อัจฉริยะสมองเพชร 1710-1717

 ตอนที่ 1710 มิติทะเลทราย

“แน่นอนว่าพวกเราเคยพบเขา! ปรมาจารย์ขงเพิ่งจากมิติแห่งนี้ไปเมื่อไม่นานนี้เอง” งูเขียวไม้สวรรค์พยักหน้าอย่างจริงจัง ราวกับเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่สุดในโลก


“ปรมาจารย์ขงเพิ่งจากมิติแห่งนี้ไปเมื่อไม่นานนี้เอง?” จางเซวียนเกิดข้อสันนิษฐานหนึ่งขึ้นมา เขารีบถามต่อ “ปรมาจารย์ขงจากมิติแห่งนี้ไปนานแค่ไหนแล้ว?”


งูเขียวไม้สวรรค์รุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “ประมาณคร่าวๆนะ ผมคิดว่าราว 400 ปี”


“ใช่เลย!” จางเซวียนตัวสั่นเมื่อข้อสันนิษฐานของเขาได้รับการยืนยัน


เขาเคยคิดว่ามันออกจะประหลาดที่งูเขียวไม้สวรรค์พูดว่าปรมาจารย์ขงพาพวกมันมาที่นี่ แต่เขาก็ไม่คิดว่าพวกมันโกหก ไม่มีเหตุผลอะไรที่อสูรเหล่านี้จะต้องโกหกเขา


จางเซวียนคิดว่าความผิดปกตินี้น่าจะเกี่ยวข้องกับกระแสกาลเวลาที่แตกต่างกัน เป็นไปได้ว่ากระแสกาลเวลาภายในมิติลี้ลับเดินช้ากว่ากระแสกาลเวลาในทวีปแห่งปรมาจารย์ เพราะไม่อย่างนั้น ป่านนี้อสูรสวรรค์ทั้ง 5 คงกลายเป็นเถ้ากระดูกไปแล้ว


สิ่งที่งูเขียวไม้สวรรค์พูดทำให้ข้อสรุปของเขาชัดเจนขึ้นมาก


หากกะประมาณคร่าวๆ ปรมาจารย์ขงน่าจะจากทวีปแห่งปรมาจารย์ไปได้ราวสี่หมื่นปี แต่ในสายตาของงูเขียวไม้สวรรค์ เวลาเพิ่งผ่านไป 400 ปีเท่านั้น นี่หมายความว่ากระแสของกาลเวลาภายในมิติลี้ลับเป็นหนึ่งในร้อยส่วนของโลกภายนอกอย่างนั้นหรือ?


พูดอีกอย่างก็คือ เวลาที่ผ่านไป 1 วันภายในมิติลี้ลับแห่งนี้เท่ากับเวลา 100 วัน ในทวีปแห่งปรมาจารย์!


หากการหน่วงเวลาสามารถนำมาใช้กับนักปราชญ์โบราณได้ พวกเขาก็คงสามารถยืดอายุขัยออกไปได้อีกมากโดยไม่จำเป็นต้องจำศีล


ไม่ใช่น่ะ แบบนี้ก็ไม่ถูกอีกนั่นแหละ…ด้วยความเชี่ยวชาญในศิลปะแห่งกาลเวลาของเรา เราน่าจะรู้สึกได้ถ้ามีความแตกต่างของกระแสกาลเวลา แต่ทำไมเราไม่รู้สึกถึงอะไรเลย? จางเซวียนครุ่นคิดพร้อมกับขมวดคิ้ว


เพราะมีความเข้าใจในแก่นสารของเวลา จางเซวียนจึงไม่ใช่คนที่ไม่รู้อะไรเลยอีกต่อไป หากมีความแตกต่างในกระแสของกาลเวลา เขาน่าจะรู้สึกได้ แต่มันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น เหตุผลของเรื่องนี้คืออะไร?


ช่างมันเถอะ ตอนนี้คิดไปก็ไม่มีประโยชน์…ได้เข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อเมื่อไหร่ก็คงพบคำตอบเอง


เมื่อไม่อาจหาเหตุผลได้ จางเซวียนจึงได้แต่ส่ายหน้าและโยนเรื่องนี้ทิ้งไปก่อน


เขาหันกลับไปพูดกับอสูรสวรรค์ทั้ง 5 “พาผมไปที่ทางออกที”


งูเขียวไม้สวรรค์นำทางไป


ถ้ำนั้นใหญ่โตมาก มีหลุมขนาดใหญ่อยู่ใจกลางถ้ำ ซึ่งเป็นบ่อลาวาที่กำลังเดือดพล่าน ดูราวกับว่าทุกสิ่งในโลกนี้สามารถถูกหลอมละลายภายในบ่อลาวานั้นได้


“นี่คือ…ทางออกหรือ?” จางเซวียนถึงกับผงะ


ไม่ว่าจะมองอย่างไร สิ่งที่เขาเห็นก็คือปล่องภูเขาไฟ ยากที่จะจินตนาการได้ว่าวิหารแห่งขงจื๊อตั้งอยู่ภายในปล่องนี้


“ผมก็ไม่แน่ใจในรายละเอียดนะ ในครั้งนั้น ปรมาจารย์ขงสั่งการให้พวกเราทั้ง 5 อารักขาพื้นที่นี้ไว้ พวกเราจึงคาดเดาว่านี่คือเส้นทางที่นำไปสู่วิหารแห่งขงจื๊อ” งูเขียวไม้สวรรค์อธิบาย


ภูมิปัญญาของปรมาจารย์ขงนั้นกว้างไกลและอยู่เหนือกาลเวลา ไม่ใช่สิ่งที่อสูรอย่างพวกมันจะหยั่งถึง


ด้วยความงุนงง จางเซวียนเปิดใช้ดวงตาหยั่งรู้และสำรวจพื้นที่โดยรอบ แต่ก็ไม่พบสัญญาณที่บ่งบอกสิ่งใด ลงท้ายเขาก็ได้แต่ส่ายหน้า


“สำหรับตอนนี้ พวกคุณเข้าไปอยู่ในมิติลี้ลับของผมก่อน ไม่ว่าเส้นทางที่นำไปสู่วิหารจะอยู่ภายในปล่องภูเขาไฟนี้หรือไม่ ผมก็ต้องตรวจสอบ”


รู้ดีว่าเขาจะไม่มีทางพบอะไรหากยังอ้อยอิ่งอยู่ตรงนี้ จางเซวียนจึงเก็บอสูรทั้งหมดเข้าสู่รังนางพญามดด้วยการโบกมือ จากนั้นก็กระโจนลงไปในบ่อลาวา


ในเมื่อแม้แต่เปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุดก็ยังไม่อาจแผดเผากายเนื้อของเขา จึงไม่มีทางที่จางเซวียนจะหวาดกลัวลาวาเพียงเท่านี้ ถึงมันจะมีอานุภาพแผดเผาแค่ไหน ความร้อนก็ไม่รบกวนจิตใจของเขาอีกต่อไป


จางเซวียนว่ายลึกลงไปอีกครู่หนึ่ง ไม่ช้า ฉนวนแห่งมิติที่เหมือนกับฉนวนที่อยู่ในอาณาจักรใต้ดินก็ปรากฏตรงหน้า เขาพุ่งเข้าใส่ฉนวนแห่งมิตินั้นโดยไม่ลังเล


ฟึ่บ!


โลกรอบตัวจางเซวียนบิดเบี้ยวไป ทำให้เขาเกิดความมึนงงอยู่ชั่วขณะ เมื่อหายเวียนหัวแล้ว ก็พบว่าตัวเองยืนอยู่บนโลกอีกใบหนึ่งที่ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง


พื้นที่ที่อสูรสวรรค์ทั้ง 5 อาศัยอยู่นั้นเป็นป่าเขียวชอุ่ม แต่ดินแดนที่เขายืนอยู่ตอนนี้คือทะเลทราย ความร้อนที่สุดแสนจะทนทานแผ่ซ่านไปทั่วผิวหน้าของผืนทราย ทั้งโลกดูเหมือนจะถูกปกคลุมด้วย สีสันของทรายที่กว้างไกลไม่มีที่สิ้นสุด มองออกไปสุดลูกหูลูกตา


“นี่คือทางออกที่คุณพูดถึงหรือ?” จางเซวียนถอนหายใจอย่างจนปัญญา


เท่าที่เห็น ดูเหมือนเขากระโจนจากมิติลี้ลับแห่งหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่ง แต่มิติลี้ลับแห่งนี้ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับวิหารแห่งขงจื๊อเลย


เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขามาผิดทาง?


“เอ่อ…”


งูเขียวไม้สวรรค์ก็งงงันกับทัศนียภาพที่เปลี่ยนไป มันไม่คิดว่าจะมีโลกแบบนี้อยู่เบื้องหลังฉนวนที่พวกมันอารักขามากว่า 400 ปี


แน่นอนว่าพวกมันไม่เคยเห็นที่นี่มาก่อน


งูเขียวไม้สวรรค์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเสนอแนะ “นายท่าน ผมสำรวจผืนป่าจนทั่วแล้ว และนี่คือทางออกเพียงทางเดียว เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเป็นบททดสอบอีกบทหนึ่งที่ปรมาจารย์ขงสร้างขึ้น บางทีคุณอาจจะต้องค้นหาทางออกอีกทางหนึ่งเพื่อเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อ”


“ผมก็คิดว่านั่นคงเป็นความเป็นไปได้เพียงข้อเดียว…” จางเซวียนส่ายหน้าอย่างจนปัญญาอีกครั้ง


เขาไม่อาจหาคำอธิบายใดที่มีเหตุผลกว่านี้ได้


บางทีอาจจะถูกต้องกว่าถ้าจะมองว่ามิติลี้ลับแห่งนี้เป็นคุกที่มีปราการหลายชั้น ต่อเมื่อเขาพบทางออกแล้วเท่านั้นถึงจะสามารถเข้าสู่ชั้นต่อไปได้ เขาจะต้องผ่านชั้นต่างๆอีกมากมายกว่าจะเข้าถึงวิหารแห่งขงจื๊อ


แน่นอนว่าจางเซวียนรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าการเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อไม่ใช่ภารกิจง่ายดาย เขารีบ ตัดสินใจหาทิศทางโดยใช้การกวัดแกว่งหอกสวรรค์กระดูกมังกร จากนั้นก็ขี่หลังของงูเขียวไม้สวรรค์และมุ่งหน้าไป


ไม่มีผู้คนปรากฏให้เห็นแม้แต่คนเดียวภายในทะเลทรายกว้างใหญ่ หลังจากเดินทางไปราว 2 ชั่วโมง ทั้งจางเซวียนและงูเขียวไม้สวรรค์ก็ออกจะเวียนหัวเล็กน้อย ริมฝีปากของพวกเขาเริ่มแตกระแหงจากความแห้งผาก


มีบางอย่างผิดปกติ…จางเซวียนคิดขณะขมวดคิ้ว


ด้วยระดับวรยุทธของทั้งตัวเขาและงูเขียวไม้สวรรค์ อย่าว่าแต่ทะเลทรายเลย ร่างของพวกเขาจะไม่มีทางได้รับผลกระทบอะไรทั้งนั้นต่อให้นอนหลับอยู่บนผิวลาวา เป็นเรื่องไม่น่าเชื่อที่ทั้งคู่จะเกิดอาการขาดน้ำหลังจากเดินทางไปได้เพียง 2 ชั่วโมง


จางเซวียนศึกษามิติลี้ลับอย่างถี่ถ้วน และค้นพบอย่างรวดเร็วว่าโครงสร้างของมันแตกต่างจากมิติลี้ลับที่อื่นมาก มันถูกออกแบบอย่างชาญฉลาดให้กลายเป็นค่ายกลที่สามารถดูดน้ำและพลังชีวิตออกจากร่างของผู้ที่เข้ามา เขาหันไปพูดกับงูเขียวไม้สวรรค์ “ดูเหมือนที่นี่จะไม่ใช่ทะเลทรายธรรมดา เราต้องรีบหาทางออกให้ได้โดยเร็ว ไม่อย่างนั้นต้องตายที่นี่แน่!”


ขณะที่พูด เขาก็นำหยดน้ำทิพย์ที่เก็บไว้ในแหวนเก็บสมบัติออกมาดื่ม มันช่วยดับความกระหายและคืนชีวิตชีวาให้กับร่างกายของเขา จางเซวียนยื่นน้ำทิพย์ให้งูเขียวไม้สวรรค์ดื่มด้วยก่อนจะมุ่งหน้าต่อไป


หลังจากเดินทางไปอีก 1 ชั่วโมง เขาก็พบรอยเท้าบนผืนทราย


“มันเป็นรอยเท้ามนุษย์ เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีมนุษย์คนอื่นเข้ามาที่มิติลี้ลับแห่งนี้และพบทางออกแล้ว?” จางเซวียนขมวดคิ้วด้วยความสงสัย


เขาต้องรับมือกับอสูรผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 5 กว่าจะหาทางมาถึงที่นี่ได้ และตำแหน่งของทางออกนั้นก็แสนลึกลับ ซ่อนอยู่ท่ามกลางบ่อลาวา พูดตามตรงก็คือการที่คนอื่นๆจะค้นพบสถานที่นี้คงต้องใช้เวลาไม่น้อย ถือเป็นเรื่องประหลาดทีเดียวที่พบรอยเท้าใหม่ๆท่ามกลางผืนทราย


เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีใครบางคนมาถึงบริเวณนี้ก่อนหน้าเขา?


“ไปดูกันเถอะ!”


จางเซวียนรีบเปิดใช้งานดวงตาหยั่งรู้และแกะรอยตามรอยเท้านั้นไป


ไม่ช้า เขาก็พบชายกลุ่มหนึ่งอยู่ตรงหน้า มีกระแสพลังปราณอันทรงพลังแผ่ออกไปโดยรอบ ดูเหมือนพวกเขากำลังต่อสู้กับอะไรบางอย่าง


เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ก็พบว่าทั้งกลุ่มเป็นชายจำนวน 18 คน ทุกคนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าแตกต่างกันไป คนที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มเป็นนักรบขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณ


พวกเขาต่างมีใบหน้าซีดเผือด ริมฝีปากแห้งผาก ดูจะอยู่ในสภาพย่ำแย่กว่าที่จางเซวียนเป็นอยู่


สิ่งที่ทั้งกลุ่มกำลังสู้รบด้วยนั้นคือยักษ์ตนหนึ่งที่ก่อตัวขึ้นจากทราย มันไม่มีรูปร่างที่ชัดเจน แต่รังสีอันทรงพลังที่มันแผ่ออกมานั้นบ่งบอกถึงพละกำลังที่เทียบเท่ากับนักรบชั่วกัลปาวสานขั้นต้น


ก็เพราะเหตุนี้ที่แม้พวกเขาจะมีกันถึง 18 คน แต่ก็ยังเผชิญหน้ากับมันด้วยความยากลำบาก


“จัดการเลย!”


รู้ดีว่าอาจได้ข้อมูลสำคัญจากชายกลุ่มนี้ จางเซวียนจึงชักหอกสวรรค์กระดูกมังกรออกมาและขว้างมันเข้าใส่ยักษ์ที่ก่อตัวขึ้นจากทรายตนนั้น


ราวกับการพุ่งแหลน หอกสวรรค์กระดูกมังกรพุ่งตรงเข้าใส่ยักษ์ที่ก่อตัวจากผืนทรายตนนั้น รังสีของมันดับวูบไปทันที


มันสลายตัวกลายเป็นกองทรายสีเหลืองที่กองอยู่กับพื้น


“ขอบคุณมากที่ช่วยชีวิตพวกเราไว้!”


เห็นจางเซวียนเอาชนะยักษ์ตนนั้นได้ ทั้งกลุ่มถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะหันมาโค้งคำนับให้จางเซวียน


จางเซวียนเห็นสีหน้าอ่อนล้าของพวกเขา ชัดเจนว่าคนเหล่านี้อยู่ที่นี่มาอย่างน้อยก็หลายชั่วโมงแล้ว


เขาตั้งคำถามด้วยความสงสัย “พวกคุณมาถึงที่นี่ได้อย่างไร?”


“พวกเราสลบไปหลังจากวิหารแห่งขงจื๊อแผ่ลำแสงเจิดจ้าออกมา รู้สึกตัวอีกทีก็มาอยู่ที่นี่แล้ว…ผู้อาวุโส ทำไมคุณถึงตั้งคำถามแบบนี้?” นักรบขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณคนหนึ่งตั้งคำถาม


ดูเหมือนเขาจะประหลาดใจเล็กน้อยกับคำถามแปลกๆของจางเซวียน



ตอนที่ 1711 ยักษ์ผืนทราย

“พอตื่นขึ้นมา พวกคุณก็อยู่ที่นี่แล้วหรือ?” จางเซวียนชะงัก


เขารู้สึกตัวตื่นในผืนป่าที่ปกครองโดย 5 ผู้ยิ่งใหญ่ แต่คนเหล่านี้รู้สึกตัวตื่นที่นี่ เป็นไปได้หรือไม่ว่า ผู้คนที่เข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อนั้นไม่ได้ถูกส่งทะลุมิติแบบสุ่มไปยังพื้นที่ต่างกันเท่านั้น แต่ยังถูกส่งทะลุมิติแบบสุ่มไปยังมิติลี้ลับที่ต่างกันด้วย?


ไม่น่าแปลกใจแล้วที่เราไม่รู้สึกว่าหลัวลั่วชิงหรือคนอื่นๆที่เราคุ้นเคยอยู่บริเวณนี้เลย!


ก่อนหน้านี้ จางเซวียนพบนักรบจำนวนหนึ่งในผืนป่า แต่ก็ไม่พบใครที่รู้จักหรือคุ้นเคย ตอนนั้นเขาไม่ได้คิดมาก แต่มาตอนนี้ก็ชัดเจนแล้วว่ามีบางอย่างแปลกไป


ดูเหมือนวิหารแห่งขงจื๊อจะซับซ้อนกว่าที่เขาคาดการณ์เอาไว้มาก


“ยักษ์ผืนทรายตนนั้นคืออะไร? ในเมื่อพวกคุณอยู่ที่นี่มาหลายชั่วโมงแล้ว รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติบ้างหรือเปล่า?” จางเซวียนถามต่อ


ผืนป่าที่เขาผ่านมาก่อนหน้านี้เต็มไปด้วยทรัพย์สมบัติและ ‘สภาวะครูบาอาจารย์’ ที่สามารถยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของนักรบได้ พูดอีกอย่างก็คือ ดูเหมือนทะเลทรายแห่งนี้จะเป็นสถานที่ที่ใช้ท้าทายความอดทนของนักรบ พื้นที่หนึ่งเขียวชอุ่ม ส่วนอีกที่หนึ่งแห้งผาก ช่างเป็นโลกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง!


แต่ในเมื่อทุกคนถูกส่งทะลุมิติแบบสุ่มไปยังมิติลี้ลับที่แตกต่างกัน ก็น่าจะมีทางออกที่นำเขาไปสู่มิติลี้ลับที่อื่นๆได้


“ยักษ์ผืนทรายตนนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในทะเลทรายแห่งนี้ พวกเราปะทะกับมันหลังจากเดินทางมาได้ราว 4 ชั่วโมง และมันเข้าโจมตีทันทีที่เห็นพวกเราปรากฏตัว…ถ้าไม่ได้คุณช่วยไว้ พวกเราคงพ่ายแพ้ไปแล้ว” นักรบขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณคนหนึ่งบอกเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้จางเซวียนรับรู้


“ส่วนความผิดปกติ…ผมเกรงว่าจะไม่พบอะไรทำนองนั้น แต่พวกเราเจอกับนักรบ 2-3 กลุ่มในระหว่างการเดินทาง ดูเหมือนพวกเขากำลังตามหาโอเอซิสแห่งหนึ่ง ผมไม่แน่ใจนักว่าพวกเขาพบมันหรือไม่ แต่เราไม่เจออะไรทำนองนั้นเลยตลอดการเดินทางของเรา…”


“โอเอซิส?”


คำนั้นทำให้จางเซวียนตาโต


จริงด้วย! ในเมื่อมีทะเลทราย ก็ต้องมีโอเอซิสอยู่ที่ไหนสักแห่ง


เป็นไปได้ว่าทางออกน่าจะอยู่ที่โอเอซิสนั่น!


จางเซวียนพยักหน้าอย่างยินดีปรีดาที่พบเงื่อนงำที่เขากำลังตามหา จากนั้นก็หันกลับไปถามนักรบขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณคนหนึ่ง “เมื่อครู่นี้คุณปะทะกับยักษ์ผืนทรายได้อย่างไร?”


“พวกเรากำลังพักผ่อนเพื่อคลายความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าและดับความกระหาย ก็พอดีกับที่เจ้ายักษ์ใหญ่ตนนั้นปรากฏตัวและเข้าโจมตีเรา” นักรบขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณคนนั้นตอบ


“คุณกำลังพยายามดับความกระหาย?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


ถ้ามีปัจจัยอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับสิ่งนั้น ก่อนหน้านี้เขาก็ดื่มหยดน้ำทิพย์เช่นกัน แต่ยักษ์ผืนทรายก็ไม่ปรากฏตัว


“ใช่แล้ว แต่ดูเหมือนจะมีบางอย่างที่แปลกประหลาดมากเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ คือไม่ว่าพวกเราจะดื่มน้ำมากสักแค่ไหน ก็ไม่อาจดับความกระหายได้เลย กลับตรงกันข้าม ยิ่งดื่มพวกเราก็ยิ่งอ่อนล้า” นักรบขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณคนนั้นตอบด้วยสีหน้าเจื่อนๆ


“การดื่มน้ำไม่ช่วยอะไร?” จางเซวียนงุนงง เขาสะบัดข้อมือและนำน้ำเต้าลูกหนึ่งที่บรรจุน้ำออกมา เมื่อจิบดู ก็พบว่าริมฝีปากของเขาแห้งผากยิ่งกว่าเดิม ราวกับมีใครสุมเพลิงไว้ในร่างกาย ทำให้มัน มอดไหม้และเหี่ยวแห้งไปทีละน้อย


จางเซวียนเก็บน้ำเต้าเข้าสู่แหวนเก็บสมบัติและนำหยดน้ำทิพย์ที่เขาเก็บมาจากป่าผืนนั้นออกมา เมื่อจิบเข้าไป ก็รู้สึกได้ว่าจุดชีพจรทุกจุดคลายความตึงเครียดลง ความรู้สึกแห้งผากที่ลิ้นบรรเทาเบาบางลงไป ทำให้เขาสดชื่นขึ้น


“เข้าใจแล้ว…” จางเซวียนพยักหน้า


เท่าที่เห็น ดูเหมือนน้ำจะไม่มีประโยชน์ที่นี่ สิ่งเดียวที่จะคืนความสดชื่นให้กับร่างกายได้คือหยดน้ำทิพย์!


“ผู้อาวุโส คุณมีหยดน้ำทิพย์ด้วย คุณจะ…แบ่งปันให้พวกเราสักหน่อยได้ไหม?”


แม้ในกลุ่มนั้นจะไม่มีใครแข็งแกร่งเท่ากับจางเซวียน แต่พวกเขาก็เป็นผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดของทวีปแห่งปรมาจารย์ ด้วยสายตาอันเฉียบแหลม ทุกคนต่างเห็นว่าริมฝีปากของจางเซวียนแห้งผากหลังจากจิบน้ำ แต่เมื่อจิบหยดน้ำทิพย์ ทุกอย่างก็กลับคืนสู่สภาวะปกติ


เห็นได้ชัดว่ามีเพียงการดื่มหยดน้ำทิพย์เท่านั้นที่จะช่วยคลายความกระหายและบรรเทาความเหนื่อยล้าของพวกเขาได้!


“พวกคุณอยากได้หยดน้ำทิพย์หรือ? ผม…”


เพราะก่อนหน้านี้จางเซวียนเก็บหยดน้ำทิพย์มามากมาย เขาจึงเต็มใจจะมอบให้กับสมาชิกคนอื่นๆในกลุ่ม แต่แล้วความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามา จึงถามว่า “ขอเวลาผมสักครู่ก่อน เมื่อครู่นี้คุณบอกว่ายักษ์ผืนทรายเข้าโจมตีคุณขณะที่คุณกำลังดื่มน้ำ ใช่ไหม?”


ทุกคนพยักหน้า


“ไม่ทราบว่าคุณจะช่วยจำลองสถานการณ์ตอนที่คุณดื่มน้ำแบบเมื่อครู่นี้อีกครั้งได้ไหม? เก็บให้หมดทุกรายละเอียดนะ ถ้าเราดึงดูดยักษ์ผืนทรายมาได้อีกตนหนึ่ง ก็มีโอกาสที่เราจะหนีรอดจากทะเลทรายแห่งนี้ได้” จางเซวียนสั่งการ


จางเซวียนไม่คิดว่ายักษ์ผืนทรายจะอ่อนแอถึงขนาดเสียชีวิตจากการขว้างหอกเพียงครั้งเดียวของเขา ในเมื่อทะเลทรายแห่งนี้กว้างใหญ่มาก ก็คงโง่เง่าเต็มทีหากคิดว่าจะสามารถพบโอเอซิสได้ด้วยการตระเวนท่องไปอย่างไร้จุดหมาย การตัดสินใจที่ชาญฉลาดกว่าคือการพึ่งพาเผ่าพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในทะเลทรายแห่งนี้


แต่ปัญหาก็คือเขาจะต้องดึงดูดยักษ์ผืนทรายให้ได้สักตนหนึ่งก่อน


ข้อเท็จจริงที่ว่าเขาเดินทางมากว่า 2 ชั่วโมงแล้ว แต่ไม่พบยักษ์ผืนทรายสักตัว ก็แปลว่าจะต้องมีกลไกบางอย่างที่ดึงดูดมันให้ปรากฏ


“เอ่อ…” ในกลุ่มนั้น ไม่มีใครที่เป็นคนโง่เง่า เมื่อได้ยินคำพูดของจางเซวียน พวกเขาก็นัยน์ตาเบิกโพลงอย่างนึกได้และพยักหน้า “ได้สิ!”


จางเซวียนนำหอกสวรรค์กระดูกมังกรออกมาและปกปิดรังสีของเขาไว้ ทำให้ดูเหมือนว่าเป็นแค่นักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติธรรมดาคนหนึ่ง


ฟึ่บ!


หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น เขาก็หันไปมองทั้งกลุ่มและสั่งการ นักรบคนหนึ่งรีบสะบัดข้อมือและนำน้ำเต้าลูกหนึ่งออกมา


ด้วยระดับวรยุทธของคนกลุ่มนี้ ไม่มีใครที่ไม่มีแหวนเก็บสมบัติ ทุกคนมีน้ำและอาหารมากพอสำหรับการดำรงชีวิตระยะยาวเก็บไว้ในแหวนเก็บสมบัติของพวกเขา


นักรบคนนั้นดื่มน้ำเข้าไปอึกใหญ่ แต่ยิ่งดื่มมากเท่าไหร่ ร่างกายของเขาก็ดูจะแห้งเหี่ยวขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายเขาก็ขว้างน้ำเต้าลงไปบนผืนทรายด้วยความสิ้นหวัง


ฉ่าาาาาา!


เมื่อน้ำจากน้ำเต้าไหลผ่านผืนทราย ก็ราวกับมีใครหยดน้ำลงไปบนน้ำมันเดือดๆ เกิดเสียงฉี่ฉ่าดังไปทั่วทะเลทรายแห่งนั้น พร้อมกับควันโขมงสีขาวที่อบอวลอยู่ในอากาศ


ตึ้ง! ตึ้ง! ตึ้ง!


ขณะที่ควันสีขาวลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนก็พลันได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งร้อนดังมาแต่ไกล ยักษ์ผืนทรายขนาดมหึมา 2 ตนกำลังพุ่งเข้ามาหาพวกเขา!


“พวกมันทั้งคู่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสาน ขั้นต้น…ผู้อาวุโส, คุณต้องปกป้องพวกเรานะ!”


ทั้งกลุ่มหน้าถอดสีด้วยความพรั่นพรึง


เป็นเพราะความต้องการของผู้อาวุโสคนนี้ที่ทำให้พวกเขาล่ออีกฝ่ายเข้ามา แม้ทั้งกลุ่มจะมีจำนวนมากกว่า แต่ก็รู้ว่าไม่อาจรับมือกับยักษ์ผืนทรายถึง 2 ตัวได้ด้วยประสิทธิภาพการต่อสู้ที่มีอยู่


“วางใจเถอะ!” จางเซวียนตอบอย่างมั่นใจ


แทนที่จะชักหอกสวรรค์กระดูกมังกรออกมา เขากลับกระทืบเท้าลงบนผืนทรายอันร้อนฉ่าอย่างแรงและพุ่งเข้าใส่ยักษ์ผืนทรายตนหนึ่ง


จางเซวียนกางฝ่ามือแล้วกดลงไปบนตัวมันอย่างแรง


ฟึ่บ!


พลังปราณหนักหน่วงห่อหุ้มร่างของยักษ์ผืนทรายตนนั้นไว้


ฮื่อออออ!


ดูเหมือนยักษ์ผืนทรายจะมีความคิดและจิตใจเป็นของตัวเอง มันรู้ตัวทันทีว่ากำลังเสียเปรียบ และเงื้อฝ่ามือขึ้นเพื่อทำลายปราการพลังปราณที่อยู่รอบตัว


เกิดพายุเกรี้ยวกราดกวาดพื้นที่โดยรอบ ผืนทรายฟุ้งกระจายขึ้นกลางอากาศ


แน่นอนว่ายักษ์ผืนทรายเป็นคู่ต่อสู้ที่ทรงพลังไม่เบา ไม่น่าแปลกใจที่นักรบทั้งกลุ่มซึ่งมีถึง 18 คน จะต้องผนึกกำลังกันเพื่อรับมือกับมัน แต่เพียงเท่านี้ก็ไม่ถือว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมกับจางเซวียน


ยักษ์ผืนทรายปล่อยหมัดเข้าใส่ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ไม่อาจทำลายปราการพลังปราณที่ล้อมรอบตัวมันไว้ได้


ส่วนยักษ์ผืนทรายตนที่สองก็ดูเหมือนจะรู้ว่าจางเซวียนเป็นคู่ต่อสู้ที่ไร้เทียมทาน จึงพุ่งเข้าใส่อย่างรวดเร็วเพื่อช่วยสหายของมัน


“อย่าห่วงน่ะ ฉันไม่คิดจะปล่อยแกไว้ตัวเดียวหรอก!” จางเซวียนหัวเราะหึๆขณะสะบัดฝ่ามืออีกข้างเข้าใส่ยักษ์ผืนทรายตนที่ 2


ยักษ์ผืนทรายตนนั้นทรุดฮวบลงกับพื้นทันที และไม่อาจขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้


จางเซวียนจ้องหน้ายักษ์ผืนทรายทั้ง 2 ตนที่อยู่ตรงหน้าเขนอย่างเย็นชาและคำราม “ยอมจำนนให้ฉัน แล้วฉันจะไว้ชีวิตแก!”


ฮื่อออออ!


ยากที่จะบอกได้ว่ายักษ์ผืนทรายทั้งสองตนเข้าใจคำพูดของเขาจริงๆหรือไม่ แต่มันปล่อยเสียงคำรามโหยหวนออกมา และยังคงตะกุยตะกายปราการพลังปราณที่ล้อมรอบตัวมันต่อไป


“ดูเหมือนพวกแกจะไม่ยอมจำนนให้ฉันจนกว่าฉันจะใช้กำลังสักหน่อย…ดีล่ะ งั้นก็ลิ้มรสฝีมือของฉันก็แล้วกัน!”


เมื่อเห็นว่ายักษ์ 2 ตนไม่สนใจเขา จางเซวียนหรี่ตา


เขากระดิกนิ้วขณะปล่อยกระแสดาบฉีเข้าใส่ยักษ์ผืนทราย 2 ตนนั้น


ก่อนจะทำให้อสูรสักตัวยอมจำนน นักรบจะต้องสำแดงพละกำลังที่เหนือชั้นกว่าอสูรตนนั้นเสียก่อน เพื่อให้อสูรรู้ตัวว่าการต้านทานหรือความดื้อดึงใดๆไม่มีประโยชน์ ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้อสูรยอมจำนนได้


นี่คือกระบวนการที่เหล่านักฝึกอสูรโดยทั่วไปใช้กัน คือเล่นงานอสูรเสียก่อนที่จะทำให้มันยอมจำนน แม้ยักษ์ผืนทรายจะดูไม่ค่อยเฉลียวฉลาดสักเท่าไหร่ แต่ก็ดูเหมือนว่าพวกมันจะเป็นไปตามกระบวนการนี้เช่นกัน


ฟิ้วววว!


จางเซวียนตั้งใจจะใช้กระแสดาบฉีของเขาสั่งสอนบทเรียนให้กับยักษ์ผืนทราย แต่ทันทีที่กระแสดาบฉีพาดผ่านลำตัวของพวกมัน พวกมันก็แหลกสลายไปทันที


ฟึ่บ!


ในชั่วพริบตา ยักษ์ทั้ง 2 ตนก็กลายเป็นกองทรายสีเหลือง


“อะไรกันนี่…” จางเซวียนอ้าปากค้าง



จางเซวียนวางแผนจะใช้ความสำเร็จในการทำให้อสูรในป่ายอมจำนนมาใช้กับยักษ์ผืนทราย เพื่อให้มันนำทางเขาไปสู่โอเอซิส ไม่คิดเลยว่ายักษ์ผืนทรายจะเปราะบางถึงขนาดที่การปล่อยกระแสดาบฉีเพียงครั้งเดียวก็ทำให้มันแหลกสลายกลายเป็นกองทราย


ต่อให้ตัวเขาก็ไม่อาจทำให้ผืนทรายนี้ก่อตัวกลับคืนเป็นยักษ์ผืนทรายได้!


“จิตวิญญาณของมันดูจะอ่อนแอไปหน่อยไหม?” จางเซวียนนวดหว่างคิ้วอย่างจนปัญญา


เขาคิดว่าเจ้าสองตนนี้ อย่างน้อยก็น่าจะแข็งแกร่งพอๆกับนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานทั่วไป ไม่นึกเลยว่าพวกมันจะพ่ายแพ้อย่างง่ายดาย


ในแง่ของจิตวิญญาณ พวกมันอ่อนแอกว่าของล้ำค่าที่เขาเคยร่ายมนต์ใส่มาก


“ผมเสียใจด้วยที่ต้องรบกวนคุณ แต่คุณจะช่วยเรียกยักษ์ผืนทรายมาอีกสัก 2-3 ตัวได้ไหม?” จางเซวียนหันไปมองเหล่านักรบด้วยสีหน้าที่ออกจะละอายใจ


การที่คนเหล่านี้จะล่อยักษ์ผืนทรายให้ปรากฏตัวได้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เขากลับสังหารมันก่อนที่จะทันได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์…เขาต้องจดจำเรื่องนี้ไว้ให้ดีเพื่อไม่ให้ทำผิดพลาดซ้ำสอง


“ได้สิ!” ทุกคนพยักหน้า


นักรบอีกคนหนึ่งก้าวออกมาพร้อมกับน้ำเต้า 1 ลูก แต่คราวนี้เขาขว้างมันลงกับพื้นโดยไม่ยอมดื่ม


เมื่อน้ำไหลซึมลงสู่ผืนทราย ควันสีขาวก็ลอยโขมง ผืนทรายส่งเสียงฉี่ฉ่า แต่คราวนี้ยักษ์ผืนทรายไม่ปรากฏตัวแม้พวกเขาจะรออยู่แสนนาน


“ผมคิดว่ามันจะปรากฏตัวก็ต่อเมื่อคุณดื่มน้ำเท่านั้น” จางเซวียนพูด


“ได้!” นักรบผู้นั้นส่ายหน้าอย่างจนปัญญา เขานำน้ำเต้าที่บรรจุน้ำออกมาอีกลูกหนึ่งและจิบเข้าไป 2-3 อึก


ก่อนหน้าที่จะดื่มน้ำ เขายังคงสบายดี แต่ทันทีที่น้ำเข้าสู่ริมฝีปาก ใบหน้าของเขาก็แดงก่ำจนดูเหมือนควันจะลอยโขมงออกจากศีรษะได้ นักรบผู้นั้นพยายามระงับความเวียนหัวไว้และโยนน้ำเต้าทิ้งอีกครั้ง


ฉ่าาาาา!


น้ำไหลซึมลงสู่ผืนทราย และก็เหมือนกับคราวก่อน ยักษ์ผืนทราย 2 ตนปรากฏตัว


ทั้งคู่เป็นนักรบชั่วกัลปาวสานขั้นต้น และดูเหมือนจะมีสติปัญญาไม่สูงนัก จางเซวียนสูดหายใจลึกแล้วพุ่งเข้าใส่ยักษ์ผืนทรายทั้ง 2 ตนอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาไม่กล้าปลดปล่อยพละกำลังมากเกินไป โดยตั้งใจจะทำให้มันติดกับแทน


ยักษ์ผืนทรายทั้ง 2 ตนยังคงฉีกทึ้งฉนวนที่กักขังมันไว้ แต่ก็ไม่อาจปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระได้


“การค้นหาจิตวิญญาณ!”


คราวนี้ แทนที่จะพยายามทำให้ยักษ์ผืนทรายยอมจำนน จางเซวียนเลือกใช้ศิลปะแห่งจิตวิญญาณของเขา


จากการอ่านหนังสือทั้งหมดในตระกูลเจียงและการสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของจิตวิญญาณ จางเซวียนมีความเชี่ยวชาญอย่างสูงในเทคนิคของเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ อย่างเช่นการค้นหาจิตวิญญาณที่เขากำลังใช้อยู่


เพียงแต่เทคนิคนี้ทำลายความกลมกลืนและความเป็นหนึ่งเดียวของโลก เขาจึงพยายามหลีกเลี่ยงไม่ใช้มัน เว้นเสียแต่จะจำเป็นจริงๆ


ยักษ์ผืนทรายที่อยู่ตรงหน้าเขาดูเหมือนจะไม่ใช่สิ่งมีชีวิตทั่วไป จางเซวียนจึงไม่ลังเลที่จะใช้การค้นหาจิตวิญญาณกับมัน


ฟึ่บ!


จิตใต้สำนึกของจางเซวียนดำดิ่งเข้าสู่ร่างที่ก่อตัวขึ้นจากผืนทรายนั้น ครู่ต่อมา เขาก็พบว่ารอบกายมีแต่ความมืดมิด เขาเห็นเมล็ดลำแสงที่ฉายแสงอยู่อย่างเลือนรางท่ามกลางความมืดอันล้ำลึกไม่มีที่สิ้นสุด


“นี่มัน…ศิลปะการร่ายมนต์พลิกฟื้นจิตวิญญาณ?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


เขาเคยคิดว่ายักษ์ผืนทรายดูจะงี่เง่าไปสักหน่อยสำหรับนักรบขั้นชั่วกัลปาวสาน แต่ใครจะไปคิดว่าแท้ที่จริงแล้วมันคือผลงานของการร่ายมนต์พลิกฟื้นจิตวิญญาณ!


นั่นอธิบายได้ว่าทำไมพวกมันถึงอ่อนแอมากแม้จะมีวรยุทธสูงระดับนี้ เป็นเรื่องธรรมดาที่สติปัญญาของสิ่งมีชีวิตที่ได้รับการร่ายมนต์จะต่ำกว่านักรบทั่วไป ทำให้ประสิทธิภาพการต่อสู้ของพวกมันอ่อนด้อยตามไปด้วย


ตอนที่จางเซวียนเผชิญหน้ากับสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ในเมืองหลวงแห่งสมาพันธ์นานาจักรวรรดิ หวังหยิ่งได้ร่ายมนต์ใส่สภาปรมาจารย์ทุกแห่ง แต่ประสิทธิภาพโดยรวมของกองกำลังนั้นก็ยังมีจำกัด


“เดี๋ยวก่อน…ยักษ์ผืนทรายพวกนี้ก่อตัวขึ้นจากทรายธรรมดา การทำให้ทรายธรรมดามีประสิทธิภาพการต่อสู้เทียบเท่ากับนักรบชั่วกัลปาวสานขั้นต้นได้…” จางเซวียนตัวแข็งขึ้นมาทันที


ยักษ์ผืนทรายพวกนี้อาจงี่เง่าไปสักหน่อย แต่พละกำลังที่พวกมันมีอยู่ก็ถือว่าไม่น้อย ไม่อย่างนั้น นักรบทั้งกลุ่มที่มีถึง 18 คนคงไม่ต้องรับมือกับมันด้วยความยากลำบาก


เขาสังหารพวกมันไป 3 ตัวแล้ว และหลังจากที่จิตวิญญาณของมันเสื่อมสลายไป มันก็แปรสภาพกลับคืนเป็นผืนทรายธรรมดาสามัญทันที พูดอีกอย่างก็คือ มีบางอย่างอยู่ในผืนทรายแห่งนี้ที่สามารถร่ายมนต์ใส่ผืนทรายและนำความแข็งแกร่งที่เทียบเท่ากับนักรบชั่วกัลปาวสานมาสู่มันได้


เรื่องนี้ถือว่าน่าสะพรึงไม่น้อยทีเดียว!


ในฐานะผู้ฝึกฝนศิลปะการร่ายมนต์พลิกฟื้นจิตวิญญาณเทียบฟ้า จางเซวียนมั่นใจว่าความสามารถในการร่ายมนต์ของเขาเหนือชั้นอย่างไม่มีใครเทียบได้ ต่อให้เปรียบเทียบกับหวังหยิ่งซึ่งเป็นถึงประธานสมาคมผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณสำนักงานใหญ่ก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็รู้ดีว่าขีดจำกัดของความสามารถในการเรียกจิตวิญญาณของเขาก็ยังมีอยู่ สำหรับสิ่งที่ไร้รูปร่างที่แน่นอน การร่ายมนต์ของเขาไม่น่าจะใช้ได้ผล อย่าว่าแต่จะมอบพละกำลังระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ให้มันเลย!


ฟึ่บ!


เมื่อกำลังครุ่นคิดหนัก จางเซวียนก็สูญเสียการควบคุมพลังจิตวิญญาณของเขาไปครู่หนึ่ง แล้วยักษ์ผืนทราย 2 ตนก็สลายตัวอย่างรวดเร็ว ร่างของมันกลายสภาพเป็นทรายสีเหลืองหนึ่งกอง


จางเซวียนเข้าไปพิจารณากองทรายที่เหลืออยู่อย่างถี่ถ้วน พวกมันเป็นทรายธรรมดา ไม่มีอะไรเจือปนอยู่ในนั้น


จากนั้น เขาก็สำรวจบริเวณโดยรอบพร้อมกับหรี่ตา


เป็นอย่างที่เขาคาดไว้


ถ้ายักษ์ผืนทรายเหล่านี้เป็นผลงานจากการร่ายมนต์พลิกฟื้นจิตวิญญาณ ก็เป็นไปได้ว่าผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณที่ทำการร่ายมนต์ใส่มันจะต้องรู้ว่าทางออกอยู่ที่ไหน


หรือพูดอีกอย่างก็คือ กุญแจที่นำไปสู่การเดินทางออกจากมิติลี้ลับแห่งนี้อยู่ที่ว่าเขาจะหาตัวผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณพบหรือไม่


ว่าแต่…เขาจะพบตัวผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณคนนั้นได้อย่างไรล่ะ?


จางเซวียนครุ่นคิดอย่างหนัก แต่แล้ว ครู่ต่อมาเขาก็พลันนึกได้


“ถ้าเราจำไม่ผิด ยักษ์ผืนทรายดูจะปรากฏตัวมาจากทิศทางนั้น เป็นไปได้ว่าผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณจะต้องอยู่ทางนั้นเหมือนกัน!”


เหล่าผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณจะต้องสื่อสารโดยตรงกับวัตถุที่เขาต้องการร่ายมนต์ใส่ แม้จางเซวียนจะไม่รู้ว่าผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณที่อาศัยอยู่ในทะเลทรายแห่งนี้จะใช้วิธีการแบบเดียวกับเขาหรือไม่ แต่ทิศทางที่ยักษ์ผืนทรายปรากฏตัวขึ้นก็พอจะบอกเงื่อนงำอะไรบางอย่างได้


“ทุกคน ตามผมมา!”


จางเซวียนนำทางไปสู่ทิศที่ยักษ์ผืนทรายปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่ลังเล


หลังจากเดินทางไปได้ราว 10 นาที เขาก็หยุดกึก


พื้นที่โดยรอบไม่มีอะไรแตกต่างจากเดิม สิ่งที่เห็นมีเพียงผืนทรายสีเหลือง


จางเซวียนมองไปรอบๆตัว แต่ก็หาเงื่อนงำใดๆไม่พบสักอย่าง จึงหันไปสั่งการกับนักรบทั้ง 18 คนว่า “ผมอยากให้คุณเรียกยักษ์ผืนทรายมาอีกตนหนึ่ง…”


เมื่อได้ยินคำขอนั้น นักรบทั้ง 18 คนมีสีหน้าเจื่อนๆ


ไม่เพียงแต่คุณจะทำให้หยดน้ำทิพย์ของพวกเราสูญเปล่า ยังบังคับให้เราต้องดื่มน้ำเพื่อทำให้ตัวเองเกิดสภาวะขาดน้ำด้วย…


คุณรู้หรือเปล่าว่าพวกเราจะตายหากยังต้องกระหายน้ำอยู่แบบนี้?


ถึงทุกคนจะไม่เต็มใจ แต่ก็รู้ดีว่าชายหนุ่มเป็นความหวังเดียวที่จะทำให้พวกเขาออกไปจากดินแดนทุรกันดารแห่งนี้ได้ นักรบอีกคนหนึ่งจึงทำตามกระบวนการเดิมโดยไม่ลังเล


ไม่ช้า ยักษ์ผืนทราย 2 ตนก็วิ่งรี่เข้ามาจากอีกทิศทางหนึ่ง


ยักษ์ผืนทราย 2 ตนนี้แข็งแกร่งกว่าตัวก่อนๆอย่างเห็นได้ชัด แม้ระดับวรยุทธของมันจะยังเป็นแค่นักรบชั่วกัลปาวสานขั้นต้น แต่ประสิทธิภาพการต่อสู้ของมันสูงกว่าตัวเดิมมาก แถมคราวนี้ พวกมันดูจะมีสติปัญญาสูงกว่าเดิมด้วย


รู้ดีว่าไม่มีทางทำให้ยักษ์ผืนทรายยอมจำนนได้ จางเซวียนจึงสังหารพวกมันโดยไม่ลังเล จากนั้นเขาก็มุ่งหน้าไปตามทิศทางที่ยักษ์ผืนทรายปรากฏตัวขึ้นเมื่อครู่ก่อน


เมื่อเดินทางไปได้อีกราว 10 นาที เขาก็สั่งการให้ทั้งกลุ่มทำตามกระบวนการเดิมอีกครั้ง


ยักษ์ผืนทรายอีก 2 ตนปรากฏตัว แต่คราวนี้ประสิทธิภาพการต่อสู้ของมันเพิ่มสูงขึ้นเป็นนักรบชั่วกัลปาวสาน ขั้นกลาง


“ดูเหมือนประสิทธิภาพการต่อสู้ของยักษ์ผืนทรายจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเมื่อเราเริ่มเข้าใกล้ผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณ…” เมื่อเห็นว่าสุดท้ายก็เกิดการเปลี่ยนแปลง จางเซวียนตาโตด้วยความตื่นเต้น


พวกเขาเดินหน้าต่อไปด้วยวิธีการนี้ เมื่อไรก็ตามที่จางเซวียนเกิดความลังเลเรื่องทิศทาง ก็จะหันไปสั่งการทั้งกลุ่มให้ดำเนินกระบวนการดื่มน้ำและโยนน้ำทิ้ง


ด้วยการทำซ้ำอีก 10 ครั้ง ประสิทธิภาพการต่อสู้ของยักษ์ผืนทรายก็เพิ่มสูงขึ้นเป็นนักรบชั่วกัลปาวสาน ขั้นสูง


แต่ดูเหมือนว่าประสิทธิภาพการต่อสู้ของมันจะมาถึงจุดที่ไม่อาจเพิ่มขึ้นไปกว่าเดิมได้อีกแล้ว


“นี่คือระดับความแข็งแกร่งของยักษ์ผืนทรายเมื่อ 10 นาทีก่อน แล้วตอนนี้ความแข็งแกร่งก็ยังคงเท่าเดิม ถ้าผมเชื่อมต่อระหว่างจุดสองจุดที่เราเรียกยักษ์ผืนทรายมา ก็เป็นไปได้ว่าผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณน่าจะอยู่ที่บริเวณใจกลางเส้นตรงนั้น!”


เหล่าผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณจะใช้จิตวิญญาณของพวกเขาเป็นสื่อกลางในการควบคุมของล้ำค่าที่ถูกร่ายมนต์ใส่ และพละกำลังในการควบคุมของพวกเขาจะขึ้นอยู่กับระยะทางระหว่างผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณกับของล้ำค่าชิ้นนั้น ในเมื่อยักษ์ผืนทรายทั้ง 2 ตนมีพละกำลังเท่ากัน ก็หมายความว่า ระยะทางของการควบคุมที่ผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณใช้กับของล้ำค่าที่เขาร่ายมนต์ใส่มีระยะห่างที่เท่ากัน


หรือพูดอีกอย่างก็คือ เป็นไปได้ว่าผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณอยู่ห่างจากทั้ง 2 จุดนี้ในระยะทางที่เท่าๆกัน


ถ้าจะอธิบายให้ง่ายขึ้น ทุกคนจะต้องมุ่งหน้าไปยังจุดศูนย์กลางระหว่างทั้ง 2 จุดที่พวกเขาเรียกยักษ์ผืนทรายมา แล้วเดินทางมุ่งหน้าขึ้นไปหรือไม่ก็หันหลังกลับ แล้วก็จะเจอผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณคนนั้น!


“ไปกันเถอะ!”


เมื่อมั่นใจในทิศทางแล้ว จางเซวียนเดินตรงไปยังจุดศูนย์กลางแล้วเดินทางมุ่งหน้าขึ้นไป


หลังจากนั้นอีกครู่หนึ่ง ขณะที่ทุกคนกำลังจะหมดความอดทน ก็ได้ยินเสียงอุทาน


“ดูนั่น! โอเอซิสอยู่ข้างหน้า”


จางเซวียนรีบหันไปมอง ขณะที่ได้ยินเสียงนั้น เขาก็เห็นพุ่มไม้เขียวชอุ่มโดดเด่นอยู่ท่ามกลางผืนทรายสีเหลืองอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา



ตอนที่ 1713 ทะเลสาบพิสดาร

โอเอซิสแห่งนี้มีขนาดไม่ใหญ่นัก ครอบคลุมพื้นที่ราวหลายสิบหมู่เท่านั้น มีทะเลสาบใสกระจ่างอยู่ใจกลางพื้นที่เขียวชอุ่ม ดูราวกับอัญมณีอันงดงามที่อยู่บนยอดมงกุฎ มีความโดดเด่นจับตามาก ต้นไม้ขนาดใหญ่ขึ้นสูงตระหง่านอยู่บริเวณสองฟากของทะเลสาบ พุ่มไม้เขียวชอุ่มสร้างความสงบเย็นให้กับนักรบที่อาศัยร่มเงาของมัน


“มีโอเอซิสอยู่จริงๆ!”


“น้ำ! ผมอยากดื่มน้ำ!”


เหล่านักรบต่างทนไม่ไหวอีกต่อไป พวกเขารีบพุ่งเข้าหาโอเอซิสที่เห็น


แต่เมื่อเห็นโอเอซิส จางเซวียนก็ครุ่นคิดหนัก เขารีบตรวจสอบพื้นที่โดยรอบก่อนจะเลิกคิ้วด้วยความพรั่นพรึง


“หยุดก่อน! อย่าดื่มน้ำนั่นนะ!” เขาตะโกนขณะรีบเข้าไปยับยั้งคนเหล่านั้นไว้


แต่เพราะความกระหายที่ไม่อาจระงับไว้ได้ เหล่านักรบที่นัยน์ตาแดงก่ำต่างก็พุ่งเข้าใส่ทะเลสาบในช่วงเวลาที่จางเซวียนกำลังครุ่นคิดอยู่ บางคนก็ดื่มน้ำเข้าไปเต็มอึกหรือไม่ก็จิบน้ำเข้าไปแล้ว


เห็นทีท่าแปลกประหลาดของจางเซวียน นักรบคนหนึ่งที่ออกจะสุขุมกว่าคนอื่นๆก็หันมาตั้งคำถาม “ผู้อาวุโส มีอะไรผิดปกติหรือ?”


แม้ชายหนุ่มคนนี้จะทำให้พวกเขาต้องสิ้นเปลืองหยดน้ำทิพย์เพื่อล่อยักษ์ผืนทรายให้ปรากฏตัว แต่ข้อเท็จจริงก็คือเขาได้พาทุกคนมาจนถึงโอเอซิส ทั้งยังแสดงให้เห็นแล้วว่ามีสายตาเฉียบแหลมกว่าพวกเขา บางทีอีกฝ่ายอาจรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงเข้ามายับยั้งทุกคนไว้


“ที่นี่มีบางอย่างแปลกๆ!” จางเซวียนตั้งข้อสังเกตขณะรีบยับยั้งนักรบคนอื่นๆที่ยังไม่ทันได้จิบน้ำเอาไว้ก่อน “เท่าที่ดูจากระยะเวลาที่พวกคุณถูกส่งทะลุมิติเข้ามาที่นี่ ก็น่าจะมีนักรบกลุ่มอื่นๆค้นพบความลับของทะเลทรายแห่งนี้และมาถึงโอเอซิสก่อนหน้านี้แล้ว อันที่จริง รอยเท้าที่อยู่รอบๆก็บ่งบอกว่ามีคนกลุ่มหนึ่งมาถึงที่นี่ก่อนหน้าเรา แล้วพวกเขาหายไปไหน?”


จางเซวียนเสียเวลาอยู่ในป่าหลายชั่วโมงกว่าจะมาถึงทะเลทรายแห่งนี้ แม้ความลับของทะเลทรายจะยังคงไม่ได้รับการเปิดเผย แต่ก็เป็นไปได้ว่าน่าจะมีคนบางกลุ่มที่มาถึงก่อนพวกเขา


อีกอย่าง คนส่วนใหญ่ที่มุ่งหน้าเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อก็จัดได้ว่าเป็นกลุ่มอำนาจหลักของทวีปแห่งปรมาจารย์ ทั้งความเฉลียวฉลาดและสายตาอันเฉียบคมของพวกเขาถือว่าเหนือชั้นกว่านักรบทั่วไป


ว่าแต่…คนพวกนั้นหายไปไหน?


“คุณพูดถูก! มีรอยเท้าที่นำมาสู่โอเอซิสแห่งนี้…” นักรบขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณคนหนึ่งชะงักก่อนจะรีบสำรวจพื้นที่โดยรอบ และพบรอยเท้าตื้นๆอยู่ในบริเวณรอบโอเอซิส แต่โชคร้ายที่รอยเท้าส่วนหนึ่งหายไปหลังจากถูกผืนทรายพัดเข้าปกคลุม


“มหัศจรรย์จริงๆ น้ำนี่ใช้ดื่มได้! ในที่สุดผมก็ไม่ต้องทรมานอีกแล้ว…”


นักรบ 2-3 คนที่พุ่งเข้าไปในโอเอซิสและดื่มน้ำก่อนหน้านี้พากันอุทานด้วยความตื่นเต้น


น้ำที่พวกเขานำติดตัวมาด้วยไม่อาจดับความกระหายได้ มีแต่จะทำให้ร่างกายแห้งผากและร้อนรุ่มกว่าเดิม พวกเขารู้สึกราวกับมีกองเพลิงสุมอยู่ภายใน


“ขอผมลองหน่อย…”


เมื่อได้ยินคำนั้น นักรบคนอื่นๆที่ถูกจางเซวียนยับยั้งไว้ก่อนหน้านี้ก็พุ่งเข้าใส่เพื่อหวังชิมรสชาติของน้ำเช่นกัน แต่ขณะที่พวกเขากำลังจะดื่มน้ำ ชายวัยกลางคนที่ดื่มน้ำเข้าไปเป็นคนแรกก็เริ่มตัวสั่นอย่างรุนแรง ควันสีขาวลอยโขมงออกจากร่างของเขา


“อ๊ากกกก….” เสียงครางด้วยความเจ็บปวดหลุดรอดออกจากลำคอของชายผู้นั้น


ราวกับมีบางอย่างทิ่มแทงลำคอของเขา ทำให้เขาต้องเกลือกกลิ้งไปมาด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัสขณะที่นัยน์ตาแทบปะทุออกจากเบ้าด้วยความพรั่นพรึง


แต่ยิ่งเกลือกกลิ้งมากแค่ไหน ควันก็ยิ่งลอยโขมงออกจากร่างของเขามากขึ้นเท่านั้น ดูเหมือนเขาพร้อมจะกลายร่างเป็นเปลวเพลิงได้ทุกขณะ


“ผม…”


ชายวัยกลางคนไม่ได้เป็นคนเดียวที่ตกเป็นเหยื่อ นักรบอีก 3 คนที่พุ่งเข้าใส่ทะเลสาบเพื่อดื่มน้ำ ก่อนหน้านี้ก็ทรุดฮวบลงกับพื้นเช่นกัน ควันสีขาวลอยโขมงออกจากร่างของพวกเขา ดูเหมือนทุกคนกำลังเผชิญความเจ็บปวดที่แทบไม่อาจทนทานได้


“แย่แล้ว!”


จางเซวียนรีบปล่อยกระแสพลังปราณเทียบฟ้าเข้าสู่ร่างของชายวัยกลางคนเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดของเขา แต่ยังไม่ทันที่พลังปราณเทียบฟ้าจะเข้าถึงตัว ร่างที่กำลังกลิ้งเกลือกไปมานั้นก็ขาดเป็น 2 ท่อน


ฟึ่บ!


ร่างของเขาแหลกสลาย กลายสภาพเป็นกองทรายสีเหลือง


“เฮ้ยยย…”


ด้วยความพรั่นพรึงกับภาพที่เห็นตรงหน้า ทุกคนรีบล่าถอยจากทะเลสาบด้วยใบหน้าซีดเผือด


หากนักรบที่อยู่ตรงหน้าเขาแปรสภาพกลายเป็นเถ้าถ่านหรือเป็นโครงกระดูก พวกเขาก็ยังพอรับได้เพราะตอนที่ทุกคนเลือกเดินทางเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อ ก็ได้บอกตัวเองไว้แล้วว่าอาจไม่มีชีวิตรอดกลับไป แต่ชายวัยกลางคนกลับสลายกลายเป็นผืนทราย มันเกิดอะไรขึ้น?


ต้องเผชิญกับความตายด้วยการกลายร่างเป็นผืนทราย…คงไม่ใช่ว่าทะเลทรายอันกว้างใหญ่ที่อยู่รอบตัวพวกเขาคือสิ่งที่หลงเหลือจากซากศพนับไม่ถ้วนหรอกนะ ใช่ไหม?


ความคิดนั้นทำให้ทุกคนขนลุกขนพอง ความพรั่นพรึงทะลวงลึกเข้าสู่จิตวิญญาณของพวกเขา


“ผู้อาวุโส ได้โปรดช่วยพวกเราด้วย…”


เมื่อเห็นชายวัยกลางคนแปรสภาพเป็นทรายสีเหลือง นักรบอีก 3 คนที่เหลือรีบวิงวอนจางเซวียนด้วยดวงตาที่บ่งบอกความพรั่นพรึง


พวกเขามุ่งหน้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อด้วยความตั้งใจว่าจะฝ่าด่านคอขวดและยกระดับวรยุทธให้ได้ แต่ใครจะไปคิดว่ามันจะนำพาพวกเขาไปสู่กรงเล็บแห่งความตาย?


จางเซวียนก็ผงะกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่รู้ดีว่าไม่ใช่เวลาที่จะมัวจังงัง จึงรีบเดินเข้าหานักรบทั้ง 3 และทาบนิ้วลงไป กระแสพลังปราณเทียบฟ้าไหลเข้าสู่ร่างของทั้ง 3 คนอย่างรวดเร็ว


ทันทีที่พลังปราณของจางเซวียนเข้าสู่ร่างของคนเหล่านั้น จางเซวียนก็พลันรู้สึกได้ถึงกองเพลิงที่สุมอยู่ในร่างของพวกเขา พร้อมที่จะแผดเผาทุกอย่างให้มอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน


“ฮึ่มมม!”


จางเซวียนคำราม เขาปล่อยกระแสพลังปราณเทียบฟ้าเพื่อพยายามดับเพลิงนั้น


ฟึ่บ!


ทันทีที่พลังปราณเทียบฟ้าปะทะกับเปลวเพลิง เขาก็พลันรู้สึกได้ถึงพละกำลังมหาศาลที่เข้าจู่โจมพลังปราณเทียบฟ้า ดูเหมือนมันพยายามจะแผดเผาพลังปราณของเขาให้กลายเป็นเปลวไฟ


“จัดการมันเลย!”


กระแสพลังปราณเทียบฟ้าอันดุเดือดพุ่งเข้าสู่ร่างของนักรบทั้ง 3 โดยไม่หยุดยั้ง ร่างของจางเซวียนเริ่มเปล่งประกายสีทองออกมา ราวกับจะแปรเปลี่ยนเป็นรูปปั้นสีทอง


ทั้งพลังปราณ กายเนื้อ และจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาสามารถทนทานได้แม้แต่กับเปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุด แม้เปลวเพลิงในร่างของนักรบทั้ง 3 ออกจะประหลาดอยู่สักหน่อย แต่ก็ไม่รุนแรงพอที่จะทำให้เขาได้รับบาดเจ็บ


ฟึ่บ!


ด้วยกระแสเกรี้ยวกราดของพลังปราณเทียบฟ้า สุดท้ายเปลวเพลิงที่อยู่ในร่างของนักรบเหล่านั้นก็มอดดับลง เมื่อรู้สึกว่าในที่สุดตัวเองก็รอดพ้นจากกรงเล็บแห่งความตายแล้ว นักรบทั้ง 3 ที่หน้าซีดเผือดก็ทรุดตัวลงกับพื้นด้วยความเหนื่อยอ่อนและความโล่งใจ พวกเขารีบคุกเข่าและโค้งคำนับให้จางเซวียน “ผู้อาวุโส ขอบคุณมากที่ช่วยชีวิตพวกเราไว้”


“ไม่ต้องมีพิธีรีตองไปหรอก” จางเซวียนพูดพร้อมกับโบกมือ เขาหันไปพูดกับคนอื่นๆที่เหลือ “ที่นี่มีบางอย่างแปลกประหลาดพิสดาร อย่ามัวรีรออยู่รอบทะเลสาบเลย กลับไปที่โอเอซิสเถอะ!”


ต่อให้จางเซวียนไม่พูด นักรบที่เหลือก็หวาดผวาเกินกว่าจะอ้อยอิ่งอยู่รอบทะเลสาบแล้ว


ความตายไม่ใช่สิ่งที่น่าสะพรึงสำหรับพวกเขาอีกต่อไป แต่การที่ต้องกลายร่างเป็นทรายสีเหลือง และไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้ให้คนข้างหลังเลย นั่นถือเป็นความตายที่น่าสะพรึงเกินกว่าที่พวกเขาจะรับไหว


จางเซวียนไม่ได้กลับสู่โอเอซิสพร้อมกับคนอื่นๆ เขาเดินไปยังกองทรายที่หลงเหลืออยู่จากร่างของชายวัยกลางคน แล้วหยิบทรายกำมือหนึ่งขึ้นมา จากนั้นก็พิจารณามันอย่างถี่ถ้วน


ร่างของชายวัยกลางคนถูกเผาอย่างหมดจดจนแม้แต่เสื้อผ้าก็ไม่เหลือ หากเขาไม่ได้เห็นกับตา จะไม่มีทางเชื่อว่าคนคนหนึ่งจะหายวับไปได้ด้วยวิธีการแบบนี้


“ผู้อาวุโส คราวนี้เราจะทำอย่างไรดี?”


นักรบขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณคนหนึ่งก้าวออกมาสำรวจกองทรายเช่นกัน แต่ก็ไม่อาจสรุปอะไรได้ จึงได้แต่หันมาตั้งคำถามกับจางเซวียน


“นำหยดน้ำทิพย์นี้ไปให้คนอื่นๆดื่ม” จางเซวียนสะบัดข้อมือและนำน้ำเต้าหลายลูกออกมา


มันคือหยดน้ำทิพย์ที่เขาเก็บมาจากผืนป่าแห่งนั้น สามารถดับความกระหายให้กับนักรบทั้งกลุ่มได้ในช่วงเวลานี้


ไม่ใช่เพราะเขาหวงน้ำทิพย์ แต่เรื่องของเรื่องก็คือผู้ที่ได้ดื่มหยดน้ำทิพย์แล้วจะไม่สามารถดึงดูดยักษ์ผืนทรายได้อีก ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเก็บมันเอาไว้กับตัวจนกว่าจะมาถึงโอเอซิส ซึ่งเมื่อมาถึงที่หมายแล้ว ก็ไม่มีเหตุอะไรที่จางเซวียนจะต้องหวงหยดน้ำทิพย์เอาไว้อีก


“ขอบคุณมาก ผู้อาวุโส!”


นักรบขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณคนนั้นรีบรับหยดน้ำทิพย์มาและแจกจ่ายให้กับคนที่เหลือ หลังจากได้ดื่มลงไปอึกใหญ่ ความกระหายของพวกเขาก็บรรเทาลง ทุกคนได้แต่มองจางเซวียนด้วยความสำนึกในบุญคุณ


จางเซวียนไม่ใส่ใจคนเหล่านั้น หลังจากพินิจพิจารณาผืนทรายที่หลงเหลืออยู่แล้ว เขาก็ออกเดินไปรอบอาณาบริเวณของทะเลสาบ


คลื่นความเย็นแผ่ออกมาจากทะเลสาบที่อยู่ตรงหน้า เมื่อยืนอยู่ข้างทะเลสาบ เขาไม่รู้สึกถึงความร้อนแม้แต่น้อยทั้งที่อยู่ท่ามกลางทะเลทรายอันแห้งผาก ในเวลาเดียวกัน น้ำในทะเลสาบก็ใสกระจ่าง ดูบริสุทธิ์เสียจนไม่น่ามีอะไรเกี่ยวข้องกับเปลวเพลิงที่เพิ่งสังหารชายวัยกลางคนผู้นั้นเลย


ทั้งๆที่สำรวจอาณาบริเวณรอบทะเลสาบแล้ว จางเซวียนก็ยังไม่พบสิ่งผิดปกติ ไม่มีสิงสาราสัตว์หรือสิ่งมีชีวิตใดๆอยู่ภายในโอเอซิส ดังนั้น เรื่องนี้จึงไม่อาจเกี่ยวข้องกับสิ่งอื่น เมื่อเห็นว่าไม่มีเงื่อนงำใดๆให้ค้นหา จางเซวียนก็เดินตรงไปยังทะเลสาบและวักน้ำขึ้นมาดื่มเหมือนกับที่ชายวัยกลางคนและนักรบอีก 3 คนทำไปก่อนหน้านี้


“ผู้อาวุโส ระวังด้วย!”


เห็นจางเซวียนวักน้ำขึ้นมา ทุกคนแทบกระโดดด้วยความพรั่นพรึง


“ไม่เป็นไรหรอกน่ะ” จางเซวียนยิ้มให้ความมั่นใจกับคนเหล่านั้น


ขนาดเปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุดก็ยังแผดเผาร่างกายของเขาไม่ได้ จึงไม่มีทางที่เปลวเพลิงระดับนี้จะทำอันตรายเขาได้เลย


จางเซวียนมองดูน้ำใสที่เขาวักใส่มือ จากนั้นก็ใช้ทั้งดวงตาหยั่งรู้และการรับรู้จิตวิญญาณตรวจสอบมัน แต่ก็ไม่พบอะไรผิดปกติ ด้วยความงุนงง จึงได้แต่จิบน้ำเข้าไป 1 อึก


“ผู้อาวุโส!”


“ระวังตัวด้วยนะ!”


คนที่เหลือพากันหน้าซีดเผือดด้วยความพรั่นพรึงหลังจากเห็นภาพอันน่าทึ่งอยู่ตรงหน้า


ชายวัยกลางคนเพิ่งเสียชีวิตไปหมาดๆหลังจากดื่มน้ำนั้น แล้วพวกเขาจะทำอย่างไรหากเกิดเหตุแบบเดียวกันกับผู้อาวุโสที่อยู่ตรงหน้า?



ตอนที่ 1714 ต้นไม้ฆาตกรรม

การดื่มน้ำช่วยบรรเทาความกระหายของเขาได้ จางเซวียนทรุดตัวลงนั่งยองๆและครุ่นคิด เขาเพ่งสมาธิไปที่สภาวะภายในร่างกายเพราะหากมีประกายไฟแม้แต่น้อยปรากฏขึ้นในร่างของเขา จะได้ดับมันได้ทันเวลา


แต่หลังจากรออยู่ครู่ใหญ่ ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ราวกับว่าน้ำนั้นไม่อาจทำอะไรเขาได้


จางเซวียนลุกขึ้นยืนอีกครั้งพร้อมกับรอยย่นบนหน้าผาก


ถ้าเปลวไฟปรากฏขึ้นในร่างกายของเขา ก็พอจะแกะรอยต้นกำเนิดของมันได้ แต่เมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย เขาก็ไม่รู้ว่าจะสรุปที่มาที่ไปของมันอย่างไร


เป็นไปได้ไหมว่าสิ่งนี้จะเหมือนกับน้ำสีเหลืองแห่งเมืองบาดาลที่เขาได้พบในอาณาจักรโบร่ำโบราณของนักปราชญ์โบราณหรันชิวคือน้ำนี้เป็นพิษกับคนอื่นๆ แต่ไม่อาจทำอันตรายอะไรเขาได้?


“ผู้อาวุโส คุณเป็นอะไรไหม?” นักรบขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณคนหนึ่งถามอย่างกังวลใจ


เมื่อเห็นว่าไม่มีควันสีขาวลอยโขมงออกจากศีรษะของชายหนุ่ม ทั้งยังไม่มีเสียงร้องครางด้วยความเจ็บปวด ทุกคนก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก


“ผมไม่เป็นอะไร” จางเซวียนตอบพร้อมกับพยักหน้า


“ค่อยยังชั่ว มันน่าสะพรึงเหลือเกินที่ได้เห็นคนเป็นๆคนหนึ่งต้องแหลกสลายกลายเป็นทรายสีเหลือง ถ้าไม่ใช่เพราะผมเดินทางมากับเขา ก็คงคิดว่าเขาเป็นยักษ์ผืนทรายปลอมตัวมา!” นักรบขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณคนหนึ่งตั้งข้อสังเกตด้วยความหวาดหวั่น


“ยักษ์ผืนทรายปลอมตัวมา? แหลกสลายกลายเป็นทรายสีเหลือง…”


ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในสมองของจางเซวียน เขารีบหันไปมองนักรบคนหนึ่งและตั้งคำถาม “ก่อนหน้านี้คุณบอกว่าคุณพบกับยักษ์ผืนทรายหลังจากเดินทางมาได้ 4 ชั่วโมง พูดอีกอย่างก็คือคุณไม่ได้เจอกับยักษ์ผืนทรายตัวไหนเลยตลอด 4 ชั่วโมงแรก ถูกไหม?”


“ฮะ? ใช่…ถูกแล้ว!” นักรบผู้นั้นชะงักไปเล็กน้อยกับคำถามของจางเซวียน แต่ก็พยักหน้ารับอย่างหนักแน่น


นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขารู้สึกตัวตื่นหลังจากถูกส่งทะลุมิติมาจากชูฝู่ ก็พบว่าตัวเองอยู่ท่ามกลาง ทะเลทรายแห่งนี้ ตอนแรกก็ไม่มีอันตรายใดๆ แต่ในชั่วโมงที่ 4 ก็ต้องเผชิญหน้ากับยักษ์ผืนทราย พวกเขาได้บอกเรื่องนี้ตั้งแต่แรกที่พบกับจางเซวียนแล้ว มันจึงไม่ใช่ความลับ


“พบกับยักษ์ผืนทรายในชั่วโมงที่ 4…เป็นไปได้หรือไม่ว่าแท้ที่จริงแล้วยักษ์ผืนทรายคือสิ่งที่หลงเหลืออยู่จากเหล่านักรบที่เสียชีวิตไปแล้ว?” จางเซวียนพึมพำด้วยสีหน้าเคร่งเครียด


ออกจะน่าประหลาดที่ยักษ์ผืนทรายปรากฏตัวขึ้นหลังจากมิติลี้ลับถูกเปิดออกได้เพียง 4 ชั่วโมง เป็นไปได้ไหมว่านักรบกลุ่มแรกได้พบโอเอซิสเมื่อ 4 ชั่วโมงก่อนและแปรสภาพกลายเป็นยักษ์ผืนทรายกลุ่มแรก?


“สิ่งที่หลงเหลืออยู่จากเหล่านักรบที่เสียชีวิตไปแล้ว?”


ทุกคนพากันอึ้ง


เมื่อลองคิดดู ก็มีโอกาสเป็นไปได้ ถึงจะน่าพรั่นพรึงแค่ไหน แต่ก็ถือว่าฟังขึ้นทีเดียว!


ชายวัยกลางคนแหลกสลายกลายเป็นทรายหลังจากที่เสียชีวิตไปแล้ว ซึ่งนั่นคือเหตุผลที่ทำให้พวกเขานึกถึงยักษ์ผืนทรายที่พบเจอในตอนแรกขึ้นมา


“พวกเราจะรู้ความจริงได้จากการทดสอบแบบเร่งรัด!” จางเซวียนพูดพร้อมกับหรี่ตา


เขาเดินกลับไปยังกองทรายที่ชายวัยกลางคนสลายร่างและทาบนิ้วลงไปบนนั้น


ครู่ต่อมา จิตใต้สำนึกของเขาก็ดำดิ่งเข้าสู่โลกของความมืดมิด


“เป็นอย่างที่คิดไว้เลย!” จางเซวียนขมวดคิ้ว


ข้อเท็จจริงที่ว่าเขาถูกนำตัวเข้าสู่พื้นที่มืดมิดแห่งนี้ระหว่างที่ใช้ศิลปะการร่ายมนต์พลิกฟื้นจิตวิญญาณ ก็หมายความว่ามีความเป็นไปได้ที่จะร่ายมนต์ใส่กองทรายให้ฟื้นคืนชีพ


จางเซวียนเพ่งสมาธิ จากนั้นก็ร่ายมนต์ให้เกิดเปลวไฟขึ้นในกองทราย ทำลายความมืดที่อยู่ในพื้นที่อันมืดมิดนั้น


ฟึ่บ!


กองทรายสีเหลืองค่อยๆก่อตัวสูงขึ้นกลายเป็นยักษ์ผืนทรายตัวมหึมา แต่มันมีประสิทธิภาพการต่อสู้เทียบเท่ากับนักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติเท่านั้น


“ไม่น่าแปลกใจแล้วที่ทรายซึ่งถูกร่ายมนต์ใส่จะมีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับนักรบขั้นชั่วกัลปาวสาน!” จางเซวียนตาโตเมื่อเกิดความเข้าใจขึ้นมา


ก่อนหน้านี้ เขายังสงสัยอยู่ว่าทรายที่ถูกร่ายมนต์ใส่มีประสิทธิภาพการต่อสู้ขนาดนั้นได้อย่างไร แต่เท่าที่เห็น ดูเหมือนผืนทรายที่ก่อตัวขึ้นเป็นยักษ์ผืนทรายนั้นไม่ใช่ทรายธรรมดา แต่เป็นซากศพของเหล่านักรบ!


พูดอีกอย่างก็คือ ยักษ์ผืนทรายที่พวกเขาสู้รบด้วยตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น แท้ที่จริงแล้วคือเหล่าผู้เชี่ยวชาญที่ร่างแหลกสลายกลายเป็นผืนทรายที่โอเอซิส!


พูดให้ชัดกว่าเดิมก็คือ…พวกเขากำลังต่อสู้กับซากศพ!


“เดี๋ยวก่อน…ถ้าเป็นอย่างนั้น แล้วผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณอยู่ไหนล่ะ?” จางเซวียนเกิดความสงสัยขึ้นมาขณะรีบเหลียวมองโดยรอบ


ถ้าข้อสันนิษฐานของเขาถูกต้อง ผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณก็ต้องอยู่ที่โอเอซิสแห่งนี้ แต่นอกจากทะเลสาบ ทุ่งหญ้า และต้นไม้สูงตระหง่าน ก็ไม่มีอะไรให้เห็นอีกเลย


“ขนาดตัวเราก็ยังต้องสัมผัสกับกองทรายโดยตรงเพื่อร่ายมนต์ใส่มัน เพราะฉะนั้น ไม่มีทางที่ผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณจะสามารถร่ายมนต์ใส่กองทรายจากระยะไกลได้” จางเซวียนนวดหว่างคิ้วด้วยความหงุดหงิด


เขารู้สึกว่าตัวเองรวบรวมเงื่อนงำทั้งหมดสำหรับการคลี่คลายปริศนาได้แล้ว แต่ลงท้ายทุกอย่างก็ยังไม่ปรากฏ บางทีเขาอาจไม่สามารถปะติดปะต่อภาพที่สมบูรณ์ได้ด้วยเงื่อนไขที่ค้นพบ เพราะความลึกลับของมัน


และส่วนสำคัญก็คือผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณ จนกว่าเขาจะพบตัวผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณคนนั้น เรื่องนี้ก็จะยังคงเป็นความลับ และเขาก็จะไม่มีวันหาทางออกจากโลกแห่งทะเลทรายนี้ได้


ก่อนหน้านี้ จางเซวียนได้ตรวจสอบทะเลสาบอย่างใกล้ชิดแล้ว มันใสกระจ่างเสียจนเขามองเห็นก้นทะเลสาบได้สบาย แต่ก็ไม่มีทางออก ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าทางออกจะไม่ได้อยู่ที่โอเอซิสแห่งนี้


“ก่อนหน้านี้ ชายวัยกลางคนแหลกสลายกลายเป็นทรายสีเหลืองหลังจากดื่มน้ำ แต่เมื่อเราดื่มน้ำก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดังนั้น จึงเป็นไปได้ว่าการร่ายมนต์ใส่ซากศพจะทำได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาแหลกสลายกลายเป็นกองทรายแล้วเท่านั้น และหากน้ำนี้ไม่มีอะไรผิดปกติ ก็จะต้องเป็นบางอย่างที่อยู่เหนือผืนน้ำ” จางเซวียนขมวดคิ้วด้วยความงุนงงขณะเพ่งมองผิวน้ำอีกครั้ง


มีแต่ผู้ที่ดื่มน้ำจากโอเอซิสเท่านั้นที่จะแปรสภาพกลายเป็นผืนทรายและถูกร่ายมนต์ใส่ให้กลายเป็นยักษ์ผืนทราย จางเซวียนรู้สึกว่าหากเขาสามารถทำความเข้าใจได้ว่านักรบกลายร่างเป็นทรายสีเหลืองได้อย่างไร ก็คงจะพบสถานที่ที่ผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณซ่อนตัวอยู่


ดังนั้น จางเซวียนจึงวักน้ำขึ้นมาอีกครั้งและพิจารณามันอย่างถี่ถ้วนแต่ก็ยังไม่พบอะไรน่าสนใจ มันเป็นน้ำธรรมดาที่ไม่มีอะไรอยู่ในนั้นขณะที่เขากำลังจะล้มเลิก สายลมอ่อนก็พัดโชยผ่านโอเอซิสต้นไม้สูงตระหง่านที่อยู่ข้างทะเลสาบพริ้วไหวไปตามสายลมนั้นเกิดเสียงใบเสียดสีกัน


ฟึ่บ!


ปุยฝ้ายที่งอกงามอยู่ทั่วต้นไม้สูงตระหง่านนั้นร่วงลงในทะเลสาบเพราะแรงลม พวกมันลอยอยู่อย่างเงียบเชียบเหนือผืนน้ำ ครู่ต่อมาก็สลายตัวและหายวับไปในผืนน้ำนั้น


“หรือว่าเจ้านี่จะเป็นตัวการ?” จางเซวียนหรี่ตา


เขารีบเดินไปยังต้นไม้สูงตระหง่านและหยิบปุยฝ้ายออกมากำมือหนึ่ง


ซรืดดดด!


จางเซวียนต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าเกิดความรู้สึกราวกับมีเปลวเพลิงแผดเผาฝ่ามือของเขา เพลิงนั้นให้ความรู้สึกเหมือนกับเปลวเพลิงที่เขาสัมผัสได้ในร่างของนักรบทั้ง 3


“เป็นอย่างที่คิดไว้เลย!” จางเซวียนพยักหน้า


ไม่น่าแปลกใจแล้วที่เหล่านักรบก่อนหน้านี้มอดไหม้และสลายตัวเป็นผืนทรายหลังจากดื่มน้ำเข้าไป ขณะที่ตัวเขาไม่เป็นอะไรเลย


ดูเหมือนกุญแจจะอยู่ที่ปุยฝ้ายเหล่านี้


มีแต่ผู้ที่ดื่มน้ำซึ่งปนเปื้อนปุยฝ้ายเท่านั้นที่จะแหลกสลายกลายเป็นทรายสีเหลืองและเปลี่ยนร่างเป็นยักษ์ผืนทราย


ตอนที่จางเซวียนตรวจสอบน้ำ ปุยฝ้ายก็สลายตัวกลืนไปกับทะเลสาบแล้ว จึงไม่น่าแปลกใจที่เขาจะไม่พบอะไรผิดปกติ


ในที่สุดเขาก็ค้นพบสาเหตุที่อยู่เบื้องหลังเพลิงลึกลับ ว่าแต่…ผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณอยู่ที่ไหน?


จางเซวียนเดินเข้าไปพิจารณาต้นไม้อย่างถี่ถ้วน แต่ก็ไม่มีอะไรแปลกประหลาด


เขายกมือขึ้นและทาบฝ่ามือลงไปบนลำต้นของมันอย่างแผ่วเบาครู่ต่อมา รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้า


จางเซวียนพิงต้นไม้และกระซิบ “แกคือตัวการใช่ไหม?”


ฟิ้ววววว!


สายลมพัดผ่านโอเอซิสอีกครั้ง ทำให้ต้นไม้สั่นสะท้านอย่างแผ่วเบา ราวกับมันกำลังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับคำพูดของจางเซวียน


“แกก็รู้ มันไม่ส่งผลอะไรกับฉันหรอก ถึงแกจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก็เถอะ” จางเซวียนพูดอย่างสบายใจ


เขาสะบัดข้อมือ แล้วกระบี่เปลวเพลิงสีดำก็ปรากฏตัว เกิดแสงสว่างวาบ จากนั้นมันก็ตวัดเข้าใส่ต้นไม้ขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า


ดูซิว่าแกจะยังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อยู่ได้ไหมหลังจากที่ฉันสับแกเป็นชิ้นๆ!


ฟิ้ววววว!


แต่ยังไม่ทันที่กระบี่เปลวเพลิงสีดำจะได้สัมผัสกับต้นไม้ สายลมหอบใหญ่ก็ระเบิดขึ้นกลางอากาศ จางเซวียนเงยหน้ามอง และเห็นกิ่งไม้พุ่งเข้าใส่ศีรษะของเขาราวกับหอกอันแหลมคม


การเคลื่อนไหวของกิ่งไม้นั้นรวดเร็วและทรงพลังมาก ในแง่ของประสิทธิภาพ มันเทียบเท่ากับการโจมตีของนักรบขั้นชั่วกัลปาวสาน โลกจารึกเลยทีเดียว


แต่จางเซวียนก็หลบเลี่ยงการโจมตีนั้นได้อย่างง่ายดายด้วยการก้าวออกไปข้างๆ


ฟิ้ววววว!


แต่ดูเหมือนต้นไม้จะไม่ยอมปล่อยให้เขาลอยนวล กิ่งไม้อีกหลายสิบกิ่งพุ่งตรงเข้าหาจางเซวียน ราวกับมีมังกรเกรี้ยวกราดจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าใส่ พละกำลังจากการเคลื่อนไหวของพวกมันทำให้เกิดรอยแยกสีดำขึ้นกลางอากาศ


“น่าทึ่งจริงๆ!” จางเซวียนหรี่ตาขณะที่รอยยิ้มก่อนหน้านี้จางหายไปจากใบหน้า


เขากระดิกนิ้วเพื่อสกัดกั้นมิติรอบตัวไว้ชั่วคราว ป้องกันการโจมตีจากกิ่งไม้ จากนั้นก็เงื้อกระบี่เปลวเพลิงสีดำขึ้นและปล่อยการฟาดฟันนับร้อยครั้งเข้าใส่มันในชั่วพริบตา


เห็นได้ชัดว่าต้นไม้นี้มีพละกำลังเทียบเท่ากับนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึก เขาจึงต้องรับมืออย่างระมัดระวัง เพราะไม่อย่างนั้น อาจต้องลงเอยด้วยความตาย



ตอนที่ 1715 ต้นไม้ใหญ่ยอมจำนน

ความคมของกระบี่เปลวเพลิงสีดำนั้นไม่อาจสบประมาทได้ มันโจมตีกิ่งไม้ได้อย่างง่ายดาย ทำให้การรุกล้ำไม่เป็นผล แต่พละกำลังจากการเคลื่อนไหวของมันก็ทำให้แขนของจางเซวียนเป็นเหน็บ เขาต้องถอยไปหนึ่งก้าวเพื่อต้านทานแรงปะทะนั้น


เหตุผลที่จางเซวียนสามารถรับมือกับนักรบขั้นชั่วกัลปาวสาน โลกจารึกได้ทั้งที่ระดับวรยุทธของเขามีจำกัด ก็เพราะของล้ำค่าอันทรงพลังจำนวนมากมายที่เขามีอยู่ในครอบครอง แต่หากเป็นในแง่ของพละกำลัง เขายังคงห่างไกลกับผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้น


กิ่งไม้ที่ได้รับบาดเจ็บดูเหมือนจะไม่สร้างความบอบช้ำให้กับต้นไม้ใหญ่แม้แต่น้อย มันกลับปล่อยพายุกิ่งไม้เข้าโจมตีจางเซวียนอย่างต่อเนื่อง กิ่งไม้แต่ละกิ่งมีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับนักรบขั้นชั่วกัลปาวสาน โลกจารึก ด้วยความกดดันหนักหน่วงจากการเคลื่อนไหวของกิ่งไม้ พื้นที่โดยรอบบริเวณนั้นถึงกับส่งเสียงหวีดหวิว ดูเหมือนพร้อมจะแหลกสลายได้ทุกขณะ


“ผู้อาวุโส…”


นึกไม่ถึงว่าผู้อาวุโสจะตั้งต้นสู้รบกับต้นไม้ที่ได้พบ กลุ่มนักรบที่เหลือเกิดความระแวง พวกเขารู้ทันทีว่าต้นไม้คือตัวการที่อยู่เบื้องหลังการเสียชีวิตของชายวัยกลางคน จึงรีบพุ่งเข้ามาช่วยเหลือจางเซวียน


“อย่าเข้ามา!”


แต่เสียงของจางเซวียนก็ยับยั้งคนเหล่านั้นไว้


ในเมื่อแม้แต่ตัวเขายังรับมือกับต้นไม้ด้วยความยากลำบาก หากคนเหล่านั้นเข้ามามีส่วนร่วม ก็จะมีแต่รนหาที่ตาย


ฟึ่บ!


พริบตาต่อมา รากไม้จำนวนนับไม่ถ้วนก็ผุดขึ้นจากพื้นทรายและเข้าเล่นงานนักรบที่เหลือ


“ราก? อ๋อ…ฉันเข้าใจแล้ว แกแผ่รากของแกไว้ทั่วทั้งทะเลทรายผืนนี้ แล้วก็เพราะรากของแกนี่เองที่ทำให้แกร่ายมนต์ใส่ยักษ์ผืนทรายพวกนั้นได้!” จางเซวียนตั้งข้อสังเกต


แม้ต้นไม้จะสูงมากเมื่อเทียบกับมนุษย์ แต่ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าสูงตระหง่านเมื่อเปรียบเทียบกับต้นไม้อื่นๆในทวีปแห่งปรมาจารย์แต่มันก็มีพละกำลังเทียบเท่ากับนักรบชั่วกัลปาวสาน โลกจารึกการที่ต้นไม้มีพละกำลังมากขนาดนี้ ก็แปลว่ารากของมันน่าจะแผ่ออกไปเป็นวงกว้าง เป็นไปได้ว่าด้วยรากของมันนี่เองที่ทำให้มันสามารถร่ายมนต์ใส่เหล่านักรบที่เสียชีวิตในบริเวณที่ห่างออกไปหลายสิบหรือแม้แต่หลายร้อยลี้ได้


ซึ่งจางเซวียนไม่เชื่อว่าต้นไม้จะสามารถร่ายมนต์พลิกฟื้นจิตวิญญาณจากระยะไกลได้ ในเมื่อแม้แต่ตัวเขายังไม่มีความสามารถแบบนั้น


“แกอาจมีรากเยอะแยะ แต่ฉันก็มีวิธีรับมือกับแกเหมือนกัน…” เมื่อค้นพบไม้ตายของต้นไม้แล้ว จางเซวียนก็ไม่อยากเสียเวลาอีก


เขาสะบัดข้อมือ


ฟึ่บ!


อสูรผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 5 ปรากฏตัวตรงหน้าเขา แผ่รังสีอันทรงพลังของผู้เหนือชั้นกว่า พวกมันพุ่งเข้าใส่ต้นไม้ใหญ่อย่างพร้อมเพรียงกันตามคำสั่งของจางเซวียน


“เอ่อ…”


“ผู้อาวุโสคนนั้นมีอสูรอยู่กับเขามากมายขนาดนี้เชียวหรือ?”


“ทุกตัวมีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสาน โลกจารึก?”


“แค่อสูรเพียงตัวเดียวก็ทรงพลังเกินพอที่จะทำลายล้างพวกเราทั้งกลุ่มแล้ว…”


…..


เห็นผู้อาวุโสที่ยังหนุ่มปล่อยอสูรทรงพลังออกมามากมายพร้อมๆกัน ฝูงชนที่กำลังเฝ้ามองการสู้รบได้แต่กลืนน้ำลายขณะริมฝีปากสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว


ถือเป็นพรจากสวรรค์แล้วหากนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่สักคนหนึ่งสามารถทำให้อสูรระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ยอมจำนนได้แต่ชายหนุ่มคนนี้ทำให้อสูรยอมจำนนได้มากมาย และทุกตัวก็มีพละกำลังสูงส่งอย่างน่าทึ่ง พวกเขาคิดว่าตัวเองชื่นชมผู้อาวุโสที่อยู่ตรงหน้ามากพอแล้ว แต่ดูเหมือนจะประเมินอีกฝ่ายต่ำไป!


ภาพนี้ทำให้นักรบทั้งกลุ่มอึ้งไปนาน


ทันทีที่อสูรผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 5 เข้าร่วมการสู้รบ ต้นไม้ใหญ่ก็แสดงอาการที่บ่งบอกว่าพร้อมรบทันที


เมื่อการต่อสู้ผ่านไปเพียงครู่เดียว นกฟีนิกซ์ไฟสวรรค์ประกาศอย่างมั่นใจ “นายท่าน อย่าห่วงเลย ให้ผมรับมือกับมันเถอะ”


ฟึ่บ!


เปลวไฟแผดเผาพวยพุ่งออกจากปากของมัน ทำให้ท้องฟ้ากว่าครึ่งกลายเป็นสีแดงก่ำ ทันทีที่ต้นไม้ใหญ่ปะทะกับความร้อน มันก็งอหงิกด้วยความหวาดกลัว ทีท่างามสง่าที่เคยมีอยู่เมื่อครู่หายวับไปไม่มีเหลือ


แม้ต้นไม้ใหญ่จะสามารถปล่อยปุยฝ้ายที่มีอานุภาพแผดเผาแม้แต่นักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ให้กลายเป็นทรายสีเหลืองได้ แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็นแค่ต้นไม้ ไม่มีทางที่จะไม่หวาดกลัวเปลวไฟ


ฟิ้วววว!


เมื่อจับจุดอ่อนของต้นไม้ใหญ่ได้ นกฟีนิกซ์สวรรค์พ่นไฟออกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ช้าต้นไม้ใหญ่ก็เริ่มเหี่ยวแห้ง ใบเขียวชอุ่มของมันกลายเป็นสีเหลือง พละกำลังเหือดหายไปหมด


“ฉันรู้นะว่าแกมีชีวิตจิตใจและคิดอะไรเองได้ ยอมจำนนให้ฉันเสียแล้วฉันจะไว้ชีวิตแก ไม่อย่างนั้น วันนี้แกได้พบจุดจบแน่!” จางเซวียนเอาสองมือไพล่หลังไว้ขณะคำราม ราวกับไม่แยแสชีวิตของต้นไม้แม้แต่น้อย


การที่เขาทำให้อสูรผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 5 ยอมจำนนได้ ก็แปลว่าเขาเก่งกาจพอที่จะรับมือกับนักรบทุกคนที่มีวรยุทธต่ำกว่าขั้นนักปราชญ์โบราณ เว้นเสียแต่นักปราชญ์โบราณจะปรากฏตัว ก็ไม่มีใครยับยั้งจางเซวียนได้อีกต่อไป


ในเมื่อต้นไม้ต้นนี้จงใจสังหารนักรบมากมายและร่ายมนต์ใส่พวกเขาให้กลายเป็นยักษ์ผืนทราย ก็แน่นอนว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความเฉลียวฉลาดไม่เบา


และในเมื่อเป็นอย่างนั้น ก็จะดีที่สุดหากเขาจะเก็บมันไว้ใช้ประโยชน์ ให้มันได้กลายเป็นไม้ตายอีกอันหนึ่ง


เพียงครู่เดียวหลังจากจางเซวียนพูดคำนั้น ประโยคหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัวของเขา “คุณอยากให้ผมยอมจำนนให้คุณหรือ? ฝันไปเถอะ!”


“ก็แล้วแต่ ฉันหวังว่าแกจะสนุกสนานกับการถูกแผดเผาจนมอดไหม้ เหมือนกับเหล่านักรบที่แกทำร้ายพวกเขานะ” จางเซวียนตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชาพร้อมกับโบกมือ


ฟึ่บ!


นกฟีนิกซ์ไฟสวรรค์เปลี่ยนร่างของมันให้กลายเป็นเปลวไฟสีแดงก่ำขณะพุ่งเข้าใส่ต้นไม้ใหญ่ แล้วพ่นไฟเข้าโอบล้อมอีกฝ่ายไว้


เปลวเพลิงนั้นครอบคลุมพื้นที่โดยรอบและมีอานุภาพแผดเผารุนแรง ต้นไม้ใหญ่เหี่ยวแห้งทันทีที่เผชิญกับอานุภาพของเปลวเพลิง ไม่ช้ามันจะต้องถูกเผาจนตายแน่


“ฮะ?”


เมื่อเห็นต้นไม้ใหญ่ปฏิเสธที่จะยอมจำนนทั้งที่ตัวเองก็ใกล้ตายเต็มที จางเซวียนขมวดคิ้ว เขาชำเลืองมองพื้น จากนั้นก็เหยียดริมฝีปาก “อสูรนรกลวงตา จัดการรากทั้งหมดที่อยู่ใต้ดิน นำมาให้นกฟีนิกซ์ไฟสวรรค์เผาซะ ผมไม่เชื่อหรอกว่าต้นไม้นั่นจะยังคงมีชีวิตรอดอยู่ได้”


ได้ยินคำสั่งของจางเซวียน อสูรนรกลวงตารีบดำลงไปในทะเลทราย ครู่มาก็เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง โครงข่ายขนาดใหญ่ของรากไม้ผุดขึ้นจากพื้น


จากนั้น นกฟีนิกซ์ไฟสวรรค์ก็เผารากทั้งหมดโดยไม่ลังเล


เปลวเพลิงลุกลามไปทั่ว ทำให้บริเวณนั้นกลายเป็นทะเลไฟ


แม้เปลวเพลิงที่นกฟีนิกซ์ไฟสวรรค์พ่นออกมาจะมีอานุภาพไม่เท่ากับเปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุด แต่ประสิทธิภาพของมันก็เหนือชั้นกว่าแม้แต่เปลวเพลิงปฐพี


หากมันเรียกพลังจากสายเลือดเพื่อเพิ่มพลังให้กับเปลวเพลิงของมัน ก็สามารถหลอมละลายได้แม้แต่ของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่


“ผมไม่มีทางยอมจำนนให้มนุษย์ขี้ปะติ๋วหรอก อย่าเสียเวลาเลย!”


แม้ร่างของมันจะมอดไหม้เป็นเถ้าถ่านไปแล้ว แต่ต้นไม้ใหญ่ก็ไม่ยอมจำนน เจตจำนงอันอ่อนแรงถูกส่งเข้าหาจางเซวียน บ่งบอกถึงจิตวิญญาณอันมุ่งมั่น


“ถึงขนาดนี้แล้ว มันยังไม่ยอมจำนนให้เราอีกหรือ?” จางเซวียนชะงัก


มันเป็นแค่ต้นไม้ต้นหนึ่ง ทำไมถึงดื้อด้านขนาดนี้?


ต่อให้ปราศจากลำต้น หากรากของมันยังคงใช้การได้อยู่ ต้นไม้ใหญ่ก็จะยังฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว แต่หากมันสูญเสียรากไป ชะตากรรมเดียวที่รออยู่ก็คือความตาย!


“ไม่…แบบนี้ไม่ถูกแล้วล่ะ ถ้าถึงขนาดนี้แล้วมันยังไม่สะทกสะท้านก็แปลว่าการทำลายรากของมันไม่อาจสังหารต้นไม้ต้นนี้ได้…”จางเซวียนครุ่นคิดหนัก


ไม่เหมือนกับเหล่าปรมาจารย์ จิตวิญญาณส่วนมากไม่ได้ถูกผูกพันอยู่กับกฎเกณฑ์และหลักการต่างๆ โดยเฉพาะเมื่อมีความอยู่รอดเป็นเดิมพัน ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่พวกมันจะยื้อศักดิ์ศรีเอาไว้และปฏิเสธที่จะยอมจำนน


ไม่มีเหตุผลที่ต้นไม้เพียงต้นหนึ่งจะดื้อด้านถึงขนาดนี้ ไม่ยอมจำนนแม้ชีวิตของมันจะแขวนอยู่บนเส้นด้าย!


นั่นหมายความว่าจะต้องมีอะไรบางอย่างที่ทำให้มันยังดำรงชีวิตอยู่ได้ อย่างน้อยที่สุด ต้นไม้ต้นนี้ก็มั่นใจว่าการเผาทั้งลำต้นและรากของมันยังไม่เพียงพอที่จะสังหารมัน…


“ทะเลสาบ!” ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัวสมองของจางเซวียนขณะก้มลงมองทะเลสาบที่อยู่ไม่ห่างออกไป


ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้นึกถึงมัน แต่ทั้งๆที่นกฟีนิกซ์ไฟสวรรค์พ่นเปลวเพลิงแผดเผาออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่น้ำในทะเลสาบก็ไม่ได้ลดระดับลงเลย


“เต่าดำนรก คุณมีองค์ประกอบของน้ำ ผมอยากให้คุณสูบน้ำในทะเลสาบนี้ออกให้หมด อยากรู้ว่าเจ้าต้นไม้นั่นจะทนทานไปได้นานแค่ไหน” จางเซวียนสั่งการ


“ขอรับ นายท่าน!”


เต่าดำนรกมุ่งหน้าไปยังทะเลสาบและอ้าปากขนาดมหึมาของมัน


ซู่!


น้ำในทะเลสาบพุ่งเข้าปากของเต่าดำนรกด้วยความเร็วอันน่าสะพรึง ราวกับมีหลุมดำอยู่ในปากของมัน


ใช้เวลาไม่นาน เต่าดำนรกก็สูบน้ำในทะเลสาบออกจนหมด ที่ก้นทะเลสาบ มีรากไม้สีขาวขนาดเล็กอยู่อันหนึ่ง พื้นผิวของมันดูคล้ายกับหยก


จางเซวียนดึงรากนั้นขึ้นจากพื้นดินโดยไม่ลังเลและถือมันไว้ในฝ่ามือ พริบตาต่อมา ทั้งลำต้นและรากของต้นไม้ใหญ่ที่นกฟีนิกซ์ไฟสวรรค์กำลังแผดเผาอยู่ก็แหลกสลายกลายเป็นผืนทรายสีเหลือง ราวกับมันสูญเสียรากฐานที่ค้ำจุนมันไว้


“ใช่แล้ว นี่คือร่างต้นกำเนิดของมัน…”


เมื่อเห็นภาพนั้น มีหรือที่จางเซวียนจะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น?


ต้นไม้ขนาดใหญ่และรากของมันเป็นเพียงสิ่งที่ขยายออกมาจากร่างต้นกำเนิด เหมือนกับหุ่นกระบอกที่รากนี้ควบคุมการเคลื่อนไหวของมันอยู่ ไม่น่าแปลกใจแล้วที่ต้นไม้ใหญ่ไม่ยอมจำนนให้เขา ตราบใดที่เขายังค้นหาร่างต้นกำเนิดของมันไม่พบ ก็ไม่มีทางสังหารมันได้!


“นกฟีนิกซ์ไฟสวรรค์ เผารากอันนี้ให้ผมที! หม้อต้นกำเนิดทองคำ, ถ้าเรายังเผามันไม่ได้ ผมอยากให้คุณจัดการให้มันมอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน” จางเซวียนสั่งการขณะโยนรากอันนั้นออกไป


ครู่ต่อมา ทั้งหม้อต้นกำเนิดทองคำ นกฟีนิกซ์ไฟสวรรค์ และอสูรตัวอื่นๆรวมทั้งของล้ำค่าชิ้นต่างๆก็เข้ารุมสกรัมรากไม้ขนาดเล็กนั้น


“ยะ-อย่า อย่าฆ่าผม!”


เมื่อเห็นผู้เชี่ยวชาญมากมายจับจ้องมันด้วยสายตาเป็นปฏิปักษ์รากไม้ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวมันร้องออกมาอย่างสิ้นหวัง “ผมยอมจำนนแล้ว! ผมยอมจำนนแล้ว!”


ต่อให้มันถูกถอนรากถอนโคน แต่ตราบใดที่ร่างต้นกำเนิดยังคงอยู่ มันก็สามารถงอกต้นไม้ใหญ่และโครงข่ายของรากได้ทุกเวลาตามแต่ต้องการ แต่ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ ดูเหมือนมันจะไม่มีหนทางอื่นนอกจากยอมจำนน!


“ต้องอย่างนั้นสิ” เห็นรากไม้สลัดความโอหังทิ้งไปหลังจากถูกเล่นงาน จางเซวียนพยักหน้าอย่างพอใจ


เขารีบทำสัญญากับรากไม้ทันที


ด้วยเหตุนี้ เจ้าตัวการที่สังหารนักรบในทะเลทรายไปมากมายและทำให้หลายคนต้องตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวก็กลายมาเป็นอสูรของเขา



ตอนที่ 1716 มิติน้ำแข็ง

อันที่จริง ก็ไม่ถูกต้องเสียทีเดียวหากจะเรียกรากไม้ว่าอสูรของเขา


เพราะหลังจากได้รับจิตวิญญาณเสี้ยวหนึ่งของอีกฝ่ายมาแล้ว จางเซวียนก็รู้ทันทีว่ารากไม้เป็นต้นไม้จริงๆและไม่ใช่อสูร


มันคือสิ่งมีชีวิตที่มีชื่อว่าไม้ทรายเหลืองวิปลาส ซึ่งปรมาจารย์ขงเป็นผู้ค้นพบ เขานำมันมาปลูกในมิติลี้ลับแห่งนี้เพื่อให้ทำหน้าที่อารักขา ตราบใดที่ถ่ายทอดพละกำลังที่มากพอเข้าไปในตัวมัน ก็จะสามารถทำลายทุกอย่างให้แหลกสลายกลายเป็นทราย อีกทั้งยังสามารถร่ายมนต์ใส่มันเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ได้ด้วย


สิ่งนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่กับมนุษย์ แต่ยังเป็นกับอาวุธและอสูรระดับเซียนด้วยเช่นกัน


ฟังดูเหมือนเป็นความสามารถอันน่าทึ่งไร้เทียมทาน แต่ด้วยระดับพลังจิตวิญญาณที่มีจำกัด มันจึงสามารถควบคุมยักษ์ผืนทรายพร้อมกันได้เพียงจำนวนหนึ่งเท่านั้น


ด้วยพละกำลังของไม้ทรายเหลืองวิปลาสในตอนนี้ การควบคุมยักษ์ผืนทรายที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานขั้นสูงพร้อมกัน 2 ตัวก็ถือว่าถึงขีดสุดแห่งความสามารถของมันแล้ว


ในฐานะเจ้านายคนใหม่ของไม้ทรายเหลืองวิปลาส จางเซวียนสามารถนำอานุภาพของมันมาใช้ได้ โดยตัวเขาเพียงลำพังสามารถควบคุมยักษ์ผืนทรายที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสาน ขั้นสูงพร้อมกันได้ทีเดียว 3 ตัว


พูดอีกอย่างก็คือ หากเขาร่วมมือกันกับไม้ทรายเหลืองวิปลาส ก็จะสามารถควบคุมยักษ์ผืนทรายที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสาน ขั้นต้นได้พร้อมกันถึง 5 ตัว แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอที่จะสร้างกองทัพ


แต่หากระดับวรยุทธของจางเซวียนเพิ่มสูงขึ้น ความสามารถของเขาในการควบคุมยักษ์ผืนทรายก็จะมีมากขึ้นด้วย มันจะกลายเป็นอาวุธอันทรงพลังที่จะใช้รับมือกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นได้ในอนาคต!


สำหรับไม้ทรายเหลืองวิปลาส คงไม่เป็นการพูดเกินจริงหากจะบอกว่าพละกำลังของมันนั้นอาจเหนือชั้นกว่าแม้แต่ 5 อสูรผู้ยิ่งใหญ่หากเขาใช้มันอย่างถูกต้อง อีกอย่าง มันยังมีความสามารถในการเปลี่ยนใครก็ตามที่มีระดับวรยุทธไม่สูงไปกว่ามันให้กลายเป็นผืนทรายสีเหลืองได้หากอยู่ในสภาพแวดล้อมเหมาะสม


ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นอานุภาพอันน่าสะพรึงที่สามารถสร้างความหวาดกลัวในหัวใจของนักรบทุกคน


ในเวลาเดียวกัน แม้ประสิทธิภาพการต่อสู้ของยักษ์ผืนทรายจะมีไม่สูงนักเพราะระดับสติปัญญาของมันที่มีจำกัด แต่พวกมันก็ไม่หวาดกลัวการได้รับบาดเจ็บหรือความตาย ขอแค่ใครสักคนสามารถร่ายมนต์ใส่มัน ยักษ์ผืนทรายก็จะไม่มีวันเสียชีวิต จึงถือเป็นคู่ต่อสู้ที่รับมือด้วยได้ยาก


เรานำไม้ทรายเหลืองวิปลาสนี้ไปให้หวังหยิ่งก็ได้…


จางเซวียนไม่ได้ต้องการของล้ำค่ามากนัก โดยเฉพาะเมื่อเขามีไม้ตายอยู่ในครอบครองมากมาย แต่หากเขามอบสิ่งนี้ให้หวังหยิ่ง ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเธอจะต้องเพิ่มสูงขึ้นอีกมาก อันที่จริง หากเธอใช้มันได้อย่างถูกต้อง ก็อาจมีพละกำลังมากกว่าเจิ้งหยางเสียอีก


เมื่อมาคิดดู ก็เป็นไปได้ว่าทั้งเจิ้งหยางและหวังหยิ่งซึ่งเป็นหัวหน้าสภายอดขุนพลและประธานสมาคมผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณจะมุ่งหน้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อเช่นกัน เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าทั้งคู่ถูกส่งทะลุมิติไปยังมิติใด


จางเซวียนพยายามสลัดความคิดวกวนในสมอง จากนั้นก็ชำเลืองมองไม้ทรายเหลืองวิปลาสและตั้งคำถาม “ในมิติแห่งนี้จะต้องมีทางออก แล้วทางออกอยู่ที่ไหน?”


จางเซวียนเพิ่งนึกได้หลังจากที่ทำให้ไม้ทรายเหลืองวิปลาสยอมจำนนแล้ว ว่าอีกฝ่ายก็ไม่ได้สังหารนักรบไปมากมายนัก และอันที่จริง ยักษ์ผืนทรายส่วนใหญ่ที่ตามล่าพวกเขาก่อนหน้านี้ก็เป็นเพียงศพที่ถูกทำให้ฟื้นคืนชีพ


หากไม้ทรายเหลืองวิปลาสอยากทำการสังหารหมู่จริงๆ ป่านนี้ก็คงมีผู้คนล้มตายไปมากมายแล้ว


เมื่อลองคิดดู ถ้าไม้ทรายเหลืองวิปลาสเป็นสิ่งมีชีวิตที่ควบคุมไม่ได้ซึ่งกระหายเลือดและการฆ่าฟัน ปรมาจารย์ขงก็คงไม่อนุญาตให้มันอาศัยอยู่ในโลกใบนี้


“ทางออกอยู่ที่โคนต้นไม้ใหญ่…”


ขณะที่ตอบ ไม้ทรายเหลืองวิปลาสก็เคลื่อนไหวเล็กน้อย


ครืนนนนน!


พื้นโลกสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงจนผืนทรายกระเด็นออกไปหมด ราวกับกำลังเผชิญหน้ากับพละกำลังบางอย่าง จากนั้น ตรงบริเวณที่ต้นไม้ใหญ่เคยตั้งอยู่ ก็ปรากฏฉนวนที่มีรูปร่างเหมือนประตู


“ทะเลทรายผืนนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของแกจริงๆ ไม่แปลกใจเลยที่รากของแกจะชอนไชไปทุกหนทุกแห่งทั่วทั้งทะเลทราย” จางเซวียนตั้งข้อสังเกต


เขาเก็บเหล่าอสูรและของล้ำค่ากลับเข้าไปในแหวนเก็บสมบัติก่อนจะหันไปพูดกับกลุ่มนักรบที่อยู่ด้านหลัง “ผมตั้งใจจะเข้าสู่อีกมิติหนึ่ง หากพวกคุณอยากติดตามผมไปก็เชิญเลย หรือไม่อย่างนั้น แค่พวกคุณฝึกฝนวรยุทธที่นี่ เมื่อไม่มีผืนทรายสีเหลือง คุณก็จะสามารถยกระดับวรยุทธของตัวเองได้เร็วกว่าที่อื่นมาก”


เมื่อผืนทรายสีเหลืองหายไปหมด สภาพแวดล้อมก็ไม่แห้งแล้งอย่างที่เคยเป็น พลังจิตวิญญาณอบอวลไปทั่วทั้งมิติ อยู่ในระดับความเข้มข้นพอๆกับมิติแห่งผืนป่าที่จางเซวียนเข้าไปก่อนหน้านี้ ในเวลาเดียวกัน ‘สภาวะครูบาอาจารย์’ ก็เริ่มแผ่ซ่านไปทั่วบริเวณ


ถ้านักรบกลุ่มนี้ไม่เต็มใจจะเผชิญอันตรายมากกว่าเดิม พวกเขาก็สามารถยกระดับวรยุทธได้ด้วยการฝึกฝนวรยุทธที่นี่ เพียงเท่านี้ การเดินทางของพวกเขาก็ไม่สูญเปล่าแล้ว


“ผู้อาวุโส ผมขอติดตามคุณไปด้วย!”


“ผมคิดว่าผมจะอยู่ที่นี่ อันตรายมีมากเกินไป ต่อให้มีทรัพย์สมบัติมากมายรออยู่ ผมก็คงไม่มีโอกาสได้ใช้มันหากต้องเสียชีวิต…”


ไม่ช้า นักรบทั้ง 18 คนก็แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่ยังคงปักหลักอยู่ที่นี่และกลุ่มที่จะออกเดินทาง


“ผมจะให้พวกคุณเป็นคนตัดสินใจว่าจะทำอะไรต่อไป พิจารณาให้ถี่ถ้วนนะ ถึงอย่างไรทางออกก็อยู่ตรงนี้ พวกคุณสามารถตัดสินใจได้ทุกเวลาที่ต้องการ ผมขอออกเดินทางก่อน…”


จางเซวียนไม่พูดอะไรมาก เขามุ่งหน้าสู่ฉนวนแห่งมิติและหายวับไป


นักรบกลุ่มที่เขาเพิ่งได้พบนี้ถือเป็นเพียงคนรู้จักกัน ไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องไปยุ่งเกี่ยวกับคนพวกนั้นให้มากไป เขาอาจช่วยชีวิตอีกฝ่ายไว้ได้ครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่อาจดูแลพวกเขาได้ตลอดการเดินทาง และไม่มีความสามารถที่จะรับประกันความปลอดภัยให้ใครด้วย หากคนเหล่านี้อยากได้ในสิ่งที่พวกเขาต้องการจากอาณาจักรโบร่ำโบราณ ก็จะต้องพึ่งพาตัวเอง


อีกอย่าง เขาต้องตามหาหลัวลั่วชิง และเขาก็แน่ใจว่าทั้งจ้าวหย่า หยวนเทา และเว่ยหรูเหยียนที่ถูกจับตัวไปก่อนหน้านี้จะต้องอยู่ที่นี่เช่นกัน ดังนั้น จางเซวียนจึงไม่มีเวลาที่จะรื่นเริงกับกลุ่มนักผจญภัยและใช้เวลารื่นรมย์กับการเดินทางได้


หลังจากที่จางเซวียนจากไปได้ไม่นาน นักรบขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณคนหนึ่งก็ส่ายหน้าและเปรยว่า “หากพวกเราตัดสินใจเด็ดขาดกว่านี้สักหน่อยและเลือกตามผู้อาวุโสไป เราก็คงจะได้อะไรมาอีกมาก แต่โชคร้ายที่ดูเหมือนโอกาสนั้นจะหลุดลอยไปแล้ว”


ชายหนุ่มอาจยังอายุน้อย แต่มีเหตุผลและความสามารถในการหยั่งรู้อันเฉียบแหลม แม้จะมีอันตรายมากมายรออยู่ทั่วทั้งอาณาจักรโบร่ำโบราณ แต่ก็ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะสามารถข้ามผ่านอุปสรรคไปได้อย่างง่ายดาย หากพวกเขาได้ติดตามผู้นำแบบนี้ ก็มีโอกาสที่จะได้พบกับความโชคดีเช่นกัน


แน่นอนว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่ชายหนุ่มจะแบ่งปันทรัพย์สมบัติที่หามาได้กับพวกเขา แต่อย่างน้อยที่สุด สิ่งที่เขาทิ้งไว้ก็เพียงพอจะทำให้คนที่เหลือยกระดับวรยุทธได้อย่างรวดเร็ว อย่างน้อยพวกเขาก็จะได้ก้าวหน้าไปกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้อีกมาก


แต่ถึงอย่างไร ทุกคนก็พลาดโอกาสครั้งนี้ไปแล้ว


…..


จางเซวียนไม่ได้รับรู้ถึงความเสียใจและเสียดายของกลุ่มนักรบที่เขาเพิ่งจากมา มิติรอบตัวเขาบิดเบี้ยวอีกครั้ง และก่อนที่จะทันรู้ตัว จางเซวียนก็มายืนอยู่บนที่ราบน้ำแข็ง


จากประสบการณ์ 2 ครั้งก่อนหน้า เขาจึงไม่รู้สึกตื่นตระหนกแต่อย่างใด จางเซวียนโผบินขึ้นสูงที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อสำรวจพื้นที่โดยรอบ


ก็เหมือนกับที่ผืนป่า ยิ่งบินขึ้นสูงเท่าไหร่ แรงกดดันก็เพิ่มขึ้นเท่านั้น ด้วยระดับวรยุทธของเขาตอนนี้ ที่ความสูง 30 เมตรถือเป็นขีดสุดแล้ว


“ที่นี่เย็นเยือกกว่าศาลาว่าการที่ราบธารน้ำแข็งเสียอีก…”


ทั่วทั้งบริเวณดูจะปกคลุมไปด้วยหิมะเป็นชั้นหนา และพายุที่พัดหวีดหวิวอยู่ทั่วทั้งทุ่งหิมะก็นำความเย็นเยือกถึงกระดูกสันหลังมาสู่นักรบทุกคนที่อาจหาญพอจะเผชิญหน้ากับสภาพภูมิอากาศแบบนี้ ต่อให้นักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติก็ยังรู้สึกว่าอยากจะปกคลุมร่างของตัวเองด้วยเสื้อผ้าหนาๆ


“ที่นี่ก็ยังไม่ใช่วิหารแห่งขงจื๊อ…เราคงต้องหาทางออกอีกทางหนึ่งในทุ่งหิมะแห่งนี้” จางเซวียนส่ายหน้าอย่างจนปัญญา


เขาเคยคิดว่าจะได้เข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊ออย่างรวดเร็วหลังจากที่อาณาจักรโบร่ำโบราณเปิดออก แต่ดูเหมือนเขาจะประเมินบททดสอบของปรมาจารย์ขงต่ำเกินไป


นี่เป็นมิติที่ 3 แล้วที่จางเซวียนได้เข้ามา ใครจะรู้ว่ายังมีอีกกี่มิติที่รอเขาอยู่?


“ในผืนป่ามี 5 อสูรผู้ยิ่งใหญ่…ในทะเลทรายมีไม้ทรายเหลืองวิปลาส จะต้องมีบางอย่างที่เป็นสิ่งสำคัญในทุ่งหิมะแห่งนี้เช่นกัน ขอแค่เราหาเจอว่ามันคืออะไร ก็คงพบทางออก…”


จางเซวียนหมุนหอกสวรรค์กระดูกมังกรอีกครั้งเพื่อตัดสินใจว่าจะมุ่งหน้าไปยังทิศทางไหน


สิ่งแรกที่เขาต้องทำก็คือค้นหาสิ่งมีชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในทุ่งหิมะแห่งนี้หรือเหล่าผู้เชี่ยวชาญจากทวีปแห่งปรมาจารย์ที่ถูกส่งทะลุมิติมาที่นี่ หากได้พบสิ่งมีชีวิตหรือคนเหล่านั้น ก็อาจจะได้ข้อมูลสำคัญบางอย่างที่นำไปสู่ตำแหน่งของทางออก


หลังจากบินไปอีกหนึ่งชั่วโมง จางเซวียนก็พบคนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินท่อมๆท่ามกลางหิมะ


เขากำลังจะเข้าไปหาคนกลุ่มนั้นเพื่อหาข้อมูลบางอย่าง ก็พอดีกับที่ต้องนัยน์ตาเบิกโพลงและชะงักฝีเท้าทันที


“เผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น!”


ในกลุ่มนั้นมีสมาชิกอยู่ราว 20 คน ผู้นำกลุ่มที่เดินอยู่หน้าสุดและอีก 2 คนที่เดินปิดท้ายมีรูปร่างสูงกว่าปกติ และเมื่อประกอบกับเจตนาสังหารเข้มข้นที่พวกเขาแผ่ออกมา ก็ชัดเจนว่าพวกนี้คือเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น!


เมื่อดูจากรังสีอันเข้มข้นของพวกมัน ก็ดูเหมือนว่ามันจะสำเร็จวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานแล้ว แม้จะไม่ทัดเทียมกับอู๋ชู่หรือเป่ยชิง แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในหมู่นักรบที่เข้าสู่อาณาจักรโบร่ำโบราณ


สำหรับสมาชิกในกลุ่มที่เหลือซึ่งเดินอยู่ตรงกลางนั้นล้วนแต่เป็นมนุษย์ แต่ดูเหมือนพวกเขาจะถูกเผ่าพันธุ์ปีศาจควบคุมไว้ด้วยวิธีการอะไรสักอย่าง ทุกคนมีสีหน้าสิ้นหวังและบุกตะลุยฝ่าหิมะไปอย่างไร้ชีวิตชีวาภายใต้การนำของเผ่าพันธุ์ปีศาจ


“เร็วๆเข้า!” เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่เดินนำตวาดอย่างหงุดหงิด


ดูเหมือนจะมีของล้ำค่าชิ้นหนึ่งที่ควบคุมจิตวิญญาณของพวกเขาไว้


จางเซวียนคิดพร้อมกับขมวดคิ้ว


ด้วยดวงตาหยั่งรู้ เขามองเห็นได้ว่ากลุ่มมนุษย์ที่ถูกจับตัวไว้ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเส้นด้ายเส้นหนึ่ง และสีหน้าของคนเหล่านั้นก็ไม่บ่งบอกอารมณ์ความรู้สึกแม้แต่น้อย


มีความเป็นไปได้เพียงข้อเดียวสำหรับสถานการณ์แบบนี้ คือจิตวิญญาณของมนุษย์กลุ่มนั้นทุกเผ่าพันธุ์ปีศาจควบคุมไว้ด้วยวิธีการอะไรบางอย่าง ไม่อย่างนั้น คงไม่มีทางที่พวกเขาจะเดินตามเผ่าพันธุ์ปีศาจต้อยๆแบบนี้


จางเซวียนถอนหายใจเฮือก จากนั้นก็เพ่งดูคนกลุ่มนั้นอีกครั้ง เขาเห็นร่างหนึ่งซึ่งมีใบหน้าคุ้นตา


เดี๋ยว…นั่นหูเหยาเหย่านี่?



ตอนที่ 1717 พบแท่นบูชาอีกครั้ง

ในบรรดานักรบทั้ง 20 คนที่ถูกเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นคุมตัวไว้ มีสาวน้อยคนหนึ่งรูปร่างสวยสดงดงาม แม้จะอยู่ในสภาพที่ไม่น่าดูนัก แต่ก็ยังมีเสน่ห์ที่ทำให้ยากจะละสายตาจากเธอได้ เธอคือลูกศิษย์ที่ครั้งหนึ่งจางเซวียนเคยรับไว้เมื่อตอนอยู่ในสถาบันปรมาจารย์หงหย่วน หัวหน้าแก๊งปีศาจเจ้าเสน่ห์, หูเหยาเหย่า!


ในครั้งนั้น หูเหยาเหย่าถูกพาตัวไปยังสมาคมผู้เชี่ยวชาญด้านนาฏศิลป์สำนักงานใหญ่ และได้รับการถ่ายทอดมรดกตกทอดขั้นสูงสุดของเหล่าบรรพบุรุษที่นั่น ภายในเวลาเพียงไม่กี่เดือน เธอก็ยกระดับวรยุทธขึ้นจนได้เป็นนักรบระดับเซียนขั้น 9 อีกเพียงก้าวเดียวก็จะได้เป็นนักรบขั้นการพักฟื้นภายในแล้ว


แน่นอนว่าส่วนหนึ่งของความสำเร็จนั้นจะต้องยกความดีความชอบให้คำชี้แนะของจางเซวียน และที่สำคัญไปกว่าก็คือความขยันหมั่นเพียรและความปราดเปรื่องของเธอซึ่งมีบทบาทมาก ในเวลาเดียวกัน ก็ดูเหมือนว่าสมาคมผู้เชี่ยวชาญด้านนาฏศิลป์สำนักงานใหญ่จะได้มอบทรัพยากรในการบ่มเพาะเธออย่างเต็มที่


ความแข็งแกร่งของหูเหยาเหย่าในตอนนี้มากเกินพอที่จะทำให้เธอเป็นคนสำคัญคนหนึ่งในกลุ่มอำนาจใหญ่ แต่ภายในอาณาจักรโบร่ำโบราณซึ่งเต็มไปด้วยผู้เชี่ยวชาญชั้นยอด ความแข็งแกร่งของเธอยังจัดว่าอ่อนด้อยอยู่ เมื่อสายลมเย็นเยือกพัดมา ร่างของเธอก็สั่นสะท้าน ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำเพราะความหนาวเย็น แต่ดูเหมือนในเวลานี้เธอจะยังรับมือไหว


ไม่มีร่องรอยของการบาดเจ็บที่เห็นได้ชัด แต่จิตวิญญาณของเธอดูจะหมดเรี่ยวแรงไปเล็กน้อย


ระดับวรยุทธของนักรบที่อยู่รอบตัวหูเหยาเหย่าก็ไม่ได้สูงนัก มีมากกว่าสิบคนที่เป็นนักรบระดับเซียนขั้น 9 ส่วนที่เหลือก็เป็นนักรบขั้นการพักฟื้นภายใน ด้วยเหตุนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาจะหมดหนทางต่อสู้กับพละกำลังของเผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานถึง 3 ตัว


ถึงจางเซวียนจะพบใบหน้าของคนที่เขาคุ้นตา แต่ก็ไม่ได้ผลีผลามทำอะไรลงไป เขาสกัดกั้นมิติที่อยู่รอบตัวไว้และแอบติดตามทั้งกลุ่มไปอย่างเงียบๆ


เผ่าพันธุ์ปีศาจทั้ง 3 ตัวที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานขั้นต้นไม่ถือเป็นภัยคุกคามสำหรับจางเซวียน เขาสามารถสังหารพวกมันได้อย่างง่ายดายเมื่อไรก็ได้ที่ต้องการ แต่จางเซวียนรู้สึกว่าสิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือเขาต้องรู้ให้ได้ว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจพวกนี้มีเจตนาอย่างไร


หลังจากเดินทางไปได้อีกราว 10 นาที ชั้นน้ำแข็งที่ส่งประกายแวววาวก็ปรากฏตรงหน้า


“เร็วๆเข้า!”


จากนั้น เขาก็เห็นมนุษย์อีกหลายกลุ่มถูกนำตัวมา รวมแล้วก็มีผู้คนอยู่ในบริเวณนั้นราว 100 คน พวกเขามาจากหลากหลายอาชีพ


ที่บริเวณใจกลางทุ่งน้ำแข็งคือแท่นรูปกลมที่มีธงค่ายกลทุกรูปแบบปักไว้โดยรอบ


เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวหนึ่งที่สวมชุดเกราะสีดำยืนอยู่ข้างแท่นนั้นขณะสั่งการเผ่าพันธุ์ปีศาจทั้ง 3 ตัวให้จารึกอักษรค่ายกลลงบนพื้น


“พาตัวประกันมาที่นี่!” มันสั่งการพร้อมกับโบกมืออย่างวางอำนาจ


เผ่าพันธุ์ปีศาจรีบนำตัวมนุษย์ที่เป็นตัวประกันเข้ามาในพื้นที่บริเวณรอบแท่น และในเวลาเดียวกัน จางเซวียนก็รู้สึกได้ว่ามีด้ายเส้นบางๆผูกข้อมือของตัวประกันเหล่านั้นไว้ สกัดกั้นวรยุทธของพวกเขาเอาไว้หมด


พวกมันตั้งใจจะใช้ตัวประกันกลุ่มนี้เป็นเครื่องบรรณาการเทพเจ้าของมันหรือ? จางเซวียนครุ่นคิดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด


เขาเคยเห็นแท่นบูชานี้มาหลายครั้งแล้ว ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ฉิงเทียนเคยใช้มันหลายครั้งเพื่อเซ่นสรวงและบรรณาการเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ เพื่อแลกเปลี่ยนกับอำนาจและพละกำลัง แต่ในครั้งนั้น เครื่องบรรณาการคือทรัพย์สมบัติล้ำค่า ส่วนเผ่าพันธุ์ปีศาจกลุ่มนี้ลักพาตัวมนุษย์มา…พวกมันตั้งใจจะใช้ชีวิตมนุษย์เป็นเครื่องบูชายัญหรือ?


แล้วพวกมันคาดหวังอะไรจากการนำมนุษย์มาเป็นเครื่องบูชายัญเทพเจ้าของพวกมัน?


หรือคิดจะใช้บรรณาการชีวิตมนุษย์เพื่อค้นหาทางออกจากมิติหิมะแห่งนี้?


แต่ถ้ามีจุดประสงค์เพียงเพื่อค้นหาทางออก พวกมันก็ไม่จำเป็นต้องทำขนาดนี้นี่! จางเซวียนสลัดข้อสันนิษฐานนั้นทิ้งไปพร้อมกับขมวดคิ้ว


เพราะได้ผ่านมิติผืนป่าและมิติผืนทรายมาแล้ว เขาจึงมีประสบการณ์ในการค้นหาทางออก ขอแค่เข้าสู่ใจกลางมิติได้ การจะค้นพบทางออกก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไป


ไม่มีเหตุผลที่พวกมันจะต้องบูชายัญชีวิตมนุษย์มากมายเพียงเพื่อค้นหาทางออก


วัตถุประสงค์หลักของเผ่าพันธุ์ปีศาจในการเข้าสู่อาณาจักรโบร่ำโบราณก็เพื่อยึดครองมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง ในเมื่อพวกมันยังไม่รู้แม้แต่ตำแหน่งที่ตั้งที่แท้จริงของวิหารแห่งขงจื้อ ก็ดูจะไม่ฉลาดนักหากจะสังหารผู้คนมากมายในเวลานี้ เพราะอาจสร้างความเป็นปฏิปักษ์จากอีกฝ่ายให้เกิดขึ้นภายในอาณาจักรโบร่ำโบราณ


แต่ไม่ว่าวัตถุประสงค์ของเผ่าพันธุ์ปีศาจจะเป็นอะไร อันดับแรก เราต้องช่วยชีวิตคนกลุ่มนั้นก่อน…


ในเมื่อจางเซวียนได้เห็นกับตาแล้ว เขาก็ไม่อาจปล่อยให้คนเหล่านี้ตายต่อหน้าต่อตาเขาได้ อีกอย่าง หูเหยาเหย่าซึ่งเป็นลูกศิษย์ของเขาก็อยู่ในกลุ่มนี้ด้วย


จางเซวียนตรวจสอบประสิทธิภาพการต่อสู้ของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นที่อยู่ในบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว มี 13 ตัวที่เป็นนักรบขั้นชั่วกัลปาวสาน, 20 ตัวเป็นนักรบขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณ ส่วนที่เหลือเป็นนักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติและการพักฟื้นภายใน รวมแล้วก็น่าจะมีไม่ถึง 50 ตัว


กองกำลังที่มีจำนวนเพียงเท่านี้ไม่ถือเป็นภัยสำหรับจางเซวียน เขาสามารถสังหารพวกมันให้สิ้นซากได้อย่างง่ายดาย ต่อให้ตัวที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกมัน คือเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่สวมเกราะสีดำก็เป็นแค่นักรบชั่วกัลปาวสานขั้นต้นเท่านั้น ยังห่างไกลนักที่จะเทียบชั้นกับเขา


เส้นด้ายบางๆที่ถูกนำมาใช้สกัดกั้นวรยุทธนั้นดูเหมือนจะเป็นของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ถ้าเราผลีผลามเข้าโจมตี เผ่าพันธุ์ปีศาจจะต้องเปิดใช้งานของล้ำค่าและสังหารหูเหยาเหย่ากับคนอื่นๆทันทีแน่! จางเซวียนคิดพร้อมกับขมวดคิ้ว


ต่อให้ไม่พึ่งพาพละกำลังของอสูรผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 5 จางเซวียนก็ยังเอาชนะพวกมันได้อย่างง่ายดายด้วยประสิทธิภาพการต่อสู้ที่มีอยู่ในตอนนี้ แต่หากเขากดดันเผ่าพันธุ์ปีศาจกลุ่มนี้มากเกินไป ก็มีโอกาสที่พวกมันจะเลือกสังหารตัวประกันก่อนที่จะทำอย่างอื่น


เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรม เขาจะต้องวางแผนการที่รัดกุมอย่างไร้ที่ติ


“การทำลายปราการแห่งมิตินั้นต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก เพราะฉะนั้นจะปล่อยให้เกิดความผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว ดูให้แน่ใจด้วยว่าของล้ำค่าทุกชิ้นตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง” เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่สวมชุดเกราะสีดำสั่งการต่อไป


เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่เหลือรีบเคลื่อนย้ายเครื่องรางเข้าสู่แท่นบูชาทีละชิ้น


จากการกวาดสายตาดู มีทั้งหินวิเศษหายาก หยดเลือดของอสูรระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ อักษรจารึกค่ายกลที่มีลักษณะเฉพาะตัว ยาเม็ดที่มีประสิทธิภาพการรักษาอันน่าทึ่ง…พูดง่ายๆก็คือ ทรัพย์สมบัติทุกชนิดที่ถูกนำเข้ามาวางบนแท่นนั้นมีมูลค่าราว 1 ใน 10 ของทรัพย์สมบัติทั้งหมดของจางเซวียนเลยทีเดียว


ทำลายปราการแห่งมิติ? หรือพวกมันตั้งใจจะทะลุมิติเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อโดยตรง?


เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่สวมชุดเกราะสีดำพูดภาษาของเผ่าพันธุ์ปีศาจ แต่จางเซวียนก็เข้าใจ


แม้กับเผ่าพันธุ์ปีศาจ ทรัพย์สมบัติเหล่านี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกมันจะหามาได้โดยง่าย แต่แทนที่จะค้นหาทางออก พวกมันกลับจัดเตรียมแท่นบูชา เห็นได้ชัดว่าเป้าหมายของพวกมันไม่ใช่แค่การก้าวไปสู่อีกโลกหนึ่ง


แต่ไม่ว่าพวกมันคิดจะทำอะไร เราจะต้องช่วยเหลือตัวประกันให้ได้ก่อน!


หากจางเซวียนคิดจะยับยั้งเผ่าพันธุ์ปีศาจ ก็ย่อมหลีกเลี่ยงการต่อสู้ไม่ได้ แต่การจะทำอย่างนั้น เขาต้องแน่ใจในความปลอดภัยของตัวประกันด้วย


หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จางเซวียนก็ปลอมตัวและเดินเข้าไปซ่อนตัวอยู่หลังก้อนน้ำแข็ง ก่อนจะทำลายฉนวนแห่งมิติที่ปกปิดร่างของเขาไว้ ด้วยการสะบัดข้อมือ จางเซวียนเตรียมพร้อมด้วยดาบระดับเซียนขั้นสูงสุด


ถ้าเขาพรวดพราดเข้าไปตอนนี้ คงไม่มีทางช่วยชีวิตใครไว้ได้ และในเวลาเดียวกัน ก็จะไม่อาจค้นพบความลับของแท่นบูชาและคาดเดาเป้าหมายของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นได้ด้วย


ดังนั้น สิ่งที่ดีที่สุดที่เขาทำได้ในตอนนี้ก็คือปล่อยให้ตัวเองถูกจับเหมือนหูเหยาเหย่ากับคนอื่นๆ เขาจะได้ใช้โอกาสนี้ทำลายฉนวนที่ผูกมัดทุกคนไว้ เมื่อตัวประกันปลอดภัยแล้ว สุดท้ายเขาก็จะได้ดำเนินการเรื่องอื่น


“เริ่มเลยเถอะ”


เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่สวมชุดเกราะสีดำหันหน้าไปอีกทางหนึ่งขณะที่สั่งการสำหรับการจัดเตรียมแท่นบูชา รู้ดีว่านี่คือโอกาสเหมาะสมที่สุดสำหรับการโจมตี จางเซวียนจึงรีบพุ่งเข้าไป


ด้วยความเร็วราวกับสายฟ้าฟาด เขาพุ่งเข้าจ้วงแทงหัวใจของเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่สวมชุดเกราะสีดำตัวนั้น ในเวลาเดียวกัน จางเซวียนก็ขับเคลื่อนประสิทธิภาพการต่อสู้ของนักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติโดยเปล่งประกายสีทองห่อหุ้มร่างของเขาไว้ ในตอนนั้น จางเซวียนดูเหมือนกับพระพุทธเจ้ากลับชาติมาเกิด


การโจมตีครั้งนี้อาจดูเหมือนไร้ที่ติ แต่เรื่องจริงก็คือจางเซวียนได้กดข่มพละกำลังของเขาไว้ให้เทียบเท่ากับนักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติทั่วไป และเขาก็ไม่ได้ใช้แก่นสารของมิติและแก่นสารของเวลาด้วย ดังนั้น แม้จะเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูง แต่ก็ยากที่จะทำให้นักรบขั้นชั่วกัลปาวสานสะดุ้งสะเทือนได้


“ดูเหมือนปลาตัวหนึ่งจะหลุดออกมา! นักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติ โลกจารึกหรือ? ไม่แปลกใจเลย…”


เมื่อรู้สึกได้ว่ามีข้าศึกโจมตี ปีศาจตัวที่สวมชุดเกราะสีดำคำราม มันงอนิ้วมือและกระดิกนิ้วอย่างแรงโดยไม่หันหลังกลับมา


ฟิ้ววววว!


รังสีอันทรงพลังปะทะเข้ากับปลายดาบของจางเซวียน แม้จะมีกระแสดาบฉีห่อหุ้มอยู่เป็นชั้นหนา แต่ดาบของเขาก็ยังส่งเสียงเคร้งดังลั่นออกมาเมื่อปะทะกับรังสีนั้น ราวกับมันติดหนึบอยู่กับกำแพงโลหะที่เป็นชั้นหนา ไม่ว่าจะออกแรงสักแค่ไหน ดาบก็ไม่ขยับเขยื้อน


“เล่นงานมัน!”


จางเซวียนมีสีหน้าสิ้นหวัง เขาคำรามลั่นขณะเงื้อดาบขึ้นและปักมันลงมา


ฟึ่บ!


กระแสดาบฉีหลายสิบสายรวมตัวเข้าด้วยกัน เกิดเป็นกระแสพลังงานที่พุ่งเข้าใส่ปราการรังสีนั้น


รังสีของเผ่าพันธุ์ปีศาจถูกตัดขาดเป็นสองส่วน จางเซวียนยังคงบุกเข้าโจมตีต่อไป


“ฮึ? ดูเหมือนแกจะเก่งกาจไม่เบานะ!” เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่สวมชุดเกราะสีดำชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นชายหนุ่มสามารถตอบโต้การกระดิกนิ้วของมันได้


มันหันหลังกลับมาเพื่อเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย ด้วยการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวนั้นคว้าดาบที่พุ่งเข้าใส่มันได้โดยใช้ 2 นิ้วคีบไว้


“แกเล็ดลอดออกมาและเล่นงานฉันได้ ฉันต้องยอมรับว่าแกมีความสามารถโดดเด่นไม่เบา แกคงจะได้เป็นนักรบผู้ไร้เทียมทานแน่หากมีเวลาบ่มเพาะตัวเองมากพอ แต่ในเมื่อเลือกที่จะเป็นศัตรูกับฉันแล้ว ฉันเกรงว่าแกคงหมดอนาคตแล้วล่ะ!” เผ่าพันธุ์ปีศาจที่สวมชุดเกราะสีดำตัวนั้นหัวเราะลั่นก่อนจะเงื้อฝ่ามือเข้าใส่จางเซวียน


พลั่ก!


ฝ่ามือนั้นปล่อยพลังรุนแรงราวกับถูกส่งมาจากสวรรค์ แม้แต่พื้นที่โดยรอบก็ยังสั่นสะท้านเล็กน้อยเมื่อเผชิญกับพละกำลังนั้น



ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)