ยอดหญิงสกุลเสิ่น 170.1-170.2

ตอนที่ 170-1 ชัยชนะยิ่งใหญ่

 

ก้อนหินทุบลงบนยอดกำแพงเมืองอย่างหนักหน่วง ทหารชายแดนที่คุ้มกันเมืองหลบเข้าที่กำบังทันที ทหารซีเหลียงบนบันไดสูงฉวยโอกาสปีนป่ายด้วยความรวดเร็ว ด้วยความเร็วนั้นก็ใกล้จะปีนถึงยอดกำแพงเมืองแล้ว


 


 


เหล่าทหารชายแดนเห็นท่าไม่ดี ก็ออกจากที่กำบังโผเข้าไปบนยอดกำแพงเมืองทันที ฟันทหาร


 


 


ซีเหลียงบนบันไดสูง ทหารซีเหลียงร้องลั่นตกลงไป ทว่าทหารชายแดนผู้นี้กลับถูกหินหนักๆ ทุบลงมาอย่างจัง ยังไม่ทันได้ร้องโอดครวญก็ล้มลงบนยอดกำแพงเมืองแล้ว


 


 


“หลี่เสี่ยวลิ่ว หลี่เสี่ยวลิ่ว!” เพื่อนทหารร้องเสียงดังด้วยความเจ็บปวด ดวงตาแดงก่ำพากันโถมตัวไปยังยอดกำแพงเมืองอย่างเดือดดาล ต่อสู้สุดชีวิตกับทหารซีเหลียงบนบันไดสูง


 


 


เสิ่นเวยเห็นท่าไม่ดี เครื่องยิงหินหลายเครื่องนั้นเป็นอุปสรรคเกินไปจริงๆ ทหารชายแดนบาดเจ็บล้มตายมากเกินไปแล้ว นางคิดหาวิธีจะทำลายเครื่องยิงหินของซีเหลียง


 


 


เสิ่นเวยหรี่ตาสังเกตการณ์อยู่พักหนึ่ง ออกคำสั่งอย่างเด็ดขาด “เอาธนูมา” หากมีหน้าไม้ก็ดี ใช้ธนูนางไม่มั่นใจว่าจะยิงโดน


 


 


เสิ่นเวยกางแขนน้าวสายธนู ธนูสามดอกยิงออกไปยังทหารซีเหลียงที่คุมเครื่องยิงหินอยู่ โดนแล้ว! เสิ่นเวยถอนหายใจในใจหนึ่งครา การเคลื่อนไหวในมือก็ยังไม่หยุด ยิงธนูออกไปอีกสามดอก ทหารซีเหลียงบนเครื่องยิงหินอีกเครื่องหนึ่งก็ถูกธนูยิงตายเช่นกัน เพียงแค่เวลาครึ่งก้านธูป เครื่องยิงหินห้าเครื่องของ


 


 


ซีเหลียงก็หยุดลง เสิ่นเวยจึงวางคันธนูในมือลง ปาดเหงื่อบนหน้าผาก


 


 


แต่ว่านี่เองก็ไม่ได้ช่วงชิงเวลามาให้ทหารชายแดนได้มากเท่าไรนัก ทหารซีเหลียงชุดใหม่ก็เสริมกำลังเข้าไปบนเครื่องยิงหิน เปิดฉากการยิงถล่มรอบใหม่กับยอดกำแพงเมือง


 


 


เห็นทหารชายแดนบนยอดกำแพงเมืองร้องโอดครวญล้มลงทีละคนๆ เสิ่นเวยก็ยกมือขึ้นอีกครั้ง แต่กลับถูกสวีโย่วข้างๆ ห้ามไว้ “เจ้าพักก่อน ข้าเอง!”


 


 


ฝีมือการยิงธนูของสวีโย่วนั้นก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน กระทั่งยังเร็วยิ่งกว่าความเร็วของเสิ่นเวยเสียอีก แต่ทหารซีเหลียงมีเยอะเกินไป คนหนึ่งตายแล้ว อีกคนหนึ่งก็เข้ามาแทนที่ทันที


 


 


เอาแต่ยิงสังหารทหารซีเหลียงที่คุมเครื่องยิงหินอย่างเดียวไม่ได้ ยังต้องทำลายเครื่องยิงหินจึงจะเป็นแผนที่ดี ต่อสู้เช่นนี้อึดอัดเกินไป นางอยากไปเข่นฆ่าไล่ฟันในกองทัพใหญ่ซีเหลียง นางร้อนใจอยากได้โลหิตสดๆ มาสงบความหงุดหงิดในใจนาง


 


 


“เถาฮวา ไป ถึงเวลาแล้ว!” เสิ่นเวยคว้าดาบหมื่นโลหิตเตรียมตัวจะกระโดดลงจากกำแพงเมือง


 


 


สวีโย่วจับแขนของนางไว้ “ข้าจะพาเจ้าไปเอง!” มือของเขาโอบเอวของเสิ่นเวย เท้าแตะเล็กน้อยก็กระโดดลงจากหอประตูเมืองที่สูงหลายจั้งแล้ว ท่วงท่าสูงสง่างดงามนั่นราวกับเทวดาลงมาบนโลกมนุษย์ ดาบหมื่นโลหิตของเสิ่นเวยฟันลูกธนูนับไม่ถ้วนท่ามกลางอากาศ ทั้งสองตกลงกลางกองทัพซีเหลียงอย่างปลอดภัย


 


 


เจียงเฮยพาเถาฮวากับเจียงไป๋กระโดดลงจากยอดกำแพงเมืองเช่นกัน คนทั้งห้ารวมตัวกันที่บริเวณหนึ่งเปิดฉากเข่นฆ่า ส่วนเสิ่นเวยก็ส่งสัญญาณบุกโจมตีแล้ว


 


 


เสิ่นเวยสวีโย่วคนทั้งห้าเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งทั้งหมด ทหารเล็กๆ ของซีเหลียงเหล่านี้จะเป็นคู่ต่อสู้ได้อย่างไร พวกเขาหันหลังชนกันเคลื่อนตัวช้าๆ ขยับเข้าใกล้เครื่องยิงหินทีละก้าวๆ ทุกๆ แห่งที่ผ่านไปล้วนเป็นศพทหารซีเหลียง


 


 


“เสี่ยวเฮย เสี่ยวไป๋ ขึ้นไป!” เสิ่นเวยฟันทหารซีเหลียงผู้หนึ่งจนตัวลอย ตะโกนบอกเจียงเฮยเจียงไป๋ด้วยเสียงเฉียบขาด


 


 


เจียงเฮยกับเจียงไป๋ถือดาบขึ้นไปบนเครื่องยินธนูทันที ออกแรงฟัน คันยาวของเครื่องยิงธนูก็หักเป็นสองท่อน นับว่าพังทลายอย่างสมบูรณ์แล้ว


 


 


“ทำได้ดี!” เสิ่นเวยเอ่ยชมเสียงดัง จากนั้นก็กำบังคนทั้งสองให้ทยอยทำลายเครื่องยิงหินอีกหลายเครื่องพร้อมกับเถาฮวาสวีโย่ว เสิ่นเวยถอนหายใจยาวหนึ่งครา แกว่งดาบหมื่นโลหิตตั้งใจฆ่าคน ฆ่าทหารซีเหลียงได้หนึ่งคนก็ลดลงไปหนึ่งคน


 


 


ดาบหมื่นโลหิตของเสิ่นเวยดื่มโลหิตสดจนอิ่ม ในที่สุดก็ส่องประกายที่เป็นของตัวเองออกมา ตัวดาบเป็นเงาวาว กะพริบแสงเย็นเยียบภายใต้แสงอาทิตย์ ฟันคนแล้วไม่ต้องเปลืองแรงเยอะ มันร้องคำราม คล้ายสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของเจ้านาย มันกระหายโลหิตสด เอาโลหิตสดมากมายมาชะล้างความอับอายในอดีตของมัน เผยความสง่างามแต่เดิมของมันออกมา


 


 


ตอนนี้ เสิ่นเวยก็คือดาบ ดาบก็คือเสิ่นเวย


 


 


เถาฮวายังคงกล้าหาญฮึกเหิมเช่นนั้น กระบวนท่าของนางเรียบง่ายเช่นนั้นมาโดยตลอด คู่ควรกับแรงที่ไร้ขีดจำกัดแต่กลับมีประสิทธิผลอย่างถึงที่สุดของนาง กระบองเหล็กควงเป็นวงกว้าง ทหารซีเหลียงที่ล้มลงสามารถกองกันเป็นภูเขาลูกเล็กหนึ่งลูกได้แล้ว


 


 


สวีโย่วไม่ได้ใช้กระบี่ยาวของเขา แต่กลับเลือกทวนที่เหมาะสมกับสนามรบมากกว่า ทวนทรราช! ร่างเขาสูงตระหง่าน ทวนยาวหนึ่งเล่มกวัดแกว่งจนเกิดสายลมดังสวบสาบ ทหารซีเหลียงสัมผัสแล้วก็สิ้นชีพ


 


 


เจียงเฮยเจียงไป๋ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ทหารคุ้มกันประจำกายองค์ชายใหญ่สวีจะไร้ประโยชน์ได้อย่างไร สองพี่น้องร่วมมือกัน ฆ่าคนแล้วราวกับหั่นผักหั่นแตง จะบอกว่าเป็นยมทูตหน้าขาวหน้าดําก็ยังได้


 


 


เสิ่นเวยยิ่งฆ่าก็ยิ่งมีความสุข ความกล้าได้กล้าเสียที่หยิ่งผยองทะนงตนนั้นในใจบังเกิดขึ้น นางเงยหน้าร้องคำรามหนึ่งครา “มา พวกลูกหมาซีเหลียง ให้ข้าได้ส่งพวกเจ้ากลับบ้านเก่า คุณชายใหญ่สวี พวกเรามาแข่งกัน ดูว่าวันนี้ใครฆ่าคนได้เยอะกว่า วันหน้าก็เชื่อฟังคนนั้น”


 


 


“จริงหรือ!” สวีโย่วตาลุกวาว นี่เป็นข้อเสนอที่ดึงดูดใจอย่างถึงที่สุดจริงๆ


 


 


“แน่นอนว่าจริง!” เสิ่นเวยยิ้มหวาน ชวนให้คนหวั่นไหวและงดงามเช่นนั้นท่ามกลางสีโลหิต


 


 


เถาฮวาร้องตะโกนอย่างดีใจ “คุณชาย เถาฮวาจะช่วยท่านเอง!” คุณชายของนางจะต้องชนะแน่นอน คุณชายใหญ่สวีไก่อ่อนเช่นนั้นจะฆ่าคนได้เยอะกว่าคุณชายตนได้อย่างไร


 


 


ส่วนเจียงเฮยกับเจียงไป๋ก็กระตุกมุมปาก เอาการฆ่าคนมาเป็นเรื่องสนุก ไม่เคยเห็นคู่รักที่แปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อนจริงๆ


 


 


มีข้อเสนอนี้ในการแข่งขัน เสิ่นเวยกับสวีโย่วก็ฆ่าอย่างฮึกเหิมยิ่งขึ้น ทหารซีเหลียงน่าเวทนา คนที่ตายในน้ำมือของคนทั้งสองไม่ถึงพันคนก็แปดร้อยคนได้ ยังไม่รวมถึงคนที่ได้รับบาดเจ็บอีกด้วย


 


 


“สะใจ สะใจจริงๆ เลย!” เสิ่นเวยลูบหน้าหนึ่งคราหัวเราะร่าฮ่าๆ ความอัดอั้นจากการเห็นเพื่อนร่วมรบตายบนยอดกำแพงเมืองได้รับการระบายแล้ว เจ้าซีเหลียงฆ่าคนต้ายงของข้าหนึ่งคน ข้าเสิ่นเวยก็จะฆ่าเจ้าสิบคน ร้อยคน กระทั่งพันคน!


 


 


“คุณชายๆ พวกข้ามาแล้ว!” ขณะที่เสิ่นเวยกำลังมีความสุข ก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนมากมายดังเข้ามา นางหันหน้ามอง ก็ยิ้มจนดวงตาโค้งเป็นจันทร์เสี้ยวสองดวงทันที


 


 


โอวหยางไน่ จางสง เฉียนเป้าและคนอื่นๆ นำคนเข้ามารวมตัวแล้ว


 


 


โอวหยางไน่และคนอื่นๆ แฝงตัวออกไปตั้งแต่เริ่มศึกใหญ่แล้ว แต่ละคนนำทหารหนึ่งร้อยนายหมอบซุ่มอยู่บริเวณต่างๆ รอเสิ่นเวยส่งสัญญาณ พวกเขาก็สังหารเข้าไปจากข้างหลังของกองทัพซีเหลียง


 


 


กลยุทธ์ที่เสิ่นเวยกำหนดให้พวกเขาคือ ‘ใช้กระบวนทัพแทนการฆ่า พยายามรักษาตัวอย่างถึงที่สุด ตัดกำลังกองทัพข้าศึกให้มาก’


 


 


“ทุกคนยังปลอดภัยดีหรือไม่” เสิ่นเวยตะโกนถาม


 


 


สิ่งที่ตอบคำถามนางคือเสียงหัวเราะที่สบายใจของเฉียนเป้า “มารดามันสิ ลูกหมาซีเหลียงเหล่านี้สู้ไม่เป็นจริงๆ ราวกับกระดาษ ข้ายังไม่ทันสะใจก็ฆ่ามาถึงนี่แล้ว ไก่อ่อนเกินไปแล้ว ไม่ได้กินข้าวมาหรือไร!” เฉียนเป้าดูถูก วาจาเต็มไปด้วยความรังเกียจ


 


 


เมื่อเสิ่นเวยได้ยินคำว่ากินข้าวสองคำนี้ ชั่วขณะก็มีความตั้งใจใหม่ แกว่งดาบหมื่นโลหิต พูดเสียงดัง “ไป ตามข้าบุกออกไป!”


 


 


ฉวยโอกาสตอนที่กองทัพใหญ่ซีเหลียงโจมตีเมือง ที่ตั้งค่ายของพวกเขาจะต้องเหลือคนไว้ไม่มากแน่นอน เช่นนั้นนางก็จะพาคนไปเดินเล่นที่ค่ายสักรอบหนึ่ง ไม่แน่ว่าอาจจะยังได้ของดี


 


 


ทหารม้าหลายกลุ่มรวมตัวกัน ตามเสิ่นเวยฆ่าออกไปข้างนอกด้วยไอสังหารคุกรุ่น แต่ละคนๆ ประหนึ่งเทพสังหาร ทหารซีเหลียงไม่เหลือแม้แต่ความกล้าที่จะต่อต้าน พากันหลีกทางให้ คนที่วิ่งช้าก็ต้องตายเป็นวิญญาณใต้ดาบมิใช่หรือ


 


 


“ไป คุณชายจะพาพวกเจ้าไปค้นค่ายของพวกมัน ทั้งหมด วิ่งไปข้างหน้า” เสิ่นเวยโบกมือบัญชา ชายฉกรรจ์เหล่านี้ก็วิ่งไปข้างหน้าราวกับสายลม


 


 


สำหรับเสิ่นเวย หึๆ นางบอกเป็นนัยให้โอวหยางไน่นำม้าศึกมาให้นางก่อนแล้ว ตอนนี้ก็พาเถาฮวาขี่ม้า ส่วนคุณชายใหญ่สวีน่ะหรือ เขาเป็นคนโง่หรือไร ข้างกายยังมีสองพี่น้องยมทูตหน้าขาวหน้าดําอยู่ ย่อมต้องไม่ขาดม้าให้ขี่แน่นอน


 


 


เป็นอย่างที่เสิ่นเวยคาดการณ์ ค่ายของกองทัพใหญ่ซีเหลียงเหลือคนไว้เพียงห้าร้อยคน เมื่อก่อนองค์ชายใหญ่หลี่หยวนเผิงออกรบ ในค่ายต้องเหลือคนไว้อย่างน้อยหนึ่งพันคน แต่ครั้งนี้องค์ชายรองเป็นคนนำทัพ เขากระหายในชัยชนะ คิดว่าค่ายเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุด ไม่จำเป็นต้องทิ้งคนไว้มากเพียงนั้น ดังนั้นจึงเหลือไว้เพียงแค่ห้าร้อยคนนี้


 


 


ไม่ใช่ว่าเสียเปรียบให้เสิ่นเวยหรอกหรือ ชายฉกรรจ์หนึ่งกลุ่มที่ราวกับหมาป่าราวกับเสือโผเข้าไปในค่าย แทบจะไม่ได้ออกแรงอะไรก็เก็บกวาดทหารซีเหลียงที่ทิ้งไว้คุ้มกันห้าร้อยนายนี้จนหมดแล้ว


 


 


“คุณชาย ตรงนี้มีเสบียง!” ไม่รู้ว่าใครตะโกนขึ้นมา


 


 


เสิ่นเวยเข้าไปดู มีจริงๆ ด้วย ที่วางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่ในกระโจมสักหลาดทรงกลมไม่ใช่เสบียงหรือไร โอ้โห ดีใจเหนือความคาดหมายจริงๆ


 


 


“ขนไป ขนไปให้หมด!” เสิ่นเวยตัดสินใจน้อมรับไว้ทั้งหมด “ใช้ทางลัด เข้าไปในป่าก่อน” เพียงชั่วขณะเสิ่นเวยก็คิดวิธีดีๆ ได้แล้ว


 


 


เสบียงขนไปหมดแล้ว ยังจะอยู่ในค่ายเพื่ออะไร เผาเสีย! เสิ่นเวยจุดไฟเผากระโจมหลังใหญ่ที่สุดหลังนั้นด้วยตัวเอง ชั่วพริบตา ค่ายกองทัพใหญ่ซีเหลียงก็กลายเป็นทะเลเพลิงผืนใหญ่ เสิ่นเวยมองเพลิงที่ลุกโหม ในใจมีความสุขมากเป็นพิเศษ


 


 


“คุณชายๆ ตรงนี้มีสตรีนางหนึ่ง” มีเสียงคนร้องตะโกนด้วยความดีใจขึ้นมาอีกครั้ง


 


 


เสิ่นเวยสงสัย ออกศึกก็พาผู้หญิงมาด้วยหรือ คนโง่ที่ไหนทำเรื่องแบบนนี้


 


 


หญิงงามสวมชุดสวยหรูผู้หนึ่งถูกผลักมาตรงหน้าเสิ่นเวยอย่างแรง นางตัวสั่นระริก ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ตะโกนอะไรบางอย่างด้วยเสียงที่สั่นเครือ เสิ่นเวยฟังไม่เข้าใจ


 


 


 สวีโย่วกลับเข้าใจ บอกเป็นนัยให้เสิ่นเวยว่า ‘สอง’ เสิ่นเวยดีใจขึ้นมาทันที ที่แท้แล้วหญิงผู้นี้ก็เป็นสตรีขององค์ชายรองคนสมองกลวงผู้นั้น หึๆๆ เปิดโลกจริงๆ


 


 


เห็นแก่สตรีที่งดงามเพียงนี้จึงไว้ชีวิตให้องค์ชายรองสักครั้งก็แล้วกัน!


 


 


เดิมเสิ่นเวยอยากดูว่าจะสามารถหาโอกาสจัดการองค์ชายรองได้หรือไม่ ตอนนี้นางเปลี่ยนความตั้งใจแล้ว เก็บองค์ชายรองไว้ก่อนดีกว่า จะไปหาเพื่อนร่วมทีมที่โง่เหมือนหมูเช่นนี้ได้จากไหนอีก เก็บเขาไว้สร้างความรำคาญใจให้องค์ชายใหญ่ผู้เก่งกาจดีกว่า


 


 


“พากลับไปๆ” เสิ่นเวยตัดสินใจเด็ดขาด พากำลังคนเคลื่อนตัวจากทางลัด อีกทั้งยังไม่ลืมที่จะให้โอวหยางไน่นำคนหนึ่งกลุ่มสวมชุดของทหารซีเหลียงไปหลอกคนอีกด้วย 

 

 


ตอนที่ 170-2 ชัยชนะยิ่งใหญ่

 

ในสนามรบ หลังเทพสังหารกลุ่มนี้ของเสิ่นเวยไปแล้ว กองทัพใหญ่ซีเหลียงก็ได้อ้าปากหายใจพักหนึ่ง ไอ๊หยา น่ากลัวเกินไปแล้วจริงๆ


 


 


ทว่าในตอนนี้เอง กลับได้ยินคนตะโกน “แย่แล้วๆ ค่ายใหญ่ถูกเผาแล้ว เสบียงถูกกองทัพต้ายงเผาหมดแล้ว” โอวหยางไน่นำคนตะโกนไปพลางวิ่งวุ่นอยู่ในกองทัพใหญ่ซีเหลียงไปพลาง ชั่วขณะทหาร


 


 


ซีเหลียงทั้งสนามรบก็รู้ข่าวแล้ว


 


 


มีคนที่ไม่เชื่อ หันกลับมามอง มารดาเขาสิ จริงด้วย ควันดำโขมงพุ่งขึ้นฟ้า ชั่วพริบตาก็


 


 


อกสั่นขวัญหาย


 


 


องค์ชายรองเองก็เห็นควันดำแล้ว ในใจตกใจไม่หยุด ทั้งตกใจทั้งหวาดกลัว โจมตีมาสองชั่วยามแล้วยังไม่คืบหน้าแม้แต่นิดเดียว ซ้ำยังถูกคนเผาค่ายอีก กลับไปจะรายงานเสด็จพ่ออย่างไร


 


 


ท่านเสิ่นโหวที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองก็เห็นควันดำแล้วเช่นกัน บวกกับเสียงร้องตะโกนในสนามรบ ในใจเขาก็รู้ดีว่าจะต้องเป็นฝีมือของหลานสาวที่ฉลาดหลักแหลมผู้นั้นของเขาแน่นอน บนใบหน้ามีรอยยิ้มปรากฏขึ้นอย่างอดไม่ได้ กล่าวกับมือธนูในกลุ่มทหารคนสนิทของเขา “ยิง ยิงธงศึกของเขา”


 


 


เดิมองค์ชายรองก็หวาดกลัวอยู่แล้ว ตอนนี้เห็นธงศึกของตนร่วงลงก็ยิ่งตกใจหน้าถอดสี “ไป รีบไป รีบไป!” กลัวว่าหากช้าไปธนูจะยิงลงมาบนร่างเขา


 


 


ไม่ใช่ว่ามีตัวอย่างให้เห็นแล้วหรือ พี่ใหญ่ของเขาถูกยิงธนูในสนามรบมิใช่หรือ เขาไม่ได้หนังหนาอย่างเช่นพี่ใหญ่ของเขา รักษาชีวิตก่อนดีกว่า ตราบใดที่ยังมีชีวิต ย่อมต้องมีความหวัง


 


 


ธงศึกร่วงลงแล้ว รถเกวียนของผู้บัญชาการก็ถอยแล้ว ทหารเล็กๆ ของซีเหลียงเหล่านี้จะยังต่อสู้อะไรอีก รีบวิ่งหนีเอาชีวิตรอดเถอะ ไม่ว่าอะไรก็ขลาดกลัวทั้งสิ้น ต้องการเพียงแค่ชีวิตของตนจริงๆ


 


 


ทหารซีเหลียงในสนามรบวิ่งหนีราวกับกระแสน้ำ ทว่าทหารชายแดนกลับมีขวัญกำลังใจฮึกเหิม “เปิดประตูเมือง ไล่โจมตี” ท่านเสิ่นโหวออกคำสั่งหนึ่งครา ทหารม้าหลายกลุ่มก็วิ่งออกจากประตูเมือง ในนั้นก็มีเสิ่นเชียนกับหร่วนเหิงอยู่ด้วย


 


 


เสิ่นเวยนำคนทะลุออกมาจากป่า พบกองทัพใหญ่ซีเหลียงที่ถูกตีแตกพอดีจึงฆ่าฟันอีกหนึ่งรอบ


 


 


ทหารชายแดนคว้าชัยชนะยิ่งใหญ่ เหล่าทหารบนยอดกำแพงเมืองก็กวัดแกว่งอาวุธโห่ร้องยินดี ศึกครั้งนี้มีคนตายน้อยกว่าศึกใหญ่ครั้งไหนๆ โดยเฉพาะเมื่อเห็นคุณชายสี่ผู้ฉลาดหลักแหลมเก่งกาจของพวกเขาคุ้มกันเสบียงคว้าชัยชนะกลับมา บนใบหน้าของทุกๆ คนก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มลึกซึ้ง


 


 


“ท่านโหว คุณชายใหญ่กับคุณชายสี่ของท่านล้วนเป็นแบบอย่างที่ดีทั้งสิ้น!” แม่ทัพอู่เลี่ยจางเฮ่าหรานที่ร่วมศึกสู้รบด้วยกันก็ชื่นชมจากใจจริง โดยเฉพาะคุณชายสี่ ลงสนามรบฆ่าศัตรูแล้วยังแย่งเสบียงของกองทัพข้าศึกกลับมาได้อีก ชนรุ่นหลังเก่งเกินชนรุ่นก่อนเสียอีก


 


 


ปากท่านเสิ่นโหวฉีกจนจะถึงหูอยู่แล้ว แต่ปากกลับถ่อมตัว “เด็กๆ ยังอายุน้อย ยังต้องฝึกฝนอีก” แน่นอน คนที่ต้องฝึกฝนอีกคือหลานชายคนโต สำหรับหลานสาวของเขา นางไม่ไปฝึกฝนคนอื่นก็ดีเท่าไรแล้ว


 


 


เขายืนอยู่บนยอดกำแพงเมืองเห็นทุกอย่างชัดเจน เจ้าสี่เด็กคนนี้เกิดมาเพื่อสนามรบ ยกดาบทีหนึ่งศีรษะคนก็ร่วงลงหนึ่งคน ความคล่องแคล่วในการสังหารนั้นแม้แต่แม่ทัพเช่นเขายังอับอาย ยิ่งไปกว่านั้นนางยังสามารถวางกลยุทธ์แผนการตามสถานการณ์ได้ทันเวลา กล้าหาญอย่างยิ่ง สายตาแม่นยำ เหอะๆ เหตุใดนางถึงไม่เป็นหลานชายนะ


 


 


เมืองชายแดนครึกครื้นประหนึ่งวันขึ้นปีใหม่ ชนะแล้ว ชนะแล้ว พวกเขารบชนะแล้ว สู้จนกองทัพใหญ่ซีเหลียงวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน ประชาชนจำนวนมากนำโคมแดงอันใหญ่ที่ใช้แขวนตอนขึ้นปีใหม่ออกมาแขวนไว้หน้าประตูใหญ่ บนใบหน้าแต่ละคนเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม แม้แต่เด็กๆ ก็มีชีวิตชีวาขึ้นหลายส่วน


 


 


“ท่านปู่ เจ้าสี่เก่งหรือไม่ ไม่ทำให้ท่านขายหน้าใช่หรือไม่” เสิ่นเวยกระโดดมาข้างหน้าปู่นางอย่างโอ้อวด


 


 


ท่านเสิ่นโหวจับแขนของนางเข้ามา จ้องมองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ไม่เห็นว่าได้รับบาดเจ็บ จึงกล่าว “ไม่เลว ไม่เลว เป็นผลผลิตตระกูลเสิ่นของเรา”


 


 


ท่าทางตรวจดูบาดแผลของท่านเสิ่นโหวเอาใจเสิ่นเวยอย่างถึงที่สุด นางยกมุมปาก คิดในใจ ดูสิๆ นางบอกแล้วว่าเด็กที่รู้จักร้องไห้มีลูกอมให้กิน ตอนนี้ท่านปู่ใส่ใจนางแล้ว


 


 


“บอกมาสิ เจ้าวิ่งไปค่ายเขาทำไม ไม่กลัวถูกเขามาจับเหมือนตะพาบในไหหรือไร” ท่านเสิ่นโหวกล่าวถาม


 


 


เสิ่นเวยกล่าวอย่างไม่สนใจ “อารมณ์ชั่ววูบ ตอนนั้นข้าคิดว่า ทหารซีเหลียงมาโจมตีเมืองแล้ว ข้าก็ไปจับผิดที่ค่ายพวกเขาเสีย ก็แค่ลองเดินดูหน่อย ทั้งยังไม่ได้เปลืองเวลามาก หึๆ ดวงหลานยังดีจริงๆ ในค่ายเหลือคนไว้ไม่กี่ร้อยคนเช่นนั้น ไม่พอให้ข้าลงมือจัดการด้วยซ้ำ”


 


 


เสิ่นเวยคิดไม่ถึงเลยว่าองค์ชายรองจะโง่เพียงนั้น มีแม่ทัพที่ไหนสู้รบแล้วห่วงหน้าไม่ห่วงหลัง ยังคงเป็นค่ายที่สำคัญเช่นนั้น ตอนนั้นนางคิดเพียงแต่ว่าจะสร้างความวุ่นวาย เผาเสบียงของพวกเขาได้หรือไม่ แต่นางโชคดี เจอองค์ชายรองที่แปลกประหลาดเช่นนี้ ท้ายที่สุดจึงเผาค่ายของเขาเสีย เสบียงก็ขนกลับมาทั้งหมด


 


 


“เจ้าน่ะ กล้หาญอย่างยิ่งจริงๆ!” ท่านเสิ่นโหวยิ้มก่นด่า ได้ยินหลานสาวพูดเช่นนี้ ในใจเขาก็ทอดถอนใจไม่หยุด


 


 


เสิ่นเวยกล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจ “จุกตายนั้นกล้าหาญ หิวตายนั้นขี้ขลาด มัวแต่หวาดกลัวหัวหดแล้วจะมีประโยชน์อะไร ท่านดูสิ ข้าก็ทำสำเร็จมิใช่หรือ”


 


 


นางกลอกตา กล่าวต่อ “ท่านปู่ ข้าฉวยโอกาสช่วงชุลมุนฟันองค์ชายรองซีเหลียงผู้นั้นไปหนึ่งที จากนั้นก็ปล่อยเขาไป” ปล่อยไปโดยไม่มีบาดแผลไหนเลยจะยอมได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องทำให้เขาได้ลิ้มรสความเจ็บปวดเสียหน่อย


 


 


ท่านเสิ่นโหวก็ยิ่งตกใจ “เจ้าไม่คิดจะจับเขากลับมาหรือ นี่คือคุณูปการยิ่งใหญ่เชียวนะ” ไม่เหมือนเรื่องที่เด็กหญิงผู้โลภเงินจะทำได้


 


 


เสิ่นเวยแค่นเสียงหึหนึ่งครา กล่าว “คนขี้ขลาดเช่นนั้น จับเขาง่ายดายจะตายมิใช่หรือ หลานคิดว่าให้เขากลับไปก็มีผลดีต่อพวกเราเหมือนกัน คนไร้ประโยชน์ที่โง่เขลาเช่นนั้นเก็บไว้ให้องค์ชายใหญ่กับประมุขซีเหลียงเล่นเถอะ อ้อจริงสิ ข้ายังจับสตรีกลับมาได้หนึ่งคน เป็นสตรีขององค์ชายรอง”


 


 


ท่านเสิ่นโหวมองท่าทางเฉยเมยของหลานสาว ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี หากหลานชายคนโตมีสติปัญญาและการตอบสนองแบบนี้บ้าง เขายังจะต้องกลุ้มใจอะไรอีก


 


 


เสิ่นเวยแขวะองค์ชายรองที่แปลกประหลาดสมองกลับไม่เหมือนคนอื่นผู้นั้นกับปู่นางต่อพักหนึ่ง หลังจากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ท่านปู่ เสบียงกับเงินที่ข้าขนกลับมาอย่าเอาเข้าคลังทั้งหมด เอาออกมาให้บำเหน็จและดูแลครอบครัวทหารที่สละชีพครึ่งหนึ่งเถอะ ทหารชายแดนที่ตายในสงครามเหล่านั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องทำให้ชีวิตคนในครอบครัวพวกเขาผ่านไปได้ด้วยดี”


 


 


พูดถึงเรื่องนี้อารมณ์เสิ่นเวยก็ดิ่งลงอย่างยิ่ง ต่อให้ทหารซีเหลียงจะตายเยอะกว่านี้นางก็จะมองตาไม่กะพริบ แต่ทหารชายแดนตายเพียงคนเดียวนางกลับรู้สึกปวดใจ ก็นี่คือเพื่อนร่วมรบของนางอย่างไรเล่า


 


 


ท่านเสิ่นโหวพยักหน้า ในใจเขาไหนเลยจะรู้สึกดี เขาปกครองซีเจียงมาสิบกว่าปีแล้ว นี่ล้วนแต่เป็นทหารของเขา


 


 


“ได้ เจ้าสี่ไปพักเถอะ ปู่รู้ดีแก่ใจ ไม่ปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไม่เป็นธรรมหรอก” เขาลูบศีรษะของหลานสาวแล้วกล่าว


 


 


เมื่อเสิ่นเวยไปแล้ว ท่านเสิ่นโหวก็มองเสิ่นเชียนหลานชายของเขา “ได้ยินที่เจ้าสี่พูดแล้วใช่หรือไม่ แม้ว่าเจ้าก็ไม่เลว แต่ก็ยังห่างเจ้าสี่อยู่มาก อย่าคิดว่าเจ้าสี่เป็นสตรีแล้วจะดูถูกนางได้ เจ้าเป็นหลานชายจวนจงอู่โหวของข้า ไม่อาจมีจิตใจและความคิดที่คับแคบใดๆ ได้เป็นอันขาด เมื่อพบเรื่องที่ไม่เข้าใจก็ปรึกษาหารือกับเจ้าสี่ให้มาก ไม่ต้องอับอาย! หากเจ้าเป็นเหมือนกับคนอื่น คิดว่าเจ้าสี่เป็นแม่ไก่ที่ขันตอนเช้า[1] เช่นนั้นก็ไสหัวกลับเมืองหลวงไปเสีย!” ใบหน้าท่านเสิ่นโหวเข้มงวดมากเป็นพิเศษ


 


 


“ท่านปู่วางใจ น้องสี่มีความสามารถเช่นนี้ หลานเป็นถึงพี่ใหญ่ นอกจากจะละอายใจแล้ว ก็รู้สึกเป็นเกียรติ ท่านปู่วางใจ หลานจะดูแลน้องสี่อย่างดี ไม่อาจเกิดความคิดเห็นแก่ตัวเป็นอันขาด” เสิ่นเชียนรับปากอย่างหนักแน่น


 


 


สำหรับเรื่องที่น้องสี่มีความสามารถมากกว่าเขาจนท่านปู่ชอบใจ นอกจากเขาจะอับอายเล็กน้อยแล้ว ก็ไม่ได้มีความคิดอื่นจริงๆ น้องสี่แข็งแกร่งกว่าเขาทั้งยังแข็งแกร่งกว่าพี่น้องคนอื่นแข็งแกร่งกว่าเขาก็ดีแล้ว ต่อให้น้องสี่จะเก่งกว่านี้ก็ยังเป็นสตรี ท่านปู่ก็ทำได้เพียงให้สิบสมรสเพิ่ม ในภายหน้าจวนทั้งจวนล้วนเป็นของเขา เขาไม่ใช่คนไร้วิสัยทัศน์เช่นนั้น


 


 


ตั้งแต่ที่มาเมืองชายแดน เรื่องทั้งหมดที่น้องสี่ทำเขาเห็นหมดแล้ว พูดได้ว่า เรื่องเหล่านี้ที่น้องสี่ทำยังคงทำเพื่อจวนโหว ทำเพื่อเขา! เขามีสิทธิ์อะไรไปเกลียดชังนางเล่า


 


 


สำหรับน้องห้าเจวี๋ยเกอเอ๋อร์ เขาก็ยิ่งไม่ห่วงว่าน้องสี่จะดันน้องชายแท้ๆ ขึ้นสังเวียนกับเขา หนึ่งคือน้องเจวี๋ยยังเล็ก รอเขาเติบโตมีอนาคต ตนก็แสวงหาอำนาจได้แล้ว ย่อมไม่กลัวเด็กน้อยที่เพิ่งจะออกมาหาประสบการณ์ สองคือท่านปู่พูดกับเขาชัดเจนแล้วว่า ‘ผู้สืบทอดจวนจงอู่โหวคือเขา น้องสี่กับน้องเจวี๋ยไม่มีทางแย่งชิงเขาไปได้’ เขาเองก็เชื่อในจิตใจและนิสัยของน้องสี่ ข้อสามก็คือ อันที่จริงเขาเองก็เฝ้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าน้องเจวี๋ยผู้นี้จะมีอนาคต แต่ไหนแต่ไรความรุ่งเรืองของวงศ์ตระกูลไม่ได้อาศัยคนเพียงคนเดียวจึงจะสามารถประคับประคองได้ น้องเจวี๋ยมีอนาคตก็จะสามารถช่วยเหลือเขาได้


 


 


ท่านเสิ่นโหวเห็นสีหน้าบนใบหน้าหลานชายคนโตไม่เสแสร้งจึงพยักหน้า ตบบ่าเขาแล้วกล่าว “เจ้าเข้าใจก็ดี ตระกูลเสิ่นของพวกเราไม่มีกฎระเบียบคร่ำครึเหล่านั้น เป็นสตรีแล้วอย่างไร สตรีก็เป็นสายเลือดตระกูลเสิ่นของพวกเราเหมือนกัน ข้าเสิ่นผิงยวนชอบชนรุ่นหลังที่มีอนาคตที่สุด ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง” แม้ว่าหลานชายคนโตจะธรรมดาเล็กน้อย แต่สิ่งที่ควรค่าให้ชื่นชมก็คือปณิธานยังคงมีอยู่


 


 


เขากล่าวอย่างแฝงนัย หลานสาวเช่นเจ้าสี่ เขาได้แต่หวังว่าจะมีอีกหลายๆ คน


 


 


ตอนนี้ข่าวที่เสิ่นเวยกล้าหาญบุกค่ายกองทัพใหญ่ซีเหลียงแย่งชิงเสบียงได้ดังออกไปในหมู่กองทหารเด็กแล้ว พวกเขาพูดกันอย่างออกรสออกชาติ ท่าทางรู้สึกเป็นเกียรติ


 


 


หลังจากนั้นก็ลากโอวหยางไน่ครูฝึกของพวกเขามาถาม เมื่อไรพวกเขาจะได้ลงสนามรบบ้าง คิดๆ ดูแล้วก็ทำให้โลหิตร้อนพลุ่งพล่าน พวกพี่ชายเหล่านั้นในมือคุณชายสี่ก็ไม่ได้โตไปกว่าพวกเขาเท่าไรกระมัง ทว่าแต่ละครั้งกลับได้ลงสนามรบ แต่ละครั้งล้วนได้รับความดีความชอบ เมื่อไรจะถึงตาพวกเขาบ้าง


 


 


โอวหยางไน่สีหน้าเรียบเฉย แต่ในใจกลับขบขัน เพิ่งจะฝึกได้ไม่กี่วันก็คิดจะลงสนามรบแล้ว แม้แต่เลือดยังไม่เคยเห็น ลงสนามรบก็เท่ากับไปตายน่ะสิ ไม่รู้จักฟ้าสูงดินต่ำจริงๆ


 


 


เสิ่นเวยบังเอิญผ่านมาพอดี กลุ่มทหารเด็กก็ล้อมเสิ่นเวยไว้


 


 


เมื่อเสิ่นเวยได้ยินความต้องการของพวกเขา ชั่วขณะก็ดีใจ กล่าว “อยากลงสนามรบหรือ ได้สิ! แต่ว่าต้องทำตามเงื่อนไขข้าให้ได้ อีกไม่กี่วันมาตรฐานการประเมินผลก็จะประกาศแล้ว คนที่ผ่าน มีโอกาส คนที่ไม่ผ่าน เช่นนั้นก็อย่าได้คิด ข้าไม่มีทางยืนมองพวกเจ้าถูกส่งไปตายหรอก”


 


 


“จริงหรือ ดีจริงๆ!” กลุ่มทหารเด็กต่างก็โห่ร้องดีใจ ลืมใส่ใจประโยคครึ่งหลังของเสิ่นเวยไปโดยปริยาย ตลกแล้ว พวกเขาฝึกฝนด้วยความขยันเพียงนั้น จะไม่ผ่านการประเมินได้อย่างไร


 


 


เสิ่นเวยมองท่าทางดีใจของพวกเขา คิดในใจ รอดูแล้วกัน ถึงเวลาที่พวกเจ้าต้องร้องไห้แล้ว


 


 


เสิ่นเวยอยากลากพวกเขาออกไปทดสอบนานแล้ว ไม่เคยเห็นเลือดแล้วจะเรียกว่าทหารได้หรือ เพียงแต่จะทดสอบอย่างไร นางยังคงตริตรองอยู่ในใจ


 


 


 


 


 


 


[1] แม่ไก่ขันตอนเช้า หมายถึงสตรีที่ออกรบ ล่าสัตว์อย่างเช่นบุรุษ ไม่ยอมทำหน้าที่ของสตรีจะทำให้บ้านเมืองล่มจม

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)