คัมภีร์วิถีเซียน 1709-1711
ตอนที่ 1709 ฉากกั้นห้องและหม้อสีทอง
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง แต่ผู้แซ่สือเองก็ได้รับคำสั่งมา ไม่อาจปล่อยยาลูกกลอนวิญญาณสูญไปได้ ไม่สู้เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน นอกจากยาลูกกลอนวิญญาณสูญแล้ว ของที่เหลือข้าน้อยจะมอบให้เซียน เซียนไม่ต้องแย่งชิงกับผู้แซ่สือหรอก และยิ่งไปกว่านั้นหลังจากนี้ ท่านอาจารย์จะต้องตกรางวัลให้กับท่านอาวุโสไฉ่แน่” สือคุนได้ยินคำพูดของหลิวสุ่ยเอ๋อร์ ก็หัวเราะหึๆ ออกมา แต่น้ำเสียงกลับเคร่งขรึมขึ้นหลายส่วน
“สหายสือหมายความว่าอย่างไร นี่ไม่ใช่พูดซ้ำกับน้องหญิงหรือ ท่านอาจารย์สั่งไว้ชัดเจน จะต้องเอายาลูกกลอนวิญญาณสูญมาให้ได้ หากสหายยอมถอยให้ น้องหญิงจะตัดสินใจแทนอาจารย์ มอบ ‘ของเหลวผลึกจันทรา’ สมบัติประจำเผ่าผลึกของพวกเราให้ท่านขวดหนึ่ง ของเหลวนี้มีค่ากับเผ่าศิลารังไหมแค่ไหน คิดดูแล้วพี่สือน่าจะรู้ดีสินะ สำหรับสิ่งมีชีวิตระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าท่าน ของเหลววิญญาณนี้เป็นสิ่งที่ร้องขอก็ไม่มีทางได้มา” แววตาของหลิวสุ่ยเอ๋อร์ฉายแววเย็นเยียบ แต่น้ำเสียงกลับอ่อนโยนมาก
“ของเหลวผลึกจันทรา”
เมื่อได้ยินชื่อนี้สือคุนพลันหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย รู้สึกคาดไม่ถึงและรู้สึกสนใจมากหลายส่วนจริงๆ
แต่ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าก่อนออกเดินทางต้วนเทียนเริ่นได้สั่งการเขาเอาไว้ด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก หลังจากรู้สึกตื่นเต้นแล้ว ก็โยนความคิดนี้ทิ้งไป ทันใดนั้นก็สั่นศีรษะปฏิเสธระรัว
“ไม่ได้ แม้ว่าข้าน้อยจะอยากได้ของเหลวผลึกจันทรามาก แต่หากไม่มียาลูกกลอนวิญญาณสูญล่ะก็ ผู้แซ่สือจะออกไปรายงานกับท่านอาจารย์ว่าอย่างไร เรื่องนี้ไม่มีทางเป็นไปได้”
“เช่นนั้นสหายสือก็ไม่คิดจะยอมถอยเลยสินะ” น้ำเสียงของหลิวสุ่ยเอ๋อร์เองก็ไม่เป็นมิตรขึ้นมาเล็กน้อย
ครั้งนี้สือคุนกลับไม่ได้ตอบอันใด แค่มองหลิวสุ่ยเอ๋อร์ด้วยสีหน้าเย็นชา ความหมายของเขาย่อมชัดเจนไม่ผิดพลาด
จากนั้นหลิวสุ่ยเอ๋อร์ก็ไม่เอ่ยปากอีก แววตาค่อยๆ เย็นยะเยือกขึ้นเช่นกัน
บรรยากาศของทั้งสองเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดเป็นอย่างมาก
หานลี่เห็นฉากนี้ ก็อดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้
“เหตุใดสหายทั้งสองต้องทำเช่นนี้! แม้ว่าข้าน้อยจะไม่รู้ว่ายาลูกกลอนวิญญาณสูญมีผลลัพธ์ที่น่าตกตะลึงใด จนให้ท่านอาวุโสทั้งสองอยากได้มาให้ได้ แต่ยามนี้ทั้งสองท่านยังไม่พบยาลูกกลอนชนิดนี้ก็ทำท่าเหมือนลูกศรพร้อมออกจากแล่งแล้ว ไม่คิดว่ามันเร็วเกินไปหน่อยหรือ!” ฉับพลันนั้นเขาพลันเอ่ยอย่างราบเรียบ
“เร็วเกินไป? พี่หานหมายถึง…” สือคุนหน้าเปลี่ยนสี แล้วเอ่ยปากออกมา
หลิวสุ่ยเอ๋อร์ได้ยิน แววตางดงามพลันฉายแววแปลกประหลาด
“ท่านอาวุโสทั้งสองมั่นใจว่าในวิหารจะต้องมียาลูกกลอนวิญญาณสูญแน่ คิดดูแล้วคงคาดเดาจากเบาะแสต่างๆ แต่สถานการณ์ในนี้เป็นอย่างไรกันแน่ ก็พูดยากแล้ว เหตุใดสหายทั้งสองถึงไม่เข้าไปยืนยันสมบัติชิ้นนี้ก่อน จากนั้นค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย” หานลี่เอ่ยอย่างราบเรียบ
เมื่อได้ยินหานลี่กล่าวเช่นนี้ สือคุนและหลิวสุ่ยเอ๋อร์ก็เงียบขรึมขึ้น
ว่ากันตามจริงแล้วจากประสบการณ์ของทั้งสองแน่นอนว่าย่อมขบคิดถึงความเป็นไปได้นี้ แต่ชั่วพริบตาที่ประวิหารถูกทำลาย ทั้งสองก็กังวลว่าอีกฝ่ายจะชิงเอายาลูกกลอนไป แน่นอนว่าครานั้นจึงไม่สนใจเรื่องนี้
ยามนี้เมื่อได้ยินหานลี่เอ่ยถึงเรื่องนี้ ทั้งสองก็มีสีหน้ากระจ่างแจ้งอีกครั้ง แน่นอนว่าย่อมขบคิดถึงข้อได้เปรียบเสียเปรียบทันที
คิดว่าหากมั่นใจว่าในตำหนักมีของ ค่อยหาวิธีเอายาลูกกลอนมา ก็จะมั่นคงกว่า
“พี่หานพูดมีเหตุผล สหายสือ พวกเราเข้าไปดูว่ายาลูกกลอนวิญญาณสูญอยู่ในวิหารหรือเปล่า จากนั้นค่อยปรึกษากันก็แล้วกัน” หลิวสุ่ยเอ๋อร์พลันเอ่ยปากก่อนอย่างแช่มช้า
“เซียนกล่าวเช่นนี้ ผู้แซ่สือก็ไม่มีความเห็นอื่น” เมื่อคิดได้ว่ายังมีหานลี่อยู่ด้วย ความจริงแล้วก็ส่งผลกระทบว่ายาลูกกลอนจะเป็นของใครเป็นอย่างมาก ใบหน้าของสือคุนจึงแสยะยิ้มออกมา เอ่ยปากรับเต็มคำ
“ในเมื่อสหายทั้งสองไม่มีความเห็น พวกเราสามคนก็เข้าไปข้างในกันเถิด อย่าแยกกันเลย” หานลี่เอ่ยพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ แล้วสาวเท้าไปข้างหน้า จนมาอยู่ข้างกายของทั้งสองคน
สือคุนและพวกทั้งสองย่อมไม่ได้ปฏิเสธ ล้วนพากันพยักหน้า
ดังนั้นทั้งสามคนจึงเดินตามกันเข้าไปในประตูวิหาร จากนั้นก็เรียงกันเป็นแถว พลางพิจารณาด้านในวิหาร
สมกับที่เป็นวิหารหลักจริงๆ!
ทั้งวิหารมีความกว้างเกือบพันจั้ง บรรจุคนได้สองสามพันคนพร้อมกันได้เหลือเฟือ
สิ่งที่เข้าตาที่สุดก็คือเสาสีม่วงทองในวิหาร ทุกต้นล้วนบางเท่าตัวคน มีอยู่มากกว่าร้อยต้น
กำแพงวิหารรอบด้านมีอาวุธที่ดูโบราณและวิจิตรงดงามแขวนอยู่ ไม่เป็นขวานยาวก็เป็นขวานยักษ์ ทุกด้ามล้วนเปล่งแสงสีเงินระยิบระยับ แผ่ไอวิญญาณออกมา
ภายใต้การกวาดมองอย่างลวกๆ ก็มีเกือบพันชิ้น
ด้านล่างกำแพงตำหนัก ทุกๆ ระยะหนึ่งจะมีหมวกเกราะหลากสีสันวางกองอยู่
ในหมวกเกราะนั้นว่างเปล่า ผิวของมันมีลวดลายวิจิตรงดงามสลักอยู่ แค่ดูก็รู้แล้วว่าไม่ใช่หมวกเกราะธรรมดา
สุดทางเดินด้านตรงข้ามกับประตูวิหาร มีฉากกั้นห้องขนาดยักษ์สูงเจ็ดแปดจั้งวางอยู่
ผิวของฉากกั้นเปล่งแสงสีเขียวเรืองๆ ด้านบนดูเหมือนว่าจะวาดภาพอันใดสักอย่าง แต่เป็นเพราะมันไกลเกินไปจึงไม่อาจมองให้ชัดในทันที
ด้านหน้าฉากกั้นห้องมีโต๊ะเตี้ยๆ ราวกับโต๊ะน้ำชาอยู่อีกตัวหนึ่ง วางหม้อโบราณสีทองเอาไว้
นอกจากนี้ ทั้งตำหนักก็ว่างเปล่า ไม่มีของประดับใดๆ อีก ทั้งสามไม่จำเป็นต้องไปเสียแรงตามหาสมบัติใดๆ
เมื่อเห็นว่าในตำหนักมีรูปร่างเป็นเช่นนี้ หลิวสุ่ยเอ๋อร์ สือคุนและพวกย่อมรู้สึกตกตะลึง
หานลี่มองไปที่ฉากกั้นและหม้อสีทองที่อยู่ไกลออกไปชั่วครู่ ครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วเดินไปโดยไม่ได้ปริปากอันใด
หลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนเห็นการเคลื่อนไหวของหานลี่ ก็มองสบตากันแวบหนึ่ง แต่ทันใดนั้นก็เลื่อนสายตาออก แล้วเดินตามไปโดยไม่ปริปากใดๆ
ถึงอย่างไรเสียทั้งตำหนักนั้นนอกจากทางนี้แล้ว ก็ไม่มีทางอื่นให้ค้นหาอีก
ดังนั้นภายใต้บรรยากาศที่แปลกประหลาดเช่นนี้ ทั้งสามคนจึงมาอยู่ห่างจากฉากกั้นห้องและหม้อสีทองไปสิบจั้งเศษ
สองเท้าหยุดชะงัก หานลี่หยุดอยู่ที่เดิม พิจารณาทั้งสองอย่างละเอียด
ทั้งสองคนที่อยู่ด้านหลังเห็นเช่นนั้น ก็หยุดฝีเท้าตามความรู้สึก แล้วมองไปยังของทั้งสองสิ่งพร้อมกันด้วยสีหน้าที่หลากหลาย
หานลี่เอาสองมือไพล่หลัง ดูเหมือนจะมีสีหน้าราบเรียบ แต่นัยน์ตาพลันเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบไม่หยุด แม้ว่าผิวของฉากกั้นห้องจะมีแสงสีเขียวบดบังอยู่ แต่จะต้านทานอิทธิฤทธิ์ของเนตรวิญญาณได้อย่างไร
ชั่วพริบตานั้นเขาก็มองเห็นสิ่งที่ปักอยู่บนฉากกั้นห้องอย่างชัดเจน
ผลคือสีหน้าตกตะลึงพลันฉายแววสว่างวาบ
บนฉากกั้นห้องมีประตูประหลาดยักษ์ที่มีอักขระยันต์สีทองและเงินปักอยู่
ประตูบานนี้มีรูปทรงเก่าแก่โบราณ บานประตูเป็นสีดำ แต่ผิวของมันมีอักขระยันต์สองชนิดเปล่งแสงสว่างวาบตัดสลับกันไปมา กลับขับให้เป็นความลึกลับขึ้นหลายส่วน
อักขระยันต์สีทองเงินค่อนข้างคุ้นตา คาดไม่ถึงว่าจะเป็นตัวอักษรสองชนิดของแดนเซียนนั่นก็คือตัวอักษรลูกอ๊อดสีเงินและอักษรจ้วนทอง
หานลี่เลิกคิ้วอย่างไม่ใส่ใจ ชั่วพริบตานั้นก็แผ่จิตสัมผัสออกไป ค้นหาในภาพวาดประตูบนฉากกั้นห้อง
ผลคือพริบตาที่สัมผัสกับภาพวาดประตูยักษ์ พลังมหาศาลก็ปรากฏขึ้นบนฉากกั้นห้อง จิตสัมผัสส่วนนั้นไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง ก็ถูกดึงเข้าไปในฉากกั้นห้อง ตัดขาดความสัมพันธ์กับตัวของหานลี่
หานลี่พลันหน้าเปลี่ยนสี ชั่วขณะนั้นในใจพลันรู้สึกหวาดกลัวฉากกั้นห้องนี้หลายส่วน
สือคุนแค่นเสียงหึ ร่างกายถอยร่นไปด้านหลังครึ่งก้าว ทันใดนั้นร่างกายก็หยุดชะงัก
เห็นได้ชัดว่าผู้นี้ก็เสียเปรียบเช่นกัน ดูเหมือนว่าจะเสียเปรียบกว่าหานลี่เท่าหนึ่ง
เป็นเพราะหลิวสุ่ยเอ๋อร์มีงอบบดบังอยู่ จึงไม่อาจมองเห็นสีหน้าได้ชัด แต่ดูจากร่างกายของนางที่สั่นเทาแล้ว ก็มั่นใจได้ว่าสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของฉากกั้นห้องนี้เช่นกัน
แม้ว่าจะสูญเสียจิตสัมผัสไปเล็กน้อย แต่เทียบกับจิตสัมผัสที่แข็งแกร่งของเขา แน่นอนว่าย่อมไม่มีผลกระทบอันใด
หานลี่ล้มเลิกการตรวจสอบฉากกั้นห้องนี้ชั่วคราว ก้มหน้าลงสายตาตกอยู่บนหม้อโบราณสีทอง
ตัวหม้อเป็นสีทองเรืองรอง แต่ลวดลายที่สลักบนผิวของมันกลับเป็นลวดลายราวกับเมฆา
ลวดลายเหล่านี้สลับซับซ้อนมาก และส่วนใหญ่ล้วนมีรูปทรงขดเกลียว เรียงตัวอยู่ทั่วหม้อโบราณ หากสังเกตให้ละเอียดก็จะพบว่ามันทำให้เขารู้สึกมึนหัว
หานลี่พลันใจหายวาบ แผ่จิตสัมผัสออกมาด้วยสีหน้าราบเรียบเช่นกัน วนล้อมรอบหม้อสีทองสองสามรอบ แล้วไม่อาจเข้าไปในหม้อได้เลยสักนิด
ไม่รู้ว่าหม้อใบนี้ทำขึ้นจากวัตถุดิบใด คาดไม่ถึงว่าจะกั้นพลังจิตวิญญาณเอาไว้ได้
ทว่าเขาเองก็สัมผัสได้ว่า ทั้งสองฝั่งของหม้อใบนี้มีรอยบุ๋มเข้าไปเป็นสี่เหลี่ยม ดูเหมือนว่าจะเอาไว้ใช้ฝังของสองสิ่งโดยเฉพาะ
หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อย ฉับพลันนั้นก็สัมผัสอันใดได้ จึงเงยหน้าขึ้นมองที่เหลือทั้งสองคนแวบหนึ่ง ผลคือทำให้ใจเต้น
เห็นเพียงยามนี้หลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนคาดไม่ถึงว่าจะจ้องเขม็งไปที่หม้อโบราณสีทองด้วยตาที่ไม่กะพริบ
ไม่ถูก น่าจะจ้องเขม็งไปที่รอยบุ๋มทั้งสองฝั่งบนหม้อถึงจะถูก
สีหน้าของสือคุนเผยสีหน้าดีอกดีใจอย่างบ้าคลั่งออกมา
“อันใด สหายทั้งสองรู้จักหม้อสีทองใบนี้หรือ!” หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง แล้วเอ่ยถามอย่างเชื่องช้า
“พี่หานล้อเล่นแล้ว ผู้แซ่สือเองก็เพิ่งเคยเข้ามาที่นี่ครั้งแรก จะรู้จักของสิ่งนี้ได้อย่างไร” สือคุนได้ยิน สีหน้าดีใจพลันหายวับไป แต่กลับสั่นศีรษะขณะเอ่ย
“อ๋อ เช่นนั้นก็ยิ่งแปลก ในเมื่อไม่รู้จัก เหตุใดสหายทั้งสองจึงสนใจหม้อใบนี้ขนาดนี้” หานลี่เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มบางๆ
“เรื่องนี้ พี่หานมิสู้ถามเซียนดูล่ะ นางมีความรู้มากกว่าข้าน้อยไม่น้อย” เมื่อเห็นหานลี่ซักถามอย่างไม่ลดละ ชายร่างใหญ่ก็กลอกตาไปมา แล้วโยนให้หลิวสุ่ยเอ๋อร์เสียเลย
ได้ยินสือคุนกล่าวเช่นนี้ หญิงสวมงอบพลันรู้สึกโมโห แต่เมื่อเห็นหานลี่ส่งเสียงขานรับแล้วหันมามองนาง หญิงสาวผู้นี้ก็ทำได้เพียงเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา
“พี่หานไม่จำเป็นต้องกังวลอันใด หม้อใบนี้น่าจะเป็นอาวุธที่ใช้ใส่ยาลูกกลอนวิญญาณสูญและของอย่างอื่นที่ท่านอาจารย์และท่านอาวุโสต้วนต้องการ สาเหตุที่ข้าและสหายสือรู้ ก็เพราะว่าเราสองคนพกของสิ่งหนึ่งมา สหายสือไม่สู้เจ้ากับข้าเอาสิ่งนี้ออกมาให้พี่หานดูเถิด” หลิวสุ่ยเอ๋อร์เอ่ยออกมาเสียดื้อๆ
“เหอๆ ได้ฟังท่านเซียนกล่าวเช่นนี้ ข้าน้อยก็แปลกใจจริงๆ” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา
“เรื่องนี้…” สือคุนอดที่จะเผยสีหน้าลังเลออกมาไม่ได้ ในเวลาเดียวกันก็ตอบโต้หลิวสุ่ยเอ๋อร์ในใจ แล้วรู้สึกกลัดกลุ้มเป็นอย่างมาก
“อันใด หรือว่าสหายสือคิดว่าไม่ค่อยสะดวก” ดูเหมือนว่าหานลี่จะเอ่ยถามอย่างส่งๆ ไปอย่างนั้น น้ำเสียงอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเห็นท่าทีปฏิเสธไม่ได้ของหานลี่ ชายร่างใหญ่ก็ใจหายวาบ ทันใดนั้นก็ได้สติกลับคืนมาแล้วหัวเราะฮ่าๆ
“เจ้าสิ่งนี้ หากพี่หานไม่พูด ผู้แซ่สือก็ต้องเอาออกมาใช้อยู่แล้ว ถึงอย่างไรเสียหากอยากได้ของในหม้อ ก็ต้องใช้ของสองสิ่งนี้”
เมื่อเอ่ยจบ ชายร่างใหญ่ก็พลิกฝ่ามือมือหนึ่ง ชั่วขณะนั้นลำแสงสีทองพลันเปล่งแสงสว่างวาบ สิ่งหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ
หานลี่เห็นเช่นนั้น แน่นอนว่าย่อมจ้องเขม็งไปอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด จึงมองเห็นเจ้าสิ่งนั้นอย่างชัดเจน
ตอนที่ 1710 เอาสมบัติจากหม้อ
ของสิ่งนั้นเป็นสีทองเรืองรองเช่นกัน ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตรงปลายด้านหนึ่งแกะสลักเป็นหัวมังกร ราวกับตราประทับหยกก็ไม่ปาน
หลังจากที่กวาดสายตามองไปที่ของสิ่งนี้ครึ่งรอบ หานลี่ก็เลื่อนสายตาออก แล้วมองหลิวสุ่ยเอ๋อร์แวบหนึ่ง
แน่นอนว่าหญิงสาวผู้นี้ย่อมเข้าใจเจตนาของหานลี่ ยกมือข้างหนึ่งขึ้นอย่างราบเรียบ หว่างนิ้วขาวนวลมีของเปล่งแสงสีทองสว่างวาบเช่นเดียวกัน
เมื่อมองผ่านๆ ดูเหมือนว่าจะคล้ายคลึงกับของในมือของชายร่างใหญ่ ขนาดไม่ต่างกัน เล็กบางเช่นกัน แต่ปลายของมันกลับสลักหัวหงส์สีทองที่ดูเสมือนจริงเอาไว้
หลังจากหานลี่ดูจบแล้ว ก็เผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา
และในยามนั้นเองหลิวสุ่ยเอ๋อร์ก็อธิบายขึ้นว่า
“สองสิ่งนี้เรียกว่า ‘ลูกกุญแจวิจิตร’ น่าจะเป็นสิ่งเดียวที่ใช้เปิดหม้อสีทองได้ ขาดอันใดไปย่อมใช้การไม่ได้ แม้ว่าข้าสองคนจะไม่รู้สถานการณ์ในวิหาร แต่ท่านอาจารย์กล่าวว่า ลูกกุญแจวิจิตรนี้น่าจะใช้เปิดสิ่งที่บรรจุยาลูกกลอนวิญญาณสูญได้”
“ใช่แล้ว ท่านอาจารย์ก็กล่าวเช่นนี้” สือคุนเห็นหลิวสุ่ยเอ๋อร์เอ่ยจนหมดแล้ว ก็ไม่ได้ปิดบังอันใดอีก จึงยอมรับออกมาเสียเลย
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น สหายทั้งสองก็ลองเปิดหม้อดูสิ ดูว่าด้านในมีของที่ท่านอาวุโสทั้งสองต้องการหรือไม่ ใช่แล้ว ไม่ทราบว่ายาลูกกลอนวิญญาณสูญนั้นมีกี่เม็ด หากมีสองเม็ดขึ้นไป สหายทั้งสองก็ไม่จำเป็นต้องแย่งชิงกัน แบ่งเท่าๆ กันก็ได้แล้ว” หานลี่ฉีกยิ้ม ท่าทีไม่ใส่ใจ
เมื่อได้ยินคำนี้หลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนพลันมองสบตากันแวบหนึ่ง แววตาฉายแววแปลกประหลาด
“พี่หานพูดมีเหตุผล หม้อใบนี้จักต้องเปิดออกไม่ช้าก็เร็ว สหายสือ พวกเราเสียบกุญแจวิจิตรลงไปในหม้อเถิด แม้จะดูเหมือนว่ายาลูกกลอนวิญญาณสูญจะมีเพียงเม็ดเดียว แต่หากมีสองเม็ดขึ้นไปล่ะก็ พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องแย่งชิงอันใดอีก” หลิวสุ่ยเอ๋อร์ไม่ได้ขบคิดอันใด พลางเอ่ยกับชายร่างใหญ่อย่างราบเรียบ
“เปิดหม้อใบนี้ออกก็ไม่มีปัญหาแล้ว แต่ผู้แซ่สือรู้สึกว่าเราสองคนไม่สู้มอบกุญแจวิจิตรให้พี่หาน ให้สหายหานหยิบสมบัติในหม้อใบนี้ จากนั้นก็ค่อยตัดสินว่าจะแบ่งกันอย่างไร เซียนหลิวเจ้าคิดว่าอย่างไร” สือคุนดูเหมือนจะคิดอันใดออก จึงเบะปากแล้วเอ่ยคำพูดที่ทำให้หญิงสาวสวมงอบตกตะลึงออกมา
หญิงสาวในยามนี้กลับไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี
“อันใด เซียนหลิวไม่วางใจพี่หานหรือ?” ชายร่างใหญ่เผยสีหน้าแปลกประหลาดใจออกมา
“พี่หานมีอิทธิฤทธิ์มากมาย ช่วยพวกเราสองคนเอาสมบัติ น้องหญิงย่อมไม่มีปัญหา พี่หานรับกุญแจวิจิตรของน้องหญิงให้ดีละ” หลิวสุ่ยเอ๋อร์มีปฏิกิริยายาตอบสนองว่องไว หลังจากความคิดเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วสองสามครั้ง ก็ตัดสินใจหัวเราะน้อยออกมา และชูมือขึ้น
กุญแจวิจิตรหัวหงส์พุ่งเข้ามาหาหานลี่
สือคุนที่อยู่อีกด้านพลันหัวเราะอย่างเย็นชาออกมา โยนของในมือออกมาอย่างไม่ลังเลเช่นกัน
หานลี่ม้วนแขนเสื้อ ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ กุญแจวิจิตรคู่หนึ่งร่อนลงมาในมือของเขาพร้อมกัน
เขาเหลือบตามองของทั้งสองสิ่งในมือ แล้วกลับหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา
“ทั้งสองท่านทำเช่นนี้ มองข้าน้อยสูงเกินไปแล้วจริงๆ”
“ฮ่าๆ นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว มีเพียงต้องให้สหายหานเก็บสมบัติเอาไว้ก่อน ข้าและเซียนหลิวถึงจะไม่ต่อสู้กัน มิเช่นนั้นหากผู้ใดถือสมบัติเอาไว้ อีกคนจะต้องไม่วางใจแน่” สือคุนเบะปาก แล้วหัวเราะร่าออกมา
“น้องหญิงเองก็ไว้ใจพี่หานมาก” หลิวสุ่ยเอ๋อร์แววตาเปล่งประกาย แล้วฉีกยิ้มอย่างเบิกบานออกมา
“หึๆ แต่ผู้แซ่หานเอาของสิ่งนี้ออกมา กลับรู้สึกว่าร้อนมือมาก” หานลี่คีบกุญแจวิจิตรทั้งสองดอกเอาไว้ แล้วเผยสีหน้าจนปัญญาออกมา พลางสั่นศีรษะไปมา
ทว่าหานลี่เองก็ไม่ได้ส่งของในมือคืนให้ทั้งสอง ครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วขยับฝีเท้าเดินตรงไปที่หม้อสีทอง
สีหน้าของเขาราบเรียบเพียงนี้ แน่นอนว่าย่อมมั่นใจว่าพละกำลังของตนสามารถกดพลังทั้งสองได้เหลือเฟือ เมื่อเผชิญหน้ากับความแข็งแกร่งที่แท้จริง บางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องขบคิดอันใด
เห็นท่าทีของหานลี่ แววตาของหลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนก็เผยสีหน้าตึงเครียดออกมา แต่ทั้งสองก็รู้จักวางตัวเป็นอย่างมาก ล้วนยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ไหวติง
ยามที่หานลี่อยู่ห่างจากหม้อสีทองไปสองสามจั้ง ก็หยุดฝีเท้าลงอีกครั้ง หลังจากกวาดสายตาไปที่รอยบุ๋มทั้งสองข้างบนหม้อสีทอง ก็บรรจุพลังปราณเข้าไปในของที่อยู่มือ จากนั้นก็สะบัดข้อมือ
กุญแจวิจิตรคู่หนึ่งพุ่งออกมา แต่ก็เปล่งเสียงร้องขึ้นระหว่างทาง คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นมังกรวารีสีทองตัวหนึ่งและหงส์สีทองตัวหนึ่งท่ามกลางลำแสงสีทอง
ทั้งสองแค่วนล้อมรอบหม้อสีทองไปรอบหนึ่ง ก็พุ่งออกมาจากทั้งสองด้าน และจมหายเข้าไปในหม้ออย่างไร้ร่องรอย
ผลคือหลังจากลำแสงสีทองสว่างวาบ รอยบุ๋มบนหม้อสีทองก็มีของสองสิ่งที่มีขนาดเหมาะสมกันปรากฏขึ้น
กุญแจวิจิตรทั้งสองปักเข้าไปครึ่งดอก เผยด้านที่แกะสลักเป็นมังกรและหงส์ออกมา ดูแล้วไม่มีร่องของรอยบุ๋มเลยสักนิด ขอบไม่มีรอยเลยแม้แต่น้อย
และเมื่อทั้งสองสิ่งเข้าไปในหม้อสีทอง หม้อก็เปล่งเสียงกู่ร้องราวกับมังกรคำรามออกมา
จากนั้นลำแสงสีทองพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ลวดลายขดเกลียวบนผิวหมุนวนราวกับฟื้นคืนชีพ แม้แต่ลำแสงสีทองบนหม้อก็ยังมีรูปทรงขดเป็นเกลียว
หานลี่แค่มองสองแวบก็รู้สึกตาลาย ราวกับว่าถูกระลอกคลื่นเหล่านี้ดูดเข้าไปข้างในก็ไม่ปาน
เขาพลันใจหายวาบ!
ทว่าถึงอย่างไรเสียหม้อใบนี้ก็เป็นของตายที่ไร้เจ้าของเท่านั้น แน่นอนว่าเขาจึงไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวอันใด
คาถาขับเคลื่อนโคจรอยู่ในร่างของเขาอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกันแววตาพลันเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ ความรู้สึกไม่สบายพลันหายไปเป็นปลิดทิ้ง
แทบจะในเวลาเดียวกันนั้น ปากของหานลี่พลันร้องตะโกนต่ำๆ ออกมา มือหนึ่งร่ายอาคม อาคมสีเขียวสายหนึ่งพุ่งออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในหม้ออย่างไร้ร่องรอย
ครู่ต่อมาเสียงมังกรคำรามที่ดังออกมาจากหม้อพลันเปลี่ยนไป คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นเสียงหงส์เพรียกอันไพเราะ
มองจากไกลๆ หัวมังกรและหงส์ทั้งสองฝั่งของหม้อสีทองพลันชูคอขึ้นดิ้นไปมาราวกับฟื้นคืนชีพ
ฝาหม้อเปล่งแสงสีทองนับหมื่นสายออกมา พวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายไปกลางอากาศอย่างไร้ร่องรอย
เสียงฟ้าผ่าดังขึ้นจากในหม้อ หลังจากเสียงฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ดวงแสงสีทองขนาดน้อยใหญ่สองสามลูกพลันพุ่งออกมาจากด้านล่าง หลังจากกะพริบวาบๆ ก็พุ่งขึ้นไปบนฟ้าเช่นกัน
แต่หานลี่ที่เตรียมการมานานแล้วจะปล่อยให้พวกมันทำสำเร็จได้อย่างไร
ทันใดนั้นก็สะบัดแขนเสื้อข้างหนึ่งไปข้างหน้า
หมอกลำแสงสีเทาหมุนวนบินออกมา ม้วนวนไปกลางอากาศอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า ในเวลาเดียวกันก็ห่อหุ้มดวงแสงสีทองเหล่านั้นเอาไว้ข้างใน
แต่เมื่อดวงแสงสีทองเหล่านี้หมุนวน ฉับพลันนั้นก็กระจายตัวออก ทุกแห่งที่ลำแสงสีทองกวาดผ่านไปหมอกลำแสงสีเทาจะทยอยกันสลายหายไป คาดไม่ถึงว่าจะไม่อาจต้านทานได้ พลางพุ่งทะลวงผ่านไป
หานลี่ที่อยู่ด้านล่างเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น พลันตกตะลึง มือหนึ่งร่ายอาคมอีกครั้ง ฉับพลันนั้นพลันอ้าปากออก พ่นลำแสงสีเขียวออกมา ด้านในมีหม้อใบเล็กสีเขียวอยู่รางๆ
นั่นก็คือหม้อนภาสูญ
มือหนึ่งเลือนรางเล็กน้อยแล้วตบไปที่หม้อใบเล็ก
ฝาหม้อบินออกมาโดยอัตโนมัติ จากนั้นเสียง “พรึ่บ” ก็ดังขึ้นจากในหม้อ เส้นไหมสีเขียวพุ่งออกมา กระจายตัวทั่วท้องฟ้า
เสียงแหวกอากาศดัง “ฟิ้วๆ” สนั่นไปทั่วท้องฟ้า เส้นไหมสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนคลี่ตัวลงมาราวกับตาข่ายสวรรค์สีฟ้าผืนหนึ่ง ห่อหุ้มลำแสงสีทองทั้งหมดเอาไว้
ลำแสงสีทองปะทะกับมันก็ทยอยกันถูกดีดกลับไป
หานลี่ร่ายอาคมกระตุ้นอีกครั้ง มือหนึ่งชี้ไปกลางอากาศ
เก็บตาข่ายยักษ์สีเขียว เห็นเพียงเส้นไหมสีเขียวทั่วท้องฟ้าหดเล็กลง แล้วลำแสงสีทองก็ห่อหุ้มเส้นไหมสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนเอาไว้อย่างแน่นหนา สุดท้ายก็ไม่อาจกระดิกกระเดี้ยตัวได้อีก
หานลี่ถึงได้กวักมือไปกลางอากาศด้วยสีหน้าราบเรียบ
ชั่วขณะนั้นเส้นไหมสีเขียวกลางอากาศพลันเปลี่ยนเป็นเจิดจ้า ทำให้สือคุนและหลิวสุ่ยเอ๋อร์ที่จับตามองอยู่ด้านหลังเองก็กะพริบตาพร้อมกันตามความรู้สึก
เส้นไหมสีเขียวที่ถูกลำแสงสีทองห่อหุ้มเอาไว้กลายเป็นหมอกสีเขียวพุ่งลงไปในหม้อเล็กๆ ด้านล่าง หลังจากกะพริบวาบก็จมหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ฝาหม้อสีเขียวร่อนลงมาด้านล่างทันที ชั่วขณะนั้นก็ปิดฝาหม้อนภาสูญเอาไว้อย่างแน่นหนา
หานลี่ตะปบมือไปทางหม้อ ชั่วขณะนั้นลำแสงสีเขียวพลันเปล่งแสงสว่างวาบ หม้อใบเล็กปรากฏขึ้นในมือของเขา
จากนั้นเขาพลันใช้มือหนึ่งถือหม้อเอาไว้ แล้วหันกาย เอ่ยกับผู้ที่อยู่ด้านหลังทั้งสองคน
“สหายทั้งสองสมบัติอยู่ในมือแล้ว ด้านในใช่ของที่ท่านอาวุโสทั้งสองต้องการหรือไม่ ต้องให้สหายทั้งสองเป็นผู้ตรวจสอบเองแล้ว”
สิ้นเสียง หานลี่ก็สะบัดข้อมืออีกครั้ง หม้อนภาสูญบินขึ้นไปอีกครั้ง พลางลอยอยู่ตรงหน้าไม่ขยับเขยื้อน
เขาเองก็เอาสองมือกอดอก มองทั้งสองคนที่อยู่ตรงข้ามด้วยท่าทีอมยิ้ม
หลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนได้ยินคำนี้ ก็อดที่จะมองสบตากันแวบหนึ่งไม่ได้
แต่ทันใดนั้นหญิงสาวสวมงอบพยักหน้าแล้วหัวเราะเบาๆ จากนั้นพลันเดินนวยนาดเข้ามา
ส่วนสือคุนก็แค่ลูบใต้คาง หลังจากกวาดสายตาไปบนหม้อสีเขียว ก็กระแอมไอเบาๆ แล้วขยับเข้ามา
ทั้งสองอยู่ห่างจากหม้อใบเล็กไปสองสามจั้ง แล้วทยอยกันหยุดฝีเท้าไม่ขยับเข้ามาข้างหน้าอีก
ไม่รอให้ทั้งสองได้เอ่ยปากพูดอันใด หานลี่ก็ปัดมือข้างหนึ่งไปทางหม้อใบเล็กด้วยสีหน้าราบเรียบ
ชั่วขณะนั้นหม้อใบเล็กสีเขียวพลันหมุนติ้วๆ ฝาหม้อเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปอีกครั้ง ด้านในมีลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบไม่หยุด
“พี่หาน สมบัติชิ้นนี้ของเจ้าคือสมบัติวิญญาณ ไม่ทราบว่ามีชื่อเสียงเรียงนามว่าอย่างไร!” สือคุนในยามนี้พลันเอ่ยถาม
“อันใดพี่สือสนใจสมบัติวิญญาณของข้าน้อยหรือ” หานลี่มีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงเลยสักนิด และไม่ได้เอ่ยปากตอบใดๆ กลับถามย้อนแทน
“ไม่มีอันใด ข้าน้อยโชคดีเคยอ่านสมบัติวิญญาณหุ้นตุ้นในเผ่ามาครั้งหนึ่ง ดูเหมือนว่าด้านในจะมีสมบัติที่คล้ายกับของสหายมาก” สือคุนเอ่ยด้วยแววตาที่เปล่งประกายวาวโรจน์
“สมบัติวิญญาณหุ้นตุ้น!” หานลี่ขมวดคิ้วตามความรู้สึก
“อันใดหรือว่าพี่หานไม่เคยได้ยินสมบัติชนิดนี้หรือ!” สือคุนกลับมีท่าทีประหลาดใจ
“เคยได้ยินมาเล็กน้อย แต่เป็นแค่ข่าวลือเท่านั้น สถานการณ์จริงของสมบัติชิ้นนี้เป็นอย่างไรก็ยังไม่แน่ใจนัก ต้องขอคำแนะนำจากสหายแล้ว” หานลี่ตอบด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“สมบัติชิ้นนี้ก็ไม่มีอันใด ความจริงแล้วเผ่าเล็กๆ ที่สามารถครอบครองตำแหน่งที่แม่นยำในแดนวิญญาณ ล้วนมีหินประหลาดร่วงลงมาจากฟากฟ้า ด้านบนสลักคำว่าสมบัติวิญญาณหุ้นตุ้นเอาไว้ ในบันทึกชื่อสมุนไพรวิญญาณฟ้าดินและสมบัติโฮ่วเทียนที่ปรากฏในแดนนี้เอาไว้ และเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ทุกชิ้นที่บันทึกอยู่ในนั้นล้วนเป็นของที่ไม่ธรรมดา สมบัติวิญญาณสะท้านฟ้าเป็นแค่สมบัติที่จัดอยู่ในอันดับสุดท้ายของสมบัติโฮ่วเทียนเท่านั้น ตอนนั้นข้าบังเอิญอ่านหน้าที่สองของบันทึกนั้นเข้า ถึงได้จำว่าคล้ายกับหม้อของสหาย ทว่าของสิ่งนี้จัดอยู่อันดับหลังๆ บางทีผู้แซ่สืออาจจะจำผิดก็ได้”
สือคุนตอบกลับอย่างจริงใจ
ตอนที่ 1711 น้ำเต้าทองและสมุนไพรวิญญา...
“หม้อใบนี้ใช่สิ่งที่พี่สือพูดถึงหรือไม่ ข้าเองก็ไม่มั่นใจนัก อาจจะใช่กระมัง หรือบางทีก็อาจจะไม่ใช่ ทว่านั่นมันไม่สำคัญ! ยามนี้สิ่งที่สำคัญก็คือต้องดูว่าสมบัติที่พบมีสิ่งที่ท่านอาวุโสทั้งสองต้องการหรือไม่” หานลี่ฉีกยิ้มขณะเอ่ย
เมื่อเห็นหานลี่มีท่าทีไม่อยากพูดมาก สือคุนจึงไม่ได้เอ่ยอันใดอีก เขาพยักเพียงแค่หน้าไม่ซักถามต่อ
ส่วนหลิวสุ่ยเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้าง ตั้งแต่ต้นจนจบดวงตาคู่งามก็จับจ้องอยู่บนหม้อนภาสูญ นางได้ยินหานลี่และพวกทั้งสองสนทนากันจบ ทันใดนั้นปากบางก็เผยอออกแล้วเอ่ยว่า
“พี่หาน เจ้าเก็บสมบัติออกไปเถิด ยาลูกกลอนวิญญาณสูญสังเกตได้ง่ายมาก ข้าสองคนไม่มีทางจำผิดแน่” หญิงสาวผู้นี้เป็นห่วงสมบัติในหม้อ ดูเหมือนว่าจะชนะชายร่างใหญ่ไปขั้นหนึ่ง
แน่นอนว่าหานลี่ย่อมไม่มีความเห็นใด สะบัดแขนเสื้อ ชั่วขณะนั้นธงอาคมสองสามสายพลันกลายเป็นลำแสงประหลาดหลากสีสันพุ่งออกมา แล้วจมหายไปกลางอากาศ
ชั่วพริบตาม่านลำแสงสีขาวพลันปรากฏออกมา ชั่วครู่ก็ห่อหุ้มลงมาในรัศมีวงกลมสิบจั้งเศษ
นั่นก็คือเขตอาคมต้องห้ามง่ายๆ ชนิดหนึ่ง
แน่นอนว่านี่ย่อมเป็นการป้องกันตัวของหานลี่ เพราะกลัวว่ายามที่ตรวจสอบสมบัติอาจจะเกิดอุบัติเหตุอันใดขึ้นจึงจงใจวางเขตอาคมไป
หลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนกวาดสายตาไปบนม่านลำแสง ก็ไม่ได้ใส่ใจอันใด
สำหรับพวกเขาแล้วสามารถทำลายเขตอาคมชนิดนี้ได้อย่างง่ายดาย และไม่ได้สงสัยอันใดในตัวหานลี่
เมื่อวางเขตอาคมเสร็จสิ้น หานลี่ก็มองไปยังหม้อกลางอากาศแวบหนึ่ง เลิกคิ้วเล็กน้อยแล้วอ้าปากออก พ่นหมอกลำแสงสีเขียวออกมา
หมอกลำแสงสีเขียวม้วนออกมาจากหม้อ ฝาหม้อเปล่งแสงสว่างวาบ แล้วหายวับไปอย่างแปลกประหลาด
เสียงอึกทึกดังออกมาจากในหม้อ ในเวลาเดียวกันลำแสงสีเขียวพลันเปล่งแสงสว่างวาบไม่หยุด
หลิวสุ่ยเอ๋อร์และชายร่างใหญ่เห็นเช่นนั้นต่างก็เผลอกลั้นลมหายใจ
หานลี่กลับฉีกยิ้มเบิกบาน ยกมือขึ้น ชี้นิ้วไปที่หม้อใบเล็กสีเขียว
หม้อใบเล็กที่เปล่งแสงสีเขียวเดิมมีขนาดแค่สองสามฉื่อ หลังจากหมุนคว้างก็มีขนาดสูงใหญ่สองสามจั้ง
จากนั้นหานลี่ก็ใช้อีกมือหนึ่งร่ายอาคม
เสียงอึกทึกดังขึ้น! ชั่วขณะนั้นในหม้อพลันมีดวงแสงขนาดเท่ากำปั้นบินออกมา แต่กลับถูกเส้นไหมสีเขียวห่อหุ้มเอาไว้อย่างแน่นหนา ผิวของมันขยายใหญ่และหดเล็กลงไม่หยุด
“เปิด”
หานลี่ตะโกนด้วยเสียงทุ้มต่ำออกมา ชูมือข้างหนึ่งขึ้น อาคมสายหนึ่งพุ่งออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายไปในดวงแสง
ครู่ต่อมาเส้นไหมสีเขียวบนผิวของดวงแสงพลันแตกออกเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นดวงลำแสงสีเขียวแล้วสลายหายไป
เส้นไหมสีเขียวสลายหายไป ด้านในมีลำแสงสีทองเปล่งแสงสว่างวาบ ของสิ่งหนึ่งบินออกมาจากด้านใน
แววตาของหานลี่ฉายแววเย็นเยียบ มือข้างหนึ่งตะปบออกไปตั้งนานแล้ว
เสียงแหวกอากาศ “พรึ่บๆ” ดังขึ้น พลังมหาศาลไร้รูปร่างกลุ่มหนึ่งห่อหุ้มลงมา ของสิ่งนั้นหยุดชะงักกลางอากาศไม่อาจขยับตัวได้เลยสักนิด
หานลี่เพ่งพินิจมอง ก็มองเห็นอย่างชัดเจน
เป็นน้ำเต้าสีทองเรืองรองผลหนึ่ง ผิวของมันมีอักขระซับซ้อน ลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบ
หลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนมองสิ่งนี้ สีหน้าแปลกประหลาดใจ แต่ไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ
หานลี่เองก็ไม่เกรงใจ ฝ่ามือตะปบออกไปกลางอากาศแล้วดึงกลับมา
เสียง “สวบ” ดังขึ้น!
น้ำเต้าสีทองพุ่งมาหาหานลี่ทันที และร่อนลงในมือ
น้ำเต้าผลนี้ดูเหมือนจะมีสติสัมปชัญญะ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ยังสั่นเทาไม่หยุดอยู่ในฝ่ามือของเขา ท่าทางดิ้นรน
หานลี่เลิกคิ้วขึ้น แขนข้างหนึ่งปัดไปบนน้ำเต้า
ลำแสงสีขาวเปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วพริบตานั้นยันต์สีขาวสายหนึ่งพลันแปะอยู่ด้านบน
ภายใต้พลังต้องห้ามสีขาว ของสิ่งนั้นที่ยังสั่นไม่หยุดก็หม่นแสงลง ไม่มีความผิดปกติใดๆ อีก
หานลี่ชูมือขึ้นด้วยสีหน้าไม่สะทกสะท้าน เอาน้ำเต้ามาพิจารณาในระดับสายตา
ในเวลาเดียวกันนั้นแววตาของเขาพลันเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ จิตสัมผัสเสี้ยวหนึ่งกวาดไปบนสมบัติชิ้นนี้
เวลาผ่านไปเพียงหนึ่งถ้วยน้ำชา ลำแสงในแววตาของหานลี่หายวับไป โยนน้ำเต้าไปฝั่งตรงข้ามโดยไม่ปริปาก
สิ่งนี้กลายเป็นลำแสงสีทองบินออกมา และหยุดอยู่กลางอากาศระหว่างหลิวสุ่ยเอ๋อร์และพวกทั้งสองคน แล้วลอยนิ่งอยู่ตรงนั้น
“นี่ไม่ใช่ยุทธภัณฑ์บรรจุสมุนไพรวิญญาณ แต่เป็นสมบัติธาตุทองที่หาได้ยากชุดหนึ่ง นอกจากตัวน้ำเต้าที่ดูเหมือนมหัศจรรย์แล้ว ด้านในมีกระบี่บินนิรนามถูกบ่มเพาะอยู่สองสามเล่ม ไม่รู้ว่าอานุภาพเป็นอย่างไร” หานลี่เอ่ยอย่างแช่มช้า
“เช่นนั้นคงเป็น ‘กระบี่ในน้ำเต้า’ ในอดีตสินะ ว่ากันว่าวิธีการหลอมสมบัติชนิดนี้หายสาบสูญไปจากแผ่นดินใหญ่ต่างๆ ตั้งนานแล้ว น้องหญิงได้เปิดโลกแล้ว สหายสือ! น้องหญิงจะตรวจสอบสมบัติชิ้นนี้สักหน่อย เจ้าไม่มีความเห็นอันใดสินะ” หลิวสุ่ยเอ๋อร์ฟังจบก็ฉีกยิ้มเบิกบานขณะเอ่ยกับสือคุน
“หึๆ ผู้แซ่สือจะไม่เห็นด้วยได้อย่างไร เซียนดูก่อนเถิด” ชายร่างใหญ่หัวเราะฮ่าๆ ออกมา ท่าทางไม่ค่อยใส่ใจ
หลิวสุ่ยเอ๋อร์ฉีกยิ้มน้อยๆ มือเรียวกวักเรียกกลางอากาศ
ชั่วขณะนั้นน้ำเต้าสีทองก็ร่อนลงมาอย่างเชื่องช้า ถูกหญิงสาวผู้นี้ตะปบเอาไว้กลางฝ่ามือ
หญิงสาวแผ่จิตสัมผัสออกไป และเริ่มตรวจสอบอย่างละเอียด
ภายในระยะเวลาอันสั้น แค่ชั่วครู่นางก็สั่นศีรษะ โยนสมบัติชิ้นนี้ไปให้สือคุนเช่นกัน
ชายร่างใหญ่เห็นการกระทำของหญิงสาว ใบหน้าพลันเผยสีหน้าสิ้นหวังออกมา แต่ก็รับน้ำเต้านั้นไปอย่างไม่เต็มใจนัก แววตาที่มองไปเปล่งประกาย
“เป็นสมบัติธาตุทองชิ้นหนึ่งดังคาด สิ่งนี้วางอยู่ในหม้อทองได้ เกรงว่าอานุภาพคงไม่ด้อยเท่าไหร่แน่ สหายทั้งสองคิดว่า ควรจะจัดการกับของสิ่งนี้อย่างไร” หลังจากผ่านไปชั่วครู่ สือคุนก็พ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยด้วยความเสียดาย
หลิวสุ่ยเอ๋อร์เหลือบตามองตำแหน่งของหานลี่แวบหนึ่ง แล้วหัวเราะแผ่วเบาออกมา
“ในเมื่อสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่ท่านอาจารย์และท่านอาวุโสต้วนต้องการ ไม่สู้มอบให้พี่หานเก็บรักษาเอาไว้ชั่วคราว รอจนได้สมบัติครบแล้ว ค่อยตัดสินใจว่าจะเป็นของผู้ใด”
สือคุนครุ่นคิดด้วยแววตาที่เปล่งประกาย แล้วพยักหน้า สะบัดข้อมือโยนน้ำเต้ากลับคืนให้หานลี่อีกครั้งแล้วเอ่ยว่า
“ในเมื่อเซียนหลิวกล่าวเช่นนี้ ผู้แซ่สือก็คิดเช่นเดียวกัน ในเมื่อสมบัติที่ได้ไม่ใช่สิ่งที่ท่านอาจารย์ต้องการ ก็เก็บไว้กับพี่หานก่อน สุดท้ายค่อยแบ่งกันอย่างยุติธรรมเถิด”
“ในเมื่อสหายทั้งสองล้วนมีเจตนาเช่นนี้ ผู้แซ่หานก็จะเก็บสมบัติชิ้นนี้ไปก่อน” หานลี่เองก็ไม่ได้เกรงใจอันใด สะบัดแขนเสื้อ ลำแสงสีเขียวม้วนวนออกมากลางอากาศ
น้ำเต้าสีทองสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
จากนั้นเขาก็ใช้มือข้างหนึ่งร่ายอาคมกระตุ้นหม้อสมบัตินภาสูญอีกครั้ง
ชั่วขณะนั้นหมอกลำแสงสีเขียวด้านในพลันเปล่งแสงสว่างวาบ เส้นไหมสีเขียวสายหนึ่งบินออกมาจากด้านใน
หลังจากที่ถูกหานลี่สำแดงออกมาเช่นนั้น เส้นไหมสีเขียวก็กระจายตัวออก ด้านในเผยสมบัติอีกชิ้นหนึ่งออกมา
เป็นกล่องหยกสีเขียวที่ผิวมีอักขระยันต์สีทองเปล่งแสงสว่างวาบไม่หยุด
กล่องหยกใบนี้ถูกหานลี่ยกมือขึ้นแล้วดูดเข้ามา พลางร่อนลงมาในมือของเขา
เมื่อเห็นกล่องหยก หลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนที่อยู่ตรงข้ามก็มีชีวิตชีวาขึ้น จ้องเขม็งไปที่มันด้วยดวงตาที่ไม่กะพริบ
หานลี่ไม่ได้หลอกลวงอันใด เป่าไอวิญญาณไปที่กล่องหยกต่อหน้าทั้งสองคน
ฝากล่องเปิดออกโดยอัตโนมัติ
หลังจากกวาดสายตาไปในกล่องหยกเล็กน้อย หานลี่ก็หน้าเปลี่ยนสี
คาดไม่ถึงว่าด้านในจะมีม้าตัวเล็กสีเขียวมรกตที่รูปร่างเหมือนกันทุกระเบียบนิ้ว ขนาดเท่าไข่ไก่ แผ่กลิ่นหอมของยาที่เข้มข้นออกมา
แค่ดมไปเล็กน้อย ก็สัมผัสได้ถึงพลังไอวิญญาณบริสุทธิ์ที่ตรงเข้าสู่ปอด
แต่ม้าตัวน้อยสองตัวนิ่งงันอยู่ในกล่องหยก หลับตาทั้งสองข้างสนิท ไม่มีท่าทีของการมีชีวิตตั้งนานแล้ว
แววตาของเขาหดเล็กลง แต่ทันใดนั้นก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ แต่ฝ่ามือที่ถือกล่องหยกเอาไว้พลันเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ
ม้าน้อยในกล่องหยกทั้งสองตัวสั่นเทาแล้วบินออกมาจากด้านใน แยกออกเป็นซ้ายและขวาพุ่งมาหาหานลี่และพวกทั้งสองคน
ในเวลาเดียวกันปากของเขาก็เอ่ยอย่างราบเรียบว่า
“สมุนไพรวิญญาณสองต้นนี้ น่าจะเป็นหญ้าเขียวมรกตที่ท่านอาวุโสทั้งสองเอ่ยถึง คิดไม่ถึงว่ามันจะแปลงกายได้แล้ว คิดดูแล้วต้องมีประโยชน์กับท่านอาวุโสทั้งสองมากแน่ หากมีสองตัวล่ะก็ ทั้งสองท่านก็เก็บไว้กันคนละตัว”
เมื่อได้ยินคำพูดของหานลี่ แล้วมองเห็นม้าตัวเล็กสองตัวที่ดูสมจริง หลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนก็อดที่จะรู้สึกดีใจไม่ได้ แต่ในใจก็รู้สึกผิดหวัง
แต่ไม่ว่าจะพูดอันใด ทั้งสองคนเห็นหานลี่มอบสมุนไพรที่หายากให้อย่างไม่ลังเล ความกังวลสุดท้ายในใจต่อหานลี่พลันสลายหายไป
สือคุนหัวเราะฮ่าๆ แล้วเอ่ยขอบคุณ มือหนึ่งตะปบออกไป แล้วสูบม้าน้อยสีเขียวมรกตเข้าไปในมือ มองอย่างคร่าวๆ รอบหนึ่ง แล้วหยิบกล่องหยกออกมาโดยอัตโนมัติ วางสมุนไพรวิญญาณลงไปอย่างระมัดระวัง
หลิวสุ่ยเอ๋อร์หญิงสาวผู้นี้เองพิจารณาสมุนไพรวิญญาณของในมือเสร็จ ก็เอ่ยขอบคุณหานลี่อย่างซาบซึ้ง เก็บสมุนไพรวิญญาณเข้าไปในแขนเสื้อ แล้วเปล่งแสงสว่างวาบพลางหายไปอย่างไร้ร่องรอย
หานลี่พยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็โยนกล่องหยกในมือลงบนพื้น ทำให้ทั้งสองคนที่อยู่ตรงข้ามมองเห็นว่าด้านในกล่องนั้นว่างเปล่า หลังจากไม่มีสมุนไพรวิญญาณแปลงกายต้นที่สาม ถึงได้กระตุ้นหม้อนภาสูญต่อ
ด้านล่างหม้อพลันมีของสองสิ่งพ่นออกมา กลับเป็นจานอาคมหกเหลี่ยม รวมทั้งสมบัติหอคอยสีทองเรืองรอง
ของสองสิ่งนี้แค่ดูก็รู้ว่ามีอานุภาพลึกล้ำยากจะคาดเดา สมบัติทั้งสองชิ้นนี้ถูกหานลี่เก็บไว้ชั่วคราวเช่นกัน รอให้ถึงยามสุดท้ายค่อยแบ่งกับพวกเขา
แต่ในหม้อพลันมีสมบัติชิ้นต่อไปออกมา เป็นวัตถุดิบหายากที่ไฉ่หลิวอิงและต้วนเทียนเริ่นระบุถึง หลังจากถูกหานลี่แบ่งกับอีกสองคนอย่างยุติธรรมแล้ว หลิวสุ่ยเอ๋อร์พลันแววตาเปล่งประกาย มีสีหน้าร้อนรนขึ้น
ใบหน้าของสือคุนเองก็เคร่งขรึมไปเล็กน้อย
ลำแสงสีทองที่ถูกหานลี่เก็บเข้าไปในหม้อเมื่อครู่ เขาสองคนเห็นชัดเจน จำนวนไม่มากนัก
และในยามนี้ก็ยังไม่เห็นเงาของยาลูกกลอนวิญญาณสูญ จะไม่ทำให้ทั้งสองรู้สึกไม่สบายใจได้อย่างไร
ต่อให้ได้สมบัติอื่นๆ มากขนาดไหน หากเอายาลูกกลอนวิญญาณสูญที่สำคัญที่สุดมาไม่ได้ การเดินทางครั้งนี้ก็นับว่าล้มเหลว
ยามนี้หม้อยักษ์สีเขียวพลันเปล่งเสียงร้องต่ำๆ ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบแล้วพ่นสมบัติที่ถูกห่อหุ้มด้วยเส้นไหมสีเขียวออกมา
หลังจากเส้นไหมสีเขียวสลายหายไป ด้านพลันเผยขวดเล็กสีม่วงทองออกมา ขนาดสองสามชุ่น แต่ผิวเกลี้ยงใสราวกับกระจก และมีไอสีขาววนล้อมรอบขวดอยู่
เมื่อสัมผัสได้ถึงไอวิญญาณที่น่าตกตะลึงที่แผ่ออกมาจากในขวด สือคุนพลันมีสีหน้ายินดี แววตางดงามของหลิวสุ่ยเอ๋อร์เผยความแปลกประหลาดใจออกมา
หานลี่มองขวดสีม่วงทองที่ค่อยๆ หมุนวนกลางอากาศ ไม่แสดงสีหน้าอันใดออกมา แต่พลันลูบใต้คาง มุมปากหยักรอยยิ้มเล็กๆ
ฉับพลันนั้นเขาพลันยกแขนขึ้น ชี้นิ้วไปกลางอากาศ
ชั่วขณะนั้นเสียง “พรึ่บ” พลันดังขึ้น ฝาขวดสีม่วงทองพลันบินหายไป จากนั้นฝาขวดก็เทออกมา พ่นเปลวเพลิงสีเหลืองทองออกมาจากด้านใน
ในเปลวเพลิงมีเสียงเพรียกของวิหคดังออกมา เปลวเพลิงสีทองทั้งหมดม้วนวนไปยังทิศทางเดียวกัน คาดไม่ถึงว่าจะหมุนคว้างกลายเป็นวิหคเพลิงสีเหลืองทองตัวหนึ่ง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น