และไม่ได้ยินเสียงใดๆ แล้วเช่นกัน เธอมองห้องฟ้าด้วยสายตาหม่นประกาย ทว่าเบื้องหน้ากลับค่อยๆ มืดมิดไป


เธอเกลือกลิ้งอยู่ในความมืดมาเนิ่นนานปี ทว่าไม่ชอบความมืดเป็นที่สุด ทว่ายามนี้กลับยิมยอมให้ความมืดมิดอันหนักอึ้งค่อยๆ กลืนกินเธอไปทีละนิด…


ชีวิตอันเป็นนิรันดร์นี้ ในที่สุดเดินทางมาถึงจุดจบเสียที


————————————————————————————-


บทที่ 1715 โศกาอาลัย 3


เธอเคยพยายามฝึกฝนอย่างสุดกำลังเพื่อชีวิตอันเป็นนิรันดร์ นึกไม่ถึงว่าเมื่อประสบความสำเร็จแล้วกลับกลายเป็นเพียงความว่างเปล่า


เธอเลือกที่จะตายตกไปตามโม่เจ้า แก้แค้นให้เพื่อน ขจัดสิ่งชั่วร้ายเพื่อโลกใบนี้ และแน่นอนว่าเพื่อพิสูจน์ความสามารถของเธอ


อันที่จริงในจิตใต้สำนึก เธออยากพิสูจน์ต่อหน้าเขายิ่งนัก ว่าจริงๆ แล้วเธอก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าหลานจิ้งเคอ เหตุใดเขาจึงไม่ลองชมชอบกู้ซีจิ่วแค่คนเดียวเล่า?


เพียงแต่น่าเสียดายที่สุดท้ายแล้วเธอไม่ได้พูดถ้อยคำนี้ออกไป ความรักที่วิงวอนมาย่อมมิใช่ความรัก


ในเมื่อตั้งแต่ต้นจนจบผู้ที่เขาชมชอบก็คือหลานจิ้งเคอ เช่นนั้น เธอก็จะคืนหลานจิ้งเคอให้กับเขา เธอทำให้เขาสมหวัง และทำให้ตัวเองสมหวัง…


ตี้ฝูอี ขอให้ไม่ต้องได้พบเจอกันอีกในชาติหน้า


ไม่สิ ไม่มีชาติหน้าแล้ว ดวงวิญญาณของเธอจะแหลกสลาย ค่าตอบแทนของการสร้างเขตแดนนี้ก็คือดวงวิญญาณแหลกสลาย


ตอนนั้นหมอผีเพื่อนรักของเธอเพียงพูดถึงค่ายกลประเภทนี้กับเธอเป็นครั้งคราว ตอนนั้นเธอต้องตามตื๊อเสมือนภูตผีดลใจเพื่อให้เพื่อนรักสอนเธอให้ได้ หมอผีท่านนั้นถูกเธอตามตื๊อเสียจนไม่มีทางเลือก และรู้สึกว่าเธอไม่มีแม้แต่พลังวิญญาณ ต่อให้เรียนรู้จนเป็นก็ไม่มีทางใช้ออกมาได้ ดังนั้นจึงสอนให้เธอทั้งหมดทั้งเคล็ด คาถา และจุดสำคัญ ตอนนั้นเธอเรียนสิ่งนี้ก็ด้วยความอยากรู้อยากเห็นชั่วขณะ นึกไม่ถึงว่าจะได้ใช้มันจริงๆ…


บางทีสิ่งเหล่านี้ถูกลิขิตไว้แล้วในโลกอันลึกลับซับซ้อน…


ทว่าสิ่งเหล่านั้นล้วนไม่สำคัญ ทั้งหมดทั้งมวลจะจบสิ้นไปพร้อมกับการจากไปของเธอ


ตี้ฝูอี ข้าไม่เคยเสียใจเลยที่รักท่าน แต่หากมีชีวิตได้ใหม่อีกครั้งหนึ่ง ข้าหวังเพียงว่าในชีวิตข้าจะไม่เคยมีท่าน…


มือของเธอร่วงหล่นลงจากเส้นผมเขา ค่อยๆ ปิดตาลง หยาดน้ำตาหนึ่งค่อยๆ ร่วงหล่นที่หางตา


ตี้ฝูอีคุกเข่าอยู่ตรงนั้น คำอธิบายทั้งหมดนางล้วนไม่ได้ยิน วิชาทั้งหมดที่ใช้บนร่างกายนางล้วนสูญเปล่า ทำได้แค่เพียงจ้องมองลมหายใจของนางหยุดลง ดวงตาปิดสนิท ดวงวิญญาณที่แหลกสลายสีรุ้งลอยล่องขึ้นมาจากร่างกายนาง ปลิวไปในอากาศ…


สีหน้าเขาซีดขาว ใช้วิชาทั้งหมดออกมาเพื่อเก็บดวงวิญญาณที่แหลกสลายเหล่านั้น…


กู้ซีจิ่ว เจ้าตายไม่ได้! นี่ไม่ใช่จุดจบของเจ้า! นี่ไม่ควรเป็นจุดจบของเจ้า!


เจ้ายังไม่ได้ฟังคำอธิบายของข้าเลย เจ้ายังไม่รู้เลยว่าข้ารักเจ้ามาตลอด ไม่เคยมีผู้ใดอื่น!


ซีจิ่ว ให้โอกาสข้าอีกสักครั้ง!


ซีจิ่ว เจ้าไม่อาจโหดร้ายเช่นนี้…


หากเขาต้องการ ตี้ฝูอีจะเก็บรวบรวมดวงวิญญาณผู้ใดก็ตามที่ล่วงลับไปต่อหน้าเขา เขาจะเก็บรวบรวมดวงวิญญาณทั้งหมดกลับมา! แม้ว่าดวงวิญญาณนั้นจะแหลกสลายตรงหน้าเขา


ทว่าเขาเก็บวิญญาณที่แหลกสลายของกู้ซีจิ่วไม่ได้ เศษวิญญาณสีรุ้งที่ลอยล่องเหล่านั้นดังเม็ดทรายที่จับต้องไม่ได้ อากาศธาตุที่มองไม่เห็นจับต้องไม่ได้ลอยล่องจากริมฝ่ามือเขา แทรกซึมท่ามกลางหิมะที่ปลิวไสว พลิ้วไหวตามสายลม กระจัดกระจายไปในอากาศ…


หิมะโปรยปราย สายลมโหยหวน บนทุ่งน้ำแข็งที่ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตนี้ก็หนาวเหน็บดังเช่นเคย


เนื่องจากการต่อสู้ครั้งนั้น ยอดเขาน้ำแข็ง ธารน้ำแข็ง เสาน้ำแข็งทั้งหมดที่นี่ล้วนเปลี่ยนไปจากรูปลักษณ์เดิม


ทั้งหมดทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแปรเปลี่ยนไป


ทว่าจะมีกี่คนที่ล่วงรู้เล่า?


เมื่อยอดเขาน้ำแข็งหายไปก็จะมียอดเขาน้ำแข็งใหม่ปรากฏขึ้น ธารน้ำแข็งแข็งตัวแล้วก็จะละลายจากที่อื่นลงมา เสาน้ำแข็งนี้หายไป เสาน้ำแข็งอีกต้นก็จะปรากฏขึ้นมา


กาลเวลาล่วงเลยบุปผายังคงเคย กาลเวลาล่วงลับชนกลับมิดังเดิม


ยอดเขาน้ำแข็ง ธารน้ำแข็ง เสาน้ำแข็งยังปรากฏขึ้นใหม่ได้ แล้วมนุษย์เล่า? มนุษย์ที่ล่วงลับจะยังจะกลับมาได้ไหม?


ตี้ฝูอีกอดร่างที่ไร้วิญญาณของนางไว้นั่งอยู่ท่ามกลางพายุหิมะโหมกระหน่ำสามวันสามคืน จนกระทั่งหลงซือเย่ตามหาภายใต้การนำทางของสี่ทูต…


หลงซือเย่ที่สุขุมนุ่มนวลมาโดยตลอดคิดอยากจะมีใจโพล่งคำหยาบก่นด่ามารดาออกมาแล้ว!


หลังจากที่เขาก่นด่าตี้ฝูอี ผลลัพธ์คือไม่ได้ยินตี้ฝูอีตอบเขากลับมาสักคำ


บทที่ 1716 โศกาอาลัย 4


หลังจากที่เขาก่นด่าตี้ฝูอี ผลลัพธ์คือไม่ได้ยินตี้ฝูอีตอบเขากลับมาสักคำ หลังจากนั้นอีกฝ่ายก็ปิดป้ายหยกถ่ายทอดเสียงไปเสียดื้อๆ


หลงซือเย่ไม่ยอมลดละ รีบมุ่งหน้าตามทิศทางพลางติดต่อไป ทว่าป้ายหยกส่องแสงนับร้อยครั้ง อีกฝ่ายก็ไม่รับ!


หลงซือเย่แทบจะบ้าคลั่งแล้ว!


ยามนี้พลังยุทธ์ของเขาไม่ได้ลึกล้ำขนาดนั้น ความเร็วในการขี่ม้าก็ไม่มีการเพิ่มความเร็วสูงสุดได้ดังเช่นแต่ก่อน จะได้ไม่ทำให้คนทั้งคนถูกพัดจนบาดเจ็บ


ระหว่างทางเขาพบเจอกับสี่ทูตที่กำลังตามหานายท่าน ดังนั้นจึงเร่งรีบมาด้วยกัน


หลงซือเย่มีลางสังหรณ์ไม่ดีในใจ ทว่าเขายังคงมีความหวังว่าถ้าเกิด


ถ้าเกิดกู้ซีจิ่วเอาชนะได้ในเขตแดนเล่า? หากเอาชนะได้ บางทีเธออาจจะไม่มีอันเป็นไปกระมัง? บางทีตี้ฝูอีอาจจะพาเธอไปรักษาแล้ว บางที…


เขาหอบเอาความหวังว่าถ้าเกิดนี้ท้าสายลม ท้าหิมะมาถึงตรงนี้ ผลลัพธ์ สิ่งที่เห็นคือตี้ฝูอีกับกู้ซีจิ่วที่แทบจะกลายเป็นรูปสลักน้ำแข็งแล้ว


ตี้ฝูอีนั่งขัดสมาธิท่ามกลางหิมะ ทั้งศีรษะ ทั้งใบหน้า ทั้งร่างกายปกคลุมไปด้วยหิมะ แทบจะหลอมรวมเข้ากับภูเขาน้ำแข็งกับยอดเขาน้ำแข็ง


คนในอ้อมกอดที่เขากอดรัดกระชับแน่นก็คือกู้ซีจิ่ว


ตี้ฝูอีปกป้องนางไว้ในอ้อมกอดอย่างดี ไม่มีเกล็ดหิมะบนตัวนางแม้แต่น้อย ดวงหน้าน้อยๆ ของนางซีดขาว ริมฝีปากก็ซีดขาว แพขนตาดำขลับ เหมือกำลังนอนหลับ นอนไม่ขยับเขยื้อนอยู่ในอ้อมกอดเขา…


มีเสียงดังโครมครามในหัวของหลงซือเย่! เขาย่อมเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้ เขามองแวบเดียวก็รู้ว่ากู้ซีจิ่วตายแล้ว…


ถึงแม้ร่างกายนางยังนับว่าอ่อนนุ่ม ใบหน้าเหมือนมีชีวิต ทว่านางก็ตายไปแล้ว


หน้าผากตี้ฝูอีอิงแอบแนบกับหน้าผากนาง ราวกับกำลังกระซิบกับนางอยู่


เขาโอบกอดนางไว้อย่างระมัดระวัง ใช้ร่างกายของตัวเองกำบังเกล็ดหิมะทั้งหมด เหมือนว่าเช่นนี้จะปกป้องนางได้เป็นอย่างดี เหมือนว่ามีเพียงเช่นนี้เท่านั้นนางถึงจะฟื้นขึ้นมาได้…


เขารู้ว่านางชอบให้เขากอด ทว่าหลังจากที่ทั้งสองตัดขาดจากกัน เขาก็ไม่ได้กอดนางอย่างแท้จริงอีกเลย ไม่ได้ให้นางอิงแอบในอ้อมแขนเขาอีกเลย


ยามนี้เขากอดนางได้อย่างไม่ต้องคิดสิ่งใดแล้ว น่าเสียดายนางไม่มีความรู้สึกอีกต่อไปแล้ว…


ดวงตาหลงซือเย่แดงก่ำ!


หลังจากเขามองดูทุกอย่างชัดเจน เสียงโครมครามดังขึ้นในหัวเขาเหมือนมันจะระเบิด!


เลือดลมพุ่งไปยังศีรษะ เขากระโจนเข้าไปทันที ซัดตี้ฝูอีหนึ่งฝ่ามือ “สารเลว! เจ้าทำร้ายนางจนตาย! เจ้าพอใจแล้วกระมัง!”


ความจริง สี่ทูตก็ถูกภาพฉากนี้ทำให้งงงวยไปแล้ว


พวกเขาก็นึกไม่ถึงว่าหลงซือเย่จะกล้าลงไม้ลงมือกับนายท่านตน เขาตกใจมาก อยากหยุดยั้งก็ไม่ทันกาลแล้ว!


พวกเขาหลับตาลงโดยสัญชาตญาณ รอให้หลงซือเย่ถูกซัดกลับกระเด็นไป…


อย่างไรเสีย พลังวิญญาณของหลงซือเย่ในตอนนี้กับตี้ฝูอีก็แตกต่างกันมากเกินไป! ใช้ฟ้ากับดินมาอธิบายก็ยังไม่พอ


หลงซือเย่ลงมือกับตี้ฝูอี ต่อให้ตี้ฝูอีไม่ตอบโต้กลับ เขตแดนพิทักษ์ร่างก็จะทำให้หลงซือเย่สั่นสะท้านกระเด็นออกไปได้เลย!


“เพียะ!” ฝ่ามือนี้ของหลงซือเย่กลับตีเข้าที่หลังของตี้ฝูอีอย่างแรง!


ร่างกายตี้ฝูอีพลันสั่นสะท้าน มีเลือดไหลออกที่มุมปาก…


รอบกายเขากลับไม่มีเขตแดนพิทักษ์ร่างใดๆ แล้ว!


สี่ทูตทึ่มทื่อกันแล้ว!


มู่เฟิงมีปฏิกิริยาตอบสนองก่อน กระโดดไปหยุดยั้งหลงซือเย่ที่ยังต้องการลงมือ ส่วนมู่อวิ๋น มู่เตี้ยนและมู่เหลยก็คุกเข่าลงต่อหน้าตี้ฝูอี “นายท่าน!”


ใบหน้าตี้ฝูอีซีดขาว เสมือนรูปสลักน้ำแข็ง บนแพขนตาของเขามีเกล็ดน้ำแข็ง นั่งอยู่ตรงนั้นไม่พูดจาและไม่ขยับเขยื้อน เหมือนกับลาลับไปแล้วเช่นกัน ไม่มีชีวิตชีวา


เทพศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นเช่นนี้มู่เฟิงกับสี่ทูตเคยพบเจอที่ไหนกัน?


พวกเขารู้สึกตกใจมาก!


พวกเขาย่อมเจ็บปวดหัวใจกับการจากไปของกู้ซีจิ่ว เสียใจมาก ทว่าเมื่อเห็นนายท่านเหม่อลอยเช่นนี้ พวกเขาก็ยิ่งตื่นตระหนก!


มู่อวิ๋นคุกเข่าเข้าไปหา “นายท่าน พวกเรากลับกันเถิด? พวกเรากลับกันเถิด?”


————————————————————————————-


บทที่ 1717 อดีตนั้นสุดจะไขว่คว้า


มู่เตี้ยน มู่อวิ๋นก็ร่วมด้วย “นายท่าน สถานที่แห่งนี้ไม่เหมาะจะรั้งอยู่นาน พวกเรากลับกันก่อนแล้วค่อยว่ากันเถิดขอรับ…”


มู่เฟิงเจ็บปวดหัวใจดั่งถูกแมวข่วน ทว่าเขายังคงมีความหวังเล็กน้อย “นายท่าน ท่านรวบรวมวิญญาณได้นี่ขอรับ รวบรวมวิญญาณนางให้ฟื้นคืนชีพอีกครั้งก็ได้…” ที่แท้นายท่านมีใจรักหนักแน่นต่อกู้ซีจิ่วถึงเพียงนี้ เหตุใดตอนนั้นจึง…


หลงซือเย่หัวเราะ “ฟื้นคืนชีพรึ? ฮ่าๆ! ฟื้นคืนชีพอย่างไร ดูลักษณะนางในตอนนี้เหมือนกับวิญญาณแหลกสลายไปแล้วนี่! ตี้ฝูอี ทั้งๆ ที่ท่านเป็นวิชารวบรวมวิญญาณ! ทั้งๆ ที่ท่านช่วยชีวิตนางไว้ได้! แต่กลับปล่อยให้วิญญาณนางแหลกสลาย! ยามนี้ยังทำท่าทางผีสางเช่นนี้ให้ผู้ใดดูอีก! ท่านสะอิดสะเอียนบ้างหรือไม่?!”


หลงซือเย่เศร้าโศกเสียใจมาก เสียงหัวเราะที่ดุดันแทบจะสะเทือนยอดเขาน้ำแข็งโดยรอบ


เป็นครั้งแรกที่มีคนก่นด่าเทพศักดิ์สิทธิ์ซึ่งหน้าเช่นนี้ มู่เฟิงทั้งโกรธเคืองและร้อนใจ เดิมทีเขาคิดจะกดจุดหย่า[1]ของหลงซือเย่ให้เงียบปาก ทว่าหัวใจเขาพลันสั่นไหวเมื่อเห็นใบหน้าของตี้ฝูอี จึงอดทนไม่ลงมือ


หลังจากพวกเขามา ตี้ฝูอียังคงอยู่ในอิริยาบทเดียว สีหน้าเดียว เหมือนเข้าไปวนเวียนอยู่ในโลกของตัวเอง ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไรเหมือนทึมทื่อ


คำด่อทออย่างโกรธเคืองของหลงซือเย่กลับทำให้แพขนตาเขาสั่นไหวเล็กน้อย


ยามนี้หลงซือเย่พร้อมเสี่ยงทุกอย่างแล้ว “ตี้ฝูอี ซีจิ่วบอกว่าหากนางไม่ตาย ท่านก็ไม่มีทางฟื้นคืนชีพนางในดวงใจของท่านได้ ด้วยเหตุนี้ ผมของท่านจึงกลายเป็นสีขาวอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ข้าไม่รู้ว่านางมีความคิดเช่นนี้ได้อย่างไร แต่ในเมื่อมันเป็นถ้อยคำที่นางพูดออกมาในห้วงฝันร้าย นั่นก็พิสูจน์ได้ว่าท่านทำให้นางรู้สึกเช่นนี้ ท่านต้องมีเรื่องเช่นนี้แน่นอน!…ตอนนี้ก็เท่ากับนางทำให้ท่านสมหวังแล้วนี่! ฮ่าๆ นางโง่งมเกินไปกระมัง! ท่านไม่จำเป็นต้องทำท่าทางน่าสะอิดสะเอียนเช่นนี้ให้นางเห็นหรอก! ข้าว่าร่างกายนี้ยังคงสมบูรณ์แบบยิ่งนัก ถึงแม้จะได้รับบาดเจ็บ แต่ตราบใดที่รักษาให้ดีก็ยังใช้งานได้ ท่านใช้นางฟื้นคืนชีพหญิงในดวงใจท่านเถิด อย่าทำให้ความตั้งใจของนางสูญเปล่า!”


ในที่สุดตี้ฝูอีค่อยๆ เงยหน้าขึ้น เอ่ยปาก “ไม่มีนางในดวงใจอื่น…”


น้ำเสียงของเขาแหบแห้งยิ่งนัก ดวงตาว่างเปล่ายิ่งกว่าดินแดนกว้างใหญ่อันเวิ้งว้างนี้เสียอีก “ข้าหลอกลวงนางทั้งนั้น…นางก็คือนาง ไม่มีคนอื่นใด…”


หลงซือเย่นิ่งงัน


กำปั้นของเขากระชับแน่นยิ่งขึ้น จ้องมองตี้ฝูอี “เช่นนั้นเหตุใดจึงต้องหลอกลวงนาง?! จงใจอยากเห็นนางเสียใจอย่างงั้นรึ?”


ตี้ฝูอีหลุบตาลงมองนางที่อยู่ในอ้อมอก บ่นพึมพำว่า “ใช่ ข้าจงใจหลอกลวงนาง จงใจให้นางเสียใจ เป็นความผิดข้าเอง…”


หลงซือเย่ตกตะลึง


เขากัดฟันกรอด ทนไม่ไหวซัดฝ่ามือออกไป “ตี้ฝูอี ข้ารู้ว่าท่านมีนิสัยแปลกประหลาด แต่นึกไม่ถึงว่าท่านจะแปลกประหลาดถึงเพียงนี้!”


ฝ่ามือวายุนี้หนักแน่นดุจขุนเขา ทำให้เกล็ดหิมะทั่วฟ้าร่วงหล่นทับตี้ฝูอี!


มู่อวิ๋นโมโหแล้ว!


เมื่อสักครู่หลงซือเย่ซัดฝ่ามือใส่เทพศักดิ์สิทธิ์ก็ช่างเถิด ยามนี้กลับยังลงไม้ลงมืออีก! เทพศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้ที่มนุษย์ล่วงเกินได้อย่างนั้นหรือ?!


เขายกฝ่ามือขึ้น ซัดคลื่นแสงสายหนึ่งพุ่งตรงไปที่หลงซือเย่! คิดจะบีบบังคับให้อีกฝ่ายถอนฝ่ามือออกเพื่อรักษาชีวิตตัวเอง…


มู่อวิ๋นในตอนนี้มีพลังวิญญาณขั้นสิบแล้ว ลงมือเพียงเล็กน้อยหลงซือเย่ก็ไม่อาจต้านรับไหว หากคลื่นแสงสายนี้ระเบิดออก หลงซือเย่จะถูกซัดกระเด็นไปจนกระอักเลือด…


เงาสีขาวสายหนึ่งสว่างวาบคั่นกลางระหว่างมู่อวิ๋นกับหลงซือเย่


ฝ่ามือสะเทือนสวรรค์ของมู่อวิ๋นไม่ได้โจมตีไปบนร่างหลงซือเย่ ทว่ากลับถูกเงาร่างสีขาวนั้น!


ในขณะเดียวกัน ฝ่ามือของหลงซือเย่ก็ซัดสาดถูกเงาร่างสีขาวนั้นเช่นกัน…


เสียง ‘เปรี้ยง!’ ‘ตูม!’ ทั้งสองดังขึ้น!


เงาร่างสีขาวนั้นพลันสั่นสะท้าน…


มู่อวิ๋นหน้าถอดสี ร้องเรียก “นายท่าน!” น้ำเสียงสั่นเครือจนแทบจะเพี้ยนไป


————————————————————————————-


[1] จุดหย่า จุดฝังเข็มบนแนวกึ่งกลางสันหลัง ตรงร่องเหนือปุ่มกระดูกคอที่สอง หากกดทำให้เสียงหาย พูดไม่ได้เพราะลิ้นลีบหรือลิ้นแข็ง ปวดศีรษะ ปวดตึงต้นคอ และเลือดกำเดาไหล ทั้งยังเป็นจุดฝังเข็มช่วยเสริมการระงับความรู้สึกที่ใช้บ่อยในการผ่าตัดสมอง


บทที่ 1718 อดีตนั้นสุดจะไขว่คว้า 2


เรือนกายที่เข้ามาขวางฝ่ามือแห่งโทสะนี้ก็คือตี้ฝูอี!


เขาถูกโจมตีทั้งทางด้านหน้าและด้านหลัง ใบหน้าซีดขาวดุจหิมะ มีเลือดไหลที่ริมฝีปาก ทว่ากู้ซีจิ่วที่อยู่ในอ้อมกอดเขากลับอยู่ในสภาพสมบูรณ์ แม้แต่มุมอาภรณ์สักนิดก็ไม่ถูกทำลาย


มู่อวิ๋นกำลังจะพุ่งตัวไป ตี้ฝูอีก็หันกายกลับไปแล้ว สุ้มเสียงของเขาล่องลอยมาท่ามกลางสายลมอันหนาวเหน็บ “เขาเป็นผู้คุ้มกันของซีจิ่ว เสียมารยาทกับเขาไม่ได้…”


หลงซือเย่ยืนแน่นิ่งอยู่ที่เดิม


เพราะอะไร? ท่าทางเศร้าเสียใจของตี้ฝูอีดูเหมือนไม่เสแสร้ง ทว่าเหตุใดเขาจึงต้องทำเช่นนี้? รนหาที่หรืออย่างไร?


เขาเลือดขึ้นหน้า มองดูเรือนกายของตี้ฝูอีจากไปไกลขึ้นเรื่อยๆ ตะโกนออกไปด้วยความโกรธ “ตี้ฝูอี ทำไมนางต้องรู้จักท่าน?! หากนางไม่รู้จักท่านก็ดี! ท่านหยอกเหย้านาง แล้วทอดทิ้งนางไปอย่างไร้สาเหตุเพื่อให้นางตายใช่ไหม? นางต้องอับโชคเพียงใดถึงพบเจอท่าน?! หากเริ่มใหม่ได้อีกครั้ง นางต้องไม่อยากรู้จักท่านอีกเป็นแน่!”


เรือนกายตี้ฝูอีโซซัดโซเซ เขาไม่ได้หันหลังกลับมามองอีก เดินต่อไปตามทางแล้ว


หิมะโปรยปรายเต็มท้องฟ้าถาโถมเข้าหาเบื้องหลังที่เดียวดายของเขาจนมองไม่เห็นอีก


ความจริง ไม่เพียงแต่หลงซือเย่ที่มีความสงสัยอยู่เต็มอก แม้แต่สี่ทูตก็เปี่ยมด้วยความสงสัยเช่นกัน…


เพราะอะไร? เหตุใดเทพศักดิ์สิทธิ์ถึงทำเช่นนี้?


…..


ไม่ว่าสรวงสวรรค์หรือขุมนรก ที่แห่งหนใดก็มิอาจพบพาน


ดวงดาราบนฟากฟ้าเปล่งแสงระยิบระยับ ดวงดาวน้อยใหญ่ดาษดื่น ส่องแสงพร่างพราวยามค่ำคืน


หมู่ดาวมากมายถึงเพียงนี้ ทุกวันล้วนมีล่วงลับดับหายและถือกำเนิดใหม่ทั้งนั้น แต่จะมีสักกี่คนที่สังเกตได้ถึงสิ่งนี้?


ท้องนภาดังโดมโค้งเปล่งประกาย โอบล้อมมันขึ้นไป


เดิมทีมีดาวดวงใหญ่สองดวงเจิดจรัสอยู่ด้านบน ยามนี้ดวงหนึ่งล่วงลับดับหาย ส่วนอีกดวงหนึ่งก็โอนเอนง่อนแง่น…


ทุ่งบุปผาสีคราม ดอกไม้ใบหญ้าพันลึกบานสะพรั่ง


ท่ามกลางดอกไม้ใบหญ้าเหล่านี้ มีเก้าอี้โยกสองตัว ยามนี้เก้าอี้โยกทั้งสองอิงแอบแนบชิดซึ่งกันและกัน ทำให้ทั้งสองคนที่นอนบนเก้าอี้โยกนอนเคียงบ่าเคียงไหล่


คนผู้หนึ่งอาภรณ์ม่วงเกศาดำ คนอีกผู้หนึ่งเกศาดำอาภรณ์ดำ


หนึ่งบุรุษ หนึ่งสตรี หนึ่งมีชีวี หนึ่งมลาย


นั่นก็คือตี้ฝูอีกับกู้ซีจิ่ว


ตี้ฝูอีโอบกอดนางกึ่งหนึ่ง มือข้างหนึ่งสิบนิ้วสอดประสานกับนาง


นี่คือท่าทางที่พวกเขาทำเป็นประจำตอนรักใคร่กันดี ทว่าเขาไม่ได้ทำเช่นนี้มานานมากแล้ว


นางเศร้าเสียใจกับการเลิกราครั้งนั้นจนไม่อาจข่มตานอนหลับ ต้องปรับตัวให้คุ้นชินกับวันคืนที่ไม่มีเขา


เขาก็เจ็บปวดจนไม่อาจหลับนอนได้ราวหัวใจโดนมีดกรีดเช่นกัน ข่มอารมณ์ความนึกคิดที่อยากจะโอบกอดนางไว้


บัดนี้ ในที่สุดเขาก็กอดนางได้โดยไม่ต้องเกรงกลัวอะไรแล้ว นั่งมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวเคียงข้างนางได้แล้ว


เขารู้ดีว่าความจริงแล้วนางก็โหยหาสิ่งนี้เช่นกัน เพียงแต่น่าเสียดาย ตอนที่นางยังอยู่ เขาไม่อาจเติมเต็มความหวังของนางได้ ยามนี้ต่อให้มือของเขาและนางสอดประสานกันแนบแน่นสักเท่าใด นางก็ไม่มีทางรับรู้…


ความเจ็บปวดคล้ายพันเกี่ยวเข้าด้วยกัน เขาทอดถอนใจเบาๆ


“ซีจิ่ว ข้าสอนโหราศาสตร์ให้เจ้าดีหรือไม่? ความจริงข้าอยากสอนให้เจ้านานแล้ว เพียงแต่ไม่กล้าสอน จึงได้ล่าช้าจวบจนวันนี้…” น้ำเสียงตี้ฝูอีนุ่มนวล ศีรษะกู้ซีจิ่วพิงที่ซอกแขนของเขา ท่าทางของทั้งสองสนิทชิดเชื้อกันยิ่งนัก


“ซีจิ่ว มองเห็นดาวดวงใหญ่นั่นไหม? นั่นคือดาวราชัน หมายถึงเทพศักดิ์สิทธิ์ของโลกใบนี้ อืม ดาวดวงนี้ข้าเคยชี้ให้เจ้าดู ตอนนั้นข้าใช้วิชาบางอย่างด้านบน ทำให้มันดูเหมือนสว่างไสวพร่างพราว…ความจริงมันใกล้จะล่วงลับแล้ว…ซีจิ่ว เจ้ายังจำได้หรือไม่ ตอนนั้นบนท้องฟ้ายังมีดาวที่เจิดจรัสอย่างยิ่งอีกดวงหนึ่ง ตอนนั้นแสงของมันเกือบเทียบเท่าดาวราชันแล้ว เจ้าบอกว่าหวังว่านั่นจะเป็นตัวเจ้าเอง ความจริงมันก็คือเจ้า เจ้าคือดาวราชันดวงใหม่…”


“ซีจิ่ว หนึ่งนภามิอาจมีสองตะวัน ปวงชนมิอาจมีสองราชัน นี่คือข้อกำหนดของโลกใบนี้ ผู้ใดก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้” ตี้ฝูอีแหงนหน้ามองท้องฟ้า น้ำเสียงสั่นเครือ


————————————————————————————-


บทที่ 1719 อดีตนั้นสุดจะไขว่คว้า 3


“ดังนั้นยามเมื่อดาวราชันดวงใหม่ผงาดขึ้นมา ก็ถึงเวลาที่ดาวราชันดวงเก่าต้องร่วงหล่นไป ข้าทราบลิขิตสวรรค์ตั้งแต่ยี่สิบปีก่อนแล้ว ทราบว่าอีกร้อยปีให้หลังตนจะต้องร่;งหล่น และดาวราชันดวงใหม่จะถือกำเนิดขึ้น ข้าต้องอบรมเลี้ยงดูดาวราชันดวงใหม่ให้ผงาดขึ้นมา ปลดเปลื้องภาระหน้าที่บนกาย จากนั้นก็ล่วงลับไปอย่างไร้ห่วงไร้อาลัย…”


“ข้ามีชีวิตอยู่ในโลกนี้มานับหมื่นปีแล้ว ประจักษ์แจ้งในการเกิดตายเนิ่นนานแล้ว ดังนั้นสำหรับข้าแล้วการล่วงลับไม่มีค่าอันใดเลย และไม่เก็บมาใส่ใจ มีเพียงสิ่งเดียวที่เสียใจอยู่บ้างคือ ข้าพบเห็นเรื่องราวรักใคร่กันแทบเป็นแทบตายมามากมายถึงเพียงนั้น ทว่าตนกลับยังไม่เคยชมชอบผู้ใดอย่างแท้จริงเลยสักคน อันที่จริงปรารถนาจะลิ้มชิมรสชาติของความรัก รสชาติของการสูญเสียการควบคุมยิ่งนัก…”


น้ำเสียงตี้ฝูเยือกเย็นเรียบเรื่อย “แต่ว่าสตรีนับหมื่นนับพันบนโลกนี้กลับไม่เคยมีเลยสักนางที่ก้าวเข้ามาในหัวใจของข้าได้ ข้าก็ไม่ต้องการเช่นกัน…ต่อมาข้าเฝ้ารอให้ดาวราชันดวงใหม่จุติเสมอมา ยามที่คุณหนูกู้ซีจิ่วแห่งจวนแม่ทัพถือกำเนิดได้มีลางบอกเหตุ มีแสงเจ็ดสีปรากฏขึ้นแวบหนึ่ง…ยามนั้นข้าสงสัยว่านางจะเป็นดาวราชันดวงใหม่ ดังนั้นจึงไปดูเสียหน่อย พบว่าคุณสมบัติของนางดาษดื่นทั่วไป เพียงแต่รูปโฉมไม่เลวเลย และบนร่างก็ไม่มีแสงเจ็ดสีปรากฏขึ้นอีก ข้าทดสอบด้วยวิธีมากมายอยู่หลายครา ได้ผลลัพธ์ออกมาเช่นเดิม นางเป็นแค่เด็กธรรมดาคนหนึ่ง…และข้าก็มองออกว่าเมื่อนางอายุสิบสองปีจะมีเคราะห์ใหญ่หลวงที่เกี่ยวพันถึงความเป็นความตาย ความเป็นไปได้ที่จะฝ่าด่านเคราะห์ได้มีน้อยนิดยิ่ง…”


ตี้ฝูอีเล่า พลางห่มเสื้อคลุมอีกตัวหนึ่งลงบนร่างกู้ซีจิ่ว “ยามนั้นถึงแม้ข้าจะรู้สึกได้ว่านางไม่ใช่ดาวราชันดวงใหม่ แต่ก็ยังกอดความหวังหนึ่งในหมื่นเอาไว้ บังเอิญว่ายามนั้นมารดาของนางต้องการปกป้องนางอย่างละเอียดครอบคลุมพอดี ขอร้องให้ข้าหมั้นหมายกับบุตรสาวนาง…ยามนั้นข้าไม่ใส่ใจเรื่องหมั้นหมายเลย มีก็ได้ไม่มีก็ได้เท่านั้น อีกอย่างข้าก็รู้สึกว่านางคงฝ่าด่านเคราะห์ตอนอายุสิบสองปีไม่ได้ ดังนั้นต้องรับปากมารดาของนาง หมั้นหมายกับนางที่อยู่ในวัยแบเบาะ ผนึกรูปโฉมของนางเอาไว้ ทำให้หน้าผากของนางปรากฏปาน…เงื่อนไขของสัญญาหมั้นหมายนั้นรุนแรงยิ่งนัก ข้าไม่คิดว่านางจะสามารถฝ่าข้ามไปได้…แต่ว่า สิ่งที่ข้าคิดไม่ถึงก็คือ นางฝ่าด่านเคราะห์ในยามอายุสิบสองนั้นไปไม่ได้จริงๆ หลังจากพุ่งชนกำแพงจนสิ้นชีพก็ถูกเจ้าเข้าสิงสู่ร่างได้สำเร็จ…”


“บางทีนี่อาจเป็นชะตาฟ้าลิขิต สวรรค์กำหนดให้เจ้าปรากฏตัวขึ้นในรูปแบบเช่นนี้ ยังจำครั้งแรกที่พวกเราพบกันได้หรือไม่? ข้าจำแลงกายเป็นรูปปั้นหยกเพื่อฝึกวรยุทธ์ พอเจ้าเข้ามาก็เปลื้องอาภรณ์ข้าไป ซ้ำยังลูบคลำข้าอีก…”


“ยามนั้นข้าขุ่นเคืองและขบขันยิ่งนัก เป็นครั้งแรกที่ข้าถูกผู้อื่นแทะโลมเช่นนี้ ดังนั้นข้าต้องการควานหาตัวเจ้า คิดจะล้างแค้นเจ้า…”


“ซีจิ่ว ยามนั้นเจ้าลื่นไหลประหนึ่งปลาไหลน้อยก็มิปาน ใช้กลยุทธ์เอาตัวรอดสารพัดวิธีไม่ซ้ำกัน ดึงดูดให้ข้าสนใจใคร่รู้มากยิ่งขึ้น…เป็นครั้งแรกที่ข้าสนใจใคร่รู้ในตัวคนผู้หนึ่งถึงเพียงนี้ ด้วยเหตุนี้ตัวข้าในยามนั้นจึงวอแวเจ้าอย่างไม่ละวาง เคยเล่นลูกไม้กับเจ้าอยู่หลายครา อยากเห็นว่าสุดท้ายแล้วเจ้าจะเอาตัวรอดไปได้อย่างไร…และท่าทีในแต่ละครั้งของเจ้าล้วนทำให้ข้ามองเจ้าอย่างชื่นชม…บางทีข้าอาจจะหวั่นไหวกับเจ้าตั้งแต่ยามนั้นแล้วกระมัง? ต่อมาเจ้าอ้างตัวเป็นสานุศิษย์สวรรค์ ข้าจำเป็นต้องทดสอบเจ้าแบบส่วนตัวและต่อหน้าสาธารณชน อันที่จริงก่อนที่จะทดสอบเจ้าข้าก็รู้แล้วว่าเจ้าไม่ใช่…แต่ข้าไม่อาจก้าวข้ามขั้นตอนทดสอบไปได้ ยามนั้นข้าชอบพอเจ้าแล้ว และไม่อยากให้เจ้ามีอุบัติเหตุเหนือความคาดหมายจริงๆ ดังนั้นตอนที่ทดสอบบนแท่นข้าจึงผ่อนผันให้เจ้า ตัดสินว่าถึงแม้เจ้าจะมิใช่สานุศิษย์สวรรค์ ทว่าเป็นศิษย์ของเทพศักดิ์สิทธิ์…”


ตี้ฝูอีเงยหน้ามองดวงดาวบนฟากฟ้า ความคิดคล้ายจะหวนกลับไปสู่ช่วงเวลานั้น “ซีจิ่ว ตอนนั้นข้าก็ชอบเจ้าแล้ว ยังนึกอยู่ว่ารอหลังจากเจ้าออกมาจากป่าทมิฬได้ จะแต่งกับเจ้า ครองคู่โบยบินกับเจ้า ตัวข้าในยามนั้นคำนวณแล้วว่าข้ายังมีอายุขัยอยู่อีกเกือบร้อยปี และเจ้าก็เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา คุณสมบัติก็ไม่นับว่าดีนัก มีชีวิตอยู่ได้สักร้อยแปดสิบปีก็ยอดเยี่ยมมากแล้ว…”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)