พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1703-1715

 บทที่ 1703 ประกาศโถงชุมนุมอัจฉริยะ

 

ประมุขชิงรู้สึกงง ถามว่า “หมายความว่าอะไร?”


ซ่างกวนชิงตอบด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เหมือนจะบอกว่าไม่เล่นแล้ว ฝ่าบาทจะจัดการหนิวโหย่วเต๋ออย่างไรก็ตามใจ ตระกูลโค่วเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น”


ประมุขชิงขมวดคิ้วครุ่นคิด เงียบไปนานโดยไม่พูดอะไร…


สุดท้ายตำหนักนารีสวรรค์ก็ไม่ได้ถือสาคนความรู้พื้นๆ อย่างเหมียวอี้ ตอบตกลงให้เหมียวอี้รับกำลังพลที่ไม่ใช่คนของทางการมาทำงานให้ สาเหตุย่อมเป็นเพราะตระกูลเซี่ยโห้ว ส่วนเหมียวอี้เองก็เข้าใจดีว่าทำไมตระกูลเซี่ยโห้วถึงช่วยเขา ต่อให้ยืนฝั่งตำหนักสวรรค์ แต่เรื่องราวก็ราบรื่นเหนือความคาดหมาย ประมุขชิงไม่มีความเห็นอะไรกับเรื่องนี้ ขุนนางใหญ่ของตำหนักสวรรค์ก็รักษาความเงียบไว้เช่นกัน ไม่มีใครกล่าวโทษเรื่องนี้ แม้แต่เสียงคัดค้านเล็กน้อยก็ไม่มี ปล่อยเหมียวอี้ให้ผ่านตลอดทาง ไม่มีการขัดขวางใดๆ


ป้ายประกาศเชิญชวนผู้เก่งกล้าอัจฉริยะ ‘โถงชุมนุมอัจฉริยะ’ แผ่นหนึ่งติดอยู่นอกจวนแม่ทัพภาคแห่งใหม่ คนที่แวะเวียนมาดูประกาศมีไม่น้อย ผู้ที่ตอบสนองกับสิ่งนี้มีไม่กี่คน บางคนที่เข้ามาสอบถามก็แค่สงสัยเฉยๆ ว่ามีเรื่องอะไรกันแน่ ไม่มีใครอยากเข้าไปเกี่ยวข้องกับน้ำขุ่นอย่างแม่ทัพภาคหนิว


หลังจากนั้นหนึ่งเดือน ในที่สุดโค่วหลิงซวีที่อยู่ในจวนท่านอ๋องชั่วคราวก็ตอบว่า “โถงชุมนุมอัจฉริยะนั่นรับสมัครคนได้เท่าไรแล้ว?”


“ตอนนี้ยังไม่มีสักคนเลยขอรับ” โค่วเจิงตอบ


โค่วหลิงซวีอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า “อายุป่านนี้แล้ว ทำแต่เรื่องเหลวไหล”


จวนท่านปู่สวรรค์ ในสวนต้องห้าม เซี่ยโห้วท่าที่ประคองไม้เท้าเดินช้าๆ ก็ถามอย่างสนใจเช่นกัน “โถงชุมนุมอัจฉริยะที่ตลาดผีนั่นรับสมัครคนได้กี่คนแล้ว?”


เว่ยซูตอบพร้อมรอยยิ้ม “ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนถามเลย เพียงแต่คนที่ยินดีจะเข้าร่วมอย่างเป็นทางการไม่มีสักคน”


เซี่ยโห้วท่าหัวเราะหึหึ แล้วถามอย่างแปลกใจ “โอกาสก็ให้เขาแล้ว แต่กลับไม่เห็นเขาดึงคนออกมา เจ้าเด็กนี่คิดจะทำอะไร?”


“เกรงว่าคงต้องสังเกตการณ์ไปก่อน” เว่ยซูกล่าว


จวนอ๋องสวรรค์ชั่วคราวของตระกูลอิ๋ง ยามว่างอิ๋งจิ่วกวงก็ถามถึงเช่นกัน “โถงชุมนุมอัจฉริยะนั่นเป็นยังไงบ้าง?”


จั่วเอ๋อร์ตอบกลั้วหัวเราะ “จากการสนับสนุนจากตระกูลโค่ว ไร้เงิน ไร้อิทธิพลไร้อำนาจ ยังจะทำอะไรได้อีก ตอนนี้ยังไม่มีคนเข้าร่วมสักคน”


“เหลวไหลลวงโลก!” อิ๋งจิ่วกวงแสยะยิ้ม


จวนอ๋องสวรรค์ชั่วคราวของตระกูลฮ่าว สถานที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง ฮ่าวเต๋อฟางกับซูอวิ้นกำลังเดินเล่นด้วยกัน คุยไปคุยมาฮ่าวเต๋อฟางก็เกิดความหวั่นไหว จู่ๆ ก็ยื่นมือไปคว้ามือที่เรียวสวยของซูอวิ้น นางรีบหดมือกลับแล้วถอยออกไป กุมหมัดคารวะพร้อมส่ายหน้าอย่างขื่นขม “ท่านอ๋อง!”


ใบหน้าของฮ่าวเต๋อฟางก็เต็มไปด้วยความขมขื่นเช่นกัน ชั่วขณะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี สุดท้ายก็ยังหาประเด็นสนทนามากลบเกลื่อน “โถงชุมนุมอัจฉริยะของตลาดผีรับคนได้กี่คนแล้ว?”


ซูอวิ้นยืนรักษาระยะห่างกับเขาเล็กน้อย ถึงได้ตอบว่า “ตอนนี้ยังไม่มีใครเข้าร่วม”


จวนอ๋องสวรรค์ชั่วคราวของตระกูลก่วง คนที่สนใจเหมียวอี้มาตลอดยังมีอีก ยกตัวอย่างเช่นเม่ยเหนียง


ขณะที่เดินชมจันทร์ชมดอกไม้กับก่วงลิ่งกง โกวเยว่ก็เข้ามารายงานเรื่องบางอย่าง แต่ตอนที่จะออกไปถูกเม่ยเหนียงเรียกไว้ “พ่อบ้านโกว โถงชุมนุมอัจฉริยะที่ตลาดผีรับสมัครคนเป็นยังไงบ้างแล้ว?”


โกวเยว่มองก่วงลิ่งกงแวบหนึ่ง เมื่อเห็นเจ้าตัวไม่คัดค้านอะไร ก็ตอบกลับไปว่า “ตอนนี้ยังไม่มีใครเข้าร่วมขอรับ”


“ไม่มีสักคนเลยเหรอ?” เม่ยเหนียงซักไซ้


“เหมือนจะไม่มีเลยสักคนเดียว แต่ต่อให้มีก็แค่ไม่มีคน” โกวเยว่ไม่แน่ใจ


“ทำไมเป็นอย่างนี้ไปได้” เม่ยเหนียงส่ายหน้าทอดถอนใจ เหมือนรู้สึกเสียดายแทนเหมียวอี้ นางย่อมรู้จากปากของก่วงลิ่งกงแล้วว่าอีกไม่นานคนของตระกูลโค่วจะถอนตัวออกจากจวนแม่ทัพภาคตลาดผี ส่วนเหมียวอี้จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังรับคนไม่ได้สักคน


รอจนกระทั่งโกวเยว่ออกไปแล้ว ก่วงลิ่งกงก็กล่าวกลั้วหัวเราะ “หวังเฟยเหมือนจะใส่ใจหนิวโหย่วเต๋อนั่นมากเลยนะ ทำไมล่ะ? ยังไม่เลิกคิดถึงเรื่องที่เจ้าทำให้เขากลายเป็นลูกเขยเจ้าไม่สำเร็จอีกเหรอ?”


เม่ยเหนียงอยากจะปฏิเสธ แต่ไม่นานก็เปลี่ยนความคิด นางรู้สึกว่าหลายปีมานี้ท่านอ๋องปฏิบัติต่อกันด้วยความจริงใจ ตัวเองจึงไม่จำเป็นต้องปิดบัง พยักหน้าเบาๆ ตอบว่า “ทั้งใช่และไม่ใช่ค่ะ”


“หมายความว่ายังไง? อ๋องผู้นี้อยากจะฟังสักหน่อย” ก่วงลิ่งกงถามอย่างสนใจ


เม่ยเหนียงจัดระเบียบความคิด แล้วกล่าวช้าๆ ในขณะที่ไตร่ตรอง “รู้สึกว่าน่าเสียดายจริงๆ ข้ารู้สึกว่าเขาเหมาะสมกับเม่ยเอ๋อร์มาก ที่สำคัญคือข้าดูออกว่าเม่ยเอ๋อร์หวั่นไหวกับเขาแล้วเหมือนกัน ทั้งยังไม่ได้คิดไปเองฝ่ายเดียว เพราะข้ารู้สึกว่ากิเลนทองไม่ใช่สัตว์ในบ่อน้ำ หนิวโหย่วเต๋อนั่นเดินผ่านลมฝนมาตลอดทางจนถึงทุกวันนี้ นับว่าไม่ธรรมดา อนาคตจะมาหยุดชะงักที่ตลาดผีได้ยังไง ข้าเฝ้าคอยให้เขาประสบความสำเร็จจริงๆ ค่ะ”


“ดึงดูดความสนใจจากคนมากมายขนาดนั้น…” ก่วงลิ่งกงส่ายหน้า “ถ้าไม่มีอำนาจฝ่ายไหนหวังให้เขาผงาดขึ้นมา ข้าก็บอกได้เลยว่าเขาจะไม่มีวันผงาดขึ้นมาได้อีก จะถูกกดไว้ที่นั่นทั้งชีวิต ด้วยศักยภาพของเขาในตอนนี้ ยังมีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่อาจต้านทานได้”


เม่ยเหนียงขมวดคิ้วครุ่นคิด “แต่ทำไมข้าชอบรู้สึกว่ามันจะไม่จบอย่างนี้ล่ะ? เวลาตอนนี้ยังสั้นนัก ตอนหลังยังมีเวลาอีกนาน ไม่แน่ว่าอาจจะมีวันไหนที่เขาได้แสดงฝีมือเต็มที่ก็ได้”


ก่วงลิ่งกงหัวเราะเสียงดัง “สงสัยหวังเฟยจะชอบเขาแบบไม่ธรรมดา!”


เม่ยเหนียงกล่าวอย่างไม่ยอมแพ้ “ในเมื่อท่านอ๋องพูดอย่างนี้แล้ว เช่นนั้นข้าก็จะรวบรวมความกล้าถามสักหน่อย ถ้าตัดอำนาจอิทธิพลที่หนุนหลังทิ้งไป ถ้าพูดถึงความสามารถเฉพาะตัวเท่านั้น ท่ามกลางคนมีฝีมือรุ่นใหม่ระดับเขา ถามหน่อยว่ามีคนไหนที่เก่งกว่าเขาบ้าง? ข้ารู้สึกว่าในบรรดาคนรุ่นเดียวกัน เขาถือเป็นอันดับหนึ่ง ไม่รู้ว่าสิ่งที่ข้าพูดผิดตรงไหนหรือเปล่า?” นางยกนิ้วหัวแม่มือพลางกล่าวชื่นชม


ก่วงลิ่งกงครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วพยักหน้าตอบว่า “ถ้าเจ้าดึงดันจะพูดอย่างนี้ให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นความกล้าหาญหรือการสร้างผลกระทบ เขาก็ล้วนเป็นที่หนึ่ง แต่แล้วยังไงล่ะ?”


เม่ยเหนียงคิดไปคิดมา จากนั้นก็ยิ้มเจื่อนเช่นกัน “ก็ไม่ยังไงหรอกค่ะ บางทีข้าอาจจะแค่อยากพิสูจน์สายตาตัวเองก็ ถึงยังไงข้าก็เคยเฝ้ารอเขาซะขนาดนั้น หวังว่าข้าจะมองคนไม่ผิดก็แล้วกัน”


ก่วงลิ่งกงส่ายหน้าหัวเราะ “เจ้านี่นะ! คิดมากไปแล้ว”


วังสวรรค์ ประมุขชิงที่ตื่นขึ้นจากการฝึกวิชาสะบัดแขนเสื้อลุกขึ้น พอเปิดประตูตำหนัก ก็เจอหมอกหนาทึบลอยสูงบ้างต่ำบ้าง เดินออกจากตำหนักชีพนิรันดร์เพียงลำพังแล้ว


ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีงาน ปกติจะเว้นช่วงออกมาจัดการธุระเล็กน้อยในระหว่างที่ฝึกตนอยู่ พอออกจากลานตำหนัก ซ่างกวนชิงก็เข้ามาต้อนรับ


“ช่วงนี้ไม่มีเรื่องอะไรใช่มั้ย?” ประมุขชิงเอ่ยถามอย่างสบายๆ ในขณะที่เดินเล่น


ซ่างกวนชิงยิ้มตาหยีพร้อมตอบว่า “ไม่มีเรื่องใหญ่โตอะไร ทุกอย่างล้วนสงบราบรื่น แต่ละฝ่ายก็สงบสุขมากเช่นกันขอรับ” ที่จริงทุกครั้งหลังการประชุมใหญ่ อำนาจแต่ละฝ่ายล้วนจำศีลสักระยะ แทบจะกลายเป็นกฎเกณฑ์ไปแล้ว ในเวลานี้จะไม่มีใครก่อเรื่อง


จู่ๆ ประมุขชิงก็หยุดยืนอยู่ตรงหน้าแปลงดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ดุจหยกงามแห่งหนึ่ง เข้าไปใกล้แล้วดอมดมเบาๆ บางทีสิ่งของอาจจะทำให้คิดถึงใครบางคน เขาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “สถานการณ์ทางด้านสนมสวรรค์เป็นอย่างไรบ้าง?”


ซ่างกวนชิงตอบว่า “ยังเงียบสงบมาตลอดขอรับ ถึงแม้จะอยู่ในบ้านบิดามารดาของตัวเอง แต่ก็แทบจะไม่ออกจากเรือนเลย มีคนนอกไปมาหาสู่ด้วยน้อยมาก”


“นี่ก็คือนิสัยที่ไม่แก่งแย่งชิงดีกับใคร ทำไมต้องทำให้ตัวเองลำบาก” ประมุขชิงส่ายหน้าถอนหายใจ แล้วเดินไปข้างหน้าต่อ จากนั้นเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้อีก ถามว่า “ทางด้านตลาดผี โถงชุมนุมอัจฉริยะของหนิวโหย่วเต๋อนั่นเป็นยังไงบ้างแล้ว รับสมัครคนได้หรือยัง?”


“ไม่มีคนขอรับ” ซ่างกวนชิงอดหัวเราะไม่ได้


“ไม่มีคนมาสมัครสักคนเลยเหรอ?” ประมุขชิงแปลกใจ


“น่าจะเป็นอย่างนี้ขอรับ มีคนมามุงดูกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า แต่ก็ไม่มีใครสมัคร” ซ่างกวนชิงตอบ


ประมุขชิงหัวเราะหึหึ “ยังนึกว่าเขาจะเล่นลูกไม้ใหม่ๆ ให้ข้าแปลกใจสักหน่อย แต่ก็เท่านี้เอง คนพิลึกก็ทำเรื่องพิลึกอย่างนี้!” จากนั้นก็โบกมือ “ไม่สนใจเขาแล้ว ไปดูที่ตำหนักนารีสวรรค์สักหน่อยเถอะ”


ช่วงนี้ความเคลื่อนไหวที่ตลาดผีสร้างความแปลกใจให้ใต้หล้าไม่หยุดหย่อน ทำให้ชื่อของจวนแม่ทัพภาคตลาดผีโด่งดังอย่างต่อเนื่อง นักพรตในใต้หล้าพากันวิพากษ์วิจารณ์


ตอนแรกก็เรื่องที่จวนแม่ทัพภาคกับวัดพระกษิติครรภ์สลับที่กัน เรื่องนี้แปลกใหม่พอสมควร ควรค่าแก่การให้ทุกคนพูดถึง ตอนหลังก็มีข่าวออกมาว่า สงสัยฝั่งวัดพระกษิติครรภ์จะถูกหนิวโหย่วเต๋อวางกับดักแล้ว ทำให้ถูกคนหัวเราะเยาะอีก นึกไม่ถึงว่ายังมีเรื่องอย่างนี้อยู่ด้วย ต่อมาก็เกิดเรื่องประหลาดขึ้นอีก ไม่น่าเชื่อว่าตลาดผีจะมีป้ายประกาศ ‘โถงชุมนุมอัจฉริยะ’ รับสมัครผู้มีฝีมือโดดเด่นในใต้หล้า ทำให้ใต้หล้าพากันพูดถึงอีก คนส่วนใหญ่ไม่รู้สถานการณ์เบื้องลึก ต่างก็แปลกใจว่าจวนแม่ทัพภาคตลาดผีเป็นอะไรไปแน่ เรื่องแปลกเกิดขึ้นทุกปี แต่ปีนี้ค่อนข้างเยอะ มีบางคนอุทานอย่างสะเทือนใจ ทำไมรู้สึกเหมือนจวนแม่ทัพภาคตลาดผีเป้นกระดาษขาวแผ่นหนึ่งเลยล่ะ ปล่อยให้หนิวโหย่วเต๋อวาดสิ่งต่างๆ ได้ตามใจชอบ ทำไมไม่มีใครสนใจสักหน่อยเลย ทำไมปล่อยให้หนิวโหย่วเต๋อสร้างความปั่นป่วนล่ะ?


และสำหรับคนที่ไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึกพวกนี้ ก็มองเห็นเป็นเรื่องตลกเท่านั้น โดยเฉพาะพวกที่ไม่พอใจเหมียวอี้ พวกลูกหลานผู้มีอำนาจนั่งรวมอยู่โต๊ะเดียวกัน ขณะกำลังดื่มสุรากัน มีคนชี้ห้นาดูถูกมาตั้งแต่ไกลๆ คอยดูว่าตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อจะรอดไปได้อย่างไร!


ตามเวลาที่ค่อยๆ ผ่านไป ข่าวหนิวโหย่วเต๋อโดนเนรเทศเริ่มแพร่ออกไปแล้ว หนิวโหย่วเต๋อไม่มีอนาคตแล้ว ข่าวที่บอกว่าเขาจะแก่ตายอยู่ในตำแหน่งแม่ทัพภาคตลาดผีแพร่ออกไปทั่วไป


“เฮ้อ!” ฝูชิงที่อยู่ในตำหนักคุ้มเมืองเงยหน้ามองฟ้าพลางถอนหายใจ “ทุกเรื่องควรมีขอบเขตนะเจ้าห้า!”


คนมากมายที่รู้จักเหมียวอี้ต่างก็คิดไม่ถึง หนิวโหย่วเต๋อคนก่อนหน้านี้ที่ทำตัวโดดเด่นและมีตระกูลโค่วหนุนหลัง ทำไมถึงเดินลงทางชันอย่างนั้นแล้วล่ะ


“ครึ่งค่อนปีแล้ว ทำไมไม่ใครมาสมัครสักคน?”


จวนแม่ทัพภาคใหม่ เหมียวอี้ที่เก็บตัวฝึกวิชาได้ระยะหนึ่งออกจากการฝึกวิชาแล้ว เกิดเรื่องอะไรขึ้น? เขาเรียกหยางเจาชิงกับสวีถังหรานมาถามถึงสถานการณ์ทันที ไม่พอใจกับความก้าวหน้าในการทำงานเป็นอย่างมาก


“ทุกคนเหมือนจะไม่ค่อยยอมรับกับวิธีการกึ่งทางการกึ่งไม่ทางการ…” หยางเจาชิงบอกเหตุผลอย่างตะกุกตะกัก


สวีถังหรานยิ้มแห้งอยู่ข้างๆ ที่จริงเขารู้สึกตั้งนานแล้วว่าวิธีการนี้ไม่ได้เรื่อง ฐานะตัวตนแบบนี้ไม่ชัดเจน กอปรกับมองไม่ออกว่าผลประโยชน์อยู่ตรงไหน มีแต่คนที่สมองมีปัญหาเท่านั้นแหละที่จะแกว่งเท้าหาเสี้ยนเข้ามาร่วมด้วย นายท่านเหมือนจะระเมินเสน่ห์ของตัวเองสูงไปหน่อย


“เจ้ายิ้มอะไร?” พอเหมียวอี้เห็นใบหน้ายิ้มของสวีถังหราน ความโมโหที่สะสมไว้ก็ปะทุทันที ชีเขาพร้อมบอกว่า “เจ้า เจ้าก็แล้วกัน ต่อไปนี้ให้เจ้ารับผิดชอบเรื่องรับสมัครคน”


“หา! ข้าน้อยมีความสามารถจำกัด…”


สวีถังหรานรีบปฏิเสธ นี่คือภารกิจที่ไม่มีความเป็นไปได้ว่าจะสำเร็จเลย ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะพูดตัดบทเสียเลยว่า “ไม่ว่าเจ้าจะใช้วิธีการอะไร ก็ต้องรีบดึงตัวกลุ่มคนที่สามารถทำงานได้ กำลังพลที่สามารถอาศัยกำลังทรัพย์ตัวเองมาให้โถงชุมนุมอัจฉริยะโดยเร็วที่สุด ให้เวลาเจ้าสิบปี ถ้างานไม่ได้ประสิทธิภาพข้าจะมาเอาเรื่องเจ้า!”


“นายท่าน…” สวีถังหรานแทบจะร้องไห้ นายท่านให้ตนทำเรื่องแสวงหากำไรโดยไม่ลงทุนอีกแล้ว คุยโม้เรื่องครั้งก่อนไปแล้ว ข้าใช้ทุนเก่าไปไม่น้อยเลย จะให้หาคนมาทำงานให้โดยไม่จ่ายเงินเนี่ยนะ ทำไมเจ้าถึงคิดวิธีการพวกนี้ได้เรื่อยๆ นะ!


บังเอิญพอดี ด้านนอกมีเสียงสาวงามดังขึ้น “นี่! ทำไมพอมาถึงก็เจอคนระบายอารมณ์ใส่คนอื่นเลยล่ะ ใครกันที่อารมณ์ร้อนขนาดนั้น ให้ข้าดูหน่อยซิ!”


พวกเขามองไปด้านนอก เห็นอวิ๋นจือชิวที่สวยสง่าภูมิฐานแลดูมีชีวิตชีวาเดินเนิบนาบเข้ามาด้วยรอยยิ้มที่เป็นกันเอง เดินผ่านมาได้ตลอดทาง ไม่มีใครเข้ามาขวาง เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ เฟยหง เสวี่ยหลิงหลงและหลินผิงผิงติดตาม ข้างหลังยังมีผู้คุ้มกันติดตามอีกสองคน

 

 

 


บทที่ 1704 สวีถังหรานกดดันมาก

 

เหมียวอี้งงไปชั่วขณะ จากนั้นก็รีบลุกขึ้นต้อนรับ เดินออกไปนอกประตูแล้วถามอย่างร่าเริง “ฮูหยินจะมาทำไมไม่บอกกันก่อน?”


หลังจากอวิ๋นจือชิวนำกลุ่มสตรีย่อเข่าคำนับ ถึงได้ตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “ข้าบอกเจาชิงไว้แล้ว ได้ยินว่าเจ้ากำลังเก็บตัวฝึกวิชา แล้วข้าก็ไม่รู้ด้วยว่าจะมาถึงเมื่อไร เลยไม่ได้ให้เขารบกวนเจ้า ดูท่าวันนี้นายท่านจะอารมณ์ร้อนไม่เบา เจาชิงไม่ทันได้รายงานน่ะสิ!”


“ฮูหยินลำบากมาตลอดทาง พักผ่อนสักหน่อยก็ได้นะ” เหมียวอี้ตอบกลั้วหัวเราะ


“ไม่รีบ!” อวิ๋นจือชิวหันกลับมามบอกผู้คุ้มกันสองคนที่ติดตามมาด้วย “ขอบคุณทั้งสองท่านที่มาส่งตอลดทาง พักผ่อนที่ตลาดผีสักสองสามวันก็ได้ ให้ข้าแสดงไมตรีเจ้าบ้านให้เต็มที่” สองคนนี้คือยอดฝีมือที่จวนตระกูลโค่วส่งมาคุ้มกัน ถึงแม้เหมียวอี้จะแสดงท่าทีชัดเจนแล้ว แต่ถึงอย่างไรอวิ๋นจือชิวก็ได้ชื่อว่าเป็นบุตรสาวบุญธรรมของโค่วหลิงซวี ย่อมปล่อยให้เกิดเรื่องกับอวิ๋นจือชิวระหว่างทางไม่ได้อยู่แล้ว การส่งคนมาคุ้มกันก็นับเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล


“ขอบคุณเจตนาดีของคุณหนูเจ็ด พวกเราสองคนต้องรีบกลับไปรายงานผลงการปฏิบัติงาน ไม่กล้ารบกวน ขอกล่าวอำลาตรงนี้” ทั้งสองกุมหมัดคารวะ


อวิ๋นจือชิวพยักหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ฝืนใจกันแล้ว หากทั้งสองว่าง วันหลังข้าจะขอบคุณอีกที เจาชิง ไปส่งแทนข้าหน่อย ตอนกลับมาถือโอกาสพาคนข้างนอกเข้ามาด้วย”


“ขอรับ!” หยางเจาชิงก้าวขึ้นมายื่นมือเชิญทันที “เชิญขอรับ!” จากนั้นพาทั้งสองออกไป


“ข้างนอกยังมีคนอีกเหรอ เป็นใครกัน? ทำไมไม่พาเข้ามาโดยตรงเลย?” เหมียวอี้กลับถามอย่างแปลกใจ


“ผู้คุ้มกันไม่รู้จักพวกเขา พิสูจน์ตัวตนไม่ได้ ข้าก็เลยให้พวกเขารออยู่ข้างนอกชั่วคราว พอได้รับอนุญาตจากนายท่านแล้วค่อยเข้ามาก็ยังไม่สาย” คำพูดถัดจากนั้นก็เหมือนจะพูดให้ทุกคนคนที่อยู่ตรงนั้นฟัง อวิ๋นจือชิววางมือสองข้างตรงหน้าท้อง ดวงตางามกวาดมองทุกคน แล้วกล่าวเสียงต่ำด้วยท่าทางภูมิฐาน “กฎก็คือกฎ จะทำลายกฎไม่ได้ ในเมื่อกำหนดไว้แล้วว่าผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องห้ามเข้าจวนแม่ทัพภาคโดยพลการ เช่นนั้นก็เฝ้าประตูไว้ให้ดี อย่านำคนเข้ามาซี้ซั้ว”


ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นหัวใจกระตุกวูบ ต่างก็ฟังออกแล้วว่าในคำพูดของฮูหยินซ่อนเข็มเอาไว้ กำลังเตือนทุกคนว่าให้เคารพกฎ


ทุกคนไม่ได้พบกันนานแล้ว เดิมทีการได้มาพบกันอีกครั้งก็ถือเป็นเรื่องน่ายินดี ผลปรากฏว่าพอมาถึงก็อาศัยฐานะตัวเองโอ้อวดบารมี ฮูหยินคนนี้ของตนช่างทำให้คนพูดไม่ออกจริงๆ เหมียวอี้เอามือลูบจมูก


ผ่านไปไม่นาน หยางเจาชิงก็นำคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาพร้อมใบหน้าเจือรอยยิ้ม มีสิบกว่าคน ล้วนเป็นคนที่คุ้นหน้าคุ้นตากัน บัณฑิต พ่อครัว ช่างหิน ช่างไม้ ผีจวินจื่อและคนอื่นๆ ล้วนมาด้วย


“ได้ยินว่า ‘โถงชุมนุมอัจฉริยะ’ ของนายท่านกำลังรับคน ระหว่างทางข้าก็เลยแวะเลี้ยวเปลี่ยนทางสักหน่อย ถือโอกาสพาลูกน้องคนสนิทมาด้วย” อวิ๋นจือชิวหันกลับมาบอกสวีถังหราน “รองหัวหน้าภาคสวี เมื่อครู่นี้ตอนอยู่ตรงประตูข้าได้ยินนายท่านบอกว่าให้เจ้ารับผิดชอบเรื่องรับคนเข้าโถงชุมนุมอัจฉริยะ เจ้าช่วยตั้งใจดูให้หน่อย ดูว่าคนที่ข้าพามาเหมาะสมจะเข้าร่วม ‘โถงชุมนุมอัจฉริยะ’ หรือเปล่า?”


“เอ่อ…” สวีถังหรานอึ้งไปชั่วขณะ ยังไม่รีบตอบอะไร ชำเลืองปฏิกิริยาของเหมียวอี้ก่อน เสร็จแล้วถึงได้รีบตอบว่า “เหมาะสมๆ เหมาะสมแน่นอนขอรับ ลูกน้องคนสนิทของฮูหยินย่อมเหมาะสมที่สุดอยู่แล้ว โถงชุมนุมอัจฉริยะต้องเหมือนเสือติดปีกแน่นอน!”


เหมียวอี้ตะลึงงันพูดไม่ออก บัณฑิต พ่อครัว ช่างหิน ช่างไม้และคนอื่นๆ พากันมองมาที่เขา บางก็ยิ้มบางๆ บ้างก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ บ้างก็หัวเราะร่า


ขณะมองใบหน้าคุ้นตาทั้งหลายที่อยู่ตรงหน้า เขาก็รู้สึกราวกับได้ย้อนวันวานที่ทะเลทรายม่านเมฆา เหมือนได้กลับไปอยู่ในโรงเตี๊ยมเมฆาวายุอีกครั้ง เขาอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ ที่แท้ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว แต่รอยยิ้มของคนพวกนี้ยังไม่เปลี่ยน ยังเป็นเหมือนเคย


ตอนที่โถงชุมนุมอัจฉริยะกำลังก้าวเดินอย่างยากลำบาก ตอนที่ไม่มีใครเข้ามาสมัคร แต่จู่ๆ อวิ๋นจือชิวก็นำคนพวกนี้มา อาจไม่นับว่ามีกำลังเยอะเท่าไร แต่การสนับสนุนนี้กลับทำให้เหมียวอี้รู้สึกอบอุ่นในใจ


เขาผ่านตำแหน่งมามากมาย เคยเป็นผู้นำของลูกน้องมากมาย แต่หลายคนที่เคยติดตามเขาก็หายไปแล้ว ส่วนคนตรงหน้าพวกนี้กลับทำให้เหมียวอี้จำต้องยอมรับ ว่าในด้านการคุมคนอวิ๋นจือชิวเก่งกว่าเขามาก ต้องทราบไว้ว่าคนพวกนี้เดิมทีไม่ใช่พวกเดียวกัน มีลัทธิมารกับลัทธิอู๋เลี่ยง ได้อวิ๋นจือชิวเก็บพวกเขาไว้ที่ทะเลทรายท่านเมฆา คนมากหน้าหลายตาปะปนกัน แต่หลังจากติดตามอวิ๋นจือชิวแล้ว ไม่ว่าอวิ๋นจือชิวจะผ่านเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงอะไร คนพวกนี้ก็ล้วนติดตามอวิ๋นจือชิวมาตลอดด้วยความจงรักภักดี ต่อให้บุกน้ำลุยไฟก็ตาม


เขาเห็นกับตาตัวเองที่โรงเตี๊ยมเมฆาวายุ ว่าอวิ๋นจือชิวทั้งด่าทั้งตีคนพวกนี้ แต่คนพวกนี้เวลาโดนตีก็ไม่มีใครบ่นด่าสักคน ยังทำหน้าทะเล้นยินยอมต่อไป เหมียวอี้ยอมรับว่าอย่างน้อยตัวเองก็ไม่มีความสามารถนี้ สวีถังหรานเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น


“เจาชิง หาที่พักให้พวกเขาก่อนก็แล้วกัน” อวิ๋นจือชิวเอ่ยสั่ง


หยางเจาชิงเอ่ยรับคำสั่ง แล้วเขากับหลินผิงผิงก็เรียกคนกลุ่มนี้ออกไป


หลังจากต่างคนต่างอาบน้ำแต่งตัวเก็บของเข้าที่พักแล้วเฟยหง เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็ออกมาจากห้องส่วนตัวของท่านแม่ทัพภาค ไม่นานคนที่เดินผ่านข้างนอกก็ได้ยินเสียงหยอกล้อของคู่รักดังแว่วมาจากข้างใน…


“เฮ้อ! ผ่อนคลายจัง ไม่เจอกันนาน ฝีมือฮูหยินพัฒนาขึ้นนะเนี่ย!”


“เชอะ! น่าไม่อาย บอกมาซะดีๆ ตอนที่ข้าไม่อยู่ ได้ออกไปแหวกหญ้ารดน้ำดอกไม้บ้างรึเปล่า”


“ข้าเป็นคนประเภทนั้นเหรอ?”


“โถ่! งั้นคนที่อยู่ตำหนักดาวกลางนั่นน่ะ เจ้าช่วยอธิบายหน่อยสิว่ามันคืออะไร”


“…”


แดนอเวจี ดาวอู๋เลี่ยง ในตึกศาลา หยางชิ่งที่เพิ่งจะได้ผ่อนคลายเอนกายอยู่บนเก้าอี้นอน ในมือถือระฆังดาราออกมาอันหนึ่ง


จากเบาะแสของแต่ละฝ่าย คำพูดของตระกูลโค่วเหมือนจะได้ผลจริงๆ คลื่นลมเรื่องออกล่าที่น้ำพุวังเวงเหมือนจะผ่านไปแล้ว วิเคราะห์ตามข่าวที่ได้รับมา การที่คลื่นลมของเรื่องนี้ผ่านไป ก็ยังมีอีกหลายจุดที่ทำให้หยางชิ่งคิดไม่ตก ไม่น่าเชื่อว่าหลังจากจบเรื่องแล้วก็ไม่มีใครมาหาเหมียวอี้อีก สิ่งนี้เหนือความคาดหมายของเขาจริงๆ เหมือนจะมีมือที่มองไม่เห็นมากลบช่องโหว่ทุกอย่างจนหมด ในระหว่างนั้นเกิดเรื่องอะไรที่ตนไม่รู้หรือเปล่า เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มตัดสินจากตรงไหน


ในที่สุดสถานการณ์ก็สงบลงแล้ว หยางชิ่งโล่งใจชั่วคราว ในที่สุดก็ได้เดินออกจากสวนตะวันตกแล้ว


ถึงแม้คลื่นลมเรื่องออกล่าที่น้ำพุวังเวงจะผ่านไปแล้ว แต่เหมียวอี้ก็ดันทำเรื่อง ‘โถงชุมนุมอัจฉริยะ’ ขึ้นมาอีก เขาติดตามเรื่องนี้ผ่านคนของหกลัทธิที่ตลาดผีมาตลอด การตัดสินใจนี้เหมียวอี้ไม่ได้บอกเขาล่วงหน้า เขาเองก็ไม่สะดวกจะบอกว่าเหมียวอี้ทำผิดไปแล้วหรือเปล่า เหมียวอี้อาจจะมีแผนสำรองอะไรหรือเปล่าก็ไม่รู้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงจับตาดูเงียบๆ


วิธีการอยู่ร่วมกับเหมียวอี้ในปัจจุบัน ทำให้เขาเองก็เปลี่ยนแปลงตัวเองไปเยอะเช่นกัน เวลาไหนที่ข่มใจได้ก็พยายามข่มใจ เขาพบว่ามีเรื่องมากมายที่เมื่ออยู่บนตัวเหมียวอี้แล้วจะใช้หลักการเหตุผลตามปกติมาตัดสินไม่ได้ ก็เหมือนเรื่องล่าสัตว์ที่น้ำพุวังเวงครั้งนี้ หลายเรื่องที่เขาคาดเดาว่าจะเกิดขึ้นก็ไม่เกิดขึ้นเลยสักเรื่อง เขาพบว่าเหมียวอี้ดวงดีจนน่าประหลาด ขนาดทำแบบนี้ก็ยังผ่านด่านได้งั้นเหรอ?


หลังจากรอไปครึ่งปีกว่า ก็ยังไม่เห็น ‘โถงชุมนุมอัจฉริยะ’ มีความคืบหน้าอะไร เขาถึงได้แน่ใจว่าเหมียวอี้อาจจะไม่มีแผนสำรองอะไร คาดว่าคงเป็นเรื่องที่คิดขึ้นมาได้ชั่วขณะนั้น


แต่เขาก็ไม่รีบ กำลังรออยู่ และกำลังครุ่นคิดแผนรับมือเช่นกัน


จนกระทั่งตอนนี้ พอได้ยินว่าอวิ๋นจือชิวกลับจวนแม่ทัพภาคตลาดผีแล้ว ก็รู้ว่าผู้หญิงที่สามารถคุมเหมียวอี้ให้สงบกลับมาแล้ว เขาถึงได้หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อหยางเจาชิงและถามเรื่อง ‘โถงชุมนุมอัจฉริยะ’


หลังจากติดต่อได้ก็ถามว่า : เรื่องรับสมัครคนเข้าโถงชุมนุมอัจฉริยะเป็นยังไงบ้างแล้ว?


หยางเจาชิงตอบอย่างจนใจ : ตอนนี้ยังไม่มีใครสักคน เมื่อไม่นานก่อนหน้านี้โดนนายท่านตำหนิไปยกหนึ่ง ตอนนี้นายท่านโยนเรื่องนี้ให้สวีถังหรานมีอำนาจจัดการทั้งหมด ให้เวลาสวีถังหรานสิบปี ถ้าไม่เห็นประสิทธิภาพงานก็จะเอาเรื่องเขา


หยางชิ่ง : นายท่านยังตามีแวว เรื่องนี้ควรจะให้สวีถังหรานจัดการ เจ้าหมอนั่นทำมาหากินที่พิภพใหญ่มานานนับว่าไม่เสียแรงเปล่า งูมีเส้นทางของงู หนูมีเส้นทางของหนู วิธีการที่ผิดศีลธรรมมีมากมาย ขอเพียงนายท่านยอมกดดันเขา เขาย่อมมีวิธีการอยู่แล้ว ให้เขาหาคนคงจะไม่มีปัญหา ปัญหาเดียวก็เกรงว่าคนที่เขาเรียกมาจะมีทั้งดีเลวปะปนกัน


หยางเจาชิงได้ยินแล้วขำ รู้สึกว่าเรื่องราวเหมือนจะเป็นอย่างนี้ จึงถามอย่างกังวลตามไปด้วยเช่นกัน : แล้วจะทำยังไงดีล่ะ? ถ้าได้สายลับแต่ละตระกูลมาก็จะยุ่งแล้ว


หยางชิ่ง : ได้ยินว่าลูกน้องเก่าที่โรงเตี๊ยมเมฆาวายุของฮูหยินก็มากันหมดแล้วเหรอ?


หยางเจาชิง : ใช่แล้ว


หยางชิ่ง : เป็นอย่างที่คาดไว้ ตอนนี้ฮูหยินพาคนพวกนี้มา คงจะยัดเข้าโถงชุมนุมอัจฉริยะหมดแล้วล่ะสิ?


หยางเจาชิงยอมเจ้าหมอนี่แล้ว ชอบทำตัวราวกับเป็นเทพเจ้า มีหลายเรื่องที่เดาถูกแล้วถูกอีก แซ่เดียวกันแท้ๆ แต่ทำไมแตกต่างกันมากขนาดนี้นะ เขาตอบว่า : ใช่แล้ว พอฮูหยินมาถึงก็ยัดคนพวกนี้เข้าโถงชุมนุมอัจฉริยะหมด


หยางชิ่ง : งั้นก็ไม่ต้องห่วงแล้ว ตอนนี้ในมือฮูหยินยังไม่มีงานอื่นให้ทำพอดี ด้วยฐานะลูกสาวบุญธรรมของอ๋องสวรรค์โค่ว จะไปทำการค้าขายก็ไม่สะดวก ไม่เมื่อจับลูกน้องคนสนิทยัดเข้าโถงชุมนุมอัจฉริยะหมดแล้ว ฮูหยินก็ไม่มีทางนิ่งดูดาย คงเป็นฝ่ายเสนอตัวแบ่งเบาภาระนายท่านเรื่องโถงชุมนุมอัจฉริยะ ส่วนสายลับที่อาจจะหลุดเข้ามาก็เลี่ยงไม่ได้ แต่มีฮูหยินจับตาดูเองน่าจะไม่เกิดปัญหาใหญ่อะไร ฮูหยินมีวิธีการใช้คนอยู่แล้ว อาจจะจัดการเรื่องโถงชุมนุมอัจฉริยะได้เหมาะสมกว่านายท่านเสียอีก


ทั้งสองคุยกันอีกนิดหน่อยแล้วก็หยุดการติดต่อแล้ว


เรื่องจริงได้พิสูจน์แล้วว่าหยางชิ่งเดาไม่ผิด ไม่กี่วันหลังจากนั้น หยางเจาชิงก็พบว่าอวิ๋นจือชิวให้ความสนใจกับโถงชุมนุมอัจฉริยะแล้ว เรียกสวีถังหรานไปถามเป็นระยะ ถามเขาว่ามีแผนอะไรกับโถงชุมนุมอัจฉริยะบ้าง มักจะถามจนสวีถังหรานเหงื่อกาฬซึมหน้าผาก รู้สึกกดดันมาก


ที่จริงสำหรับสวีถังหรานแล้ว การเผชิญหน้ากับอวิ๋นจือชิวทำให้เขากดดันกว่าเผชิญหน้ากับเหมียวอี้อีก ประการแรกเป็นเพราะอวิ๋นจือชิวมีอิทธิพลต่อเหมียวอี้มาก ส่วนใหญ่มีอำนาจตัดสินใจแทนเหมียวอี้ ตัดสินอนาคตของเขาได้เหมือนกัน ประการต่อมาคือเขาเข้าใจนิสัยเหมียวอี้แล้วจึงรับมือได้อย่างชำนาญ แต่ฮูหยินแม่ทัพภาคท่านนี้มักจะกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้มกับคำพูดประจบสอพลอของเขา ทำเอาสวีถังหรานกินปูนร้อนท้องมาก เขาถึงได้ยุให้เสวี่ยหลิงหลงเมียของเขาไปสานสัมพันธ์กับอวิ๋นจือชิวบ่อยๆ


ครั้งนี้เห็นกับตาอีกแล้วว่าสวีถังหรานเดินปาดเหงื่อออกไปจากโถงใหญ่ หยางเจาชิงแอบขำอย่างอดไม่ได้


อวิ๋นจือชิวที่ออกจากโถงใหญ่กลอกตามอง สายตาไปหยุดอยู่ที่หยางเจาชิง แล้วพูดหยอกว่า “เอ หลินผิงผิงกลับมาครั้งนี้คงทำให้เจาชิงของพวกเราดีใจล่ะสิ อยู่ดีๆ ก็แอบยืนหัวเราะอยู่คนเดียว”


พอพูดอย่างนี้ เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ซ้ายขวาก็เม้มปากหัวเราะ ล้วนเป็นคนที่มีประสบการณ์ทั้งนั้น ฟังเข้าใจความหมายแล้ว


หยางเจาชิงทำสีหน้าอึดอัดเห้อเขินทันที แล้วทำความเคารพ “ฮูหยิน!”


อวิ๋นจือชิวกล่าวด้วยใบหน้าอมยิ้ม “นายท่านกำลังเก็บตัวฝึกวิชา ถ้าเจ้าสะดวก มีเรื่องอะไรก็เล่าให้ข้าฟังได้”


หยางเจาชิงลองนึกดู แล้วสุดท้ายก็รายงานสิ่งที่หยางชิ่งบอก เขาไม่ได้คิดจะปิดบัง ไม่ใช่เรื่องสำคัญเร่งด่วนอะไร เดิมทีเตรียมจะรอให้เหมียวอี้โผล่มาก่อนแล้วค่อยบอก ตอนนี้ในเมื่ออวิ๋นจือชิวถามแล้ว เขาก็ตอบไปโดไยม่คิดอะไรมากเช่นกัน


อวิ๋นจือชิวเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นก็ถอนหายใจเบาๆ เหมือนจะปลงนิดหน่อย จากนั้นก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้อีก ดวบตางามวูบไหว ถามซักไซ้ว่า “เรื่องโถงชุมนุมอัจฉริยะ นายท่านไม่ได้ปรึกษากับหยางชิ่งเหรอ?”


หยางเจาชิงงงนิดหน่อย แล้วตอบว่า “ไม่ทราบขอรับ แต่ฟังจากที่หยางชิ่งบอกก็เหมือนจะไม่ได้ปรึกษานะ”

 

 

 


บทที่ 1705 ไม่ทราบว่าอุดมการณ์ของนายท่านเป็นอย่างไร

 

อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้วมุ่น แล้วพยักหน้าบอกว่า “รู้แล้ว เรื่องนี้ข้าจะบอกต่อนายท่านให้ เจ้าไปทำงานของเจ้าเถอะ”


“ขอรับ!” หยางเจาชิงกุมหมัดคารวะแล้วออกไป


ส่วนอวิ๋นจือชิวก็มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่เหมียวอี้ฝึกตนทันที คนอื่นถ้าไม่มีธุระสำคัญก็ไม่สะดวกจะไปรบกวนง่ายๆ แต่นางย่อมมีเรื่องอื่นจะคุย


ในห้องสมาธิ เหมียวอี้หยุดฝึกวิชา แล้วถามอวิ๋นจือชิวที่นั่งอยู่ข้างๆ ว่า “มีเรื่องอะไรเหรอ?”


อวิ๋นจือชิวตอบว่า “หนิวเอ้อร์ ไม่ช้าก็เร็วที่กำลังพลของตระกูลโค่วจะถอนกลับไป เป็นไปไม่ได้ที่จะยื้อเอาไว้ตลอด แต่คนของโถงชุมนุมอัจฉริยะไม่ได้เพิ่มขึ้นได้ในรวดเดียวเช่นกัน ต้องคัดเลือกให้ดีสักหน่อย เรื่องนี้ต้องใช้เวลา เจ้าคิดยังไงกับคนของจวนแม่ทัพภาคกันแน่ หรือจะรับกำลังพลที่ตำหนักสวรรค์แบ่งสรรมาให้ก็พอ?”


เหมียวอี้ถอนหายใจ “ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้สถานการณ์ของพวกเรา ซ่อนความลับเอาไว้เยอะขนาดนี้ แถมข้ายังเคยล่วงเกินคนไว้ตั้งมากมาย พอได้คนมาแล้วจะรู้ได้ยังไงว่ามีสายลับปนอยู่เท่าไร พวกเราจะกล้าใช้งานคนที่ตำหนักสวรรค์ส่งมาเหรอ? มิหนำซ้ำเจ้ารู้สวัสดิการของตลาดผี จะมีใครมาทำงานให้เจ้าอย่างจริงใจบ้างล่ะ ที่ข้าสร้างโถงชุมนุมอัจฉริยะขึ้นมา ก็เพราะพยายามจะหลีกเลี่ยงจุดนี้ไง”


อวิ๋นจือชิวไตร่ตรองเล็งเล็กน้อย แล้วถามว่า “เรื่องโถงชุมนุมอัจฉริยะ นายท่านได้ถามหยางชิ่งสักหน่อยมั้ยว่ามีวิธีการดีๆ อะไร?”


เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะ “โถงชุมนุมอัจฉริยะติดประกาศ ความเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนี้ หกลัทธิมีหูมีตาที่ตลาดผี หยางชิ่งก็ต้องรู้อยู่แล้ว มีวิธีการอะไรก็ย่อมบอกอยู่แล้ว”


อวิ๋นจือชิวส่ายหน้าเบาๆ “หนิวเอ้อร์ จะพูดอย่างนี้ก็ไม่ถูก ตอนแรกหยางชิ่งถูกนายท่านข่มไว้เพราะอะไร ในใจเขาจะไม่รู้ชัดเชียวหรือ? เขาเป็นคนฉลาดขนาดนั้น ในใจเขารู้ดีมากอยู่แล้ว เป็นเพราะเขาแสดงความสามารถเด่นชัดเกินไปไง! นายท่านมอบหน้าที่สำคัญให้ดูแลหกลัทธิในแดนอเวจี แน่นอนว่าเป็นความเชื่อใจ แต่ถ้าไม่ได้อยู่ในสถานการณ์คับขันไร้ทางเลือก เขาก็ไม่สะดวกจะแทรกแซงไปซะทุกเรื่องหรอก เพราะกลัวว่าจะทำผิดข้อห้าม แน่นอน นายท่านดูแลเขาดีขนาดนี้ ถ้าเจียมเนื้อเจียมตัวขอคำชี้แนะ นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าเขาปกปิดความสามารถตัวเองอีกก็แสดงว่าไม่จริงใจต่อนายท่านแล้ว ถึงยังไงตรงกลางก็ยังมีเวยเวยอยู่อีกชั้นหนึ่ง อย่างนี้ตอนนี้เขาก็ยังหวังดีต่อนายท่าน เจ้าว่ามั้ยล่ะ?”


เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน “เจ้าหมายความว่า ตอนนี้จะให้ข้าถามเขาเหรอว่ามีวิธีการอะไร?”


อวิ๋นจือชิวคว้ามือเขา แล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง  “จะมีวิธีการหรือเปล่าก็อีกเรื่องหนึ่ง ต้องฟังความเห็นคนให้แพร่หลาย ถ้าเจอความเห็นที่ตรงใจก็รับไว้ ถ้าไม่ตรงใจก็ไม่ต้องสน ไม่ได้ทำให้เจ้าเสียหายอะไรนี่”


“ก็ได้ ก็ได้ อย่าทำท่าทางจริงจังอย่างนั้น ข้าเชื่อฟังฮูหยินก็ได้” เหมียวอี้ส่ายหน้าอย่างจนใจ แล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อหยางชิ่งตรงนั้นเลย


ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหยางชิ่งตอนนี้นับว่าไม่เลว เหมียวอี้ไม่มีอะไรต้องปิดบัง หลังจากติดต่อได้แล้ว ก็บอกไปตรงๆ เลยว่า : คาดว่าเจ้าคงได้ยินเรื่องโถงชุมนุมอัจฉริยะมาแล้ว


หยางชิ่งในตอนนี้กำลังดื่มสุราเป็นเพื่อนจินม่าน ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือจินม่านเข้าครัวทำกลับแกล้มด้วยตัวเอง แล้วได้กาสุราสองสามไหจากมือนักพรตของพิภพเล็ก ทั้งสองนั่งอยู่ในศาลาเล็กงดงามมีเอกลักษณ์ที่สร้างขึ้นใหม่บนเกาะ ทิวทัศน์งดงามแปลกใหม่ ฟังเสียงคลื่นมองฟ้าครามน้ำทะเลมรกต อาบลมทะเลเบาๆ นั่งดื่มสุราพูดคุยกันตรงนี้ สบายอกสบายใจอย่างแท้จริง


ขณะที่กินดื่มได้ครึ่งทาง หยางชิ่งก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมา เพราะเหมียวอี้ส่งข่าวมาทางระฆังดาราแล้ว


หลังจากเขากับหยางเจาชิงคุยกันได้สักพัก ก็รู้ว่าเหมียวอี้เก็บตัวฝึกวิชาแล้ว เขารู้ว่าหยางเจาชิงบอกต่อสิ่งที่เขาพูดให้อวิ๋นจือชิวรู้ เป็นเพราะความจงรักภักดีที่หยางเจาชิงและเหยียนซิวมีต่อสามีภรรยาคู่นี้อยู่ในระดับที่ไม่ต้องสงสัย ดังนั้นเขาจึงรอข่าวมาตลอด รอมาหลายวันในที่สุดก็ได้ข่าวแล้ว


“ราชาปราชญ์ส่งข่าวมา” หยางชิ่งวางจอกสุราแล้วหยิบระฆังดารา จากนั้นลุกยืนพิงระเบียงแล้วหันหลังให้นาง


ช่างส่งข่าวมาได้ถูกเวลาจริงๆ เร็วกว่านี้ก็ไม่ส่ง ช้ากว่านี้ก็ไม่ส่ง! จินม่านมองดูสุราอาหารที่ตัวเองทุ่มเทกำลังความคิดทำขึ้นมา รู้สึกเหมือนถูกทำให้เสียบรรยากาศ นางโยนตะเกียบลงบนโต๊ะ แล้วตัวเองก็ยกจอกสุราดื่มย้อมใจ ใบหน้างามดูไม่สบอารมณ์สักเท่าไร


เมื่อฟังคำถามเหมียวอี้แล้ว หยางชิ่งก็ตอบว่า : ได้ยินแล้วขอรับ


เหมียวอี้ : เจ้ารู้สึกว่าข้าสร้างโถงชุมนุมอัจฉริยะขึ้นมาเป็นยังไงบ้าง?


หยางชิ่ง : วิธีการไม่เลว เพียงแต่ถ้าอยากจะเห็นผลลัพธ์ เกรงว่าภายในเวลาสั้นๆ อาจจะไม่บรรลุเป้าหมาย อีกทั้งถ้ากำลังพลของตระกูลโค่วอยู่ที่จวนแม่ทัพภาคไปนานๆ เกรงว่าตระกูลโค่วเองก็จะชี้แจงต่อตระกูลอื่นลำบากเช่นกัน สาเหตุที่ตอนนี้กำลังพลยังไม่ออกไป ก็เพราะตระกูลโค่วยังคำนึงถึงหน้าตาศักดิ์ศรี แต่ถึงยังไงก็อยู่ที่นี่ในระยะยาวไม่ได้ ถ้าถอนกำลังพลออกไป เกรงว่านายท่านจะต้องเจออุปสรรคมากมายแน่นอน


เหมียวอี้ : ใช่แล้ว! หลุดพ้นจากการจับตาดูของตระกูลโค่วเป็นเรื่องดีอยู่แล้ว แต่เรื่องกำลังคนในขั้นต่อไปทำให้ข้าปวดหัว หลายปีที่ทำงานในระบบตำหนักสวรรค์มา การที่ในมือไม่มีคนของตัวเองถือเป็นจุดอ่อนที่ใหญ่มาก เกรงว่าภายในเวลาสั้นๆ นี้จะออกจากตลาดผีได้ยาก ข้าก็เลยอยากฉวยโอกาสแก้ไขปัญหานี้


หยางชิ่ง : หรือพูดได้อีกอย่างว่า นายท่านอยากจะมีกำลังพลของตัวเองที่ใช้งานได้อย่างเปิดเผยในขอบเขตตำหนักสวรรค์ จะได้สะดวกให้ทำงานให้ในภายหลัง


เหมียวอี้ : ใช่แล้ว ตอนนี้ยังแสดงตัวกำลังพลของหกลัทธิไม่ได้ ที่ข้าคิดหาวิธีการในด้านนี้ ก็แค่เพราะช่วงนี้ไม่มีคนให้ใช้งาน ทั้งยังจนปัญญา ไม่รู้ว่าเจ้ามีวิธีการดีๆ อะไรหรือเปล่า?


หยางชิ่ง : ก็อพอจะมีวิธีการอยู่บ้าง เพียงแต่ไม่รู้ว่าอุดมการณ์ของนายท่านเป็นอย่างไร? ถ้ามีอุดมการณ์ต่อใต้หล้า การแก้ปัญหาก็ไม่ถือว่ายาก


ครั้งนี้ถึงคราวที่เหมียวอี้จะฮึกเหิมบ้างแล้ว : ถ้ามีอุดมการณ์ต่อใต้หล้าแล้วยังไง?


เมื่อเห็นเขาเผยอุดมการณ์ที่ชัดเจนขนาดนี้ หยางชิ่งก็สั่นสะท้านทั้งตัวและหัวใจ รู้สึกฮึกเหิมเช่นเดียวกัน เจ้าเด็กที่ยอมแพ้ที่ถ้ำล่องนิภาคนนั้น อย่าบอกนะว่าในวันนี้จะเดินไปไกลถึงขั้นสู้ตัดสินแพ้ชนะกับวีรบุรุษในใต้หล้าแล้วจริงๆ? อุดมการณ์นี้ทำให้คนร้องเพลงก็ได้ ร้องไห้ก็ได้ จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าลิขิตในชาตินี้ไม่สูญเปล่า กอปรกับกำลังของฝ่ายตัวเองก็ใช่ว่าจะไม่มีดีเลยสักนิด รู้สึกทันทีว่าอนาคตและทิศทางกระจ่างชัดเจนไร้ที่เปรียบ รู้สึกตื่นเต้นฮึกเหิมไม่หยุด ควรค่าแก่การดื่มฉลองสามร้อยจอก


จู่ๆ เขาก็เดินก้าวยาวกลับมา คว้ากาสุรากรอกปากอย่างถึงอกถึงใจ ดื่มจนสุราหยกกระเด็นออกจากมุมปาก ไม่รักษาภาพลักษณ์เลยสักนิด


เมื่อดื่มสุราชั้นดีจนหมดกา เขาก็โยนกาสุราลงทะเล แล้วยกมือเช็ดเคราที่เปียกน้ำ ดวงตาเปล่งประกายสดใส รีบเขย่าระฆังดาราในมือ : ถ้านายท่านมีอุดมการณ์ต่อใต้หล้า แล้วเหตุใดจึงประเมินวีรบุรุษในใต้หล้าต่ำ?


จินม่านนั่งยกจอกสุราอยู่ตรงข้าม จู่ๆ ก็ได้เห็นอีกด้านที่กระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวาของหยางชิ่ง กอปรกับลักษณะที่องอาจผึ่งผายอย่างนั้น ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะมองจนตกตะลึง


เหมียวอี้ : พูดแบบนี้ได้ยังไง ข้าเคยประเมินวีรบุรุษในใต้หล้าต่ำตั้งแต่เมื่อไรกัน?


หยางชิ่ง : ในเมื่อนายท่านไม่ได้ประเมินต่ำ ใต้หล้าใหญ่ขนาดนี้ มีวีรบุรุษนับไม่ถ้วน ขอเพียงนายท่านมีปณิธานที่จะรับสมัคร แค่ชั่วโบกมือก็รับวีรบุรุษได้เป็นแสนแล้ว ยังกังวลว่าจะไม่มีคนให้ใช้งานอีกเหรอ?


เหมียวอี้มองไม่เห็นท่าทางกระโดดโลดเต้นของหยางชิ่งในตอนนี้ แต่กลับรู้สึกได้ว่าหยางชิ่งดูองอาจผึ่งผายอย่างที่พบเห็นได้ยาก จึงถามว่า : วีรบุรุษนับแสนอยู่ที่ใด? ท่านบุรุษโปรดชี้แนะข้า!


หยางชิ่ง : ถึงแม้จะพิจารณาเรื่องโถงชุมนุมอัจฉริยะได้ แต่ก็เห็นผลช้าเกินไป อีกทั้งยังไม่สามารถดำเนินการได้อย่างถูกต้องชอบธรรม กองทัพของราชันผู้สง่าผ่าเผยจะเป็นพวกหัวมังกุท้ายมังกรได้ยังไง ถ้าดึงเข้ามาก็มีแต่จะเพิ่มเสียงหัวเราะเยาะ ดังนั้นจึงใช้เป็นกำลังพลสำรองได้ แต่ใช้เป็นกำลังพลหลักไม่ได้ หลักการนี้ก็เหมือนสมาคมวีรชนในมือตำหนักสวรรค์ ดังนั้นไม่รู้รับกำลังพลชุดหนึ่งจากตำหนักสวรรค์ดีกว่า ถ้าทำแบบนี้ยังสามารถประหยัดค่าจ้างพื้นฐานได้บางส่วน ไม่อย่างนั้นทรัพยากรที่สิ้นเปลืองกับทัพใหญ่หนึ่งแสนก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ


เหมียวอี้ : ที่พูดก็มีเหตุผล เพียงแต่จะมีสักกี่คนที่เต็มใจมาอยู่ที่ตลาดผี อยู่ที่นี่ไร้อิทธิพลไร้อำนาจ ไม่มีทรัพยากรให้ตักตวง ไม่มีอนาคต เกรงว่ามาแล้วคงจะไม่ต่างอะไรกับพวกคนเก่าคนแก่ของจวนแม่ทัพภาคก่อนหน้านี้ ทำงานเช้าชามเย็นชาม เรียกใช้ไม่สะดวก


หยางชิ่ง : ไม่แน่หรอก พวกที่มีอุดมการณ์ก็ยังมีอยู่


เหมียวอี้ : ต่อให้ตำหนักสวรรค์ยินดีจะแบ่งสรรกำลังพลให้ข้า แต่เกรงว่าคงจะไม่แบ่งคนที่ใช้งานได้เรื่องสักเท่าไร


หยางชิ่ง : ไม่แน่หรอก ก็ต้องดูว่านายท่านจะหามาได้ยังไง


เหมียวอี้ : ต่อให้ได้คนมากแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าในนั้นจะมีทรายปนอยู่เยอะขนาดไหน ไม่รู้ว่ามีสายลับปนอยู่เท่าไร ถึงตอนนั้นคงถูกคนอื่นจับตาดูทุกอากัปกิริยา ตอนนี้ยังมีแค่ตระกูลโค่วจับตาดู ครั้งหน้ายังไม่รู้ว่าจะมีสายลับจากอีกกี่ตระกูล


หยางชิ่ง : ไม่แน่หรอก ยังไม่ต้องพูดถึงการตัดขาดสายลับไปเลย แต่ส่วนใหญ่สามารถหลีกเลี่ยงได้


พูดคำว่า ‘ไม่แน่หรอก’ ติดกันสามครั้ง ทำให้เหมียวอี้ประหลาดใจมาก เขารู้ว่าหยางชิ่งไม่ใช่คนคุยโวโอ้อวดอย่างนั้น ในเมื่อพูดแล้วก็แสดงว่าต้องยิงธนูโดยมีเป้าแน่นอน จึงรีบถามว่า : เป็นไปได้เหรอ?


หยางชิ่ง : ทำไมจะเป็นไปไม่ได้? ในอาณาเขตตำหนักสวรรค์ ไม่รู้ว่ามีนักพรตตั้งเท่าไรที่วรยุทธ์ไม่อ่อนแอแต่กลับกลุ้มใจที่ไร้โอกาสแสดงความสามารถ เป็นนักพรตระดับบงกชทองกับบงกชรุ้งแท้ๆ แต่กลับถูกจัดให้เป็นเทพแห่งภูผา เทพคงคา เทพเจ้าเฝ้าประตูไม่รู้ตั้งเท่าไร นายท่านไม่เคยได้ยินมาก่อนเชียวเหรอ? คนพวกนี้เข้ามาอยู่ระบบตำหนักสวรรค์แล้วไม่มีเส้นสายภูมิหลัง ทั้งยังอยู่ไม่เป็น ดังนั้นจึงไม่มีวันได้ประสบความสำเร็จ ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าสามารถใช้งานคนพวกนี้ได้ ในจำนวนนั้นไม่ขาดคนที่มีอุดมการณ์อยู่แล้ว ถามหน่อยว่าคนพวกนี้จะกลายเป็นสายลับของคนอื่นได้ยังไง ตำหนักสวรรค์มีคนช่วยนายท่านซาวล้างจนสะอาดเพื่อรอให้นายท่านไปฉกฉวยตั้งนานแล้ว นายท่านจะพลาดความปรารถนาดีที่ตำหนักสวรรค์รอคอยมานานแล้วได้ยังไง? ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ไหนก็ไร้อำนาจอิทธิพล ไร้ทรัพยากรให้ตักตวงอยู่แล้ว อนาคตก็ไม่มี ต่างอะไรกับมาตลาดผีล่ะ หลังจากรวมตัวกันติดตามนายท่านแล้ว อย่างน้อยก็ยังพอมองเห็นความหวังบ้าง บางครั้งชื่อเสียงก็เป็นสิ่งที่จุกจิกน่ารำคาญ แต่บางครั้งก็เป็นแรงช่วยสนับสนุนได้ ต้องดูว่านายท่านจะใช้งานยังไง  ขอเพียงเป็นคนที่มีอุดมการณ์ พวกเขาจะเมินเฉยชื่อเสียงบารมีบนสนามรบของนายท่านได้เหรอ? แค่รอให้นายท่านยืนประกาศจากที่สูง ก็ย่อมมุ่งหน้ามาขอพึ่งพาทำงานรับใช้อยู่แล้ว!


ชั่วพริบตาเดียว เหมียวอี้ก็เลือดร้อนพุ่งพล่าน เขาที่เดิมทีนั่งสมาธิพลันกระโดดพรวดลงจากเตียง แล้วเดินไปเดินมาในห้องอย่างร้อนใจ ใช่แล้ว ทำไมตนนึกไม่ถึงว่ายังมีคนพวกนี้อยู่?


อวิ๋นจือชิวที่อยู่ข้างกันงงทันที ไม่รู้ว่าเจ้าหมอนี่เป็นบ้าอะไรอีกแล้ว แต่พอเห็นเขามีท่าทางร้อนรนตื่นเต้น ก็เดาออกแล้วว่าหยางชิ่งอาจจะมีความคิดดีๆ อะไรสักอย่าง นางอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้ายิ้มเบาๆ


หลังจากตื่นเต้นดีใจเสร็จแล้ว เหมียวอี้ก็สงบสติอารมณ์อีก ถามว่า : มีคนเป็นแสนเลยเหรอ?


หยางชิ่ง : อย่าว่าแต่หนึ่งแสนเลย คนตำแหน่งต่ำที่ไม่ประสบความสำเร็จมีเยอะมาก หนึ่งล้านก็ยิ่งสบายมาก แน่นอน ถ้านายท่านตั้งเงื่อนไขสูงเกินไปก็ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นทำให้ไม่เจอคนที่เหมาะสม แล้วนายท่านก็จะใช้งานทุกคนไม่ได้ด้วย ต้องเลือกคนให้ดี แต่คนประเภทนี้ก็เลือกง่าย ยกตัวอย่างเช่นเทพแห่งภูผาคนไหนที่อยู่ในตำแหน่งนานๆ แค่ไปสืบมาก็ยืนยันได้แล้ว สิ่งนี้ปลอมแปลงไม่ได้ง่ายๆ หกลัทธิยังมีความสามารถด้านนี้อยู่บ้าง ดังนั้นหนึ่งล้านไม่เอาหรอก ต้องการแค่คนที่เหมาะสมที่สุด หนึ่งแสนกำลังดี!


เหมียวอี้ : จำนวนจำกัดของจวนแม่ทัพภาคตลาดผีมีเพียงหนึ่งพันคน ตำหนักสวรรค์จะให้ข้าหนึ่งแสนคนได้ยังไง?


หยางชิ่ง : ขอเพียงนายท่านต้องการจริงๆ ข้าน้อยวางแผนนิดหน่อยก็ช่วยให้นายท่านได้มาง่ายๆ แล้ว ก็ต้องดูว่านายท่านมีความกล้าที่จะไขว่คว้ามาหรือเปล่า!


เหมียวอี้ : ทำไมจะไม่กล้าล่ะ ข้าจะล้างหูรอฟังแผนเด็ดของท่านบุรุษ!


หยางชิ่ง : ง่ายมากเลย ไม่ต้องให้นายท่านไปเสี่ยงชีวิต นายท่านแค่ต้องทำอย่างนี้…


หลังจากทั้งสองติดต่อกันเสร็จแล้ว เหมียวอี้ก็ถือระฆังดาราเงียบอยู่นานมาก สุดท้ายก็เงยหน้าถอนหายใจยาวด้วยความอัดอั้น แล้วส่ายหน้ายิ้มเจื่อนอยู่อย่างนั้นไม่หยุด


อวิ๋นจือชิวเห็นเขาดีใจแล้วก็ถอนหายใจยาวอย่างหดหู่อีก จึงอดไม่ได้ที่จะเดินเข้ามาถาม “เป็นอะไรไป?”


“หยางชิ่งมอบแผนเด็ดให้ข้าแผนหนึ่ง…” เหมียวอี้เล่าสิ่งที่หยางชิ่งบอกให้นางฟังค่ร่าวๆ


หลังจากฟังจบ อวิ๋นจือชิวก็เงียบไปนานมาก สุดท้ายก็กล่าวอย่างตกใจว่า “นายท่านได้หยางชิ่งคนเดียวก็เท่ากับได้กองทัพเกรียงไกรนับล้าน!”

 

 

 


บทที่ 1706 คนเก่ามาขอพึ่งพา

 

สำหรับคำพูดนี้ เหมียวอี้เพียงฟังเงียบๆ โดยไม่ได้ปฏิเสธและไม่ได้เห็นด้วย


เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเขา สีหน้าชื่นชมของอวิ๋นจือชิวก็ค่อยๆ เลือนหายไป นางเลิกคิ้วข้างเดียวพร้อมถามว่า “ตอนนี้เหมือนข้าจะเข้าใจแล้วนิดหน่อย”


“หืม?” เหมียวอี้ดึงสติกลับมา แล้วมองนาง “เข้าใจอะไร?”


อวิ๋นจือชิวกล่าวอย่างไม่เกรงใจสักนิดเลยว่า “เรื่องโถงชุมนุมอัจฉริยะน่ะ ที่เจ้าไม่ได้ปรึกษาหยางชิ่งก็ไม่ใช่เพราะเจ้าไม่อยากปรึกษาเขาหรอก ที่จริงในใจเจ้ารู้ดีว่าเขาคือคนที่เหมาะสมจะปรึกษาด้วยที่สุด และไม่ใช่เหตุผลนั้นที่เจ้าบอกด้วย แต่เจ้าจงใจจะหลีกเลี่ยงเขาต่างหาก หรือไม่เจ้าก็อิจฉาที่เขาฉลาดกว่า เจ้าอยากพิสูจน์ว่าเรื่องบางเรื่องต่อให้ไม่มีหยางชิ่งเจ้าก็ทำได้ดีเหมือนกัน”


เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็หัวเราะลั่น “ฮูหยินตรรกะพังแล้ว ข้าจำเป็นต้องไปแข่งกับเขาด้วยเหรอ?”


“เจ้าก็กำลังแข่งกับเขาอยู่ไง” อวิ๋นจือชิวพูดเย้ย


เหมียวอี้สีหน้าบูดบึ้งเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มเจื่อน “หรือว่าในสายตาฮูหยิน ข้าเป็นคนใจแคบขนาดนั้นเชียวเหรอ?”


อวิ๋นจือชิวแววตาวูบไหวเล็กน้อย สีหน้าจริงจังพลันเปลี่ยนเป็นสีหน้าทะเล้น กระพริบตาถามว่า “ทำไม ล้อเล่นด้วยไม่ได้แล้วเหรอ?”


เหมียวอี้กลอกตามองบน แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอย่างบอกไม่ถูก


อวิ๋นจือชิวก็ตั้งใจเปลี่ยนประเด็นสนทนาเช่นกัน วกกลับมาพูดประเด็นก่อนหน้านี้ “แผนนี้ของหยางชิ่งจะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก แล้วเจ้าเตรียมจะลงมือยังไง?”


“ให้ข้าไตร่ตรองดูสักหน่อย” เหมียวอี้พยักหน้าช้าๆ


ในขณะนี้เอง เสวี่ยเอ๋อร์มาปรากฏตัวอยู่นอกห้องสมาธิแล้วรายงานว่า “นายท่าน มีแขกมาค่ะ”


สองสามีภรรยาเดินออกจากห้องสมาธิ เหมียวอี้ถามว่า “ใคร?”


“มู่หรงซิงหัวตอบ” เสวี่ยเอ๋อร์ตอบ


“หืม…” เหมียวอี้ตะลึงงัน แปลกใจว่ามู่หรงซิงหัวถ่อมาสถานที่เส็งเคร็งแบบนี้ทำไม เขาไม่คิดว่ามู่หรงซิงหัวจะมาหาเขา ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องในปีนั้นที่นางไม่ยอมมากับเขา พอได้เจอกันอีกก็อึดอัดอยู่บ้าง แล้วเขาเองก็ล่วงเกินตระกูลอิ๋งรุนแรงขนาดนั้น ถึงแม้วันนี้จะวางความแค้นต่อกันชั่วคราว ทว่าอย่างไรเสียมู่หรงซิงหัวกับเฉาว่านเสียงก็ยังทำงานอยู่ใต้สังกัดตระกูลอิ๋ง การที่นางมาหาเขาที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นด้านเหตุผลหรือด้านความรู้สึกก็ล้วนไม่เหมาะสม


ขณะกำลังครุ่นคิด ใครจะคิดว่าพอหันมาก็พบว่าอวิ๋นจือชิวมองประเมินเขาด้วยสีหน้าระแวงสงสัย ทำอย่างกับเขากับมู่หรงซิงหัวเคยทำเรื่องน่าอายด้วยกันมาก่อน จึงกล่าวอย่างเกินความจำเป็นว่า “ความสัมพันธ์ของข้ากับนางธรรมดามาก”


อวิ๋นจือชิวสีหน้าเปลี่ยนเร็วมาก กล่าวด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มว่า “ข้าไม่ได้พูดอะไรเสียหน่อย เจ้าจะอธิบายอะไรขนาดนั้น? ยังอยากจะอธิบายอะไรก็พูดต่อเลย ข้ากำลังฟังอยู่”


เสวี่ยเอ๋อร์ยืนเม้มปากอยู่ข้างๆ เหมือนกำลังกลั้นขำ


รับไม่ไหวกับผู้หญิงคนนี้แล้ว เหมียวอี้ไอแห้งหนึ่งที แล้วเอามือไขว้หลังเดินออกไป “ข้าจะไปรับแขก”


อวิ๋นจือชิวกล่าวเสียงเรียบ “ข้าอาจจะไม่เคยเห็นนาง ไปดูด้วยกันเถอะ ไม่ถือสาใช่มั้ย?” ไม่ว่าเหมียวอี้จะตอบตกลงหรือไม่ นางก็จะตามไปอยู่ดี


ในโถงรับแขกยังคงมีร่องรอยของชาวพุทธ มู่หรงซิงหัวสวมชุดกระโปรงสีดำ รูปร่างลักษณะเหมือนวันเก่าๆ ใบหน้าไม่เปลี่ยนไป นางไม่ได้แตะต้องน้ำชาที่เชียนเอ๋อร์นำมาวางรับแขก แต่มองสำรวจไปรอบๆ นี่เป็นครั้งแรกที่นางมาจวนแม่ทัพภาคตลาดผี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นจวนแม่ทัพภาคใหม่อันเลื่องชื่อแห่งนี้ ทำให้เกิดความอยากรู้อยากเห็นอยู่บ้าง


ตอนที่ยังไม่มา หลังจากได้ยินประวัติของจวนแม่ทัพภาคใหม่แห่งนี้ มู่หรงซิงหัวก็แอบทอดถอนใจด้วยความทึ่ง พบว่านายท่านหนิวยังมีลักษณะการทำงานแบบเดิม ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็สร้างความเคลื่อนไหวที่นั่น แต่ไหนแต่ไรมาวัดพระกษิติครรภ์กับจวนแม่ทัพภาคก็เหมือนน้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง แต่หลังจากท่านนี้มา ก็ไม่น่าเชื่อว่าจะสลับที่กันแล้ว ทั้งยังวางกับดักอีกฝ่ายอย่างโจ่งแจ้งกล้าหาญด้วย


จนกระทั่งสองสามีภรรยาปรากฏตัวจากโถงด้านหลัง มู่หรงซิงหัวรีบเข้ามาทำความเคารพ “นายท่าน ฮูหยิน”


“เป็นคนคุ้นเคยกันทั้งนั้น แถมตอนนี้เจ้าก็ไม่ใช้ลูกน้องข้าแล้วด้วย ไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้น คิดเสียว่าสหายเก่ามาเจอหน้ากัน นั่งลงเถอะ!” หลังจากเหมียวอี้ยื่นมือเชิญให้นั่ง ตัวเองก็นั่งลงที่หัวโต๊ะข้างอวิ๋นจือชิวที่พยักหน้ายิ้มทักทาย


ถึงอย่างไรก็ไม่ได้พบกันนานมากแล้ว หลังจากนั่งลง มู่หรงซิงหัวก็ค่อนข้างสงบเสงี่ยม แต่ปากก็ยังกล่าวพูดรักษาบรรยากาศ “ในปีนั้นที่จากกับนายท่านที่ตลาดสวรรค์ นึกไม่ถึงว่าเพิ่งผ่านไปได้ไม่กี่ปี นายท่านก็ได้ขึ้นตำแหน่งแม่ทัพภาคแล้ว เลื่อนตำแหน่งได้เร็วมาก”


“เหอะๆ ไม่ต้องพูดตามมารยาทแล้ว เจ้ามาที่นี่ได้ แสดงว่าคงได้ยินสถานการณ์ของข้ามาบ้างแล้ว ชีวิตแขวนอยู่บนความเป็นความตายแท้ๆ ตำแหน่งแม่ทัพภาคอะไรนั่นก็มีประดับไว้เฉยๆ เท่านั้น” เหมียวอี้พูดเย้ยตัวเอง แล้วถามอย่างสนใจว่า “พูดเรื่องของเจ้าดีกว่า ตอนนี้เจ้าเป็นยังไงบ้าง ทำไมถึงมีเวลาว่างมาที่นี่ได้?”


พอพูดถึงสถานการณ์ของตัวเองในตอนนี้ มู่หรงซิงหัวก็ฝืนยิ้มนิดหน่อย “สถานการณ์ของข้าตอนนี้ทำให้ข้าหัวเราะเยาะ เฉาว่านเสียงหย่ากับข้าแล้ว”


“…” เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวอึ้งไปชั่วขณะ ทั้งสองมองหน้ากันเลิกลั่ก แล้วอวิ๋นจือชิวก็ถามหยั่งเชิงว่า “มีเรื่องอะไรกันแน่?”


มู่หรงซิงหัวยิ้มเรียบๆ “ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องอะไรหรอก หลังจากข้าออกจากตลาดสวรรค์แล้ว ก็ไปเป็นผู้บัญชาการท่ามกลางกำลังพลใต้สังกัดเฉาว่านเสียง มีศักดิ์ศรีของเฉาว่านเสียงอยู่ ก็นับว่าใช้ชีวิตได้ดั่งใจ ตอนหลังตำหนักสวรรค์เกิดเหตุเปลี่ยนแปลง ท่านโหวเทียนหยวนถูกถอดจากตำแหน่ง เฉาว่านเสียงที่เป็นลูกน้องคนสนิทของท่านโหวเทียนหยวนก็เลยลำบากไปด้วย เดิมทีจะต้องถูกกวาดล้างไปพร้อมกัน แต่โชคดีที่เทียนหยวนมีคนสนิทอยู่ในจวนอ๋องสวรรค์อิ๋งอยู่บ้าง เทียนหยวนดันทุรังรั้งลูกน้องคนสนิทไว้ได้จำนวนหนึ่ง เฉาว่านเสียงก็เป็นหนึ่งในนั้น ถูกย้ายไปรับตำแหน่งอีกแห่งของทัพเหนือ ข้าก็เลยถูกพาไปด้วย ถึงแม้เฉาว่านเสียงจะรอดจากการถูกกวาดล้าง แต่ก็ถูกลดตำแหน่ง เปลี่ยนจากหัวหน้าภาคกลายเป็นรองหัวหน้าภาค แต่ก็นับว่าเป็นโชคดีในความโชคร้ายเหมือนกัน ตอนหลังเฉาว่านเสียงรู้จักกับญาติห่างๆ คนหนึ่งของท่านโหวผู้บังคับบัญชา อืม นางเป็นผู้หญิง แล้วทั้งสองคนก็เข้ากันได้ดี”


เหมียวอี้ขมวดคิ้ว พอฟังถึงตอนหลัง ก็พอจะเดาสถานการณ์ได้คร่าวๆ แล้ว


“เป็นเพราะญาติห่างๆ คนหนึ่งของท่านโหว ก็เลยหย่ากับเจ้าเหรอ?” อวิ๋นจือชิวถามด้วยสีหน้าโมโห


มู่หรงซิงหัวยิ้มอย่างขื่นขม “เขาก็มีการเตรียมตัวของเขาเหมือนกัน ไปโทษเขาไม่ได้หรอก ถึงยังไงเขาก็ไม่ใช่ลูกน้องของเทียนหยวนแล้ว รอบข้างมีแต่คนแปลกหน้า ไม่มีคนของตัวเอง อีกทั้งพอเขาไปถึงก็เบียดตำแหน่งคนอื่น ใช้ชีวิตไม่ได้ดั่งใจเท่าไร การแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นสามารถสร้างเส้นสายกับท่านโหวได้ อาจจะมีส่วนช่วยเรื่องอนาคตของเขา พอได้แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับญาติท่านโหว อย่างน้อยคนอื่นจะได้ไม่กล้ากลั่นแกล้งเขาเกินไป ตอนแรกข้าก็เบียดตำแหน่งฮูหยินคนเดิมของเฉาว่านเสียงเหมือนกันไม่ใช่เหรอ จะมีสิทธิ์ไปว่าอะไรคนอื่นล่ะ นี่อาจจะเป็นเวรกรรมที่ตามสนองข้าก็ได้ มิหนำซ้ำก็นับว่าเขาพยายามช่วยข้าเป็นครั้งสุดท้าย ช่วยดึงข้าให้ขึ้นเป็นรองผู้บัญชาการใหญ่ก่อนแล้วค่อยหย่ากับข้า ก่อนหน้านี้พวกเราก็คุยกันเรียบร้อยดี ข้าไม่มีอะไรจะพร่ำบ่นด้วย เขาเองก็บอกเช่นกัน ว่าถ้าวันไหนเขาลืมตาอ้าปากอีกครั้ง เขาก็จะไม่ปล่อยข้าไว้โดยไม่สนใจ เขาจะหาทางดูแลข้า เพียงแต่ว่า…ในเมื่อจบกันแล้ว ข้าคิดว่าต่อไปนี้ก็ไม่จำเป็นต้องมีอะไรเกี่ยวพันกันอีก แบบนี้ไม่มีประโยชน์อะไรทั้งกับข้าและกับเขา คนใหม่ที่เขาแต่งงานด้วยก็ไม่ใช่คนใจดีมีเมตตาอะไร ยังไงก็มีท่านโหวหนุนหลัง จะมีนิสัยเอาแต่ใจหน่อยก็พอเข้าใจได้”


“เฉาว่านเสียงนั่นใช่ว่าข้าจะไม่เคยเห็น อาศัยรูปร่างเตี้ยล่ำอย่างเขาเนี่ยนะ ญาติของท่านโหวคนนั้นจะต้องตาถั่วขนาดไหนกัน?” อวิ๋นจือชิวถามด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง


มู่หรงซิงหัวยิ้มเบาๆ “ที่ฮูหยินพูดก็มีเหตุผล แต่ช่วยไม่ได้ที่ฮูหยินคนใหม่ก็หน้าตาไม่น่ามองเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่ถึงคราวให้เฉาว่านเสียงได้ประจบหรอก”


ถึงแม้จะพูดอย่างนี้ แต่ก็มีเพียงนางเท่านั้นที่รู้ถึงความเจ็บความช้ำในใจตัวเอง ไม่ว่าก่อนหน้านี้นางจะเคยผ่านเรื่องน่าอับอายอะไรมาจากการทดสอบที่สถานที่ไร้ชีวิต แต่ถึงอย่างไรเฉาว่านเสียงก็เป็นผู้ชายคนแรกของนางอย่างแท้จริง ถูกเฉาว่านเสียงครอบครองตอนที่ยังมีร่างกายบริสุทธิ์ ทั้งยังอยู่กับเฉาว่านเสียงทั้งแบบลับและแบบเปิดเผยมาหลายปี ตอนแรกที่นางไม่ได้ติดตามเหมียวอี้มา ก็เพราะอยากจะใช้ชีวิตสงบสุขกับเฉาว่านเสียง ไม่สนใจความอัปลักษณ์ของเฉาว่านเสียง แค่อยากจะใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับความเป็นจริง แต่ตอนนี้กลับถูกเฉาว่านเสียงทิ้งแล้ว มีเพียงตัวเองเท่านั้นที่รู้ถึงรสชาตินี้


อวิ๋นจือชิวโมโหเพราะยืนอยู่ในฐานะผู้หญิงด้วยกัน แต่ผ่านไปครู่เดียวก็สงบลงเร็วมาก รู้ว่าเรื่องแบบนี้ไม่มีอะไรน่าพูดถึง เป็นเรื่องปกติมาก ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง ในโลกนี้ไม่รู้ว่ามีคนตั้งเท่าไรที่ทิ้งทุกอย่างเพื่ออนาคตของตัวเอง มีแค่เฉาว่านเสียงเสียที่ไหนกัน ยิ่งไปกว่านั้น ก็ไม่ถึงคราวให้นางไปยุ่งเรื่องในครอบครัวคนอื่น นางทำได้เพียงทอดถอนใจด้วยความปลง


ใครจะคิดว่าต่อจากนั้นมู่หรงซิงหัวจะยืนขึ้น แอบทอดถอนใจแล้วกุมหมัดคารวะต่อเหมียวอี้ “มู่หรงเหมือนตัวคนเดียวไม่มีพันธะ ได้ยินว่านายท่านขาดคน ไม่รู้ว่านายท่านเต็มใจจะรับหรือเปล่า? มู่หรงยินดีจะทำงานรับใช้นายท่านอีกครั้ง!”


ที่จริงหลังจากเลิกกับเฉาว่านเสียงแล้ว นางก็อยากจะมุ่งตรงมาขอพึ่งพาเหมียวอี้เสียเลย ท่ามกลางคนที่นางรู้จัก คนที่นางนับถือและเชื่อใจที่สุดก็คือเหมียวอี้ ทว่าด้วยปัจจัยทางด้านความรู้สึกบางอย่าง นางไม่อยากให้เหมียวอี้ดูถูกนางอีกแล้ว กอปรกับในปีนั้นไม่ได้ติดตามทำงานกับเหมียวอี้ ถ้ามาขอพึ่งพาเหมียวอี้ตอนที่ชีวิตโดดเด่นรุ่งโรจน์ก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสม แบบนั้นไม่นับว่าเป็นการเพิ่มลายดอกไม้ลงบนผ้าดิ้น[1]ด้วยซ้ำ นางทำได้เพียงล้มเลิกความคิดนั้นไป แต่ใครจะคิดว่าหลังจากนั้นไม่กี่ปี สถานการณ์ของเหมียวอี้ของพลิกผันดิ่งลงอีก นางได้ยินข่าวในช่วงนี้มาเหมือนกัน ถึงได้มาขอพึ่งพาอย่างไม่ลังเล


เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา เหมียวอี้และฮูหยินก็อึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็ทำสีหน้าซาบซึ้งใจเบาๆ ทั้งสองเชื่อว่ามู่หรงซิงหัวได้ยินข่าวเหมียวอี้ช่วงนี้มาแล้วเช่นกัน ภายใต้สถานการณ์ที่โถงชุมนุมอัจฉริยะหาคนมาสมัครไม่ได้ แต่ยังมีคนเต็มใจจะเอาอนาคตมาฝากไว้ มายังสถานที่ไร้เดือนไร้ตะวันแห่งนี้ เรียกได้ว่าเป็นรสชาติของการส่งถ่านท่ามกลางหิมะ


“เจ้าเต็มใจมา ข้าก็ต้องอ้าแขนต้อนรับอยู่แล้ว เพียงแต่ทางนั้นจะยอมปล่อยคนเหรอ?” เหมียวอี้ลังเล


มู่หรงซิงหัวตอบว่า “ข้าอยู่กับเฉาว่านเสียงก็อึดอัดเหมือนกัน ฮูหยินของเฉาว่านเสียงก็ไม่ใช่คนถือศีลกินเจ แล้วคนที่อยู่ข้างบนและข้างล่างข้าก็อึดอัดเพราะข้าเป็นอดีตฮูหยินของเฉาว่านเสียงด้วย จะล่วงเกินก็ไม่ดี จะไม่ล่วงเกินก็ไม่ดี แล้วพอข้าออกมาก็ยังมีตำแหน่งว่างอีกตำแหน่งหนึ่งด้วย ทุกคนคงอยากให้ข้าเดินออกมาจะแย่อยู่แล้ว คงจะไม่มีปัญหาอะไรหรอก ขอเพียงนายท่านยินดีจะรับไว้ มู่หรงก็จะกลับไปจัดการเรื่องนี้ทันที”


เหมียวอี้เอียงหน้ามองอวิ๋นจือชิวแวบหนึ่ง เขาเองก็อยากรับไว้ แต่ก็กังวลว่าอวิ๋นจือชิวจะเข้าใจผิด


อวิ๋นจือชิวเหมือนจะเดาความคิดเขาออก จึงหรี่ตายิ้ม “ดูท่าแล้วข้าจะต้องยินดีที่นายท่านกำลังจะได้ลูกน้องคนสนิทเพิ่มอีกคน”


ตอนนี้เหมียวอี้ถึงได้ถอนหายใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ขอเพียงทางนั้นยินดีปล่อยคน ทางข้าก็ย่อมไม่มีปัญหา แต่ข้าขอบอกไว้ก่อนเลยนะ ว่าความสัมพันธ์ของข้ากับตระกูลอิ๋งไม่ค่อยดีเท่าไร ข้าไม่สะดวกออกหน้าให้เจ้า ไม่อย่างนั้นอาจจะได้ผลตรงกันข้าม”


“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว” มู่หรงซิงหัวตื่นเต้นดีใจทันที


หลังจากคุยกันแล้ว มู่หรงซิงหัวก็รีบกลับไปที่จวน นางไม่อยากอยู่ต่อแม้แต่วันเดียว ส่วนที่อวิ๋นจือชิวบอกว่า ในเมื่อมาแล้วก็เดินเที่ยวที่ตลาดผีให้ทั่วเพื่อดูประเพณีของตลาดผีสักหน่อย นางก็ตอบว่า ในภายหลังพอมารับตำแหน่งที่ตลาดผีแล้วยังกลัวจะไม่มีเวลาเยี่ยมชมอีกเหรอ? นางรีบบอกลาแล้วจากไปทันที


…………………………


[1] เพิ่มลายดอกไม้ลงบนผ้าดิ้น 锦上添花 หมายถึงการประดับตกแต่งสิ่งที่สวยงามอยู่แล้วให้สวยงามยิ่งขึ้นไปอีก ทำในสิ่งที่เกินความจำเป็น

 

 

 


บทที่ 1707 ต้องขอความร่วมมือจากเจ้า

 

ออกจากโถงใหญ่มาได้ไม่นาน มู่หรงซิงหัวก็เจอคนสนิทเก่าในลานบ้าน สวีถังหราน!


“มู่หรง?” สวีถังหรานอึ้งไปชั่วขณะ “เป็นเจ้าจริงเหรอ? เจ้ามาได้ยังไง?”


เขาไม่รู้ว่ามู่หรงซิงหัวมาแล้ว เขามีธุระมารายงานเหมียวอี้ นับว่าบังเอิญเจอกันแท้ๆ


เป็นเพราะอยู่ในตลาดผีอย่างสงบไม่ได้แล้ว ถ้าทำทุกอย่างได้ดั่งใจก็ไม่มีใครอยากยุ่งยาก แต่เหมียวอี้โยนเรื่องรับสมัครคนเข้าโถงชุมนุมอัจฉริยะให้เขาแล้ว กดดันให้เขาต้องครุ่นคิดให้ดี ตอนนี้ฝั่งเหมียวอี้เจออุปสรรคแล้ว เขาเองก็รู้ว่าตอนนี้เรื่องกำลังพลสำคัญมาก เหมียวอี้ส่งมอบภารกิจสำคัญขนาดนี้ให้เขา ถ้าทำพังขึ้นมาเขาก็รู้ว่าจะมีผลกระทบเยอะมาก ยิ่งไปกว่านั้นงานที่เหมียวอี้เคยส่งให้เขาทำ จนกระทั่งตอนนี้ยังไม่เคยทำพังมาก่อนเลย เรื่องร้านค้าที่ตลาดผีก็โทษเขาไม่ได้


ส่วนข่าวลือต่างๆ ข้างนอก ถึงแม้จะสอดคล้องกับความจริง แต่เขาก็ไม่ได้คิดแบบนี้ ตอนแรกกังวลว่าเหมียวอี้จะก้าวผ่านด่านขุนนางใหญ่ของตำหนักสวรรค์ไม่ได้ แต่พอมาดูตอนนี้แล้ว ถึงแม้สถานการณ์จะไม่ค่อยดี แต่ขนาดด่านยากอย่างขุนนางใหญ่ตำหนักสวรรค์ยังผ่านไปได้เลย เขามีส่วนร่วมอยู่ในนั้นด้วย จึงรู้ว่าเหมียวอี้ใช้อุบายบางอย่างอยู่เบื้องหลังถึงได้ผ่านด่านอันตรายนี้ไปได้ ขนาดด่านยากอย่างนั้นยังผ่านไปได้ แล้วนับประสาอะไรกับด่านยากตรงหน้าล่ะ?


ดังนั้นเขาจึงมั่นใจในตัวเหมียวอี้มาก ถ้าตัวเองจัดการเรื่องที่มีความสำคัญในครั้งนี้ได้ดี ก็จะได้สร้างผลงานใหญ่อีกชิ้น ส่วนเหมียวอี้ที่ได้อำนาจอิทธิพล เขาเองก็จะเหมือนเรือที่ขึ้นสูงตามน้ำไปด้วย ดังนั้นเขาจึงอยากจัดการงานในครั้งนี้ให้ดี แต่ถ้าจะให้เขานั่งรอคนอยู่ที่นี่ ก็ไม่มีใครเข้ามาสมัครอยู่ดี ภายใต้ความจนใจ เขาจึงติดต่อหวงเสี้ยวเทียนที่อยู่ทางตลาดมืดแล้ว รองแม่ทัพภาคตลาดผีท่านนี้เตรียมจะออกโรงรับสมัครคนเข้าโถงชุมนุมอัจฉริยะด้วยตัวเอง เวลาสิบปีจะว่าช้าก็ช้า จะว่าเร็วก็เป็นเรื่องเพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ไม่รีบไม่ได้หรอก


สำหรับท่านนี้ มู่หรงซิงหัวก็ไม่รู้ว่าควรจะนับถือหรือจะอิจฉาดี ตอนแรกม่คนมากมายที่ไม่อยากติดตามนายท่านไป แม้แต่พวกฝูชิงก็ยังไม่ไปเลย มีเพียงเขาคนนี้ที่ตามติดนายท่านมาตลอด กอดขานายท่านแน่นไม่ยอมปล่อย กลายเป็นสุนัขวิ่งเต้นที่โด่งดังที่สุดข้างกายนายท่าน ผลก็คือตอนอยู่ตลาดสวรรค์เลื่อนจากผู้บัญชาการเป็นรองผู้บัญชาการใหญ่ เลื่อนจากผู้บัญชาการใหญ่เป็นรองแม่ทัพภาค ได้ยินว่ายศถึงเกราะม่วงสามแถบแล้ว ยศสูงกว่านายท่านเสียอีก ใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีก็เลื่อนยศได้เร็วจนเหลือเชื่อ ส่วนนางในตอนนี้ก็เป็นเพียงรองผู้บัญชาการใหญ่คนหนึ่งเท่านั้น เมื่อได้พบกันอีก ระดับของทั้งสองก็แตกต่างกันขนาดนี้แล้ว ช่างทำให้คนรู้สึกสะท้อนใจจริงๆ


“นายท่านสวี ได้ยินว่า ได้ยินว่าเลื่อนขั้นเป็นรองแม่ทัพภาคแล้ว ขอแสดงความยินดีกับอนาคตไว้ตรงนี้”มู่หรงซิงหัวทำความเคารพ


คำพูดนี้เกาถูกจุดที่สวีถังหรานคันพอดี ฟังแล้วสบายใจ นี่ก็คือเรื่องที่เขาภาคภูมิใจที่สุดในหลายปีมานี้ ในปีนั้นคนพวกนี้อยู่ที่ตลาดสวรรค์ต่อ ส่วนใหญ่ยังย่ำอยู่ที่เดิม ถึงอย่างไรก็ผ่านไปหลายปีแล้ว อยู่ที่ตำหนักสวรรค์หลายพันปีหมื่นปีกว่าจะได้เลื่อนขั้นสักครั้งเป็นเรื่องปกติมาก ที่มากกว่านั้นคือทั้งชีวิตอาจจะไม่มีโอกาสเลื่อนขั้นเลย อย่างไรเสียยิ่งตำแหน่งสูงก็ก็ยิ่งมีน้อยลงเรื่อยๆ เป็นไปไม่ได้ที่จะให้ทุกคนเลื่อนขั้นทั้งหมดได้ แต่สวีถังหรานล่ะ ผ่านไปไม่เท่าไรเอง เลื่อนขั้นไปแล้วตั้งกี่ครั้ง?


 สำคัญที่สุดก็คือ เขาได้มหาเคล็ดวิชารวมศูนย์แล้ว!


แน่นอน ปากเขายังคงพูดถ่อมตัว กอปรกับรู้ว่าอีกฝ่ายมาเพราะเหมียวอี้ จึงกล่าวอย่างสุภาพว่า “มู่หรง เจ้าเป็นสหายเก่าของข้า พูดอะไรพวกนี้เหมือนเป็นคนนอกแล้ว ตำแหน่งรองแม่ทัพภาคแค่ฟังดูดีเฉยๆ หรอก เบื้องล่างมีลูกน้องไม่เท่าไรเอง เทียบเจ้าไม่ติดเลย เออใช่ แล้วนี่เจ้ามาได้ยังไง?”


ต่อให้มู่หรงซิงหัวจะรีบกลับสักแค่ไหน แต่ในเมื่อเจอกันแล้วก็จะต้องรำลึกวันเก่าๆ กับเขาสักหน่อย ทั้งสองจึงยังไม่รีบร้อนไปไหน เลี่ยงไม่ได้ที่จะพูดคุยกันสักหน่อย


ส่วนอวิ๋นจือชิวพอรอแขกออกไปแล้ว ก็ติดต่อกับฝั่งลัทธิมารลับหลังเหมียวอี้ทันที ให้คนไปตรวจสอบทันทีว่ามู่หรงซิงหัวพูดจริงหรือไม่ ที่สำคัญคือเวลาที่นางเลิกกับเฉาว่านเสียง ถ้าเลิกกันนานแล้วก็ยังดีหน่อย แต่ถ้าเพิ่งเลิกได้ไม่นาน เช่นนั้นนางก็ต้องเคลือบแคลงในอยู่บ้าง สงสัยว่ามีคนอยากจะแทรกสายลับเข้ามาหรือเปล่า เพราะเหตุผลนี้นางจึงต้องตรวจสอบ


สวีถังหรานต้องการออกโรงรัยสมัครคนเข้าโถงชุมนุมอัจฉริยะด้วยตัวเอง เหมียวอี้ปลื้มอกปลื้มใจมาก ยอมยอมทุ่มเทความพยายามเพื่อทำงานก็ดี เหมียวอี้อนุญาตแล้ว แต่ต้องจัดการค่าใช้จ่ายทุกอย่างด้วยตัวเอง


สวีถังหรานจนใจมาก ให้ตนควักกระเป๋าตัวเองเพื่อทำงานอีกแล้ว โชคดีที่หลายปีมานี้กอบโกยได้ไม่น้อย ไม่อย่างนั้นคงจ่ายไม่ไหวแน่นอน…


ส่วนแผนเด็ดของหยางชิ่ง ต่อให้เด็ดแค่ไหนก็ต้องให้คนไปปฏิบัติการ หลังจากเหมียวอี้ครุ่นคิดได้สองสามวัน สุดท้ายก็ตัดสินใจได้แล้ว ติดต่อผังก้วนเทพประจำดาวฟ้าเถาะแล้ว


พอเอ่ยปากก็ย่อมต้องทักทายก่อน : เทพประจำดาว เรื่องลูกชายเจ้าน่ะ ได้โปรดระงับความเศร้าใจเถิด


ผังก้วนไม่พูดคุยกับเขาเรื่องนี้ : ไม่มีทางที่เจ้าจะติดต่อข้ามาโดยไม่มีธุระอะไร ว่ามาเถอะ พูดมาเถอะ มีเรื่องอะไร? แต่ข้าขอบอกไว้ก่อนเลยนะ เรื่องรับคนเข้าโถงชุมนุมอัจฉริยะของเจ้า ข้าช่วยเจ้าไม่ได้หรอก ไม่มีทางออกหน้าช่วยเจ้าได้ด้วย


เหมียวอี้ : เรื่องนี้ข้าพอจะเข้าใจได้ ข้าแค่อยากจะถามสักหน่อย ว่าเมื่อไรข้าจะเข้าไปที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ได้อีก?


เจ้าคิดว่าข้าไม่อยากเหรอ? ผังก้วนตำหนิตอบว่า : ตอนนี้เจ้าสะดุดตาเกินไป ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา ข้าว่าเจ้าหยุดพักสักหน่อยได้มั้ย? ทำไมเอาแต่ก่อเรื่องครั้งแล้วครั้งเล่า? มีคนจับตาดูเจ้าเยอะขนาดนั้น ตอนนี้ต่อให้เจ้าอยากจะเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์แต่ก็ไม่มีทางแล้ว


เหมียวอี้แอบด่าในใจ แบบนี้ก็ถูกแล้วไง ก็ต้องดึงเจ้าลงมาด้วย ถ้าไม่มีเรื่องอะไรเกี่ยวข้องกับข้าแล้ว เจ้าสามารถเอาสมบัติจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ได้อย่างราบรื่น เกรงว่าเจ้าจะเป็นคนแรกที่ปิดปากข้าล่ะสิ? แน่นอนว่าเขาพูดอะไรแบบนี้ออกมาไม่ได้ ทำได้เพียงตอบอย่างจนใจ : ข้าก็ไม่อยากเหมือนกัน แต่ชอบมีคนบีบให้ข้าตายนี่สิ! เทพประจำดาว ข้ามีเรื่องบางอย่างจะสืบจากเจ้า


เรื่องแดนมรณะดึกดำบรรพ์เป็นข้ออ้างทั้งนั้น ประโยคสุดท้ายต่างหากที่เป็นประเด็นหลัก


ผังก้วน : มีเรื่องอะไร?


เหมียวอี้ : นอกจากการประชุมราชสำนักที่ตำหนักสวรรค์ ช่วงนี้ยังมีงานอะไรที่ขุนนางใหญ่ของตำหนักสวรรค์จะมารวมตัวกันมั้ย? ยกตัวอย่างเช่นจัดที่อุทยานหลวง


ผังก้วน : เจ้าถามเรื่องนี้ทำไม? คงไม่ก่อเรื่องอะไรอีกใช่มั้ย?


เหมียวอี้ : ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ ถ้าทุกคนปล่อยข้าไปได้ ข้ายังจะไม่ดีใจอีกเหรอ นอกเสียจากจะเบื่อหน่ายการมีชีวิตอยู่แล้วข้าถึงจะหาเรื่องใส่ตัว


ผังก้วนเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะตอบว่า : ตอนนี้น่าจะไม่มีงานอย่างนั้น ที่ยืนยันได้ก็คืองานเลี้ยงอุทยานหนึ่งพันปีครั้งหน้าแล้ว แต่หลังจากนี้อีกสองปียังมีโอกาสอีกครั้ง แต่ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน


งานเลี้ยงอุทยานที่จัดหนึ่งพันปีต่อครั้งนานเกินไปแล้ว ตระกูลโค่วไม่มีทางรอนานขนาดนั้นถึงถอนกำลังออกไป อีกสองปีหลังจากนี้ยังพอพิจารณาได้ จึงถามซักไซ้ว่า : อีกสองปีหลังจากนี้ยังมีโอกาสอะไร?


ผังก้วน : ถ้าจำไม่ผิด อีกสองปีหลังจากนี้น่าจะเป็นวันเกิดครบห้าแสนปีของเซี่ยโห้วท่า พอฉลองวันเกิดเซี่ยโห้วท่าผ่านไปแล้ว ถ้ายังไม่มีทางบรรลุถึงระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้ คาดว่าคงไม่มีโอกาสจัดงานวันเกิดอีกหนึ่งแสนปีข้างหน้าแล้ว มีความเป็นไปได้ว่าฝ่าบาทจะจัดงานเลี้ยงให้เซี่ยโห้วท่าที่อุทยานหลวง ถึงตอนนั้นขุนนางใหญ่ของตำหนักสวรรค์น่าจะมากันหมด แต่สี่อ๋องสวรรค์จะปรากฏตัวหรือไม่ก็ไม่ใจแล้ว


งานวันเกิดเซี่ยโห้วท่า? เหมียวอี้ทำสีหน้าครุ่นคิด


หลังจากนั้นหลายวัน เหมียวอี้ที่ยืนยันจากข่าวแล้วเห็นด้วยกับการคาดเดาของผังก้วน จึงปรึกษารายละเอียดกับหยางชิ่งอีกพักหนึ่ง


ถึงแม้แผนการจะเด็ด แต่การปฏิบัติคือกุญแจสำคัญ ถ้าลงมือไม่ได้ต่อให้แผนเด็ดขนาดไหนก็ไร้ประโยชน์ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนทั่วไปหยางชิ่งก็ไม่กล้านำแผนนี้มาใช้เลยจริงๆ แต่ถ้าเปลี่ยนให้เหมียวอี้ลงมือแผนนี้แล้ว เขาก็ยังมีความมั่นใจมากว่าจะสำเร็จ ประการแรกเป็นเพราะเหมียวอี้แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเก่งมาก ประการต่อไปมาเป็นเพราะเหมียวอี้กล้าหาญเกินใคร และกุญสำคัญข้อสุดท้ายก็คือ ความแค้นระหว่างเหมียวอี้กับขุนนางใหญ่ตำหนักสวรรค์ต่างหากที่เป็นกุญแจสำคัญต่อความสำเร็จของเรื่องนี้


หลังจากทั้งสองกำหนดรายละเอียดทีละขั้นตอนเรียบร้อยแล้ว เหมียวอี้ก็ออกจากตลาดผี โดยพาเฟยหงไปด้วยกัน พาฟยหงวนเที่ยวชมธรรมชาติบนดาวเคราะห์ที่งดงามดวงหนึ่ง


เฟยหงอารมณ์ดีมีความสุข เรียกได้ว่าคนงดงามกว่าบุปผา ขั้นตอนชีวิตอันสุขสำราญระหว่างนางกับเหมียวอี้ก็ย่อมไม่ต้องพูดถึง


เมื่อเที่ยวเล่นได้ไม่กี่วัน ทั้งสองก็มาถึงทะเลทรายแห่งหนึ่งที่ไร้มนุษย์ดำรงชีวิต ยืนดูพระอาทิตย์ตกดินกับนางบนเนินทราย


บนเนินทรายกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตที่สูงต่ำไม่เสมอกันย้อมด้วยสีทองระยิบระยับ ทั้งสองชื่นชมบรรยากาศเงียบๆ ทิวทัศน์งดงามเช่นนี้ทำให้เฟยหงมีสีหน้าเคลิบเคลิ้ม


ขณะลำแสงระยิบระยับค่อยๆ หายไปจากทะเลทรายอันกว้างใหญ่ เหมียวอี้ถอนหายใจเบาๆ “เฟยหง!”


“คะ!” เฟยหงหายเหม่อลอยแล้วหันกลับมามองเขา


“มีเรื่องบางอย่างอาจต้องให้เจ้าช่วย” เหมียวอี้กล่าว


“เหตุใดนายท่านพูดเช่นนี้ มีเรื่องอะไรก็กำชับข้าได้เลยค่ะ” เฟยหงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม


“ข้ากลัวเจ้าจะเข้าใจผิดว่าข้ากำลังหลอกใช้เจ้า ข้าเลยไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยปากยังไง” เหมียวอี้บอก


“นายท่านคิดมากไปแล้ว ด้วยสถานการณ์ของเฟยหงในตอนนี้ การมีค่าให้นายท่านหลอกใช้ได้ การช่วยเหลือนายท่านได้ต่างหากคือสิ่งที่เฟยหงดีใจที่สุด ไม่อย่างนั้นเฟยหงก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนขยะที่ไร้ประโยชน์” เฟยหงกล่าว


เหมียวอี้โบกมือไปข้างหลัง วางเก้าอี้ยาวตัวหนึ่งบนเนินทราย แล้วจูงมือเรียวสวยของเฟยหงมานั่งลงด้วยกัน ก่อนจะกล่าวเสียงต่ำอย่างช้าๆ ว่า “ช่วงนี้ได้ข่าวมาข่าวหนึ่ง ว่าอีกสองปีหลังจากนี้จะเป็นงานวันเกิดห้าแสนปีของเซี่ยโห้วท่า มีความเป็นไปได้สูงว่าฝ่าบาทอาจจะจัดงานให้เซี่ยโห้วท่าที่อุทยานหลวง ถึงตอนนั้นข้าอยากจะไปที่อุทยานหลวง”


“นายท่านอยากจะไปอวยพรงานวันเกิดให้ท่านปู่สวรรค์เซี่ยโห้วเหรอคะ?” เฟยหงแปลกใจ


เหมียวอี้ส่ายหน้า “ไม่ใช่ ข้าเองก็หวังว่าถึงตอนนั้นจะได้โผล่หน้าไปอวยพรวันเกิด แต่ตอนนี้ข้าไม่ใช่แม่ทัพภาคอุทยานหลวงแล้ว แต่เป็นแม่ทัพภาคตลาดผี ไม่มีสิทธิ์เข้าอุทยานหลวงเลยตระกูลโค่วเองก็คงไม่มีทางพาข้าไปอีก พอคิดไปคิดมา มีแค่แม่เฒ่าลวี่เท่านั้นที่ทำให้ข้าเข้าไปได้อย่างราบรื่น เจ้าก็เลยต้องใช้ความพยายามกับแม่เฒ่าลวี่นิดหน่อย”


ยังนึกว่าเป็นเรื่องยากอะไรเสียอีก ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง เฟยหงกล่าวอย่างลังเล “ข้ากับแม่เฒ่าลวี่มีความสัมพันธ์ที่ไม่เลว ถ้านายท่านอยากเข้าไปที่อุทยานหลวงเฉยๆ แม่เฒ่าลวี่ก็ยังมีคนไว้หน้าอยู่บ้างนิดหน่อย ไม่ต้องรอให้ถึงวันงานเลี้ยงท่านปู่สวรรค์เซี่ยโห้วก็ได้”


เหมียวอี้ส่ายหน้าอีกครั้ง “เจ้าไม่เข้าใจความคิดของข้า ข้าเพียงอยากเข้าอุทยานหลวงในงานวันเกิดเซี่ยโห้วท่าเท่านั้น”


“เกรงว่าตอนนั้นอุทยานหลวงจะป้องกันเข้มงวดมาก เข้าไปไม่ได้ง่ายๆ แล้ว” เฟยหงลังเลนิดหน่อย


“จึงต้องขอความร่วมมือกับเจ้าได้” เหมียวอี้


“นายท่านจะให้ข้าทำอะไรคะ?” เฟยหงถาม


“ข้าจำที่เจ้าเคยบอกได้ ว่าทุกๆ ปีเจ้ากับแม่เฒ่าลวี่จะติดต่อกันหนึ่งครั้ง เพื่อไม่ให้คนสงสัย ตอนนี้ยังเหลือเวลาอีกสองปี เจ้าต้องปรับเวลาติดต่อสักหน่อย ติดต่อไปก่อนงานวันเกิดเซี่ยโห้วท่าสักระยะ เหลือเวลาว่างให้พวกเราไปอุทยานหลวง” เหมียวอี้กล่าว


“ทำอย่างนี้ได้เหรอคะ?” เฟยหงสงสัย


เหมียวอี้บอกว่า “กุญแจสำคัญก็คือเจ้าอยู่ในฐานะสายลับของหน่วยตรวจการซ้าย ตอนนี้ยังมีคนมากมายจับตาดูข้าอยู่ รวมทั้งหน่วยตรวจการซ้ายด้วย ดังนั้นหน่วยตรวจการซ้ายไม่ปล่อยให้เจ้าหมดบทบาทข้างกายข้าง่ายๆ ถ้าระหว่างข้ากับเจ้าเกิดรอยร้าวอะไร คนที่มีความสัมพันธ์ที่ดีที่สุดกับเจ้าก็คือแม่เฒ่าลวี่ ถึงตอนนั้นเมื่อเจ้ากับข้าไปเยี่ยมแม่เฒ่าลวี่อีกครั้ง มีการแทรกแซงจากหน่วยตรวจการซ้ายสักหน่อย การเข้าไปพักอุทยานหลวงก็ไม่น่าจะมีปัญหา!”


เฟยหงงงนิดหน่อย แต่เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว ลองถามดูว่า “นายท่านต้องการให้ข้าได้รับความไม่ยุติธรรมนิดหน่อยเหรอคะ?”


เหมียวอี้มองนางพร้อมพยักหน้าเบาๆ “ลำบากเจ้าแล้ว”


เฟยหงพยักหน้าเบาๆ “ไม่เป็นไรค่ะ แค่แสดงละครเท่านั้นเอง กลัวก็แค่จะแสดงละครไม่ดีเท่านั้น นายท่านโปรดชี้แนะด้วยว่าจะควรจะทำยังไงไม่ให้ผิดพลาด”


เหมียวอี้บอกรายละเอียดทันทีว่าต้องทำอย่างไรบ้าง หลังจากเฟยหงฟังเข้าใจแล้วก็รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ เอนกายซบอกเหมียวอี้อย่างช้าๆ นางเข้าใจแล้วจริงๆ ว่าเหมียวอี้ทำอย่างนี้ก็เพื่อปกป้องนาง เพื่อไม่ให้หน่วยตรวจการซ้ายรู้ว่านางถูกเปิดโปงแล้ว ไม่อย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องวางแผนรอบคอบขนาดนี้ สามารถทำให้บรรลุเป้าหมายของเหมียวอี้ได้เลย ส่วนเฟยหงจะถูกเปิดโปงหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวกันแล้ว

 

 

 


บทที่ 1708 กลับอุทยานหลวงอีกครั้ง (1)

แต่จะว่าไปแล้ว การที่เหมียวอี้สร้างชื่อเสียงแบบนี้ กลับเพิ่มความยากในการรับคนเข้าโถงชุมนุมอัจฉริยะให้สวีถังหรานมากขึ้นไปอีก คนนอกย่อมคิดว่า ทำไมต้องทำงานรับใช้คนแบบนี้ด้วย?


ตอนนี้ในใต้หล้ามีอีกเรื่องที่เริ่มร่ำลือกันจนคุ้นหูทุกคน งานเลี้ยงวันเกิดห้าแสนปีของท่านปู่สวรรค์เซี่ยโห้ว ราชันสวรรค์กับราชินีสวรรค์ต้องการจะจัดงานอวยพรวันเกิดให้ท่านปู่สวรรค์เซี่ยโห้วที่อุทยานหลวง


วันมหามงคลขนาดนี้ใกล้เข้ามาแล้ว เหมียวอี้ที่มักระบายอารมณ์เฟยหงก็เหมือนจะควบคุมตัวเองไม่ได้แล้ว ประกาศหย่ากับเฟยหงต่อทุกคนในจวนแม่ทัพภาค โชคดีที่ถูกอวิ๋นจือชิวห้ามไว้


จากนั้นก็ไม่รู้ว่าด้วยสาเหตุอะไร เหมียวอี้กับเฟยหงก็หายไปจากจวนแม่ทัพภาคตลาดผีพร้อมกันอีกครั้ง


จนกระทั่งทั้งสองปรากฏตัวที่น่านฟ้าใกล้เคียงวังสวรรค์และถูกตรวจสอบ เบาะแสของทั้งสองจึงถูกเปิดเผย ข่าวถึงได้ส่งกลับไปที่ตึกศาลาสัตยพรต


“อะไรนะ? ไปที่อุทยานหลวงเหรอ?” เฉาหม่านได้ยินข่าวแล้วงงนิดหน่อย จากนั้นก็ตกใจ ลุกพรวดขึ้นจากด้านหลังโต๊ะยาว “งานวันเกิดนายท่านกำลังจะมาถึง เจ้าบ้านั่นแกล้งบ้าแกล้งโง่มานานขนาดนี้ แต่จู่ๆ มาปรากฏตัวแถวอุทยานหลวงหมายความว่าอะไร?” เขารีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อทางตระกูลเซี่ยโห้ว


งานวันเกิดเซี่ยโห้วท่า เขามีฐานะเป็นลูกชายแต่กลับไม่สามารถโผล่หน้าไปอวยพรวันเกิดอย่างเปิดเผยได้ แต่ก็ไม่อาจเห็นงานวันเกิดของบิดาตัวเองเกิดความวุ่นวายได้เช่นกัน หนิวโหย่วเต๋อมีนิสัยชอบก่อเรื่อง ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็สงสัยมาตั้งแต่แรกแล้วว่าเหมียวอี้แกล้งโง่เพราะมีจุดประสงค์บางอย่าง จู่ๆ ก็ออกจากตลาดผีมาโผล่ที่อุทยานหลวงในเวลานี้ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะเฝ้าระวัง เพื่อที่จะป้องกันเหตุไม่คาดคิด จึงต้องให้ทางฝั่งตระกูลเซี่ยโห้วเตรียมตัวไว้สักหน่อย


จวนท่านปู่สวรรค์เซี่ยโห้ว ในสวนต้องห้าม เซี่ยโห้วท่านั่งขัดสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่สูงระฟ้า กำลังหรี่ตาฟังรายงานจากเว่ยซู


หลังจากฟังจบ ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบดุจน้ำไร้คลื่น “รู้แล้ว”


เว่ยซูเห็นเขาไม่สะทกสะท้าน จึงกล้าวเสริมว่า “ความเห็นของคุณชายสามก็คือ ให้ทางนี้รายงานไปที่ตำหนักนารีสวรรค์ทันที ให้ราชินีสวรรค์คิดหาทางไล่หนิวโหย่วเต๋อออกจากอุทยานหลวง จะได้ไม่ทำให้งานเลี้ยงของนายท่านเกิดเหตุไม่คาดคิดอะไร”


“เฮ้อ คิดมากไปแล้ว” เซี่ยโห้วท่าค่อยๆ ลืมตาขึ้น แล้วส่ายหน้าบอกว่า “แค่งานวันเกิดของตาแก่หนังเหนียวคนหนึ่งเท่านั้นเอง ผ่านบุญคุณความแค้นความขัดแย้งมาหลายปีขนาดนี้ ข้าจำเป็นต้องโอ้อวดอะไรอีกเหรอ? เป็นประมุขชิงที่อยากจะสร้างชื่อเสียงของตัวเอง ดึงดันจะสร้างความเคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้ มีคนอยากจะคึกครื้นก็ปล่อยให้คึกครื้นไปเถอะ อาศัยหนิวโหย่วเต๋อคนเดียวจะก่อเรื่องได้ใหญ่สักแค่ไหนเชียว นอกเสียงจากจะมีคนอื่นกระโดดออกมาช่วยเท่านั้นแหละ แบบนั้นกลับน่าสนุกด้วยซ้ำ พวกเราเฝ้ารอที่จะรู้จักมือผลักที่อยู่เบื้องหลังเขามาตลอดไม่ใช่เหรอ? แต่ช่วยไม่ได้ที่อีกฝ่ายซ่อนไว้ลึกเกินไป ถ้างานเลี้ยงนี้สามารถทำให้มือผลักที่อยู่เบื้องหลังเปิดเผยออกมาได้ เช่นนั้นก็คุ้มค่าเหมือนกัน ส่งข่าวบอกเจ้าสามว่าอย่าตื่นตูม ฟ้าไม่ถล่มหรอก ฝั่งนี้มีแผนการในใจแล้ว”


“ขอรับ!” เว่ยซูเอ่ยรับ แล้วตอบกลับระฆังดาราในมือ


“หนิวโหย่วเต๋อไปอุทยานหลวงแล้วเหรอ?” โค่วหลิงซวีที่อยู่ในจวนอ๋องสวรรค์โค่วได้ยินแล้วอึ้งชั่วขณะ ก่อนจะหันกลับมาถาม


“หนิวโหย่วเต๋อปรากฏตัวที่อุทยานหลวงเหรอ?” อิ๋งจิ่วกวงที่อยู่ในจวนอ๋องสวรรค์อิ๋งกำลังนั่งเล่นหมากล้อมกับตัวเอง พอได้ยินก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าถามอย่างงุนงง


“หนิวโหย่วเต๋อไปโผล่ที่อุทยานหลวงได้ยังไง?” ฮ่าวเต๋อฟางที่นั่งทำงานอยู่ในจวนอ๋องสวรรค์ฮ่าวประหลาดใจ ถามซูอวิ้นอีกว่า “หรือว่าตระกูลโค่วพาเข้าไป?”


“อุทยานหลวง? ทำไมเขาถึงเข้าอุทยานหลวงได้? ตระกูลโค่วคงไม่ถึงขั้นทรยศสัญญาอย่างเปิดเผยหรอกมั้ง?” ก่วงลิ่งกงที่อยู่ในจวนอ๋องสวรรค์ก่วงก็ถามอย่างฉงนใจเช่นกัน


หลังจากเหมียวอี้โผล่หน้าที่อุทยานหลวงอย่างเปิดเผย พวกขุนนางใหญ่ของตำหนักสวรรค์ก็แทบจะทยอยกันได้รับข่าวภายในช่วงเวลาเดียวกัน


ทะเลเขียวชอุ่มของป่าไม้สูงระฟ้าในอุทยานหลวง ที่แห่งนี้มีชื่อว่าสวนกลางเขียวขจี เป็นที่พักของแม่เฒ่าลวี่นั่นเอง


ที่นี่มีเพียงกระท่อมมุงจากจำนวนหนึ่ง ไม่มีสิ่งปลูกสร้างใดๆ ที่ประดับตกแต่งสวยหรูฟุ่มเฟือย ส่วนใหญ่อาศัยโพรงของต้นไม้ใหญ่ทำเป็นที่พัก สภาพแวดล้อมรอบข้างเขียวชอุ่มงดงามเป็นพิเศษ เมื่อตัวอยู่ที่นี่ก็เหมือนทั้งร่างกายและจิตใจเต็มไปด้วยชีวิตชีวา


ใต้ต้นไม้โบราณขนาดใหญ่ต้นหนึ่ง เหมียวอี้กับเฟยหงไปคำนับแม่เฒ่าลวี่ด้วยกัน


แม่เฒ่าลวี่ที่กำลังถือไม้เท้ามองทั้งสองด้วยแววตาสับสน นางรู้ว่าเฟยหงเป็นสายลับของหน่วยตรวจการซ้าย ถ้าเหมียวอี้จะหย่ากับเฟยหง ที่จริงก็เป็นเรื่องดีกับเหมียวอี้เอง แต่นางกลับต้องออกหน้าไกล่เกลี่ย ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นการทำให้ทั้งสองปรารถนาหรือทำร้ายทั้งสอง


เหมียวอี้ต้องการจะทิ้งเฟยหง แต่อย่างไรเสียเฟยหงก็ยังมีครอบครัวในนามอยู่ ถ้าครอบครัวฝ่ายหญิงอ่อนแอถึงขั้นพูดอะไรต่อหน้าลูกเขยไม่ได้ เช่นนั้นก็ทำได้เพียงปล่อยให้ลูกเขยทำตามอำเภอใจ เพราะไม่ว่าบ้านไหนก็ต้องการคำชี้แจงทั้งนั้น ไม่ให้เจ้านึกจะแต่งก็แต่ง นึกจะเลิกก็เลิกตามใจชอบหรอก


“เจ้าต้องการจะเลิกกับลูกสาวข้าแล้ว ข้าก็ไม่เชิญเจ้าเข้ามานั่งก็แล้วกัน วันนี้คุยเรื่องนี้ให้ชัดเจนเถอะ” แม่เฒ่าลวี่กระทุ้งไม้เท้ากับพื้นจนเกิดเสียงหนักทึบ แล้วก็กวักมือเรียกเฟยหงเข้ามา ลูบศีรษะเฟยหง เฟยหงก็ได้แต่ก้มหน้ากัดปากเงียบๆ


ที่จริงแม่เฒ่าลวี่ก็ไม่อยากข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกต่อไปแล้ว แต่หน่วยตรวจการซ้ายบอกมา ว่าให้นางพยายามไกล่เกลี่ยสุดความสามารถ แต่ทุกวันนี้ท่าทีของหน่วยตรวจการซ้ายค่อนข้างคลุมเครือ เหมือนไม่อยากฝืนใจเช่นกัน ไกล่เกลี่ยได้ก็ไกล่เกลี่ย แต่ถ้าหมดหนทางแล้วเหมียวอี้ยังดึงดันจะเลิก ก็ให้เขาเลิกไปเสีย


ใครจะคิดว่าหลังจากเหมียวอี้ลังเลอยู่พักหนึ่ง กลับกุมหมัดคารวะบอกว่า “ระหว่างทางที่มาข้าก็ทบทวนตัวเองหลายครั้ง เฟยหงไม่ได้ทำอะไรผิด แต่เป็นตัวข้าเองที่ช่วงนี้สภาพจิตใจเกิดปัญหา หนิวโหย่วเต๋อขออภัยที่ก่อนหน้านี้ประพฤติไม่เหมาะสมกับเฟยหง รับรองว่าหลังจากนี้จะไม่ทำอีกแล้ว ขอคืนคำพูดเหลวไหลก่อนหน้านี้ ขอให้แม่เฒ่าและเฟยหงอภัยให้ข้าตรงนี้!”


“…” แม่เฒ่าลวี่ตะลึงค้างคาที่ คำพูดไกล่เกลี่ยที่เตรียมไว้เรียบร้อยจุกอยู่ในอก นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะยอมรับผิดทันทีที่เจอหน้ากัน


สาเหตุที่เหมียวอี้กลับคำอย่างไม่ลังเลแบบนี้ก็ย่อมมีเหตุผล เพราะตอนที่เฟยหงรายงานสถานการณ์ให้หน่วยตรวจการซ้ายรู้ ก็สังเกตได้เช่นกันว่าหน่วยตรวจการซ้ายไม่ได้มีท่าทีเห็นความสำคัญของเหมียวอี้เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว ถ้าดีกันได้ก็ดีกัน ถ้าดีกันไม่ได้ อย่างมากก็แค่ให้เฟยหงกลับหน่วยตรวจการซ้ายไปใช้งานอย่างอื่น


เหมียวอี้ย่อมเข้าใจว่ามูลค่าของตัวเองเริ่มลดลงแล้ว เบื้องบนตั้งใจจะปล่อยเขา ไม่จำเป็นต้องลงทุนกับเขาอีก ถ้าตัวเองยังเสแสร้งต่อเจตนา แล้วแม่เฒ่าลวี่ยอมตอบตกลงขึ้นมา แบบนั้นก็จะกลายเป็นแสดงความโง่แล้วจริงๆ เกรงว่าคงจะถูกไล่ออกจากอุทยานหลวงในทันที แบบนั้นไม่เป็นประโยชน์ต่อแผนการในภายหลังของตน พอพบหน้ากันจึงต้องเรียกสติเสียเลย


แม่เฒ่าลวี่อ้าปากค้างไปครู่หนึ่ง นางพูดไม่ออกจริงๆ ทันใดนั้นก็สะบัดแขนสื้อ ในแขนเสื้อมีเถาวัลย์เขียวสะบัดออกมาเหมือนแส้ ฟาดไปบนตัวเหมียวอี้พักหนึ่ง ขณะเดียวกันก็ด่าสั่งสอนไปด้วย  “ตัวเองอารมณ์ไม่ดีก็มาระบายกับผู้หญิงของตัวเองแล้วเหรอ ทั้งยังกล้าลงไม้ลงมืออีก เจ้ามันนับเป็นผู้ชายเสียที่ไหนกัน…”


เหมียวอี้ทำได้เพียงอดทนไว้ ยืนให้ฟาดอยู่อย่างนั้นโดยไม่ขยับไปไหน เสื้อผ้าถูกฟาดจนขาดหลุดรุ่ย บนตัวมีรอยเลือดหลายรอย


แม่เฒ่าลวี่กับเฟยหงเคยอยู่ด้วยกันที่สวนกลางเขียวขจีช่วงหนึ่ง เป็นตอนที่เหมียวอี้ถูกทำโทษให้เข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ทั้งสองอยู่ด้วยกันนับพันปีแล้ว


หลังจากพอจะเดาสาเหตุที่เฟยหงมาเป็นสายลับได้แล้ว ที่จริงนางก็สงสารเด็กสาวอย่างเฟยหงมาก รู้สึกว่าเด็กสาวคนนี้มีชะตาขื่นขม ไม่ว่าจะเป็นสายลับของหน่วยตรวจการซ้ายหรือไม่ แต่ถ้าในภายหลังยังถูกเหมียวอี้รังแกบ่อยๆ เช่นนั้นนางก็รู้สึกว่าให้เฟยหงหน่วยตรวจการซ้ายเร็วๆ หน่อยก็ยิ่งดี ที่นางใช้แส้ฟาดก็เพราะจะทดสอบปฏิกิริยาของเหมียวอี้ ถ้าเหมียวอี้ทนไม่ได้แม้แต่สิ่งนี้ เช่นนั้นนางจะอาศัยอะไรมาเชื่อว่าในภายหลังเหมียวอี้จะดีต่อเฟยหง? ไม่สู้รีบตัดขาดจะดีกว่า


เมื่อเห็นแสฟาดบนตัวเหมียวอี้ไม่หยุด สุดท้ายเฟยหงก็ทนมองไม่ได้แล้ว รีบมาจับแขนแม่เฒ่าลวี่เอาไว้ “ท่านแม่บุญธรรมดา เขาสำนึกผิดแล้ว ท่านให้อภัยเขาเถอะค่ะ”


แม่เฒ่าลวี่สะบัดแส้ขึ้นฟ้า แสงสีเขียวพลันหดกลับเข้าไปในแขนเสื้อ “ตึง” นางกระทุ้งไม่เท้ากับพื้นอีกครั้ง “หนิวโหย่วเต๋อ ข้าถามเจ้า เจ้ากลับเนื้อกลับตัวจากใจจริงหรือเปล่า?”


เหมียวอี้ที่ถูกตีจนเสื้อขาดหลุดรุ่ยและทั้งตัวเต็มไปด้วยรอยเลือดเอียงหน้ามองเฟยหง จากนั้นโค้งกายกุมหมัดคารวะด้วยสีหน้าจริงใจ “กลับเนื้อกลับตัวจากใจจริง โปรดอภัยด้วย ต่อไปนี้จะไม่ทำผิดอีกแล้ว!”


แม่เฒ่าลวี่มองไปที่เฟยหงอีก ถามว่า “เจ้าเต็มใจจะคืนดีกับเขาอีกครั้งหรือเปล่า?”


เฟยหงกัดริมฝีปากจ้องเหมียวอี้ สุดท้ายก็พยักหน้า แล้วก้าวเข้าไปประคองเหมียวอี้ที่กำลังโค้งตัวให้ยืนตรง ในดวงตาซ่อนความกังวลเอาไว้ ราวกับกำลังถามว่า บาดแผลไม่สาหัสใช่มั้ย?


นี่มันใช่เรื่องเหรอ? แม่เฒ่าลวี่กลอกตามองบน ตัวเองกลายเป็นผู้ร้ายไปโดยเล่าประโยชน์แล้ว นางสะบัดหน้าหนีอย่างกระฟัดกระเฟียดแล้วลอยกลับเข้าไปในโพรงไม้สูง


เฟยหงกับเหมียวอี้ส่งสายตาให้กัน จากนั้นเฟยหงก็หันตัวตามเข้าไปในโพรงไม้


เหมียวอี้ทั้งตัวเต็มไปด้วยบาดแผลและเสื้อผ้าขาดหลุดรุ่ยยืนนิ่งอยู่ที่เดิม


หลังจากรออยู่สงชั่วยามเต็มๆ จนฟ้ามืด ถึงได้เห็นเฟยหงเหาะลงมาจากโพรงไม้อีกครั้ง แล้วรีบสะบัดผ้าคลุมช่วยห่มให้เหมียวอี้ ขณะเดียวกันก็ถ่ายทอดเสียงขอโทษ “แม่เฒ่าลวี่ให้อภัยตั้งนานแล้ว แต่นางดึงข้าไว้ บอกว่าต้องการให้นายท่านยืนรับโทษอีกสักหน่อย”


เหมียวอี้ไม่เป็นอะไรเลย ถ้าเทียบกับความยากลำบากในอดีต นี่ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร ที่เหมียวอี้กังวลก็คือตัวเองจะสามารถอยู่ที่นี่ได้สักระยะหรือไม่ ในดวงตาฉายแววสอบถาม


เฟยหงพยักหน้าเบาๆ เพื่อบอกเป็นนัย ว่าจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว

 

 

 


บทที่ 1709 ที่แขกที่มาไม่บ่อยถูกสายตา...

 

ในเมื่อความขัดแย้งระหว่างคู่รักถูกแก้ไขแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลที่จะไล่กลับทั้งๆ ที่เพิ่งมาถึง อยู่พักต่อสักหน่อยก็ถือเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล สถานที่พักก็เป็นบ้านต้นไม้ที่เฟยหงเคยพักอยู่สวนกลางเขียวขจีในตอนแรก เพียงแต่แม่เฒ่าลวี่กำชับไว้ก่อนแล้ว ว่างานเลี้ยงวันเกิดของท่านปู่สวรรค์เซี่ยโห้วกำลังจะมาถึง ราชันสวรรค์กับราชินีสวรรค์ล้วนมาเยือนอุทยานหลวงด้วยตัวเอง จึงบอกให้คู่รักคู่นี้อยู่ที่สวนกลางเขียวขจี อย่าเพ่นพ่านไปไหน จะได้ไม่เกิดปัญหาอะไรโดยไม่จำเป็น


รับปากก็ส่วนปาก ส่วนเหมียวอี้จะรักษาสัญญาหรือไม่นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง


วันต่อมา กำลังพลกองทัพองครักษ์กลุ่มหนึ่งเข้ามาตรวจสอบในสวนกลางเขียวขจี ราชันสวรรค์กับราชินีสวรรค์กำลังจะเสด็จมาที่อุทยานหลวงด้วยตัวเอง การตรวจสอบประเภทนี้ถือเป็นธรรมเนียม ตรวจดูว่ามีสิ่งผิดปกติหรือไม่


ผู้ที่นำกลุ่มมาเป็นชายหนุ่มร่างผอม ชื่อว่าถงเยว่ เป็นผู้บัญชาการคนหนึ่งใต้สังกัดแม่ทัพภาคอุทยานหลวง เหมียวอี้อาจจะจำเขาไม่ได้สักเท่าไร แต่เขาย่อมจดจำเหมียวอี้ได้อยู่แล้ว เพราะเขาคือหนึ่งในผู้รอดชีวิตของธงพยัคฆ์จากศึกน่านฟ้าระกาติง


หลังจากกองมังกรดำถูกสลายไปแล้ว ผู้รอดชีวิตส่วนใหญ่ของธงพยัคฆ์ก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงกันหมด ยกตัวอย่างเช่นถงเยว่ เดิมทีเป็นเพียงผู้ช่วยผู้บัญชาการคนหนึ่งเท่านั้น ทุกวันนี้นั่งตำแหน่งผู้บัญชาการแล้ว ใช้เวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ปีก็เลื่อนตำแหน่งต่อเนื่องกันสองขั้น


เหมียวอี้กับเฟยหงถูกค้นตัว จะบอกว่ามีปัญหาอะไรก็ไม่ได้เหมือนกัน แต่อย่างน้อยการที่ทั้งสองรากฏตัวที่สวนกลางเขียวขจีก็นับว่าแปลกแล้ว


แสงแดดส่องทะลุป่าไม้ที่หนาทึบ ทิ้งเงาที่ลายพร้อยและเงียบสงัดไว้ในป่า ถงเยว่ที่เดินตามหลังทั้งสองคนเดินออกมาจากเงาลายพร้อยที่ให้ความรู้สึกลี้ลับ มายืนหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเหมียวอี้อย่างเงียบๆ


ทั้งสองสบตากันเล็กน้อย เหมียวอี้รู้สึกเพียงว่าคนคนนี้คุ้นหน้า รู้ว่าเคยเจอมาก่อน แต่ในปีนั้นมีลูกน้องเยอะมาก เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะจดจำทุกคน แต่เขาก็รู้ว่าชายร่างผอมตรงหน้าก็คือถงเยว่


ลูกน้องกลุ่มหนึ่งของถงเยว่กำลังมองเขา ต่างก็รู้ว่าเขาคือกำลังพลเก่าของหนิวโหย่วเต๋อ เป็นผู้รอดชีวิตจากธงพยัคฆ์ที่นำโดยหนิวโหย่วเต๋อ และเป็นเพราะศึกนั้นเช่นกันที่ทำให้เขาได้เลื่อนตำแหน่งไวขนาดนี้ เมื่อได้เจอผู้บังคับบัญชาเก่าอีกครั้ง ก็ไม่รู้ว่าผู้บัญชาการท่านนี้จะรู้สึกอย่างไร


ส่วนคนกลุ่มนี้ที่ได้เจอเหมียวอี้ ก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ารู้สึกอย่างไร ท่านนี้คือแม่ทัพภาคกองมังกรดำคนก่อน สร้างศิลาจารึกอันสูงใหญ่ที่กองทัพองครักษ์ยากจะทำให้เหนือกว่าได้ แต่ตอนนี้กลับมีข่าวลือว่ากลายเป็นคนหดหู่หมดอาลัยตายอยากแล้ว ดูถูกตัวเองและยอมล้าหลัง ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ ก็ทำให้คนอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ


“ถงเยว่!” ทันใดนั้นเหมียวอี้ก็ถามพร้อมยิ้มเรียบๆ


ทุกคนแอบประหลาดใจ ในปีนั้นคนของกองมังกรดำมเยอะมาก ส่วนถงเยว่ก็เป็นเพียงผู้ช่วยผู้บัญชาการคนหนึ่งเท่านั้น นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้ยังจำชื่อถงเยว่ได้ สิ่งนี้ไม่ง่ายเลย


เมื่อเจอเหมียวอี้อีกครั้ง ถงเยว่ก็เรียกได้ว่าแอบสะเทือนอารมณ์ ในหัวฉายภาพศึกน่านฟ้าระกาติงฉากแล้วฉากเล่า ฝังลึกตราตรึงอยู่ในใจ ถึงแม้จะรู้สึกฮึกเหิมเร้าใจ แต่กลับพยายามควบคุมสีหน้าท่าทางที่เปลี่ยนแปลง กุมหมัดคารวะ “นายท่าน!”


แม่เฒ่าลวี่ที่อยู่ข้างๆ ชำเลืองมองเหมียวอี้แวบหนึ่ง พอจะมองออกแล้วว่าเป็นลูกน้องเก่าของเหมียวอี้ในกองทัพองครักษ์


“ไม่ต้องมากพิธี” เหมียวอี้ผายมือ


“พวกเขาสองคนมาที่นี่ผ่านรายงานบันทึกไว้แล้ว ไม่มีปัญหาอะไร” แม่เฒ่าลวี่เอ่ย


ถงเยว่มองแม่เฒ่าลวี่แวบหนึ่ง แล้วก็มองเหมียวอี้อีก “ถงเยว่อยู่ในการปฏิบัติหน้าที่ ต้องแยกงานออกจากเรื่องส่วนตัว นายท่านได้โปรดให้อภัย ให้ถงเยว่ตรวจสอบสักหน่อยขอรับ”


“ได้อยู่แล้ว” เหมียวอี้พยักหน้า


ถงเยว่หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อไปที่ไหนสักแห่ง หลังจากรอสักครู่จนแน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาด เขาก็พยักหน้าให้ลูกน้อง กำลังพลที่ล้อมเหมียวอี้กับเฟยหงถึงได้ถอนตัวออกไป


จากนั้นถงเยว่ก็ให้พวกลูกน้องแยกย้ายกันไปตรวจค้นต่อ ส่วนเขาก็ติดตามทักทายอยู่ข้างกายเหมียวอี้ ฉวยโอกาสตอนที่คนไม่ทันสังเกตแลกระฆังดาราติดต่อกับเหมียวอี้


หลังจากรอจนพวกลูกน้องทยอยกลับมาแล้ว ถงเยว่ก็กล่าวอำลา แล้วนำกำลังพลออกไป


เหมียวอี้หรี่ตามองส่ง เขาต้องการรู้ทิศทางการเคลื่อนไหวคร่าวๆ ในอุทยานหลวง แต่ทางอุทยานหลวงไม่มีใครช่วยเขา ตอนหลังสืบพบว่าถงเยว่ที่เป็นลูกน้องเก่าในกองมังกรดำกำลังเข้าเวรที่อุทยานหลวงพอดี อวิ๋นจือชิวจึงให้คนติดต่อกับถงเยว่ ให้เขาให้ความร่วมมือกับเหมียวอี้


สำหรับลูกน้องเก่าพวกนี้ เมื่อเทียบกันแล้วเหมียวอี้ค่อนข้างวางใจ อวิ๋นจือชิววางแผนจัดการมาตลอด ยังไม่ต้องพูดถึงความสัมพันธ์ อย่างน้อยก็ดึงทั้งหมดลงน้ำด้วยกันแล้ว ทุกคนขึ้นเรือโจรของเหมียวอี้แล้ว ถ้าให้กองทัพองครักษ์รู้ว่าคนพวกนี้แอบรับทรัพยากรจากคนอื่นเป็นเวลานาน นั่นก็ไม่ใช่เรื่องเล็กแล้ว


เหมียวอี้เคยคิดว่าในอนาคตอาจจะใช้งานคนพวกนี้ได้ แต่ก็นึกไม่ถึงว่าจะได้ใช้งานเร็วขนาดนี้


สองวันหลังจากนั้น ในวันที่จัดงานเลี้ยง ขุนนางที่สามารถเข้าประชุมในราชสำนักได้ทยอยกันมาถึงเรือนพักในอุทยานหลวง


พอทางนั้นมีความเคลื่อนไหว เหมียวอี้ก็ให้เฟยหงไปเกาะแกะแม่เฒ่าลวี่ทันที จะพูดว่าเกาะแกะไม่ได้หรอก แค่ไปคุยเล่นกับแม่เฒ่าลวี่ ตัดแต่งต้นไม้ใบหญ้าเท่านั้นเอง ส่วนเขาก็กำเดินเล่นที่สวนกลางเขียวขจี แต่สุดท้ายกลับจากไปเงียบๆ


รอจนกระทั่งเกี้ยวมังกรกับเกี้ยวหงส์เหาะลงจากฟ้า ราชันสวรรค์กับราชินีสวรรค์มาถึงพระตำหนักอุทยาน พระตำหนักอุทยานก็เปิดอย่างเป็นทางการแล้ว กองทัพองครักษ์ที่เฝ้าอยู่ตรงประตูยืนแยกเป็นสองฝั่ง เซี่ยโห้วลิ่งนำคนของตระกูลเซี่ยโห้วรับแขกอยู่ตรงประตู


ในเรือนพักโดยรอบมีเงาคนกลุ่มใหญ่ทยอยเหาะออกมาทันที กลุ่มขุนนางใหญ่ของตำหนักสวรรค์นำครอบครัวมาถึงแล้ว เซี่ยโห้วลิ่งต้อนรับแขกด้วยรอยยิ้ม ส่วนแขกที่มาก็ทยอยกันมอบของขวัญและเข้าไปด้านใน


พอพระตำหนักอุทยานเริ่มรับแขก เหมียวอี้ที่คำนวณเวลาไว้แม่นยำแล้วก็เหาะเข้ามาจากฟ้าที่อยู่ไกลๆ มาเหยียบลงข้างหลังกลุ่มคนนอกพระตำหนัก แล้วเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ


“หนิวโหย่วเต๋อ…” หลังจากทุกคนเห็นเหมียวอี้แล้ว ก็ส่งเสียงอุทานอย่างประหลาดใจ


มีบางคนมองเขา มีบางคนมองตามสายตาเขา เห็นเหมียวอี้ที่มีสีหน้าเรียบเฉยกำลังเดินตามหลังกลุ่มคนอย่างช้าๆ


ผ่านไปไม่นาน นอกประตูใหญ่ของพระตำหนักอุทยานก็เงียบกริบไร้เสียง คนที่กำลังเข้าประตูหยุดเคลื่อนไหวแล้ว ทุกคนพากันมองมาทางเหมียวอี้


กลุ่มคนของตระกูลอิ๋ง ฮ่าว ก่วง โค่วที่เข้าไปก่อนแล้ว พอได้ยินข่าวก็รู้สึกงงงัน ทุกคนหันตัวลอยขึ้นฟ้า แล้วมองไปนอกประตูตำหนัก เห็นหนิวโหย่วเต๋ออยู่ข้างหลังจริงๆ ด้วย


เม่ยเหนียงกับก่วงเม่ยเอ๋อร์สบตากันเลิกลั่ก ในดวงตาก่วงเม่ยเอ๋อร์ฉายแววตื่นเต้นดีใจ ขระเดียวกันก็ฉายแววกังวลอีก


อิงอู๋หม่าน ฮ่าวเจ๋อ ก่วงจวินอัน โค่วเจิง สี่คนที่ได้ขึ้นเป็นท่านโหว ถึงแม้ตอนประชุมราชสำนักจะไม่มีสิทธิ์ยืนแถวหน้า ทำได้เพียงยืนแถวหลัง แต่ทั้งสี่ก็เป็นตัวแทนของสี่อ๋องสวรรค์ ทุกการกระทำคำพูดสามารถเป็นตัวแทนท่าทีของสี่อ๋องสวรรค์ในราชสำนักได้


ถึงแม้สี่อ๋องสวรรค์จะไม่ได้มาเข้าร่วมอวยพรวันเกิด แต่การที่ขุนนางใหญ่ในราชสำนักให้ทั้งสี่นำครอบครัวเข้าไปก่อน ก็พอจะมองอะไรบางอย่างออกแล้วนิดหน่อย


อิงอู๋หม่าน ฮ่าวเจ๋อกับก่วงจวินอันสบตากันอย่างแปลกใจ แต่โค่วเจิงกลับสีดำมืดลงเล็กน้อย ก่อนหน้านี้แปลกใจว่าเหมียวอี้มาโผล่ที่อุทยานหลวงได้อย่างไร ทำไมนึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะเข้ามาประสมโรงในงานวันเกิดด้วย


เซี่ยโห้วลิ่งจ้องประเมินเหมียวอี้ครู่หนึ่ง แล้วก็ลอยเหยียบลงพื้นอีกครั้ง ทำเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ยังคงรอยยิ้มสดใสมีมารยาทเอาไว้ แล้วกุมหมัดคารวะต่อทุกคนที่กำลังถ่ายทอดเสียงคุยกันอยู่ “เชิญ! เชิญข้างใน!”


จนกระทั่งตอนนี้ ทุกคนที่ยืนออกันตรงหน้าประตูเพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองขวางประตูอยู่ จึงทยอยกันมอบของขวัญให้แล้วเดินเข้าไป เพียงแต่อดไม่ได้ที่จะหันกลับมามอง หลังจากเข้ามาแล้วส่วนใหญ่ก็หยุดอยู่กับที่ ไม่ได้เข้าไปต่อ ต่างก็กำลังมองจากข้างใจ


รอจนกระทั่งเหมียวอี้ก้าวขึ้นมาข้างหน้าแล้ว เซี่ยโห้วลิ่งก็มองสำรวจศีรษะจดเท้าพร้อมถามด้วยรอยยิ้ม “แม่ทัพภาคหนิวให้เกียรติมาเยือน ไม่ทราบว่ามีอะรจะชี้แนพ?”


เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ “หนิวบังเอิญอยู่ที่อุทยานหลวงพอดี บังเอิญตรงกับงานวันเกิดท่านปู่สวรรค์ หนิวกับเซี่ยโห้วหลงเฉิงเป็นสหายรู้ใจ สนิทกันเหมือนพี่น้อง ตอนนี้เป็นงานวันเกิดของผู้ใหญ่บ้านพี่น้อง ในเมื่อผู้น้อยมาถึงแล้ว มีหรือที่จะไม่มาอวยพรวันเกิด แต่ดูท่าแล้ว หนิวเหมือนจะไม่ได้รับการต้อนรับนะ หนิวเองก็รู้จักข้อบกพร่องของตนเอง มอบน้ำใจเล็กน้อยเป็นการอวยพร หวังว่าจะไม่รังเกียจ มอบให้แล้วก็จะไป ไม่กล้ารบกวน” พูดจบก็พลิกมือมอบกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งให้


“ผู้ที่มาล้วนเป็นแขก แขกที่นำของขวัญเข้ามาประตูมาด้วย มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ยินดีต้อนรับ” เซี่ยโห้วลิ่งรับของขวัญอย่างร่าเริง แล้วยื่นมือเชิญเข้าข้างใน กล่าวเสียงดังว่า “แม่ทัพภาคหนิว เชิญด้านใน”


เหมียวอี้เหลือบตามองสายตาแต่ละคู่ข้างในที่กำลังจ้องขับไล่เขา เหมือนจะลังเลนิดหน่อยว่าจะเข้าไปดีหรือไม่


“เชิญ!” เซี่ยโห้วลิ่งกล่าวอย่างใจกว้างตรงไปตรงมาอีกครั้ง


เหมียวอี้สูดหายใจลึก แล้วกุมหมัดคารวะ ทำท่าเหมือนแข็งใจดินเข้าไป


ที่จริงเขาเองก็รู้ ขอเพียงคำนวณเวลาปรากฏตัวตอนนี้ ตระกูลเซี่ยโห้วก็ไม่น่าจะปฏิเสธแขกที่มาร่วมอวยพรงานมงคลท่ามกลางสายตาฝูงชน เพราะเส้นสนกลในของตระกูลเซี่ยโห้วก็เห็นๆ กันอยู่ ไม่กลัวว่าเหมียวอี้จะทำอะไร เมื่อมีความมั่นใจก็มีน้ำใจ!


ถ้าถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าข้างในจริงๆ เช่นนั้นเขาก็ทำได้เพียงเดินหมากอันตรายตัวอื่น


เซี่ยโห้วลิ่งหันกลับมามอง เห็นทุกคนมีท่าทีกระซิบกระซาบต่อเหมียวอี้ที่เดินช้าๆ เข้ามา ความรู้สึกขับไล่แบบนั้นชัดเจนเกินไปแล้ว ราวกับกันเหมียวอี้ไว้อีกโลกหนึ่ง เหมียวอี้ถูกลิขิตให้เป็นคนโดดเดี่ยวเมื่อปรากฏตัวที่นี่


เขายิ้มเรียบๆ แล้วหันกลับมารับแขกต่อไป


เซี่ยโห้วหู่เฉิงที่คอยวิ่งเต้นเดินเข้ามาแล้ว เข้ามากุมหมัดคารวะเหมียวอี้ “พี่หนิว เชิญทางนี้”


เป็นท่าทีที่ทุกคนมีต่อเหมียวอี้ชัดเจนเกินไป เขากังวลว่าเหมียวอี้จะรับไม่ไหวแล้วก่อเรื่อง วันนี้เป็นงานวันเกิดบรรพชน กอปรกับเหมียวอี้เอ่ยถึงเซี่ยโห้วหลงเฉิงผู้เป็นพี่ชายทำให้เขาค่อนข้างซาบซึ้ง เขาถึงได้วิ่งมานำทางให้ กลัวว่าเหมียวอี้จะเข้ากับกลุ่มคนไม่ได้ หมายจะพาไปพักผ่อนตรงจุดที่ลับตาคน


“รอประเดี๋ยว!” เหมียวอี้บอกใบ้ แล้วเอียงหน้ามองไปทางโค่วเจิงที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มคน รวมทั้งคนในครอบครัวตระกูลโค่วด้วย


ถึงแม้โค่วหลิงซวีจะไม่ได้มา แต่ญาติสายตรงของตระกูลโค่วที่ไม่ติดธุระก็มากันหมด โค่วเจิงมาทั้งครอบครัว โค่วฉินมาทั้งครอบครัว โค่วเหมี่ยนมาทั้งครอบครัว แล้วก็มีโค่วอิง โค่วเชี่ยน โค่วอวี้พวกนางพาลูกสาวลูกชายมาแล้วเช่นกัน


สำหรับเหมียวอี้ ถ้าไม่ได้เห็นก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าเห็นแล้วไม่เข้าไปทักทายสักหน่อยก็จะฟังดูเหลวไหล ถึงอย่างไรก็ยังมีคำว่า ‘ในนาม’ อยู่


แต่หลังจากเห็นเหมียวอี้เดินมาทางนี้ แต่ละคนของตระกูลโค่วก็แสดงสีหน้าอึดอัดเล็กน้อย รวมทั้งโค่วเหวินหลานที่ค่อนข้างสนิทกับเหมียวอี้ด้วย เขาหลบสายตานิดหน่อย แต่ก็ช่วยไม่ได้ คนในบ้านบอกไว้แล้ว ว่าในภายหลังห้ามคบหากับหนิวโหย่วเต๋ออีก


กลุ่มพี่น้องที่ยามปกติเคยอบอุ่นเป็นมิตรกับเหมียวอี้และอวิ๋นจือชิว ชั่วพริบตาเดียวก็เปลี่ยนเป็นเหินห่างไร้ที่เปรียบ


“พี่ใหญ่ พี่รอง พี่สาม…” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะทักทายพร้อมกัน


“อื้ม มาแล้วเหรอ” โค่วเจิงพยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย นับว่าภายนอกยังมองหน้ากันได้


ทว่าโค่วฉินกลับกล่าวด้วยสีหน้าเครียดขรึม “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าถ่อมาที่นี่ทำไม?”


โค่วเจิงรีบดึงแขนเขาเอาไว้ บอกใบ้ว่าอย่าพูดมาก ขนาดเจ้าภาพยังให้เข้ามาโดยไม่ถือสา ในเวลานี้ถ้าทะเลาะกันขึ้นมาอาจจะทำให้คนหัวเราะเยาะตระกูลโค่วได้


โค่วฉินที่เหมือนได้รับการเตือนตระหนักได้แล้ว ถึงได้ทำเสียงฮึดฮัดแล้วไม่พูดอะไรอีก


เหมียวอี้กวาดสายตามองทุกคนของตระกูลโค่ว พบว่าทั้งรุ่นเล็กรุ่นเล็กต่างก็หลบสายตาเขา เป็นสุยฉูฉู่ที่มองเขาด้วยแววตาที่เหมือนแฝงความคับแค้น ชั่วพริบตาเดียวก็ทำให้เขาเข้าใจแล้ว ตระกูลโค่วคิดหาทางพิสูจน์แล้วว่าเขาไม่ได้ไปน้ำพุวังเวง แต่โค่วเจิงรู้ว่าเรื่องล่าสัตว์น้ำพุวังเวงเกิดขึ้นเพราะเขา ดูจากท่าทางสุยฉูฉู่ก็เหมือนจะรู้แล้ว ด้วยความเจ็บปวดที่สูญเสียลูกชาย คากว่าคงแค้นเหมียวอี้แล้ว


ในหัวเหมียวอี้เกิดความคิดบางอย่างแวบเข้ามา ถ้าในเวลานี้มอบศีรษะของโค่วเหวินไป๋ให้ ก็ไม่รู้ว่าสุยฉูฉู่จะมีปฏิกิริยาอย่างไร


เหมียวอี้ที่โดนเมินใส่กุมหมัดคารวะต่อทุกคนของตระกูลโค่วอีกครั้ง ถือว่าตัวเองทำเต็มที่แล้ว จึงหันตัวเดินจากไป


เมื่อได้เห็นกับตาว่าเขาถูกปฏิบัติใส่อย่างเย็นชา เซี่ยโห้วหู่เฉิงที่ยื่นมือเชิญก็แอบทอดถอนใจ


ก่วงเม่ยเอ๋อร์ที่อยู่ข้างกายเม่ยเหนียงอดไม่ได้ที่จะถ่ายทอดเสียงพึมพำกับมารดา “คนตระกูลโค่วทำเกินไปแล้ว!”


เม่ยเหนียงกลอกตามองนาง “เจ้าจะเข้าใจอะไร?”


ในสวนดอกไม้ด้านหลังพระตำหนักอุทยาน ประมุขชิงกับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่ท้องใหญ่กำลังอยู่ทางซ้ายและขวาของเซี่ยโห้วท่า ทั้งสามเดินเล่นช้าๆ ด้วยกัน วันนี้ประมุขชิงและราชินีสวรรค์ไว้หน้าเซี่ยโห้วท่าเต็มที่ เซี่ยโห้วท่าใส่ชุดฉลองงานมงคลเช่นกัน สวมชุดผ้าแพรสีแดง


“ระวังหน่อยๆ” ทุกครั้งที่เจอทางเลี้ยว เซี่ยโห้วท่าก็จะโวยวายเป็นกระต่ายตื่นตูม แล้วยื่นมือประคองแขนเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ ทะนุถนอมสุดๆ


ถึงแม้ปากเซี่ยโห้วเฉิงอวี่จะบอกว่าตัวเองไม่ได้อ้อนแอ้นขนาดนั้น แต่สีหน้ากลับสุขกายสบายใจมาก ท่านนี้คือหัวหน้าตระกูลของตระกูลเซี่ยโห้ว!


ทั้งสามกำลังคุยกันอยู่ตรงนี้ ซ่างกวนชิงที่เดินตามอยู่ข้างหลังไม่ใกล้ไม่ไหลเก็บระฆังดารา รีบก้าวขึ้นมาข้างหน้า เจียดเวลาถ่ายทอดเสียงรายงานประมุขชิง


หลังจากฟังจบประมุขชิงก็หัวเราะเบาๆ สายตาย้ายไปอยู่บนตัวเซี่ยโห้วท่า “ท่านปู่สวรรค์ ท่านเดาสิว่าใครมาร่วมอวยพรวันเกิดให้ท่าน?”


เซี่ยโห้วท่าส่ายหน้าอย่างเลอะเลือนด้วยความชรา “เรื่องนี้ข้าเดาไม่ถูกจริงๆ หรือว่าสี่อ๋องสวรรค์มาแล้ว?”


ประมุขชิงตอบว่า “เต่าหัวหดสี่ตัวนั่นจะกล้ามาเสียที่ไหน หนิวโหย่วเต๋อแม่ทัพภาคตลาดผีมาแล้ว นี่เป็นแขกที่มาไม่บ่อยนะ” ในใจเขาสงสัยนิดหน่อย หรือว่าหนิวโหย่วเต๋อเดินไปเจอทางตัน เลยอยากประจบและขอพึ่งพาตระกูลเซี่ยโห้ว?


“อ้อ!” เซี่ยโห้วท่ากระจ่างในฉับพลัน แล้วพยักหน้าอย่างเชื่องช้าเนื่องจากความชรา “คนหนุ่มสาวมีความตั้งใจแล้ว มีความใส่ใจแล้ว”


“เขาจะถ่อมาทำไม?” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กลับขมวดคิ้ว นางรู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อมาที่อุทยานหลวงแล้ว แต่นึกไม่ถึงว่าหนิวโหย่วเต๋อจะมาประสมโรงที่งานเลี้ยง ทหารยามของพระตำหนักอุทยานมัวไปทำอะไรกิน ทำไมปล่อยให้ใครเข้ามาก็ได้?


เซี่ยโห้วท่ากล่าวช้าๆ ว่า “ผู้ที่มาล้วนเป็นแขก ผู้ที่มาล้วนเป็นแขก” ในน้ำเสียงเหมือนจะปลอบใจเซี่ยโห้วเฉิงอวี่


ทั้งสามเดินเล่นในสวนดอกไม้ด้านหลังจนกระทั่งซ่างกวนชิงมาเตือนว่าถึงเวลามงคลแล้ว ถึงได้เดินไปทางตำหนักหลักของพระตำหนักอุทยาน


งานเลี้ยงวันเกิดครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งที่ผ่านมา ราชินีสวรรค์กับประมุขชิงนั่งเคียงกันอยู่เบื้องสูง ไม่ได้ไปรับแขกที่วังหลัง วันนี้ไม่แบ่งแยกนอกใน นอกจากสนมสวรรค์จ้านหรูอี้ที่กลับมาร่วมอวยรวันเกิดและกลุ่มสนมของวังหลังที่ไม่สะดวกจะพบกับคนนอกจึงต้องอยู่ในวังหลังของพระตำหนักอุทยาน คนที่เหลือก็รวมกลุ่มนั่งตามครอบครัว


ตรงตำแหน่งแรกด้านล่างมองไม่เห็นเงาสี่อ๋องสวรรค์แล้ว เม่ยเหนียงนำลูกสาวก่วงเม่ยเอ๋อร์ครองตำแหน่งแรก ส่วนพวกจอมพล เทพประจำดาวและท่านโหว ขอเพียงยังมีฮูหยินอยู่ ครั้งนี้ล้วนเข้ามานั่งด้านข้างในตำหนักได้ ยกตัวอย่างเช่นจาหรูเยี่ยนที่นั่งอยู่ข้างกายเทพประจำดาวฟ้าเถาะผังก้วน


ส่วนในครั้งนี้โต๊ะของเซี่ยโห้วท่าก็ถูกจัดวางไว้บนบันไดเป็นกรณีพิเศษ หันข้างให้ประมุขชิงและขุนนางใหญ่ในตำหนัก


นอกตำหนัก เรื่องจัดตำแหน่งให้เหมียวอี้นั่งกลับทำให้ตระกูลเซี่ยโห้วปวดหัว คาดว่าคงไม่มีบ้านไหนรับไว้ จะให้เขานั่งอยู่คนเดียวก็ไม่คือ ไม่ใช้หลักการรับแขกของตระกูลเซี่ยโห้วผู้สง่าภูมิฐาน

 

 

 


บทที่ 1710 เปลี่ยนแปลงกระทันหัน! (1)

 

ในสวนดอกไม้แห่งหนึ่งฝั่งตะวันออกของสวนกลางเขียวขจี เฟยหงกำลังเดินลาดตระเวนอยู่กับแม่เฒ่าลวี่ เทพธิดากลุ่มหนึ่งกำลังนำดอกไม้ใบหญ้าแปลกตานานาชนิดที่ขุดขึ้นมาย้ายไปปลูกในกระถางดอกไม้ด้วยความระมัดระวัง นี่เป็นการบำรุงรักษาเพื่อส่งไปวางประดับในวังสวรรค์ กิ่งใบที่ไม่งดงามก็ต้องทำการตัดแต่ง


“เสี่ยวหนาน ในเซียนชิดจันทร์กระถางนี้ไม่ต้องใส่ปัญจธาตุเยอะเกินไป ดินก็อย่าใส่เยอะ ไม่อย่างนั้นจะทำให้กลิ่นดอกไม้เข้มข้นเกินไป จะทำให้ชนชั้นสูงในวังไม่โปรดปราน” แม่เฒ่าลวี่พลันหยุดฝีเท้า แล้วถอนหายใจใส่เทพธิดาคนหนึ่งที่กำลังนั่งยองๆ กลบดินอยู่ในแปลงดอกไม้ แล้วก็กวักมือไปตรงที่ไกลๆ อีก เรียกเทพธิดาอีกคนมากำชับ “นางเพิ่งมาไม่นาน ยังไม่ค่อยเข้าใจงาน เจ้าสอนนางสักหน่อย”


“ค่ะ” เทพธิดาที่เดินเข้ามาเอ่ยรับ ส่วนเทพธิดาที่ชื่อเสี่ยวหนานก็แอบแลบลิ้นเงียบๆ


แม่เฒ่าลวี่ไม่ได้เห็นฉากทะเล้นฉากนี้ เฟยหงที่อยู่ข้างกันกลับสังเกตเห็น อดไม่ได้ที่จะลอบหัวเราะ แล้วเดินตามแม่เฒ่าลวี่ไปข้างหน้าต่อ


ทว่าเดินไปได้ไม่ไกลเท่าไร จู่ๆ แม่เฒ่าลวี่ก็หยิบระฆังดาราอันหนึ่งออกมา ไม่รู้ว่าติดต่อไปที่ไหน เอาเป็นว่าสีหน้าเปลี่ยนเร็วมาก หันขวับไปมองทางเฟยหง ดวงตาฉายแววเย็นเยียบ “พวกเจ้าเห็นคำพูดข้าเป็นเหมือนลมผ่านหูใช่มั้ย?”


“ท่านแม่บุญธรรม เป็นอะไรไปคะ?” เฟยหงทำท่าประหลาดใจ


แม่เฒ่าลวี่กัดฟัน “เจ้ากำลังแกล้งโง่กับข้าเหรอ? หนิวโหย่วเต๋อถ่อไปเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิดท่านปู่สวรรค์เซี่ยโห้วที่พระตำหนักอุทยานโดยพลการ!”


“หา!” เฟยหงทำสีหน้าตกใจมาก “เอ่อ…จะเป็นไปได้ยังไง เขาจะเข้าไปได้ยังไงคะ?”


พอพูดถึงตรงนี้แม่เฒ่าลวี่ก็กลุ้มใจเช่นกัน หนิวโหย่วเต๋อรู้รายละเอียดได้อย่างไรว่างานเลี้ยงเริ่มตอนไหน? ขนาดนางยังไม่รู้เลย ถ้าไปเร็วกว่านี้ ทหารยามที่อยู่แถวนั้นคงจะไม่ปล่อยให้หนิวโหย่วเต๋อเข้าไปเดินเล่นสถานที่นั้นง่ายๆ หรอกมั้ง? นางเองก็คิดว่าเฟยหงไม่พูดโกหก เพราะนางรู้ว่าเฟยหงเป็นสายลับของหน่วยตรวจการซ้าย เอาเป็นว่านางไม่รู้แน่ชัดว่าเรื่องราวในนั้นเป็นอย่างไรกันแน่ จึงขมวดคิ้วถามว่า “เจ้าไม่รู้จริงเหรอ?”


เฟยหงเอาแต่ส่ายหน้า “ท่านแม่บุญธรรม ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเขาจะไปพระตำหนักอุทยาน…ข้าจะไปหาเขา” นางหันตัวเตรียมจะออกไป แต่กลับถูกแม่เฒ่าลวี่ดึงแขนไว้ เฟยหงหันกลับมามอง “ท่านแม่บุญธรรม…”


“ที่เขาไปพระตำหนักอุทยานจะต้องมีเหตุผลแน่นอน ทางหน่วยตรวจการซ้ายรู้แล้ว เจ้าไม่ต้องเข้าไปยุ่งแล้ว มิหนำซ้ำเขาก็เข้าไปแล้วด้วย พระตำหนักอุทยานมีทหารยามเฝ้าเข้มงวด อาศัยฐานะของเจ้า คงบุกเข้าไปง่ายๆ อย่างเขาไม่ได้หรอก เขาคำนวณเวลาไว้เรียบร้อยแล้ว” ขณะที่พูด แม่เฒ่าลวี่ก็ปล่อยแขนนางแล้ว จากนั้นส่ายหน้าแล้วหันตัวเดินออกไป พร้อมกับพึมพำตลอดทาง “เฮ้อ! ช่างกล้าหาญจริงๆ รู้อยู่แจ่มแจ้งว่าเขาไม่ต้อนรับก็ยังจะถ่อไป ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาไม่กลัวหัวหลุดหรือไง? คิดจะทำอะไรกันแน่! จากที่ข้าเห็น นายท่านบ้านเจ้าไม่เหมือนคนที่จะสร้างความอัปยศให้ตัวเองนะ พอมาดูแบบนี้แล้ว เหมือนเขาจะเตรียมตัวมาก่อน ไม่แน่เจ้าอาจจะโดนเขาหลอกใช้แล้วก็ได้ เฮ้อ เป็นคนมีฝีมือมากความสามารถ ก็เลยไม่ยอมอยู่ในกรอบอย่างสงบ จะมาตบตายายแก่อย่างข้าทำไม ยายแก่อย่างข้าไม่มีความกล้า ไม่มีสมองเหมือนพวกตัวละครที่พลิกฟ้าพลิกแผ่นดินพวกนั้นหรอก หวังเพียงความสงบสุขเท่านั้น นางหนูเอ๊ย ในปีนั้นยายเคยเห็นคนมีฝีมือหัวขาดเลือดกระฉูดมาเยอะเกินไป เพื่อชื่อเสียง เพื่อผลประโยชน์ เพื่อประสบความสำเร็จ เรียกได้ว่าย่อมสละทุกอย่าง เรียกได้ว่าเป็นฉากนองเลือดที่น่าอนาถ มีคนโดนฆ่าจนหัวหัวลอยกลิ้งเต็มท้องฟ้า ศพลอยเอื่อยเฉื่อย…”


นางเดินพึมพำไม่หยุดตลอดทาง เฟยหงฟังอยู่ข้างหลังเงียบๆ ไม่รู้เป็นสถานการณ์น่าอนาถในปีไหน


พระตำหนักอุทยาน


เมื่อเห็นแขกทยอยกันนั่งลง เซี่ยโห้วหู่เฉิงที่พาเหมียวอี้มากลับไม่รู้ว่าควรจะจับไปแทรกตรงไหนดี เรียกได้ว่าปวดประสาทมาก


เหมียวอี้เองก็ตระหนักได้ถึงความอึดอัดของเจ้าภาพ กวาดสายตามองไปรอบๆ


ตระกูลโค่วนั่งแถวแรกใต้บันไดหน้าตำหนัก โค่วฉินสังเกตได้ว่าเหมียวอี้ค่อนข้างอึดอัดเก้อเขิน จึงบอกโค่วเหมี่ยนทันทีว่า “เจ้าสาม เจ้าไปเรียกหนิวโหย่วเต๋อมานั่งด้วยแล้วกัน”


โค่วเหมี่ยนอดไม่ได้ที่จะงง ท่านพ่อบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าห้ามคบหากับหนิวโหย่วเต๋อ?


ไม่ใช่แค่เขา คนอื่นในตระกูลโค่วที่ได้ยินอย่างนั้นก็มองไปที่โค่วฉินอย่างแปลกใจเช่นกัน ก่อนหน้านี้ยังเห็นโค่วฉินพูดจาไร้มารยาทต่อหนิวโหย่วเต๋ออยู่เลย


โค่วฉินสีหน้าขรึมลงทันที “ให้เจ้าไปเจ้าก็ไปสิ อย่าให้เกิดเสียงหัวเราะ” เขาเองก็ไม่อยากเหมือนกัน แต่จนใจที่พี่ใหญ่โค่วเจิงสั่งเขาไว้แล้วตั้งแต่ก่อนเข้าตำหนัก


เมื่อกล่าวมาแบบนี้ ทุกคนก็เข้าใจทันที ถึงอย่างไรก็ยังมีความสัมพันธ์กับหนิวโหย่วเต๋อในนาม ในโอกาสและสถานที่อย่างนี้ถ้าปล่อยใหนิวโหย่วเต๋อไม่มีแม้แต่ที่นั่ง หนิวโหย่วเต๋อปล่อยไก่นั้นเป็นเรื่องเล็ก แต่การที่ตระกูลโค่วใจแคบต่างหากที่น่าหัวเราะเยาะ


โค่วเหมี่ยนพยักหน้า แล้วลุกขึ้นตามไปทันที


เดิมเหมียวอี้เล็งที่นั่งไว้แล้ว เตรียมจะเข้าไปแทรกโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเต็มใจหรือไม่ ไม่กลัวว่าคนอื่นจะไม่ต้อนรับ กลัวก็แต่คนอื่นจะต้อนรับ แต่ใครจะคิดว่าจู่ๆ โค่วเหมี่ยนจะทำอย่างนี้ ทำเอาเขาไม่สะดวกจะปฏิเสธ ทำได้เพียงรับน้ำใจแล้วตามโค่วเหมี่ยนไปนั่งประจำที่


เซี่ยโห้วหู่เฉิงกำลังครุ่นคิดว่าจะช่วยคนของตระกูลเซี่ยโห้วที่กำลังง่วนอยู่กับการหาโต๊ะให้เหมียวอี้นั่ง เนื่องจากตระกูลเซี่ยโห้วก็มีมาดของตระกูลเซี่ยโห้วเช่นกัน นอกเสียจากว่าจะไม่ให้แขกเข้าประตูมา ในเมื่อแขกเข้าประตูมาแล้ว ไม่ว่าจะตำแหน่งสูงต่ำก็ต้องรับรองแขกให้ดี ไม่มีหลักการไหนที่จะปล่อยให้แขกเก้อเขินหาทางลงไม่ได้ นี่ก็คือความสามารถและบุคลิกที่ตระกูลใหญ่ควรจะมี! ผลปรากฏว่าช่วยลดความยุ่งยากให้คนของตระกูลโค่วแล้ว มีคนของตระกูลโค่วคอยดูให้ ถ้าเห็นแก่หน้าตระกูลโค่ว คาดว่าหนิวโหย่วเต๋อก็คงไม่ก่อเรื่องอะไร เซี่ยโห้วหู่เฉิงโล่งอกแล้ว


แปลกมาก เซี่ยโห้วหู่เฉิงเองก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุผลอะไร ไม่น่าเชื่อว่าตอนแรกจะกังวลว่าหนิวโหย่วเต๋ออาจจะก่อเรื่องในงานเลี้ยง


เหมียวอี้ที่นั่งลงกับตระกูลโค่วดึงดูดสายตาของคนไม่น้อย ส่วนคนของตระกูลโค่วก็มีปฏิกิริยาแตกต่างกันไป เหมียวอี้ดูสุขุมเยือกเย็น ในใจมีเรื่องสำคัญอีกเรื่องต้องจัดการ ไม่ขวยเขินเพราะสีหน้าของคนพวกนี้ มีโลกอีกใบอยู่ในใจตัวเอง ใบหน้ายังมีรอยยิ้ม


ฤกษ์มงคลมาถึงแล้ว เสียงกลองสะท้านฟ้าดังขึ้น หงส์มังกรร้องพร้อมกัน


ซ่างกวนชิง ผู้การใหญ่วังสวรรค์ที่อยู่ในตำหนักอ่านหนังสือสวรรค์อวยพรวันเกิดที่ราชันสวรรค์ประทานให้ด้วยเสียงดังฟังชัด เป็นคำสรรเสริญทั้งบท กล่าวบทกลอนยอเกียรติ


มีระกาสประทานของขวัญแยกอีก สมบัติล้ำค่าต่างๆ ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง


เซี่ยโห้วท่ากล่าวขอบพระคุณสวรรค์เสียงดัง คำกล่าวซาบซึ้งในบุญคุณก็ทำให้คนฟังรู้สึกตื้นตันใจอย่างลึกซึ้งเช่นกัน


แขกที่อยู่ทั้งในและนอกตำหนักยืนขึ้นส่งเสียงอวยพรพร้อมกัน อวยพรให้ท่านปู่สวรรค์


ภายใต้การชี้แนะจากประมุขชิง ซ่างกวนชิงประกาศเสียงดังว่างานเลี้ยงวันเกิดเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ เสียงดนตรีดังขึ้น การร้องระบำทำเพลงในตำหนักก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง


นอกตำหนัก เทพธิดาเดินเรียงแถวนำสุราอาหารมาวาง คนตระกูลเซี่ยโห้วเดินขวักไขว่รับแขกตามโต๊ะในงาน


ผ่านไปไม่นานทั้งข้างนอกข้างในก็มีเสียงชนจอกสุราดังเป็นแถบ ฝั่งตระกูลโค่วที่ได้รับการชี้แนะจากโค่วฉิน อย่างน้อยภายนอกก็ขายผ้าเอาหน้ารอดคุยกับเหมียวอี้อยู่บ้าง ส่วนเหมียวอี้ก็ยิ้มเรียบๆ เป็นฝ่ายดื่มสุราคำนับก่อน


หลังจากชนจอกสุราดื่มกับคนในครอบครัวตัวเองแล้ว ก็ต้องเดินไปดื่มทักทายกับบ้านอื่นอย่างเลี่ยงไม่ได้ สำหรับเรื่องนี้ เหมียวอี้ไม่เข้าไปประสมโรง กำลังครุ่นคิดว่าจะลงมือจัดการงานของตัวเองอย่างไร เป็นเพราะมีหลายเรื่องที่ก่อนหน้านี้ยังไม่รู้รายละเอียดชัดเจน หยางชิ่งจึงไม่สามารถวางแผนอย่างละเอียดได้ ทำได้เพียงบอกทิศทางใหญ่ๆ ให้เหมียวอี้ไปตัดสินใจเองตามสถานการณ์


หลังจากคนของตระกูลโค่วทยอยกันกลับมาแล้ว คนฝั่งตระกูลอิ๋งก็ตามมาแล้วเช่นกัน ผู้ที่นำมาก็คืออิ๋งอู๋เชวีย


“พี่โค่ว…” อิ๋งอู๋เชวียที่เดินเข้ามาชูจอกสุราชนกับโค่วฉินเหล่ตามองเหมียวอี้ “มีคนนั่งผิดที่แล้วรึเปล่า ทำไมข้ารู้สึกว่าตระกูลโค่วของพวกเจ้าพูดจาไม่เป็นคำพูดล่ะ?” เพราะเขาเห็นเหมียวอี้แล้วข่มไฟโกรธไม่ไหวจริงๆ อิ๋งฮุยลูกชายเขาตายอย่างอนาถใต้คมทวนของเหมียวอี้ที่อุทยานหลวง จะไม่แค้นได้อย่างไร แต่จนใจที่คนในครอบครัวสั่งไว้ว่าไม่ให้ไปหาเรื่องเจ้าเวรนี่ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงข่มความโกรธเอาไว้ แล้วพูดเหน็บแนมโดยไม่เอ่ยชื่อ


ถึงแม้เขาจะไม่เอ่ยชื่อแซ่ แต่ในใจเหมียวอี้กลับแอบบันเทิง ขนาดตัวเขาเองยังสงสัยเลยว่าตัวเองเกิดมาเพื่อขัดแย้งกับตระกูลอิ๋งโดยธรรมชาติหรือเปล่า ทำไมถึงเป็นตระกูลอิ๋งอยู่เรื่อย จะมีตระกูลซู[1]มาบ้างไม่ได้เหรอ? ทำไมถึงเป็นตระกูลอิ๋งอีกแล้วที่มาชนคมดาบของตน?


มีแผ่นกระดานโลงศพหนาขนาดนี้รองอยู่ยังจะมีอะไรน่ากลัวอีก ตราบใดที่ท่านนี้หัวไม่หลุด ก็ไม่กลัวหรอกว่าตัวเองจะหัวหลุด


“พี่อิ๋ง…” โค่วฉินส่ายหน้าอย่างจนใจ ยังไม่ทันได้พูดอะไรมาก ก็ตกใจกับเสียงสะเทือนเสียงหนึ่งแล้ว


ปั้ง! เหมียวอี้ตบฝ่ามือลงบนผิวโต๊ะ คำพูดคลุมเครือของอิ๋งอู๋เชวียเพิ่งจบไป โค่วฉินเพิ่งจะพูดต่อ เขาก็ตบเก้าอี้อย่างไม่ลังเลแล้ว พลังอิทธิฤทธิ์ที่ปล่อยจากฝ่ามือทำให้เกิดแรงสะเทือน เรียกได้ว่าตบโจนมีเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น ราวกับกลัวว่าคนอื่นจะไม่ได้ยิน


กระทันหันจนน่าตกใจ! เมื่อครู่นี้ยังมาอย่างอบอุ่นเป็นมิตรอยู่เลย เกิดการเปลี่ยนแปลงกระทันหันจนน่าตกใจ!


เสียงผลักจอกสุรารับแขกเงียบลงอย่างฉับพลัน ทุกคนพากันมองมาทางนี้ด้วยความตกใจ แม้แต่พวกเทพธิดาที่เดินไปเดินมาก็หยุดอยู่กับที่แล้ว คนตระกูลเซี่ยโห้วที่คอยรับแขกก็อ้าปากค้างด้วยความงง เซี่ยโห้วหู่เฉิงขมับเต้นตุ้บๆ ในใจร่ำร้องอย่างบ้าคลั่ง อย่าบอกนะว่าสิ่งที่กลัวกำลังจะมาถึง?


เสียงฝ่ามือนี้ทำให้โค่วฉินตกใจจนต้องกลืนคำพูดกลับลงไป เขามองเหมียวอี้ราวกับมองตัวประหลาด ถึงขั้นว่าในดวงตาเริ่มฉายแววหวาดกลัวว่าไฟจะลนมาถึงตัว ทุกคนของตระกูลโค่วและคนของตระกูลอิ๋งที่ตามเข้ามาก็งงเป็นไก่ตาแตกเช่นกัน ความเงียบสงัดโดยรอบทำให้คนรู้สึกกดดันอย่างบอกไม่ถูก มีเพียงเสียงดนตรีระบำในตำหนักดังออกมา แต่กลับทำให้คนยิ่งรู้สึกกดดัน


…………………………………………………..


[1] ตระกูลซูพ้องเสียงกับคำว่าฝ่ายแพ้ ตระกูลอิ๋งพ้องเสียงกับคำว่าฝ่ายชนะ

 

 

 


บทที่ 1710.2 เปลี่ยนแปลงกระทันหัน! (2)

 

ตอนนี้ไม่ใช่เหมียวอี้ที่กลัวจะเกิดเรื่อง แต่เป็นคนของตระกูลโค่วและตระกูลอิ๋งต่างหากที่กลัวจะเกิดเรื่อง เสียงตบฝ่ามือครั้งนี้ทำให้คนไม่น้อยหวาดระแวงกลัว


จากนั้น นอกตำหนักก็มีเพียงเสียงของคนคนหนึ่งดังขึ้น เห็นเพียงเหมียวอี้ชี้อิ๋งอู๋เชวียพร้อมตะคอกด่า “อิ๋งอู๋เชวีย เจ้าว่าใครนั่งผิดที่?”


อิ๋งอู๋เชวียอ้าปากกว้าง แต่กลับเปล่งเสียงไม่ออก ถูกตะคอกด่าจนโกรธหน้าแดงคอแห้ง ทำเอาเขาหาทางลงไม่ได้ เขาก็แค่พูดเหน็บแนมโดยไม่เอ่ยชื่อก็เท่านั้นเอง ใครจะคิดว่าจะยั่วโมโหจนเหมียวอี้เล่นใหญ่ขนาดนี้ มารดาเจ้าเถอะ นี่คือเลี้ยงวันเกิดที่ราชันสวรรค์และราชินีสวรรค์มาเยือนด้วยตัวเอง ทั้งยังมีขุนนางใหญ่นั่งเต็มงาน ถ้าเจ้าเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้ว ก็อย่าดึงข้าลงน้ำไปด้วยสิ!


“หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าทำอะไร?” โค่วฉินตะคอกเสียงต่ำ


โค่วเหมี่ยนเองก็ยื่นมือไปดึงแขนเสื้อเหมียวอี้เช่นกัน บอกใบ้ให้เขารีบนั่งลง


ในตำหนักมีคนไม่น้อยปล่อยพลังอิทธิฤทธิ์ออกมาสืบ ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะกล่าวสิ่งที่ทำให้คนสะดุ้ง ด่ากลับโดยไม่กล่าวชื่อแซ่เช่นกัน “ไม่เคยสร้างผลงานอะไร เศษสวะที่อาศัยแต่ร่มเงาของรุ่นพ่อรุ่นแม่ คู่ควรจะมาด่าข้าด้วยเหรอ?”


ประโยคนี้ทำให้คนอดทนไม่ไหวแล้ว ถ้าหดหัวก็เท่ากับยอมรับคำด่าของอีกฝ่าย แล้วต่อไปจะมีหน้าไปเจอคนได้อย่างไร อย่าไรเสียความเคลื่อนไหวนี้ก็ปิดบังไม่อยู่แล้ว ยื่นหัวออกไปก็หนึ่งดาย หดหัวก็หนึ่งดาบเช่นกัน อิ๋งอู๋เชวียเหน็บแนมกลับทันที “ไม่รู้เหมือนกันว่าใครเป็นเศษสวะ อยู่ที่ตลาดผีรับสมัครคนไม่ได้ เป็นขยะที่รู้จักแต่ตบตีผู้หญิงของตัวเอง แต่ยังกล้ามายืนดัดจริตอยู่ที่นี่อีกเหรอ?”


เมื่ออีกฝ่ายกล่าวแบบนี้ เหมียวอี้ก็แทบหัวเราะออกมา เหมือนกำลังจะฟุบหลับแต่มีคนยื่นหมอนมาให้ เรียกได้ว่าดีสุดๆ ไปเลย เขาจะได้ไม่เสียเวลาอ้อมค้อมอีก หัวเราะประชดทันที แล้วด่าอย่างโมโหว่า “ข้ารับสมัครคนไม่ได้เหรอ? ถ้าไม่ใช่เพราะขุนนางใหญ่ในราชสำนักเป็นก้างขวางคอ มีหรือที่ข้าจะรับสมัครคนไม่ได้?”


เมื่อพูดแบบนี้ที่นี่ ก็เรียกได้ว่าสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ตอนนี้คนในงานตกใจค้างกันหมดแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าเอาขุนนางใหญ่ในราชสำนักเข้ามาเกี่ยว เจ้าหนุ่มนี่ช่างเป็นหมาบ้าจริงๆ ปากไม่มีหูรูดเอาเสียเลย!


พลังอิทธิฤทธิ์จากในตำหนักที่ถูกปล่อยเข้ามาสืบทยอยกันเก็บกลับไป


บนใบหน้าอิ๋งอู๋เชวียเผยรอยยิ้มชั่วร้าย ทำท่าเหมือนบอกว่าเจ้าจบเห่แล้ว


โค่วเหมี่ยนไม่เกรงใจอีกต่อไปแล้ว ดึงแขนเสื้อไปก็ไม่มีประโยชน์ จู่ๆ ยื่นมือจี้สะกดจุดเหมียวอี้ ทำให้เหมียวอี้เปล่งเสียงไม่ได้อีก แล้วกดเหมียวอี้ให้นั่งลงเสียเลย


โค่วเหวินหลานที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ เอามือปาดเหงื่อที่หน้าผาก รู้ว่าเจ้าหมอนี่ใจกล้า แต่นึกไม่ถึงว่าจะใจกล้าขนาดนี้ แทบไม่กล้าเชื่อว่าคนบ้าแบบนี้จะเคยเป็นลูกน้องตัวเอง ทำไมตอนแรกถึงดูไม่ออกนะ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่มีทางใช้เส้นสายดึงเจ้าหมอนี่เข้ามาทำมาหากินในตำหนักสวรรค์หรอก


คนที่อยู่ในงานต่างยืนขึ้นมองมาทางนี้ เรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อก่อเรื่องในพิธีรับสนมของราชันสวรรค์ คนส่วนใหญ่แค่ได้ยินข่าวมาเท่านั้น พอวันนี้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ก็นับว่าได้รับบทเรียนแล้ว จัดเป็นประเภทสุนัขบ้าจริงๆ สงสัยการที่ผู้อาวุโสกำชับว่าอย่าไปยั่วโมโหหมาบ้าก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ต่อไปนี้หลบหมาบ้าตัวนี้ไกลๆ หน่อยดีกว่า อำนาจอิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังไม่มีประโยชน์ต่อเจ้าหมาบ้าตัวนี้เลย


คนข้างนอกสัมผัสได้ว่าคนในตำหนักปล่อยพลังอิทธิฤทธิ์ออกมาสอดแนม ต่างกำลังรอปฏิกิริยาจากในตำหนัก


คนของตระกูลเซี่ยโห้วรีบเดินเข้ามารวมตัวกัน ต่างก็จ้องเหมียวอี้อย่างเดือดดาล ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้ามาก่อเรื่องในงานวันเกิดของนายท่าน!


อิ๋งอู๋เชวียก็ไม่มีทางหลบเลี่ยงได้เช่นกัน ถูกสายตาโกรธเคืองของคนตระกูลเซี่ยโห้วจ้องจนรู้สึกอับอาย ชี้เหมียวอี้ที่พูดไม่ออกพร้อมบอกว่า “ไม่เกี่ยวกับข้านะ เป็นเขาต่างหากที่หาเรื่อง”


เหมียวอี้ทำได้เพียงจ้องเขากลับด้วยแววตาเดือดดาล ด่าก็ด่าไม่ออก ขยับก็ขยับไม่ได้


เดิมทีในตำหนักมีบรรยากาศสงบสุขเป็นมงคล เฉลิมฉลงอย่างอบอุ่น แต่จู่ๆ ก็มีเสียงตบโต๊ะดังสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ทำให้ทุกคนในตำหนักพากันอึ้ง


ราชันสวรรค์กับราชินีสวรรค์เงยหน้ามองนอกตำหนัก เซี่ยโห้วท่าเอียงหน้ามองไปด้านนอก ขุนนางใหญ่ในราชสำนักกับสตรีชนชั้นสูงก็เอียงหน้ามองไปด้านนอกเช่นกัน


จากนั้นทันที ท่ามกลางเสียงดนตรีก็มีเสียงตะคอกของเหมียวอี้ดังแว่วมา : อิ๋งอู๋เชวีย อิ๋งอู๋เชวีย เจ้าว่าใครนั่งผิดที่?


มีคนฟังออกว่าเป็นเสียงของเหมียวอี้ มีบางคนฟังไม่ออกว่าเป็นเสียงของใคร เอาเป็นว่าพอได้ยินชื่อ ‘อิ๋งอู๋เชวีย’ กับเสียงตบโต๊ะปนกัน พวกเขาก็พากันงุนงง ชั่วพริบตาเดียวก็มีพลังอิทธิฤทธิ์หลายสายถูกปล่อยออกมาสอดแนมทันที


“ไม่เคยสร้างผลงานอะไร เศษสวะที่อาศัยแต่ร่มเงาของรุ่นพ่อรุ่นแม่ คู่ควรจะมาด่าข้าด้วยเหรอ?” เป็นคำพูดของหนิวโหย่วเต๋ออีกแล้ว ถึงแม้จะไม่ใช่ทุกคนที่คุ้นเคยกับเสียงของหนิวโหย่วเต๋อ แต่ประโยคนี้เหมือนกันลากลูกหลานตระกูลขุนนางจำนวนไม่น้อยมาด่าด้วยกัน ตระกูลใหญ่มีคนเยอะ มีตระกูลไหนบ้างที่จะไม่มีพวกไม่เอาถ่านโผล่มาสักสองสามคน มีขุนนางจำนวนมากสีหน้าบึ้งตึงแล้ว


ทว่าประมุขชิงกลับขยับคิ้วอย่างอดไม่ได้ มุมปากยิ้มหยอกล้อเล็กน้อย ที่จริงเขาไม่เคยคลุกคลีกับเหมียวอี้สักเท่าไร และไม่ได้สื่อสารกันเท่าไรด้วย ต่อให้เคยคุยกันมาก่อน แต่ก็จำเสียงได้ไม่ชัดเจน แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ความคิดแรกที่แวบเข้ามาในหัวเขาก็คือเจ้าลูกลิงหนิวโหย่วเต๋อ!


ประมุขชิงชำเลืองมองปฏิกิริยาของพวกขุนนางใหญ่ที่อยู่ทางซ้ายและขวา : ใบหน้าราชินีสวรรค์ฉายแววโกรธเคือง เซี่ยโห้วท่าจิบสุราอย่างสุขุม เซี่ยโห้วลิ่งที่นั่งคุกเข่าหลังเซี่ยโห้วท่ายืนขึ้นเงียบๆ แล้วมองไปด้านนอก โพ่จวินหลับตาเล็กน้อย อู๋ฉวี่เห็นปฏิกิริยาโพ่จวินแล้วก็เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง ซือหม่าเวิ่นเทียนงุนงง เกาก้วนยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยไม่สะทกสะท้าน ส่วนขุนนางใหญ่คนอื่นๆ ก็พากันขมวดคิ้ว บรรยากาศคึกครื้นยามชนจอกสุราดื่มฉลองเหมือนจะหายไปในชั่วพริบตาเดียว มีเพียงเทพธิดาตรงกลางตำหนักที่ยังระบำต่อไป


“ไม่รู้เหมือนกันว่าใครเป็นเศษสวะ อยู่ที่ตลาดผีรับสมัครคนไม่ได้ เป็นขยะที่รู้จักแต่ตบตีผู้หญิงของตัวเอง แต่ยังกล้ามายืนดัดจริตอยู่ที่นี่อีกเหรอ?” ครั้งนี้เป็นเสียงของอิ๋งอู๋เชวีย คนส่วนใหญ่เคยได้ยินเสียงของอิ๋งอู๋เชวียมาก่อน มิหนำซ้ำก่อนหน้านี้ก็มีใครบางคนเอ่ยชื่อไว้แล้วด้วย


เช่นเดียวกัน ประโยคนี้ของอิ๋งอู๋เชวียก็ช่วยยืนยืนให้ทุกคนรู้แล้วว่าคนที่ด่าก่อนหน้านี้คือหนิวโหย่วเต๋อ


มีคนจำนวนไม่น้อยที่พูดไม่ออก เรื่องบ้าๆ แบบนี้ก็มีแต่คนบ้าเท่านั้นที่กล้าทำ เพียงแต่ได้ยินคำด่าก่อนหน้านี้ เหมือนอิ๋งอู๋เชวียจะหาเรื่องหนิวโหย่วเต๋อก่อนนะ อิ๋งอู๋เชวียนี่เป็นอะไรไปแล้ว กินยาผิดมาหรือไง?


ขุนนางใหญ่สายตระกูลอิ๋งขมวดคิ้วมุ่นกันเป็นแถบๆ บอกว่าจะไม่ไปยั่วโมโหเจ้าหมอนี่แล้วไม่ใช่เหรอ? แล้วนี่อิ๋งอู๋เชวียเล่นบ้าอะไร แถมยังอยู่ในโอกาสและสถานที่แบบนี้ด้วย


คนอื่นยังดีหน่อย แต่พออิงอู๋หม่านที่นั่งอยู่ในตำหนักได้ยินเสียงน้องชายของตัวเอง ก็เรียกได้ว่าพยายามข่มสีหน้าดุร้าย เกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะออกไปชักดาบฟันน้องชายของตัวเองสักที จะก่อเรื่องที่ไหนก็ไม่ไป ดันมาก่อเรื่องในงานแบบนี้ เจ้ามีฐานะอะไร หนิวโหย่วเต๋อมีฐานะต่ำต้อยอะไร อีกฝ่ายเท่าเปล่าไม่กลัวการสวมรองเท้า คนเหาเยอะย่อมไม่กลัวคัน นี่เจ้ากำลังเล่นบ้าอะไร?


“ข้ารับสมัครคนไม่ได้เหรอ? ถ้าไม่ใช่เพราะขุนนางใหญ่ในราชสำนักเป็นก้างขวางคอ มีหรือที่ข้าจะรับสมัครคนไม่ได้?”


เมื่อได้ยินเสียงหนิวโหย่วเต๋อที่อยู่ข้างนอกพูดประโยคนี้ เรียกได้ว่าทำให้คนตื่นตระหนกตกใจแล้วจริงๆ กลุ่มขุนนางใหญ่รีบหันกลับไปมองประมุขชิง เห็นประมุขชิงกำลังมองสำรวจพวกเขา จึงพากันหยุดใช้พลังอิทธิฤทธิ์สอดแนม แต่ละคนหน้าตาเลิกลั่ก ไม่รู้เหมือนกันว่ามีคนขัดขวางการรับสมัครคนของหนิวโหย่วเต๋อจริงหรือว่าอย่างไร อย่างไรเสียก็เหมือนตัวเองจะไม่เคยทำอย่างนั้น


ประมุขชิงชำเลืองปฏิกิริยาของเซี่ยโห้วท่าอีกครั้ง ในใจแอบด่าว่าจิ้งจอกเฒ่า เขาพบว่าเซี่ยโห้วท่ายังมีท่าทางเหมือนไม่เป็นอะไร


ที่จริงประมุขชิงก็อยากจะให้เซี่ยโห้วท่าตายไวๆ หน่อย เขาอวยพรวันเกิดให้เซี่ยโห้วท่าอย่างจริงใจเสียที่ไหนกัน ถ้าไม่ใช่เพราะชื่อเสียงของตัวเอง เขาก็ไม่อยากจะแยแสเรื่องนี้ด้วยซ้ำ ตอนนี้มีคนก่อเรื่องในงานเลี้ยงวันเกิดของเซี่ยโห้วท่า ในใจเขาก็ยังแอบรู้สึกขำ ขนาดตัวเองยังไม่สะดวกจะตบหน้าเลย แต่นึกไม่ถึงว่าจะมีคนตบให้แล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าขั้นต่อไปตระกูลเซี่ยโห้วจะรับมือกับหนิวโหย่วเต๋อที่ตลาดผีอย่างไร


พอพูดถึงตรงนี้ ประมุขชิงก็ไม่สะดวกจะพูดอีกต่อไป เขาสะบัดแขนหนึ่งที


ซ่างกวนชิงที่อยู่ข้างๆ โบกแขนเสื้อทันที “หยุดเดี๋ยวนี้ ถอยออกไปให้หมด!”


เสียงบันเทิงในงานหยุดทันที เทพธิดาที่กำลังเต้นระบำรีบถอยเข้าไปในตำหนักทางซ้ายและขวา ต่างก็รู้แล้วว่าเกิดเรื่องขึ้น


“ไปดูว่าด้านนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้น นำตัวคนที่ก่อเรื่องมา” ประมุขชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา


ตอนนี้เซี่ยโห้วลิ่งกลับมานั่งข้างหลังเซี่ยโห้วท่าแล้ว แอบถ่ายทอดเสียงรายงานเรื่องข้างนอกให้ฟัง แต่เซี่ยโห้วท่ายังคงไม่สะทกสะท้าน ทำเหมือนไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น


พอประมุขชิงพูดจบ อู๋ฉวี่ที่นั่งลงก็เอียงหน้าบอกใบ้ นอกประตูตำหนักมีทหารสวรรค์กลุ่มหนึ่งเหาะออกมาตรงที่เกิดเหตุทันที ทหารที่อยู่ข้างนอกพวกนี้เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างอยู่ในสายตาหมดแล้ว


แม่ทัพใหญ่เกราะแดงคนหนึ่งเดินมาข้างกายเหมียวอี้ แล้วโบกมือบอกใบ้ให้โค่วเหมี่ยนออกไป  ก่อนจะลากตัวเหมียวอี้ออกไปโดยตรง


ส่วนแม่ทัพใหญ่เกราะแดงอีกคนก็ส่งสัญญาณมือบอกใบ้อิ๋งอู๋เชวียว่าให้ตามเขาไป แต่อิ๋งอู๋เชวียกล่าวอย่างกังวลนิดหน่อยว่า “ไม่เกี่ยวกับข้า คือว่า…”


ยังไม่ทันพูดจบ แสงกระบี่ที่ชักออกจากฝักมาจ่ออยู่บนคอของเขาแล้ว ทำให้เขาไม่กล้าขยับตัว จากนั้นแม่ทัพใหญ่เกราะแดงสองคนก็ลงมือพร้อมกัน หนึ่งในนั้นดึงแขนข้างหนึ่งของเขาแล้วลากไป ในตอนนี้สายตาของเขาฉายแววหวาดกลัว ตะโกนบอกกลุ่มคนว่า “น้องสาม รีบไปหาท่านพ่อ!”

 

 

 


บทที่ 1711 ในราชสำนักมีคนทำผิด

 

ใบหน้าอิงอู๋เฟยสื่ออารมณ์กังวล ตอนนี้ไปหาท่านพ่อหรือไม่หาท่านพ่อแล้วต่างอะไรกัน? โชคดีที่ท่านพ่อไม่ได้อยู่ในราชสำนัก ไม่อย่างนั้นท่านพ่อก็ต้องเสแสร้งดัดจริตเป็นฝ่ายขอให้ลงโทษเจ้าหนักๆ อีก ถึงตอนนั้นต่อให้เจ้าไม่ตายแต่ก็ต้องโดนถลกหนัง เจ้าเองก็เหมือนกัน อยู่ดีๆ ไปยั่วโมโหหมาบ้าอย่างหนิวโหย่วเต๋อทำไม ท่านพ่อสั่งไว้แล้วว่าให้อดทนไว้ชั่วคราว แต่ดันก่อเรื่องแบบนี้ที่พระตำหนักอุทยานเสียแล้ว พี่รองเอ๊ย ข้าว่าตอนให้วันนี้เจ้าจะรอดหายนะจากพระตำหนักอุทยาน แต่จะผ่านด่านยากยามเผชิญหน้ากับท่านพ่อได้อย่างไร


เขากับโค่วฉินสบตากันแวบหนึ่ง ทั้งคู่ต่างส่ายหน้าอย่างจนใจ ก่อนจะหยิบระฆังดาราออกมาต่างคนต่างติดต่อบิดาตัวเอง รายงานสถานการณ์ตรงนี้ให้ฟัง


“ทุกคนสนุกกันต่อ สนุกกันต่อได้เลย” คนของตระกูลเซี่ยโห้วดันรอยยิ้มขึ้นมาบนใบหน้าเพื่อรับแขกอีกครั้ง


ช่วยไม่ได้ ถึงแม้จะมีแขกบางส่วนนั่งลงอย่างบันเทิงในความทุกข์ของคนอื่น แต่กลับมีบางส่วนทอดถอนใจ บรรยากาศคึกคักสู้ก่อนหน้านี้ไม่ได้แล้ว การเดินข้ามโต๊ะไปชนจอกสุรากันก็หยุดแล้วเช่นกัน ตอนนี้พากันสนใจว่าในตำหนักจะมีความเคลื่อนไหวอะไร


“หนิวโหย่วเต๋อนั่นเป็นพวกที่กลัวว่าจะไม่เกิดเรื่อง คุณชายรองไม่ควรให้เขาเข้ามา” มีคนของตระกูลเซี่ยโห้วแอบถ่ายทอดเสียงคุยกับคนตระกูลเซี่ยโห้วด้วยกัน


“เฮ้อ! เข้าก็เข้ามาแล้ว ก่อเรื่องขึ้นแล้วจริงๆ ด้วย ข้าว่าท่านนี้คงเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วจริงๆ รนหาที่ตายไปทั่วทุกแห่งในใต้หล้า มารนหาที่ตายถึงที่นี่แล้ว” คนที่ได้ยินส่ายหน้าตอบ


กำลังพลสายตระกูลโค่วกับตระกูลอิ๋งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ค่อนข้างเงียบ ส่วนฝั่งตระกูลฮ่าวกับตระกูลก่วงมีบางคนไม่กลัวเรื่องราวใหญ่โต ไม่น่าเชื่อว่าจะแอบเดิมพันกันแล้ว บ้างก็เดิมพันว่าจะตายทั้งสองคน บ้างก็เดิมพันว่าทั้งสองคนจะโดนเฆี่ยน บ้างก็เดิมพันว่าทั้งสองคนจะไม่เป็นอะไร เดิมพันกันไปต่างๆ นาๆ ยักคิ้วหลิ่วตาแอบถ่ายทอดเสียงเดิมพันกันแล้ว


ในตำหนัก พวกแม่ทัพใหญ่เกราะแดงหิ้วตัวเหมียวอี้กับอิ๋งอู๋เชวียเข้ามา พอทุกคนเหล่ตามอง หึหึ เป็นสองคนนี้จริงๆ ด้วย


ทั้งสองถูกหิ้วเข้ามากลางตำหนัก “คุกเข่า” พอมีเสียงตะคอก ทั้งสองก็ถูกเตะหลังเข่าให้คกเข่าลงพร้อมกัน เรียกได้ว่าโดนบังคับกดให้คุกเข่าลง


ในสถานการณ์ปกติตำหนักสวรรค์จะไม่มีการคุกเข่าคำนับ มีเพียงผู้ที่ทำผิดหรือยอมรับว่าตัวเองต่ำต้อยเท่านั้นถึงจะคุกเข่าสองข้าง


ขณะที่มองสองคนนี้ ประมุขชิงก็ใช้สายตาประเมินอย่างช้าๆ ราชินีสวรรค์สีหน้าไม่ค่อยดี เซี่ยโห้วท่าชำเลืองอย่างเฉยเมย เซี่ยโห้วลิ่งที่คุกเข่าอยู่ข้างหลังมองอย่างเย็นชา ซ่างกวนชิงกับซือหม่าเวิ่นเทียนปวดประสาท เกาก้วนยกจอกสุราดื่มอย่างเอื่อยเฉื่อย แทบจะไม่มองตรงๆ เลย ส่วนโพ่จวินก็ขมวดคิ้วมองเหมียวอี้อย่างจริงจรัง


ส่วนขุนนางใหญ่คนอื่นๆ กำลังพลสายตระกูลอิ๋งจ้องอิ๋งอู๋เชวียด้วยสีหน้าที่เหมือนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี อิงอู๋หม่านแอบกัดฟันกรอดขณะจ้องพี่น้องตัวเองด้วยสีหน้าดุร้าย ด้วยวัยวุฒิที่ตื้นเขินของตน เดิมทีการได้มานั่งรักษาการณ์แทนท่านพ่อก็เหมือนเดินเหยียบอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางอยู่แล้ว แต่เจ้าเวรนี่ยังเพิ่มปัญหาให้ข้าอีก!


เม่ยเหนียงมองเหมียวอี้ที่นั่งคุกเข่าอย่างสะท้อนใจ เหตุใดต้นกล้าที่นางเอาใจช่วยถึงท้อแท้ชีวิตและยอมให้ความคิดลบทำร้ายตัวเองไปได้นะ ด้วยพฤติกรรมที่เขากล้าพูดสิ่งนั้นนอกตำหนัก ก็ดูไม่เหมือนนะ! หรือว่ากำลังระบายความคับแค้นใจ?


ส่วนก่วงเม่ยเอ๋อร์ที่ยืนข้างมารดาก็มองเหมียวอี้ด้วยสายตากังวล เป็นครั้งแรกที่นางมางานแบบนี้กับมารดา ใครใช้ให้ตระกูลก่วงมีหวังเฟยอยู่คนเดียวท่ามกลางสี่อ๋องสวรรค์ล่ะ เมื่อสามีติดธุระมาไม่ได้ ภรรยาที่ว่างอยู่บ้านจะบอกว่าติดธุระมาไม่ได้ก็จะฟังดูเหลวไหลแล้ว ดังนั้นนางจึงประหม่าเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าจะได้เจอเรื่องแบบนี้อีก นางกังวลแทนเหมียวอี้มาก


โค่วเจิงที่ถือระฆังดาราอยู่ในแขนเสื้อถามสถานการณ์ด้านนอกชัดเจนแล้ว เขาขมวดคิ้วมุ่นขณะมองเหมียวอี้ เจ้านี่มันเล่นลูกไม้อะไร นึกเสียใจทีหลังนิดหน่อยที่ให้เหมียวอี้มานั่งร่วมโต๊ะกับตระกูลโค่ว ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจริงๆ ตัวเองยังต้องพิจารณาอีกว่าจะต้องยื่นมือไปเช็ดก้นให้เพื่อรักษาหน้าหรือเปล่า


จาหรูเยี่ยนที่นั่งอยู่ด้วยแอบยินดีใจความโชคร้ายของเหมียวอี้ หารู้ไม่ว่าเทพประจำดาวฟ้าเถาะที่นั่งหน้านิ่งอยู่ข้างกันกำลังด่าแม่ในใจ เคยบอกให้เหมียวอี้เพลาๆ บ้าง แต่ก็ก่อเรื่องนี้อีกแล้ว เจ้าอย่ากลายเป็นเรื่องน่าหัวเราะเยาะก่อนจะได้สมบัติจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ล่ะ ถึงตอนนั้นจะให้ข้าไปทวงถามความยุติธรรมจากไหน ไอ้เวรเอ๊ย!


พออู๋ฉวี่โบกมือ แม่ทัพใหญ่เกราะแดงที่คุมตัวสองคนนี้เข้ามาก็หันตัวเดินออกไปแล้ว


อย่างไรเสียอิ๋งอู๋เชวียก็เคยเห็นฉากนี้มาก่อน พยายามทำตัวสงบ ถึงแม้จะคุกเข่าอยู่อย่างนั้น แต่กลับกุมหมัดคารวะ “คารวะฝ่าบาท คารวะราชินีสวรรค์”


เหมียวอี้ที่อยู่ข้างกันกลับคุกเข่าอย่างไม่สะทกสะท้าน ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ แค่ขยับลูกตาเท่านั้น


มีคนสายตระกูลอิ๋งตะคอกทันที “กำเริบเสิบสาน บังอาจก่อเรื่องต่อหน้าฝ่าบาทและเหนียงเหนียง ควรลงโทษให้หนัก!”


“ควรใช้แส้ลงโทษตามกฏ ขุนนางพิธีการอยู่ไหน!” มีคนพูดตามทันที


เป็นครั้งแรกที่เหมียวอี้ได้เข้ามาอยู่ในราชสำนักแบบนี้ พอมาถึงก็ได้รับรู้ถึงการสมคบกันในราชสำนักแล้ว ในใจด่าโค่วเหมี่ยนอย่างบ้าคลั่ง ด่าบรรพบุรุษสิบแปดรุ่น!


ครั้งนี้เหมียวอี้กลอกลูกตามองสองฝั่ง ในใจก็ด่าอีกว่า ด่าบอดกันหมดหรือไง? มองไม่ออกหรือพ่อโดนควบคุมอยู่?


แน่นอนว่าไม่ได้ตาบอดกันหมด มีคนจำนวนมากมองออกอย่างรวดเร็ว อู๋ฉวี่ขยุ้มนิ้วทั้งห้า ปล่อยพลังอิทธิฤทธิ์กลุ่มหนึ่งเข้าไปครอบเหมียวอี้เอาไว้ พอกำหมัดแล้ว เหมียวอี้ก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่งอย่างผ่อนคลาย ผนึกบนตัวถูกคลายแล้ว


ในตอนนี้เหมียวอี้กุมหมัดคารวะต่อเบื้องบน “หนิวโหย่วเต๋อแม่ทัพภาคตลาดผีใต้สังกัดตำหนักนารีสวรรค์ คารวะฝ่าบาท คารวะราชินีสวรรค์ คารวะโอรสสวรรค์!”


ประโยคนี้น่าสงสัยว่าจะเป็นการประจบสอพลอ แต่ตอนนี้เขามาเสี่ยงอันตรายอย่างโดดเดี่ยว ไม่มีใครช่วยเขาได้ ต้องสร้างเงื่อนไขทุกอย่างที่สามารถปกป้องตัวเอง หยางชิ่งไม่ได้วางแผนให้เขาเอาชีวิตมาทิ้ง ทุกอย่างต้องอาศัยตัวเอง


เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่เดิมทีสีหน้ายังเต็มไปด้วยความโกรธเคืองอึ้งทันที จากนั้นก็แทบจะหัวเราะออกมา นางกัดริมฝีปากเอาไว้ เอามือลูบท้องใหญ่กลมของตัวเอง พลางคิดในใจว่า ช่างเถอะ ราชินีสวรรค์ผู้สง่าภูมิฐานอย่างนางจะไปถือสาแม่ทัพภาคต่ำต้อยให้ได้อะไรขึ้นมา จะว่าไปก็เป็นคนใต้สังกัดตำหนักนารีสวรรค์โดยตรง ถ้าเกิดอะไรขึ้นตัวเองก็เสียหน้า


ทุกคนในโถงพูดไม่ออก ซ่างกวนชิงทำสีหน้าอัศจรรย์ใจ ซือหม่าเวิ่นเทียนทำสีหน้าไม่ถูก เซี่ยโห้วท่าที่มีท่าทางใจเย็นสุขุมเขย่าจอกสุราเบาๆ เซี่ยโห้วลิ่งที่นั่งคุกเข่าข้างหลังมองประเมินเหมียวอี้อย่างจริงจังอีกครั้ง เกาก้วนเหลือบมองปฏิกิริยาของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ จากนั้นกรอกสุราลงปากสองคำ อู๋ฉวี่เอียงหน้ามองโพ่จวินที่กำลังปวดประสาทเล็กน้อย ราวกับกำลังถามโพ่จวินว่า นี่น่ะหรือขุนนางซื่อสัตย์ที่เจ้าบอก? ข้าว่าเป็นขุนนางจอมใส่ร้ายที่ชอบเลียแข้งเลียขามากกว่ามั้ง!


เม่ยเหนียงเม้มปากยิ้ม ก่วงเม่ยเอ๋อร์ก้มหน้าอมลมในกระพุ้งแก้ม


โค่วเจิงยกมือลูบหน้าผากตัวเอง จาหรูเยี่ยนแอบด่าว่าหน้าไม่อาย เทพประจำดาวฟ้าเถาะผังก้วนหลับตาแล้ว ทนมองตรงๆ ไม่ได้อีก


อิ๋งอู๋เชวียหันไปมองเหมียวอี้ที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ รู้สึกเหม่อนิดหน่อย ให้ความรู้สึกเหมือนตกตะลึงด้วย เคยเห็นคนไร้ยางอายมาก่อน แต่ไม่เคยเห็นใครไร้ยางอายขนาดนี้เลย ทำเอาเขาไม่รู้ว่าต้องคารวะโอรสสวรรค์ด้วยหรือเปล่า


“เฮ่อๆ!” ประมุขชิงถูกทำให้ขำเช่นกัน พูดในใจว่าเจ้าลูกลิงก็ยังเป็นเจ้าลูกลิงอยู่วันยังค่ำ เขาชี้ไปเบื้องล่าง “ปากมันลิ้นลื่น” ซ่างกวนชิงที่อยู่ข้างๆ ก็หัวเราะตามเช่นกัน


ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะเป็นฝ่ายกล่าวเสียงดังอย่างใจกล้าว่า “ข้าน้อยรวบรวมความกล้าเปิดเผยต่อฝ่าบาท ว่าในราชสำนักมีคนทำผิด ข้าน้อยสามารถชี้ตัวต่อหน้าธารกำนัลได้หรือไม่ขอรับ?”


เขาเองก็ไม่ได้เจอประมุขชิงเป็นครั้งแรก เคยเจอที่อุทยานหลวงทั้งแบบมองตรงและไม่มองตรงหลายรอบ ตอนนี้ไม่ได้หวั่นเกรงเดชานุภาพสวรรค์เหมือนตอนแรกแล้ว ที่สำคัญที่สุดคือตอนนี้สภาพจิตใจของเขาไม่เหมือนเดิมแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะไม่มีทางเลือก เขาก็ไม่อยากมาคุกเข่าต่อหน้าประมุขชิงอย่างนี้เลย


“อ้อ?” ประมุขชิงรู้สึกสนใจทันที นี่ต้องการจะช่วยข้าก่อเรื่องอะไรเป็นการส่วนตัวใช่มั้ย? จึงแสดงความใจกว้างทันที “รู้ผิดแล้วแก้ไข นับว่าเยี่ยมนัก แต่ถ้าเจ้าพูดซี้ซั้ว ข้าไม่ปล่อยไปง่ายๆ หรอกนะ!”


“ขอรับ!” เหมียวอี้มองอิ๋งอู๋เชวียที่อยู่ข้างกาย คิดในใจว่า เจ้าคุกเข่าต่อไปเถอะ ข้าไม่เล่นเป็นเพื่อนเจ้าแล้ว


เซี่ยโห้วท่าจ้องเหมียวอี้อย่างสนใจ เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเหมียวอี้พูดต่อหน้าขุนนางใหญ่จำนวนมากมายขนาดนี้ ดูไม่ตระหนกกลัว อดไม่ได้ที่จะหรี่ตามอง!


กลุ่มขุนนางกำลังคิดว่าท่านนี้กำลังจะหาเรื่องใคร แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะยืนขึ้นกะทันหัน หันตัวไปมองสองข้าง แล้วกุมหมัดคารวะ “ขออนุญาติถามสักหน่อย เมื่อครู่นี้มีขุนนางใหญ่สองท่านคนไหนตะโกนว่าข้าน้อยไร้มารยาทต้องโดนทำโทษ?” ตอนนั้นเขาถูกควบคุมจึงหันไปมองไม่ได้


กลุ่มขุนนางมองไปทางขุนนางสองคนในเครือข่ายของตระกูลอิ๋ง สองคนนั้นถูกมองจนรู้สึกอึดอัด แล้วทยอยกันยืนอย่างช้าๆ


สองคนนี้ยังไม่ทันพูดอะไร เหมียวอี้ก็แย่งพูดก่อนแล้ว “คาดว่าคงจะเป็นสองคนนี้! ฝ่าบาทมีเมตตาอนุญาตให้ข้าน้อยชี้ตัว เช่นนั้นข้าน้อยขอให้นายท่านทั้งสองแสดงให้ดูหน่อยว่าคนที่ถูกควบคุมอยู่จะทำความเคารพได้อย่างไร หากทั้งสองสามารถทำความเคารพได้ตามปกติ ข้าน้อยก็จะยอมรับผิด! ถ้าหากทำไม่ได้ ทั้งสองได้โปรดเก็บคำพูดเมื่อครู่นี้กลับไปด้วย โปรดให้อภัยข้าน้อย!”


ในตำหนักเงียบเป็นแถบๆ ยังนึกว่าจะชี้ความผิดอะไรเสียอีก ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเรื่องนี้?


ขุนนางใหญ่ขุนนางใหญ่ที่ยืนขึ้นพูดไม่ออก มองเหมียวอี้ด้วยสายตาเย็นเยียบ ในใจแสยะยิ้ม เด็กน้อยโง่เขลา ใช้ลูกไม้ตื้นๆ แค่นี้แล้วคิดจะกดดันให้พวกเราสองคนยอมรับผิดในราชสำนักเหรอ?


เทพประจำดาวฟ้าเถาะผังก้วนแอบส่ายหน้า เจ้าเด็กนี่ช่างอ่อนหัด เรื่องเล็กแค่นี้ไม่ใช่แค่ทำให้อีกฝ่ายยอมรับผิดไม่ได้ แต่กลับจะทำให้กำลังพลสายตระกูลโค่วเดือดดาลด้วยซ้ำ อีกประเดี๋ยวเจ้าได้โดนกำลังพลสายตระกูลโค่วกลั่นแกล้งแน่ เรื่องเล็กแค่นี้ต่อให้อีกฝ่ายรับผิดแล้วยังไงต่อล่ะ? เจ้าแค่อยากจะสะใจงั้นเหรอ แค่ความสบายใจเล็กนิดหน่อยเนี่ยนะ? ช่างไม่มีประสบการณ์ในราชสำนัก!


หารู้ไม่ว่าสำหรับเหมียวอี้แล้ว ในเมื่อเจอทิศทางที่จะลงมือแล้ว ก็ต้องยั่วโมโหกำลังพลสายตระกูลโค่วให้กลั่นแกล้งเขาสิ ไม่อย่างนั้นเขาก็จะไม่มีโอกาสได้แสดงความสามารถ เดินมาถึงขั้นนี้แล้ว เดินเข้ามาในตำหนักนี้แล้ว เขาไม่มีทางให้ถอยกลับแล้ว ต้องทำตัวให้ฮึกเหิมกระปรี้กระเปร่าเพื่อรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน คว้าโอกาสทุกอย่างเอาไว้!


ลั่วหม่างจอมพลสายวอกที่นั่งอยู่กับที่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เหมือนกับผังก้วน เขามีลางสังหรณ์แล้วว่าอีกประเดี๋ยวกำลังพลสายตระกูลอิ๋งจะต้องกลั่นแกล้งเหมียวอี้แน่ ขนาดเขายังไม่รู้เลยว่าจะด่าเหมียวอี้อย่างไรดี ทุกคนปรึกษากันแล้วว่าจะปล่อยเจ้าไป ถ้าเจ้าอยู่ที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีดีๆ ก็ไม่มีใครทำอะไรเจ้าได้หรอก ราชสำนักคือสถานที่ที่ฆ่าคนโดยไม่เห็นเลือด ถ้าเล่นงานเจ้าตายแล้ว เจ้าก็ไม่มีที่ให้เรียกร้องหาเหตุผลหรอก


เขากำลังครุ่นคิดแล้วว่าอีกประเดี๋ยวจะช่วยเหมียวอี้แก้ไขสถานการณ์อย่างไร เพราะเหมียวอี้เคยช่วยดึงลูกชายเขาออกมาจากกับดัก ช่วยชีวิตลูกชายเขาไว้ครั้งหนึ่ง ยังไม่ได้ตอบแทนน้ำใจนี้อย่างเป็นทางการเลย!


เป็นอย่างที่คาดไว้ สองท่านยืนอยู่อย่างนั้นโดยไม่พูดอะไรสักคำ แต่กำลังพลสายตระกูลอิ๋งยืนขึ้นทันที แล้วกุมหมัดคารวะต่อประมุขชิง “ฝ่าบาท คนที่มีตาล้วนดูออกว่าตอนแรกสองท่านนี้ไม่รู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อถูกควบคุมไว้ ถึงได้พูดอย่างนั้นไป ที่พวกเขาสองคนพูดอย่างนั้น ก็เพื่อปกป้องเดชานุภาพของฝ่าบาทและเหนียงเหนียง จะเห็นได้ว่ามีใจจงรักภักดี ส่วนหนิวโหย่วเต๋อปั่นสถานการณ์ให้วุ่นวายล้วนๆ เห็นงานเลี้ยงนี้เป็นสนามเด็กเล่น มีเจตนาชั่วร้าย!”


เหมียวอี้แอบตกใจ พบว่าตาแก่กลุ่มนี้ชั่วร้ายมากทีเดียว ใช้วิธีการโยนความผิดกลับคืนได้ลื่นไหลมาก


ประมุขชิงสีหน้าขรึมลงเล็กน้อย ยังนึกว่าเจ้าลูกลิงนี่จะชี้ความผิดอะไรเสียอีก สงสัยทำวุ่นวายใหญ่โตก็เพื่ออุบายเด็กๆ แบบนี้ ทำให้เขาผิดหวังจริงๆ “หนิวโหย่วเต๋อ นี่ก็คือความผิดที่เจ้ากล่าวหาเหรอ?”


เหมียวอี้หันตัวมา แล้วกล่าวจากใจจริงว่า “ถ้าแบบนี้ไม่นับว่าเป็นความผิด…ถ้าข้าน้อยไม่พูดอะไรเลย พวกเขาตะโกนว่าจะลงโทษข้าน้อย ข้าน้อยแก้ตัวก็เพราะอยากให้พวกเขาอภัย แต่พวกเขาดันบอกอีกว่าข้าน้อยตั้งใจปั่นสถานการณ์ให้วุ่นวาย มีเจตนาชั่วร้าย สรุปก็คือไม่ว่าจะพูดอย่างไรพวกเขาก็มีเหตุผลเสมอ ถึงอย่างไรคำพูดของคนต่ำต้อยอย่างข้าน้อยก็ไม่มีน้ำหนัก ข้าน้อยไม่ได้เรียนมาให้สามารถคารวะได้หลังจากถูกควบคุมร่างกาย พอเข้ามาในนี้จึงสมควรตาย ในเมื่ออธิบายด้วยเหตุผลไม่ได้ ข้าน้อยก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้วขอรับ!”

 

 

 


บทที่ 1712 ขุนนางยอมตายถวายความจงรักภักดี

 

โถ่! กลุ่มขุนนางที่นั่งอยู่ในงานมองด้วยสายตาที่ต่างออกไปทันที พบว่าท่านนี้เล่นอุบายโยนความผิดกลับได้ไหลลื่น เท่ากับโยนข้อหา ‘ปั่นสถานการณ์ให้วุ่นวาย’ กลับมาแล้ว


ราชสำนักไม่เหมือนกับที่อื่น เพราะที่นี่คือสถานที่ซึ้งฆ่าคนโดยไม่เห็นเลือด หนิวโหย่วเต๋ออยู่ที่ตลาดผี ด้วยเหตุผลบางอย่างจึงไม่สะดวกลงมือ แต่ในเมื่อมาที่นี่แล้ว คนกลุ่มหนึ่งไม่คิดที่จะให้เขารอดชีวิตกลับไป


สองฝ่ายสูสีกัน! การตัดสินนี้ของประมุขชิงได้เหยียบประเด็นนี้เอาไว้ชั่วคราว หากถกเถียงกันเพื่อเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ให้กลุ่มผู้หญิงสูงศักดิ์ในตำหนักเห็น ก็นับว่าน่าหัวเราะเยาะจริงๆ “เมื่อครู่นี้พวกเจ้าเถียงกันด้านนอกเพราะอะไร?”


เหมียวอี้ชี้อิ๋งอู๋เชวียทันที “ฝ่าบาท ไม่ใช่ว่าข้าน้อยอยากจะเถียงกันหรอก แต่อิ๋งอู๋เชวียเป็นฝ่ายเข้ามาดูหมิ่นข้าน้อยก่อน ข้าน้อยจึงโมโหจนควบคุมตัวเองไม่ได้ไปชั่วขณะ”


ไม่รอให้อิ๋งอู๋เชวียแก้ตัว ก็มีขุนนางใหญ่ในเครือข่ายตระกูลอิ๋งส่งสายตาให้เขาแล้ว บอกใบ้ให้เขายังไม่ต้องพูดอะไร จากนั้นก็มีขุนนางใหญ่เครือข่ายตระกูลอิ๋งยืนขึ้นบอกว่า “ไม่ทราบว่าอิ๋งอู๋เชวียดูหมิ่นอะไรเจ้า?”


ดูเหมือนเป็นคำถามปกติ แต่ในหัวเหมียวอี้ตระหนักได้แล้วว่าอีกฝ่ายเริ่มจับผิด เพราะเป็นไปไม่ได้ที่อีกฝ่ายจะช่วยตน จึงหันขวับมองไปทางนั้น แล้วขยายการโจมตีเสียเลย “เมื่อครู่นี้ยังมีคนสอนมารยาทข้าน้อยอยู่เลย ไม่ทราบว่าข้าน้อยควรจะตอบฝ่าบาทก่อนหรือตอบเจ้าก่อน?”


กลุ่มขุนนางที่กำลังนั่งอยู่ในงานกระปรี้กระเปร่าอีกครั้ง แม้แต่เม่ยเหนียงก็จ้องเหมียวอี้ด้วยแววตาเป็นประกาย ขนาดนางยังฟังออกเลยว่าคำพูดของเหมียวอี้ซ่อนเงาดาบเอาไว้


เซี่ยโห้วท่ายังคงเอียงหน้าหรี่ตาจิบสุราอย่างเอื่อยเฉื่อย กำลังมองอย่างสนใจ


อีกฝ่ายตอบอย่างใจเย็นว่า “มารยาทก็คือธรรมเนียมที่ควรปฏิบัติตาม ราชสำนักก็ย่อมมีธรรมเนียมของราชสำนัก ตอนประชุมสามารถคุยเรื่องงาน ไม่ว่าใครก็ที่มีข้อสงสัยใดก็สามารถเอ่ยถามได้ แบบนี้ถึงจะรักษาความเที่ยงธรรมของเดชานุภาพสวรรค์ไว้ได้!”


เหมียวอี้กุมหมัดคารวะประมุขชิงทันที “ข้าน้อยไม่เข้าใจธรรมเนียมในราชสำนัก ขอบังอาจถามฝ่าบาท ข้าน้อยก็สามารถพูดเรื่องงานที่นี่ใสได้เหมือนกันใช่หรือไม่ มีอะไรก็พูดตรงๆ ที่นี่ได้เลยใช่หรือไม่ขอรับ?”


ประมุขชิงเตรียมจะดูละครเด็ดอยู่แล้ว จึงขานรับ “ตราบใดที่ไม่ใช่คำพูดเหลวไหล ถ้ามีเหตุผลก็พูดมาได้เลย”


สำหรับเขา ตอนนี้ความเป็นความตายของเหมียวอี้ไม่สำคัญแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะสี่อ๋องสวรรค์ลงมือไปแล้วครั้งหนึ่ง แล้วเขาลงมืออีกจะดูไม่ดี เกรงว่าเขาคงจะเล่นงานเหมียวอี้ให้ตายไปแล้ว คนที่ทรยศเขามีราคาต้องจ่าย!


“ขอรับ!” เหมียวอี้เอ่ยรับ เขากลัวเพียงว่าตัวเองจะไม่มีโอกาสพูด เมื่อได้คำสัญญานี้มาแล้ว เขาก็รู้สึกโล่งอกมาก หันตัวไปเผชิญหน้ากับฝ่ายตรงข้ามแล้วบอกว่า “อิ๋งอู๋เชวียถ่อมาดื่มสุราดูหมิ่นข้า บอกว่าข้านั่งผิดที่แล้ว”


“บอกว่าเจ้านั่งผิดที่ก็เท่ากับดูหมิ่นเจ้าแล้วเหรอ?” ขุนนางใหญ่ที่เถียงกลับเหมียวอี้ชื่อว่าฉีหลิงหวน เป็นทูตตรวจตรายศแม่ทัพใหญ่เกราะแดงสองแถบคนหนึ่งของตำหนักสวรรค์ จัดเป็นตำแหน่งที่ไม่เจาะจง ไม่เหมือนตำแหน่งเจาะจงอย่างพวกเทพประจำดาว ท่านโหวที่มีกำลังทหารในครอบครอง เขาเป็นคนของทัพตะวันตก ย่อมเป็นกำลังพลในเครือข่ายตระกูลอิ๋งอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่เป็นฝ่ายกระโดดออกมาโจมตีก่อนหรอก “ต่อให้เจ้าคิดว่าทำแบบนั้นเป็นการดูหมิ่นเจ้า แต่เจ้ามีพยานพิสูจน์หรือเปล่าว่าอิ๋งอู๋เชวียพูดแบบนี้เพื่อดูหมิ่นเจ้า?”


เหมียวอี้หันมองรอบตำหนักทันที เงียบสงบเป็นแถบ ไม่มีใครออกหน้าช่วยเขาพูดสักคน เขากวาดสายตามองทุกคน แล้วสุดท้ายสายตาก็ไปหยุดอยู่บนตัวโค่วเจิงที่กำลังก้มหน้าก้มตา จากนั้นรีบหันกลับมาอีก เขาเองก็ไม่คิดว่าจะขอให้ตระกูลโค่วออกหน้ามาเป็นพยานให้เช่นกัน เขาชี้อิ๋งอู๋เชวีย “ทำไมต้องมีพยานด้วยล่ะ เจ้าแค่ถามอิ๋งอู๋เชวียว่าได้พูดหรือเปล่าก็พอ”


ฉีหลิงหวนถามอิ๋งอู๋เชวียจริงๆ ด้วย “อิ๋งอู๋เชวีย เจ้าเคยพูดอย่างนี้หรือเปล่า?”


อิ๋งอู๋เชวียอึ้งทันที เพราะเขาพูดอย่างนั้นต่อหน้าคนตระกูลโค่วจริงๆ แต่ถามแบบนี้หมายความว่าอะไรล่ะ? ทว่าเขาก็เข้าใจสายตาที่อีกฝ่ายส่งมาเตือน หนิวโหย่วเต๋อกับตระกูลโค่วเกี่ยวดองกันในนาม ถ้าให้คนตระกูลโค่วเป็นพยาน ฝั่งตัวเองก็สามารถเถียงกลับได้ว่าฝ่ายนั้นช่วยเหลือญาติ อีกทั้งตัวเองยังส่งเสียงแบบปกติมาก คนอื่นก็ไม่ได้ยินเช่นกัน ต่อให้ได้ยินแล้วคนของเครือข่ายอื่นก็ไม่กระโดดออกมาเป็นพยานช่วยหนิวโหย่วเต๋ออยู่ดี จึงตอบกลับเสียงดังทันที “ใส่ความ! หนิวโหย่วเต๋อกำลังใส่ความข้าน้อย ข้าน้อยไม่ได้พูดอย่างนั้น”


ที่จริงเขาก็อยากจะยืนขึ้นมาก ทว่าเหมียวอี้อาศัยโอกาสที่ฝ่าบาทให้ชี้พยานยืนขึ้นมา และเขาก็ทำได้เพียงอดทนไว้ก่อน


“หนิวโหย่วเต๋อ อิ๋งอู๋เชวียบอกว่าเขาไม่เคยพูด เจ้ามีพยานคนอื่นอีกมั้ย?” ฉีหลิงหวนถาม


เหมียวอี้มองเขาอย่างล้ำลึกแวบหนึ่ง แล้วก้มหน้ามองอิ๋งอู๋เชวียที่พูดโกหกอย่างสง่าผ่าเผยอีก ในใจเริ่มด่าว่า มารดาเจ้าเถอะ เป็นเพราะรังแกขุนนางทั้งราชสำนักแล้ว ก็เลยไม่มีใครช่วยเป็นพยานให้ข้า อยากจะยัดข้อหาก่อเรื่องมาให้ข้าชัดๆ!


คนที่นั่งอยู่ในงานจำนวนไม่น้อยมองเหมียวอี้ด้วยสายตาเวทนา ถ้ากำลังพลเครือค่ายตระกูลโค่วไม่ยื่นมือช่วย เกรงว่าเจ้าเด็กนี่คงจะตกอยู่ในอันตรายแล้ว ต่อให้กำลังพลเครือค่ายตระกูลโค่วจะยื่นมือช่วย แต่เกรงว่าจะไม่ได้ผลมากนัก จะกลายเป็นกำลังพลหลายฝ่ายในราชสำนักร่วมมือกันโจมตีกำลังพลสายตระกูลโค่วทันที ในเมื่อหนิวโหย่วเต๋อมาให้เชือดถึงที่แล้ว ก็ย่อมต้องเล่นงานให้ตายที่ราชสำนักให้หมดเรื่องหมดราวไป ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ใช้ความพยายามแค่ไม่กี่ประโยคเท่านั้น


แม้แต่เม่ยเหนียงและลูกสาวก็ยังฟังออก ว่าจะใช้ข้อหาที่เหมียวอี้เป็นฝ่ายก่อเรื่องก่อนเล่นงานให้ตาย ต้องการจะจัดการเหมียวอี้ให้ถึงตาย!


ตอนนี้สตรีสูงศักดิ์ในงานเพิ่งจะเข้าใจ ว่าที่แท้แล้วราชสำนักก็อันตรายอย่างนี้นี่เอง แค่พูดไม่ถูกประโยคเดียวก็ตกอยู่ในความเสี่ยงได้ วันนี้นับว่าได้บทเรียนแล้ว


ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะไม่ตอบคำถามฉีหลิงหวน แต่จู่ๆ ก็กุมหมัดคารวะประมุขชิง “ฝ่าบาท อิ๋งอู๋เชวียไม่เพียงแค่บอกว่าข้าน้อยนั่งผิดที่ ถ้าด่าข้าน้อยคนเดียวก็ยังพอทนไหว แต่ยังแอบถ่ายทอดเสียงด่าข้าน้อยด้วย บอกว่าในใต้หล้าไม่มีใครกล้าล่วงเกินตระกูลอิ๋งของเขาได้ง่ายๆ บอกว่าถ้าออกจากอุทยานหลวงแล้วก็จะตามไปสังหารข้าน้อยเข้าสักวัน อีกทั้งในคำพูดยังสื่อความหมายดูหมิ่นราชินีสวรรค์ ข้าน้อยอยู่ในสังกัดตำหนักนารีสวรรค์ มีหรือที่จะทำหูทวนลมได้ ข้าน้อยถึงได้เดือดดาลมาก ไม่อย่างนั้นต่อให้ข้าน้อยจะใจกล้าขนาดไหน แต่ก็ไม่กล้าเสียงดังโวยวายที่พระตำหนักอุทยานหรอกขอรับ!”


เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ขุนนางทั้งราชสำนักก็ตกใจ ถึงแม้คนส่วนใหญ่จะไม่รู้ว่าอิ๋งอู๋เชวียไปดื่มสุรากับตระกูลโค่วแล้วตอนแรกไม่ได้บอกว่าหนิวโหย่วเต๋อนั่งผิดที่ แต่อาศัยประสบการณ์ที่ราชสำนัก ทุกคนก็ล้วนดูออกว่าฉีหลิงหวนกับอิ๋งอู๋เชวียสมคบกัน กำลังตั้งใจจะปฏิเสธข้อหาที่โดนยัดกลับ ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าควรจะเชื่อคำพูดเหมียวอี้หรือไม่ อีกทั้งคนส่วนใหญ่ถึงขั้นเชื่อนิดๆ แล้วด้วยว่าอิ๋งอู๋เชวียอาจจะพูดแบบนี้ออกมาจริงๆ


เพียงแต่ทุกคนก็เข้าใจเช่นกัน ขนาดพูดอย่างเปิดเผยยังหาพยานไม่ได้ เช่นนั้นเมื่อแอบถ่ายทอดเสียงก็ยิ่งหาพยานไม่ได้เข้าไปอีก เพียงแต่คำพูดดูหมิ่นราชินีสวรรค์ ต่อให้ไม่มีพยานก็ร้ายแรงอยู่ดี!


“เจ้าโกหก เจ้าพูดเหลวไหล!” อิ๋งอู๋เชวียที่คุกเข่าอยู่ตรงนั้นร้อนใจทันที ชี้หน้าตะตอกด่าเหมียวอี้ แล้วกุมหมัดคารวะต่อเบื้องบนอีก “ฝ่าบาท ข้าน้อยข้าน้อยไม่เคยพูดจริงๆ ขอรับ หนิวโหย่วเต๋อกำลังใส่ร้ายข้าน้อย ฝ่าบาทได้โปรดพิจารณาตัดสินให้กระจ่าง!”


โค่วเจิงที่นั่งอยู่แถวหลังแอบหยิบระฆังดาราออกมาถามคนข้างนอกแล้ว ถามว่าตอนนั้นอิ๋งอู๋เชวียได้แอบถ่ายทอดเสียงกับเหมียวอี้หรือไม่ ผลก็คือได้คำตอบว่าไม่เคย จากนั้นก็ยืนยันซ้ำอีก โค่วฉินบอกว่าไม่มีเช่นกัน โค่วฉินบอกว่าตัวเองอยู่ข้างกายอิ๋งอู๋เชวีย มีวรยุทธ์พอๆ กับอิ๋งอู๋เชวีย ต่อให้มีคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์แม้เพียงนิดเดียว แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่สังเกตพบ โค่วฉินจึงถามกลับว่าโค่วเจิงเป็นอะไรไป?


พอกดระฆังดาราลงเก็บไว้ โค่วเจิงก็มองเหมียวอี้อย่างพูดไม่ออกทันที ต่อให้ตระกูลโค่วจะตัดขาดเหมียวอี้อย่างไร แต่ในนามก็ยังเกี่ยวข้องกันอยู่ ไม่ออกไปช่วยเป็นพยานให้เหมียวอี้ก็นับว่าแย่แล้ว จะให้กระโดดออกไปเป็นพยานให้ฝ่ายตรงข้ามเหมียวอี้อีกได้อย่างไร?


“ฝ่าบาท…” เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น ทำให้ทุกคนในตำหนักมองขึ้นไปทันที


เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่ใช้มือข้างหนึ่งประคองท้องป่องกลมทำสีหน้าฝืนใจยิ้ม ไม่น่าเชื่อว่าจะส่งเสียงแล้ว พอนางอ้าปาก เสียงโวยวายของอิ๋งอู๋เชวียก็หยุดชั่วคราว ฉีหลิงหวนที่กำลังจะเถียงก็ทำได้เพียงอดทนไว้ก่อนเช่นกัน


เหมียวอี้เงยหน้าขึ้น มองไปทางราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่เปล่งเสียงพูด ใบหน้าเขาเรียบเฉยไร้อารมณ์ มองข้ามสายตาของอิ๋งอู๋เชวียที่เหมือนจะกลืนกินเขา ในใจสงบนิ่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นี่คือสิ่งที่ฝึกได้จากการผ่านความเป็นความตายมาหลายครั้ง รู้อย่างลึกซึ้งว่ายิ่งถึงยามหน้าสิ่วหน้าขวานก็ยิ่งต้องรับมืออย่างใจเย็น


ใช่ว่าเขาจะไม่เคยมาอุทยานหลวง เขาเฝ้าอุทยานหลวงมาหลายปีขนาดนั้น ใช่ว่าจะไม่เคยเจอเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ ทั้งยังเคยถูกเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ทำโทษด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะมีกองทัพองครักษ์เฝ้าอยู่ เกรงว่าแส้สยบมังกรคงจะทำให้เขารักษาชีวิตตัวเองได้ยาก ดังนั้นจึงรู้อย่างลึกซึ้งว่าจิตใจของผู้หญิงคนนี้เป็นอย่างไร


ประมุขชิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่ค่อยชอบให้วังหลังสอดมือเข้ามาแทรกเรื่องในราชสำนัก จึงถามเสียเรียบว่า “ราชินีสวรรค์มีเรื่องอะไร?”


ขนาดเซี่ยโห้วท่าที่นั่งอยู่ด้านข้างก็ยังขมวดคิ้วมองเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เบาๆ เช่นกัน เซี่ยโห้วลิ่งที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างหลังสีหน้าบึงตึงนิดหน่อย ก้มหน้าปิดบังแววตาที่ไม่สบอารมณ์


เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยิ้มแห้ง “ฝ่าบาท ตามหลักแล้วในงานแบบนี้หม่อมฉันไม่ควรพูดอะไรมาก แต่คิดไปคิดมา นี่เป็นงานวันเกิดของท่านปู่หม่อมฉัน แถมหนิวโหย่วเต๋อก็เป็นคนในสังกัดตำหนักนารีสวรรค์ สิ่งที่หนิวโหย่วเต๋อเพิ่งพูดก็เหมือนจะเกี่ยวข้องกับหม่อมฉันด้วย ถ้าหม่อมฉันไม่สนใจใยดีอีก ก็เหมือนจะฟังดูเหลวไหลนะเพคะ ดังนั้นหม่อมฉันจึงอยากจะถามหนิวโหย่วเต๋อสักหน่อย ไม่ทรายว่าฝ่าบาทอนุญาตหรือไม่เพคะ?”


คำพูดนี้ของนางก็มีเหตุผลเหมือนกัน เพราะนี่คือราชสำนัก เดิมที่ก็เป็นสถานที่ที่ ‘พูดกันด้วยเหตุผล’ อยู่แล้ว ประมุขชิงพยักหน้าเบาๆ “ตราบใดที่ไม่ขัดต่อความยุติธรรม ราชินีสวรรค์ถามเถอะ”


“เพคะ!” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เอ่ยรับ แล้วหันกลับมามองเหมียวอี้ที่อยู่เบื้องล่าง ถามอย่างน่าเกรงขามว่า “หนิวโหย่วเต๋อ ข้าถามเจ้าหน่อย เจ้าบอกว่าอิ๋งอู๋เชวียแอบถ่ายทอดเสียงเกี่ยวกับข้า จริงหรือเปล่า?”


เหมียวอี้กุมหมัดคารวะตอบ  “ตอบเหนียงเหนียง ย่อมเป็นเรื่องจริงอยู่แช้วขอรับ เพียงแต่อิ๋งอู๋เชวียไม่ยอมรับ ข้าน้อยเองก็จนใจ”


“เจ้าพูดเหลวไหล!” อิ๋งอู๋เชวียคำรามอย่างเกรี้ยวกราด เกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะเข้าไปกัดเหมียวอี้ให้ตาย


“อิ๋งอู๋เชวีย ให้ข้าถามให้จบก่อนได้หรือไม่?” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยิ้มเรียบๆ ในขณะที่พูดข่มไว้ เพียงแต่ทุกคนล้วนสัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบในน้ำเสียง


“…”อิ๋งอู๋เชวียหุบปากด้วยสีหน้าข่มกลั้นความโกรธ ตัวเองจะตะโกนปฏิเสธราชินีสวรรค์ได้เชียวเหรอ? ถ้ากล้าทำอย่างนี้จริงๆ ก็ต้องถูกขุนนางพิธีการลากออไปเฆี่ยนจนตายแน่


พอเขาหุบปากแล้ว เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ถึงได้ถามต่อ “หนิวโหย่วเต๋อ เขาว่าอะไรข้าบ้าง?”


“เอ่อ…” ตอนนี้เหมียวอี้กลับอึกอักเหมือนเริ่มลังเลแล้ว


อิ๋งอู๋เชวียเห็นสถานการณ์แบบนี้แล้วงงทันที ความโมโหหายไปหลายส่วน ในใจเริ่มยิ้มเจ้าเล่ห์ กล้าพูดซี้ซั้ว ข้าดูซิว่าเจ้าจะปั้นเรื่องต่อไปอย่างไร อย่าปั้นเรื่องจนตัวเองหาทางลงไม่ได้ล่ะ


เซี่ยโห้วเฉิงอวี่น้ำเสียงเคร่งขรึมลงเล็กน้อย “ทำไม? ปากเจ้าพูดว่าอิ๋งอู๋เชวียเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ พอข้าถามทำไมเจ้ากลับพูดไม่ออกแล้ว หรือว่าใจเจ้าไม่บริสุทธิ์?”


เหมียวอี้เงยหน้า ทำสีหน้าเคารพอย่างสูง ท่าทางฮึกเหิมเร้าใจ กุมหมัดคารวะกล่าวเสียงดังว่า “เหนียงเหนียง ไม่ใช่ว่าข้าน้อยพูดไม่ออก แต่คำพูดของอิ๋งอู๋เชวียไม่ใช่แค่เกี่ยวข้องกับเหนียงเหนียงเท่านั้น ทั้งยังเกี่ยวข้องกับสนมสวรรค์ด้วย ข้าน้อยไม่กล้าพูด เป็นเพราะข้าน้อยความจำไม่ดีด้วย จำได้ไม่ชัดเจนแล้ว เอาเป็นว่าข้าน้อยถูกคำพูดบางอย่างของอิ๋งอู๋เชวียทำให้โมโหแล้วจริงๆ ข้าน้อยเป็นคนไม่มีความสามารถอะไร ไม่มีมนุษย์สัมพันธ์เท่าไรด้วย แต่มีความจงรักภักดีอยู่เต็มอก รู้ว่าอะไรทำได้อะไรทำไม่ได้ นี่ก็เป็นสาเหตุว่าทำไมก่อนหน้านี้ข้าน้อยตะโกนว่า ‘คารวะโอรสสวรรค์’ ก็เพราะอยากให้อิ๋งอู๋เชวียรู้ว่าใครคือเจ้านาย ใครเป็นรอง บางทีในสายตาคนอื่นอาจมองว่าข้าประจบสอพลอ แต่สำหรับข้าน้อย อย่างไรเสียข้าน้อยก็เป็นขุนนางใต้สังกัดตำหนักนารีสวรรค์ ยามราชันถูกดูหมิ่น ขุนนางยอมตายถวายความจงรักภักดี ควรพิทักษ์จนตัวตาย! แล้วที่นี่ก็เป็นพระตำหนักอุทยานด้วย ถ้าเปลี่ยนเป็นตลาดผี ถ้าอิ๋งอู๋เชวียกล้าพูดแบบนี้ออกมา ข้าน้อยก็ไม่สนหรอกว่าจะมีภูมิหลังอะไร ข้าน้อยจะสังหารแน่นอน เรื่องโง่แบบนี้ข้าน้อยไม่ได้ทำเป็นครั้งแรก ข้าน้อยถึงได้ล่วงเกินคนไว้เยอะเกินไป เหนียงเหนียงได้โปรดอภัยด้วย!” เสียงสะเทือนราชสำนัก ท่าทางฮึกเหิมเร่าร้อน!

 

 

 


บทที่ 1713 ยืดอกยอมรับแล้ว

 

ประมุขชิงสีหน้าเคร่งขรึมลงครึ่งหนึ่ง จ้องเหมียวอี้ด้วยสายตาเย็นเยียบ สาเหตุก็ไม่ใช่เพราะอะไร เป็นเพราะดึงจ้านหรูอี้สนมโปรดของเขาเข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว เช่นเดียวกัน สายตาเย็นเยียบนั้นชำเลืองที่อิ๋งอู๋เชวีย ไม่รู้ว่าอิ๋งอู๋เชวียเคยพูดอย่างนี้จริงหรือเปล่า


จิตใต้สำนึกอิ๋งอู๋เชวียอยากจะคำรามใส่เหมียวอี้ แต่กลับถูกสายตาเย็นเยียบของประมุขชิงจ้องมองจนขนลุกไปทั้งตัว โดยเฉพาะสายตาจองราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ ชั่วพริบตานี้เขานึกเสียใจทีหลังแทบแย่ เสียใจที่ไม่เชื่อฟังคนในครอบครัว จะไปยั่วโมโหหมาบ้าอย่างหนิวโหย่วเต๋อทำไมกัน? พออ้าปากเผยฟันคมก็กัดมั่วไปหมด!


ถึงแม้เขาจะอายุมากกว่าเหมียวอี้ วรยุทธ์สูงกว่าเหมียวอี้ด้วย เห็นโลกมาเยอะกว่าเหมียวอี้ แต่ถ้าพูดถึงฉากเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย เขากลับไม่เคยสัมผัสเลยสักครั้ง เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ถูกจำกัดเงื่อนไขบางอย่างเอาไว้ พูดถึงสติปัญญากับการรับมือปัญหาอย่างใจเย็นมีสติ เขาไม่อาจเทียบกับเหมียวอี้ที่ผงาดขึ้นจากการสู้ตายครั้งแล้วครั้งเล่าได้เลย นับว่าฝีมือคนละชั้น


ส่วนเหมียวอี้ เขาไม่สนใจหรอกว่าประมุขชิงจะคิดอย่างไร แต่จะพูดว่าไม่สนก็ไม่ได้ เพราะเดิมทีนิสัยของเหมียวอี้ก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว เรื่องบางเรื่องที่จุกจิกไม่สำคัญ เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ต้องรับมืออย่างเร่งด่วน เขาก็ไม่สนใจอะไรมากขนาดนั้นหรอก พูดเรื่องนี้ให้จบก่อนแล้วค่อยว่ากัน ทำเรื่องตรงหน้าให้ดีก่อนแล้วค่อยคำนึงถึงเรื่องระยะยาวอีกที ถ้าเขาไม่พูดแล้วประมุขชิงจะปกป้องเขาเชียวเหรอ?


เข้าใจเย็นเป็นพิเศษ และเข้าใจชัดเจนมากด้วย ว่าตั้งแต่ที่ตัวเองก้าวเท้าเข้ามาในตำหนัก เขาก็ไม่มีทางให้ถอยกลับแล้ว มีแต่ต้องชนะเท่านั้น เขาแพ้ไม่ได้


นี่ก็คือสิ่งที่หยางชิ่งบอกว่า ต้องดูว่านายท่านมีความกล้าที่จะไขว่คว้ามาหรือเปล่า!


หยางชิ่งเป็นคนที่ไม่ค่อยทำอะไรเสี่ยงอันตราย แต่กลับคิดแผนสุดอันตรายออกมาได้ ทว่าแผนนี้ก็ตรงรสนิยมของเหมียวอี้สุดๆ !


บนราชสำนักมีแต่คนประเภทไหนกันล่ะ? ผู้ที่มีคุณสมบัติยืนประชุมในราชสำนักได้ก็ไม่ได้โง่เท่าไรหรอก ถึงแม้เหมียวอี้จะบอกว่าไม่กล้าพูด บอกว่าจำได้ไม่ชัดเจน คำพูดนี้ไม่ต่างอะไรกับการชี้ว่าอิ๋งอู๋เชวียกำลังบอกว่าสนมสวรรค์ต่างหากที่เป็นคนที่ประมุขชิงรักที่สุด ไม่เห็นราชินีสวรรค์อยู่ในสายตา บางทีอาจจะแฝงความหมายว่าสักวันหนึ่งสนมสวรรค์จะต้องมาแทนที่ตำแหน่งฮูหยินเอก สรุปก็คือน่าจะไม่พ้นเกี่ยวข้องกับความหมายพวกนี้


ตอนนี้ทุกคนยังไม่รู้ว่าอิ๋งอู๋เชวียเคยพูดอย่างนี้จริงๆ หรือว่าเหมียวอี้กำลังปั้นน้ำเป็นตัว แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่สามารถแน่ใจได้ นั่นก็คือเจ้าเด็กเปรตนี้ฝากร้ายกาจจริงๆ หากมีวันใดที่ได้เข้ามาในราชสำนัก เกรงว่าคงจะไม่เสียเปรียบเท่าไรนัก


โค่วเจิงมองเหมียวอี้ เรียกได้ว่าตับไตสั่นไปหมดแล้วจริงๆ นี่เป็นครั้งแรกที่พบว่าน้องเขยจอมเอาเปรียบของตัวเองฝีปากร้ายกาจขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะปั้นเรื่องโยงกับคำว่า ‘คารวะโอรสสวรรค์’ ได้ ไม่รู้เหมือนกันว่าคิดได้ชั่วขณะนั้น หรือว่าวางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว


เซี่ยโห้วเฉิงอวี่จ้องอิ๋งอู๋เชวียด้วยสายตา ‘ตั้งใจชื่นชม’ ความเย็นเยียบลึกล้ำที่ซ่อนอยู่ในดวงตาทำให้คนที่ถูกจ้องตัวสั่นทั้งๆ ที่ไม่ได้หนาว ตอนนี้นางไม่พิจารณาเลยว่าสิ่งที่เหมียวอี้พูดเป็นความจริงหรือไม่ ในสายตานาง เดิมทีตระกูลอิ๋งก็มีเจตนาจะแทนที่นางอยู่แล้ว มีความเป็นไปได้สูงมากว่าอิ๋งอู๋เชวียจะพูดอย่างนี้ออกมาจริงๆ มิหนำซ้ำนางก็ดูออกแล้วว่าก่อนหน้านี้ฉีหลิงหวนร่วมมือกับอิ๋งอู๋เชวียแก้ตัวน้ำขุ่นๆ ดังนั้นยามนางอยู่ภายใต้ปัจจัยแวดล้อมที่ทำให้เกิดอุปาทานต่างๆ จึงตัดสินแล้วว่าอิ๋งอู๋เชวียเคยพูดอย่างนี้จริง


อิ๋งอู๋เชวียสมควรตาย! ตระกูลอิ๋งควรถูกสังหารทั้งตระกูล! ในใจเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เกิดความคิดชั่วร้ายน่ากลัวแวบเข้ามาราวกับฟ้าผ่า


ดวงตางามหันกลับไปมองเหมียวอี้อีกครั้ง พอนึกถึงคำว่า ‘คารวะโอรสสวรรค์’ นึกถึง ‘ยามราชันถูกดูหมิ่น ขุนนางยอมตายถวายความจงรักภักดี’ ในใจก็รู้สึกผ่อนคลายไร้ที่เปรียบ รู้สึกว่าเหมียวอี้เป็นอย่างที่พูดจริงๆ เป็นคนประเภทมีความจงรักภักดี มีเรื่องโง่เง่าอะไรบ้างที่ไม่เคยทำ? ก่อเรื่องที่พระตำหนักอุทยานบางก็ไม่แปลก ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น ดูอย่างตอนแรกที่เหมียวอี้ด่าอิ๋งจิ่วกวงว่าขายผู้หญิงแลกเกียรติยศต่อหน้าคนของตระกูลอิ๋งก็รู้แล้ว


นางกลับไม่คิดดูบ้างว่าตัวเองมีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อได้ยินว่า ‘ขายผู้หญิงแลกเกียรติยศ’  ตอนนี้กลับรู้สึกว่าเหมียวอี้ไม่ถูกกับตระกูลอิ๋งมาตลอด ถึงได้ทำให้นางมีท่าทีที่ควรจะมีต่อตำหนักนารีสวรรค์ ต้องสู้กับตระกูลอิ๋งให้ตายกันไปข้างสิถึงจะถูก!


โพ่จวินมองเหมียวอี้ด้วยแววตาสื่ออารมณ์ซับซ้อน คำพูดอันฮึกเหิมเร้าใจของเหมียวอี้เมื่อครู่นี้ถูกใจเขามาก โดยเฉพาะคำว่า ‘ยามราชันถูกดูหมิ่น ขุนนางยอมตายถวายความจงรักภักดี’ ถ้าได้เจ้าเด็กนี่มาอยู่ในกองทัพองครักษ์จะดีขนาดไหน น่าเสียดายที่ราชันที่อีกฝ่ายจะปกป้องหมายถึง ‘เซี่ยโห้วเฉิงอวี่’ สิ่งนี้ทำให้เขาสะอิดสะเอียนมาก


“ใจกล้าบ้าบิ่น นึกไม่ถึงว่าจะพูดจากำกวมที่นี่ ถูกผิดปนกันวุ่นไปหมด ต้องการจะเสี้ยมให้แตกแยกกัน มีเจตนาไม่ซื่อ!” ฉีหลิงหวนพลันตะคอก มองทะลุเจตนาของเหมียวอี้ทันที ผู้ที่ยืนอยู่ที่นี่ได้เป็นคนเลอะเลือนเสียที่ไหนกัน


“ฝ่าบาท หม่อมฉันถามจบแล้วเพคะ” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่พลันเอ่ยแทรก โค้งตัวเล็กน้อยพลางพยักหน้าแสดงความจริงใจต่อประมุขชิง ส่วนประมุขชิงก็พยักหน้าให้นาง


เหมียวอี้หันกลับไปมองอีก “นายท่านกำลังว่าข้าน้อยเหรอ?”


“นอกจากเจ้าแล้วยังจะมีใครอีก? ปากพูดแต่เรื่องเหลวไหล เจ้ามีพยานหรือเปล่า?” ฉีหลิงหวนตะคอกอย่างโมโห


“นายท่านลองถามอิ๋งอู๋เชวียดูก็ได้ว่าเคยพูดอย่างนี้หรือเปล่า” เหมียวอี้ถามกลับ


ไม่รอให้ฉีหลิงหวนถาม อิ๋งอู๋เชวียก็ตอบกลับอย่างโมโหแล้วว่า “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าพูดซี้ซั้วไม่คำนึงถึงความจริง ข้าเคยพูดอย่างนั้นตั้งแต่เมื่อไรกัน?”


“แปลว่าเจ้าไม่ยอมรับอีกแล้วเหรอ?” เหมียวอี้จ้องเขา


ที่บอกว่า ‘อีกแล้ว’ คืออะไร? อิ๋งอู๋เชวียเถียงอย่างโมโห “เจ้าปั้นน้ำเป็นตัวชัดๆ จะให้ข้ายอมรับได้ยังไง?” เขาหันตัวไปกุมหมัดคารวะต่อเบื้องบนอีก “ฝ่าบาท เหนียงเหนียง ข้าน้อยถูกใส่ร้าย!”


“ในเมื่อเจ้าตะโกนว่าถูกใส่ร้าย ทำไมไม่หาพยานมาพิสูจน์ล่ะว่าเจ้าไม่เคยพูด? เจ้ามีพยานหรือเปล่า?” เหมียวอี้ถาม


ฉีหลิงหวนเพิ่งจะอ้าปาก แต่อิ๋งอู๋เชวียก็ตะโกนแล้วว่า “มี!”


เหมียวอี้ยิ้มเย้ยในใจ


หลังจากในตำหนักเงียบสงบลง ประมุขชิงที่นั่งอยู่เบื้องสูงก็กล่าวเสียงเรียบว่า “หาตัวพยานมา”


“ตรงนั้นมีลูกหลานตระกูลอิ๋งกับลูกหลานตระกูลโค่วเป็นพยานให้ได้” อิ๋งอู๋เชวียรายงาน


เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ฉีหลิงหวนก็ขมวดคิ้วเบาๆ จนใจที่ครั้งนี้ห้ามไม่ทันแล้ว จะให้อิ๋งอู๋เชวียกลับคำพูดได้อย่างไร


มีขุนนางไม่น้อยแอบส่ายหน้า กำลังพลเครือข่ายตระกูลอิ๋งก็ยิ่งพูดไม่ออก  อิ๋งอู๋หม่านที่นั่งหน้านิ่งอยู่ตรงที่นั่งมองน้องชายคนรองด้วยแววตาเย็นเยียบ อยากจะพุ่งเข้าไปเอากระบองหมาป่าตีหัวสักที พูดให้น้อยๆ หน่อยจะตายเหรอ? ตระกูลอิ๋งมีเครือข่ายคนเยอะขนาดนั้น กลัวว่าจะขาดคนช่วยพูดให้เจ้าเหรอ?


โค่วเจิงกลับแอบโล่งอก ไม่อย่างนั้นลูกเขยตระกูลโค่วถูกรุมรังแกต่อหน้าฝูงชน แต่ตระกูลโค่วกลับไม่มีใครออกมาเป็นพยานให้เลย ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไปก็จะฟังดูเหลวไหล ไม่ว่าจะอย่างไร อย่างน้อยหนิวโหย่วเต๋อก็ยังได้ชื่อว่าเป็นลูกเขยของตระกูลโค่ว


เขารีบใช้ระฆังดาราในมือติดต่อกับโค่วฉินที่อยู่ด่านนอก สั่งไว้ว่าให้พูดอย่างไร


“ประกาศ!” ประมุขชิงสั่ง


ผ่านไปไม่นาน ด้านนอกก็มีทหารของกองทัพองครักษ์นำตัวลูกหลานตระกูลอิ๋งละตระกูลโค่วที่อยู่ในงานเข้ามาแล้ว


ผลลัพธ์ของการสืบพยานก็ไม่ซับซ้อน คนของตระกูลอิ๋งย่อมปฏิเสธว่าอิ๋งอู๋เชวียเคยพูดอะไร ส่วนคนของตระกูลโค่วก็บอกว่าอิ๋งอู๋เชวียเคยเข้ามาดื่มสุราฉลองแล้วพูดว่า ‘มีคนนั่งผิดที่หรือเปล่า’ ส่วนเรื่องถ่ายทอดเสียงอะไร ก็บอกเพียงว่าสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ของอิ๋งอู๋เชวีย ส่วนพูดอะไรนั้นไม่ชัดเจน


ชัดเจนว่าต่างคนต่างพูดเข้าข้างฝ่ายตัวเอง อากงพูดอย่างหนึ่ง อาม่าพูดอย่างหนึ่ง ใครจะไปรู้ว่าใครพูดผิดหรือพูดถูก?


ส่วนตระกูลโค่วก็เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้หลบเลี่ยงไม่ยอมออกมา แต่กลับถูกตระกูลอิ๋งดึงออกมาเป็นพยานแล้ว ตอนนี้แม้แต่กำลังพลเครือข่ายอื่นก็ไม่สะดวกจะขัดใจตระกูลโค่วแล้ว ไม่ใช่ว่าคนอื่นกลัวตระกูลโค่วจะไม่รักษาสัญญา แต่เป็นเพราะตระกูลอิ๋งไม่ได้เรื่องเอง ขุนนางกลุ่มนี้คุ้นเคยกับการทำงานอยู่ในราชสำนัก ยิ่งเข้าใจความรู้สึกของประมุขชิง ปัญหานี้จะจริงหรือเท็จก็ไม่มีทางสืบสาวต่อไปได้แล้ว ถ้าพิสูจน์ได้จริงๆ ว่าอิ๋งอู๋เชวียเคยพูดอย่างนั้น แล้วจะให้ราชินีสวรรค์ทนความรู้สึกได้อย่างไร จะให้สนมสวรรค์ทนความรู้สึกได้อย่างไร หรือจะให้ฆ่าอิ๋งอู๋เชวียทิ้งที่นี่จริงๆ ล่ะ? แบบนั้นไม่เท่ากับพิสูจน์ว่าตระกูลอิ๋งมีเจตนาชั่วร้ายจริงๆ หรอกเหรอ? ต่อให้รู้ชัดว่าตระกูลอิ๋งมีความคิดอย่างนี้ แต่เรื่องบางเรื่องก็ไม่อาจพูดเปิดโปงได้


ที่จริงผลลัพธ์ที่ดีที่สุดก็คือให้หนิวโหย่วเต๋อตาย แบบนั้นไม่ว่าใครก็ไม่มีความเห็นแย้งอะไร


เอาเป็นว่าขุนนางใหญ่กลุ่มนี้แอบทอดถอนใจ ด่านอันตรายด่านแรกที่ยัดข้อหาหนิวโหย่วเต๋อ เป็นเพราะความไร้สมองของอิ๋งอู๋เชวียถึงทำให้หนิวโหย่วเต๋อรอดไปได้อย่างราบรื่น


ฉีหลิงหวนก็ยิ่งแอบยิ้มอย่างขมขื่น ไม่ใช่ว่าอ๋องสวรรค์อิ๋งมีลูกน้องไร้ความสามารถ แต่ว่า…เอาเป็นว่าจะมาโทษลูกน้องไม่ได้หรอก!


ผลลัพธ์เป็นอย่างที่กลุ่มขุนนางใหญ่คาดไว้ ประมุขชิงกล่าวเสียงเรียบว่า “ไม่ว่าจะเคยพูดหรือไม่ หลังงานวันเกิดยอมมีการตรวจสอบอย่างละเอียด”


ไม่ว่าใครก็รู้ทั้งนั้น ว่าตระกูลโค่วกับตระกูลอิ๋งจะต้องรับผิดชอบสิ่งพูดออกมาต่อหน้าธารกำนัล หลังจากนี้จะต้องแบกไว้จนถึงที่สุดแน่นอน ถ้าเปิดเผยคำพูดนี้ ตอนหลังยังจะต้องสืบอะไรอีก!


ราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ไม่ใช่คนโง่บริสุทธิ์ขนาดนั้น อยู่ที่วังสวรรค์มาหลายปีไม่ถือว่าสูญเปล่า ย่อมรู้ว่าเหมียวอี้รอดพ้นหายนะครั้งนี้ไปได้แล้ว นางมองเหมียวอี้ด้วยแววตาแอบชื่นชม รู้สึกว่าไม่ทำให้ตำหนักนารีสวรรค์ของนางเสียหน้า!


ก่อนหน้านี้นางยังไม่ค่อยคิดว่าคนของจวนแม่ทัพภาคตลาดผีคือคนของตำหนักนารีสวรรค์ วันนี้เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกมีพวก


ส่วนสตรีสูงศักดิ์ที่นั่งอยู่ในงาน มีจำนวนไม่น้อยที่แอบรู้สึกเสียดาย เนื่องจากเหมียวอี้แทบจะล่วงเกินทุกตระกูลหมดแล้ว


เม่ยเหนียงและลูกสาวแอบโล่งใจแทนเหมียวอี้ รู้สึกได้อย่างแท้จริงว่าช่องปากคือเงาดาบประกายกระบี่ที่น่าหวาดเสียวที่สุด เป็นครั้งแรกที่สองแม่ลูกค้นพบว่า ปากคนเราคืออาวุธที่ร้ายกาจได้ขนาดนี้ ฆ่าคนโดยไม่เห็นเลือด!


แต่กลุ่มขุนนางใหญ่ล้วนเข้าใจ ว่าตระกูลอิ๋งไม่มีทางปล่อยเหมียวอี้ไปง่ายๆ แน่ แพ้ไปหนึ่งกระดานแล้วจะต้องเอาคืน ไม่อย่างนั้นจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?


ไม่ผิดคาดอีกแล้ว หลังจากกลุ่มพยานออกจากตำหนัก ฉีหลิงหวนที่ยืนอยู่ตลอดก็กุมหมัดคารวะประมุขชิง “ฝ่าบาททรงเหมือนกระจกที่ใสสะอาด!” จากนั้นก็หันไปหาเหมียวอี้อีก “ในเมื่อเรื่องเมื่อครู่นี้ไม่อาจจะตัดสินให้ชัดเจนได้ ก่อนหน้านี้ตอนที่เจ้าก่อเรื่องข้างนอก คาดว่าคงไม่ได้ด่าแค่ข้าหรอก ขุนนางใหญ่ที่นั่งอยู่ในนี้ล้วนได้ยินหมดแล้วว่าเจ้าพูดว่า ‘ไม่เคยสร้างผลงานอะไร เศษสวะที่อาศัยแต่ร่มเงาของรุ่นพ่อรุ่นแม่ คู่ควรจะมาด่าข้าด้วยเหรอ’ เจ้ายอมรับหรือเปล่าว่าเจ้าพูด?”


ทำไมถึงเรียกว่าข้าก่อเรื่องอยู่ข้างนอกล่ะ? เป็นอิ๋งอู๋เชวียก่อเรื่องแท้ๆ ต่อให้ข้าก่อเรื่องแต่ก็ก่อเรื่องด้วยกันกับอิ๋งอู๋เชวีย…เหมียวอี้พึมพำในใจ ก็แค่ฉวยโอกาสเหน็บแนมข้าว่าตอนนี้จะไม่สืบสาวสิ่งที่ข้ากล่าวหาอีกแล้ว


“แน่นอน! ข้าน้อยไม่เหมือนคนพวกนี้…” เหมียวอี้เหล่ตามองอิ๋งอู๋เชวียแวบหนึ่ง “ข้าน้อยพูดก็คือข้าน้อยพูด ไม่เหมือนคนพวกนี้ที่ไม่กล้ายอมรับ!”


มารดาเจ้าเถอะ คำพูดนั้นล้วนผ่านไปแล้ว เจ้ายังไม่จบอีกเหรอ! อิ๋งอู๋เชวียเงยหน้ามองเขา ในดวงตาเต็มไปด้วยไฟโกรธ เกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะกระโดดขึ้นมาสู้ตายกับเขาสักยก


“ไม่ทราบว่าเจ้ากำลังด่าใคร?” ตอนที่ถามประโยคนี้ ฉีหลิงหวนมองดูปฏิกิริยาของขุนนางใหญ่ทั้งราชสำนัก


“ข้าน้อยไม่คิดว่าข้าน้อยกำลังด่าใคร ก็แค่พูดความจริงเท่านั้นเอง” เหมียวอี้กล่าว


ฉีหลิงหวนกดดันทันที “ไม่ทราบว่าเจ้าสร้างผลงานใหญ่อะไร ถึงกล้ามาดูหมิ่นผู้อื่นว่าเศษสวะ แล้วที่บอกว่าอาศัยร่มเงาพ่อแม่ เจ้าหมายถึงใคร?” เขากำลังจงใจช่วยให้เหมียวอี้ยั่วโมโหฝูงชน ช่วยขยายขอบเขตการถูกโจมตีให้เหมียวอี้


เม่ยเหนียงและลูกสาวแอบเป็นห่วง


ใครจะคิดว่าเหมียวอี้กลับดันทุรังยอมรับแล้ว ยืนกล่าวเสียงต่ำเสียงสูงเป็นท่วงทำนองอยู่อย่างนั้น “ข้าน้อยไร้ความสามารถ แต่ตอนจับผู้ร้ายหลบหนีของตำหนักสวรรค์ก็เคยได้รับรางวัลอันดับหนึ่งจากฝ่าบาท นี่คือผลงานใหญ่ในสายตาข้าน้อย เพียงพอที่จะให้ภาคภูมิใจแล้ว! ขอบังอาจถามนายท่าน ในใต้หล้าจะมีสักกี่คนที่ได้รับเกียรติเช่นนี้? ส่วนเศษสวะที่อาศัยแต่ร่มเงาของรุ่นพ่อรุ่นแม่อะไรนั่น ในเมื่อทุกคนอยากจะใส่ความ อยากจะคิดโยงยังไงก็ทำไปเถอะ คำพูดไร้น้ำหนักของข้าน้อยไม่ถนัดจะอภิปรายแก้ตัวในราชสำนัก ถ้าใครรู้สึกว่าข้าน้อยพูดผิดไป ก็เลือกลูกหลานที่วรยุทธ์พอๆ กับข้าน้อยออกมาสิ คนมีเงื่อนไขระดับเดียวกันที่อยากจะสู้ตัวต่อตัวกับข้าน้อยก็ได้ หรือจะให้กำลังพลที่มีพลังใกล้เคียงกับข้าน้อยมาสู้กันสักยกก็ได้ ไม่ว่าจะสู้ตัวต่อตัว หรือว่านำกำลังพลลงสนามรบทำศึก ข้าน้อยก็มั่นใจว่าสามารถโจมตีเศษสวะพวกนี้ได้ ข้าน้อยแค่พูดเรื่องจริง ไม่จำเป็นต้องด่าหรอก!”

 

 

 


บทที่ 1714 พิสูจน์ได้ไหม

 

เขาพูดแบบนี้ไม่กลัวจะล่วงเกินคนอื่นเหรอ? ที่สำคัญคือเขาล่วงเกินคนกลุ่มหนึ่งไว้นานแล้วต่างหาก ต่อให้เขาอยากจะประจบด้วยความเกรงใจ แต่อีกฝ่ายก็ไม่มีทางเกรงใจตามเขาอยู่ดี ไม่สู้ใช้วิธีแข็งกร้าวผ่านด่านนี้ไปให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน ถ้าแม้แต่ชีวิตยังเอาไม่รอด แล้วจะยังพูดถึงในภายหลังอะไรได้อีก? ดังนั้นเขาจึงล่วงเกินได้อย่างสมเหตุสมผลแล้ว!


นี่ก็คือลักษณะการทำงานของเหมียวอี้ ถ้าเขาเป็นคนนิสัยห่วงหน้าพะวงหลังเกินไป ก่อนหน้านี้คงไม่ล่วงเกินคนมากมายขนาดนี้หรอก แน่นอน ทุกวันนี้เขาก็คงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้เช่นกัน!


เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ก็เรียกได้ว่าทำให้ทุกคนตกตะลึงจริงๆ


ประมุขชิงเอียงหน้า สายตาที่อยู่บนตัวเหมียวอี้ย้ายไปบนตัวซ่างกวนชิงที่อยู่ข้างกัน แล้วถ่ายทอดเสียงบอกว่า “เจ้าลูกลิงนี่ช่างไม่เกรงใจจริงๆ ไม่แปลกใจที่ก่อเรื่องไม่พัก เป็นคนเลอะเลือนคนหนึ่ง!”


ซ่างกวนชิงยิ้มแห้ง กวาดสายตามองปฏิกิริยาของคนในงาน


ทั้งงานเงียบงันเพราะความตกตะลึง คำพูดแบบเดียวกันนี้ เมื่อเข้าไปในหูของคนที่ต่างกัน ก็ย่อมให้รสชาติที่ต่างกัน


โพ่จวินฟังจนใช้สองมือวางยันขอบโต๊ะยาว คำพูดแข็งกร้าวเช่นนี้ถูกใจเขามาก ความจริงก็คือความจริง ไม่จำเป็นต้องเกรงใจกับพวกจิตใจซับซ้อนเหล่านี้


อู๋ฉวี่มองปฏิกิริยาของโพ่จวินแล้วแอบถอนหายใจ ไม่แปลกใจที่เจ้าเด็กนี่ได้รับความชื่นชมจากโพ่จวิน ความหยิ่งในศักดิ์ศรีเหมาะสมกับกองทัพองครักษ์จริงๆ มิน่าล่ะนำธงพยัคฆ์ครึ่งกองทัพไปตีทัพที่แข็งแกร่งของน่านฟ้าระกาติงได้


กลุ่มขุนนางในงานสีหน้าไม่ดีเท่าไร แต่อารมณ์ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก คนกลุ่มนี้นับว่าดูออกแล้ว ไม่แปลกใจที่ตอนเจ้าปัญญาอ่อนนี่กล้าลงมือกับขุนนางเต็มราชสำนักตอนอยู่ตลาดสวรรค์ ช่างเป็นความร้ายกาจที่ปัญญาอ่อน ไม่ว่าอะไรก็กล้าพูดออกมาหมด


กำเริบเสิบสาน! อวดดี! นี่ก็คือการประเมินในใจของกลุ่มขุนนาง สายตาที่มองเหมียวอี้ส่วนใหญ่เหยียดหยามและไม่เป็นมิตร นับว่าขี้คร้านจะถือสาเหมียวอี้ ปล่อยให้ฉีหลิงหวนเถียงกับเขาไปก็พอ สู้กับทหารต่ำต้อยคนเดียว ถ้าจะให้ขุนนางใหญ่ทั้งราชสำนักลงมือพร้อมกัน จะไม่กลายเป็นเรื่องน่าหัวเราะเยาะหรอกหรือ ที่สำคัญคือคำพูดลำพองใจในตัวเองของเหมียวอี้ทำให้ทุกคนหาเหตุผลมาเถียงกลับไม่ได้จริงๆ


แม้แต่ฉีหลิงหวนที่กำลังตำหนิติเตียนก็ถูกทำให้พูดไม่ออกนิดหน่อย ได้แต่ยืนอึ้งถลึงตาอยู่ที่เดิม ไม่เคยเห็นใครเป็นอย่างนี้มาก่อนเลย


ฉีหลิงอยากจะล่อให้เหมียวอี้ติดกับดัก แต่ใครจะคาดคิด เหมียวไม่ต้องรอให้เขาขุดกับดักลึกเลย เป็นฝ่ายกระโดดพุ่งเข้ามาใส่กับดักเองแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าจุดไฟช่วยเขาขยายขอบเขตการโจมตี เพราะเขาช่วยตัวเองให้เป็นแบบนั้นแล้ว ข้าจะล่วงเกินเสียตรงนี้เลย เจ้าจะทำอะไรข้าได้ล่ะ?


ฉีหลิงหวนคิดไปคิดมาแต่ก็หาประเด็นมาตำหนิเหมียวอี้ไม่ได้ ไม่ว่าจะเลือกลูกหลานจากตระกูลไหนที่มีเงื่อนไขระดับเดียวกันมาสู้แบบตัวต่อตัวหรือนำทัพสู้ศึก ก็เกรงว่าจะไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของหนิวโหย่วเต๋อจริงๆ ถึงแม้เจ้าเด็กนี่จะนิสัยไม่ดีเท่าไร ถึงขั้นน่าแค้นด้วยซ้ำ แต่กลับเป็นทหารกล้าผู้โด่งดัง ผลงานรบโดดเด่นสะดุดตา นึกถึงคนที่แม้แต่สี่อ๋องสวรรค์ยังเคยแย่ง แค่คิดดูก็รู้แล้ว


อิ๋งอู๋เชวียที่กำลังคุกเข่าอยากจะตะโกนเรียกลูกหลานตระกูลอิ๋งที่มีที่มีศักยภาพระดับเดียวกันมาตบหน้าหนิวโหย่วเต๋อสักที แต่ลูกชายเขาก็เป็นตัวอย่างให้เห็นแล้ว ไม่พอให้หนิวโหย่วเต๋อชายตาแลเลย ถ้าพูดถึงการนำทหารทำศึก บรรดาลูกหลานรุ่นนี้จะมีสักกี่คนที่เคยนำทหารทำศึกเลือด? ต่อให้เคยก็มียอดฝีมือคุ้มกัน คนที่มีเงื่อนไขระดับเดียวกันจะสู้กับหนิวโหย่วเต๋อที่นำทัพห้าหมื่นไปสู้กับทัพหนึ่งล้านได้อย่างไร? ข้าอ้าปากหลายครั้ง แต่ก็ต้องกลืนคำพูดกลับไปครั้งแล้วครั้งเล่า


นี่ก็คือประโยชน์ของการมีผลงานดี ในด้านนี้ ผลงานที่เหมียวอี้แสดงออกมาทำให้คนพูดไม่ออกจริงๆ


ลักษณะที่กล้าหาญชาญชัยทำให้เม่ยเหนียงและลูกสาวชำเลืองมองไม่หยุด เพียงแต่เม่ยเหนียงแอบมองปฏิกิริยาของกลุ่มขุนนางในราชสำนัก ในใจพึมพำว่า การที่หนิวโหย่วเต๋อพูดแบบนี้เหมาะสมแล้วเหรอ? อวดดีบ้าระห่ำเกินไปหรือเปล่า?


ราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เลิกคิ้ว มองเหยียดคนที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างล่าง พบว่าหนิวโหย่วเต๋อสมกับเป็นคนของตำหนักนารีสวรรค์ คำพูดที่กล่าวออกมาทำให้สะใจ นางแอบชมว่าพูดได้ดีมาก! พูดได้เผด็จการมาก! ไม่น่าเชื่อว่าจะข่มให้ขุนนางใหญ่แต่ละคนพูดไม่ออก เป็นหน้าเป็นตาให้ตำหนักนารีสวรรค์เกินไปแล้ว!


เดิมทีนางก็ไม่ถูกชะตากับพวกขุนนางใหญ่ในราชสำนักอยู่แล้ว ไม่มีใครดีสักคน รวมทั้งตระกูลเซี่ยโห้วด้วย


เมื่อใช้ประเด็นนี้หาเรื่องไม่สำเร็จ ฉีหลิงหวนก็หน้าบึ้งทันที ขณะกำลังจะเปลี่ยนประเด็นตำหนิ ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะชิงพูดกลั่นแกล้งก่อน “ทุกคนคงจะไม่ฟังแต่คำพูดที่ข้าน้อยด่าอิ๋งอู๋เชวีย แต่กลับไม่ฟังคำพูดที่อิ๋งอู๋เชวียด่าข้าน้อยหรอกใช่มั้ย?”


ฉีหลิงหวนกล่าวอย่างไม่ทุกข์ร้อน “ได้ยินแล้ว เขาบอกว่าเจ้าต่างหากที่เป็นเศษสวะ อยู่ที่ตลาดผีรับสมัครคนมาทำงานไม่ได้ รู้จักแต่ระบายอารมณ์ใส่ผู้หญิงของตัวเอง แต่ถ้าพูดตามหลักการของเจ้า ก็เหมือนจะไม่นับว่าด่านะ เขาอธิบายความจริงเหมือนกัน”


“ความจริงเหรอ? ช่างน่าขำ ข้าน้อยจะรับสมัครคนไม่ได้เชียวเหรอ?” เหมียวอี้แสยะยิ้ม ยักไหล่สองข้างให้กลุ่มคน จากนั้นสะบัดแขนเสื้อ “ถ้าข้าน้อยอยากจะรับคนจริงๆ แค่โบกมือก็ได้ทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งหนึ่งแสนแล้ว!”


เมื่อได้ยินประโยคนี้ ก็มีคนไม่ร้อยแอบพ่นเสียงทางจมูก ไม่มีใครเชื่อเขาเลย


เดิมทีฉีหลิงหวนก็อยากจะเพิ่มข้อหาให้เหมียวอี้หลายๆ ชั้นจนไม่รอดจากความตาย แต่เขาเพิ่งได้บทเรียนจากฝีปากอันร้ายกาจของเหมียวอี้ กลัวว่าถ้าเถียงกับเหมียวอี้ต่อไปจะเปลี่ยนรสชาติอีก เขาจึงไม่พัวพันกับเหมียวอี้อีกแล้ว โจมตีจุดสำคัญเสียเลย “เจ้าจะรับสมัครคนได้หรือไม่ก็เป็นเรื่องของเจ้า แต่ทำไมต้องวิพากษ์วิจารณ์เกินจริง พูดต่อหน้าทุกคนว่าสาเหตุที่รับสมัครคนไม่ได้ ก็เพราะมีขุนนางใหญ่เต็มราชสำนักคอยเป็นก้างขวางคอ? การใส่ร้ายขุนนางใหญ่เป็นโทษร้ายแรง ใส่ร้ายขุนนางใหญ่ในราชสำนักก็เท่ากับใส่ร้ายตำหนักสวรรค์ ผิดซ้ำผิดซ้อน เจ้ารู้ถึงความผิดหรือเปล่า?”


อิ๋งอู๋เชวียเงยหน้าจ้องเหมียวอี้ ในใจยิ้มเจ้าเล่ห์อีกครั้ง พูดในใจว่า คอยดูซิว่าครั้งนี้เจ้าจะทำอย่างไร?


ตอนนี้เม่ยเหนียงและลูกสาวเริ่มกังวลอย่างจริงจังแล้ว คนมากมายล้วนได้ยินคำพูดของเหมียวอี้ ถ้าโดนข้อหานี้จะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย


ราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เริ่มปวดใจ ถ้าโดนข้อหานี้ต่อให้อยากจะช่วยแต่ก็ช่วยไม่ได้แล้ว ทุกคนได้ยินหมดแล้ว


ประมุขชิงมองเหมียวอี้อย่างเย็นชา ไม่รู้ว่าเหมียวอี้พูดแบบนี้ออกมาเพราะมีหลักฐานอะไรหรือเปล่า ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ ก็ถึงคราวที่เขาจะลงมือแล้ว แต่เขานั่งมองปฏิกิริยาของกลุ่มขุนนางมาตลอด ถ้ามีคนที่ใจไม่บริสุทธิ์จริงๆ ตามหลักแล้วควรจะมีคนห้ามไม่ให้ฉีหลิงหวนดันประเด็นนี้ขึ้นมาสิถึงจะถูก ทำไมถึงไม่เห็นปฏิกิริยานี้ล่ะ?


เขายังมีอีกสิ่งหนึ่งที่สงสัย ระหว่างกลุ่มขุนนางด้วยกันย่อมมีธรรมเนียมและกฎในการอยู่ร่วมกันอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นก็จะเกิดความวุ่นวายระหว่างกัน พวกเขาตกลงกันแล้วว่าจะปล่อยหนิวโหย่วเต๋อไป ตามหลักแล้วไม่น่าจะแอบลอบกัดอีก แล้วอีกอย่าง คนที่มายืนอยู่ในราชสำนักได้จำเป็นต้องไปหยุดยั้งไม่ให้เหมียวอี้หาคนเข้าโถงชุมนุมอัจฉริยะเล็กๆ ด้วยเหรอ? ต่อให้ไม่ห้ามแต่คนก็น่าจะรู้ ว่าไม่มีใครอยากไปอยู่ในสถานที่อันไร้ความชัดเจนอย่างนั้นหรอก


เหมียวอี้นับว่าได้รับรู้ถึงความร้ายการของขุนนางในราชสำนักแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะกระโดดข้ามแผนของเขาไปได้ แต่ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว สำหรับเหมียวอี้จะกระโดดข้ามไปได้หรือไม่ก็ไม่มีความหมายสักเท่าไร ถ้าเขาไม่มีแม้แต่ความสามารถในการรับมือเหตุการณ์เฉพาะหน้า มีหรือที่จะกล้าเข้ามาเสี่ยงอันตรายในถ้ำเสือคนเดียว? จึงเลิกคิ้วถามทันที “ทุกประโยคเป็นความจริง จะมีความผิดได้อย่างไร?”


ฉีหลิงหวนแอบตกใจ อย่าบอกนะว่ามีคนแอบขัดขวางการรับสมัครจริงๆ แล้วโดนเจ้าเด็กนี่จับหลักฐานได้ เช่นนั้นเหตุใดจึงไม่มีคนแอบเตือนล่ะ จนกระทั่งตอนนี้ระฆังดารายังไม่สั่นเลย นี่มันเรื่องอะไรกัน?


ขุนนางใหญ่คนอื่นก็แอบกวาดสายตามองปฏิกิริยาของขุนนางคนอื่นเช่นกัน กำลังครุ่นคิดว่าเหมียวอี้ได้หลักฐานอะไรมาจริงหรือไม่


เดินมาถึงขั้นนี้แล้ว ฉีหลิงหวนเอวก็ทำให้ตัวเองหมดทางถอยแล้วเช่นกัน ทำได้เพียงถามกดดันตรงนั้นว่า “ในเมื่อบอกว่าทุกประโยคคือความจริง ไหนล่ะหลักฐาน?”


“ถ้าเจ้าดึงดันจะให้ข้าหาหลักฐานมาตอนนี้เลย ข้าก็หามาไม่ได้หรอก” เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบ


หามาไม่ได้เหรอ? มีขุนนางใหญ่จำนวนไม่น้อยมองหน้ากันเลิกลั่ก ปฏิกิริยานั้นราวกับว่าอุ้มสาวงามกลับมาถอดกระโปรงแล้วแต่กลับพบความจริงว่านางเป็นผู้ชาย พบว่าหนิวโหย่วเต๋อช่างรนหาที่ตายจริงๆ อาศัยแค่ข้อหาที่อาจจะไม่มีจริงก็คิดจะใส่ร้ายกลุ่มขุนนางใหญ่แล้วเหรอ? คงเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วจริงๆ


อิ๋งอู๋เชวียแทบจะหัวเราะออกมาแล้ว


ฉีหลิงหวนแอบจะหัวเราะเช่นกัน แต่กลับเปลี่ยนเป็นแสยะยิ้มแทน “หมายความว่าตอนนี้เจ้าไม่มีหลักฐานอะไรเลย แต่กลับบอกว่าขุนนางใหญ่เต็มราชสำนักขัดขวางไม่ให้เจ้ารับสมัครคนงั้นเหรอ?”


“ถ้าไม่ใช่เพราะมีคนขัดขวาง แล้วทำไมข้าน้อยจึงรับสมัครคนไม่ได้สักคน หรือว่าคนในใต้หล้านี้ตายกันไปหมดแล้ว?” เหมียวอี้ถาม


เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา คนที่เป็นห่วงเขาก็ได้เป็นห่วงเขาจริงๆ แล้ว จอมพลสายวอกลั่วหม่างขมวดคิ้วมุ่น ก่อนหน้านี้เขาเห็นเหมียวอี้ฝีปากคมกริบ ยังแอบชมว่าทำได้ดีอยู่เลย นึกไม่ถึงว่าชั่วพริบตาเดียวเหมียวอี้จะทำให้ตัวเองมาถึงทางตันเสียแล้ว ตอนนี้ต่อให้เขาอยากจะช่วย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มลงมือจากตรงไหน


ฉีหลิงหวน “หนิวโหย่วเต๋อ ไม่มีหลักฐานแต่เจ้ายังกล้าวิจารณ์เกินจริง เจ้าเห็นราชสำนักเป็นสนามเด็กเล่นเหรอ?”


“นายท่านอยากจะให้ข้าน้อยหาหลักฐานจริงเหรอ?” เหมียวอี้ถามกลับ


การพลิกโอกาสที่แสดงออกมาจากคำพูดนี้ได้ดึงดูดสายตาทุกคนอีกครั้ง


ฉีหลิงหวนอึ้งเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มเย้ยทันที “ไม่ใช่ว่าข้าอยากหรอก แต่เจ้าต้องหามาให้ได้ ข้าเองก็ทำไปเพราะหวังดีกับเจ้า ไม่อย่างนั้นเจ้าจะรับผิดชอบผลที่ตามมาไม่ไหว”


“หลักฐานโดยละเอียดนั้น ข้าน้อยหามาไม่ได้จริงๆ แต่ข้าน้อยกลับพิสูจน์ได้ว่าข้าน้อยไม่ได้พูดโกหก” เหมียวอี้ถาม


พูดถึงขั้นนี้แล้ว ฉีหลิงหวนก็รู้สึกได้รางๆ ถึงความไม่ชอบมาพากล ตัวเองจำเป็นต้องให้เขาพิสูจน์ตอนนี้เหรอ? แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว ตัวเองกดดันมาถึงขั้นนี้แล้ว จะไม่ถามได้เหรอ? เกรงว่าใครก็ไม่อาจห้ามไม่ให้เขาถามได้แล้ว รวมถึงตัวเขาด้วย จึงแข็งใจถามว่า “จะพิสูจน์ยังไง?”


เหมียวอี้ก้าวมาข้างหน้าสองก้าว ยืนตรงข้ามเขา แล้วกล่าวเสียงต่ำ “ในเมื่อโถงชุมนุมอัจฉริยะพิสูจน์ไม่ได้ เช่นนั้นก็ให้คนที่มีฐานะขุนนางในจวนแม่ทัพภาคตลาดผีมาพิสูจน์สิ ขอเพียงขุนนางใหญ่ทั้งราชสำนักไม่ขัดขวาง ถ้าภายในหนึ่งปีนี้ข้าน้อยดึงตัวกำลังพลจากทัพเหนือใต้ออกตกของสี่อ๋องสวรรค์มาได้หนึ่งแสน จะถือว่าพิสูจน์ได้มั้ย?”


“ฮ่าๆ!” ฉีหลิงหวนเงยหน้าหัวเราะลั่น ชี้เหมียวอี้พร้อมตะคอกว่า “ทั้งปากมีแต่คำพูดเหลวไหล ภายในหนึ่งปีนี้โถงชุมนุมอัจฉริยะของเจ้าจะรับคนได้หรือไม่ ก็สามารถพิสูจน์ได้แล้วเหรอว่ามีคนขัดขวางเจ้า เกี่ยวอะไรกัน? วิธีการพิสูจน์ของเจ้าอาจจะดันทุรังเกินไปหรือเปล่า?”


เหมียวอี้ก้าวเข้ามาข้างหน้าสองก้าว แล้วกล่าวเสียงต่ำ “ในเมื่อโถงชุมนุมอัจฉริยะไม่สามารถพิสูจน์ได้ เช่นนั้นก็เอาฐานะทางการของจวนแม่ทัพภาคตลาดผีมาพิสูจน์ ตราบใดที่ขุนนางใหญ่ทั้งราชสำนักไม่ขัดขวาง ถ้าข้าน้อยรับคนจากสี่ทัพเหนือใต้ออกตกของสี่อ๋องสวรรค์ได้หนึ่งแสนภายในหนึ่งปี จะพิสูจน์ได้มั้ยล่ะ?”


ในตำหนักเงียบกริบจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มตกพื้น ขุนนางทุกคนที่กำลังนั่งในนั้นล้วนกำลังใคร่ครวญวางแผน ตอนแรกบอกว่าแม้แต่นักพรตอิสระคนเดียวเหมียวอี้ก็หาไม่ได้ด้วยซ้ำ ถ้าต่อไปหนิวโหย่วเต๋อสามารถดึงตัวคนของสี่อ๋องสวรรค์มาสร้างทัพเกรียงไกรหนึ่งแสนได้ ภายใต้การเปรียบเทียบที่แตกต่างกันมากขนาดนี้ ถ้าหากเป็นจริงขึ้นมา ที่ก่อนหน้านี้บอกว่ามีคนขัดขวางการรับสมัครคนของหนิวโหย่วเต๋อ ก็ใช่ว่าจะฟังไม่ขึ้นเช่นกัน


แต่ไม่ว่ากลุ่มขุนนางจะคิดอย่างไรก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ ใครๆ ก็รู้ว่าไปที่ตลาดผีแล้วไม่มีอนาคต ยศและค่าจ้างก็ไม่สูงกว่าที่อื่น ทั้งยังถูกตึกศาลาสัตยพรตควบคุมเข้มงวด ตักตวงทรัพยากรไม่ได้สักเท่าไร ยามปกติแค่จะเกลี้ยกล่อมให้ใครไปก็ยังไม่สำเร็จเลย นอกเสียจากจะบีบบังคับให้ไป หรือไม่ก็มีประมุขชิงแอบเล่นตุกติกช่วยเหลืออย่างหนิวโหย่วเต๋อ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีใครอยากไปสถานที่นั้นหรอก ยังจะสร้างทัพเกรียงไกรหนึ่งแสนอะไรกัน? ทหารเก่งๆ ก็ยิ่งไม่ทิ้งอนาคตเพื่อไปอยู่สถานที่เส็งเคร็งอย่างนั้นอยู่แล้ว ต้องทราบไว้ว่าตำแหน่งสูงสุดของตลาดผีก็มีแค่แม่ทัพภาคตำแหน่งเดียว แล้วจะเป็นไปได้อย่างไร?


ในร่องตาที่กำลังหรี่มองของเซี่ยโห้วท่าฉายแวววูบไหวไม่หยุดนิ่ง หรือว่าหกลัทธิซ่อนทัพเกรียงไกรหนึ่งแสนเอาไว้ในสี่ทัพของอ๋องสวรรค์?

 

 

 


บทที่ 1715 เดิมพัน

 

เขารู้กำพืดของเหมียวอี้ดีกว่าใคร รู้สึกว่านอกจากคนพวกนี้แล้ว ก็ไม่มีใครไปที่ตลาดผีแน่ ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือคิดเหมือนกับขุนนางใหญ่คนอื่นๆ


ทว่าไม่นานเขาก็ปฏิเสธความคิดนี้ของตัวเองแล้ว ถ้ากำลังพลหนึ่งแสนของหกลัทธิกระจายซ่อนตัวอยู่ในสี่ทัพ ประโยชน์ที่จะเอาไว้ใช้งานในวันข้างหน้าก็เยอะมาก ถ้าตัดแบ่งออกมากลับจะไม่เป็นผลดีด้วยซ้ำ น่าจะไม่ถูก หรือว่ากำลังพลหกลัทธิที่ซ่อนตัวอยู่ในสี่ทัพจะเยอะจนน่าตกใจ หายไปสักหนึ่งแสนก็ไม่เป็นอะไร?


เมื่อมีความคิดนี้ผุดขึ้นมา แม้แต่เขาเองก็ยังตกใจ หกลัทธิแอบมีความเคลื่อนไหวในขอบเขตที่ใหญ่ขนาดนั้นแต่ตนกลับไม่รู้ สิ่งนี้อาจจะเป็นอันตรายต่อตระกูลเซี่ยโห้ว!


เซี่ยโห้วลิ่งที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างหลังทำสายตาฉงน แววตาที่วูบไหวไม่สงบนิ่งกวาดมองกลุ่มขุนนาง กำลังครุ่นคิดว่าหนิวโหย่วเต๋อพูดถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าคนของสี่ทัพขัดขวาง เกรงว่ากลับจะทำให้ข้อสงสัยที่ขัดขวางการรับสมัครคนของหนิวโหย่วเต๋อก่อนหน้านี้เป็นความจริง มาถึงขั้นนี้แล้ว เกรงว่าจะไม่ตอบตกลงก็คงไม่ได้


หารู้ไม่ว่านี่ก็คือกลยุทธ์เด็ดที่ได้มาจากหัวขาวที่ใช้ความคิดอย่างหนักของหยางชิ่ง ถ้าไม่มีความมั่นใจนี้ มีหรือที่จะกล้าให้เหมียวอี้มาเสี่ยงอันตรายที่นี่?


ซือหม่าเวิ่นเทียนมองเกาก้วนที่อยู่ข้างกายแวบหนึ่ง พบว่าเกาก้วนยังคงดื่มสุราอย่างเอื่อยเฉื่อยเหมือนเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง


โพ่จวินกับอู๋ฉวี่สบตากันโดยจิตใต้สำนึก


แม้แต่ประมุขชิงที่นั่งอยู่เบื้องสูงก็ระแวงสงสัยไม่หยุด ที่เจ้าลูกลิงพูดนี่จริงหรือเท็จกันแน่?


เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่นั่งอยู่ข้างกันใช้สมองตามไม่ค่อยทัน นางชำเลืองเอ๋อเหมยที่อยู่ข้างกาย แต่ก็ไม่ได้คำตอบ จึงมองไปที่สองพ่อลูกเซี่ยโห้วอีก แต่กลับไม่มีการบอกใบ้ใดๆ ตอบกลับมา


ฉีหลิงหวนก็ตระหนักได้เช่นกันว่าถ้าไม่ตอบตกลงก็เท่ากับพิสูจน์ว่าข้อสงสัยเป็นความจริง เพียงแต่เขาจะมีอำนาจตัดสินใจเสียที่ไหนกัน เบื้องบนที่ตำแหน่งสูงกว่ามีตั้งเยอะ บนราชสำนักเขาเป็นเพียงขุนนางต่ำต้อยคนหนึ่งที่คอยเป็นแนวหน้าโจมตีก็เท่านั้นเอง เขาจึงมองปฏิกิริยาของคนอื่นๆ ทางซ้ายและขวา


ทว่าคนอื่นก็ไม่สะดวกจะตัดสินใจตามใจชอบได้เช่นกัน เรื่องนี้ต้องการความเห็นที่เป็นเอกฉันท์ ยังต้องถามความเห็นของสี่อ๋องสวรรค์อีก มีคนไม่น้อยแอบปรึกษากันแล้ว


มีคนเริ่มแอบด่าแล้ว เป็นงานวันเกิดที่ดีงานหนึ่งแท้ๆ แต่เลอะเลือนจนกลายเป็นแบบนี้แล้ว นี่มันเรื่องอะไรกัน? พิสูจน์เหรอ? พิสูจน์อะไรล่ะ? พิสูจน์บ้าบออะไรล่ะ! ขุนนางใหญ่ทั้งราชสำนักจำเป็นต้องมาพัวพันกับแม่ทัพภาคตลาดผีต่ำต้อยคนเดียวด้วยเหรอ?


แต่ความจริงก็ได้ถูกคนของตระกูลอิ๋งผลักดันมาจนถึงขั้นนี้แล้ว ฟังดูเหลวไหลนิดหน่อย แต่จะไม่หาข้อยุติก็ไม่ได้


ทุกคนต่างก็รู้ ว่ามาถึงขั้นนนี้แล้ว ขอเพียงประมุขชิงออกคำสั่ง ละครวุ่นวายที่เหลวไหลในเข้าท่าในงานนี้ก็จะจบลงได้ ทุกคนจะไม่คัดค้านอะไร แต่ดูจากท่าทางประมุขชิงที่กำลังครุ่นคิด ก็ไม่รู้อีกว่าเจ้าตัวกำลังจะเล่นลูกไม้อะไร พูดมาถึงขั้นนี้แล้ว ขุนนางใหญ่ทั้งราชสำนักไม่สะดวกจะตัดสินใจปล่อยผ่านได้ตามอำเภอใจแล้วกินดื่มต่อไป ฝั่งนี้เพิ่งจะกลั่นแกล้งหนิวโหย่วเต๋อ ต้องการบีบให้หนิวโหย่วเต๋อชี้แจง ตอนนี้พวกเขาไม่มีอำนาจตัดสินใจว่าบทจะไม่เล่นก็ไม่เล่นเหมือนเห็นราชสำนักเป็นสนามเด็กเล่น ผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจว่าจะ ‘ไม่เล่นแล้ว’ ก็คือประมุขชิง


เหมียวอี้กลับไม่ได้ตั้งใจจะรอให้ประมุขชิงคิดทำความเข้าใจอย่างช้าๆ เขาหันตัวกลับมาหาอิ๋งอู๋เชวียที่กำลังคุกเข่า แล้วกุมหมัดคารวะต่อเบื้องบน “ฝ่าบาท นายท่านทั้งหลายต้องการจะให้ข้าน้อยพิสูจน์ให้ได้ เพื่อที่จะหลุดจากการโดนใส่ร้าย ข้าน้อยจำเป็นต้องใช้กลยุทธ์ชั้นต่ำนี้ ฝ่าบาทได้โปรดอนุญาต!”


“หึหึ!” ประมุขชิงหัวเราะกลบเกลื่อน ประมุขแห่งใต้หล้า พูดบางอย่างออกไปแล้วก็ต้องรับผิดชอบ ภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่ได้คิดให้รอบคอบชัดเจน เขาไม่อยากให้คำพูดสะเพร่าของตัวเองกลายเป็นที่หัวเราะเยาะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่คุ้มที่จะให้เรื่องเล็กน้อยแบบนี้มาส่งผลกระทบต่อหน้าตาศักดิ์ศรีของเขา เขาทำท่าเหมือนจัดการอย่างเป็นกลาง แล้วผลักเรื่องที่ไปที่กลุ่มขุนนางอย่างเป็นธรรมชาติมาก “หนิวโหย่วเต๋อต้องการให้ขุนนางใหญ่ทั้งราชสำนักเลิกขัดขวางการรับคนของเขา แบบนี้เหมือนแม่ทัพภาคตลาดผีกำลังเดิมพันกับขุนนางใหญ่ในราชสำนักเลยนะ!”


เขาเอียงหน้ามองเซี่ยโห้วท่า “ท่านปู่สวรรค์ งานวันเกิดของท่านเกิดสนามพนันแล้ว เพิ่มความบันเทิงให้งานวันเกิดท่านไม่น้อยเลยนะ!”


ตอนนี้เขาเองก็ตั้งใจจะเจือจางฉาก ‘ไม่เข้าท่า’ ที่เกิดขึ้นในงานวันเกิดกึ่งราชสำนักนี้เช่นกัน จึงกำหนดให้เป็นสนามพนันเพื่อความบันเทิงเสียเลย ในภายหลังถ้ามีข่าวแพร่ออกไปจะได้ไม่มีอะไรเสียหาย จะได้ไม่ทำให้คนหัวเราะเยาะ ถ้าถามว่าในใต้หล้ามีใครที่ห่วงศักดิ์ศรีหน้าตาที่สุด คำตอบก็คือประมุขชิงแล้ว


เซี่ยโห้วท่าย่อมสนับสนุนอยู่แล้ว เขาเอามือลูบเคราพลางหัวเราะเสียงดัง “ฝ่าบาทกล่าวถูกต้องที่สุด ข้าน้อยรู้สึกว่าน่าสนใจเช่นกัน”


เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็เอามือป้องปากหัวเราะอย่างดัดจริตเช่นกัน ทำท่าเหมือนสนใจมาก


สรุปก็คือพอทั้งสองเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยแบบนี้ ก็ทำให้บรรยากาศภายในตำหนักผ่อนคลายขึ้นไม่น้อย


ผ่านไปสักครู่ ประมุขชิงก็กวาดสายตามองกลุ่มคนเบื้องล่างอีกครั้ง “จัดตั้งสนามเดิมพันแล้วฝ่ายพวกเจ้ามีความคิดเห็นยังไง? จะเดิมพันหรือไม่เดิมพัน?”


ไม่ว่าบทสรุปของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร จะเกิดเรื่องน่าหัวเราะเยาะหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวกับเขาแล้ว เขาผลักเรื่องนี้ออกจากตัวเองได้อย่างสะอาดเรียบร้อย แค่คอยตัดสินตอนสุดท้ายเท่านั้น


ตำหนักเงียบไปครู่เดียว สุดท้ายอิ๋งอู๋หม่านที่นั่งอยู่ตำแหน่งท้ายสุดก็ติดต่อกับอ๋องสวรรค์อิ๋งแล้วยืนขึ้น เขากุมหมัดคารวะประมุขชิงก่อน จากนั้นก็บอกเหมียวอี้ “ถ้าเจ้าจะพิสูจน์ ก็จะให้เจ้าวางเงื่อนเขาคนเดียวตามใจตัวเองไม่ได้ ข้าเองก็มีเงื่อนไขเหมือนกัน เจ้าเต็มใจจะยอมรับหรือเปล่า?”


เหมียวอี้หันตัวมากุมหมัดคารวะ “ยินดีรับฟังความเห็นอันสูงส่งของท่านโหว!”


“อยากจะดึงตัวคนจากทัพตะวันออก ก็ต้องให้กำลังพลของทัพตะวันออกเต็มใจ ห้ามใช้วิธีการบังคับใดๆ” อิ๋งอู๋หม่านกล่าว


เหมียวอี้ตอบว่า “กำลังพลหนึ่งแสน ต่อให้ข้าน้อยอยากจะบีบบังคับทีละคน แต่ก็ทำไม่ไหวภายในหนึ่งปี ข้าน้อยยอมรับ”


อิ๋งอู๋หม่านบอกอีกว่า “ประการต่อมา ห้ามใช้เงินทองหลอกล่อ ถ้าเจ้าทุ่มทรัพยากรมหาศาลเพื่อหลอกล่อคนไป เช่นนั้นสิ่งที่เจ้าต้องการจะพิสูจน์ว่ามีคนขัดขวางก็จะกลายเป็นเรื่องน่าหัวเราะเยาะ”


เหมียวอี้ตอบว่า  “ทัพเกรียงไกรหนึ่งแสน ต่อให้เอาตัวข้าน้อยไปขาย แต่ข้าน้อยก็หาต้นทุนพวกนั้นมาล่อซื้อไม่ได้ ข้าน้อยจะปฏิบัติตามคำสั่ง”


อิ๋งอู๋หม่านพูดต่อไป “สุดท้าย ห้ามรับความช่วยเหลือใดๆ จากบุคคลระดับสูงของตำหนักสวรรค์ ถ้ามีคนแอบส่งกำลังกลสักกลุ่มไปให้ที่ตลาดผี แบบนั้นจะนับว่าเจ้าดึงตัวสำเร็จไม่ได้ ถ้าเจ้าตอบตกลงเงื่อนไขสามข้อนี้ ข้าเองก็ตกลงเดิมพันกับเจ้าสักตั้งเป็นการส่วนตัว”


ที่เขาบอกว่าตกลงเป็นการส่วนตัว ขอเพียงไม่โง่ก็จะรู้ว่าในเมื่อเขายืนขึ้นพูดแบบนี้แล้ว ก็แปลว่าได้รับอนุญาตจากอิ๋งจิ่วกวง สามารถแสดงท่าทีแทนทั้งทัพตะวันออกได้ ต่อไปขุนนางคนอื่นของทัพตะวันออกก็ยืมแสดงท่าทีตกลงเช่นกัน


ส่วนที่เขาบอกว่าห้ามรับความช่วยเหลือใดๆ จากบุคคลระดับสูงของตำหนักสวรรค์ ป้องกันใครก็ย่อมไม่ต้องพูดถึง คนอื่นจะเน้นความสำคัญหรือไม่ก็ไม่รู้ แต่มีอยู่คนหนึ่งที่เน้นความสำคัญแน่นอน…ประมุขชิงสีหน้าบึ้งตึงเล็กน้อย


ในเมื่อบังคับไม่ได้ เอาเงินล่อไม่ได้ ทั้งยังห้ามรับการช่วยเหลือจากบุคคลระดับสูงของตำหนักสวรรค์อีก ทุกคนล้วนเข้าใจแล้ว ว่านี่เป็นการสกัดความเป็นไปได่ไม่ให้หนิวโหย่วเต๋อเล่นตุกติก แต่หนิวโหย่วเต๋อก็ดันตอบตกลงแล้วด้วย ทำให้ทุกคนคิดไม่ตกจริงๆ ไม่เอาเปรียบเลยแม้แต่น้อย ทัพเกรียงไกรหนึ่งแสนจะอาศัยอะไรไปตลาดผีล่ะ? ไม่มีเหตุผลอะไรเลย!


“ถ้ามีคนช่วยเหลือ เกรงว่าข้าน้อยคงไม่ตกต่ำอย่างทุกวันนี้หรอก ย่อมตอบตกลงอยู่แล้ว!” เหมียวอี้กล่าว


อิ๋งอู๋หม่านไม่พูดอะไรแล้ว ทำความเคารพเบื้องบนอีกครั้ง จากนั้นก็นั่งลงด้วยสีหน้าเรียบเฉย ยากจะบรรยายความเดือดดาลในใจ เมื่อครู่นี้เขาถูกอิ๋งจิ่วกวงด่าสาดเสียเทเสีย ที่จริงตระกูลอิ๋งไม่อยากจะเดิมพันบ้าบออะไรกับเหมียวอี้อีกเลย เพราะเหมียวอี้ไม่ได้อยู่ในระดับที่สูงพอ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะผลงานของเจ้าโง่อิ๋งอู๋เชวียแท้ๆ บีบให้ตระกูลอิ๋งต้องลดศักดิ์ศรีลงมาทำเรื่องไร้สาระอย่างนี้ ทำให้ตระกูลอิ๋งเสียหน้าหมดแล้วจริงๆ


ตรงนี้เพิ่งจะนั่งลง ก่วงจวินอันก็ก้าวออกมาจากแถวหลังแล้วทำความเคารพประมุขชิง จากนั้นก็บอกเหมียวอี้ว่า “หนิวโหย่วเต๋อ ข้ากับท่านโหวอิ๋งมีความเห็นเหมือนกัน เงื่อนไขที่เจ้ารับปากกับท่านโหวอิ๋ง ถ้าสามารถรับปากกับข้าได้ ข้าก็จะเดิมพันกับเจ้าเช่นกัน”


ฮ่าวเจ๋อก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน โค่วเจิงลุกขึ้นยืนเป็นคนสุดท้าย ทั้งสองแสดงท่าทีเหมือนกัน


เหมียวอี้กุมหมัดคารวะทั้งสาม “ข้าน้อยตกลง!”


ตอนที่ก่วงจวินอัน ฮ่าวเจ๋อและโค่วเจิงเพิ่งนั่งลง จู่ๆ เซี่ยโห้วท่าเจ้าของวันเกิดก็กล่าวปนเสียงหัวเราะ “มีสนามเดิมพันเพิ่มความบันเทิงให้งานวันเกิดข้า ข้าย่อมดีใจมากอยู่แล้ว แต่ถ้าหนิวโหย่วเต๋อเดิมพันชนะ ข้าน้อยก็กำลังนึกถึงปัญหาอีกอย่าง ธรรมเนียมของจวนแม่ทัพภาคตลาดผีกำหนดให้มีกำลังพลประจำอยู่ที่ตลาดผีเพียงหนึ่งพันคนเท่านั้น ถ้าจะเบียดเข้ามาในตลาดผีรวดเดียวหนึ่งแสน ตลาดผีก็ไม่ได้ใหญ่พอที่จะรับคนไหว รับไม่ไหวเหมือนกันนะ!”


เมื่อทุกคนได้ฟังดังนั้น ก็เข้าใจทันที ทุกคนมัวไปสนใจเรื่องหนิวโหย่วเต๋อ แต่กลับมองข้ามปัญหาไปข้อหนึ่ง มองข้ามผลประโยชน์ของตระกูลเซี่ยโห้วไปแล้ว ถ้ามีทัพใหญ่หนึ่งแสนเข้ามาประจำการในตลาดผีภายในครั้งเดียว ก็มีความเป็นไปได้สูงมากว่าตึกศาลาสัตยพรตจะสูญเสียการควบคุมต่อตลาดผี ในจุดนี้เกรงว่าตระกูลเซี่ยโห้วจะยอมรับได้ยาก ส่วนที่บอกว่าจุรับไม่ไหวนั้นล้วนเป็นข้ออ้าง ตลาดผีใหญ่โตขนาดนั้น เบียดกันเข้ามาสักหนึ่งแสนคนก็ไม่มีปัญหา ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ให้อยู่บนพื้นดินก็ได้


ทุกคนมองข้ามไป แต่มีคนที่ไม่ได้มองข้าม มีหรือที่ผู้วางแผนนี้จะไม่คำนึงถึงปัญหาจัดที่อยู่ให้กำลังพลหนึ่งแสน หยางชิ่งมีแผนรับมือกับเรื่องนี้นานแล้ว บอกไว้ว่า : เพิ่มลายดอกไม้ลงบนผ้าดิ้น


“ฝ่าบาท ข้าน้อยมีวิธีการแก้ไขปัญหานี้” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะทันที


ประมุขชิงขานรับ “อื้ม” นับว่าอนุญาตให้เหมียวอี้พูดแล้ว แต่ถ้ามองจากบางมุม เขาค่อนข้างไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก ก็แค่แม่ทัพภาคต่ำต้อยคนเดียว ไม่น่าเชื่อว่าจะถ่อมาพูจาฉะฉานตามอำเภอใจถึงที่นี่ เห็นที่นี่เป็นอะไรไปแล้ว?


“ในเมื่อมีสนามเดิมพันแล้ว จะไม่มีสิ่งเดิมพันได้อย่างไร?” เหมียวอี้ถาม


อิ๋งอู๋หม่าน ก่วงจวินอัน ฮ่าวเจ๋อ โค่วเจิง ทั้งสี่สบตากันแวบหนึ่ง มีหรือที่ทั้งสี่จะไม่นึกถึงเรื่องสิ่งเดิมพัน? แต่พวกเขาไม่อยากเดิมพันกับเหมียวอี้เลย ถึงได้จงใจมองข้ามไม่เอ่ยถึงสิ่งเดิมพัน ถ้าเหมียวอี้ชนะแล้ว พวกเขาก็จะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ถ้าเหมียวอี้แพ้ก็ย่อมต้องเอาชีวิตเหมียวอี้ การพูดเรื่องสิ่งเดิมพันเป็นสิ่งที่สี่ตระกูลไม่มั่นใจ การที่เหมียวอี้กล้ารับปากก็สื่อความหมายว่ามีปัญหาบางอย่างแล้ว


“เจ้าอยากจะได้สิ่งเดิมพัน?” ประมุขชิงถามเสียงเรียบ


เหมียวอี้ตอบว่า “ถ้าข้าน้อยดึงคนมาสร้างทัพใหญ่หนึ่งแสนได้ ตามหลักการแล้วตลาดผีให้ประจำการได้เพียงหนึ่งพันคน คนที่เหลือสามารถส่งไปประจำตามจุดต่างๆ ทั้งแดนรัตติกาลได้ ทว่าจวนแม่ทัพภาคตลาดผีไม่ได้มีขอบเขตให้ควบคุมเท่าไรนัก ดังนั้นข้าน้อยขอรวบรวมความกล้าขอร้องฝ่าบาท ถ้าข้าน้อยเดิมพันชนะ ฝ่าบาทได้โปรดเลื่อนตำแหน่งข้าน้อยเป็นกรณีพิเศษ เลื่อนจากแม่ทัพภาคตลาดผีให้เป็นหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล คุมทั้งอาณาเขตแดนรัตติกาล ข้าน้อยยินดีดูแลอาณาเขตให้ฝ่าบาทด้วยความจงรักภักดี!”


เมื่อเขากล่าวเช่นนี้ ในตำหนักที่เงียบสงบมาตลอดก็เกิดเสียงฮือฮาขึ้นฉับพลัน ทุกที่พากันกระซิบกระซาบ พบว่าเจ้าหนุ่มนี้ช่างใจกล้าคับฟ้าจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าขอตำแหน่งขุนนางต่อหน้าฝ่าบาทและกลุ่มขุนนางอย่างเปิดเผย! นึกไม่ถึงว่าอยากจะกระโดดข้ามจากตำแหน่งแม่ทัพภาคตลาดผีเล็กๆ ไปเป็นหัวหน้าภาคที่คุมอาณาเขตเลย! อยากจะคุมทั้งเขตแดนรัตติกาล! ถ้าเจ้าเวรนี่มันทำสำเร็จจริง ถึงแม้จะบอกว่าตลาดผีมีตึกศาลาสัตยพรตควบคุม แต่เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าเวรนี่ก็จะมีอำนาจตัดสินใจทั้งแดนรัตติกาลแล้ว ต่อไปถ้าใครอยากจะไปล่าสัตว์ที่แดนรัตติกาลอีก ก็ต้องถามหนิวโหย่วเต๋อจะอนุญาตหรือไม่


สิ่งนี้มีความหมายต่อหนิวโหย่วเต๋อไม่ธรรมดา คนที่มีข้อมูลอยู่ในใจย่อมรู้ดี คนบางกลุ่มต้องการจะกดหนิวโหย่วเต๋อให้อยู่ที่ตลาดผีจนตาย แต่ตอนนี้กำลังจะกลายเป็นหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลแล้ว เช่นนั้นหนิวโหย่วเต๋อก็จะได้กระโดดออกจากร่องแคบแล้ว


เกาก้วนยกจอกสุราจ่อปากดื่มอย่างเนิบนาบ ในที่สุดสายตาก็จ้องบนตัวเหมียวอี้อย่างจริงจัง ในดวงตาฉายแววอัศจรรย์ใจแวบผ่านไปอย่างรวดเร็ว!


วันนั้น หยางชิ่งถามเหมียวอี้ว่า : ไม่ทราบว่าอุดมการณ์ของนายท่านเป็นอย่างไร?


เหมียวอี้ตอบว่า : ถ้ามีอุดมการณ์ต่อใต้หล้าแล้วยังไง?


ดังนั้นหยางชิ่งจึงฮึกเหิมจนกล่าวอย่างอาจหาญ : ก็ต้องดูว่านายท่านมีความกล้าที่จะไขว่คว้ามาหรือเปล่า!


ดังนั้นหยางชิ่งจึงวางแผนเด็ดให้ ไม่ใช่แค่ต้องการช่วยเหมียวอี้หากำลังพลที่แข็งแกร่งหนึ่งแสนเท่านั้น ขณะเดียวกันก็ต้องการจะช่วยเหมียวอี้ทะลวงฝ่าออกจากช่องแคบตลาดผีด้วย


ดังนั้นเมื่ออวิ๋นจือชิวรู้ข่าวแล้วจึงอุทานอย่างตกตะลึง : นายท่านได้หยางชิ่งคนเดียวก็เท่ากับได้กองทัพเกรียงไกรนับล้าน!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)