กระบี่จงมา 170.3-171.2

 บทที่ 170.3 ปรมาจารย์ใหญ่ที่ดื่มสุรารสเลิศ

โดย

ProjectZyphon

นักเล่านิทานได้ยินมาถึงตรงนี้ ในที่สุดก็เปิดปากพูดยิ้มๆ “ครั้งนี้ถือว่าไม่ตีกันก็ไม่รู้จักกัน หลี่ไหวมีบิดาที่มีเหตุผลอย่างเจ้า อีกทั้งการที่หลี่ไหวได้มาเรียนที่เมืองหลวงต้าสุยล้วนเป็นความโชคดีของต้าสุยเรา เป็นเรื่องดี”


หลี่เอ้อร์งึมๆ งำๆ ด้วยความหงุดหงิด “ข้าพูดจาเกรงใจใครไม่เป็น เอาเป็นว่าวันนี้ข้าจะรออยู่ที่นี่ รอจนคนของตระกูลเหล่านั้นออกมาสู้กันสักรอบ ฝ่าบาท ขอแจ้งไว้ก่อนว่า ข้าต้องรีบกลับสำนักศึกษา อย่าให้คนพวกนั้นจงใจถ่วงเวลาข้า ไม่อย่างนั้นเมื่อถึงเวลาก็อย่ามาโทษหากข้าจะไปเยือนพวกเขาทีละบ้าน”


ฮ่องเต้ต้าสุยหันไปขยิบตาให้เหมาเสี่ยวตง จากนั้นจึงลุกขึ้นยืน “กว่าเหรินจะให้คนไปแจ้งเดี๋ยวนี้”


เหมาเสี่ยวตงเดินตามไปด้านหลัง ออกมาจากตำหนักจรุงจิต ทิ้งหลี่เอ้อร์กับนักเล่านิทานไว้ด้วยกัน


ฮ่องเต้ต้าสุยรู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย ขณะที่เดินเคียงไหล่ไปกับผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่บ่นระเบียงก็กล่าวไปด้วยว่า “เหมาเหล่ามีอะไรจะแนะนำข้าหรือไม่?”


เหมาเสี่ยวตงตอบหน้ายิ้ม “ง่ายมาก ให้คนจากตระกูลทั้งหลายที่เป็นพวกต้นเรื่อง ไม่ว่าจะสู้เป็นหรือไม่เป็น…เอาเถอะ อันที่จริงเมื่ออยู่ต่อหน้าหลี่เอ้อร์ก็ไม่มีใครสู้เป็นสักคนเดียว ให้พวกเขาทุกคนเข้าวังมาพร้อมกันแล้วยืนนิ่งๆ ก้มหน้ายอมรับผิดต่อหน้าหลี่เอ้อร์ พยายามทำท่าให้น่าสงสารประมาณว่าต่อให้ถูกตีก็ไม่โต้คืน เรื่องนี้ก็จะจบกันไป ฝ่าบาททรงวางพระทัยได้เลย ด้วยนิสัยเรียบง่ายซื่อตรงของหลี่เอ้อร์ย่อมไม่มีทางลงมือแน่นอน”


ฮ่องเต้ต้าสุยหยุดเดิน อับอายจนพานเป็นโกรธ “เหมาเหล่า เจ้าบอกมาตามตรง วันนี้เจ้ากำลังรอดูกว่าเหรินขายหน้าอยู่ใช่หรือไม่?”


เหมาเสี่ยวตงส่ายหน้าหัวเราะร่า “บอกตามตรง ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหลี่ไหวมีบิดาอย่างเขา หากรู้แต่แรกข้าคงเข้าวังมาเข้าเฝ้าฝ่าบาทนานแล้ว ไหนเลยจะปล่อยให้เกิดเรื่องวุ่นวายขนาดนี้ เรื่องในวันนี้ฝ่าบาทย่อมต้องคิดพะวงติดอยู่ในพระทัย ไม่แน่ว่าในอนาคตวันใดอาจพานโกรธไปถึงสำนักศึกษา แบบนั้นคงได้ไม่คุ้มเสีย”


ฮ่องเต้ต้าสุยโกรธจนกลายเป็นขำ “พานโกรธกะผีน่ะสิ กว่าเหรินหรือจะกล้า?”


เหมาเสี่ยวตงพลันหุบรอยยิ้มสนุกสนาน เอ่ยเตือนเสียงเบา “ฝ่าบาท เหมือนดั่งที่ผู้อาวุโสของฝ่าบาทกล่าวไว้ เหตุการณ์ในวันนี้แม้จะเป็นเรื่องไม่ดีที่ทำลายศักดิ์ศรีหน้าตา แต่หากมองไกลไปถึงอนาคตวันข้างหน้า นี่เป็นเรื่องดีอย่างแน่นอน!”


ฮ่องเต้ต้าสุยยิ้ม “กว่าเหรินไม่ได้เลอะเลือนขนาดนั้น!”


ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่เอ่ยเย้า “หากฝ่าบาททรงเลอะเลือนจริงๆ ข้าหรือจะกล้าพาพวกนักเรียนมาอยู่ที่ต้าสุย”


ฮ่องเต้ต้าสุยกวักมือเรียกขันทีมาสั่งความ แล้วถามว่า “ครั้งนี้หลี่เอ้อร์ยอมเลิกราง่ายๆ เป็นเพราะแผนการอันแยบยลของเหมาเหล่า ส่วนอาจารย์สองท่านนั้นของหลี่ไหวก็มีคุณความชอบใหญ่หลวง กว่าเหรินไม่พูดตามมารยาทกับเหมาเหล่าแล้ว ต้องให้กว่าเหรินสั่งให้กรมพิธีการตบรางวัลอาจารย์สองคนนั้นหรือไม่?”


เหมาเสี่ยวตงปฏิเสธสีหน้าเคร่งขรึม “ไม่ต้อง!”


ฮ่องเต้ต้าสุยสงสัย “ทำไมล่ะ?”


เหมาเสี่ยวตงกล่าวเสียงหนัก “ฝ่าบาทต้องรู้เรื่องหนึ่ง นี่ก็คือหลักการที่แท้จริงของสำนักศึกษาซานหยาเรา จำเป็นหรือที่ต้องให้ต้าสุยมอบของรางวัล? สิบปีร้อยปีข้างหน้า สำนักศึกษาซานหยาของเราก็ยังจะสืบทอดความรู้ สั่งสอนผู้คนเช่นนี้เพื่อปลูกฝังอบรม ปกป้องเมล็ดพันธ์ปัญญาชนที่แท้จริงให้กับต้าสุย”


ใจของฮ่องเต้ต้าสุยสั่นสะท้าน ราวกับว่าเพิ่งได้รู้จักผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ตรงหน้าเป็นครั้งแรก


นิสัยหวาดระแวงเล็กๆ ของคนเป็นจักรพรรดิที่หลงเหลืออยู่ในใจ ในที่สุดก็สลายเกลี้ยง


ฮ่องเต้ต้าสุยถอยหลังไปหนึ่งก้าว กุมมือคารวะเป็นครั้งที่สองของวัน “เราขอขอบคุณสำนักศึกษาซานหยาแทนแผ่นดินต้าสุยไว้ ณ ที่นี้ก่อนเลย!”


ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ไม่ได้เบี่ยงหลบการคารวะ แม้มองดูคล้ายจะล้ำเส้นฐานะของตัวเองไปมาก ทว่าเขากลับรับพิธีคารวะที่ยิ่งใหญ่จากกษัตริย์พระองค์หนึ่งเอาไว้ กล่าวด้วยสีหน้าเป็นการเป็นงาน “เหมาเสี่ยวตงน้อมรับไว้แทนสำนักศึกษาซานหยาอย่างเปิดเผย”


……


ตอนที่หลี่เอ้อร์ออกมาจากวังหลวง เขาเดินอยู่กลางระเบียงผนังที่เชื้อพระวงศ์ใช้กับเหมาเสี่ยวตงด้วยความรู้สึกเหมือนว่าถูกผู้เฒ่าข้างกายตลบหลัง จึงอารมณ์บูดไม่น้อย


เหมาเสี่ยวตงเอ่ยยิ้มๆ “ยอมรับผิดก็พอแล้ว เจ้ายังคิดจะต่อยให้พวกเขาต้องถูกหามออกมาจากวังหลวงจริงๆ หรือไง วันหน้าลูกชายเจ้ายังต้องเรียนหนังสืออยู่ที่สำนักศึกษาอีกนาน เงยหน้าไม่เห็นก้มหน้าก็ต้องเห็น ตอนนี้ให้พวกเขาเป็นฝ่ายยอมรับผิดด้วยตัวเอง บวกกับฮ่องเต้ต้าสุยอีกคนที่คิดว่าตัวเองติดค้างน้ำใจของเจ้าหลี่เอ้อร์ครั้งใหญ่เทียมฟ้า ไม่ใช่ว่าดีมากหรอกหรือ?”


หลี่เอ้อร์ถอนหายใจ “แค่คิดว่าพวกนี้คงความจำไม่ดีนัก แถมข้ายังไม่อาจอยู่ในสำนักศึกษาตลอดไป วันหน้าหวังว่าท่านเหมาเหล่าจะให้การดูแลพวกหลี่ไหวมากๆ”


เหมาเสี่ยวตงพยักหน้ารับ “สมควรต้องทำอยู่แล้ว อีกอย่างไม่ใช่ว่ายังมีบุรพาจารย์สกุลเกาของมณฑลอี้หยางผู้นั้นอยู่อีกคนไม่ใช่หรือ?”


ผู้เฒ่าหลังค่อมคนหนึ่งปรากฏกายอยู่ในระเบียงกำแพง ผงกศีรษะคลี่ยิ้ม “ใช่แล้ว หลี่เอ้อร์ครั้งนี้เจ้ายอมถอยหนึ่งครั้ง ต้าสุยย่อมยินดีมอบความจริงใจให้เจ้าเป็นสองเท่าตัว”


หลี่เอ้อร์พยักหน้า “หวังว่าจะเป็นเช่นนี้”


เหมาเสี่ยวตงถามยิ้มๆ “หลี่เอ้อร์ เจ้าที่อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูเป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าแล้ว เหตุใดถึงยังใช้ชีวิตอัตคัดขัดสนขนาดนั้น? ตอนนี้เป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบแล้ว อยู่ในสามอันดับแรกของมรรคาแห่งการต่อสู้ในบุรพแจกันสมบัติทวีป อีกทั้งพลังการต่อสู้ต้องนำหน้าซ่งจ่างจิ้งอย่างแน่นอน เจ้าไม่คิดจะบอกคนในครอบครัวบ้างหรือ อย่างน้อยก็ให้พวกเขาได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น”


หลี่เอ้อร์ส่ายหน้า “ให้ภรรยาข้าได้สวมเสื้อผ้าสวยๆ สวมกำไลทองปักปิ่นเงิน ให้หลี่หลิ่วมีเครื่องประทินโฉมกองใหญ่ ให้หลี่ไหวได้กินเนื้อปลาเนื้อหมูทุกวันจะดีต่อพวกเขาจริงๆ หรือ? ข้าไม่คิดอย่างนั้น”


เหมาเสี่ยวตงพูดยุแหย่ “แล้วถ้าภรรยากับบุตรชายบุตรสาวเจ้ารู้สึกว่าดีเล่า?”


หลี่เอ้อร์ยังคงส่ายหน้า “มีคนไม่อนุญาตให้ข้าทำเช่นนั้น นี่คือข้อหนึ่ง ส่วนข้อสองคือตัวข้าเองก็คิดแบบนี้เหมือนกัน ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในเมืองเล็ก เอาแค่ญาติพี่น้องทางฝั่งบ้านเดิมภรรยาข้าที่ทำเรื่องชั่วร้ายมาเกือบครบหมดทุกอย่าง ถึงเวลาข้าจะทำอย่างไร? ต่อยพวกเขาให้ตาย? อธิบายเหตุผลกับพวกเขา? เขาจะฟังหรือ? ไม่ใช่ว่าต่อหน้าอย่างลับหลังอีกอย่างหรอกหรือ สุดท้ายก็มีแต่ภรรยาข้าที่ต้องเสียใจที่สุด ครอบครัวตัวเองตั้งตัวเป็นศัตรูกับคนบ้านเดิม แน่นอนว่าเมื่ออยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู ต่อให้สภาพครอบครัวจะดีก็ไม่ดีไปได้สักเท่าไหร่”


เมื่อเก็บพลังอำนาจที่น่ากริ่งเกรงทั้งหมดลงไป หลี่เอ้อร์สู้ผู้ชายธรรมดาสักคนหนึ่งไม่ได้เลยด้วยซ้ำ บุคลิกไม่มั่นใจ ทว่าสีหน้าเวลาพูดจากลับไม่เหมือนคนไม่เอาถ่านในเมืองเล็กที่จะทำอะไรก็มีแต่ความกระดากอายอีกแล้ว “แม้ว่าจะอยู่ในสถานที่ที่ใหญ่แค่ก้นมาตลอดเวลา แต่ข้าก็ยังพอจะเข้าใจหลักการง่ายๆ แค่นี้ ครอบครัวหนึ่งใช้ชีวิตกันอย่างมั่นคงสงบสุข ไม่มีใครต้องหิวโหย ลูกเมียอยากกินเนื้อก็ได้กินเนื้อ เปรี้ยวปากเมื่อไหร่ข้าก็ได้ดื่มเหล้า แค่นี้ก็ดียิ่งกว่าอะไร”


หลี่เอ้อร์มองไปยังทัศนียภาพของเมืองหลวงที่อยู่นอกกำแพงระเบียง ประโยคหนึ่งที่เขาเก็บไว้ในใจ ไม่ได้พูดมันออกมา


ต่อให้ข้าจะเป็นคนไร้ประโยชน์จริงๆ แต่ตอนนี้ในใจของบุตรชาย ข้าหลี่เอ้อร์คือบิดาคนหนึ่งที่ใช้ได้ ไม่ทำให้เขาต้องอับอายขายหน้า พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าหลังจากข้าหลี่เอ้อร์รู้เรื่องนี้แล้ว ข้ามีความสุขมากแค่ไหน?


พอหลี่เอ้อร์คิดมาถึงตรงนี้ก็เอ่ยลา ขยับร่างวูบเดียวก็หายตัวไป รีบร้อนกลับไปยังสำนักศึกษาบนภูเขาตงหัว


นอกจากคิดถึงพวกนางสามแม่ลูกแล้ว อีกอย่างก็คือเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวกับบุตรชาย ตอนนี้เขาหลี่เอ้อร์สามารถลงมือได้แล้ว


……


เหมาเสี่ยวตงถอนหายใจ “หลี่เอ้อร์นับว่าใช้ชีวิตได้อย่างชาญฉลาด คนฉลาดหลายคนล้วนสู้เขาไม่ได้”


นักเล่านิทานยิ้ม “ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบก่อนอายุครบหกสิบปี จะเป็นคนโง่จริงๆ ได้อย่างไร?”


ทว่าต่อมาผู้เฒ่าหลังค่อมกลับทอดถอนใจ “แต่ว่าดูจากตอนนี้ ยังคงเป็นซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าแคว้นต้าหลีที่มีพลังการต่อสู้อ่อนด้อยที่สุดในบรรดาคนทั้งสามที่มีหวังมากที่สุดว่าจะเลื่อนไปสู่ขอบเขตนั้นได้ ซึ่งไม่ได้ง่ายดายเพียงแค่เพราะซ่งจ่างจิ้งอายุน้อยที่สุด”


เหมาเสี่ยวตงพยักหน้าเห็นด้วย “จิตใจแห่งการฝึกวิถีวรยุทธ์ของซ่งจ่างจิ้งยอดเยี่ยมมาก น่ากลัวยิ่งกว่าอายุน้อยๆ ของเขาเสียอีก”


ผู้เฒ่าหลังค่อมถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าจะพูดถึงตอนที่คนผู้นั้นปรากฎกายในวังหลวงของต้าหลีด้วยท่าทีที่พร้อมบดขยี้ทุกสิ่งให้พินาศ แต่ซ่งจ่างจิ้งกลับกล้าที่จะสู้ไม่ถอยไม่กลัวตายกระมัง?”


เหมาเสี่ยวตงถามกลับยิ้มๆ “เจ้าคงกำลังคิดกระมังว่าหอป๋ายอวี้ของต้าหลีเป็นของจริงหรือของปลอมกันแน่?”


จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ทั้งสองที่มีประสบการณ์โชกโชนลูกเล่นแพรวพราวเดินเคียงบ่ากันไป ต่างคนต่างทอดสายตามองไปที่อื่น


……


ตอนที่หลี่เอ้อร์กลับมาถึงที่พัก พวกเขาแม่ลูกกำลังกินข้าว หลินโส่วอีเอาอาหารกล่องใหญ่สองกล่องออกมาวางเต็มโต๊ะ สตรีแต่งงานแล้วกับหลี่ไหวนั่งบนม้านั่งยาวตัวเดียวกัน หลี่หลิ่วกับหลินโส่วอีนั่งตรงข้ามกัน ยังเหลือม้านั่งอีกหนึ่งตัวที่เว้นว่างไว้ให้ชายฉกรรจ์ที่ยังไม่กลับมาเสียที


หลี่เอ้อร์ที่สองมือว่างเปล่าเดินมาถึงหน้าประตูแล้วเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมซื้อของ เพราะหลินโส่วอีอยู่ด้วย สตรีแต่งงานแล้วจึงได้แต่ทิ้งสายตาบอกให้รู้ว่าเดี๋ยวค่อยคิดบัญชีกับเจ้า หลี่เอ้อร์ถูมือนั่งลงแล้วพบว่ามีเหล้าหนึ่งไห จึงมองหลินโส่วอีแล้วเอ่ยถาม “ดื่มด้วยกันหน่อยไหม?”


หลินโส่วอีสองจิตสองใจอยู่ชั่วขณะก่อนพยักหน้ารับ “ข้าดื่มเหล้าไม่เก่ง จะดื่มเป็นเพื่อนกับท่านอาหลี่สักเล็กน้อยแล้วกัน”


หลี่เอ้อร์ยิ้มกว้าง “ดื่มเหล้าไม่เก่ง จะได้อย่างไร”


สตรีแต่งงานแล้วพูดเสียงสะบัด “ทำไมจะไม่ได้? ในบ้านมีผีขี้เหล้าอยู่คนหนึ่งยังไม่พองั้นรึ?”


หลินโส่วอีเป็นคนฉลาดถึงปานนั้น พลันขยับข้อมือจนเกือบทำให้ถ้วยสีขาวใบใหญ่ที่เตรียมจะส่งไปรับเหล้าหล่นลงบนโต๊ะ เด็กหนุ่มเย็นชาที่เวลาปกติไม่ค่อยชอบพูด ตอนนี้กลับยิ้มกว้างจนหุบปากไม่ลง


หลี่เอ้อร์เองก็ถูกภรรยาทำให้ตกใจจนตัวสั่น เกือบจะทำไหเหล้าหลุดมือ


หลี่ไหวกัดน่องไก่มันเยิ้มเต็มคำ พูดงึมงำฟังไม่ชัด “ท่านพ่อ พรุ่งนี้ข้าจะไปหาซื้อเหล้าดีๆ ให้ท่านที่ตีนเขา เดี๋ยวข้ายืมเงินจากหลินโส่วอี แล้วหลังจากนี้ค่อยให้เฉินผิงอันช่วยใช้คืนแทนข้า ท่านแค่ดื่มให้สบายใจก็พอ”


หลี่เอ้อร์คลี่ยิ้มกว้าง แล้วถอนหายใจหนักๆ หนึ่งที ราวกับว่าได้รับพระราชโองการประทานเมตตาจากบุตรชาย เมื่อดื่มเหล้าตามพระราชโองการ แม้ดื่มต่อหน้าภรรยาก็ไม่ต้องหวาดหวั่นอีกต่อไป


เมื่อหันมาหาบุตรชาย สตรีแต่งงานแล้วกลับพูดจายิ้มแย้มชื่นบาน “เหล้านั้นซื้อได้ แต่ซื้อที่ถูกที่สุดก็พอแล้ว ให้บิดาเจ้าดื่มเหล้าดีๆ ออกจะสิ้นเปลืองเกินไป”


หลี่เอ้อร์รินเหล้าให้หลินโส่วอีเกินครึ่งถ้วย แล้วค่อยรินให้ตัวเองหนึ่งถ้วย ผงกศีรษะด้วยรอยยิ้มที่ยังค้างอยู่บนใบหน้า “ใช่ๆ เอาแค่ถูกๆ ก็พอ ไม่ต้องเป็นเหล้าดี”


หลี่ไหวกลอกตามองสูง “ท่านแม่ ท่านช่างบงการ เอาแต่ใจตัวเองขนาดนี้ ไม่กลัวบ้างหรือว่าวันใดท่านพ่อจะหนีไปกับนางจิ้งจอกน้อยเข้าจริงๆ?”


สตรีแต่งงานแล้วเลิกคิ้วใส่ชายฉกรรจ์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม สายตาแฝงแววสังหาร “เขากล้ารึ? อีกอย่างก็ต้องมีคนเอาถึงจะได้ ถูกไหม?”


ชายฉกรรจ์รีบดื่มเหล้าอึกใหญ่แล้วพยักหน้า “ใช่ๆๆ ไม่มีใครเอา”


สตรีแต่งงานแล้วตบโต๊ะ “ไม่มีคนเอาเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ในใจเจ้ามีความคิดชั่วร้ายอยู่หรือเปล่าก็อีกเรื่อง บอกมา! มีหรือไม่มี?!”


ชายฉกรรจ์รีบวางถ้วยขาวใบใหญ่ ยืดเอวตั้งตรง พูดรับรอง “ไม่มีแน่นอน!”


จากนั้นสตรีแต่งงานแล้วก็ปรายตามองไปยังหลินโส่วอีที่นั่งดื่มเหล้าอย่างสำรวม ก่อนจะหันไปพูดกับบุตรสาวของตนด้วยรอยยิ้ม “หลิ่วเอ๋อร์ วันหน้าต้องหาคนซื่อสัตย์มาแต่งงานด้วย รู้หรือไม่ จะได้ไม่ต้องถูกรังแก”


เด็กสาวพยักหน้ารับน้อยๆ ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้นางทำเพียงแค่ส่งยิ้ม แต่ยังเอื้อมตัวคีบเนื้อปลาชิ้นหนึ่งที่เลาะก้างออกแล้ววางไว้ในจานของหลี่ไหว


หลินโส่วอีได้แต่แอบเหลือบมองเด็กสาวด้วยหางตา เพิ่งจะดื่มเหล้าไปจิบเล็กๆ ก็ตาฉ่ำเหมือนคนเคลิบเคลิ้มเมามาย


คล้ายกำลังมองภาพภูเขาและแม่น้ำที่งดงามที่สุดในโลก


……


วันที่สอง หลี่ไหวแอบไปซื้อเหล้าดีมาไหบิดาของเขาหนึ่งกา ลากบิดาไปที่ริมทะเลสาบ นั่งยองอยู่ข้างๆ มองเขาดื่มเหล้าพลางเอ่ยกำชับเสียงเบา “เหล้ากานี้แพง ท่านพ่อเอามาดื่มก่อน ส่วนกาที่ถูกเอาไปวางไว้ในห้องแล้ว ถึงเวลากินข้าวค่อยดี ท่านแม่จะได้ไม่ตำหนิท่าน”


หลี่เอ้อร์พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม กระดกดื่มอย่างเต็มคราบ


ชายฉกรรจ์รู้สึกว่านี่ทำให้เขาดีใจยิ่งกว่าได้เลื่อนเป็นขอบเขตที่สิบมากนัก


ชายฉกรรจ์ถามซื่อๆ “คงจะแพงมากสินะ?”


เด็กชายใช้สองมือเท้าคางมองบิดาของตัวเอง ยิ้มกว้างสดใส ตอบไม่ตรงคำถาม “ท่านพ่อ ท่านวางใจเถอะ ข้าอยู่ในสำนักศึกษาก็มีความสุขดี จริงๆ นะ พวกท่านมาเยี่ยมข้า ข้าดีใจมากเลย”


ชายฉกรรจ์พยักหน้ารับ ได้แต่ก้มหน้าดื่มเหล้าเพราะเกรงว่าน้ำตาจะไหลออกมา


เขาเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานรีบร้อนกลับมา ดูเหมือนว่าจะลืมไปเจอกับไช่จิงเสินอีกคนหนึ่ง รอดื่มเหล้าเสร็จแล้ว คราวนี้เขาจะไม่พูดหลักการเหตุผลอะไรแล้ว อัดสักรอบก่อนค่อยว่ากัน


 —–


บทที่ 171.1 เด็กสาวผู้อ่อนโยนบอบบาง

โดย

ProjectZyphon

เหมาเสี่ยวตงปรากฏตัวในลานเล็กที่เงียบสงบ เห็นเด็กหนุ่มชุดขาวที่กำลังคลอเพลงในลำคอ นั่งขัดสมาธิอยู่บนม้านั่งหิน ด้านหน้าคือกระดานหมากล้อม กางสองมือวางไว้บนริมขอบด้านบนของกล่องเก็บเม็ดหมากสีขาวและสีดำ ตกอยู่ในภวังค์ของการครุ่นคิด ขณะเดียวกันนิ้วมือก็เคาะลงบนตัวหมากเบาๆ จนเกิดเสียงกังวานใสดังซ้ำไปซ้ำมา


พอผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ปรากฏตัว ชุยตงซานก็ถามเบาๆ ว่า “เป็นอย่างไร? นายท่านใหญ่หลี่เอ้อร์รื้อวังหลวงจนเละไปหรือยัง?”


เหมาเสี่ยวตงเดินมาหยุดอยู่ข้างโต๊ะหิน ปรายตามองสถานการณ์บนกระดานที่ผลแพ้ชนะค่อนข้างชัดเจนซึ่งความต่างไม่ได้มีมากนัก เขาจึงไม่เสียเวลามองอีกต่อไป ทรุดตัวนั่งลงด้านข้าง “เจ้า หรือจะพูดว่าพวกเจ้าสองคน มีแผนการอะไรกันแน่?”


ชุยตงซานจุ๊ปากพูด ไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมามอง “เพิ่งจะมาถึงภูเขาตงหัวได้ไม่กี่วันก็เริ่มเป็นกังวลเพื่อแผ่นดินของต้าสุยแล้วหรือ? เสี่ยวตงเอ๋ย ข้าไม่ได้ตำหนิเจ้าหรอกนะ จิตใจโลเลไม่มั่นคงก็ไม่เท่าไหร่ แต่ได้ใหม่แล้วลืมเก่าเร็วขนาดนี้ดูไม่มีคุณธรรมเท่าไหร่เลยนะ”


เหมาเสี่ยวตงตบโต๊ะหินหนึ่งครั้ง


เม็ดหมากทั้งหมดกระดอนขึ้นจากกระดาน ลอยค้างกลางอากาศ ดำสูงขาวต่ำคล้ายภาพวาดสองภาพที่พับมาบรรจบกัน แต่ไม่ว่าเหมาเสี่ยวตงจะมองแนวตรงหรือตะแคงมอง ไม่ว่าจะพินิจพิจารณาอย่างไรก็ล้วนไม่อาจมองเห็นความลี้ลับได้มากกว่านั้น จึงแค่นเสียงเย็นหนึ่งครั้ง ตัวหมากร่วงลงกลับที่เดิมในทันทีทันใด ตำแหน่งไม่คลาดเคลื่อนไปแม้แต่น้อย


ชุยตงซานยังคงค้างอยู่ในท่าประหลาดนั้นตลอดเวลา “สำนักศึกษาซานหยาควรทำอย่างไรก็ทำไป ทหารมาก็เอาขุนพลต้าน น้ำมาเอาดินกลบก็เท่านั้น กินหัวไชเท้าดองแล้วยังต้องกลัวว่ามันรสจืดไปทำไม? (เปรียบเปรยว่าพะวงกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ชอบสอดรู้สอดเห็นกับเรื่องที่ไม่ใช่ของตัวเอง) หรือว่าเมื่อต้าหลีฮุบกลืนต้าสุยแล้ว สำนักศึกษาซานหยาก็จะหายไปด้วย? ข้าว่าไม่เป็นอย่างนั้นหรอก ในเมื่อต้าสุยเองก็มอบสถานะหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาให้กับพวกเจ้าไม่ได้ วันหน้าเมื่อหวนกลับไปต้าหลี อย่างมากก็แค่ต้องพึ่งพาคนอื่น ไม่ได้ต่างจากที่เป็นอยู่ตอนนี้สักเท่าไหร่”


เหมาเสี่ยวตงเอ่ยเสียงเฉียบ “สำนักศึกษานั้นสำคัญที่ลูกศิษย์ สำคัญที่อาจารย์ ไม่ใช่สี่คำว่าสำนักศึกษาซานหยา! อีกอย่างไม่ต้องพูดถึงนักเรียนของต้าสุย ต่อให้เป็นเด็กกลุ่มนั้นที่ติดตามข้าออกมาจากต้าหลี ตอนนี้ก็ยังเด็กและไร้เดียงสากันมากนัก จิงชี่เสินของพวกเขาจะทนรับความยากลำบากได้สักกี่ครั้ง!”


ชุยตงซานดึงมือกลับมาช้าๆ แต่กลับกำเม็ดหมากกำหนึ่งไว้แน่นจนเกิดเสียงกรอบแกรบดังมาจากในฝ่ามือ หันหน้ามามองเหมาเสี่ยวตงที่เดือดดาลอย่างหนัก


ชุยตงซานยิ้มบางด้วยสีหน้าเป็นปกติ “พูดจาได้เด็ดเดี่ยวผึ่งผายนัก น่าเสียดายก็แต่ความรู้ของเจ้าเหมาเสี่ยวตงมีจำกัด คิดอะไรตื้นเขินเกินไปแล้วก็มองใกล้เกินไป”


ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่แค่นเสียงเย็น “งั้นก็คนแซ่ชุยอย่างเจ้าสินะที่คิดได้ลึก วางแผนได้ยาวไกล”


ชุยตงซานลุกขึ้นยืน กำเม็ดหมากที่อยู่ในฝ่ามือแน่น ก้าวเดินรอบม้านั่งหินเชื่องช้า เอ่ยหยอกเย้า “วัดไม่อยู่พระอยู่ พระไม่อยู่คัมภีร์อยู่ คัมภีร์ไม่อยู่พระธรรมอยู่ พระธรรมไม่อยู่พระพุทธเจ้าอยู่”


ชุยตงซานเงยหน้าขึ้น มือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งบิดข้อมือเบาๆ เดินเล่นอย่างสบายใจ “สังขตธรรมทั้งปวง ควรพินิจด้วยอาการเช่นนี้แล รอเมื่อไหร่ที่เจ้าเข้าใจคามหมายในการดำรงอยู่ของสำนักศึกษาอย่างถ่องแท้แล้ว สำนักศึกษาซานหยาถึงจะค้นพบความมิพ่ายอย่างแท้จริง ส่วนข้อที่ว่าจะอยู่ที่ตระกูลไหน ใช้ชื่อแซ่อะไร อยู่บนดินแดนของแคว้นใดก็ล้วนไม่สำคัญอีกแล้ว”


เหมาเสี่ยวตงหลุดหัวเราะพรืด “คิดว่าสำนักศึกษาซานหยาคือสถานศึกษา (สถานศึกษาในสมัยโบราณมีขนาดใหญ่กว่าสำนักศึกษา ซึ่งความแตกต่างโดยหลักๆ คือสถานศึกษาทางการจะเป็นผู้ก่อตั้ง นักเรียนส่วนใหญ่คือบุตรหลานของชนชั้นสูง เป็นสถานที่ที่ใช้จัดพิธีการ งานดนตรี ประกาศเกียรติคุณ ชี้นำคนทั่วหล้าเป็นหลัก การเรียนการสอนเป็นเรื่องรอง) ที่ไม่ว่าลมจะพัดฝนจะตก พวกเราก็สามารถหยัดยืนไม่มีทางล้มหรืออย่างไร?”


ชุยตงซานหยุดเดิน จ้องมองผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่โดยมีโต๊ะหินตัวหนึ่ง กระดานหมากล้อมกระดานหนึ่งกั้นกลาง ถามกลับ “แล้วทำไมจะทำไม่ได้?”


ชุยตงซานก้าวเบาๆ ไปหนึ่งก้าว “ลองเดินดูไหม?”


เหมาเสี่ยวตงส่ายหน้าสีหน้าเคร่งเครียด “อย่างเจ้านี้เรียกว่ายืนพูดไม่ปวดเอว”


ชุยตงซานเองก็ส่ายหัวตาม จุ๊ปากพูด “เจ้าน่าจะได้พบเฉินผิงอันอาจารย์ของข้าจริงๆ”


พระอาทิตย์ต้นฤดูหนาวลอยสูงอยู่กลางนภา แสงแดดอบอุ่นสาดลงบนร่างของผู้เฒ่าสูงใหญ่ ผู้เฒ่าเอ่ยยิ้มๆ “เป็นคนที่ฉีจิ้งชุนฝากภาระยิ่งใหญ่ไว้ได้ เฉินผิงอันย่อมเป็นคนไม่เลว แต่คนอย่างเจ้าคือสุนัขที่ไม่เปลี่ยนสันดานกินอาจม เจ้ามีแผนการอะไรกันแน่”


ชุยตงซานสบถยิ้มๆ “เฮ้ๆๆ เสี่ยวตง ความรู้ของเจ้าถูกสุนัขกินไปหมดแล้วหรือไร ก็ได้ ไม่มีปัญหา แต่อย่าลากข้าเข้าไปเกี่ยวด้วยส่งเดชสิ”


เหมาเสี่ยวตงไม่อยากจะต่อปากต่อคำกับคนผู้นี้อยู่ที่นี่จึงลุกขึ้นยืน “ความรู้เท่าตูดหมาของเจ้า โยนไว้บนพื้น หมาข้างทางยังไม่คิดจะแทะสักคำเลย”


ชุยตงซานหัวเราะร่า “อิจฉา ขี้อิจฉาซะจริง”


เหมาเสี่ยวตงก้าวยาวๆ ออกไปจากลานบ้าน หันหลังให้ชุยตงซาน “หลี่เอ้อร์บุกเข้าวังหลวงครั้งนี้ กระพือไฟได้ระดับพอดี เจ้าอย่าได้คืบจะเอาศอก หากหลังจากนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก ข้าจะมาเอาความจากเจ้า อย่ามาโทษว่าข้าไม่เตือน”


ชุยตงซานมองแผ่นหลังนั้นแล้วพูดอย่างกระอักกระอ่วน “แบบนี้คงไม่ดีกระมัง? นายท่านใหญ่หลี่เอ้อร์คิดจะทำอะไร ข้าที่เป็นเพียงมดตัวเล็กขอบเขตเก้าคนหนึ่งจะขัดขวางได้หรือ? หากอาจารย์ข้าอยู่ที่นี่ก็คงไม่ยาก เขาทั้งใจเย็นและมีเหตุผล เชี่ยวชาญกว่าข้ามากนัก”


เหมาเสี่ยวตงหันกลับมามองเจ้าคนที่แสร้งทำสีหน้าลำบากใจแล้วกล่าวอย่าง ‘ใจเย็น’ ว่า “หากเป็นไปได้ ข้าก็อยากตบหัวเจ้าให้เละเลยจริงๆ ดูสิว่าข้างในบรรจุอะไรเอาไว้กันแน่”


ชุยตงซานยื่นมือออกมาข้างหนึ่ง กระดกนิ้วทำเป็นดรรชนีกล้วยไม้ แสร้งพูดดัดจริต “น่าเบื่อ”


เหมาเสี่ยวตงหมุนกายจาไปด้วยสีหน้าดำทะมึน ผู้เฒ่าทำสีหน้าขยะแขยงเหมือนคนเหยียบขี้หมา


พอเหมาเสี่ยวตงจากไป ชุยตงซานก็นั่งกลับลงไปบนม้านั่งหินอีกครั้ง หมัดที่กำตัวหมากหยุดค้างกลางอากาศเหนือกระดานหมากล้อม ปล่อยเม็ดหมากทิ้งลงมาทีละนิด เพียงรวดเดียวบนกระดานหมากล้อมก็มีเม็ดหมากตกลงมาเจ็ดแปดเม็ด เป็นสีขาวทั้งหมด ดังนั้นการวางหมากครั้งนี้จึงผิดกติกาอย่างมาก สุดท้ายชุยตงซานนั่งยองบนม้านั่งหินด้วยสองมือที่ว่างเปล่าคางเกยบนหัวเข่า ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่


ก็เหมือนอย่างที่เหมาเสี่ยวตงบอกไว้ ใต้หล้านี้มีแค่ไม่กี่คนจริงๆ ที่นึกออกว่า “ชุยฉาน” กำลังคิดอะไรอยู่


ทว่าฉีจิ้งชุนเป็นข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียว


เสียงฝีเท้าแผ่วเบาแต่รวดเร็วดังมาจากหน้าประตูบ้าน เซี่ยเซี่ยเลิกเรียนกลับมา หลังวางข้าวของเรียบร้อยแล้วก็เริ่มกวาดใบไม้ร่วงในลานบ้าน


ไม้กวาดกวาดผ่านพื้นก็มีลมเบาบางพัดพลิ้วเป็นระลอก


ชุยตงซานพึมพำ “เริ่มต้นจากต่ำต้อยเหมือนกัน ลมแห่งบุรุษกรรโชกแรงพัดผ่าน เสียงฟ้าร้องคำราม หินพลิกกลิ้งไม้หักโค่น ผืนป่าราบเป็นหน้ากลอง แม้จะทรุดโทรมเสื่อมถอย ทว่าพลังยิ่งใหญ่ควรค่าแก่การดื่มด่ำกลับยังคงอยู่ ลมแห่งสตรีแค่โชยผ่านตรอกซอกซอย พัดเม็ดดินเม็ดทรายให้ขยับ เป่าขี้เถ้าให้ปะปนขุ่นหมอง แม้จะรุนแรงถึงที่สุดแล้วก็ยังไม่มีค่ามากพอให้พูดถึง เซี่ยเซี่ย เจ้าคิดว่าต้าหลีดี หรือต้าสุยดีกว่า?”


นี่เป็นครั้งแรกที่ชุยตงซานถามเด็กสาวอย่างจริงจัง นางพลันตกใจที่ได้รับความเมตตาอย่างไม่คาดคิด กอดไม้กวาดไว้ในอ้อมอกอย่างกระวนกระวาย ยังดีที่นางเป็นคนมีความคิดเฉียบไวมาตั้งแต่เกิด อีกทั้งก่อนหน้านี้ยังตัดสินใจดีแล้วว่า ในเมื่อต้องอยู่ร่วมกับคุณชายท่านนี้ไปอีกนานก็ห้ามคิดมาก เพราะยิ่งคิดยิ่งกังวลก็ยิ่งไร้ประโยชน์ ไม่สู้ตรงไปตรงมา คิดอะไรก็พูดก็ทำอย่างนั้น อย่างมากก็แค่โดนซ้อมรอบหนึ่ง แต่อย่างน้อยก็ไม่ต้องตกเป็นที่หยามหยันของผู้เชี่ยวชาญ ดังนั้นนางจึงตอบไปว่า “ต้าสุยเหมาะแก่การตั้งรกราก เมื่อใช้ชีวิตอยู่ที่นี่จะสุขสบายมาก ต้าหลีเหมาะกับคนที่มีใจทะเยอทะยานและมีแผนการ ตอนนี้เมื่อมีการพัฒนาจากทั้งภายในและภายนอกจึงแข็งแกร่งมากกว่าเดิม เปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต พร้อมกับการบุกโจมตี ที่น่ากลัวที่สุดคือตอนนี้ต้าหลีเริ่มขยายอำนาจการควบคุมไปถึงกลุ่มอิทธิพลบนภูเขาที่อยู่ในอาณาเขตของตัวเองแล้ว ยิ่งขยับเข้าไปใกล้คำว่านายแห่งแคว้นมากขึ้นทุกที”


ชุยตงซานพยักหน้ารับ ไม่ได้พูดว่าถูกหรือผิด แล้วก็ไม่ได้พูดแดกดันเด็กสาวอย่างที่หาได้ยาก


เด็กสาวบังเกิดความมั่นใจ วิธีนี้ใช้ได้ผล! อวี๋ลู่พูดถูกจริงๆ ด้วย อยู่ร่วมกับคนผู้นี้ ต้องบังคับให้ตัวเองคิดถึงแต่เรื่องที่อยู่ตรงหน้า บีบให้สายตาของตัวเองมองตื้นๆ


แล้วชุยตงซานก็ถามขึ้นกะทันหันว่า “ทำไมเจ้ายังไม่ไปผูกคอตายอีกล่ะ ข้ารอเก็บศพให้เจ้านานมากแล้ว ถึงเวลานั้นข้าจะแบกศพของเจ้าลงจากเขา หลั่งน้ำตาด้วยความเสียใจพลางไปฟ้องร้องเจ้าตะพาบเฒ่าไช่จิงเสินผู้นั้นด้วย ไร้ยางอายเกินไปแล้ว ถึงขนาดแฝงตัวเข้ามาในสำนักศึกษา แม้แต่กับเด็กสาวหน้าตาอัปลักษณ์ผิวดำเป็นถ่านอย่างเจ้าก็ยังลงมือได้ลง ทำเอาเจ้าอับอายจนต้องฆ่าตัวตาย ถึงเวลานั้นข้าจะได้สู้กับเขาอีกสักรอบเพื่อแก้แค้นให้กับเจ้าไงล่ะ”


เด็กสาวอึ้งงันเป็นไก่ไม้


ชุยตงซานบิดคอ “เนื่องจากคืนนั้นป่าวประกาศแก่คนนอกว่าเจ้าคือลูกศิษย์ของข้า จึงจำเป็นต้องให้เจ้ายืมอาวุธอาคมไปมากมาย ในใจคุณชายอย่างข้าไม่ใคร่จะสบอารมณ์นัก”


เด็กสาวที่ห้อยขลุ่ยไผ่สีเขียวไว้ตรงเอวเริ่มก้มหน้าก้มตากวาดลานบ้านอีกครั้ง


ชุยตงซานปรายตามองเรือนกายอรชนอ้อนแอ้นของนางแล้วพูดเสริมอีกหนึ่งประโยคว่า “หากไช่จิงเสินหลานของข้าขึ้นเขามากลางดึก บุกเข้าไปในห้องของเจ้า อันที่จริงเขาก็ไม่เสียเปรียบสักเท่าไหร่”


เด็กสาวเงยหน้าจ้องเป๋งไปที่ชุยตงซาน


ชุยตงซานจ้องกลับไปที่ดวงตางดงามคู่นั้น กล่าวด้วยน้ำเสียงเสียดาย “เจ้าเหลือแค่ดวงตาคู่นี้เท่านั้นที่ยังคู่ควรกับชื่อเซี่ยหลิงเยว่”


เด็กสาวน้ำตาคลอเจียนหยด ก้มหน้าก้มตากวาดพื้นต่อไป


ชุยตงซานถอนหายใจหนึ่งครั้ง โบกมือเบาๆ เก็บกล่องเม็ดหมากและกระดานไว้ในตราประทับหยกฟางชุ่นที่อยู่ในชายแขนเสื้อ “อย่างเจ้านั่นกำลังกวาดพื้นเสียที่ไหน เห็นชัดๆ ว่ากำลังกวาดอารมณ์ดีๆ ของคุณชายเจ้าทิ้งไป ช่างเถอะๆ กลับห้องไปอ่านหนังสือเถอะ”


เมื่อเข้าไปในห้องหลักที่ว่างเปล่า บนเสื่อผืนใหญ่วางเบาะสานไว้ใบหนึ่ง ชุยตงซานโบกมือหนึ่งครั้ง ดึงเอาคัมภีร์ลัทธิขงจื๊อเล่มหนึ่งออกมาจากกองภูเขาขนาดย่อมตรงมุมกำแพง คัมภีร์เล่มนั้นมานอนนิ่งอยู่ตรงหน้าเขา จากนั้นก็มีลมเปิดหน้าหนังสือระลอกหนึ่งปรากฎขึ้น มันพัดโชยล้อมวนรอบกายเด็กหนุ่มชุดขาวผู้มีใบหน้าหล่อเหลา


ลมเปิดหน้าหนังสือเริ่มเปิดหนังสือ


ชุยตงซานเริ่มอ่านหนังสือ


ทุกครั้งที่ถึงเวลานี้ เด็กสาวเซี่ยเซี่ยจะนั่งอยู่หน้าประตูเงียบๆ จิตใจสงบสุข เพราะมีเพียงเวลานี้เท่านั้นที่ไอ้หมอนี่ไม่หันมาเล่นงานนาง อีกอย่างนี่ยังเป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นเองกับตา ถึงขั้นไม่เคยได้ยินมาก่อนด้วยว่าจะมีใครที่แค่อ่านหนังสือ แล้วจะอ่านให้เกิดภาพของพันโลกธาตุขนาดใหญ่ที่แปลกพิสดารขนาดนี้ได้


เหมือนกับวันนี้


หลังจากที่ลมเปิดหน้าหนังสือเปิดหนังสือหน้าแรก และเสียงอ่านหนังสือเบาๆ เป็นจังหวะจะโคนมีเอกลักษณ์อย่างถึงที่สุดของชุยตงซานดังขึ้น ถ้อยคำนั้นประหนึ่งเม็ดฝนที่ล่องลอยอยู่เหนือหน้าหนังสือ จากนั้นระหว่างหน้าหนังสือก็มีดอกบัวกอดหนึ่งผุดขึ้นมา มันส่ายสะบัดอย่างมีชีวิตชีวา ฉลาดเฉลียวผิดปกติ


แต่ละหน้าที่เปิดผ่านไป แสงสว่างก็ค่อยๆ หดหายไป


ระหว่างบรรทัดตัวอักษรบนหน้าหนังสือเกิดภาพสองกองกำลังประจันหน้ากัน แม่ทัพและนายทหารแต่ละคนมีขนาดเล็กกว่าเมล็ดข้าวสาร แต่กลับมีพลังอำนาจดุจง้าวทองม้าเหล็ก ใช้แผนกลยุทธ์สลับสับเปลี่ยนไปมา ความว่างเปล่าเหนือหน้าหนังสืออบอวลไปด้วยหมอกสีเลืองพร่าเลือน ประหนึ่งฝุ่นผงที่คลุ้งตลบบนสมรภูมิรบจริงๆ


แล้วก็มีสตรีร่างอ้อนแอ้นสูงไม่เกินชุ่นที่คล้องตะกร้าดอกไม้เดินนวยนาดออกมาจากหน้าหนังสือ


และยังมีชายป่าเถื่อนใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครา เปลือยหน้าอก ตีกรับร้องเพลงเสียงดัง


บนหน้าหนังสือมีหญิงชราใช้ไม้ทุบผ้าเงี่ยหูรับฟัง แล้วก็สามารถได้ยินเสียงที่ลี้ลับมหัศจรรย์ซึ่งซ่อนแฝงอยู่ภายในออกจริงๆ


นอกจากนี้ยังมีกลุ่มเด็กขี่ม้าก้านไม้ไผ่เล่นไล่จับกัน


มีโครงกระดูกพกกระบี่พกดาบเดินอยู่ท่ามกลางสุสานฝังศพ


มีอาจารย์นั่งเรียบร้อยสำรวม มือลูบเคราครุ่นคิดคล้ายกำลังจะเขียนเรียบเรียงตัวอักษร


……


เด็กสาวเซี่ยเซี่ยที่อยู่ตรงหน้าประตู ไม่ว่าส่วนลึกในใจของนางจะเคียดแค้น หวาดกลัวราชครูต้าหลีผู้นี้แค่ไหน แต่นางก็จำต้องยอมรับว่าเด็กหนุ่มชุดขาวที่ตั้งใจอ่านตำรานั้นช่างมีบุคลิกท่วงท่างามสง่าน่ามองอย่างแท้จริง


มีเรื่องหนึ่งที่นางไม่เคยเข้าใจเลย ทำไมคนคนหนึ่งที่เลวร้ายขนาดนี้ เวลาอ่านหนังสือถึงได้มีภาพปรากฎการณ์ของอริยะปรากฎขึ้นได้?


ขณะที่เซี่ยเซี่ยกำลังเหม่อลอย นางไม่ทันได้สังเกตเห็นว่าเมื่อพลิกเปิดหนังสือไปถึงหน้าสุดท้าย สีหน้าของชุยตงซานในวันนี้ผิดปกติไปเล็กน้อย สายตาฉายประกายร้อนแรง ทว่าใบหน้ากลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและการดิ้นรนขัดขืน


ที่แท้ภาพเหตุการณ์หนึ่งขณะเขาอ่านหนังสือคือภาพที่คนสามคนปรากฏกายบนหน้าหนังสือเดียวกัน ใบหน้าของคนทั้งสามต่างก็เห็นได้ไม่ชัดเจน แต่อายุกลับต่างกันมาก


ผู้เฒ่าสวมเสื้อตัวยาวยืนอยู่ริมตลิ่งของแม่น้ำสายใหญ่ กำลังจ้องมองผืนน้ำ


ใกล้ๆ กันมีชายวัยกลางคนรูปร่างผอมแห้งซึ่งกำลังมองไปยังฝั่งตรงข้าม สีหน้าคิดหนัก


มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งขี่วัวสีดำ เงยหน้ามองท้องฟ้า เด็กหนุ่มทำท่าสะลึมสะลือใกล้จะหลับ


สุดท้ายชุยตงซานกระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ ภาพอัศจรรย์บนหน้าหนังสือจึงหายวับไป


เด็กสาวมองชุยตงซานอย่างตกตะลึงระคนหวาดกลัว


เขาใช้มือปาดคราบเลือดทิ้งด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ พึมพำกับตัวเอง “ช่วยไม่ได้ แตกต่างกันมากเกินไปแล้ว”


เด็กสาวเซี่ยเซี่ยถามอย่างเป็นห่วง “คุณชาย ไม่เป็นไรใช่ไหม?”


ชุยตงซานใช้มือข้างหนึ่งกดตรงหัวใจ มืออีกข้างกำเป็นหมัดแน่น ตอบอย่างยากลำบาก “ไปเอา ‘ภาพน้ำ’ ที่ข้าให้เจ้ายืมชั่วคราวม้วนนั้นมา เร็วเข้า”


เซี่ยเซี่ยรีบลุกขึ้นยืน เดินไปหยิบม้วนภาพโบราณในห้องตัวเอง แล้วเอามาคลี่วางต่อหน้าชุยตงซาน แล้วเสร็จจึงลุกขึ้นวิ่งเร็วๆ กลับไปที่หน้าประตูอีกครั้ง


ลูกกระเดือกของชุยตงซานขยับขึ้นลง ยกมือขึ้นใช้หลังมืออุดปาก เนิ่นนานต่อมาถึงได้วางมือลง สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ‘ภาพน้ำ’ บนโลกใบนี้มีทั้งหมดสิบสองภาพ ต่างก็บรรยายถึงคูน้ำขนาดใหญ่สิบสองแห่งในสี่ใต้หล้า ภาพเบื้องหน้านี้คือ ‘น้ำจากฟากฟ้า’ ซึ่งตั้งชื่อจากภาพมหัศจรรย์ ‘หนึ่งกระบี่แทงทะลุถ้ำสวรรค์ขนาดเล็ก แม่น้ำหวงเหอไหลมาจากฟากฟ้า’


ปีนั้นชุยฉานที่ยังเป็นศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่งเล่นหมากล้อมกับเจ้าเมืองนครจักรพรรดิขาวท่ามกลางชั้นเมฆหลากสี แม้ว่าชุยฉานจะแพ้ แต่ก็แพ้อย่างมีเกียรติ และปีศาจใหญ่ตนนั้นก็ได้มอบม้วนภาพล้ำค่าไม่ธรรมดาม้วนนี้ให้แก่เขา ชุยฉานเคารพเลื่อมใสในตัวของผู้ยิ่งใหญ่แห่งวิถีมารผู้บัญชาการณ์นครจักรพรรดิขาวผู้นี้อย่างถึงที่สุด


ชุยฉานกลั้นหายใจทำสมาธิเพ่งมองน้ำ แต่ในใจกลับคิดถึงภูเขา


ย้อนนึกถึงปีนั้น ชุยฉานเฒ่าเคยเดินทางไปทั่วสารทิศเพียงลำพัง เดินผ่านเส้นทางภูเขาของภูเขาที่สูงที่สุดในใต้หล้า ปีนขึ้นยอดเขายากดั่งปีนขึ้นสวรรค์


พอคิดมาถึงตรงนี้ เด็กหนุ่มชุยฉานก็อดยื่นมืออกมาตบเข่า ร้องเสียงดังไม่ได้ “เฮ้อ ยิ่งสูงก็ยิ่งอันตราย!”


แล้วเขาก็อึ้งค้าง


เห็นเพียงว่าบนภาพน้ำมีหน้าผาหินขนาดเล็กปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่า ไม่สะดุดตานัก แต่บนหน้าผาหินกลับมีเรือนกายของเด็กหนุ่มผอมแห้งที่คุ้นเคยยืนรับลำ เขายืนอยู่ใกล้กับแม่น้ำ สองมือทำมุทรา ทอดสายตามองไปไกล


เด็กสาวเซี่ยเซี่ยที่ยืนอยู่ห่างไปไกลมองเห็นภาพนี้ก็ยิ่งตื่นตะลึงอย่างหนัก


เฉินผิงอันพกพาหน้าผาหินแถบหนึ่งแอบเข้ามาใน ‘ภาพน้ำ’ นี้ได้อย่างไร?


ลมปราณของชุยตงซานสงบนิ่งเหมือนเดิมนานแล้ว เวลานี้เขาประกบนิ้วมือทั้งสิบเข้าด้วยกัน ยิ้มแป้นหน้าเป็น “ท่านอาจารย์ผู้อยู่เบื้องบน โปรดรับการกราบไหว้จากศิษย์ด้วย”


จากนั้นชุยตงซานก็หงายตัวไปด้านหลัง กลิ้งตัวไปมาสองสามรอบ ปากก็ท่องไปด้วย “ผู้ที่ทอดทิ้งข้าไป เมื่อวานไม่อาจเหนี่ยวรั้ง ผู้ที่ทำให้ใจข้าสับสน วันนี้ยิ่งวุ่นวาย ความวุ่นวายเอ๋ยความวุ่นวาย วุ่นวายให้นายท่านใหญ่ว้าวุ่น…”


เด็กสาวนั่งอยู่ตรงหน้าประตู อดเงยหน้ามองสีท้องฟ้าไม่ได้ ดูไม่เหมือนว่าจะมีฟ้าผ่า น่าเสียดายยิ่งนัก


—–


บทที่ 171.2 เด็กสาวผู้อ่อนโยนบอบบาง

โดย

ProjectZyphon

ชายฉกรรจ์ร่างเล็กเตี้ยแต่แกร่งไปทั้งตัวเดินออกจากสำนักศึกษาบนภูเขาตงหัว เดินไปตลอดทางจนกระทั่งพบบ้านเงียบสงบหลังหนึ่งที่แวดล้อมไปด้วยความวุ่นวาย แล้วเริ่มเคาะประตู


ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง


บ้านหลังนี้ปล่อยให้เช่านานแล้ว เวลาปกติจะมีผู้เฒ่าคนหนึ่งที่มาอาศัยอยู่อย่างสันโดษ แทบไม่เคยปรากฏตัวข้างนอก แต่การต่อสู้ของเทพเซียนที่ลุ้นระทึกคืนนั้นทำให้คนที่มีความคิดละเอียดลออตระหนักได้ว่าสถานที่แห่งนี้คือถิ่นที่งูและมังกรขดตัวอยู่


แม้ว่าการประมือครั้งนั้น เด็กหนุ่มชุดขาวที่เรียกตัวเองว่าเป็นบรรพบุรุษตระกูลชุยซึ่งลงมือจากยอดเขาตงหัวจะได้เปรียบมากกว่า เพราะขว้างสมบัติอาคมออกไปมั่วซั่วตลอดทั้งคืน เรียกได้ว่าพร่างพราวตระการตา ทว่าการรับมือแต่ละอย่างของผู้เฒ่าร่างกำยำก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน ต่อให้เป็นผู้เชี่ยวชาญที่ขอบเขตสูงมากพอก็ยังยอมรับว่าหากตัวเองไปยืนในตำแหน่งเดียวกับผู้เฒ่า เผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มชุดขาวที่โยนสมบัติอาคมราวกับโยนผักกาดขาวเน่าทิ้งผู้นั้น ก็คงไม่มีทางยืนหยัดได้จนฟ้าสางแน่นอน


ชายฉกรรจ์ถีบประตูให้เปิดออกแล้วก้าวยาวๆ เข้าไปข้างใน เห็นผู้เฒ่าร่างกำยำที่สีหน้ามืดดำสุดขีด เขาก็คือไช่จิงเสินผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบ เขายืนอยู่ในลานบ้าน บนโต๊ะวางเหล้าไว้หนึ่งกา มีกับแกล้มที่ปรุงอย่างพิถีพิถันเตรียมไว้เป็นจำนวนมาก สำหรับเขาที่เป็นเทพเซียนพสุธาในสายตาของมนุษย์ธรรมดาทั่วไปแล้ว การดื่มด่ำกับความสุขที่ดีกว่าไม่มีอะไรให้ดื่มด่ำเลยเช่นนี้ ช่างเล็กน้อยจนไม่มีค่ามากพอให้พูดถึง


ศึกใหญ่ในวังหลวงเมื่อวานนี้ ไช่จิงเสินคือหนึ่งในผู้ชม เวลานี้เมื่อได้เห็นชายฉกรรจ์จากต่างถิ่นที่เลื่อนสู่ขอบเขตปลายทางของวิถีวรยุทธ์แล้ว เขาก็ไม่เหลือความมั่นใจใดๆ อีก แต่ไม่เหลือความมั่นใจไม่ได้หมายความว่าก้มหัวค้อมเอว จึงถามด้วยสีหน้าที่ไม่นอบน้อมแต่ก็ไม่เย่อหยิ่ง “ข้ากับเจ้าไม่มีความแค้นต่อกัน เจ้าพังประตูบุกเข้ามา มีธุระอะไร?”


หลี่เอ้อร์มองไช่จิงเสิน ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ปล่อยหมัดหนึ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ผู้เฒ่าที่ไม่ทันตั้งตัวกระเด็นเข้าไปในห้อง ชนข้าวของในห้องล้มระเนระนาด นอนกระอักเลือดคำโตอยู่ตรงมุมกำแพงใต้กรอบป้ายของห้องโถงหลัก ลุกขึ้นมาไม่ไหวอีก


หลี่เอ้อร์หมุนกายจากไป


ไช่จิงเสินอึ้งงันเล็กน้อย ขยับตัวลุกขึ้นนั่งพิงหลังกับกำแพง เดิมทีนึกว่าจะอย่างไรก็ต้องพูดกันสักคำสองคำแล้วค่อยลงมือ ประโยคที่ว่าพูดไม่เข้าหูก็ลงมือต่อยตี อย่างน้อยก็ยังต้อง “พูด” กันก่อนไม่ใช่หรือ? ไหนเลยจะไร้เหตุผลเหมือนชายฉกรรจ์ผู้นี้? นี่ไม่ใช่ว่าอาศัยอำนาจรังแกคนที่อ่อนแอกว่าหรือไร? ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบผู้ยิ่งใหญ่ บุรพาจารย์ตระกูลไช่ผู้ทรงอำนาจแห่งต้าสุยผรุสวาทเสียงดังอย่างอดไม่ไหว “แน่จริงก็มาสู้กันอีกครั้งสิ!”


จากนั้นชายฉกรรจ์ที่เดินไปหนึ่งหน้าประตูซึ่งไม่เหลือบานประตูแล้วก็เดินกลับเข้ามาในลานบ้านอีกครั้ง ยืนอยู่ตรงนั้น มองไช่จิงเสินที่อยู่ในห้อง


ผู้เฒ่ากลืนน้ำลาย “ข้าพูดกับเจ้าเด็กหนุ่มชุดขาวที่สู้กันวันนั้น ไม่เกี่ยวกับเจ้า”


หลังคำพูดนี้หลุดออกมาจากปาก ผู้เฒ่าก็อยากจะขุดรูมุดลงไปให้รู้แล้วรู้รอด


ตรงเอวของชายฉกรรจ์ห้อยกาเหล้าเปล่าหนึ่งใบ ถามคำถามที่พิลึกพิลั่นอย่างยิ่ง “เหล้าที่อยู่บนโต๊ะของเจ้ากานั้นซื้อมาเท่าไหร่?”


ผู้เฒ่าร่างบึกบึนเส้นผมขาวโพลนมึนงงเล็กน้อย จากนั้นในใจก็ทั้งเจ็บแค้นทั้งเศร้าสลด คิดว่าคนเราเมื่ออยู่ใต้ชายคาคนอื่นก็จำต้องก้มหัว จึงตอบไปตามตรง “ไม่รู้ราคาที่แน่ชัด แต่อย่างน้อยก็น่าจะประมาณสามสิบสี่สิบตำลึงเงินกระมัง”


หลี่เอ้อร์ครุ่นคิด “ถ้าอย่างนั้นข้าจะกดขอบเขตให้เหลือแค่ขั้นแปด พวกเรามาสู้กันอีกครั้ง”


ไช่จิงเสินเดือดดาลสุดขีดแล้ว ข้าผู้อาวุโสแค่ดื่มเหล้าก็ถือว่าหาเรื่องเจ้าแล้วงั้นหรือ?


ผู้เฒ่าไม่ได้มีนิสัยปล่อยให้คนอื่นรังแกโดยไม่ตอบโต้ ตรงกันข้ามเลยด้วยซ้ำ เพราะนิสัยฉุนเฉียวขี้โมโห พลังการต่อสู้ล้ำเลิศของเขาถือเป็นที่ยอมรับของนักพรตในต้าสุย เขาจึงลุกขึ้นยืน พูดด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราด “สู้ก็สู้สิ ใครแม่งกลัวกันล่ะ!”


ครู่หนึ่งต่อมาหลี่เอ้อร์ก็ออกจากลานบ้าน ย้อนกลับไปยังสำนักศึกษา


ผู้เฒ่านอนอยู่ในลาน แม้จะไม่ถึงขั้นบาดเจ็บสาหัส แต่เป็นที่แน่นอนว่ายังไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้เร็วๆ นี้


ผู้เฒ่ามองท้องฟ้า นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาอัดอั้นตันใจและขมขื่นขนาดนี้ รู้สึกว่าไม่อาจใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกแล้ว


ผู้เฒ่าแซ่ไช่ก็จริง แต่ไม่ได้เขียนว่าไช่ที่แปลว่ากับแกล้มแอ้มเหล้าเสียหน่อย


รอพักฟื้นหายดีเมื่อไหร่ ผู้เฒ่าจะไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ที่วังหลวง จะไปจากภูเขาตงหัวเฮงซวยแห่งนี้ อยู่ให้ไกลจากสำนักศึกษาซานหยา แม้แต่เมืองหลวงต้าสุยเขาก็จะไม่อยู่ต่ออีกแล้ว


……


หลี่เอ้อร์บอกว่าจะไปเดินเล่นในสำนักศึกษาเพียงลำพังสักหน่อย หลี่ไหวจึงกลับไปก่อน พบว่าหลี่เป่าผิงกับหลินโส่วอีต่างก็อยู่กันครบ คนทั้งสองเพิ่งมาถึงได้ไม่นาน หลี่เป่าผิงกำลังคุยเล่นกับมารดาของหลี่ไหว “ท่านป้า พวกท่านจะอยู่ที่สำนักศึกษานานเท่าไหร่? อยากให้ข้าพาพวกท่านไปเดินเล่นในเมืองหลวงหรือไม่? ข้าศึกษาแผนที่เมืองหลวงต้าสุยมาอย่างละเอียดแล้ว ใช้เวลาเป็นครึ่งๆ วันกว่าจะหาแผนที่นี้เจอในหอหนังสือ พวกท่านอยากไปที่ไหนล่ะ ข้ารู้เส้นทางทั้งหมดเลยนะ”


พอมาถึงสำนักศึกษา สิ่งแรกที่หลี่เป่าผิงทำก็คือทำความเข้าใจกับกฎเกณฑ์ยิบย่อยในสำนักศึกษาเสียก่อน เพื่อให้รู้ว่าทำอะไรแล้วถูกลงโทษอย่างไร เรื่องที่สองก็คือไปหาแผนที่เมืองหลวงต้าสุย เผื่อว่าวันหน้าอาจารย์อาน้อยมาหานางที่สำนักศึกษา นางจะได้พาเขาไปเดินเล่น


สตรีแต่งงานแล้วแย้มยิ้มชื่นชม “เป่าผิงน้อยฉลาดจริงๆ โชคดีที่หลี่ไหวของพวกเรามีเจ้าอยู่ข้างกาย เขาถึงได้ไม่ถูกคนรังแกมากนัก”


หลี่ไหวเบิกตากว้างจนดวงตาแทบจะถลนออกมา ตลอดทางมานี้คนที่รังแกเขามากที่สุดก็คือหลี่เป่าผิงนี่แหละ ไม่พูดถึงตอนอยู่กับอาเหลียงที่เขาเรียกลมได้ลมเรียกฝนได้ฝน เรียกพี่เรียกน้องกับอีกฝ่าย ต่อให้ตอนอยู่กับเฉินผิงอัน เขาก็ไม่เคยต้องเสียเปรียบมาก่อน


 อีกอย่างตอนที่อยู่ในโรงเรียนของบ้านเกิด หลี่เป่าผิงถอดกางเกงตนโยนขึ้นไปบนแขวนบนต้นไม้อย่างไร ท่านแม่ท่านไม่รู้เลยหรือ? ตอนนั้นท่านยังลากข้าไปที่ถนนฝูลวี่ กะว่าจะทะเลาะกับผู้อาวุโสในบ้านของหลี่เป่าผิงสักรอบ เพียงแต่ว่าพอเห็นสิงโตตัวใหญ่คู่นั้นก็ไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะเคาะประตูบ้านตระกูลหลี่


หลี่เป่าผิงกับมารดาของเขาคุยกันไม่แล้วไม่เลิก สรุปคือหลี่ไหวฟังจนปวดหัวไปหมด คนทั้งสองเหมือนเป็ดที่คุยกับไก่ (คุยกันคนละเรื่อง คุยกันคนละภาษา) แต่ทำไมยังคุยกันได้ถูกคออย่างนี้? คนหนึ่งถามว่า เป่าผิง จวนหลังใหญ่บนถนนฝูลวี่ของเจ้ามีเรือนกี่หลังกันแน่ อีกคนหนึ่งตอบว่าหอพักในสำนักศึกษามีเยอะมากเลยล่ะ เยอะกว่าเรือนในจวนของนางซะอีก…


เด็กสาวหลี่หลิ่วถูกน้องชายตอแยจนทนไม่ไหว ได้แต่รับปากว่าจะรีบเย็บรองเท้าผ้าคู่ใหม่ให้ นางนั่งเงียบๆ อยู่ริมขอบเตียง กำลังเย็บพื้นรองเท้าทีละเข็มอย่างละเอียดลออแน่นหนา บางครั้งก็เอียงศีรษะกัดเส้นด้ายให้ขาด แล้วจึงคลี่ยิ้มมองไปทางมารดาและน้องชายยิ้ม หากสบสายตากับหลินโส่วอี นางก็จะพยักหน้าให้ยิ้มๆ เด็กหนุ่มก็จะหน้าแดง ในใจขัดเขินไม่รู้ว่าจะใช้คำพูดมาอธิบายอย่างไร


นี่เป็นครั้งที่สองหลังจากที่เด็กหนุ่มดื่มเหล้าในน้ำเต้าของอาเหลียงแล้วรู้สึกว่าตัวเองช่างโชคดีที่เลือกออกจากเมืองเล็ก ติดตามเฉินผิงอันและหลี่เป่าผิงมาศึกษาต่อ


หลี่เอ้อร์กลับมาถึงที่พัก หลี่เป่าผิงกำลังจะกลับพอดี พอเห็นชายฉกรรจ์แม่นางน้อยที่ไปไหนมาไหนว่องไวดุจสายลมก็พลันหยุดชะงัก ยิ้มทักทาย “ท่านลุงหลี่สวัสดี!”


หลี่เอ้อร์ที่พูดไม่เก่งรับคำว่าจ้าๆๆ ติดกันด้วยความดีใจ ตอนอยู่ในเมืองเล็ก เขาเคยไปที่โรงเรียนอยู่หลายครั้ง ตอนนั้นหลี่ไหวมักจะบ่นที่บิดาอย่างเขาทำให้ขายหน้า หลี่เอ้อร์จึงไม่กล้าไปอีก ทว่าแม่นางน้อยที่มักจะสวมชุดสีแดงสดตลอดทั้งปีคนนี้กลับเป็นนักเรียนคนเดียวที่พอเจอเขาแล้วเรียกเขาว่าท่านลุงหลี่


แม่นางน้อยถอนหายใจ รู้สึกหมดอาลัยตายอยากเล็กน้อย แต่ไหนแต่ไรมาความคิดของนางบรรเจิดล่องลอยไปไกลอยู่แล้ว จู่ๆ ก็เอ่ยขออภัยอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ “ท่านลุงหลี่ ข้าขอโทษนะ”


หลี่เอ้อร์ซื่อแต่ไม่โง่ เพียงครู่เดียวก็เข้าใจความคิดของแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงได้ทันที นางต้องรู้สึกว่าตัวเองดูแลหลี่ไหวได้ไม่ดีแน่ๆ ชายฉกรรจ์จึงรีบส่ายหน้า “อย่าได้พูดแบบนี้”


หลี่เป่าผิงกล่าวจริงจัง “ท่านลุงหลี่ ตอนนี้หลี่ไหวตั้งใจเรียนยิ่งกว่าข้าเสียอีก อาจารย์เคยบอกว่าความขยันหมั่นเพียรสามารถชดเชยในส่วนที่ขาด คนเก่งก็ต้องใช้เวลากว่าจะประสบความสำเร็จ เพราะฉะนั้นท่านอย่าผิดหวังในตัวหลี่ไหวเลย เรียนหนังสือเป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้ไปชั่วชีวิต ไม่ควรรีบร้อน!”


กล่าวมาถึงตรงนี้ แม่นางน้อยก็ชูกำปั้น พูดเน้นเสียง “ไม่ควรรีบร้อน!”


หลี่เอ้อร์อารมณ์ดีสุดๆ แม่นางน้อยที่เป็นแบบนี้ช่างทำให้คนชื่นชอบและเอ็นดูมากจริงๆ ชายฉกรรจ์พยักหน้ารับ “หลี่ไหวเรียนหนังสือ ข้าไม่รีบร้อน”


ทว่าในใจของชายฉกรรจ์กลับพูดว่า แต่ข้ากลับมีเรื่องหนึ่งที่ทำได้ สุดท้ายแล้วบุตรชายจะสามารถก้าวเดินไปได้ถึงขั้นไหนก็อยู่ที่ตัวเขาเองแล้ว


หลี่เป่าผิงยิ้มกว้างแล้วห้อตะบึงจากไป


คล้ายนกขมิ้นที่ร่าเริงตัวหนึ่ง


หลี่เอ้อร์ยืนปักหลักมองแผ่นหลังของแม่นางน้อย รอจนลับหายไปจากสายตาแล้วถึงหมุนกายเดินต่อไปด้วยรอยยิ้ม


มาถึงหน้าประตูก็เจอกับหลินโส่วอีที่กำลังจะออกจากห้องพอดี เด็กหนุ่มเรียกเขาคำหนึ่งว่าท่านลุงหลี่แล้วก็บอกลาจากไป


เมื่อเผชิญหน้ากับคนอื่น ต่อให้เป็นบิดาของเด็กสาวหลี่หลิ่ว หลินโส่วอีก็ยังไม่รู้ว่าควรจะปฏิบัติต่ออีกฝ่ายด้วยความกระตือรือร้นอย่างไร


หลี่เอ้อร์เดินเข้าไปในห้อง สตรีแต่งงานแล้วกำลังคอยดึงหูเข้ากระซิบกระซาบสั่งสอนบุตรชาย “แม่นางน้อยคนนี้ไม่เลวเลยทีเดียว แค่นิสัยโผงผางไปสักหน่อย ไม่เหมือนคนที่รู้จักดูแลคนอื่น ข้าว่าคนที่ชือสือชุนเจียนั่นดีมาก แม้ตระกูลจะไม่ร่ำรวยสูงศักดิ์เท่าตระกูลของหลี่เป่าผิง แต่ก็ยังมีร้านใหญ่เป็นของตัวเองหนึ่งร้าน พอจะถือว่ามีฐานะใกล้เคียงกับพวกเราอย่างกล้อมแกล้ม หลี่ไหวแต่งงานกับสือชุนเจีย วันหน้าก็ไม่ต้องถูกคนดูหมิ่น นังหนูสือชุนเจียผู้นั้น แค่มองก็อารมณ์ดี มัดผมเปียสองข้าง…”


หลี่เอ้อร์หัวเราะเฮอๆ “ข้าชอบแม่นางหลี่มากกว่า”


หลี่ไหวกล่าวอย่างระอาใจ “ท่านพ่อท่านแม่ ทำไมพวกท่านถึงไม่คิดบ้างว่าพวกนางจะชอบข้าด้วยหรือไม่?”


สตรีแต่งงานแล้วกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “จะไม่ชอบได้อย่างไร? แม่นางน้อยสองคนนั่นไม่ได้โง่สักหน่อย!”


หลี่ไหวตบศีรษะตัวเอง “ท่านแม่ของข้า คำพูดแบบนี้ห้ามเอาไปพูดกับคนนอกเด็ดขาดเชียว หาไม่แล้วข้าต้องถูกหลี่เป่าผิงตีจนตายทั้งเป็นจริงๆ แน่ แม้ว่าสือชุนเจียจะไม่กล้าตีข้า แต่ด้วยเล่ห์อุบายที่มีอยู่เต็มท้องน้อยๆ ของนาง ต้องทำให้นางอาฆาตข้าไปตลอดชีวิตแน่ นางเจ้าคิดเจ้าแค้นที่สุดเลยล่ะ ดึงผมเปียนางแค่ครั้งเดียว นางเอาไปฟ้องอาจารย์ฉีถึงสิบครั้ง ทุกครั้งต้องพูดเป็นจริงเป็นจัง อย่างเช่นว่าวันนี้หลี่ไหวไม่ทำการบ้านมา เลยถูกท่านอาจารย์ตีฝ่ามือ พอเห็นว่าข้าหัวเราะเขา เขาเลยกระตุกเปียข้า หรือไม่ก็วันนี้หลี่ไหวมาสาย ข้าเตือนเขาด้วยความหวังดีแค่ไม่กี่คำ เขาก็ดึงเปียข้า ยังมีหลี่ไหวสู้หลี่เป่าผิงไม่ได้เลยมาดึงเปียข้า…คุณพระช่วย หากยายเด็กสือชุนเจียผู้นี้แต่งมาเป็นเมียข้า ข้าคงต้องร้องไห้จนตายแน่”


 สตรีแต่งงานแล้วเอ่ยเย้า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าอยากได้เมียแบบไหนล่ะ?”


หลี่ไหวหยุดคิด “แต่งเมียยุ่งยากจะตาย ข้าว่าเอาไว้ก่อนดีกว่า วันหน้าโตขึ้นแล้วได้เจอกับผู้หญิงที่ถูกใจค่อยว่ากันอีกที”


สตรีแต่งงานแล้วยิ้มตาหยีถาม “ถ้าถึงเวลานั้นแม่ถูกเมียของเจ้ารังแก เจ้าจะช่วยใคร?”


หลี่ไหวหัวเราะหึหึ “ก็ต้องช่วยเมียข้าน่ะสิ ท่านก็มีท่านพ่อช่วยอยู่แล้ว ยังไม่พออีกหรือ?”


สตรีแต่งงานแล้วแสร้งทำเป็นโกรธ “เจ้าเด็กใจดำ!”


สตรีแต่งงานแล้วยื่นมือออกไปหมายบิดหูลูกชาย หลี่ไหววิ่งพล่านหลบไปทั่วห้อง


สตรีแต่งงานแล้วปรายตามองชายฉกรรจ์ “ไปไหนมา?”


หลี่เอ้อร์ตอบเบาๆ “ปวดฉี่เลยไปเข้าห้องน้ำมา”


สตรีแต่งงานแล้วสายตาแหลมคม เพียงครู่เดียวก็มองเห็นกาเหล้าตรงเอวของชายฉกรรจ์จึงขยับเข้าไปดมใกล้ๆ แล้วพูดเสียงกระโชกโฮกฮาก “ไปฉี่ต้องนานขนาดนี้เลย? เจ้าตกลงไปในหลุมส้วมหรือไง? อีกอย่างในหลุมส้วมไม่มีฉี่มีอึ แต่กลับมีเหล้าใส่เอาไว้แทนงั้นรึ?”


หลี่เอ้อร์พูดไม่ออก หันหน้าไปมองบุตรชาย หวังให้อีกฝ่ายช่วยคลี่คลายสถานการณ์


หลี่ไหวซ้ำเติมไม่ไว้หน้า “ท่านพ่อต้องไปพบนางปีศาจจิ้งจอกน้อยสวยเพริศพริ้งมาแน่นอน”


“ดูท่าทางวัวสันหลังหวะของเจ้าสิ”


สตรีแต่งงานแล้วค้อนใส่ชายฉกรรจ์ที่ขวัญผวาหนึ่งที ไม่ได้ซักไซ้เอาเรื่องให้ถึงที่สุดอย่างหาได้ยาก นางนั่งลงข้างกายบุตรสาว ลูบเส้นผมของหลี่หลิ่วแล้วถอนหายใจ “พวกเจ้าต่างก็เติบโตแล้ว พ่อแม่ก็แก่แล้ว”


หลี่หลิ่ววางรองเท้าลง กุมมือมารดาเบาๆ


หลี่ไหวพูดประจบ “ท่านแม่ ท่านน่ะหรือจะแก่ ตอนที่ให้กำเนิดข้าท่านเป็นอย่างไร ตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิมเป๊ะ! หากท่านออกไปนอกบ้านพร้อมกับหลี่หลิ่ว รับรองว่าคนอื่นต้องคิดว่าพวกท่านเป็นพี่น้องกันแน่”


สตรีแต่งงานแล้วยิ้มดุจบุปผาบาน “ไป๊ๆๆ  คำพูดแบบนี้เก็บไว้พูดกับเมียเจ้าในอนาคตเถอะ”


หลี่หลิ่วพลันเอ่ยว่า “ท่านแม่ ข้าอยากซื้อชาดทาหน้าสักหนึ่งตลับ”


แม้ว่าสตรีแต่งงานแล้วจะบ่นไม่หยุดว่าบุตรสาวเป็นลูกล้างลูกผลาญ แต่ก็ยังลุกขึ้นพาลูกสาวออกไปจากที่พักด้วยกัน


ในห้องเหลือแค่สองพ่อลูก หลี่เอ้อร์ถามยิ้มๆ “ลูกชาย อยากดื่มเหล้าเป็นเพื่อนพ่อบ้างไหม?”


หลี่ไหวเบิกตากว้าง “ดื่มได้หรือ?”


ดื่มเหล้าไปได้แค่ครึ่งถ้วย หลี่ไหวก็มึนเมา เพียงไม่นานก็ฟุบคว่ำบนโต๊ะนอนหลับไป


หลี่เอ้อร์ยื่นมือไปกุมข้อมือของหลี่ไหว สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง หลับตาลงแล้วท่องในใจ “องค์เทพเปิดภูเขาสร้างถ้ำสวรรค์!”


……


ตอนที่สตรีแต่งงานแล้วกับหลี่หลิ่วลงจากภูเขาไปพร้อมกันได้เดินสวนกับเด็กหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งใต้ซุ้มประตูหินตรงตีนเขา


เด็กสาวหันหน้ากลับไปมองจึงประสานสายตากับเด็กหนุ่มพอดี


วินาทีนั้นเด็กสาวผู้มีภาพลักษณ์อ่อนโยนบอบบางมาโดยตลอดหุบยิ้มอย่างรวดเร็ว แล้วแอบหันไปทำท่าตักเตือนแบบลึกลับแต่น่าพรั่นพรึงใส่ราชครูต้าหลีที่นางได้ยินชื่อเสียงมาเนิ่นนานตั้งแต่อยู่ในเมืองเล็ก


นั่นคือใช้ฝ่ามือเรียวบางของตัวเองปาดลำคอ


ชุยตงซานที่เดิมทีก็จงใจมาที่นี่เพื่อพบหน้านางจุ๊ปากชื่นชมไม่หยุด แล้วกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “ตัวประหลาดมีมาให้เห็นทุกปี แต่ปีนี้มากเป็นพิเศษแหะ”


 —–

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)