อัจฉริยะสมองเพชร 1704-1705

 ตอนที่ 1704 เสียงร้องขอความช่วยเหลือ

อสูรตัวมหึมาที่ออกมาจากถ้ำมีความยาว 10 เมตรและสูงราว 5 เมตร คล้ายคลึงกับเสือขาวหน้าผากแดง แต่ขนของมันเป็นสีทองเปล่งประกาย แม้ยังไม่ทันได้เคลื่อนไหว แต่ผู้ที่ได้พบเห็นก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของความกระหายเลือดที่อบอวลอยู่ในอากาศ


หลังจากเข้าสู่มิติลี้ลับ พวกเขาได้เห็นอสูรมากมาย ระดับวรยุทธของพวกมันสูงจนน่าสะพรึง แต่ประสิทธิภาพในการต่อสู้นั้นออกจะอ่อนด้อยไปบ้าง การรับมือกับพวกมันยังคงไม่ง่าย แต่ก็มีโอกาสที่พวกมันจะสร้างความผิดพลาดด้วยการเปิดจุดอ่อน


แต่เรื่องพวกนี้ไม่อาจใช้กับอสูรขนาดมหึมาที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาได้ จากเจตนาสังหารเข้มข้นที่ดูจะพวยพุ่งออกมาจากทุกอณูในร่างกาย จนถึงความหวาดระแวงในดวงตา ชัดเจนว่ามันคืออสูรที่คร่ำหวอดกับการต่อสู้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามีอสูรทรงพลังมากมายที่ต้องล้มตายด้วยกรงเล็บของมัน


การจะได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ยิ่งใหญ่ของป่าผืนนี้ อสูรตัวนั้นจะต้องมีพละกำลังไร้เทียมทาน


เสือเมฆวิญญาณทองกวาดสายตาเย็นเยียบมองกลุ่มคนทั้ง 8 จากนั้นก็คำราม “เนิ่นนานเหลือเกินแล้วที่ใครสักคนจะอาจหาญเข้ามาวุ่นวายในอาณาเขตของฉัน”


น่าประหลาดที่เสือเมฆวิญญาณทองสามารถพูดภาษามนุษย์


หลายหมื่นปีแล้วที่ไม่มีมนุษย์คนไหนได้เข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อ ด้วยเหตุนี้ หมาป่าเวหาหน้าทองและเสือขาวหน้าผากแดงจึงสามารถสื่อสารกันด้วยภาษาดั้งเดิมของเผ่าพันธุ์ของพวกมันเท่านั้น หลังจากที่จางเซวียนทำให้มันยอมจำนนได้แล้ว จึงสามารถติดต่อสื่อสารกับมันโดยใช้โทรจิตได้


แต่เจ้ายักษ์ใหญ่ตัวนี้พูดภาษามนุษย์ได้อย่างชัดเจน แม้แต่จางเซวียนก็ประหลาดใจกับความผิดปกติที่เห็น


“อย่ามัวเสียเวลาอยู่เลย เข้าเรื่องเถอะ!” หวูชางผิงตวาดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด


การที่เสือเมฆวิญญาณทองพูดภาษามนุษย์ได้นั้นย่อมหมายความว่ามันรู้เรื่องของเผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่ไม่น้อย และข้อเท็จจริงที่ว่ากลลวงก่อนหน้านี้ของพวกเขาใช้การไม่ได้ผล ก็คงเป็นเพราะอีกฝ่ายรู้แกวตั้งแต่ต้น


ฟึ่บ!


กลุ่มนักรบทั้ง 8 เงื้ออาวุธขึ้นและตีวงล้อมเสือเมฆวิญญาณทอง รังสีของพวกเขาเชื่อมโยงกัน เกิดเป็นรูปร่างอันน่าทึ่งราวกับเส้นด้ายที่ถักทอพวกเขาเอาไว้ด้วยกัน เพียงแค่ชำเลืองมอง ก็เห็นชัดแล้วว่ามันคือค่ายกลชั้นยอด พวกเขายังใช้ของล้ำค่าบางอย่างที่มีอานุภาพไร้เทียมทานด้วย


ไม่น่าแปลกใจที่คนกลุ่มนี้ไม่เต็มใจจะให้จางเซวียนเฝ้าดู พวกเขาเตรียมการมาอย่างดีเพื่อจะเอาชนะและทำให้เสือเมฆวิญญาณทองยอมจำนนให้ได้ จึงไม่มีทางที่จะยอมเสี่ยงให้ใครสักคนมาฉกฉวยผลงานจากหยาดเหงื่อแรงงานของพวกเขาไป


“ไร้ประโยชน์อะไรเช่นนี้!”


เสือเมฆวิญญาณทองคำรามกร้าว ไม่ใส่ใจการเคลื่อนไหวของทั้งกลุ่ม มันกระทืบเท้าอย่างแรงและกระโจนเข้าใส่ชายวัยกลางคนที่อยู่ใกล้ที่สุด


ดูเหมือนมันตั้งใจจะบุกเข้าทำลายค่ายกลด้วยการพุ่งการโจมตีไปที่นักรบคนหนึ่งก่อน


ฟึ่บ!


ยังไม่ทันที่กรงเล็บของมันจะตะปบลงไป พลังงานเข้มข้นก็พุ่งเข้าสู่ร่างของชายวัยกลางคนผ่านเส้นด้ายที่ถักทออยู่โดยรอบ ทำให้เขามีพละกำลังเต็มเปี่ยม ร่างของเขาเรืองแสงออกมา


เมื่อได้รับการเสริมกำลังจากกระแสพลังงาน ชายวัยกลางคนผู้นั้นเงื้อกระบี่ขนาดใหญ่ของเขาขึ้นและพุ่งมันออกไปอย่างแรง


กระแสกระบี่ฉีขนาดใหญ่ก่อเกิดเป็นภาพติดตา เป็นภาพของหอคอยสูงตระหง่านที่อยู่กลางอากาศ


บึ้มมมม!


กรงเล็บกับผ้าปิดตาที่เกิดจากกระแสกระบี่ฉีปะทะกัน เสือเมฆวิญญาณทองต้องล่าถอย


ไม่น่าเชื่อว่าพวกเขาสามารถถ่ายทอดพละกำลังของทั้งกลุ่มเข้าสู่ร่างของคนๆเดียวได้…


จางเซวียนพยักหน้า


ไม่มีทางที่ชายวัยกลางคนผู้นี้จะรับมือกับการโจมตีของเสือเมฆวิญญาณทองโดยลำพังได้ เพราะการใช้เส้นด้ายนั้นที่ทำให้ทั้งกลุ่มสามารถถ่ายทอดพละกำลังเข้าสู่ร่างของชายวัยกลางคน ทำให้เขามีพละกำลังเหนือกว่าเสือเมฆวิญญาณทอง


ด้วยการผนึกกำลังกันแบบนี้ ต่อให้อสูรที่ทรงพลังอย่างเสือเมฆวิญญาณทองก็ไม่อาจทำลายปราการป้องกันตัวของพวกเขาได้


“ดูเหมือนพวกเขาจะใช้ของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่”


เมื่อพิจารณาจากการที่ด้ายเส้นนั้นสามารถต้านทานพละกำลังของกลุ่มคนมากมายโดยไม่กีดขวางพละกำลังของชายวัยกลางคนผู้นั้น ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าของล้ำค่าที่พวกเขาใช้จะต้องเป็นระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่เป็นอย่างน้อย


ถึงจะยังไม่อาจเทียบชั้นกับหอกสวรรค์กระดูกมังกรได้ แต่ก็ถือว่าทัดเทียมกับกระบี่สีทองของอู๋ชู่


“เข้าใจแล้ว ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพวกคุณถึงกล้าท้าทายฉัน มีไม้เด็ดอยู่กับมือนี่เอง…”


เสือเมฆวิญญาณทองคำรามเสียงเย็นหลังจากที่เห็นว่าไม่อาจฝ่าด่านการป้องกันตัวของคนเหล่านั้นได้ แต่มันก็ไม่แสดงอาการของความปั่นป่วนแม้แต่น้อย กลับฟาดหางอันหนาหนักของมันอย่างโกรธเกรี้ยว


หางนั้นใช้ต่างอาวุธได้ มันมีพละกำลังมากกว่ากรงเล็บเสียอีก เสือเมฆวิญญาณทองฟาดหางเข้าใส่ชายวัยกลางคนอีกครั้ง


เมื่อรับรู้ถึงอันตรายจากการฟาดหาง ชายวัยกลางคนเงื้อกระบี่ของเขาขึ้นอีกครั้งเพื่อรับการโจมตี


พลั่ก!


กระบี่กับหางปะทะกัน คราวนี้เป็นชายวัยกลางคนที่หน้าซีดเผือดและต้องล่าถอยไปหลายก้าว


เสือเมฆวิญญาณทองใช้โอกาสนี้พุ่งเข้าโจมตีซ้ำ มันกวัดแกว่งกรงเล็บอย่างดุเดือด


วิธีที่ดีที่สุดที่จะเอาชนะค่ายกลผนึกกำลัง หากไม่สามารถวิเคราะห์โครงสร้างและข้อบกพร่องของมันได้ก็คือการเลือกโจมตีเป็นรายบุคคล ชัดเจนว่าเสือเมฆวิญญาณทองรู้ดีถึงความเป็นจริงข้อนี้เช่นกัน


การเคลื่อนไหวของมันรวดเร็วและทรงพลังมาก ดูเหมือนชายวัยกลางคนจะไม่สามารถรับมือไหวและคงจะต้องพ่ายแพ้ในเร็วๆนี้ จางเซวียนได้แต่ส่ายหน้า


การโจมตีนั้นไม่ได้ผล…


ถ้าการเอาชนะของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่มันง่ายแบบนั้น นักรบมากมายก็คงไม่แทบคลุ้มคลั่งเพื่อตามหามัน


ขณะที่จางเซวียนกำลังครุ่นคิด ครู่ต่อมา หวูชางผิงก็สร้างฉนวนขึ้นมาห่อหุ้มมือของเขา


ฟิ้ววววว!


พริบตาต่อมา เส้นด้ายที่อยู่กลางอากาศก็ถูกดึง กระแสพลังงานเข้มข้นถูกส่งจากทั้งกลุ่มเข้าสู่เส้นด้ายนั้น เกิดเป็นความทนทานและพละกำลังอันไม่น่าเชื่อ


“โจมตี!”


ด้วยคำสั่งของหวูชางผิง สมาชิกคนอื่นๆต่างเงื้ออาวุธและพุ่งเข้าใส่เสือเมฆวิญญาณทองโดยผ่านเส้นด้ายนั้น


“ฮื่ออออ!”


เสือเมฆวิญญาณทองนึกไม่ถึงว่าเส้นด้ายจะมีพละกำลังอันน่าอัศจรรย์ มันรีบเงยหน้าขึ้นและคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว


ฟิ้ววววว!


กระแสดาบฉีสีทองมากมายพุ่งออกจากปากของมันเพื่อตอบโต้อาวุธและเส้นด้ายนั้น


มันยิงกระแสดาบฉีได้ด้วยหรือ? เสือเมฆวิญญาณทองช่างน่าทึ่งเสียจริง! จางเซวียนตาโตด้วยความอัศจรรย์ใจ


เขาคิดว่าเจ้าอสูรยักษ์ใหญ่ตัวนี้คงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมแพ้ให้กับทั้งกลุ่ม แต่ใครจะไปรู้ว่ามันจะปล่อยกระแสดาบฉีมากมายออกมาได้? ลำพังแค่พละกำลังและความทนทานของเสือเมฆวิญญาณทอง ก็ยากที่จะรับมือด้วยด้วยแล้ว หากมันใช้เทคนิคการต่อสู้เพิ่มเข้ามาอีก หวูชางผิงและคนอื่นๆคงต้องเผชิญกับความยากลำบากไม่เบากว่าจะเอาชนะมันได้


“เสือเมฆวิญญาณทองเป็นที่ขึ้นชื่อเรื่องความเชี่ยวชาญในการโจมตีโดยใช้องค์ประกอบของโลหะ แต่คุณคิดว่าพวกเราไม่มีวิธีรับมือหรือ? บอกอะไรให้นะ นั่นแหละคือสิ่งที่พวกเรารอคอยอยู่!” หวูชางผิงหัวเราะอย่างประกาศชัยชนะขณะเคาะนิ้ว


ฟึ่บ!


พริบตาต่อมา เส้นด้ายก็เปลี่ยนสี มันกลายเป็นสีที่เหมือนกับลาวา เหมือนมีเปลวไฟแผดเผาอยู่ในนั้น


ฟิ้วววว!


นักรบทั้งกลุ่มปล่อยพลังปราณเข้าสู่เส้นด้าย ราวกับน้ำมันที่ถูกจุดไฟ เปลวเพลิงแผดเผาระเบิดออกมา


ในชั่วพริบตา ตาข่ายที่มีเปลวไฟลุกโพลงก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ โอบล้อมร่างของเสือเมฆวิญญาณทองไว้


คนพวกนี้เตรียมตัวมาดีจริงๆ ดูเหมือนคราวนี้เสือเมฆวิญญาณทองจะต้องพ่ายแพ้แน่ จางเซวียนตั้งข้อสังเกตในใจด้วยความยำเกรงเล็กน้อย


สมกับที่เป็นผู้อาวุโสสูงสุดของดงอสูร หวูชางผิงมีความรู้ความเข้าใจในตัวเหยื่อของเขาเป็นอย่างดี สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ อีกทั้งการวางแผนและการสำแดงพละกำลังของเขาก็น่าชื่นชม


โลหะนั้นเป็นที่ขึ้นชื่อเรื่องความคมและความทนทาน เสือเมฆวิญญาณทองมีองค์ประกอบของโลหะ ซึ่งทำให้มันเป็นคู่ต่อสู้ที่รับมือด้วยได้ยาก


แม้เส้นด้ายที่พวกเขานำมาใช้จะทนทานและสามารถใช้ถ่ายทอดพลังปราณได้ แต่ก็คงอยู่ได้ไม่นานก่อนที่จะแหลกสลายไป


แต่เพราะคาดเดาไว้แล้ว หวูชางผิงจึงเตรียมไฟเอาไว้


ในบรรดาธาตุทั้ง 5 ไฟมีฤทธิ์ทำลายโลหะ!


ทันทีที่เกิดเปลวเพลิงระเบิดขึ้นมา องค์ประกอบของโลหะในร่างของเสือเมฆวิญญาณทองก็จะ อ่อนแรงลงไป อันที่จริง การที่มันเพิ่งปล่อยการโจมตีที่มีองค์ประกอบของโลหะออกไปเมื่อครู่นี้ ก็ทำให้แรงตีกลับนั้นรุนแรงกว่าปกติ


เพียงกระบวนท่าเดียว สถานการณ์ก็พลิกผัน


เราจะประมาทความสามารถของเหล่าผู้เชี่ยวชาญในโลกนี้ไม่ได้เลย…จางเซวียนคิด


แม้การครอบครองหอสมุดเทียบฟ้าจะทำให้เขาได้เปรียบในการต่อสู้ แต่ก็ไม่อาจหลงระเริงได้ เพราะยังมีวิถีทางอีกมากมายที่คนอื่นๆจะต้อนเขาให้จนมุมและทำให้เขาต้องยอมแพ้


ถ้าจางเซวียนอยู่ในสภาพเดียวกันกับเสือเมฆวิญญาณทอง วิธีเดียวที่เขาจะทำได้ก็คือต้องนำศพของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นที่มีวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณออกมา


“ฮื่ออออ!”


เห็นตาข่ายเปลวเพลิงเข้ามาใกล้มันขึ้นทุกที เสือเมฆวิญญาณทองรู้ว่าคู่ต่อสู้เตรียมตัวมาอย่างดี มันรู้ตัวว่าตอนนี้ตกอยู่ในสภาวะที่เสียเปรียบอย่างมาก


ทันใดนั้น มันก็เงยหน้าขึ้นและคำรามอีกครั้ง


แต่คราวนี้เสียงคำรามไม่มีวี่แววของความเกรี้ยวกราด จางเซวียนกลับรู้สึกได้ถึงการร้องขอ ดูเหมือนเสียงร้องที่แสดงความสิ้นหวัง


“มันร้องขอความช่วยเหลือ…เสือเมฆวิญญาณทองมีสหายด้วยหรือ?” หวูชางผิงหน้าถอดสีด้วยความพรั่นพรึง



ตอนที่ 1705 งูเขียวไม้สวรรค์

“เร็วเข้า! เราต้องรีบเล่นงานมันให้ได้เดี๋ยวนี้!”


รู้ดีว่าจะต้องตกที่นั่งลำบากแน่หากสหายของเสือเมฆวิญญาณทองคำมาช่วย หวูชางผิงขับเคลื่อนพลังปราณเต็มพิกัด ตาข่ายเปลวเพลิงยิ่งลุกโพลงหนักขึ้นเรื่อยๆ


ในฐานะผู้อาวุโสสูงสุดของดงอสูร เขามีความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับอสูรหลากหลายสายพันธุ์ เสียงเรียกเมื่อครู่นี้แหลมและชัดเจน เป็นสัญญาณบ่งบอกว่ากำลังร้องเรียกมิตรสหาย ลำพังแค่เสือเมฆวิญญาณทองตัวเดียวพวกเขาก็ปวดหัวพอแล้ว หากมีอีกตัวเข้ามาตอนนี้คงตายแน่!


รู้ดีว่าพวกเขากำลังตกอยู่ในอันตราย สีหน้าของทุกคนร้อนรนเคร่งเครียด พวกเขารีบขับเคลื่อนพลังปราณเพื่อเสริมกำลังให้กับตาข่ายเปลวเพลิงนั้น


“ฮ่าฮ่าฮ่า! ไม่น่าเชื่อว่าเสือเมฆวิญญาณทองคำ, 1 ใน 5 ผู้ยิ่งใหญ่ของผืนป่าแห่งนี้จะมาถูกจับโดยมนุษย์กลุ่มหนึ่ง น่าอับอายเหลือเกินสำหรับผู้ที่มีตำแหน่งสูงส่งอย่างคุณ!”


เสียงเย้ยหยันดังขึ้นจากกลางอากาศขณะร่างผอมบางพุ่งออกมาจากถ้ำ


อสูรร่างเรียวยาวตัวนี้มีลักษณะคล้ายอสูรมังกรบาดาลของจางเซวียน แต่ตัวใหญ่กว่ามาก สายเลือดก็บริสุทธิ์กว่ามากด้วย เหมือนกันกับเสือเมฆวิญญาณทอง มันมีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสาน โลกจารึก


“นี่มันงูเขียวไม้สวรรค์นี่!” หวูชางผิงหน้าซีด เขาสั่งการโดยไม่ลังเล “ถอย!”


ทันทีที่คำสั่งนั้นถูกส่งออกไป ตาข่ายเปลวเพลิงที่โอบล้อมเสือเมฆวิญญาณทองก็แหลกสลายไปทันที จากนั้นเขาก็หันหลังกลับแล้วเผ่นหนีไป


สมกับเป็นผู้ที่มีชีวิตมาหลายศตวรรษ เขารู้ว่าควรให้ความสำคัญกับอะไร ทันทีที่รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ ก็พร้อมจะละทิ้ง ต่อให้จะล้ำค่าขนาดไหนก็ตาม


แค่เสือเมฆวิญญาณทองตัวเดียวก็เกือบทำให้พวกเขาจนมุมแล้ว หากมีงูเขียวไม้สวรรค์เข้ามาร่วมวง คงเป็นคู่ต่อสู้ที่เกินกำลังของพวกเขาแน่


“ฮะ?”


หวูชางผิงหนีไปได้ครู่หนึ่งขณะที่รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่คนอื่นๆในกลุ่มไม่ได้ตัดสินใจเด็ดขาดแบบเขา ต่างคนต่างยืนอึ้งก่อนที่จะพากันวิ่งหนี


จากปฏิกิริยาของคนเหล่านี้ ก็บ่งบอกชัดเจนว่านอกจากหวูชางผิงแล้ว ไม่มีใครเป็นนักฝึกอสูรเลย เมื่อมีอสูรของพวกเขาต่อสู้เคียงข้าง นักฝึกอสูรที่แท้จริงจะมีพละกำลังในการต่อสู้เพิ่มสูงขึ้นอีกมาก แต่ถึงอย่างนั้น การจะทำให้อสูรสักตัวยอมจำนนก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ความผิดพลาดแม้เพียงนิดเดียวอาจทำให้เกิดการตอบโต้กลับของอสูร ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับอสูรที่จะต้องประเมินสถานการณ์ให้ดี และรู้ว่าเมื่อไหร่ที่ควรหลบหนี


อันที่จริง มีคำกล่าวที่รู้กันทั่วไปในดงอสูรว่า “ก้าวแรกของการเรียนรู้การฝึกอสูรก็คือรู้ว่าจะหนีอย่างไร!”


สถานการณ์ที่คาดไม่ถึงมากมายอาจเกิดขึ้นได้ในระหว่างกระบวนการฝึกอสูร นักฝึกอสูรที่ไม่รู้จักหนีเอาตัวรอดคงจะต้องตายไปหลายร้อยครั้งกว่าจะได้สำเร็จวรยุทธขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่


“คุณไม่คิดว่ามันออกจะไม่เหมาะสมอยู่สักหน่อยหรือที่จะหนีไปแบบนั้น หลังจากที่พยายามวางยาและลักพาตัวหนึ่งในพวกเรา?” เสียงเย็นเยียบดังขึ้นจากพื้นดิน


ครืนนนน!


ยังไม่ทันที่สมาชิกคนอื่นๆในกลุ่มจะไปได้ไกล พื้นดินก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรงราวกับเกิดแผ่นดินไหว จากนั้น ร่างใหญ่โตก็โผล่พรวดขึ้นมา มันมีศีรษะของสิงโต มีเขาของกวาง ดวงตาของเสือ จมูกของกวางมูส เกล็ดของมังกร และหางของวัว…


มันคืออสูรนรกลวงตา!


ไม่เหมือนกับอสูรเพลิงนรกของจางเซวียน มันมีองค์ประกอบของดิน ด้วยการสะบัดกรงเล็บเพียงเล็กน้อย กำแพงดินสีเหลืองก็โผล่พรวดขึ้นจากพื้นดินและโอบล้อมฝูงชนที่กำลังหาทางหนี กีดขวางเส้นทางของพวกเขาเอาไว้


สมาชิกที่เหลือในกลุ่มต่างไม่คิดว่าจะมีอสูรอีกตัวหนึ่งปรากฏ ในตอนนั้นเองที่พวกเขาเพิ่งรู้ว่าทำไมหวูชางผิงถึงหนีไปอย่างรวดเร็วขนาดนั้น ทิ้งพวกเขาไว้โดยไม่สนใจแม้แต่น้อย


ต่างคนต่างมีสีหน้าไม่สู้ดีขณะที่รู้ตัวว่าติดกับเสียแล้ว


“เล่นงาน!”


สมาชิกคนที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มตอนนี้ซึ่งเป็นผู้อาวุโสที่มีวรยุทธชั่วกัลปาวสานขั้นกลางเงื้อดาบขึ้นและจ้วงแทงเข้าไปที่กำแพงดินสีเหลือง


ครืนนนน!


กำแพงดินสีเหลืองนั้นพังทลายด้วยพละกำลังมหาศาลของดาบ และยังไม่ทันที่ฝูงชนจะได้ยินดีกับชัยชนะ กำแพงดินสีเหลืองนั้นก็กลับคืนสู่สภาพเดิมด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง ในชั่วพริบตา พวกเขาก็ติดกับอีกครั้ง


“ถ้ารู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ ผมจะไม่มีวันฟังหวูชางผิงเลย มันเรื่องอะไรที่ผมต้องเอาชีวิตมาเสี่ยงที่นี่?”


ต่างคนต่างเจ็บปวดหัวใจ


ก็เหมือนกับนักรบกลุ่มอื่นๆที่ตระเวนไปทั่วมิติลี้ลับ พวกเขาเพิ่งมารวมตัวกันที่นี่


หวูชางผิงเรียกรวมพลพวกเขาและบอกว่ามีวิธีเดียวที่จะเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อได้ ทั้งยังให้ความมั่นใจว่าตัวเขาเองมีของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ และเรื่องนี้ถูกวางแผนมาอย่างรัดกุมแล้ว หลังจากใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วน ทุกคนก็รู้สึกว่าคำพูดของหวูชางผิงฟังขึ้น จึงยินดีเข้าร่วมกลุ่ม


ใครจะไปรู้ว่าพวกเขาจะมาลงเอยด้วยการเผชิญหน้ากับอสูรขั้นชั่วกัลปาวสาน โลกจารึกพร้อมกันถึง 3 ตัว ยิ่งไปกว่านั้น ยังไม่มีใครคาดคิดว่าหวูชางผิงจะเปิดหนีไปก่อนเพื่อน


เขาคงไปไหนไม่ได้ไกลหรอก…


ตรงกันข้ามกับสีหน้าร้อนรนที่อยู่รอบตัว จางเซวียนชำเลืองมองไปยังทิศทางที่หวูชางผิงหนีไปและได้แต่ส่ายหน้า


เขาต้องยอมรับว่าชายชราคนนั้นตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดที่เปิดหนีทันทีที่รู้สึกตัวว่ามีบางอย่างไม่เข้าท่า แต่โชคร้ายที่เรื่องนี้ไม่ใช่สถานการณ์ที่เขาจะเอาตัวรอดได้


ราวกลับจะตอบสนองการคาดการณ์ของจางเซวียน เสียงหนึ่งดังก้องมาจากภายในถ้ำ


ฟิ้วววว!


จากนั้น นกงามสง่าตัวหนึ่งที่ถูกปกคลุมด้วยเปลวเพลิงก็บินออกมาจากในถ้ำด้วยความเร็วเกินกว่าจะจินตนาการได้ มันพุ่งเข้าใส่หวูชางผิงเพื่อเล่นงานเขา


ยังไม่ทันที่กรงเล็บของนกจะเข้าถึงตัว เปลวเพลิงก็พวยพุ่งออกมา สร้างประกายไฟสกัดกั้นหนทางหนีของหวูชางผิงเอาไว้


“นกฟีนิกซ์ไฟสวรรค์?” หวูชางผิงหน้าซีดขณะตัวสั่นไม่หยุด


เขาคิดว่าอสูรที่อยู่ในถ้ำนี้มีแต่เสือเมฆวิญญาณทองเท่านั้น และเขาก็เตรียมตัวมาเพื่อการนี้ แต่ใครจะไปคิดว่าอสูรที่ตามเสือเมฆวิญญาณทองออกมาจะมีทั้งงูเขียวไม้สวรรค์ อสูรนรกลวงตา อีกทั้งยังมีนกฟีนิกซ์ไฟสวรรค์ด้วย ยังไม่ทันจะรู้ตัว พวกเขาก็เผชิญหน้ากับอสูรในตำนานถึง 4 ตัวแล้ว!


แถมแต่ละตัวก็มีพละกำลังที่เหนือชั้นกว่าเขาเสียอีก


เขาจะรับมือกับอะไรแบบนี้ได้อย่างไร?


ฟึ่บ!


หวูชางผิงเปิดการโจมตีโดยไม่ลังเล โดยหวังว่าจะยืดเวลาออกไปได้สักระยะ แต่นั่นไม่มีความหมายสำหรับนกฟีนิกซ์ไฟสวรรค์ที่แสนจะรวดเร็ว ความเหลื่อมล้ำในพละกำลังระหว่างพวกเขาไม่ใช่สิ่งที่หวูชางผิงจะเอื้อมถึง


ไม่ช้า เขาก็ถูกลูกไฟโอบล้อมไว้โดยรอบ ทำให้ต้องล้มลงหมอบอยู่กับพื้น


ตอนนี้ ทั้งกลุ่มที่เหลือซึ่งมีสมาชิก 8 คนถูกล้อมไว้หมดแล้ว ความสิ้นหวังและความหวาดกลัวฉายชัดในดวงตาของพวกเขาขณะที่จ้องมองเหล่าอสูรที่อยู่ตรงหน้าอย่างพรั่นพรึง


เมื่อเห็นสหายของมันเล่นงานเหล่ามนุษย์น่ารำคาญที่บังอาจเข้ามาวุ่นวายได้แล้ว เสือเมฆวิญญาณทองชำเลืองมองงูเขียวไม้สวรรค์และคำราม “คุณจะเยาะเย้ยฉันเท่าไหร่ก็ได้ตามใจเลยนะ แต่ตอนนี้ รีบปลดปล่อยฉนวนที่อยู่บนตัวฉันก่อน!”


“ได้สิ ได้! ผมจะช่วยคุณ!” หลังจากหัวเราะอยู่เนิ่นนาน งูเขียวไม้สวรรค์ก็หันหน้าเข้าไปในถ้ำและพูดว่า “พี่ดำนรก ผมอยากขอความช่วยเหลือคุณหน่อย…”


“ได้ ขอเวลาผมสักครู่ จะออกไปเดี๋ยวนี้…”


อีกเสียงหนึ่งดังมาจากในถ้ำ ทุกคนมองหน้ากัน และเห็นร่างหนึ่งคลานช้าๆออกมาจากถ้ำนั้น


การเคลื่อนไหวของมันเชื่องช้ามาก ใช้เวลาถึง 8 นาทีเต็มจากตอนที่ร่างของมันปรากฏขึ้นและกว่าจะพาตัวเองออกจากถ้ำได้ มันคือเต่าขนาดมหึมา


“เสือเมฆวิญญาณทอง งูเขียวไม้สวรรค์ เต่าดำนรก นกฟีนิกซ์ไฟสวรรค์ และอสูรนรกลวงตา…นี่คือ 5 ธาตุของอสูรสวรรค์หรือ?” หวูชางผิงหน้าซีดเมื่อคิดอะไรขึ้นได้ “ผมน่าจะคิดได้เสียก่อนหน้านี้นะ!”


ตำนานกล่าวไว้ว่าปรมาจารย์ขงเกรงว่ามิติที่อยู่ในวิหารแห่งขงจื๊อจะไม่เสถียร จึงได้จับอสูรผู้ทรงทั้ง 5 ตัวไว้เป็นตัวแทนของทั้ง 5 ธาตุ เพื่อเสริมกำลังให้มิติมั่นคงขึ้น ลงท้าย พวกมันก็เป็นที่รู้จักกันในชื่อ 5 ผู้ยิ่งใหญ่ของผืนป่าแห่งนี้สำหรับอสูรตัวอื่นๆที่อยู่ในมิติลี้ลับ


ตอนที่เขาได้ยินเรื่อง 5 ผู้ยิ่งใหญ่ ก็คิดเอาว่าพวกมันคงกระจัดกระจายอยู่ทั่วบริเวณ เพราะถึงอย่างไรอสูรผู้ทรงพลังก็มักหวงอาณาเขตของพวกมันมาก และไม่อาจยอมทนให้อสูรตัวอื่นเข้ามาวุ่นวายได้ โดยเฉพาะอสูรที่มีพละกำลังพอๆกับมัน แต่นึกไม่ถึงเลยว่าพวกมันจะมาอยู่ด้วยกันภายในถ้ำของเสือเมฆวิญญาณทอง


เต่าดำนรกคลานขึ้นไปบนร่างของเสือเมฆวิญญาณทองอย่างช้าๆและเปิดปากขนาดมหึมาของมัน


ฟิ้วววว!


น้ำพุ่งเข้าใส่ตาข่ายเพลิงนั้น ดับมันได้ในชั่วพริบตา ร่างของเสือเมฆวิญญาณทองขยายใหญ่ขึ้นอย่างกะทันหันขณะที่กระแสดาบฉีระเบิดออกจากจุดชีพจรของมัน


ด้วยการโจมตีของกระแสดาบฉีอันคมกริบ เส้นด้ายที่ตึงเขม็งอยู่ทุกนิ้วก็แหลกสลายลงไปกองกับพื้น


แม้จะเป็นของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่การถูกไฟเผาแล้วถูกน้ำราดอย่างกะทันหันก็ทำให้โครงสร้างภายในของมันเสียหายไปหมด เมื่อมันอยู่ในสภาพบอบบาง กระแสดาบฉีของเสือเมฆวิญญาณทองก็สามารถทำลายมันได้อย่างง่ายดาย


“พวกนี้ตั้งใจมาเล่นงานคุณ คุณจะจัดการกับพวกเขาอย่างไร?” งูเขียวไม้สวรรค์ตั้งคำถาม


“พวกเราจะรับมือกับเขา แต่ยังมีมนุษย์อีกคนหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในบริเวณนี้ จับตัวเขามาก่อนเถอะ แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อ!”


เสือเมฆวิญญาณทองก้มหน้าและดมฟุดฟิดก่อนจะตวาด “สหายที่ซ่อนอยู่ตรงนั้นน่ะ ฉันขอชื่นชมคุณที่สามารถสกัดกั้นมิติได้อย่างน่าทึ่ง แต่นั่นไม่เพียงพอที่จะซ่อนตัวจากฉันหรอกนะ!”


ขณะที่พูดคำนั้น มันก็ชำเลืองมาทางจุดที่จางเซวียนซ่อนตัวอยู่ เจตนาสังหารสั่นสะท้านอยู่ในดวงตาทั้งคู่ของมัน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)