คัมภีร์วิถีเซียน 1712-1713

ตอนที่ 1712 วิมานในฉากกั้น

 

เมื่อวิหคเพลิงตัวนี้ปรากฏตัวขึ้น ก็เปล่งเสียงร้องกู่ก้องในทันใด


หานลี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง ฝ่ามือหยกสีขาวบริสุทธิ์ข้างหนึ่งยื่นออกมาจากแขนเสื้อ


นิ้วทั้งห้าหงิกงอ แล้วร่ายอาคมอย่างต่อเนื่อง


ปลายนิ้วมีเปลวเพลิงเย็นเยียบห้าสีพุ่งออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป ทุกสายโจมตีไปที่วิหคเพลิงสีทอง ล้วนทำให้ลำแสงที่พุ่งมาหม่นแสงลงไปไม่น้อย


เปลวเพลิงเย็นเยียบห้าสีโจมตีไปบนตัวของวิหคสีทอง ทำให้เปลวเพลิงสีทองส่งเสียงกรีดร้องแล้วหม่นแสงลง ทันใดนั้นลำแสงก็สว่างวาบแล้วกลับคืนเป็นยาลูกกลอนสีทองเม็ดหนึ่งดังเดิม


ยาลูกกลอนมีขนาดเท่าหัวแม่มือ ผิวของมันมีลวดลายเต็มไปหมด ประกอบกับแสงสีทองเรืองรองและสิ่งที่แสดงออกมาเมื่อครู่ ดูแล้วช่างมหัศจรรย์จริงๆ


“ไม่ผิดแน่ ยาลูกกลอนชนิดนี้คือยาลูกกลอนวิญญาณสูญ” พริบตาที่ยาลูกกลอนกลับคืนสภาพเดิมแววตางดงามของหลิวสุ่ยเอ๋อร์ก็เปล่งประกายดีใจ ร้องอุทานออกมาด้วยเสียงน่าเอ็นดู


สือคุนจ้องเขม็งไปยังยาลูกกลอน ใบหน้าเผยสีหน้าตื่นเต้นดีใจอย่างยากที่จะระงับเอาไว้ออกมาเช่นกัน แต่ทันใดนั้นก็นึกอะไรขึ้นมาได้ สีหน้าจึงเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย พลางเอ่ยถามหานลี่อย่างร้อนรน


“พี่หาน หรือว่าในขวดมียาลูกกลอนวิญญาณสูญเพียงเม็ดเดียว?”


หานลี่ได้ยินคำนี้ก็ไม่ได้ตอบกลับอันใด แต่มือหนึ่งพลันร่ายอาคมชี้ไปที่ขวดสีม่วงทอง


ขวดสั่นเทาเล็กน้อย ปากขวดมีลำแสงสีทองเปล่งแสงสว่างวาบ จากนั้นเสียงอึกทึกก็ดังขึ้น วิหคเพลิงสีทองอีกตัวหนึ่งบินออกมาจากด้านใน


“เยี่ยมมาก ยังมีอีกเม็ด!” สือคุนเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ก็หัวเราะร่าอย่างดีใจ


“ท่านอาวุโสทั้งสองอยากได้ยาลูกกลอนชนิดนี้ หากยาลูกกลอนวิญญาณสูญมีสองเม็ด ก็แบ่งได้คนละเม็ดพอดี สหายทั้งสองไม่มีความเห็นอันใดสินะ” หลังจากที่หานลี่หัวเราะอย่างแผ่วเบาออกมา ก็เอ่ยถามทั้งสองคนที่อยู่ตรงข้ามอย่างมีเลศนัย


หลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนได้ยินคำนี้ก็หน้าเปลี่ยนสี จากนั้นก็มองสบตากันแวบหนึ่ง


สือคุนมีสีหน้าเคร่งขรึม ส่วนแววตางดงามของหลิวสุ่ยเอ๋อร์กลับสดใสเปล่งประกาย


“ตกลงตามนี้เถิด แม้ว่าท่านอาจารย์จะรับสั่งอย่างเข้มงวดว่าให้ผู้แซ่สือเอายาลูกกลอนวิญญาณสูญกลับมาทั้งหมด แต่ในเมื่อเซียนหลิวไม่ยอมถอยให้ ก็มีเพียงต้องทำเช่นนี้แล้ว” หลังจากที่สือคุนลังเลเล็กน้อย ก็ถอนหายใจยาวๆ ออกมาเฮือกหนึ่งขณะเอ่ย


“น้องหญิงไม่มีความเห็นอันใด หากไม่ได้กลับไปมือเปล่า ก็นับว่ารายงานกับท่านอาจารย์ได้แล้ว” แววตาเย็นชาของหลิวสุ่ยเอ๋อร์ผ่อนลง แล้วเอ่ยยอมรับอย่างเชื่องช้า


หานลี่เห็นทั้งสองคนล้วนไม่มีเจตนาขัดข้องก็พยักหน้า พลิกฝ่ามือชี้ไปที่ยาลูกกลอนสองเม็ดกลางอากาศ


เสียง “สวบๆ” ดังขึ้น!


ยาลูกกลอนสีเหลืองทองสองเม็ดพุ่งออกมา หลังจากกะพริบวาบก็แยกกันพุ่งไปหาหลิวสุ่ยเอ๋อร์และพวกทั้งสองคน


หลิวสุ่ยเอ๋อร์ยกมือเรียวขึ้น ตะปบยาลูกกลอนเข้ามาอยู่ในมือ


สือคุนพลันอ้าปากออกพ่นหมอกลำแสงสีเหลืองออกมา


หมอกลำแสงม้วนวน ยาลูกกลอนถูกดูดเข้ามาในทันที


จากนั้นชายร่างใหญ่ถึงได้หยิบยาลูกกลอนออกมาจากหมอกลำแสงด้วยสีหน้าราบเรียบ


แม้ว่าทั้งสองจะมั่นใจว่ายาลูกกลอนชนิดนี้คือยาลูกกลอนวิญญาณสูญ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ แน่นอนว่าพวกเขาจึงใช้เคล็ดวิชาลับตรวจสอบอย่างละเอียดรอบหนึ่ง


คนหนึ่งบริกรรมคาถา ร่ายคาถาใส่ยาลูกกลอนในมืออย่างต่อเนื่อง อีกคนหนึ่งมีสีหน้าเคร่งขรึม แค่จ้องเขม็งไปยังยาลูกกลอนในมือ ร่างกายนิ่งงัน


หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งถ้วยน้ำชา ทั้งสองก็หยุดการเคลื่อนไหว มองสบตากันแวบหนึ่ง แล้วพยักหน้าให้อีกฝ่ายอย่างไม่ใส่ใจแล้วถึงได้ผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง


“ครั้งนี้ลำบากพี่หานแล้ว มิเช่นนั้นเกรงว่าพวกเราคงไม่อาจมาถึงที่นี่และเอายาลูกกลอนวิญญาณมาได้อย่างราบรื่นแน่” หลิวสุ่ยเอ๋อร์ใช้ขวดที่พกมาด้วยบรรจุยาลูกกลอนลงไป แล้วส่งยิ้มเบิกบานขณะเอ่ยกับหานลี่


“ตอนแรกข้าน้อยได้ประโยชน์จากท่านอาวุโส ออกแรงหน่อยก็สมควรแล้ว” หานลี่ตอบกลับอย่างไม่คิดเช่นนั้น


“พี่หานถ่อมตนเกินไปแล้ว ทว่าในขวดนั้นยังมียาลูกกลอนอื่นอยู่หรือไม่” หลังจากที่สือคุนได้รับยาลูกกลอนเช่นกัน ก็มองไปยังขวดสีม่วงทองที่ยังคงลอยอยู่กลางอากาศ ฉับพลันนั้นก็เอ่ยปากถามขึ้น


เมื่อได้ยินสือคุนถามเช่นนี้ หลิวสุ่ยเอ๋อร์ก็ใจเต้น แววตาเปล่งประกายสว่างวาบ


“หึๆ คิดไม่ถึงว่าสหายสือจะละโมบเช่นนี้ มียาลูกกลอนวิญญาณสูญเม็ดที่สามหรือไม่ สหายไปดูเองเถิด” หานลี่หัวเราะหึๆ ออกมา ทันใดนั้นก็พลิกฝ่ามือร่ายอาคมกระตุ้นไปกลางอากาศ


ขวดสีม่วงทองกลายเป็นลำแสงสีทองกลุ่มหนึ่งพุ่งไปหาสือคุน


แม้ว่าสือคุนจะรู้ว่าหานลี่ไม่ค่อยพอใจนัก แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับยาลูกกลอนวิญญาณสูญ จึงทำได้เพียงแสร้งทำเป็นไม่รู้แล้วตะปบมือไปทางขวดใบเล็ก ใช้จิตสัมผัสกวาดไปในขวด


แต่ในขวดนั้นว่างเปล่า ไหนเลยจะมียาลูกกลอนวิญญาณเม็ดที่สามอยู่ด้านใน


ใบหน้าของสือคุนมีสีหน้าผิดหวังฉายแวบผ่าน แต่เมื่อขบคิดอย่างรวดเร็ว ก็หันหน้าไปหัวเราะกับหญิงสาวสวมงอบแล้วเอ่ยว่า


“เซียนหลิวจะดูหรือไม่”


เขาเอ่ยพลางถือขวดเอาไว้ในมือหมายจะโยนไปทันที


แต่หลิวสุ่ยเอ๋อร์ครุ่นคิดเล็กน้อย กลับสั่นศีรษะแล้วเอ่ยว่า


“พี่หานและพี่สือดูแล้ว น้องหญิงจะดูเรื่องให้ยุ่งยากอีกทำไมกัน น้องหญิงจะไม่เชื่อสหายทั้งสองได้อย่างไร”


เมื่อได้ยินหลิวสุ่ยเอ๋อร์กล่าวเช่นนี้ สือคุนก็ไม่รู้จะพูดอันใดอีก ทำได้เพียงฉีกยิ้มแหยๆ ให้กับหานลี่ แล้วโยนขวดกลับไป


หานลี่มีสีหน้าราบเรียบ แต่กลับสะบัดแขนเสื้อ หมอกลำแสงสีเขียวม้วนวนออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วขวดสีม่วงทองก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย


ยามต่อมาหานลี่จึงหยิบของอีกสองสิ่งออกมาจากในหม้อ ล้วนเป็นวัตถุดิบหายากที่แทบจะหายสาบสูญไปจากแดนวิญญาณแล้ว และล้วนเป็นสิ่งที่ไฉ่หลิวอิงและต้วนเทียนเริ่นต้องการ


เป็นเพราะของเหล่านี้มีเพียงหนึ่งชิ้น จึงถูกหลิวสุ่ยเอ๋อร์และพวกทั้งสองเอาไปกันคนละชิ้น โดยไม่ได้ขัดแย้งอันใดเช่นกัน


เช่นนั้นนอกจากสมบัติสามชิ้นที่ได้มาตอนแรกแล้ว ของที่เหลือก็ถูกทั้งสองคนแบ่งกันไป


ในหม้อไม่มีสิ่งใดอีก


ครั้งนี้แม้แต่สือคุนก็ไม่ได้สงสัยอันใดอีก


ถึงอย่างไรเสียตอนแรกที่ดวงแสงสีทองถูกเส้นไหมสีเขียวห่อหุ้มเอาไว้ ก็มีแค่สองสามลูกเท่านั้น


“พี่หาน สมบัติที่เจ้าเก็บเอาไว้ทั้งสามชิ้นล้วนไม่ใช่สิ่งที่ท่านอาจารย์และท่านอาวุโสต้วนต้องการ พวกเรามาแบ่งกันเถิด” หลิวสุ่ยเอ๋อร์รอจนหานลี่เก็บหม้อนภาสูญแล้ว ก็ฉีกยิ้มขณะเอ่ย


“ฮ่าๆ ใช่แล้ว สมบัติมีสามชิ้นก็แบ่งคนละชิ้นพอดี พี่หานไม่ต้องเกรงใจ เลือกก่อนเถิด” สือคุนดูเหมือนว่าจะใจกว้างขึ้นมา


หลิวสุ่ยเอ๋อร์ได้ยินพลันตกตะลึง แต่ทันใดนั้นก็ตอบตกลงพร้อมกับอมยิ้ม


ทว่านั่นก็ปกติมาก


ไม่ว่าน้ำเต้าสีทอง สมบัติหอคอย หรือว่าจานอาคมหกเหลี่ยม อาศัยเพียงตาเนื้อและจิตสัมผัสกวาดผ่านไป ล้วนไม่อาจตัดสินประโยชน์และอานุภาพของมันได้ หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็ เลือกก่อนหรือหลังล้วนไม่มีความหมายอันใด


หานลี่ได้ฟัง มุมปากก็หยักรอยยิ้ม และเอ่ยอย่างแช่มช้า


“ในเมื่อสหายทั้งสองกล่าวเช่นนี้ ผู้แซ่หานจะปฏิเสธก็จะเป็นการไม่เคารพ หากข้าเลือกสมบัติเหล่านี้แล้ว ไม่ทราบว่าที่เหลืออีกสองชิ้น สหายทั้งสองจะเลือกกันอย่างไร”


เอ่ยจบหานลี่ก็สะบัดแขนเสื้อ ชั่วขณะนั้นของสองสิ่งก็บินออกมา ลอยนิ่งอยู่ตรงหน้า


นั่นก็คือหอคอยสีทองและจานอาคมหกเหลี่ยม!


น้ำเต้าสีทองที่ปรากฏตัวแรกสุด กลับถูกหานลี่เก็บเอาไว้


แม้ว่าหลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนจะรู้สึกตกตะลึงกับการเลือกของหานลี่ไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้วางใจมากนัก กลับจ้องเขม็งไปยังสมบัติวิเศษอีกสองชิ้น ต่างฝ่ายต่างคิดไม่ตก


“น้องหญิงเลือกหอคอยสีทอง ที่เหลือให้สหายก็แล้วกัน พี่สือคิดว่าอย่างไร?” หลิวสุ่ยเอ๋อร์ชิงเอ่ยปากก่อน


“ได้ ข้าเอาชิ้นสุดท้ายก็แล้วกัน” สือคุนลังเลเล็กน้อย แต่ในที่สุดก็พยักหน้ายอมรับข้อเสนอของหลิวสุ่ยเอ๋อร์


“น้องหญิงต้องขอบพระคุณพี่สือที่ยอมถอยให้” หลิวสุ่ยเอ๋อร์ได้ยินพลันฉีกยิ้ม ยกมือขึ้นกวักไปฝั่งตรงข้าม


ชั่วขณะนั้นสมบัติหอคอยสีทองที่อยู่ตรงหน้าของหานลี่ก็เปล่งเสียงร้องแล้วบินมา ถูกหญิงสาวผู้นี้เก็บเข้าไปในมือ


สือคุนย่อมสำแดงฝีมือ เก็บจานอาคมหกเหลี่ยมกลับไปเช่นกัน


ทั้งสามคนจึงได้มองสบตากันแวบหนึ่ง ล้วนมีท่าทียินดีเป็นอย่างมาก


“พี่หาน เซียนหลิว หม้อสีทองนี้เจ้าสองคนคงไม่แย่งกับผู้แซ่สือหรอกกระมัง สิ่งนี้ให้ข้าน้อยเก็บเอาไว้ใช้ประโยชน์เถิด” ฉับพลันนั้นสือคุนก็สาวเท้ามาสองสามก้าว เดินมาอยู่ตรงหน้าหม้อโบราณสีทอง เบะปากขณะเอ่ย


มือหนึ่งตบออกไป ชั่วขณะนั้นหม้อสีทองพลันเปล่งแสงเจิดจ้า หดเล็กลงอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาก็มีขนาดเท่ากำปั้น ถูกชายร่างใหญ่ตะปบเอาไว้ในมือ


เมื่อเห็นการกระทำอันบุ่มบ่ามของสือคุน หานลี่ก็ขมวดคิ้ว แต่ทันใดนั้นก็เอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบว่า


“ในเมื่อพี่สือสนใจสิ่งนี้ ผู้แซ่หานก็ไม่มีความเห็น ขอแค่เซียนหลิวตกลง ก็เอาไปเถิด”


“หม้อใบนี้เป็นสมบัติที่ใช้บรรจุของสำคัญขั้นสุดยอด น้องหญิงเองก็อยากเก็บเอาไว้ แต่ถูกพี่สือชิงไปก่อน หากเป็นเช่นนั้น น้องหญิงก็ไม่แย่งชิงแล้ว ให้สหายเถิด” หลิวสุ่ยเอ๋อร์มองหม้อสีทอง แววตาเปล่งประกาย เผยสีหน้าเสียดายออกมา


ในเมื่อของสิ่งนี้ถูกสือคุนถือไปแล้ว แม้ว่านางจะไม่ค่อยเต็มใจ แต่ก็ทำได้เพียงกล่าวเช่นนี้


สือคุนหัวเราะหึๆ ออกมา แล้วยัดหม้อสีทองเข้าไปในแขนเสื้อด้วยท่าทีทระนงองอาจ เปล่งแสงสว่างแล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย


จากนั้นพลันเหลือบตามอง กลับพบว่าหานลี่มาจ้องเขม็งมองอันใดสักอย่างอยู่ที่ฉากกั้นห้องตั้งแต่เมื่อใดก็สุดจะรู้ได้


“พี่หาน เจ้าพบอันใดหรือ?” ชายร่างใหญ่เห็นหานลี่มองอย่างเหม่อลอย ก็อดไม่ไหวเอ่ยถามขึ้น


“ของสิ่งนี้ไม่ธรรมดา” หานลี่ตอบโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา


สือคุนได้ยินคำนี้ก็รู้สึกหมดคำพูด


ฉากกั้นห้องนี้สามารถกลืนกินจิตสัมผัสของพวกเขาได้ แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่ของธรรมดา คำตอบที่เขาต้องการ แน่นอนว่าไม่ใช่คำพูดที่คลุมเครือเช่นนี้


แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ กลับไม่อาจซักถามต่อได้ จึงทำได้เพียงเบิกตาทั้งสองข้าง ใช้เคล็ดวิชาลับต่างๆ ที่ไม่ซ้ำกัน ถึงจะตรวจสอบระดับของฉากกั้นห้องนี้ได้


ร่างบางของหลิวสุ่ยเอ๋อร์ที่อยู่อีกด้านเองก็ยืนอยู่หน้าฉากกั้นห้อง แววตาเผยแววครุ่นคิดอันใดสักอย่างออกมา


และในยามนั้นเอง ร่างของหานลี่พลันพลิ้วไหว คาดไม่ถึงว่าจะอ้อมไปด้านหลังฉากกั้นห้อง


ยกมือทั้งสองข้างขึ้น นิ้วทั้งสิบร่ายอาคม ลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ อาคมหลากสีดีดออกมาเต็มไปหมด ทยอยกันพุ่งไปที่ฉากกั้นห้อง


เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของหานลี่


สือคุนและหลิวสุ่ยเอ๋อร์พลันตกตะลึง ทยอยกันหยุดการเคลื่อนไหวของตัวเอง มองไปที่หานลี่พร้อมกัน


และในยามนั้นเอง ปากของหานลี่ก็ร้องตะโกนด้วยเสียงทุ้มต่ำออกมา หว่างคิ้วมีไอสีดำหมุนติ้วๆ ปรากฏขึ้น จากนั้นก็ผนึกรวมตัวกลายเป็นเนตรสีดำสนิท


เนตรดวงนี้เปล่งแสงสีดำสว่างวาบ ชั่วขณะนั้นก็พ่นเสาลำแสงสีดำขนาดเท่าหัวแม่มือออกมาโจมตีไปยังฉากกั้นห้อง


ชั่วขณะนั้นด้านหลังฉากกั้นห้องก็เปล่งเสียงอึกทึกขึ้น หมอกลำแสงเจ็ดสีเปล่งแสงสว่างวาบแล้วพ่นออกมา ม้วนวนรอบหานลี่ แล้วบินกลับไปอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า


ด้านหลังฉากกั้นห้องว่างเปล่า คาดไม่ถึงว่าหานลี่จะหายตัวไปเช่นนั้นอย่างไร้ร่องรอย


สือคุนและหลิวสุ่ยเอ๋อร์พลันใจหายวาบ ขยับกายโดยไม่ต้องคิด อ้อมไปที่ด้านหลังฉากกั้นห้องเช่นกัน


ผลคือเห็นเพียงม่านลำแสงสีเขียวในฉากกั้นห้อง มีตัวอักษรโบราณสีม่วงปรากฏขึ้น


“วิมานในฉากกั้น”


หลังจากนั้นรูม่านตาของหลิวสุ่ยเอ๋อร์พลันหดเล็กลง แล้วเอ่ยพึมพำบริกรรมคาถาออกมา

 

 

 


ตอนที่ 1713 ได้ยาลูกกลอน

 

แทบจะในเวลาเดียวกันนั้นหานลี่ก็อยู่ในห้วงมิติประหลาด รอบด้านเป็นสีเทาขมุกขมัว ไม่ไกลนักมีประตูยักษ์สีดำสนิทตั้งตระหง่านอยู่บานหนึ่ง ด้านบนมีอักขระยันต์สีทองเงินปรากฏอยู่เต็มไปหมด


กะพริบวาบๆ เผยท่าทีลึกลับออกมา


ประตูบานนี้เหมือนกับประตูยักษ์ที่อยู่บนฉากกั้นห้องทุกระเบียบนิ้ว


ราวกับว่าเขาถูกม้วนเข้าไปในภาพวาดบนฉากกั้นก็ไม่ปาน


“ที่นี่ดูคล้ายกับเขาพระสุเมรุนัก” หลังจากที่หานลี่กวาดตาไปรอบด้าน สายตาก็ตกอยู่บนประตูยักษ์ ใบหน้ากลับเผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมา


ฉับพลันนั้นเขาก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง ลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบ จานอาคมหลากสีสันปรากฏขึ้นในมือ


อีกมือหนึ่งพลันร่ายอาคมกระตุ้นอย่างรวดเร็ว จานอาคมทยอยกันพุ่งออกไป


พวกมันหยุดชะงักอยู่รอบๆ แล้วกลายเป็นดวงแสงร่อนลงมาด้านล่าง เมื่อสัมผัสกับพื้นดินก็จมหายเข้าไปอย่างไร้ร่องรอย


หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หมอกลำแสงสีขาวนวลก็ทะลักออกมาจากจุดที่จานอาคมสลายหายไป


หนาแน่นไม่ยอมเลือนหาย คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นกำแพงหมอกหนาๆ บดบังหานลี่และประตูยักษ์ตรงหน้าเอาไว้


หานลี่ที่อยู่อีกด้านของกำแพงหมอก ถึงได้มีสีหน้าผ่อนคลายลง สะบัดแขนเสื้อ ลำแสงสีเขียวที่ห่อหุ้มสิ่งหนึ่งเอาไว้บินออกมา หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง ก็ลอยอยู่ตรงหน้า


นั่นคือสมบัตินภาสูญ!


เขายกมือขึ้นชี้ไปที่หม้อใบนั้น


ผลคือฝาหม้อเปิดออกโดยอัตโนมัติ ด้านในเปล่งแสงสีเขียวสว่างจ้า เงาลวงตาสีขาวสายหนึ่งพุ่งออกมา


กลางอากาศมีเด็กผู้หญิงสวมกระโปรงสีขาวอายุหกเจ็ดขวบปรากฏขึ้น ถักเปีย หน้ากลมๆ น่ารักน่าชังเป็นอย่างยิ่ง


คาดไม่ถึงว่าจะเป็นฉวี่เอ๋อร์!


“คารวะคุณชาย!” เด็กหญิงคารวะหานลี่อย่างนอบน้อมพร้อมกับฉีกยิ้มเบิกบาน


“ทำได้ไม่เลว! คาดไม่ถึงว่าจะอยู่ในหม้อโดยไม่เผยกลิ่นอายออกมาเลยสักนิด แม้แต่ข้าก็ไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของเจ้า สองคนนั้นย่อมไม่อาจพบได้” หานลี่เผยสีหน้าพึงพอใจออกมา พลางเอ่ยชม


“ล้วนเป็นเพราะสมบัติและยันต์วิเศษที่คุณชายมอบให้ มิเช่นนั้นฉวี่เอ๋อร์มีอิทธิฤทธิ์แค่นี้ จะปิดบังสิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตาขั้นสุดยอดสองคนได้อย่างไร” เด็กหญิงชุดสีขาวเอ่ยพร้อมกับหัวเราะคิกคัก


นางเอ่ยจบลำแสงสีดำก็เปล่งแสงสว่างวาบ ผ้าไหมสีดำบินออกมาจากร่าง ในเวลาเดียวกันมือหนึ่งก็ตะปบไปกลางอากาศ ยันต์ชำระพิสุทธิ์สีม่วงใบหนึ่งปรากฏออกมา


สองมือของฉวี่เอ๋อร์กุมทั้งสองสิ่งเอาไว้ ท่าทางหมายจะส่งมอบให้หานลี่


“ไม่ต้องคืนข้า เจ้าเองก็เชี่ยวชาญเคล็ดวิชาหลีกหนีและการอำพรางตัว สมบัติสองชิ้นนี้อยู่ในมือเจ้ายิ่งมีอานุภาพที่น่าตกตะลึง ไม่ต้องพูดถึงสิ่งอื่น แม้ว่าข้าใช้สองนี้เอง ยังไม่แน่ว่าจะปิดบังหูตาของสองคนนั้นในระยะประชิดเช่นนี้ได้ และยิ่งไปกว่านั้นข้ายังมีของที่เตรียมไว้เช่นกัน เจ้าเก็บไว้ป้องกันเถิด” หานลี่โบกมือขณะเอ่ย


“ในเมื่อคุณชายกล่าวเช่นนี้ ข้าก็ขอเก็บพวกมันเอาไว้นะเจ้าคะ” ฉวี่เอ๋อร์ฉีกยิ้มร่า ตบผ้าไหมสีดำและยันต์ไปบนร่าง แล้วจมหายเข้าไปในร่างอีกครั้งอย่างไร้ร่องรอย


หานลี่เห็นเช่นนั้นพลันหัวเราะน้อยๆ ออกมา จากนั้นก็เอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“ก่อนหน้านี้ยามที่ข้าเก็บสมบัติในหม้อสีทองนั้น ได้จงใจทำให้ลำแสงวิญญาณเปล่งแสงเจิดจ้าขึ้น ถึงได้ถือโอกาสนี้ส่งมันเข้ามาในหม้อนภาสูญ แต่ยามที่เปิดหม้อนี้อีกครั้งนั้นใช้เวลาสั้นมาก เจ้าลงมือทันหรือไม่?”


“ฮิๆ การเคลื่อนไหวของฉวี่เอ๋อร์รวดเร็วมาก นายท่าน ท่านดูสิ!” เด็กหญิงได้ยินพลันฉีกยิ้มอย่างพึงพอใจ จากนั้นก็พลิกฝ่ามือน้อยๆ ยาลูกกลอนสีทองเรืองรองปรากฏออกมา


“ยาลูกกลอนวิญญาณสูญ! ทำได้ดีมาก!” แม้ว่าหานลี่จะคาดเดาอยู่ในใจสองสามส่วน แต่เมื่อเห็นยาลูกกลอนชนิดนี้จริงๆ ก็ยังคงดีใจเป็นอย่างยิ่ง


เขายกมือขึ้นกวักเรียก ดูดยาลูกกลอนสีทองเม็ดนั้นออกมาจากมือของเด็กหญิง แล้วเพ่งพินิจมองสองแวบ ในที่สุดก็มั่นใจว่าไม่ผิดพลาด


เป็นยาลูกกลอนที่เหมือนกับสองเม็ดก่อนหน้าทุกระเบียบนิ้ว แม้หานลี่จะไม่รู้ว่ายาลูกกลอนชนิดนี้มีสรรพคุณอย่างไร แต่แม้แต่สิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์อย่างไฉ่หลิวอิงและต้วนเทียนเริ่นก็ยังต้องการเช่นนี้ ล้วนต้องเป็นของสำคัญ ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน ก็รู้ระดับความล้ำค่าของมันแล้ว


“เป็นเพราะนายท่านรับสั่งเอาไว้ว่า ไม่ให้แตะต้องสมบัติเหล่านี้ แต่ให้ความสำคัญกับขวดยาลูกกลอนและพวกกล่องยา ดังนั้นจึงทำได้เพียงเทยาลูกกลอนออกมาจากขวดเม็ดหนึ่ง นายท่านเคยสั่งเอาไว้ว่า หากยาลูกกลอนมีมากกว่าสองเม็ด ก็เอามาหนึ่งเม็ดได้ ฉวี่เอ๋อร์ทำตามทุกอย่าง มิเช่นนั้นที่เหลืออีกสองเม็ด ข้าเองก็ไม่อยากทิ้งไว้” เด็กหญิงหยักมุมปาก คาดไม่ถึงว่าจะมีท่าทีเสียดายหลายส่วน


หานลี่ได้ฟังแล้ว กลับหัวเราะร่า


“เจ้าช่างละโมบนัก เอายาลูกกลอนวิญญาณสูญเม็ดหนึ่งมาได้ใต้จมูกของสองคนนั้น ก็นับว่าโชคดีและมีวาสนาแล้ว หากไปยุ่งกับยาลูกกลอนชนิดอื่นอีก อาจจะเกิดปัญหาได้ง่าย ทว่าโชคดีที่ในขวดมียาลูกกลอนวิญญาณสูญสามเม็ด หากมีแค่เม็ดเดียวหรือแม้กระทั่งสองเม็ด ก็จัดการยากจริงๆ ไม่แน่ว่าอาจจะต้องล้มเลิกความคิดไปทั้งอย่างนั้น ข้าไม่อยากอยู่ในแดนของชนนอกเผ่า แล้วถูกสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์สองคนไล่สังหาร” หานลี่ฉีกยิ้มพลางอธิบายสองประโยค มือหนึ่งปัดไปที่กำไลเก็บของ ขวดสีม่วงทองปรากฏขึ้นในมืออีกครั้ง


เขาเทยาลูกกลอนด้านในออกมา ลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบแปะยันต์ต้องห้ามลงไปสองสามแผ่น แล้วถึงได้เก็บเข้าไปอีกครั้งอย่างระมัดระวัง


“นายท่านกล่าวเช่นนี้ จะต้องมีเหตุผลแน่ แต่มองเห็นยาลูกกลอนวิญญาณร่อนลงในมือของทั้งสอง ข้าก็รู้สึกไม่ยินยอมนัก” ฉวี่เอ๋อร์ยังคงเอ่ยด้วยท่าทีไม่เต็มใจ


หานลี่สั่นศีรษะยิ้มๆ แต่ทันใดนั้นก็นึกอันใดได้ ชูแขนเสื้อขึ้น มีดบินยาวสองสามชุ่นทะลักออกมาจากแขนเสื้อเต็มไปหมด


ทุกเล่มล้วนเปล่งแสงเย็นเยียบ บางเฉียบราวกับกระดาษ ชั่วพริบตาก็เรียงตัวกันทั่วท้องฟ้า มีจำนวนประมาณสามสี่ร้อยเล่ม


“นายท่าน นี่คือ…” เด็กหญิงมองอย่างตกตะลึงจนอ้าปากค้าง


“มีดบินชุดนี้ สร้างขึ้นจากปีกของคางคกประหลาดนอกมหาสมุทรครั้งที่แล้ว มีทั้งหมดสามร้อยหกสิบเล่ม ข้าว่าเจ้ายังไม่มีสมบัติป้องกันตัว มอบให้เจ้าป้องกันตัวก็แล้วกัน แม้ว่าพวกมันจะไม่อาจเทียบกับสมบัติระดับสุดยอดอย่างสมบัติสะท้านฟ้าอะไรเทือกนั้นได้ แต่หากหลอมทั้งหมดได้จริงๆ พบคู่ต่อสู้ปกติ ก็ป้องกันตัวได้เหลือเฟือ นับว่าเป็นรางวัลในครั้งนี้ของเจ้า!” หานลี่เอ่ยไปพลาง มือข้างหนึ่งก็ตะปบไปกลางอากาศ


ชั่วขณะนั้นลำแสงเย็นเยียบพลันเปล่งแสงสว่างวาบไปทั่วท้องฟ้า มีดบินสามร้อยกว่าเล่มเปล่งแสงสว่างวาบ พุ่งไปหาเขา ชั่วครู่มีดบินทั้งหมดก็ลายเป็นสองตั้งหนาๆ ร่อนลงในมือ


หานลี่หัวเราะน้อยๆ พลางรับมีดบินทั้งหมดเอาไว้ แล้วส่งให้ผู้ที่อยู่ตรงข้าม


“ขอบพระคุณคุณชายที่มอบสมบัติให้!” ฉวี่เอ๋อร์ได้ยิน ใบหน้าเล็กๆ ทั้งตกตะลึงระคนดีใจ ร่างกายพลิ้วไหว แล้วรางเลือนหายวับไป แต่ครู่ต่อมาคนก็มาปรากฏตรงหน้าหานลี่ และรับมีดบินเอาไว้ด้วยความยินดี


“เอาละ เพื่อความระมัดระวัง เจ้าคืนร่างเดิมไปหลอมมีดบินเหล่านี้ก่อนเถิด หากข้าไม่เรียก อย่าออกมาปรากฏตัว” หานลี่มีสีหน้าเคร่งขรึม พลางออกคำสั่งกำชับ


“เจ้าค่ะ คุณชาย ฉวี่เอ๋อร์จะตั้งใจฝึกฝน” เด็กหญิงชุดขาวรับปากเต็มคำ มือหนึ่งร่ายอาคม พามีดบินทั้งหมดกลายเป็นลำแสงสีขาวกระโจนมาหาหานลี่ จมหายเข้าไปในแขนเสื้อ แล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย


หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็พ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง เลื่อนสายตาไปตกอยู่ที่ประตูยักษ์ที่อยู่ไม่ไกลนัก ใบหน้าค่อยๆ เผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา


แทบจะในเวลาเดียวกันนั้น ในตำหนักหลักสีม่วงหลังเดิม สือคุนและหลิวสุ่ยเอ๋อร์กำลังมองไปยังฉากกั้นตรงหน้า แล้วมองสบตากันไปมา


เห็นเพียงม่านลำแสงสีเขียวที่ห่อหุ้มฉากกั้นเอาไว้ค่อยๆ สลายหายไป ภาพวาดเผยออกมาเกือบหมด


แต่สิ่งที่มาแทนที่ก็คือในภาพวาดเต็มไปด้วยหมอกสีขาวโพลน ไม่อาจมองเห็นประตูยักษ์ที่อยู่ด้านในบานนั้นได้


รอบด้านของฉากกั้นมีธงอาคมสีเหลืองสิบกว่าด้ามปรากฏขึ้นตอนไหนก็สุดจะรู้ได้ เปล่งแสงสีเหลืองอ่อนเรืองๆ กำลังล้อมฉากกั้นอยู่ตรงกลาง กลายเป็นเขตอาคมที่ไม่ธรรมดา


กลางอากาศเหนือเขตอาคมยังมีระลอกคลื่นอยู่จางๆ


ส่วนตรงหน้าหลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุน มีสมบัติเปล่งแสงเรืองๆ ลอยอยู่สองสามชิ้น วนล้อมทั้งสองคนไปมาไม่หยุด


“เซียนหลิว เป็นอย่างไรบ้าง พวกเราใช้พลังของเขตอาคมแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นแม้แต่สมบัติที่มีอานุภาพสองสามชนิดก็เรียกออกมา แต่ก็ยังไม่อาจเปิดทางเข้าเขตอาคมบนฉากกั้นได้ เขตอาคมมิติเวลานี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะทำลายได้ในระยะเวลาอันสั้น แต่สหายหานเข้าไปได้อย่างไร ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ใช้กำลังมากนัก” สือคุนถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ฉับพลันนั้นก็เอ่ยถามหลิวสุ่ยเอ๋อร์


“พี่สือไม่ได้สังเกตหรือ?” หลิวสุ่ยเอ๋อร์เงียบขรึมไปชั่วครู่แล้วถามย้อน


“สังเกตอันใด?” ชายร่างใหญ่กลับรู้สึกงุนงงจริงๆ


“เมื่อครู่หว่างคิ้วของสหายหานมีเนตรสีดำที่สามปรากฏขึ้น เจ้าไม่รู้สึกว่าเหมือนในตำนานหรือ?” หลิวสุ่ยเอ๋อร์เอ่ยอย่างราบเรียบ


“เจ้าหมายถึงเนตรทำลายล้าง!” ถึงอย่างไรเสียสือคุนก็ไม่ใช่คนธรรมดา ถูกหญิงสาวสวมงอบเตือนสติ ชั่วขณะนั้นพลันถึงนึกขึ้นมาได้


“ใช่แล้ว นอกจากเนตรปีศาจในตำนานแล้ว น้องหญิงก็ไม่เคยได้ยินว่าจะมีอันใดที่มีอิทธิฤทธิ์คล้ายคลึง และยิ่งไปกว่านั้นยังทำลายเขตอาคมเข้าไปในฉากกั้นห้องได้อย่างง่ายดายเช่นนี้” หลิวสุ่ยเอ๋อร์เอ่ยอย่างเยือกเย็น


“หากเป็นเนตรทำลายล้างล่ะก็ จะต้องมีอิทธิฤทธิ์ที่น่าเหลือเชื่อแน่ นอกเสียจากว่าจะพยายามทำลายทางเข้า มิเช่นนั้นก็ไม่มีโอกาสเข้าไปได้” สือคุนขมวดคิ้วแน่น แล้วเอ่ยพึมพำ


“พวกเราร่วมมือกันจนปราณแท้เสียหาย อาจจะมีโอกาสทำได้สองสามส่วน แต่หากพลั้งมือล่ะก็ อาจจะเท่ากับว่าตัดทางออกของสหายหาน หากเป็นเช่นนั้น พี่สือไม่กลัวว่าสหายหานจะฉีกห้วงเวลาออกมาระบายความแค้นกับเจ้าด้วยความโกรธเกรี้ยว ถึงอย่างไรเสียหากมีเนตรทำลายล้างล่ะก็ เรื่องนี้ก็จัดการได้ง่ายมากแล้ว” แววตางดงามของหลิวสุ่ยเอ๋อร์กลอกไปมา แล้วหัวเราะน้อยๆ ออกมา


สือคุนได้ยินคำพูดของหลิวสุ่ยเอ๋อร์ สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย สายตามองไปที่ฉากกั้นสองแวบ ทันใดนั้นก็หัวเราะแห้งๆ ออกมา


“เซียนหลิวล้อเล่นแล้ว ผู้แซ่สือจะไปทำเรื่องที่ทำลายผู้อื่นโดยไม่ได้รับประโยชน์ทำไมกัน ในเมื่อไม่อาจทลายเขตอาคมได้ในระยะเวลาอันสั้น พวกเราก็ไปจากที่นี่เถิด ไปดูที่วิหารข้างอื่นว่าจะมีสมบัติอันใดหรือไม่?”


“สหายสือกล่าวได้ถูกใจน้องหญิง ข้าเองก็คิดเช่นนั้น” ครั้งนี้หลิวสุ่ยเอ๋อร์สนับสนุนพร้อมรอยยิ้มเบิกบาน


สือคุนเห็นเช่นนั้น ก็หัวเราะหึๆ ออกมา ใช้สายตาอาลัยอาวรณ์กวาดไปที่ฉากกั้นห้องอีกครั้ง สะบัดแขนเสื้อไปด้านข้างทันที


ชั่วขณะนั้นพายุประหลาดสีเหลืองก็หมุนวนออกมาจากแขนเสื้อ ม้วนเอาขวานยาว ขวานยักษ์อาวุธมีดต่างๆ และยังมีเกราะสีเทาต่างๆ ที่อยู่บนกำแพงและบนพื้นดินเข้าไป

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)