คัมภีร์วิถีเซียน 1714-1715
ตอนที่ 1714 นักรบชุดเกราะ
หลิวสุ่ยเอ๋อร์เห็นเช่นนั้น แววตาก็เผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา ชูมือหนึ่งขึ้นเช่นกัน ปล่อยวงแหวนทรงกลมสีเขียวมรกตออกมา
วงแหวนนี้เปล่งเสียงร้องหึ่งๆ ออกมา กลายเป็นลำแสงสีเขียวมรกตดวงหนึ่งพุ่งไปยังอีกด้านของวิหาร
ลำแสงสีเขียวมรกตเปล่งแสงสว่างวาบ ทำให้อาวุธและหมวกเกราะเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในตัวนางเช่นกัน
เช่นนั้นทั้งวิหารนอกจากฉากกั้นห้องที่โดดเดี่ยวแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดอีก
หลังจากที่ทั้งสองกวาดจิตสัมผัสไปทั่วทั้งวิหารลวกๆ ไม่พบของใดๆ ซ่อนอยู่อีก
ก็รีบร้อนสาวเท้าออกนอกวิหารอย่างไม่ลังเลอีก
สำหรับพวกเขาแล้ว หานลี่อยู่ในมิติที่ไม่คุ้นเคยอาจจะมีเรื่องดีก็ได้
ถึงอย่างไรเสียด้านในก็อาจจะมีสมบัติอยู่จริงๆ แม้กระทั่งอาจจะถูกเขตอาคมที่ร้ายกาจอันใดสักอย่างขวางหรือกักเอาไว้ชั่วคราว
วิหารที่เหลือและสมบัติในหอคอยไม่มีผู้ใดแย่งชิงอีก พวกเขาจะต้องได้ประโยชน์ยกใหญ่แน่
เมื่อขบคิดเช่นนี้ สือคุนกลับรู้สึกสงบมากขึ้น ทันใดนั้นหลังจากที่ปรึกษากับหลิวสุ่ยเอ๋อร์ที่ด้านนอกประตูวิหารแล้ว ก็เปลี่ยนทิศทาง เดินไปทางวิหารข้างหลังหนึ่งเพียงลำพัง
……
ภายในห้วงมิติเวลานิรนามในฉากกั้นห้อง
หานลี่เดินมาอยู่ใกล้กับประตูยักษ์แล้ว สองมือชูขึ้นพร้อมกัน เปลวเพลิงเย็นเยียบและหมอกลำแสงสีเทาทะลักออกมาจากฝ่ามือ โจมตีไปยังประตูยักษ์ตรงหน้าไม่หยุด
ส่วนอักขระยันต์สีทองเงินบนประตูพลันกลายเป็นหมอกลำแสงงดงาม ต้านทานการโจมตีทั้งสองชนิดเอาไว้อย่างมั่นคง
ลำแสงสีเทาเปลวเพลิงเย็นเยียบเปล่งแสงสว่างวาบ ทะลวงผ่านและหลอมละลายหมอกลำแสงเป็นชั้นๆ ไม่หยุด แต่อักขระยันต์ที่ทะลักออกมาจากประตูกลับดูเหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุด ทันใดนั้นก็กลายเป็นหมอกลำแสงที่มากกว่าเดิมทะลักเข้ามา
กระตุ้นอิทธิฤทธิ์ทั้งสองชนิดได้ชั่วครู่ แต่ก็ไม่มีผลกับเขตอาคมของประตูที่อยู่ตรงข้ามเลยสักนิด
เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้หานลี่พลันขมวดคิ้ว ลำแสงวิญญาณบนมือหม่นแสงลง หยุดสำแดงอิทธิฤทธิ์
เปลี่ยนเป็นใช้สองมือรวบรวมเอาไว้ แล้วปล่อยไปฝั่งตรงข้ามอีกครั้ง
เสียงฟ้าผ่าดัง ‘เปรี้ยง’ ดังสนั่นขึ้น!
ประจุไฟฟ้าสีทองสองสายพุ่งออกมาจากใจกลางจากฝ่ามือ เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป ทยอยกันโจมตีไปที่หมอกลำแสงบนประตูยักษ์
หลังจากเสียงอึกทึกดังสนั่นขึ้น ประจุไฟฟ้าสีทองก็ระเบิดออก
สายฟ้าเจิดจ้าจนแสบตากลุ่มหนึ่งกลืนกินประตูยักษ์กว่าครึ่งเอาไว้
หลังจากผ่านไปเพียงชั่วครู่ สายฟ้าสีทองก็หม่นแสงลง ปรากฏขึ้นด้านในอีกครั้ง
ประตูยักษ์บานนั้นยังคงมีหมอกลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ ปลอดภัยไร้อันตราย คาดไม่ถึงว่าการโจมตีที่แหลมคมเมื่อครู่จะไม่ส่งผลกระทบต่อมันเลยสักนิด
หานลี่มีสีหน้าเคร่งขรึม
ก่อนที่จะเข้ามาที่นี่ เมื่อเขาอ้อมไปด้านหลังฉากกั้นห้อง เนตรทำลายล้างภายในร่างก็เตรียมการพร้อมโจมตี จนเกือบจะสูญเสียการควบคุม
หากไม่ได้เป็นเช่นนี้ เขาก็พบทางเข้าของเขตอาคมห้วงเวลาได้ยาก
ผลคือเขาพลันใจเต้น กระตุ้นเนตรทำลายล้างให้ทำการโจมตีฉากกั้นห้อง คาดไม่ถึงว่าจะทลายเขตอาคมได้จริงๆ แล้วเข้าไปข้างในได้อย่างง่ายดาย
แม้จะไม่รู้ที่นี่อยู่ที่ใด และไม่รู้ว่าด้านหลังประตูจะมีสมบัติอันใดหรือไม่ แต่แค่ตัวของเขาพระสุเมรุเอง ก็มีสมบัติมหัศจรรย์ที่หาได้ยากในแดนวิญญาณชิ้นหนึ่งแล้ว
คิดดูแล้วเซียนเหล่านั้นคงใช้ที่นี่เก็บสิ่งของหรือปกปิดความลับอันใดเอาไว้ และจะต้องเป็นของไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ดังนั้นทั้งๆ ที่รู้ว่าเขตอาคมของประตูบานนี้ไม่ธรรมดา แม้กระทั่งหลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนที่อยู่ด้านนอกอาจจะกระทำการอื่นแล้ว เขาก็ยังคงอยู่ที่นี่ ไม่มีเจตนาจะออกไปเลยสักนิด
ทว่าลำแสงเทวะดูดปราณตรงหน้า เปลวเพลิงเย็นเยียบระดับห้า อัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายและอิทธิฤทธิ์อื่นๆ ก็ถูกสำแดงออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่อาจทำอันใดกับเขตอาคมบนประตูได้
นี่จึงทำให้เขารู้สึกปวดหัวมาก!
เขาครุ่นคิดในที่สุดก็อ้าปาก พ่นเปลวเพลิงสีเงินออกมา
หลังจากที่เปลวเพลิงหมุนวน ก็กลายเป็นวิหคเพลิงกลืนวิญญาณท่ามกลางลำแสงสีเงิน
หานลี่ใช้สองมือร่ายอาคม ร่ายไปทางวิหคเพลิงสิบกว่าสายอย่างแม่นยำ
อาคมหลากสีเปล่งแสงสว่างวาบ ทยอยกันจมหายเข้าไปในร่างของวิหคเพลิงอย่างไร้เงา
ชั่วขณะนั้นวิหคเพลิงพลันชูคอเปล่งเสียงไพเราะ เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น ร่างกายขยายใหญ่ขึ้นสองสามจั้ง
วิหคยักษ์สีเงินสยายปีกทั้งสองข้างออก กระโจนมาที่ประตูใหญ่อย่างดุดัน
ยังไม่ทันมาถึงด้านบน ผิวของวิหคเพลิงก็เปล่งแสงสีเงินสว่างวาบ ขนนกเพลิงจำนวนนับไม่ถ้วนปกคลุมทั่วทั้งห้องฟ้าแล้วพุ่งออกไป ทำให้หมอกลำแสงสีทองและเงินบนประตูยักษ์สั่นคลอน
เสียง “ตูม” ดังขึ้น วิหคเงินยักษ์กระโจนเข้าไปในหมอกลำแสง เปลวเพลิงสีเงินบนร่างขยายใหญ่ขึ้น
หมอกลำแสงสีทองและเงินสัมผัสกับเปลวเพลิงกลืนวิญญาณ เดือดพล่านราวกับน้ำเดือด
จุดที่เปลวเพลิงกวาดผ่านไป หมอกลำแสงทยอยกันสลายหายไป แม้ว่าอักขระจะทะลักออกมาจากประตูไม่หยุด แต่ก็เห็นได้ชัดว่าประคองเอาไว้ไม่ไหว บางเบาลงอย่างรวดเร็ว
หานลี่เห็นเช่นนั้นพลันมีสีหน้าดีอกดีใจ
แต่จากนั้นปากพลันมีเสียงตะโกนต่ำๆ ออกมา เปลวเพลิงสีดำหมุนวนโคจร ร่างกายขยายใหญ่ขึ้นสองสามเท่า รอบกายมีขนสีเหลืองทองงอกออกมา กลายเป็นวานรยักษ์สีทองมีเขี้ยวแหลมคมตัวหนึ่ง
นั่นก็คือวานรยักษ์กลายพันธุ์ที่หานลี่เคยสำแดงออกมาไม่นานนี้
มือหนึ่งแค่พลิกฝ่ามือ ภูเขาเทวะดูดปราณที่กลายเป็นยอดเขาสีดำพลันปรากฏขึ้นในมือ
แววตาของวานรยักษ์เปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ แขนอ่อนแรง ภูเขาน้อยขนาดสองสามจั้งระเบิดเสียงร้องออกมาแล้วบินออกมาในทันที
ชั่วพริบตาพายุหมุนกลุ่มหนึ่งก็รวมตัวกันระหว่างที่ภูเขาลูกน้อยบินเข้ามา แล้วเปล่งเสียงหวีดร้อง
จากน้ำหนักเดิมของภูเขาเทวะดูดปราณ ประกอบกับพลังเทวะของวานรยักษ์ที่อยู่ด้านใน อานุภาพในการทิ้งตัวลงมาครั้งนี้ ไม่ต้องคิดก็รู้แล้ว
เห็นเพียงหมอกลำแสงบางๆ ชั้นหนึ่งถูกภูเขาน้อยๆ ฉีกออก แล้วทุบลงมาที่ประตูยักษ์สีดำอย่างแรง
เสียงดังสนั่นดังขึ้นราวกับภูเขาสั่นสะเทือน!
รัศมีลำแสงสีดำกลุ่มหนึ่งระเบิดออกมาจากประตู!
บรรยากาศใกล้เคียงบิดเบี้ยว และมีรอยสีขาวราวกับระลอกคลื่นที่มองเห็นได้ด้วยตาเนื้อปรากฏตัวขึ้น จากนั้นก็ถูกรัศมีลำแสงสีดำกลืนไปจากทางด้านหลัง แล้วสลายหายไปท่ามกลางความมืดมิด
จากอิทธิฤทธิ์ของหานลี่ เมื่อเห็นการโจมตีที่น่าตกตะลึงเช่นนี้ ก็ใจหายวาบแล้วถอยร่นมาอย่างรวดเร็ว บนเรือนร่างเปล่งแสงสีดำสว่างวาบ เกราะสีดำดุดันปรากฏขึ้นบนร่างของวานรยักษ์
นั่นก็คือเกราะมารเหนือฟ้า!
ในที่สุดรัศมีลำแสงสีดำก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
หานลี่เองก็กวักมือ ดูดภูเขาเทวะดูดปราณเข้ามาอยู่ในมือ จากนั้นก็หรี่ตาทั้งสองข้างลงเพ่งมองไปตรงหน้า
ผลคือพลันมีสีหน้าตกตะลึง
เห็นเพียงตรงใจกลางของประตูยักษ์สีดำตรงหน้า เป็นรูบุ๋มลงไปสองสามจั้งราวกับก้นกระทะ รูปร่างไม่ต่างอันใดกับมุมของภูเขาเทวะดูดปราณเลยสักนิด
แต่ประตูบานนี้ถูกการโจมตีที่รุนแรงทำให้เป็นเช่นนี้ คาดไม่ถึงว่าจะไม่อาจทำลายจนแหลกได้ และเปล่งแสงสว่างวาบท่ามกลางอักขระสีทองเงิน แล้วเริ่มกลับคืนร่างเดิมอย่างช้าๆ
ไม่รู้ว่าประตูบานนี้ใช้วัตถุดิบอันใดสร้างขึ้น มันแข็งแรงทนทานมาก! ดูแล้วมีเพียงต้องใช้วิธีการนี้แล้ว
หานลี่ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง อดที่หัวเราะอย่างขมขื่นออกมาขณะครุ่นคิดไม่ได้
เขาไม่ลังเลอีก ลำแสงสีดำเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นบนร่าง กำจัดวานรยักษ์ออกไป กลับคืนร่างมนุษย์อีกครั้ง แต่ทันใดนั้นก็ใช้มือหนึ่งร่ายอาคม ลำแสงสีทองบนร่างเปล่งแสงเจิดจ้าออกมา
ผิวของมันมีเกล็ดสีทองปรากฏขึ้น ใบหน้าเองก็ถูกหมอกลำแสงสีทองห่อหุ้มเอาไว้
มือข้างหนึ่งลูบไปที่ท้ายทอยอีกครั้ง!
ชั่วขณะนั้นเงาสีทองสายหนึ่งก็เปล่งแสงสว่างวาบ เผยเทวรูปสีทองสามเศียรหกกรออกมา
กรทั้งหกของเทวรูปร่ายอาคมพร้อมกัน ผิวเริ่มเปล่งแสงสีทองเจิดจ้า กลายเป็นร่างทองที่แท้จริง
ครู่ต่อมาแขนของร่างทองก็ตะปบไปกลางอากาศตรงหน้า ชั่วขณะนั้นใบมีดชำรุดสีทองเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือ
เป็นใบมีดชำรุดสวรรค์ทมิฬ!
หานลี่พลันบริกรรมคาถา ผิวสีทองบนร่างมีลำแสงหมุนวน อักขระหนาแน่นปรากฏออกมา ทะลักเข้าไปที่ใบมีดชำรุด
ผิวของใบมีดชำรุดเปล่งแสงสีทองสว่างวาบ เลือนรางไปเล็กน้อย ตัวใบมีดครึ่งหนึ่งที่แต่เดิมชำรุดสร้างภาพลวงตาขึ้น ยามแรกยังเลือนรางไม่ชัดเจน แต่จากนั้นพลันบรรจุอักขระสีทองเข้าไป ชั่วพริบตาก็เปลี่ยนแปลงไป ไม่แตกต่างกับส่วนที่เหลือเลยสักนิด
ร่างสีทองแค่ทำให้ใบมีดสั่นระริกเล็กน้อย ชั่วขณะนั้นระลอกคลื่นลำแสงสีทองก็กระเพื่อมออกมาจากใบมีด ชั่วพริบตาก็กวาดบรรยากาศรอบๆ ไปกว่าครึ่ง
เห็นเพียงทุกแห่งที่ลำแสงสีทองกวาดไป ไอวิญญาณฟ้าดินในบริเวณรอบ จะมีระลอกคลื่นหมุนวนออกมา
ชั่วครู่ดวงลำแสงห้าสีจำนวนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นเต็มไปหมด จากนั้นก็บินกรูกันเข้ามาที่ใบมีดสีทองอย่างรวดเร็ว ทยอยกันเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ใบมีดสีทองเปล่งเสียงเพรียกอันไพเราะเสนาะหูออกมา
“ฟัน”
ฉับพลันนั้นปากของหานลี่พลันหยุดบริกรรมคาถา พ่นไอทมิฬจำนวนมากออกมา
เทวรูปร่างทองขวางมีดสีทองในมือทันที พลางสับลงมาที่ประตูยักษ์ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
ใบมีดลำแสงเจิดจ้าสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบแล้วสับลงมา
ยามแรกมีขนาดแค่สองสามฉื่อ แต่หลังจากบินออกมาได้สองสามจั้ง ก็ขยายใหญ่ขึ้น จนมีขนาดสองสามจั้ง
แสงจันทร์สีทองราวกับภาพลวงตาสายหนึ่ง ใบมีดลำแสงสีทองสับลงมาที่ประตูยักษ์สีดำอย่างเงียบเชียบ
ประตูบานนี้ดูเหมือนแข็งแรงไม่อาจถูกทำลายได้ ถูกลำแสงสีดำเปล่งแสงสว่างวาบแล้วสับลงมา ก็แยกออกเป็นสองส่วนอย่างไม่มีเค้าลางมาก่อน หลังถูกสับออกเป็นสองส่วนก็ร่อนลงสู่ด้านในประตู
หานลี่รู้สึกดีใจเกินคาด เก็บเทวรูปร่างทองอย่างไม่ต้องขบคิด ร่างกายพุ่งออกไป
เงาชำรุดเปล่งแสงสว่างวาบ หานลี่ทะลวงผ่านประตูที่ชำรุดเข้าไปด้านใน
เมื่อเขาปรากฏตัวก็กวาดสายตาไปรอบด้าน ในเวลาเดียวกันก็แผ่จิตสัมผัสออกไป
ผลคือสีหน้าของหานลี่พลันเปลี่ยนเป็นตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
โลกด้านหลังประตู แค่มีลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นกลางอากาศ รอบด้านล้วนเป็นจัตุรัสขนาดเล็กที่มีกำแพงสีเทา นอกจากประตูบานยักษ์ที่เข้ามาแล้ว ก็ไม่มีประตูบานใดอีก
ส่วนทั้งจัตุรัสนั้นว่างเปล่า ตรงใจกลางมีแท่นทรงกลมประหลาดแท่นหนึ่ง ด้านบนมีของอันใดอยู่รางๆ
หานลี่เก็บจิตสัมผัสกลับมา รูม่านตาที่มองไปยังแท่นสูงหดเล็กลง พร้อมสาวเท้ายาวๆ เดินไป
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ก็มาอยู่ใกล้กับแท่นสูง ร่างพลิ้วไหวไปอยู่ตรงขอบของแท่น แล้วกวาดตามอง
พื้นที่บนแท่นสูงไม่นับว่าเล็กน้อย ความกว้างประมาณสามสิบกว่าจั้ง ลวดลายงดงามที่สลักอยู่บนพื้นดิน วาดเป็นรูปดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดารา และท้องฟ้า ดวงดาวขนาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากัน ดูสมจริง แทบจะเรียงตัวอยู่ทั่วทั้งแท่นสูง
ส่วนใจกลางของภาพวาด พลันมีเก้าอี้ปรมาจารย์สีเขียวมรกตตั้งอยู่ กลิ่นอายพิเศษมาก
นอกจากนี้บนแท่นสูงยังมีของสีเงินสูงเท่ามนุษย์อยู่เก้าชิ้น ตั้งตระหง่านอยู่
นั่นคือนักรบชุดเกราะสีเงินสวมหมวกเกราะและถือขวานยาวอยู่ในมือเก้าคน
นอกจากดวงตาสีดำสนิทคู่หนึ่งของพวกมันแล้ว ก็ไม่เผยผิวพรรณออกมา มองดูแล้ว ถ้าไม่ใช่หุ่นเชิด ก็เป็นศพที่เป็นดั่งรูปปั้น
แต่ท่าทางของนักรบชุดเกราะสองสามคนนี้ดูเหมือนจะแปลกประหลาดไปเล็กน้อย ไม่ใช่ขวานที่ถืออยู่ในมือ แต่เป็นมือหนึ่งที่กำลังร่ายคาถาอยู่กลางอก มือหนึ่งตะปบไปยังขวานยาวตรงใจกลาง ใช้ปลายขวานชี้ไปกลางอากาศ
นักรบชุดเกราะสีเงินเก้าคนล้วนมีท่าทางเหมือนกันทุกระเบียบนิ้ว
ตอนที่ 1715 แผนที่ดวงดาราและคาถาอาคม
“นี่คือ…”
หลังจากที่หานลี่กวาดสายตาไปบนลวดลายบนพื้นดินและเรือนร่างของหุ่นเชิด ก็อดไม่ไหวมองยังจุดที่ขวานสีเงินชี้ขึ้นไป
ผลคือเดิมท้องฟ้าที่ควรจะเป็นสีฟ้า มีลำแสงสีเหลืองทองปรากฏขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็สุดจะรู้ได้ ด้านในมีหมอกลำแสงหมุนวนโคจร เผยท่าทางลึกลับออกมา
สถานการณ์เช่นนี้ทำให้หานลี่นึกถึง ‘ห้วงมิติเวลา’ ทันที
แม้ว่าลำแสงนี้จะไม่ใช่ห้วงมิติเวลาที่แท้จริง แต่ก็คงเป็นพวกรอยแยกของห้วงมิติเวลาแน่
หานลี่มองไปยังลำแสงสีเหลืองทองที่ดูเหมือนจะไม่ใหญ่โตนัก แววตาเปล่งประกายสีฟ้าสว่างวาบ เผยสีหน้าตกตะลึงระคนสงสัยออกมา
หรือว่าที่นี่เชื่อมโยงกับดินแดนลับอันใดอีก?
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ เขาก็ชักสายตากลับมาเมื่อไม่พบอันใด แล้วพิจารณานักรบชุดเกราะเก้าตนสองสามครั้ง
เรือนกายของนักรบชุดเกราะเหล่านี้เปล่งแสงสีเงินระยิบระยับออกมา ราวกับสวมเกราะสีเงินทั้งตัว แต่ไม่ว่าชุดเกราะหรือขวานยาวที่ถืออยู่ในมือล้วนให้ความรู้สึกว่าเป็นอาวุธโบราณที่มีการลดความสลับซับซ้อนทำให้เรียบง่ายขึ้น ด้านบนไม่มีอักขระยันต์เขตอาคมสลักอยู่ มีเพียงอักขระสีทองปรากฏอยู่จางๆ ตรงจุดที่สำคัญสองสามแห่ง
อักขระยันต์สีทองเหล่านี้ล้วนดูลึกลับ เห็นได้ชัดว่าเป็นตัวอักษรจ้วนทอง
หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลงเล็กน้อย ฉับพลันนั้นก็ยกมือขึ้น นิ้วหนึ่งร่ายไปทางนักรบชุดเกราะตัวหนึ่ง
หลังจากเสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น ไอกระบี่ความหนาเท่านิ้วก็ดีดตัวออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปมาอยู่ตรงหัวไหล่ของนักรบชุดเกราะ ราวกับว่าจะทะลวงผ่านอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด
แต่ฉากที่ทำให้ผู้คนตกตะลึงพลันปรากฏขึ้น
เสียง “ปัง” ดังขึ้น! ขวานสีเงินในมือของนักรบชุดเกราะที่เดิมดูเหมือนรูปปั้นพลันเปล่งแสงสีเงินสว่างวาบ สับลงมาที่กระบี่ลำแสงสีเขียวอย่างรวดเร็ว แล้วทำให้มันสลายตัวออก
หานลี่พลันหน้าเปลี่ยนสี ขยับร่างกาย ถอยร่นออกไปสองสามก้าว
มือหนึ่งโบกสะบัดไปด้านหน้า ชั่วขณะนั้นหมอกลำแสงสีเทาพลันปรากฏขึ้น ต้านทานอยู่เบื้องหน้า ท่าทางระมัดระวังเป็นอย่างมาก
แต่ครู่ต่อมานักรบชุดเกราะสีเงินกลับเก็บขวานสีเงินในมือ กลับมาอยู่ในท่าทางชี้ฟ้าดังเดิม ไม่ขยับร่างกายใดๆ อีก
“หุ่นเชิด!”
หานลี่พ่นลมหายใจยาวๆ ออกมา ใช้น้ำเสียงที่เบาราวกับกระซิบเอ่ยพึมพำกับตัวเอง สีหน้าผ่อนคลายลงเล็กน้อย
ไม่ต้องพูดถึงความร้ายกาจของหุ่นเชิดเหล่านี้ แต่ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ ไม่มีผู้ใดควบคุม ยังสามารถเคลื่อนไหวดี ก็นับว่าน่าตกตะลึงยิ่งแล้ว
แต่เป็นเพราะมั่นใจว่าหุ่นเชิดชุดเกราะเหล่านี้ไม่มีไอวิญญาณ หานลี่จึงผ่อนคลายลง
หุ่นเชิดที่ไม่มีผู้ควบคุมต่อให้ร้ายกาจเพียงไหน ก็เป็นแค่ของที่ตายไปแล้ว แน่นอนว่าย่อมไม่มีอันใดให้ต้องหวาดกลัว
หานลี่ไม่สนใจหุ่นเชิดเหล่านั้นอีก ก้มหน้าลงเล็กน้อย พิจารณาลวดลายดาวยักษ์บนพื้นดินอย่างละเอียด
ตอนแรกยังรู้สึกว่ามันเป็นแค่ของธรรมดา แต่เมื่อเพ่งมองชั่วครู่ ฉับพลันนั้นก็รู้สึกว่าลวดลายดวงดาวรางเลือนไป คาดไม่ถึงว่าจะฟื้นคืนชีพขึ้นมา
ทิวทัศน์รอบด้านรางเลือน คาดไม่ถึงว่าเขาจะอยู่ในเขตดวงดารา ร่างกายตกอยู่ในอีกยุทธภพที่ลึกลับมาก
ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ที่แต่เดิมนิ่งสนิทพลันเปล่งแสงสีทองและเงินสองสีออกมา จุดที่ลำแสงสาดส่องไป ดวงดาวน้อยใหญ่ดวงอื่นๆ ทยอยกันเปล่งแสงสีขาวออกมา และวนล้อมรอบดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ไปมาไม่หยุด
ส่วนตัวของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เองก็เดี๋ยวขยายใหญ่เดี๋ยวหดเล็กลง เดี๋ยวพุ่งขึ้นสูงเดี๋ยวร่อนลงต่ำ วนเวียนไปมาไม่หยุด วันเวลาไหลผ่านไปราวกับสายน้ำ ค่อยๆ สงบลง แต่ก็จำได้ในชั่วพริบตา
หานลี่มองความเปลี่ยนแปลงที่มีหลักการของฟ้าดินแฝงอยู่นิ่ง ในหัวนั้นว่างเปล่า คาดไม่ถึงว่าจะไม่คิดถึงเรื่องใดแล้ว และไม่อยากคิด แค่ปล่อยให้เวลาไหลผ่านไป สิบปี ร้อยปี พันปี…
ราวกับว่าชั่วพริบตานั้นวันเวลาได้ผ่านไปเนิ่นนานจนนับไม่ถ้วนแล้ว
ฉับพลันนั้นเขาก็สะดุ้งโหยงขึ้นมา พลังเย็นเยียบทะลักออกมาจากจุดตันเถียน และไล่ไปตามจุดชีพจรต่างๆ แล้วหมุนวนอยู่ในหัวรอบหนึ่ง
ไอวิญญาณเย็นเยียบที่ถูกกระตุ้น หานลี่สะดุ้งโหยงแล้วแค่นเสียงหึ ในที่สุดร่างทั้งร่างได้สติขึ้นมา คิดถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เกี่ยวกับตัวเองอีกครั้ง
แทบจะในเวลาเดียวกันที่เขาได้สติกลับคืนมา ดวงดาราทั้งหมดก็สัมผัสอันใดได้ กลายเป็นหมอกลำแสงแตกกระจายออกแล้วหายวับไป
เมื่อหานลี่ได้สติขึ้นมานั้น ก็ยังคงยืนจ้องลวดลายดวงดาราบนพื้นดินของแท่นสูงเขม็ง
อาการมึนงงหลายเดือนก่อน ความจริงแล้วผ่านไปแค่ชั่วลมหายใจเท่านั้น
หานลี่สูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไป รีบร้อนเลื่อนสายตาออกจากภาพดวงดารา
คาดไม่ถึงว่าภาพดวงดาราจะผสมเขตอาคมที่ร้ายกาจที่เกินความเข้าใจของเขาเอาไว้
แม้แต่เขาที่มีจิตสัมผัสแข็งแกร่งเพียงนี้ คาดไม่ถึงว่าจะไม่อาจต้านทานได้และถูกดึงเข้าไปข้างใน
หากไม่ใช่เพราะโคจรคาถาขับเคลื่อน ฝืนดึงจิตสัมผัสของเขากลับมา เกรงว่าเมื่อครู่หากเขากลัว ก็คงตกอยู่ในภวังค์ภาพลวงตาตลอดกาล ยืนจนกลายเป็นโครงกระดูกขาวโพลนโดยไม่รู้ตัว
แต่เช่นนั้นประสบการณ์ในเขตอาคมภาพลวงตาเมื่อครู่นั้นดูสมจริงมาก ทำให้ความเนิ่นนานกลายเป็นความจริง ความรู้สึกและสติสัมปชัญญะสับสนขัดแย้งกันไปมาปรากฏขึ้นทั่วทั้งความคิด
แม้ว่าหานลี่จะมีระดับจิตใจที่แข็งแกร่งกว่าคนธรรมดา ก็ยังขมวดคิ้วสีหน้าเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาด
เขาหลับตาทั้งสองข้างลง โคจรคาถาขับเคลื่อนในร่างไปมาไม่หยุด แล้วเริ่มหลอมระลอกคลื่นประหลาดของระดับจิตใจ ทว่าไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่ ในที่สุดก็ฝืนระงับความแตกต่างในจิตใจ แล้วเบิกตาขึ้นอีกครั้ง
ครั้งนี้แน่นอนว่าเขาย่อมไม่กล้ามองภาพดวงดาราอีก หลังจากตะลึงค้างอยู่ที่เดิม ก็ถอนหายใจยาวๆ ออกมา สีหน้าค่อยๆ ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ
เขาสัมผัสได้รางๆ ว่า ประสบการณ์เมื่อครู่ แม้ว่าจะอันตรายมาก แต่การหลอมระดับจิตใจที่หาได้ยากเช่นนี้ ก็ทำให้จิตใจของเขามั่นคงขึ้นมาก
แม้กระทั่งจิตสัมผัสก็สัมผัสได้ว่ามันแข็งแกร่งขึ้นกว่าก่อนหน้าส่วนหนึ่ง
หรือว่าภาพดวงดาราไม่ใช่เขตอาคมลวงตาธรรมดาๆ เดิมก็เป็นเขตอาคมต้องห้ามพิเศษที่ใช้พลังความพยายามของผู้ที่ฝึกฝนอย่างหนักอยู่แล้ว และยิ่งไปกว่านั้นในเมื่อภาพดวงดารานั้นลึกลับเช่นนี้ สิ่งที่วางอยู่ตรงใจกลางของมันย่อมมีอันใดแน่
หานลี่ขบคิดในใจเช่นนั้น สัมผัสได้ว่าการคาดเดาเช่นนี้มีโอกาสเป็นไปได้ ก็เอียงศีรษะ อดที่จะพิจารณาเก้าอี้ปรมาจารย์สีเขียวมรกตตรงใจกลางแท่นหินไม่ได้
วัตถุดิบที่ใช้สร้างเก้าอี้ตัวนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่ทองและไม่ใช่ไม้ แต่ตัวมันเป็นสีเขียวมรกต และยิ่งไปกว่านั้นยังเปล่งแสงแวววับ
ฉับพลันนั้นหานลี่พลันจ้องเขม็งไปบนเก้าอี้ ใบหน้าเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา
เหนือเก้าอี้ที่เดิมว่างเปล่า คาดไม่ถึงว่าจะมีอักษรลำแสงสีเงินปรากฏขึ้นมา มีแค่ร้อยกว่าตัว แต่เปล่งแสงระยิบระยับ ล้วนเป็นอักษรลูกอ๊อดสีเงิน
จากอิทธิฤทธิ์กวาดมองครั้งเดียวไม่ลืมของหานลี่ แน่นอนว่าย่อมจำได้หมดในชั่วพริบตา
แต่พวกมันมาปรากฏตัวได้อย่างไร เขาไม่รู้เลยสักนิด
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ อักษรลำแสงสีเงินเหล่านี้พลันปริแตกออก กลายเป็นดวงลำแสงทยอยกันจมหายเข้าไปในเก้าอี้ด้านล่าง เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
หานลี่จ้องเขม็งไป สองตาจับจ้องอยู่บนเก้าอี้ไม่ละสายตา แต่สติก็ยังจับจ้องอยู่กับคาถาที่จดจำมา
ผลคือหลังจากผ่านไปชั่วครู่ เขาก็หน้าเปลี่ยนสี
คาดไม่ถึงว่าคาถานี้จะเป็นคาถากระตุ้นที่ง่ายดายสุดๆ ไม่มีหัวไม่มีหาง ไม่มีคำอธิบายเลยสักนิด
ช่างน่าประหลาดใจจริงๆ!
หานลี่รู้สึกลังเล กลอกตาไปมา สายตากวาดไปบนนักรบชุดเกราะทั้งเก้าและดวงลำแสงสีเหลืองทอง รวมทั้งภาพดวงดาราด้านล่างและเก้าอี้สีเขียว ขบคิดคาถาที่ปรากฏขึ้นท่อนนั้นอีกครั้ง
เขาลูบใต้คาง เผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา พลันคาดเดาในใจรางๆ
หานลี่ใช้มือหนึ่งร่ายอาคม ลำแสงสีทองบนเรืองร่างเปล่งแสงเจิดจ้า ผิวหนังมีเกล็ดสีทองปรากฏขึ้น กระตุ้นเคล็ดวิชาพราหมณ์เที่ยงแท้มารศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง
จากนั้นก็ร้องตะโกนด้วยเสียงทุ้มต่ำ สั่นหัวไหล่ ด้านหลังมีเงาสีทองพุ่งออกมา พลิ้วไหวแล้วกลายเป็นเทวรูปร่างทองที่หายไป
หานลี่ใช้มือหนึ่งตบไปที่หน้าผาก ลำแสงสีดำสายหนึ่งบินออกมาจากเหนือศีรษะ เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในร่างทอง
นั่นก็คือทารกวิญญาณที่สองของเขา “เสี่ยวเฮย”
หลังจากที่ทารกวิญญาณนี้สิงเข้าไปในร่างทอง เศียรทั้งสามก็มีใบหน้าชัดเจน ฉับพลันนั้นดวงตาก็เปลี่ยนเป็นสีดำสนิทราวกับน้ำหมึกไม่ต่างอันใดกับคนธรรมดา
จากนั้นลำแสงสีทองพลันสว่างวาบ ร่างทองสามเศียรหกกรสูงสองจั้งราวกับมารเทวะลอยลงมาที่พื้น แล้วยืนอยู่ด้านหน้าหานลี่อย่างหนักแน่น
หานลี่เห็นเช่นนั้นพลันหัวเราะน้อยๆ ออกมา ร่างกายเลือนราง กลายเป็นควันสีเขียวแล้วสลายหายไป
ครู่ต่อมาห่างจากแท่นสูงไปสามสิบจั้ง ร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้น
หานลี่เอาสองมือไพล่หลังพลางลอยอยู่ตรงนั้นไม่ไหวติง
ก่อนหน้านี้เขาพบตั้งนานแล้วว่า หลังจากเข้ามาในห้วงมิติของฉากกั้นห้อง ไม่มีเขตอาคมกำจัดการเหาะเหินต่างๆ บนพื้นดิน
ดังนั้นยามนี้จึงได้ลอยขึ้นมาได้อย่างมั่นใจ แววตาจับจ้องไปที่แท่นสูงอย่างเปล่งประกาย
ภายใต้การกระตุ้นของทารกวิญญาณที่สอง ชั่วขณะนั้นแขนทั้งหกของร่างทองก็ขยับ ทยอยกันร่ายอาคมด้วยท่าทางที่ไม่เหมือนกัน จากนั้นก็บริกรรมคาถาที่ฟังไม่ได้ศัพท์ออกมา ชั่วครู่ก็ดังออกมาจากปาก
น้ำเสียงเชื่องช้า แต่อักขระทุกตัวล้วนชัดเจน นั่นก็คือคาถาลูกอ๊อดสีเงินท่อนนั้นที่ปรากฏขึ้นเหนือเก้าอี้ แม้ว่าหานลี่จะได้สัมผัสกับมันเป็นครั้งแรก แต่อาคมกระตุ้นแค่นี้ แน่นอนว่าทำอันใดสิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตาคนหนึ่งอย่างเขาไม่ได้
แต่แค่ตัวตกอยู่ในแดนประหลาดอย่างเขาพระสุเมรุ เพื่อความปลอดภัย เขากลับไม่กล้าใช้ร่างจริงกระตุ้นอาคมนิรนามใดๆ
ทารกวิญญาณที่สองกลับสามารถควบคุมร่างทองโดยการสิงสู่และออกจากร่างได้ตลอดเวลา พลังในการต้านทานภยันตรายต่างๆ ก็เหนือกว่าที่คิดเอาไว้
และยิ่งไปกว่านั้นเขาใช้ทารกวิญญาณที่สองบริกรรมคาถาท่อนนี้ เชื่อว่าผลจะเหมือนกับใช้จิตสัมผัสเดิมเป็นแน่ แน่นอนว่าจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด
เสียงบริกรรมคาถาดังสะท้อนไปมากลางจัตุรัสไม่หยุด ชั่วพริบตาก็ถูกทารกวิญญาณที่สองท่องจนจบ แต่บนแท่นหินกลับเงียบสงบ ไม่มีปฏิกิริยาเลยสักนิด
ร่างทองยืนนิ่งอยู่บนแท่นสูง สีหน้าไร้ความรู้สึก ร่างกายนิ่งงัน
หานลี่เห็นเหตุการณ์เช่นนั้นกลับหางตากระตุก แววตาฉายแววฉงนออกมา
แต่หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย ก็เคลื่อนไหวจิตสัมผัส ทันใดนั้นก็ให้ทารกวิญญาณที่สองท่องคาถารอบที่สอง
เช่นนั้นหลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งถ้วยน้ำชา อาคมก็ถูกทารกที่สองอาศัยปากของร่างทองบริกรรมคาถาสามรอบ
แต่เมื่อหยุดร่ายคาถาครั้งที่สาม ไม่ว่านักรบชุดเกราะสีเงินทั้งเก้าหรือว่าลำแสงสีเหลืองทองกลางอากาศก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ราวกับว่าไม่มีผลต่อคาถาที่ร่ายเลยสักนิด
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น