กระบี่จงมา 170.1-170.2

 บทที่ 170.1 ปรมาจารย์ใหญ่ที่ดื่มสุรารสเลิศ

โดย

ProjectZyphon

บริเวณรอบๆ วังหลวงมีเงาร่างของคนเจ็ดแปดคนบ้างก็ลอยตัวอยู่กลางอากาศ บ้างก็ยื่นตระหง่านอยู่บนกำแพงอย่างหมายมั่นปั้นมือ รอแค่ฮ่องเต้มีคำสั่งก็พร้อมร่วมมือกันสังหารศัตรูทันที เทพเซียนเฒ่าและปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์เหล่านี้ต่างรู้ตื้นลึกหนาบางกันดี การร่วมมือกันจึงไหลรื่นสอดประสาน หากสู้กันตัวต่อตัว พวกเขารู้ดีว่าตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่เหมาะสมกับชายฉกรรจ์จากต่างถิ่นผู้นั้น ทว่าการทะเลาะกันของเทพเซียนใต้หล้านี้ก็ไม่ได้เลื่อมใสการจับคู่ต่อสู้อยู่แล้ว


นอกกำแพงสูงของลานกว้างตำหนักอู่อิง ชุดคลุมลายงูหลามสีแดงสดบนร่างขันทีเฒ่าขาดวิ่นไม่เหลือดี พอลุกขึ้นยืนได้ ริมฝีปากของเขาถึงกับสั่นระริก


ฮ่องเต้ต้าสุยพยักหน้า “ระวังหน่อย”


ขณะเดียวกันระหว่างวังหลวงและด้านนอกวังหลวงของต้าสุย ในพื้นที่ที่กว้างขวางมากมีเรื่องอัศจรรย์บังเกิดขึ้น กองโหราศาสตร์ซึ่งเป็นพื้นที่หนึ่งในนั้นมีมัลละ (ภาษาสันสกฤต หนึ่งหมายถึงชายผู้มีพละกำลัง สองหมายถึงเผ่าพันธุ์ที่มีพละกำลังมาก) เกราะทองส่องประกายแวววาวสิบสองตนมุดดินออกมาจากสี่ด้านแปดทิศ สูงสามสี่จั้ง บนร่างสลักตัวอักขระ แต่ละคนถืออาวุธเทพพิทักษ์แคว้นคนละหนึ่งชิ้น


เสียงระฆังดังขึ้นในวัดแห่งหนึ่ง ตามมาด้วยเสียงสวดภาษาสันสกฤต ในกระถางธูปของอารามเต๋าแห่งหนึ่งมีควันสีม่วงลอยกรุ่น ควันธูปมารวมตัวกันกลายเป็นยันต์ขนาดใหญ่ยักษ์แผ่นหนึ่ง ใต้สะพานหินโค้งแห่งหนึ่งมีเจียวขาวตัวหนึ่งเลื้อยขึ้นไปบนผนังของสะพาน ยื่นหน้าออกมาจากตรงราวสะพาน…


ในวังหลวงมีค่ายกลกำแพงมังกรที่คอยให้การปกป้องลูกหลานมังกรสกุลเกาต้าสุย นอกวังหลวงยังมีค่ายกลขนาดใหญ่ที่ยิ่งใหญ่งดงาม ผ่านการดำเนินการและสั่งสมพลังงานมาหลายร้อยปีของต้าสุย เอาไว้ใช้เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของทั่วทั้งเมืองหลวง ไม่ให้ได้รับภัยคุกคามจากการทำลายล้างของกลุ่มอิทธิพลบนภูเขา


หากค่ายกลใหญ่พิทักษ์เมืองถูกเปิดใช้เมื่อไหร่ก็สามารถบีบให้ผู้ฝึกลมปราณและผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวทั้งหมดที่อยู่ในอาณาเขตของเมืองรับการกดดันจากปราณมังกรสกุลเกา ระดับขั้นลดต่ำลงมาหนึ่งถึงสองขั้น สมมติว่าผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตบนพยายามที่จะทำลายเมืองหลวงของต้าสุย ต่อให้สุดท้ายคนผู้นั้นจะถูกล้อมสังหาร ทว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่เมืองหลวงก็ยังหนักหนาสาหัสอย่างที่สกุลเกาต้าสุยไม่อาจแบกรับไว้ได้อยู่ดี


แต่หากเผชิญหน้ากับนักพรตห้าขอบเขตบนที่ถูกกำราบศักยภาพที่แท้จริงให้เหลือแค่ขอบเขตสิบก็เห็นได้ชัดว่าไม่คณามือเมืองหลวงต้าสุยเลย ต่อให้ทุกคนจะขอบเขตลดลง แต่นี่เรียกว่าฝูงมดกัดช้างให้ตายได้ พลังการทำลายล้างของขอบเขตสิบคนหนึ่ง ต่อให้เจ้าจะสู้สุดชีวิต ตบฟ้าฟาดดินไม่เหลือทางถอยไว้แค่ไหน เมืองหลวงต้าสุยที่มีรากฐานลึกล้ำก็ยังไม่กลัวอยู่ดี


เรื่องที่ค่ายกลสยบขอบเขตก็เหมือนกับการสร้างด่านบนสะพานแห่งความเป็นอมตะ เป็นเหตุให้การไหลเวียนลมปราณของผู้ฝึกลมปราณและผู้ฝึกยุทธ์ถูกขัดขวาง จำเป็นต้องชะลอความเร็วในการเดินทาง


ถ้ำสวรรค์หลีจูในอดีตที่ลอยอยู่เหนืออาณาเขตของต้าหลีถูกสร้างขึ้นจากฝีมือของอริยะสี่ฝ่าย ถูกขนานนามว่าเป็นถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กที่ภายในไม่อนุญาตให้ใช้ทุกเวทคาถา หากฝืนร่ายอาคมจะถูกพลังแว้งกลับอย่างรุนแรง ตอนนั้นหลิวจื้อเม่าสกัดคงคาเจินจวินแค่ทำการพยากรณ์เล็กน้อยก็ถูกหักอายุขัยไปหลายสิบปี เห็นได้ชัดว่าพลานุภาพของค่ายกลนั้นไม่ธรรมดาเลย


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าถ้ำสวรรค์หลีจูก็คือปฐมาจารย์ของค่ายกลประเภทนี้


หลังจากขันทีเฒ่าลุกขึ้นยืนก็กำหมัดสองข้างแล้วชนกันแรงๆ หนึ่งครั้ง ขนคิ้วตั้งด้วยความเดือดดาล คำรามกร้าว “มา!”


เจียวและมังกรมายาสีทองเก้าตัวที่ซ่อนกายอยู่ในค่ายกลกำแพงมังกรของวังหลวงพากันบินจากตำแหน่งต่างๆ เข้าหาจุดที่ขันที่ยืนอยู่อย่างรวดเร็ว สีทองแต่ละเส้นเลื้อยขึ้นสู่เบื้องบน จากนั้นก็กลายมาเป็นงูเล็กสีทองยาวเท่านิ้วมือที่พากันลอดผ่านทวารทั้งเจ็ดของขันทีเฒ่า เข้าไปในจิตวิญญาณของเขาแล้วผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน


เพียงไม่นานผู้เฒ่าก็เหมือนกลายมาเป็นเทพเจ้าสีทองบรรพกาลที่เยื้องกรายลงมาจากสรวงสวรรค์ เขาก้าวยาวๆ ไปทางหลุมโพรงตรงกำแพงสูง ทุกก้าวที่เหยียบลงไปล้วนก่อให้เกิดริ้วคลื่นสีทอง เขาไม่ก้มหัวค้อมเอวลอดออกมา แต่ใช้มือตบผนังให้แตกแล้วเดินตรงกลับออกมายังลานกว้างนอกตำหนักอู่อิงอีกครั้ง


ขุนนางบุ๋นแม่ทัพบู๊คอยให้ความช่วยเหลือกษัตริย์ เรียกว่าผู้ประคองมังกร (ฝูหลง 扶龙) ส่วนพวกขันทีข้ารับใช้ฝ่ายในนั้นจะเรียกว่าผู้แอบอิงมังกร (ฟู่หลง 附龙) อันดับหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีการขานตอบบางอย่างต่อปราณมังกรของจักรพรรดิ ทว่าการที่ขันทีเฒ่าสูงวัยซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เฝ้าประตูเมืองหลวงต้าสุยท่านนี้สามารถดึงปราณมังกรของสกุลเกาเชื้อพระวงศ์ผู้ยิ่งใหญ่มาให้ตัวเองใช้ก็ยังคงเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่ออยู่ดี ผู้ฝึกลมปราณและปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ที่อยู่รอบนอกของวังหลวงหันมามองหน้ากัน สายตาของแต่ละคนต่างก็ฉายแววตกตะลึงระคนหวาดกลัว


เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ต้องมีความลับยิ่งใหญ่ที่ไม่อาจบอกใครได้แอบแฝงอยู่แน่นอน


ขันทีเฒ่าหันไปตวาดใส่ชายฉกรรจ์จากต่างถิ่นผู้นั้น “มาสู้กันอีกหน่อยเป็นไง?!”


หากจะบอกว่าก่อนหน้านี้เขาคือนักเล่นหมากล้อมผู้อ่อนด้อยขั้นเก้าในบรรดาฉีไต้จ้าวของต้าสุย ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ฝีมือการเล่นหมากล้อมของเขาก็ทะยานพรวดขึ้นกลายมาเป็นนักเล่นผู้แข็งแกร่งขั้นเก้าซึ่งเป็นระดับสูงสุดแล้ว (*ผู้เล่นหมากล้อมแบ่งเป็นคนที่ฝีมืออ่อนด้อยและแข็งแกร่ง ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างก็แบ่งระดับออกเป็นเก้าขั้นเหมือนกัน)


หลี่เอ้อร์มองผู้เฒ่าด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย ในร่างของอีกฝ่ายเหมือนถูกกรอกของเหลวสีทองปริมาณมหาศาลลงไปคล้ายคาถาเชิญเทพของปฐมสำนักสองแห่งของสำนักการทหาร แต่ตามหลักแล้วไม่น่าจะเป็นเช่นนั้นไปได้


หลี่เอ้อร์คร้านจะคิดให้ลึกซึ้ง เพียงผงกศีรษะ “แบบนี้ถึงจะพอใช้ได้”


การต่อสู้ครั้งใหญ่กับซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าแคว้นต้าหลีในถ้ำสวรรค์หลีจูครานั้นมีหินลับมีดสองก้อน ก้อนหนึ่งคือซ่งจ่างจิ่ง ก้อนที่สองคือตัวของถ้ำสวรรค์หลีจูเอง แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ หลี่เอ้อร์ก็ยังไม่สามารถฝ่าทะลุขอบเขตได้สำเร็จ กลับกลายเป็นว่าส่งให้ซ่งจ่างจิ้งเลื่อนสู่ขอบเขตสิบในตำนาน เดินเข้าสู่ขอบเขตปลายทางอย่างแท้จริง


หากจะบอกว่าไม่ผิดหวังเลยสักนิด นั่นย่อมเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นหลี่เอ้อร์จึงรับปากอาจารย์หยางเหล่าโถวว่าจะออกจากบุรพแจกันสมบัติทวีป เพื่อตามหาโอกาสในการพิสูจน์มหามรรคาของตน


ตอนนั้นผู้เฒ่าเอ่ยประโยคหนึ่งที่เป็นการเปิดเผยความลับสวรรค์ว่า “การฝ่าทะลุขอบเขตของเจ้าไม่ได้อยู่ระหว่างความเป็นความตาย”


หลี่เอ้อร์หันมองรอบด้านแล้วพลันกระจ่างแจ้ง


เหตุใดหยางเหล่าโถวต้องบอกให้เขาอำพรางฐานกระดูกและพรสวรรค์ของหลี่ไหว แล้วเหตุใดคืนที่อาจารย์ฉีไปเยี่ยมเยือนถึงบ้านได้พูดประโยคหนึ่งคล้ายชวนคุยเรื่อยเปื่อยตอนดื่มเหล้าว่า “ผู้แข็งแกร่งชักดาบเข้าใส่ผู้ที่แข็งแกร่งกว่า” ตอนนี้มาตอนนึกดู นี่เป็นการแสดงให้รู้ว่าอาจารย์ฉียอมรับในวิถีการต่อสู้ของเขา ตอนนั้นฉีจิ้งชุนชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนแล้ว เขาหลี่เอ้อร์เดินอยู่บนมหามรรคาใต้ฝ่าเท้าของตัวเองตลอดเวลา เสียดายก็แต่ว่าเขาไม่เคยรู้มาก่อน


ออกหมัดใส่ผู้ที่แข็งแกร่งกว่า ถูกต้องแล้ว!


ศึกตัดสินเป็นตายกับซ่งจ่างจิ้งในครั้งนั้น เดิมทีหลี่เอ้อร์ก็เป็นฝ่ายได้เปรียบอยู่แล้ว อันที่จริงปณิธานในการต่อสู้ของเขาไม่สูงมาก เพียงแค่ทำตามคำสั่งของอาจารย์ผู้มีพระคุณเท่านั้น บวกกับที่อยากรู้ว่าฝีมือการต่อสู้ของตนมีมากน้อยแค่ไหนกันแน่ ดังนั้นสุดท้ายแล้วเขาจึงลงมือต่อสู้อย่างเต็มคราบ ทว่าส่วนลึกในใจหลี่เอ้อร์กลับไม่รู้สึกว่านั่นเป็นการ “ระบายโทสะ” อย่างที่ตัวเองต้องการ


ทว่าวันนี้เขาตั้งตัวเป็นศัตรูกับคนทั้งต้าสุย หากจะบอกว่าสาเหตุเป็นเพราะต้องการทวงความยุติธรรมให้กับหลี่ไหวบุตรชาย ถ้าเช่นนั้นตอนนี้เผชิญหน้ากับศัตรูจากทั่วสารทิศ ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกรุมล้อมด้วยพยัคฆ์และหมาป่า หลี่เอ้อร์กลับหัวเราะ หัวเราะอย่างเบิกบานใจ


ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนยอดเขาตงหัว หลี่เอ้อร์อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร จึงได้แต่เก็บไว้ในใจตัวเองเท่านั้น


ดังนั้นตอนนี้หลี่เอ้อร์ที่เป็นคนไม่เอาถ่านในถ้ำสวรรค์หลีจูมาชั่วชีวิตจึงคิดตกแล้ว ลูกชายของตนว่าง่ายขนาดนี้ แถมยังถูกคนรังแก หากศักยภาพขอบเขตเก้าของเขาที่เป็นบิดาไม่มากพอ ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ช่างหัวขอบเขตที่เก้ามันเถอะ ฝ่าไปให้ถึงขอบเขตที่สิบได้ก่อนค่อยว่ากัน!


หลี่เอ้อร์สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง รับสัมผัสกับแรงกดดันไร้รูปลักษณ์ที่มาจากสี่ด้านแปดทิศอยู่เงียบๆ พลางเอ่ยกับตัวเองในใจ “อย่าเพิ่งรีบร้อน ข้าวต้องกินทีละคำ หินลับมีดก้อนนี้ยังไม่หนักมากพอ”


หลี่เอ้อร์ที่ในมือไร้อาวุธ มีเพียงหมัดหนึ่งคู่กับขันทีเฒ่าที่อาศัยปราณมังกรต้าสุยสร้างร่างทองคำ ไม่มีศาสตราวุธแข็งแกร่งใดๆ ในมือเช่นกันเริ่มกระโจนเข้าใส่ฝ่ายตรงข้าม


วิถีการต่อสู้นั้นสุดโต่ง ไม่มีคำว่ากระบวนท่าลูกไม้ใดๆ ให้ใช้ มีแค่สามคำว่าเร็ว แรงและแม่นยำเท่านั้น ใช้ความเร็วที่มากที่สุด ใช้พละกำลังที่มากที่สุดโจมตีไปยังจุดที่อ่อนแอที่สุดบนร่างของอีกฝ่าย เพื่อลดทอนพลังของกันและกันแบบน้ำซึมลึก ดูว่าใครที่สามารถอดทนได้ถึงท้ายที่สุด ใครยืนอยู่ก็รอด ล้มลงก็ตาย ง่ายดายแค่นี้


ผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกซึ่งเป็นขอบเขตเก้าขั้นสูงสุดทั้งสองคน ทุกครั้งที่ออกหมัด หมัดนั้นต่างก็กระแทกลงบนร่างของฝ่ายตรงข้าม ถึงขั้นทำให้ทะเลสาบในหัวใจของผู้ฝึกลมปราณและผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหมดที่อยู่บนบริเวณริมขอบของวังหลวงสั่นสะเทือน ลมปราณซัดตลบวุ่นวาย


การประหัตประหารกันระหว่างหลี่เอ้อร์และขันทีผู้สวมชุดคลุมลายงูหลามนับเป็นการต่อสู้ระหว่างเทพเซียนบนภูเขาแล้ว นี่ไม่เหมือนการเข่นฆ่าในยุทธภพที่พลังพิฆาตมีจำกัด อย่าได้คิดจะมาชมเรื่องสนุกใกล้ๆ เด็ดขาด และนี่ก็คือกฎเกณฑ์ข้อหนึ่งที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรของตระกูลเซียนบนภูเขา


ชมเรื่องสนุกก็จริง แต่อาจเอาชีวิตไปทิ้งจริงๆ ส่วนพวกที่คิดจะตบมือร้องให้กำลังใจหรือชี้แนะแนวทางก็ยิ่งเป็นข้อห้ามใหญ่ การทะเลาะเบาะแว้งระหว่างผู้ฝึกลมปราณมักจะต้องโยนสมบัติอาคมออกมา ช้างสารชนกัน ก็ไม่พ้นหญ้าแพรกต้องแหลกลาญ ยิ่งทุ่มสุดชีวิตมากเท่าไหร่ ใช้เคล็ดลับกลยุทธ์มากมายแค่ไหนก็ง่ายที่จะเปลี่ยนจากสมรภูมิรบเดิมไปยังนอกสมรภูมิรบมากเท่านั้น บวกกับที่ว่าหากไม่ทันระวังการต่อสู้ก็จะลุกลามกินรัศมีหลายลี้หลายสิบลี้ สิ่งมีชีวิตที่อยู่ใกล้เคียงล้วนไม่มีเหลือ หากยังกล้าละโมบอย่างชมเรื่องสนุก ไม่เรียกว่ารนหาที่ตายจะเรียกว่าอะไร?


การที่ยังมีคนยอมเสี่ยงตายมาชมสุดยอดแห่งการต่อสู้ที่สร้างความเห่อเหิมนี้นั่นเป็นเพราะการเข่นฆ่าของผู้แข็งแกร่งที่เจอกับผู้แข็งแกร่งกว่าสามารถขัดเกลาจิตใจ อาศัยหินบนภูเขาอื่นมากลึงเป็นหยก พยายามชดเชยช่องโหว่เพื่อปรับเปลี่ยนแก้ไขเวทคาถาของตัวเองให้สมบูรณ์แบบมากขึ้น ไม่ใช่เพื่อวิจารณ์ว่ากระบวนท่านี้สวยงาม หรือหมัดนั้นเหวี่ยงมาอย่างเจ้าเล่ห์


ดังนั้นระหว่างอยู่บนเส้นด้ายแห่งความเป็นความตาย ในฐานะคนเฝ้าประตูของเมืองหลวงต้าสุย ระหว่างที่ออกหมัด ขันทีสูงวัยก็ยังออกกฎข้อหนึ่งกับหลี่เอ้อร์ “ใครพ้นออกจากลานอู่อิง ผู้นั้นคือคนแพ้!”


เห็นได้ชัดว่าพยายามอย่างตั้งใจมากจริงๆ


โชคดีที่หลี่เอ้อร์พยักหน้าตอบรับ


คนทั้งสองอยู่ห่างกันไม่มาก หมัดที่ปล่อยออกมาก่อให้เกิดบรรยากาศยิ่งใหญ่พลิกฟ้าพลิกดิน


ก้อนอิฐที่ปูบนลานกว้างของตำหนักอู่อิงที่เดิมทีรายเรียบเด้งกระดอนปริแตก ร่องลึกตัดสลับกัน ขรุขระเป็นแถบๆ


แม้แต่กำแพงสีชาดสองฝั่งก็เกิดเป็นหลุมโพรงขนาดใหญ่หลายสิบหลุม ด้านหลังของหลี่เอ้อร์มีแค่สี่ห้าหลุม ทว่ากำแพงสูงด้านหลังขันทีขุดงูหลามกลับเกิดรอยปริร้าวมากกว่า มีอยู่จุดหนึ่งที่เป็นสามหลุมใหญ่เชื่อมต่อกัน เป็นเหตุให้ผนังแทบนั้นล้มครืนลงมาคล้ายเปิดประตูบานใหญ่ ทุกครั้งคนทั้งสองต่างก็ไม่ถอยออกไปจากกำแพงสูงอย่างแท้จริง นี่จึงหมายความว่ายังไม่รู้ผลแพ้ชนะ ยังต้องสู้กันต่อ!


แม้ว่าขันทีสูงวัยจะตกเป็นรองไม่น้อย แต่ยิ่งพบอุปสรรคเขาก็ยิ่งกล้าหาญ ไม่มีท่าทางทดท้ออาลัยแม้แต่น้อย ชุดคลุมงูหลามสีแดงสดอันเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจยิ่งขาดวิ่น ทว่าร่างทองคำมิพ่ายที่ยากจะทำลายนั้นกลับไม่มีลางว่าจะหม่นมัวลงแม้แต่น้อย เพราะจะอย่างไรซะการต่อสู้ในที่แห่งนี้ นับว่าฟ้าอำนวยดินอวยพรต่อขันทีของต้าสุยท่านนี้ ไม่เพียงแต่เปลี่ยนจากอ่อนด้อยขั้นเก้าเป็นแข็งแกร่งขั้นเก้า อีกทั้งปราณมังกรในวังหลวงที่เชื่อมโยงกับโชคชะตาแคว้นต้าสุยอย่างแนบแน่นยังมารวมตัวกันไม่ขาดสาย ทำให้ผู้เฒ่ายืนหยัดมิพ่ายแพ้


หมัดแลกหมัดแบบเน้นๆ หมัดหนึ่งของผู้เฒ่าร่างทองต่อยลงบนหน้าผากของหลี่เอ้อร์ หมัดของหลี่เอ้อร์ก็กระแทกลงบนหน้าอกของผู้เฒ่า


ร่างของหลี่เอ้อร์กระเด็นออกไป เท้าเหยียบลงบนกำแพงสูง อาศัยแรงสะท้อนดีดตัวกลับ พุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม ผนังด้านหลังถล่มครืนลงมาแถบใหญ่ ขันทีเฒ่าที่ก่อนหน้านี้เจอกับหมัดนั้นถอยกรูดไปด้านหลัง ยิ่งไถลลื่นเท้าทั้งสองข้างก็ยิ่งกดลึกลงบนพื้น ไถครูดให้เกิดร่องลึกเส้นหนึ่งที่ยาวหลายสิบจั้ง เมื่อหลี่เอ้อร์กระโจนเข้ามาอีกครั้งจึงได้แต่ยกแขนสองข้างบังศีรษะ


หมัดนี้ของหลี่เอ้อร์ต่อยให้ร่างของผู้เฒ่าจมลึกลงไปในดินอีกสองจั้งกว่า บนพื้นจึงกลายเป็นหลุมใหญ่


หลี่เอ้อร์ยังไม่เลิกรา เขากระโดดตัวขึ้นสูง กำมือสองข้างแน่นแล้วควงหมัดแสกหน้าขันทีเฒ่าที่กึ่งคุกเข่าอยู่ใต้หลุม


ปังๆๆ!


ในหลุมใหญ่เกิดเสียงทึบหนักดังเป็นระลอก ถี่กระชั้นดั่งเสียงกีบม้าของกองทัพม้าเหล็กที่เหยียบลงบนพื้นดิน


ทุกครั้งที่แรงสั่นสะเทือนส่งมาจากใต้ดิน หลุมใหญ่ก็เริ่มขยายขนาด พื้นผิวหน้าดินมีสะเก็ดก้อนอิฐปลิวว่อนไม่หยุด


ชายฉกรรจ์ที่ป่าเถื่อนอย่างถึงที่สุดผู้นั้นทำราวกับว่ากำลังขุดบ่ออย่างไรอย่างนั้น!


หมัดของเขาต่อยจนผู้เฒ่าไม่เหลือแรงตอบโต้ ร่างจมดิ่งสู่ด้านล่าง แสงทองทั่วกายระเบิดแตกต่อเนื่อง


มีผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบคนหนึ่งขี่กระบี่มากลางอากาศ ยิ้มเจื่อนเอ่ยขึ้น “เพิ่งรู้ว่าผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าขั้นสูงสุดไร้เหตุผลได้ถึงขนาดนี้”


ระหว่างที่พูดกระบี่บินใต้ฝ่าเท้าของเขาก็ส่ายไหวน้อยๆ ประหนึ่งต้นไม้น้ำในแม่น้ำไหลเชี่ยวที่ส่ายสะบัด หากไม่เป็นเพราะคนคุมหางเสือมือนิ่งมากพอก็คงลอยล่องไปไกลแล้ว


ถ้าไม่ใช่เพราะมีหน้าที่ที่ต้องทำ การช่วงชิงบนวิถีวรยุทธ์ไม่มีประโยชน์ใดๆ ต่อผู้ฝึกลมปราณชั้นเอกที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วราชสำนักอย่างเขา มีหรือที่เขาจะต้องพาตัวมาลำบากที่นี่


 วังหลวงต้าสุยมีระเบียงผนังแห่งหนึ่งที่ซุกซ่อนความลี้ลับเอาไว้ สามารถใช้ช่องทางลับเดินทางไปยังที่ใดก็ได้ ยกตัวอย่างเช่นสำนักโหราศาสตร์ ที่ว่าการหกกรม รวมไปถึงสำนักศึกษาซานหยาแห่งใหม่บนภูเขาตงหัว ฯลฯ ฮ่องเต้ต้าสุยสามารถเดินเข้าไปในระเบียงผนังแห่งนี้โดยไม่สร้างความแตกตื่นให้กับขุนนางในวังหลวงและชาวบ้านนอกวัง หลีกเลี่ยงไม่ให้ชาวบ้านต้องทำความสะอาดกวาดถนนทุกครั้งที่เขาออกนอกวัง


ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ที่ตรงเอวห้อยไม้บรรทัดสีแดงคนหนึ่งก้าวเดินเนิบช้า ข้างกายมีขันทีผู้ถือพู่กันดูแลงานด้านเอกสารที่หน้าผากมีเหงื่อซึมคนหนึ่ง เขาเองก็สวมชุดคลุมลายงูหลามสีแดงสดเหมือนขันทีที่กำลังต่อสู้เพื่อบ้านเมืองบนลานกว้างตำหนักอู่อิงผู้นั้น เพียงแต่ว่าสถานะและระดับขั้นของคนทั้งสองนั้นต่างกันราวก้อนเมฆกับดินโคลน


ขันทีผู้ถือพู่กันได้แต่เร่งให้เหมาเหล่ารีบเข้าวังอย่างระมัดระวังอีกครั้ง ทว่าแม้ปากของเหมาเสี่ยวตงที่เดินทางออกจากภูเขาตงหัวจะตอบรับ ทว่าฝีเท้ากลับยังคงไม่รีบไม่ร้อน ทำเอาขันทีร้อนรุ่มกระวนกระวายใจ นึกอยากจะแบกผู้เฒ่าวิ่งกลับไปยังวังหลวงเสียเดี๋ยวนี้


ในสำนักศึกษาซานหยาบนภูเขาตงหัว หลังออกมาจากยอดเขา เด็กหนุ่มชุดขาวทีเปลี่ยนชื่อเป็นชุยตงซานอย่างเป็นทางการก็เดินไปยังหอพักของตัวเองอย่างเกียจคร้าน เขาได้ครอบครองเรือนขนาดเล็กเงียบสงบเป็นส่วนตัวแห่งหนึ่ง ตอนนี้เขาที่ไปทะเลาะกับคนอื่นได้ตัวตนบรรพบุรุษตระกูลชุยมา เด็กสาวเซี่ยเซี่ย หรือก็คือเซี่ยหลิงเยว่นักพรตผู้มีพรสวรรค์ของราชวงศ์สกุลหลูจึงกลายมาเป็นลูกศิษย์ของเขาอย่างถูกต้องสมเหตุสมผล และได้ย้ายมาพักอยู่ที่เรือนเพื่อคอยปรนนิบัติรับใช้เขา


ชุยตงซานเดินเข้าไปในลานบ้าน สะบัดชายแขนเสื้ออย่างสง่างาม บนโต๊ะหินก็มีกระดานหมากล้อมและเม็ดหมากล้อมสองกล่องปรากฎขึ้น บนกระดานหมากมีเม็ดหมากวางไว้ก่อนแล้ว หมากขาวและดำตัดสลับกันไม่เป็นระเบียบ สถานการณ์ซับซ้อนอย่างยิ่ง


ชุยตงซานคีบหมากสีขาวเม็ดหนึ่งขึ้นมา นิ่งคิดไม่พูดจา ถือค้างไม่ยอมวางลง


เด็กสาวที่ตะปูขังมังกรในร่างถูกเอาออกไปครึ่งหนึ่ง ตบะของผู้ฝึกลมปราณได้กลับคืนสู่ขอบเขตห้าแล้ว หากเพ่งมองอย่างละเอียดก็ยังพอจะมองเห็นได้ว่าทั่วร่างของนางมีประกายแสงไหลวน


ชุยตงซานถอนหายใจหนึ่งที วางหมากสีขาวกลับลงไปในกล่องใส่เม็ดหมาก ไม่สนใจจะเล่นหมากอีกต่อไป เดินเข้าไปในห้อง นั่งลงเรียบร้อยสำรวม วางคัมภีร์ของลัทธิขงจื๊อเล่มหนึ่งไว้ตรงหน้า นิ้วทั้งสิบของสองมือสอดประสานวางไว้หน้าตัก


มีลมเย็นพัดผ่านตำรา เปิดหน้าหนังสือที่เหลืองเก่าคร่ำคร่าออก


เด็กสาวเซี่ยเซี่ยยืนอยู่หน้าประตู สายตามีทั้งความเคารพเกรงกลัวและความอิจฉา


ลมเย็นขุมนั้นก็คือลมเปิดหน้าหนังสือที่มีเฉพาะในสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อ


ลึกล้ำไม่อาจคาดการณ์ แปรปรวนเอาแน่เอานอนไม่ได้


นี่คือความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดหลังผ่านการสังเกตการณ์ที่นางและอวี๋ลู่มีต่อราชครูต้าหลีที่อยู่ในหนังหุ้มกายเป็นเด็กหนุ่ม


เจ้าไม่มีทางรู้เลยว่าในหัวเขาคิดอะไรอยู่ ก้าวถัดไปจะทำอะไร


นางพลันนึกถึงเด็กหนุ่มจากตรอกยากจนที่สวมรองเท้าแตะตลอดปีชาติ เขาทำอย่างไรถึงสามารถสยบราชครูต้าหลีผู้นี้ได้ทุกจุด? เพียงแค่อาศัยตำแหน่งอาจารย์ที่ได้มาครอบครองอย่างประหลาดอย่างเดียวเท่านั้นจริงๆ น่ะหรือ?


การแข่งขันทางจิตใจประหนึ่งการแข่งชักคะเย่อ ต้องมีคนที่แพ้หรือชนะ


ชุยตงซานนั่งนิ่งไม่ขยับ ปล่อยให้ลมเปิดหน้าหนังสือพลิกเปิดหน้าตำรา ก้มหน้าจ้องมองตัวอักษรอันเป็นคำสอนของอริยะและนักปราชญ์เหล่านั้นเขม็ง แล้วกล่าวพลางอมยิ้ม “อาเหลียงเคยมีคำพูดติดปากประโยคหนึ่งบอกว่า ‘อยู่ในยุทธภพ พวกเราต้องใช้คุณธรรมสยบใจคน ใช้หน้าตาเอาชนะศัตรู’ อาจารย์ของข้าได้รับการสืบทอดมาทั้งหมด ดังนั้นข้าที่เป็นลูกศิษย์จึงยอมศิโรราบด้วยความปลื้มปิติ”


เด็กสาวหลุบตาลงต่ำ ไม่กล้าเปิดเผยแววตาของตัวเองอีก


ชุยตงซานพูดเสียงขุ่นโดยที่ยังคงไม่เงยหน้า “นังอัปลักษณ์ไสหัวไปไกลๆ มาอยู่ร่วมห้องกับเด็กหนุ่มหล่อเหลาสง่างามเช่นข้า ไม่ทำให้เจ้ารู้สึกละอายใจบ้างเลยหรือ? หากข้าเป็นเจ้าคงฆ่าตัวตายด้วยความอับอายไปนานแล้ว!”


เด็กสาวยอบตัวคารวะ เอ่ยเสียงแผ่ว “บ่าวขอตัว”


ชุยตงซานเอ่ยเสริมอีกหนึ่งประโยค “จะตายก็อย่ามาตายในบ้าน บนยอดเขามีต้นอิ๋นซิ่งสูงใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง ไปผูกคอตายที่โน่น”


เด็กสาวจากไปอย่างหม่นหมอง นางเดินไปนั่งลงบนม้านั่งหิน มองกระดานหมากแล้วดวงตาพลันเป็นประกายราวกับหาทางรอดในการมีชีวิตอยู่เจอ


สัมผัสได้ถึงคลื่นลมปราณที่ผิดปกติของเด็กสาว ชุยตงซานที่อยู่ในห้องหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังจนต้องรีบเอามือกุมท้อง เช็ดคราบน้ำตาพลางพูดเสียงดัง “คนอย่างเจ้าเนี่ยนะคิดจะเป็นอาจารย์แม่ของข้า? ข้าผู้อาวุโสจะหัวเราะตายเพราะเจ้าแล้วนะเนี่ย ถือว่าเจ้าร้ายกาจ จะทำให้คุณชายของเจ้าหัวเราะตายจริงๆ …”


เด็กสาวพลันรู้สึกสิ้นหวังอีกครั้งในชั่วพริบตา


เด็กหนุ่มชุดขาวที่อยู่ในห้องกลับขำกลิ้งไม่เลิก


—–


บทที่ 170.2 ปรมาจารย์ใหญ่ที่ดื่มสุรารสเลิศ

โดย

ProjectZyphon

ในวังหลวงต้าสุย ใต้หลุมใหญ่บนลานกว้างตำหนักอู่อิง


ขันทีเฒ่าลุกขึ้นยืนร่างโงนเงน มังกรและเจียวสีทองเล็กบางเก้าตัวไหลหายออกจากช่องทวาร กลับคืนสู่ค่ายกลกำแพงมังกรบนพื้นดินอีกครั้ง


ร่างของผู้เฒ่าอาบไปด้วยเลือดสด แต่สีหน้ากลับฮึกเหิมราวกับว่าได้รับผลประโยชน์อย่างมากจากการต่อสู้ครั้งนี้ แม้จะไม่มีวี่แววว่าจะฝ่าทะลุขอบเขต แต่ก็เหมือนนักเล่นหมากล้อมขั้นเก้าที่อ่อนแอที่สุดได้ก้าวเดินอย่างมั่นคงจนฝีมือการเล่นเลื่อนขั้นถึงระดับแข็งแกร่งช่วงกลาง เพียงแต่ว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ยังคงไม่อาจรับมือกับชายที่อยู่เบื้องหน้าได้อยู่ดี ถ้าอย่างนั้นเขาก็จะไม่เอาปราณมังกรที่ล้ำค่าของสกุลเกาต้าสุยมาใช้ให้สิ้นเปลืองอีกต่อไปแล้ว


ผู้เฒ่ากลืนเลือดสดที่แล่นขึ้นมาในลำคอลงไป ยิ้มกว้างสง่างาม “ข้าแพ้แล้ว”


หลี่เอ้อร์เงยหน้ามองท้องฟ้าที่เมฆหมอกขมุกขมัว แสงอาทิตย์ฤดูหนาวที่ส่องลอดผ่านชั้นเมฆออกมาคล้ายจะบิดเบือนไปมาก นี่เป็นเรื่องที่ปกติอย่างยิ่ง


ผู้เฒ่ากล่าวขึ้นอีก “เจ้าก็แพ้เหมือนกัน”


หลี่เอ้อร์ถามยิ้มๆ “ใช้ค่ายกลกดขอบเขตข้า? กดข้าให้เหลือแค่ขอบเขตแปด?”


ขันทีเฒ่าตอบตามตรงไม่ปิดบัง “ใช้กำลังของทั้งเมืองล้อมจับผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าที่แข็งแกร่งคนเดียว ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าใครจะแพ้ใครจะชนะ ทว่าค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายอาจมหาศาลเกินไป แต่รับมือกับผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแปดคนหนึ่งกลับง่ายดายอย่างมาก แม้จะต่างแค่ขอบเขตเดียว แต่ค่าตอบแทนที่ต้าสุยต้องจ่ายกลับลดน้อยลงไปมาก มากกว่าเดิมเยอะ”


ขันทีเฒ่ามองไปทางปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ที่ฝีมือน่าหวาดกลัวแล้วเปิดเผยความในใจอย่างที่หาได้ยาก “ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด แต่หากเจ้าอยากพบฝ่าบาท ย่อมได้ เจ้ามีคุณสมบัตินั้น แต่ก็ไม่ควรสร้างเรื่องเอิกเกริกใหญ่โตถึงขนาดนี้ เพราะอย่างไรซะราชสำนักต้าสุยของพวกเราก็ยังมีหน้าตาให้ต้องรักษา”


หลี่เอ้อร์แสยะยิ้ม “ความหมายของเจ้าก็คือหมัดของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้ายังใหญ่สู้หน้าของต้าสุยพวกเจ้าไม่ได้ ใช่ไหม?”


ขันทีเฒ่าอึ้งตะลึงไปก่อนจะยิ้มจืดเจื่อน “จะพูดอย่างนี้ก็ได้”


หลี่เอ้อร์กลั้นลมหายใจรวบรวมสมาธิ มหาสมุทรลมปราณจมลงเบื้องล่าง ก้าวเบาๆ ออกไปหนึ่งก้าว ชายฉกรรจ์ที่ไม่เคยใช้กระบวนท่าใดตลอดการต่อสู้ตั้งท่าหมัดโบราณอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน


ปณิธานแห่งหมัดที่แผ่ออกมาจากทั่วร่างเก่าแก่เรียบง่าย ดุดันเกินจะเปรียบ!


ขันทีเฒ่าที่ระดับลดลงสู่ขอบเขตแปดเบิกตากว้างอย่างตะลึงพรึงเพริด


จากนั้นเมฆหมอกที่ปกคลุมไปทั่วเมืองหลวงก็เริ่มลดตัวลงต่ำ


ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางทุกคนในเมืองหลวงและผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตหกขึ้นไปต่างก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าการโคจรลมปราณในร่างติดขัดไม่ราบรื่น


และยิ่งมีนักเล่านิทานตกอับไร้แซ่ไร้นามไร้สัญชาติคนหนึ่งที่เผยสีหน้าประหลาดใจ ลังเลอยู่ชั่วครู่ก็วางไม้ปลุกสติ (ไม้ท่อนสี่เหลี่ยมที่สมัยโบราณใช้เคาะโต๊ะในศาลเวลาพิจารณาคดีเพื่อแสดงอำนาจอันน่าเกรงขาม) ในมือลง กล่าวขออภัยหนึ่งคำ ไม่สนใจเสียงด่าขรมของคนฟัง เดินจ้ำอ้าวออกจากเพิงเล่านิทานที่สร้างขึ้นชั่วคราว ผู้เฒ่าเงยหน้ามองไปทางวังหลวงด้วยอารมณ์หนักอึ้ง เด็กสาวที่ทำหน้าที่ดีดผีผาให้กับนักเล่านิทานเดินมาหยุดอยู่ข้างกาย ถามเสียงเบา “อาจารย์ มีอะไรหรือ?”


ผู้เฒ่าตอบเสียงเบาเช่นกัน “มีผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าบุกเข้าไปในวังหลวงต้าสุยเรา เกรงว่าอาจารย์คงต้องไปดูให้เห็นกับตาตัวเองสักหน่อยแล้ว”


เด็กสาวอุ้มผีผาไว้ในอ้อมอก เอียงศีรษะ ยิ้มไร้เดียงสา “อาจารย์ ท่านเป็นถึงนักพรตใหญ่ขอบเขตสิบเอ็ด อีกอย่างท่านยังเป็นผู้ที่ได้รับการปรนนิบัติดูแลเป็นอันดับหนึ่งของต้าสุยเรา จึงไม่ถูกพันธนาการจากค่ายกลปกป้องเมือง ใช้ขอบเขตสิบเอ็ดเล่นงานขอบเขตแปด ไม่เห็นจะน่าสนใจตรงไหนเลย”


ผู้เฒ่าที่หลังค่อมเล็กน้อยถอนหายใจ “ใครบอกกว่าสิบเอ็ดเล่นงานแปดจะต้องไม่ดีเสมอไป หากสามารถทำให้คนผู้นั้นฝ่าคอขวดไปได้ ขีดกำจัดของค่ายกลก็จะไม่หลงเหลืออีกต่อไป บวกกับที่ถึงแม้ว่าขอบเขตของอาจารย์จะเป็นสิบเอ็ด แต่ก็ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่หรือนักการทหารที่เชี่ยวชาญการเข่นฆ่า อาจารย์อย่างข้าไม่เคยเก่งด้านการสังหารเลย นี่ต่างหากถึงจะเป็นจุดที่ยุ่งยากมากที่สุด”


เด็กสาวที่รู้เรื่องวงในของการฝึกตนทำสีหน้าตะลึงงาน ใบหน้าของนางขาวซีดในฉับพลัน น้ำเสียงสั่นระริก “ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ต้องระวังตัวนะเจ้าคะ!”


นักเล่านิทานอืมรับหนึ่งที กระทืบเท้าเบาๆ ฝุ่นผงคลุ้งตลบรอบร้านจนบริเวณโดยรอบมืดฟ้ามัวดิน รอจนฝุ่นสลายหายไป ก็ไม่เห็นเงาร่างของผู้เฒ่าหลังค่อมอีกแล้ว


……


หลี่เอ้อร์ก้าวเท้าลงไปบนความว่างเปล่าครั้งแล้วครั้งเล่า เรือนกายแข็งแกร่งกำยำเผยกายอยู่บนลานกว้างตำหนักอู่อิงอีกครั้ง


จากขอบเขตแปดขั้นสูงสุดแหวกฝ่าปราการมหามรรคาไร้รูปลักษณ์ที่อยู่ท่ามกลางฟ้าดินไปตลอดทาง จนกระทั่งกลับคืนสู่ขอบเขตเก้าอีกครั้ง!


จากนั้นก็ไต่ทะยานสู่ขอบเขตเก้าขั้นสูงสุด!


สุดท้ายเมื่อชายฉกรรจ์หลับตาลง เขาก็ปล่อยหมัดออกมาช้าๆ พลางเอ่ยเบาๆ “จงเปิดให้ข้า!”


รอบด้านคล้ายมีโซ่พันธนาการจำนวนนับไม่ถ้วนปริแตกพร้อมกัน ความว่างเปล่าข้างกายชายฉกรรจ์ปรากฎรอยร้าวสีดำมืดหลายเส้นที่ตัดสลับกัน


พายุลมกรดก่อตัวขึ้นรอบทิศโดยมีหลี่เอ้อร์เป็นจุดศูนย์กลาง


หอบเอาฝุ่นผงเศษหิน เศษอิฐจำนวนนับไม่ถ้วนหมุนคว้าง


พื้นราบของลานกว้างตำหนักอู่อิงกระเด้งม้วนตลบ!


เมื่อหลี่เอ้อร์เก็บหมัดยืนนิ่งอยู่ที่เดิม


พายุหมุนที่สูงเทียมฟ้าลูกนั้นก็สลายไปในบัดดล


ชายฉกรรจ์ร่างเล็กเตี้ยที่ยืนอยู่กลางลานกว้างลืมตาขึ้นมา แล้วเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำที่เบาจนไม่ได้ยิน “ความรู้สึกของขอบเขตสิบโปร่งสบายจริงๆ ดีกว่าตอนกินน่องไก่ที่ลูกชายเหลือไว้เล็กน้อย”


……


ฮ่องเต้ต้าสุยที่ยืนรอข่าวอยู่ใต้ชายคามองผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ของสำนักศึกษาซานหยาสาวเท้าเร็วๆ เข้ามาหา เอ่ยเสียงดังว่า “ฝ่าบาทสามารถหยุดมือได้แล้วพะย่ะค่ะ”


ลมเย็นพัดผ่านไปข้างกาย นักเล่านิทานหลังค่อมยืนอยู่ข้างกายฮ่องเต้ ถอนหายใจพูดเสียงเบา “หากยังคิดจะสู้กันต่อไปก็มีแต่ต้องตัดใจยอมให้ครึ่งเมืองถูกรื้อถึงจะได้”


และในทะเลสาบหัวใจของฮ่องเต้ต้าสุยเสียงร้อนใจของขันทีชุดงูหลามดังกระเพื่อมขึ้น “คนผู้นั้นถึงกับฉวยโอกาสนี้ฝ่าทะลุขอบเขตสิบ! ฝ่าบาทไม่ควรใช้วิธีตาต่อตา ฟันต่อฟันอีกแล้วพะย่ะค่ะ!”


ฮ่องเต้ต้าสุยไม่มีอาการลนลาน เพียงปลงอนิจจังจากใจจริง “แม้ว่าจะไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง แต่ก็พอจะจินตนาการได้ว่า ภาพการต่อสู้ตรงลานกว้างตำหนักอู่อิงจะต้องยิ่งใหญ่อลังการมากแน่นอน”


ฮ่องเต้ต้าสุยหมุนตัวกลับมา ถึงขั้นกุมมือทำความเคารพ ก้มหน้าพูดกับนักเล่านิทานผู้นั้นอย่างนอบน้อม “บุรพาจารย์ได้โปรดออกหน้าเชิญคนผู้นั้นมาที่นี่ด้วยเถิด”


เหมาเสี่ยวตงก้าวยาวๆ เข้ามาใกล้ เอ่ยโน้มน้าว “ฝ่าบาท ข้าไปเองจะเหมาะสมกว่า คนผู้นั้นคือบิดาของเด็กคนหนึ่งในสำนักศึกษาพวกเรา ได้ยินว่าบุตรชายถูกคนรังแกอย่างอเนจอนาถ ถึงได้โมโหหนัก ดึงดันจะมาพูดคุยเหตุผลกับฝ่าบาทที่วังหลวงให้ได้ ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทไม่ยินดีพบเขา ตอนนั้นเขาถูกบีบจนฝ่าทะลุขอบเขต กลายเป็นปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตปลายทางของวิถีวรยุทธ์คนที่สามของแจกันสมบัติทวีปได้แล้ว พลังอำนาจกำลังไต่สู่จุดสูงสุด ไม่แน่เสมอไปว่าจะยอมหยุดมือง่ายๆ”


ฮ่องเต้ต้าสุยกล่าวยิ้มๆ “ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องรบกวนให้เหมาเหล่าไปที่นั่นสักรอบ กว่าเหรินจะไปรออยู่ในตำหนักจรุงจิต”


รอจนผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่พุ่งกายจากไป นักเล่านิทานท่านนั้นถึงพูดขึ้นเบาๆ ว่า “การกระทำในครั้งนี้ สมเหตุแต่ไม่สมผล เป็นท่านที่ผิด”


ฮ่องเต้ต้าสุยพยักหน้ารับ “เรื่องนี้ผู้น้อยทำผิดก่อน และมรสุมก่อนหน้านี้ก็เป็นต้าสุยที่ทำผิดก่อน ความผิดสองอย่างรวมกัน…”


แล้วฮ่องเต้ต้าสุยก็ยกยิ้มขมขื่น “ท่านบุรพาจารย์ เรื่องคราวนี้ค่อนข้างลำบากทีเดียว”


นักเล่านิทานสูงวัยสวมเสื้อผ้าที่ซักสะอาดจนซีดขาวยิ้มบางๆ “ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว หากท่านไม่ยอมรับผิดจากใจจริงก็ต้องสู้กับเขาให้รู้ดำรู้แดงไปเลย แน่นอนว่าไม่ประหยัดแรงกาย แต่ไม่ต้องเหนื่อยใจ ท่านไม่ต้องคิดมากแล้ว”


ฮ่องเต้ต้าสุยยิ้มอย่างเข้าใจ “ยังคงเป็นท่านบุรพาจารย์ที่คิดได้รอบคอบ”


ผู้เฒ่าตบไหล่ฮ่องเต้ต้าสุยพลางปลอบใจ “นั่งบนบัลลังก์มังกร สวมชุดคลุมมังกรเท่ากับรัดแผ่นดินทั้งผืนไว้ติดกับตัว เรื่องผิดพลาดบางเรื่องย่อมเลี่ยงไม่ได้ หากข้านั่งอยู่ในตำแหน่งของท่านก็ไม่มีทางทำได้ดีกว่า ท่านไม่จำเป็นต้องโทษตัวเอง ตอนนั้นข้าไม่สนใจความเห็นของคนส่วนใหญ่ เลือกเจ้าขึ้นครองราชย์ ตอนนี้ข้าก็ยังคงรู้สึกว่าตัวเองทำถูกแล้ว”


รออยู่นานจนเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ ฮ่องเต้ต้าสุยที่ยืนรออยู่บนระเบียงใต้ชายคานอกตำหนักจรุงจิตถึงได้เห็นว่าข้างกายเหมาเสี่ยวตงมีชายฉกรรจ์หน้าตาธรรมดาคนหนึ่งเดินก้าวยาวๆ มาพร้อมกับเขา


รอยยิ้มของเหมาเสี่ยวตงเหยเก “ฝ่าบาท เขาเชื่อหลี่เอ้อร์ คือบิดาของหลี่ไหวนักเรียนในสำนักศึกษาซานหยาของพวกเรา เขายืนกรานว่าจะต้องมาเข้าเฝ้าฝ่าบาทให้จงได้ บอกว่าบินไปบินมาอยู่ในบ้านคนอื่นไม่ใช่ท่าทีที่ควรมีเมื่อต้องการพูดคุยเหตุผลกับคนอื่น”


ฮ่องเต้ต้าสุยไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี


ทว่านักเล่านิทานที่หัวใจขมวดเกร็งอยู่ตลอดเวลากลับรู้สึกโล่งอก


เดินเข้าไปในตำหนักจรุงจิตด้วยกัน ในห้องมีแค่สี่คน ต่างคนต่างนั่งลง ฮ่องเต้ต้าสุย นักเล่านิทาน รองเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาซานหยา หลี่เอ้อร์บิดาหลี่ไหว


หลี่เอ้อร์เปิดปากพูด “อยากพบฝ่าบาท ไม่ง่ายเลย”


บรรยากาศพลันเคร่งเครียดขึ้นมาในชั่วพริบตา


ขนาดฮ่องเต้ต้าสุยก็ยังไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร


ยังดีที่หลี่เอ้อร์เป็นฝ่ายพูดเข้าประเด็นเสียเอง “คนที่รังแกบุตรชายของข้ามีอยู่ห้าหกตระกูลซึ่งรวมตระกูลนายพลเอกหัน สกุลฉู่หนานซี ฮวายหย่วนโหว ขอฝ่าบาทโปรดบอกให้บรรพบุรุษของตระกูลเหล่านี้ออกจากภูเขามาสู้กับข้าหลี่เอ้อร์ตัวต่อตัว หากพวกเขารู้สึกว่าข้ารังแกคนอื่น ไม่เป็นไร พวกเขามาพร้อมกันได้เลย สมบัติอาคมหรืออาวุธอะไรก็ยืมมาจากมิตรสหายให้มากๆ แค่ต้องรบกวนให้ฝ่าบาทช่วยหาสถานที่เงียบสงบขนาดค่อนข้างใหญ่แห่งหนึ่งเพื่อที่พวกเราทั้งสองฝ่ายจะได้สู้กันอย่างเต็มที่ หากไม่ได้จริงๆ จะไปนอกเมืองก็ได้”


เหมาเสี่ยวตงกลั้นยิ้ม เกือบจะหลุดเสียงหัวเราะอย่างคนมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น


นักเล่านิทานถลึงตาใส่เขาหนึ่งที เหมาเสี่ยวตงเหลือกตามองบนตอบกลับไป


ฮ่องเต้ต้าสุยปากอ้าตาค้างเล็กน้อย ถามเบาๆ “ต้องสู้กันอีกครั้งถึงจะได้?”


หลี่เอ้อร์กล่าวอย่างขับข้องใจ “เดิมทีที่ข้ามาที่นี่ก็ไม่ใช่เพื่อสู้กับท่าน แต่เพราะฝ่าบาทไม่ยอมปรากฏตัว ดึงดันจะให้สู้กันให้ได้ ข้าก็เลยได้แต่สู้กับพวกท่าน คนที่ข้าจะต่อสู้ด้วยจริงๆ นั้นคือพวกคนที่รังแกบุตรชายของข้า แม้จะบอกว่าเด็กๆ ทะเลาะกันเป็นเรื่องปกติ ต่อให้หลี่ไหวถูกเด็กร่วมหอพักวัยเดียวกันต่อยตี ข้าที่เป็นบิดาจะสงสารบุตรชายแค่ไหนก็ไม่มีทางพูดอะไรแน่ แต่ควรหรือที่พวกเขาจะเกเรกันขนาดนี้ อาศัยว่าชาติตระกูลของตัวเองดีจึงรู้สึกว่าสามารถรังแกคนอื่นได้ ขอโทษสักคำก็ไม่มี แม้แต่ของที่ขโมยไปก็ยังไม่เอามาคืน?”


หลี่เอ้อร์กล่าวมาถึงตรงนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเครียดขรึม “หากต้าสุยของพวกเจ้ารู้สึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูก ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็มาสู้กันต่อ ข้ารู้ว่ารากฐานของต้าสุยลึกล้ำ ไม่กลัวความลำบากยุ่งยาก แต่ข้าหลี่เอ้อร์กลับแปลกใจนัก หากขุนนางของต้าสุยเฮงซวยอย่างนี้เหมือนกันหมด วันหน้าหลี่ไหวบุตรชายข้าต้องมาเรียนอยู่ในสถานที่แบบนี้จะกลายเป็นคนยังไง?”


หลี่เอ้อร์หันไปมองนักเล่านิทานผู้นั้นโดยตรง “อาจารย์ผู้เฒ่า ท่านถือว่าเป็นคนหนึ่งที่สู้ได้ ส่วนคนที่สวมชุดแดงก่อนหน้านี้ถือว่าสู้เป็นแค่ครึ่งหนึ่ง”


ผู้เฒ่าหลังค่อมที่กำลังดื่มชาเกือบจะสำลักน้ำชา


ฮ่องเต้ต้าสุยเอ่ยยิ้มๆ “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ กว่าเหรินสามารถนำความไปบอกตระกูลเหล่านั้น ให้ผู้อาวุโสของพวกเขาออกจากภูเขา เพียงแต่ฝ่ายของฮวายหย่วนโหวอาจจะมีปัญหาเล็กน้อย แม้ว่าฮวายหย่วนโหวจะได้รับตำแหน่งเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ผู้มีคุณูปการในการบุกเบิกแคว้น แต่บรรพบุรุษตระกูลเขาเสียชีวิตไปนานแล้ว ตัวเขาเองก็เป็นคนธรรมดา เรียกว่าผู้ฝึกยุทธ์ก็ยังไม่ได้”


เห็นได้ชัดว่าหลี่เอ้อร์เตรียมพร้อมสำหรับปัญหาข้อนี้มาก่อนแล้ว “ถ้าอย่างนั้นก็ให้ฮวายหย่วนโหวจ่ายเงินจ้างคน ข้าไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องนี้”


ฮ่องเต้ต้าสุยถาม “ต้องการให้ตระกูลเหล่านั้นขอโทษหลี่ไหวกับสาธารณชนหรือไม่?”


หลี่เอ้อร์ส่ายหน้า “เป็นนายท่านผู้เฒ่ากันทั้งนั้น เรื่องอะไรจะต้องให้มาขอโทษเด็กคนหนึ่ง ไม่จำเป็น อีกอย่างข้าเองก็ไม่ต้องการให้บุตรชายเรียนหนังสืออยู่ในสำนักศึกษาซานหยาอย่างไม่สงบสุข ข้าก็แค่ไม่ชอบใจพฤติกรรมของตระกูลเหล่านั้นก็เท่านั้น หลังจากสู้กันเสร็จแล้วค่อยให้พวกคนแก่กลับบ้านไปสั่งสอนอบรมเด็กๆ ของตัวเอง แค่นี้ก็พอแล้ว”


ฮ่องเต้ต้าสุยผ่อนลมหายใจออกมาเล็กน้อย “อาจารย์หลี่เอ้อร์มีเหตุผลอยู่บนความถูกต้องอย่างแท้จริง หากรู้แต่แรกว่าเป็นเช่นนี้ กว่าเหรินควรจะพบเจ้าตั้งนานแล้ว”


หลี่เอ้อร์รีบโบกมือ “ข้าไม่ใช่อาจารย์อะไรทั้งนั้น เหมาเหล่าต่างหากที่ใช่ อาจารย์สองคนในสำนักศึกษาที่สอนหลี่ไหวที่เป็นฝ่ายมาพูดคุยกับพวกเราสี่คนเป็นครึ่งๆ วันนั่นก็ถือว่าเป็นอาจารย์ที่แท้จริงเหมือนกัน ไม่ว่ากับใครก็ล้วนมีมารยาท นั่นต่างหากถึงจะเป็นบัณฑิตตัวจริง”


เหมาเสี่ยวตงอมยิ้มไม่พูดอะไร


การให้เกียรตินี้นับว่าใหญ่ยิ่งกว่าแผ่นฟ้าเสียอีกนะเนี่ย


—–

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)