อัจฉริยะสมองเพชร 1700-1703

 ตอนที่ 1700 หมาป่าเวหาหน้าทอง

จางเซวียนนำพู่กันออกมาเล่มหนึ่ง จากนั้นก็สะบัดพู่กันอย่างรวดเร็วและเขียนถ้อยคำกลางอากาศ ‘นี่คือสถานที่ที่ห้องโถงลำดับแรกตั้งอยู่’ โดยเขียนลงไปในแปดทิศทาง


จากนั้นเขาก็แตะตัวอักษร


วิ้ง!


จางเซวียนรีบใช้หอสมุดเทียบฟ้า แต่ไม่มีหนังสือเล่มไหนได้รับการประมวลขึ้นมา


“….” เขาหน้าดำคร่ำเครียด


ไม่มีหนังสือเกิดขึ้น หรือในอีกความหมายหนึ่งก็คือหอสมุดเทียบฟ้าไม่สามารถช่วยเขาค้นหาที่ตั้งของห้องโถงลำดับแรกได้!


นี่เป็นครั้งแรกที่เขาต้องเจอกับสถานการณ์แบบนี้


วิหารแห่งขงจื๊อซ่อนอยู่ในมิติลี้ลับมาหลายหมื่นปีแล้ว ยังไม่เคยมีผู้หยั่งรู้คนไหนทำนายตำแหน่งที่ตั้งของมันได้ เป็นไปได้ว่าปรมาจารย์ขงคงใช้วิธีการบางอย่างเพื่อปกปิดมันไว้


มีผู้เชี่ยวชาญมากมายนับไม่ถ้วนทั้งในหมู่เผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์ปีศาจ มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงที่ปรมาจารย์ขงทิ้งไว้นั้นเป็นของล้ำค่าซึ่งเป็นที่ปรารถนาของผู้คนมากมาย แต่ส่วนมันจะอยู่ที่ไหน ก็ยังคงเป็นความลับแม้จะผ่านมาหลายหมื่นปีแล้ว เห็นได้ชัดว่าเทคนิคการต่อต้านคำทำนายบางอย่างถูกนำมาใช้ปกปิดมันไว้แม้แต่จากสายตาของสวรรค์


ดังนั้น จึงเป็นธรรมดาที่หอสมุดเทียบฟ้าจะไม่อาจทำนายตำแหน่งของมันได้


ความสามารถของหอสมุดเทียบฟ้าถูกจำกัดโดยขอบเขตของสวรรค์ หากสวรรค์ไม่อาจเข้าถึง หอสมุดเทียบฟ้าก็ไร้ความสามารถเช่นกัน


เห็นได้ชัดว่าวิหารแห่งขงจื๊อเป็นแบบนั้น


จางเซวียนเคาะนิ้ว จากนั้นก็นำเครื่องรางน้อยออกมาและตั้งคำถาม “เครื่องรางน้อย ผมต้องไปที่ไหนถึงจะเข้าถึงห้องโถงลำดับแรก?”


ในเมื่อความคิดของเขาใช้การไม่ได้ ก็คงต้องพึ่งพาเครื่องรางน้อย


เครื่องรางน้อยลอยตัวขึ้นสู่กลางอากาศแล้วสั่นสะท้านเบาๆก่อนจะตอบว่า “ผมจะรู้สึกได้ถึงตำแหน่งของห้องโถงลำดับแรกก็ต่อเมื่อเราอยู่ภายในรัศมี 20 ลี้จากวิหารแห่งขงจื๊อ สำหรับที่ที่เราอยู่ตอนนี้ ผมก็ไม่แน่ใจ…”


มันสามารถรับรู้ตำแหน่งของวิหารแห่งขงจื๊อได้ แต่ก็มีขีดจำกัดของระยะทาง ถ้าอยู่ห่างจากเป้าหมายมากเกินไป เครื่องรางก็ไม่อาจรับรู้ถึงมันได้เช่นกัน


“ถ้าอย่างนั้น ถ้าคุณรับรู้หรือรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง ส่งโทรจิตบอกผมได้ตลอดเวลานะ” เมื่อเห็นว่าแม้แต่ความคิดสุดท้ายของเขาก็ใช้ไม่ได้ผล จางเซวียนถอนหายใจอย่างจนปัญญา


ในฐานะผู้ทรงพลังคนหนึ่งของทวีปแห่งปรมาจารย์ จางเซวียนไม่คิดว่าเขาจะลงเอยด้วยการอับจนหนทางในมิติลี้ลับแห่งนี้


“รับทราบ! แต่ถ้าคุณไม่เลือกหนทางที่นำไปสู่วิหารแห่งขงจื๊อให้ดีล่ะก็ อาจจะหลุดจากเส้นทางไปเลยก็ได้นะ” เครื่องรางลำดับแรกให้คำแนะนำ


“ก็จริง ผมต้องพิจารณาทิศทางที่จะมุ่งหน้าไปให้ดี อยู่ที่นี่จะทำอะไรหุนหันพลันแล่นไม่ได้…” จางเซวียนพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม ครู่ต่อมาเขาก็ตาโตขณะอุทาน “ใช่แล้ว!”


“คุณเกิดความคิดอะไรบางอย่างแล้วหรือ?” เครื่องรางถาม


“หอกสวรรค์กระดูกมังกร!” จางเซวียนหัวเราะเบาๆขณะชักหอกสวรรค์กระดูกมังกรออกมาอีกครั้ง


“มันสามารถระบุทิศทางที่นี่ได้หรือ?” เครื่องรางรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าครั้งใหญ่ “คุณแน่ใจหรือว่ามันจะค้นหาตำแหน่งของวิหารแห่งขงจื๊อได้ ในขณะที่แม้แต่ผมยังทำไม่ได้?”


มันเป็นของล้ำค่าที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อการค้นหาตำแหน่งของวิหารแห่งขงจื๊อโดยเฉพาะ ถ้าแม้แต่ตัวมันยังหาตำแหน่งของวิหารไม่ได้ ก็ไม่ควรมีใครอื่นทำได้เช่นกัน แล้วจะนำหอกสวรรค์กระดูกมังกรออกมาตอนนี้เพื่ออะไร?


ครู่ต่อมา เครื่องรางน้อยก็เห็นจางเซวียนสะบัดข้อมือ แล้วหอกสวรรค์กระดูกมังกรก็หมุนติ้วอยู่กลางอากาศ


มันใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าจะหยุด เมื่อมองทิศทางที่หอกสวรรค์กระดูกมังกรชี้ไป จางเซวียนพยักหน้า “ไปทางนั้นก็แล้วกัน!”


จากนั้น เขาก็มุ่งหน้าไปด้วยสีหน้ามั่นอกมั่นใจเต็มเปี่ยม


“….” เครื่องรางน้อย


“….” หอกสวรรค์กระดูกมังกร


พวกมันยังคงสงสัยอยู่ว่านายท่านจะใช้วิธีการอันชาญฉลาดแบบไหน ใครจะไปคิดว่าเขาจะวัดดวงกันดื้อๆแบบนี้


คุณมาที่นี่เพื่อค้นหาวิหารแห่งขงจื๊อนะ ไม่ใช่หมุนกงล้อแห่งโชคลาภ!


จางเซวียนไม่ใส่ใจของล้ำค่าทั้งสอง เขาเก็บเครื่องรางลำดับแรกเข้าสู่แหวนเก็บสมบัติและนำหอกสวรรค์กระดูกมังกรรัดรอบเอวของเขาไว้อีกครั้งก่อนจะก้าวยาวๆไป


ในเมื่อเขาไม่มีเงื่อนงำเลยสักนิดว่าควรจะมุ่งหน้าไปทางไหน ก็ควรจะเดินสำรวจดูให้ทั่ว


มิติลี้ลับแห่งนี้มีพลังจิตวิญญาณเข้มข้น การเดินทางของจางเซวียนจึงไม่สร้างความเหน็ดเหนื่อยให้เขามากนัก ไม่ช้าเขาก็มาถึงลำธารสายหนึ่ง เมื่อเพ่งดูใกล้ๆ จางเซวียนอดอุทานด้วยความยำเกรงไม่ได้


สิ่งที่ล่องลอยอยู่ในลำธารนั้นไม่ใช่น้ำ แต่เป็นหยดน้ำทิพย์!


พูดอีกอย่างก็คือ พลังจิตวิญญาณที่อบอวลอยู่ในอากาศนั้นเข้มข้นเสียจนสามารถกลั่นตัวเป็นน้ำที่ก่อเกิดเป็นลำธารสายหนึ่งขึ้นได้


ครั้งหนึ่ง เหล่าอสูรที่สันเขาปุยเมฆเกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมาเพราะหยดน้ำทิพย์ของพวกมันหายไป ไม่นึกเลยว่าจะมาพบหยดน้ำทิพย์มากมายที่นี่


“เก็บ!”


แม้หยดน้ำทิพย์ในระดับขั้นนี้จะไม่เป็นประโยชน์สำหรับจางเซวียนอีกแล้ว แต่สัญชาตญาณของเขาก็สั่งการทันควัน เขาไม่อาจปล่อยให้ของดีๆแบบนี้เสียเปล่าได้ จึงเก็บหยดน้ำทิพย์ทั้งหมดเข้าสู่รังนางพญามดเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่เสียมันไปโดยเปล่าประโยชน์แม้แต่หยดเดียว


จางเซวียนเดินข้ามพื้นที่ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นลำธาร เขาเดินหน้าต่อไป และเห็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ทางยาอยู่มากมาย แม้แต่สมุนไพรที่อายุน้อยที่สุดก็มีอายุราว 1000 ปี ส่วนที่มีอายุมากที่สุดนั้นตกราวหลายหมื่นปีเลยทีเดียว แม้มองจากระยะไกล เขาก็ยังได้กลิ่นอบอวลล้ำลึกจากสมุนไพรที่เติบโตเต็มที่


ช่างเป็นโลกที่เต็มไปด้วยทรัพย์สมบัติจริงๆ…จางเซวียนคิดขณะเก็บสมุนไพรบางส่วนอย่างตื่นเต้น


วิหารแห่งขงจื๊อช่างเป็นสถานที่ที่น่าทึ่ง มีทรัพย์สมบัติกระจัดกระจายอยู่ทุกหนทุกแห่ง


ไม่น่าแปลกใจแล้วที่ผู้เชี่ยวชาญทุกคนในทวีปแห่งปรมาจารย์จะอยากมาที่นี่ มีทั้งพลังจิตวิญญาณเข้มข้น สภาวะครูบาอาจารย์ที่อยู่ในระดับสูง และทรัพย์สมบัติล้ำค่าอีกมากมาย ล้วนแต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการยกระดับวรยุทธอย่างรวดเร็ว ด้วยของพวกนี้ นักรบจะไม่ต้องออกไปดิ้นรนต่อสู้อย่างสิ้นหวังอยู่ข้างนอก


เคร้งงงง! เคร้งงงง!


ระหว่างที่กำลังสำรวจ จางเซวียนก็พลันได้ยินเสียงกระทบกันของโลหะดังมาจากที่ไกลๆ เขาพุ่งไปตามทิศทางนั้นโดยไม่ลังเล


แต่ก่อนจะถึงต้นเสียงที่เกิดการกระทบกันของโลหะ จางเซวียนก็ปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์หน้าตาของตัวเองเรียบร้อยแล้ว


ในฐานะหัวหน้า 3 ตระกูลชั้นนำและหัวหน้าปูชนียสถานนักปราชญ์ สำหรับตอนนี้ ไม่มีทางที่จะไม่มีใครรู้จักเขา อีกอย่าง ครั้งหนึ่งเขายังเคยเป็นผู้ต้องหาที่สภาปรมาจารย์ต้องการตัวด้วย ไม่ยากเลยที่ผู้คนจะจดจำเขาได้ ในเมื่อตัวตนของเขาเปราะบางแบบนี้ จึงจำเป็นที่จะต้องปลอดภัยไว้ก่อน


จางเซวียนเดินวนรอบเนินเขา และในที่สุดก็มาถึงบริเวณที่เกิดเสียงโลหะกระทบกัน มีชาย 5 คนกับหญิง 2 คน กำลังตีวงล้อมอสูรตัวหนึ่งไว้และสู้กับมัน


มันคือหมาป่าเวหาหน้าทองซึ่งสวรรค์ประทานให้มีพละกำลังเทียบเท่ากับนักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติตั้งแต่เกิด เมื่อโตเต็มวัย มันจะมีพละกำลังเทียบเท่ากับนักรบขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณ


ในบรรดาคู่ต่อสู้ทั้ง 7 ของมัน, 3 คนเป็นนักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติ ขณะอีก 4 คนที่เหลือเป็นนักรบขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณ พวกเขาไม่ได้สวมเสื้อคลุมปรมาจารย์และไม่มีตราสัญลักษณ์อยู่บนเสื้อผ้าด้วย ยากที่จะบอกได้ว่าคนกลุ่มนี้มาจากไหน


เมื่อเจอกับการผนึกกำลังกันของผู้เชี่ยวชาญ 7 คน หมาป่าเวหาหน้าทองก็ถูกต้อนให้ล่าถอยไปครั้งแล้วครั้งเล่า มันอยู่ในตำแหน่งที่เสียเปรียบและกำลังจะเพลี่ยงพล้ำ


โดยทั่วไป เหล่าอสูรจะมีประสิทธิภาพการต่อสู้ที่เหนือชั้นกว่านักรบที่มีวรยุทธระดับเดียวกัน แต่เพราะรู้ดีว่าวิหารแห่งขงจื๊อเต็มไปด้วยอันตราย เหล่านักรบที่มาที่นี่จึงนำของล้ำค่ามาด้วยหลายชิ้น พวกเขาโยนของล้ำค่าทั้งหมดเข้าใส่มันราวกับไม่มีราคาค่างวดอะไรเลย และในขณะเดียวกัน ก็ดูเหมือนหมาป่าเวหาหน้าทองใกล้จะหมดสภาพเต็มที


ด้วยเหตุนี้ เพียงไม่กี่อึดใจ หมาป่าเวหาหน้าทองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส


เมื่อเห็นว่าหมาป่าใกล้จะถึงขีดสุดของความอดทนแล้ว ชายหนุ่มคนหนึ่งตวาดก้อง “ทำตามคำสั่งของผม! พวกเราจะเข้าโจมตีมันพร้อมๆกัน”


“ได้เลย!”


ทั้งกลุ่มตาโต พริบตาต่อมา อาวุธทุกชนิดก็พุ่งเข้าใส่หมาป่าเวหาหน้าทองตัวนั้น


เมื่อเจอกับการโจมตีอย่างต่อเนื่อง หมาป่าเวหาหน้าทองก็ทรุดฮวบลงกับพื้นและขาดใจตาย


“เราฆ่ามันได้แล้ว!”


ทั้งกลุ่มถอนหายใจอย่างโล่งอก พวกเขากำลังจะฉลอง ก็พอดีกับที่ได้ยินเสียงฝีเท้า ทุกคนรีบชูอาวุธขึ้นอีกครั้ง


“คุณเป็นใคร?” สมาชิกคนหนึ่งในกลุ่มตั้งคำถามอย่างหวาดระแวง


“ผมแค่บังเอิญผ่านมา” จางเซวียนตอบ


“บังเอิญผ่านมา?”


คนกลุ่มนั้นจ้องมองจางเซวียนอย่างสงสัย ดูเหมือนจะกลัวว่าอีกฝ่ายจะขโมยหมาป่าเวหาหน้าทองที่พวกเขาเพิ่งสังหารไป


จางเซวียนรับรู้ได้ถึงความรู้สึกนั้น เขาเข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น จึงรีบโบกมือ “ผมไม่สนใจอสูรตัวนั้นหรอก พวกคุณไม่ต้องระแวง”


ในเมื่อเขามาปรากฏตัวหลังจากที่คนกลุ่มนี้เพิ่งสังหารหมาป่าเวหาหน้าทองไป ก็ไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาจะสงสัย


“ฮึ่มมม! ผมก็ยังสงสัยอยู่ว่าคุณจะกล้าหรือเปล่า…”


เมื่อเห็นว่าจางเซวียนเป็นแค่นักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติ ทุกคนถอนหายใจอย่างโล่งอก ชายหนุ่มที่เป็นผู้สั่งการเมื่อครู่นี้หันกลับไปที่ศพของหมาป่าเวหาหน้าทอง เขาสะบัดข้อมือ จากนั้นก็ชักกริชด้ามหนึ่งออกมาและเริ่มชำแหละศพของมัน


ไม่ช้า เขาก็ได้เขี้ยวและกรงเล็บของหมาป่าไป


“ผมมีบทบาทมากที่สุดในการสังหารเจ้าตัวนี้ เพราะฉะนั้นพวกคุณคงไม่ขัดข้องนะที่ผมจะนำเขี้ยวกับกรงเล็บของมันไป, ใช่ไหม? ส่วนที่เหลือน่ะ พวกคุณจะทำอะไรกับมันก็ตามใจ!” ชายหนุ่มพูด



ตอนที่ 1701 เสือขาวหน้าผากแดง

อวัยวะส่วนที่แข็งแกร่งที่สุดของอสูรตัวหนึ่งก็คือเขี้ยวและกรงเล็บของมัน ส่วนนอกเหนือจากนั้นก็ไม่ได้มีราคาค่างวดเท่าไหร่


แต่เพราะรู้ซึ้งถึงพละกำลังของชายหนุ่ม คนอื่นๆจึงไม่กล้าทักท้วงอะไร พวกเขาต่างพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจก่อนจะเริ่มชำแหละซากศพนั้น


ไม่ช้า ชิ้นส่วนของหมาป่าตัวใหญ่ก็ถูกชำแหละออกไปจนหมด


อวัยวะหลายส่วนของหมาป่าเวหาหน้าทองเป็นวัตถุล้ำค่า แต่ด้วยความมั่งคั่งของจางเซวียนในตอนนี้ พวกมันจึงไม่มีค่าพอที่จะดึงดูดสายตาของเขา อีกอย่าง นักรบกลุ่มนี้ก็ลงทุนลงแรงไปมากในการสังหารหมาป่า ในฐานะปรมาจารย์ การที่เขาจะเข้าไปฉกฉวยส่วนแบ่งจึงถือว่าไม่เหมาะสม


จากการที่คนกลุ่มนี้แบ่งสรรปันส่วนกัน จางเซวียนก็รู้สึกได้ถึงรายละเอียดปลีกย่อยบางอย่าง


ตอนแรก เขาคิดว่าทั้งกลุ่มรู้จักกันมาก่อนที่จะเข้าสู่มิติลี้ลับ แต่เรื่องจริงไม่ใช่


ชัดเจนว่าต่างคนต่างคุมเชิงกันอยู่ตลอดเวลา และเมื่อมีการแบ่งสรรปันส่วน ทุกคนก็พยายามจะกอบโกยให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งๆที่ตัดสินใจรวมกลุ่มกันแล้ว แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครผูกพันกันเลย


ชายหนุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งดูเหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่มก้าวเข้ามาหาจางเซวียน “สหาย ดูเหมือนคุณจะตระเวนอยู่ในพื้นที่นี้ตามลำพังนะ ทำไมไม่มารวมกลุ่มกับพวกเราล่ะ? พื้นที่รอบวิหารแห่งขงจื๊อนั้นกว้างใหญ่มาก ทั้งยังมีผู้เชี่ยวชาญและอสูรอยู่ทั่วไป การที่คุณเดินทางตามลำพังนั้นไม่เพียงแต่จะเป็นอันตราย ยังอาจทำให้คุณพลาดของดีๆด้วยเพราะประสิทธิภาพการต่อสู้ที่มีจำกัด”


“หากเรารวมกลุ่มกัน ก็สามารถระมัดระวังให้กันและกันได้!”


“อย่าว่าแต่อย่างอื่นเลย ลำพังแค่หมาป่าเวหาหน้าทองที่พวกเราเพิ่งเอาชนะได้นั้นก็สูญพันธุ์ไปแล้วในทวีปแห่งปรมาจารย์ ทำให้เป็นของหายากที่ประเมินค่ามิได้ ถ้าปราศจากพละกำลังที่แข็งแกร่งมากพอ ก็ไม่มีทางได้มาแม้แต่ขนของมันสักกระจุก อย่าว่าแต่เขี้ยวและกรงเล็บของมันเลย”


คนอื่นๆพยักหน้าอย่างเห็นพ้อง


การเดินทางเป็นกลุ่มนั้นย่อมหมายถึงการต้องแบ่งสรรปันส่วนในทรัพย์สมบัติที่ได้มา แต่วิหารแห่งขงจื๊อก็เต็มไปด้วยของล้ำค่า


อีกอย่าง มันเป็นเรื่องยากสำหรับนักรบตัวคนเดียวที่จะหลบเลี่ยงอันตรายในพื้นที่บริเวณนี้และได้ของล้ำค่ามาเป็นสมบัติของตัวเอง หรือยิ่งกว่านั้น หากมีนักรบที่แข็งแกร่งกว่ามาปล้นทรัพย์สมบัติไป ก็ไม่มีทางทำอะไรอีกฝ่ายได้


ในทวีปแห่งปรมาจารย์ บรรดานักรบไม่กล้าทำอะไรล้ำเส้นเพราะความยำเกรงที่มีต่อสภาปรมาจารย์ แต่ตอนนี้พวกเขาอยู่ในมิติลี้ลับที่มีภัยคุกคามอยู่ทั่วทุกหัวระแหง แม้แต่มือไม้ของสภาปรมาจารย์ก็ไม่แข็งแกร่งพอที่จะนำกฎระเบียบของพวกเขามาใช้ที่นี่!


คนๆหนึ่งสามารถสังหารคนอีกหลายคนและอำพรางศพของคนเหล่านั้นได้โดยไม่มีใครรู้เลย


สำหรับมิติลี้ลับแห่งนี้ อันที่จริงก็ถือเป็นดินแดนไร้กฎหมาย สิ่งเดียวที่พอจะยับยั้งการกระทำของใครคนหนึ่งได้ก็คือหลักการและคุณธรรมในใจของเขาเท่านั้น


เหล่าปรมาจารย์อาจรู้สึกว่าตัวเองยังต้องยึดมั่นในค่านิยมที่เคยใช้ แต่สำหรับนักรบนิรนามที่ไร้หัวนอนปลายเท้าล่ะ? แล้วยังเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นอีก?


หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดจางเซวียนก็พยักหน้า “ได้สิ!”


ในเมื่อตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าจะไปทางไหน จะตามคนกลุ่มนี้ไปก็ไม่เสียหายอะไร อีกอย่าง จะได้เป็นการปกปิดตัวตนของเขา ไม่ทำให้ใครเกิดความสงสัยด้วย


เห็นจางเซวียนตอบตกลง ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนและแนะนำตัวด้วยทีท่าวางมาด “ผมชื่อมู่เสี่ยว ทายาทตระกูลมู่!”


ความประหลาดใจฉายวาบในดวงตาของจางเซวียน


ชายหนุ่มคนนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญของตระกูลมู่นี่เอง


ดูจากความแข็งแกร่งของเขา เป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นไม้ตายที่ตระกูลมู่ซ่อนไว้ตลอดมา


จางเซวียนประสานมือและแนะนำตัว “ผมชื่อเซวียนจาง, นักรบนิรนาม”


“อ้อ พี่เซวียนนี่เอง ยินดีที่ได้พบคุณ” มู่เสี่ยวตอบตามมารยาท


สมาชิกคนอื่นๆที่เหลือต่างก็แนะนำตัว


ในบรรดา 7 คนนี้, 6 คนเป็นทายาทสายตรงของกลุ่มอำนาจหลัก มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เป็นนักรบนิรนาม


“พวกเราเดินทางต่อเถอะ!”


หลังจากตกลงเป็นพันธมิตรกันแล้ว มู่เสี่ยวก็ร้องเรียกคนที่เหลือให้รวมตัวกัน จากนั้นพวกเขาก็ออกเดินทางอีกครั้ง


จางเซวียนรู้สึกได้ว่าคนกลุ่มนี้กำลังมุ่งหน้าไปตามทิศทางที่เขาคิดจะไปเช่นกัน จึงเดินตามหลังไปอย่างเงียบๆ


การเดินครั้งนี้กินเวลาถึง 4 ชั่วโมงเต็ม


ภายในช่วงเวลาดังกล่าว พวกเขาได้พบกับอสูรอีก 3 ตัวที่มีพละกำลังเทียบเท่ากับหมาป่าเวหาหน้าทอง เพราะรู้ดีว่าความแข็งแกร่งของตัวเองจะทำให้ใครๆสงสัยตัวตนของเขา จางเซวียนจึงปรับ ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาให้เทียบเท่ากับนักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติทั่วไป


อันที่จริง คนกลุ่มนี้เชื้อเชิญจางเซวียนให้เข้าร่วมก็เพราะคาดหวังว่าตัวเขาจะมีวิธีการและของล้ำค่าที่น่าสนใจ โดยพิจารณาจากการที่เขาสามารถเดินตระเวนทั่วมิติลี้ลับได้ตามลำพังโดยไม่เป็นอันตราย แต่เมื่อทุกคนเห็นว่าประสิทธิภาพการต่อสู้ของอีกฝ่ายก็ธรรมดาสามัญ จึงหมดความสนใจในตัวจางเซวียนอย่างรวดเร็ว ทีท่าของทุกคนที่มีต่อเขาเปลี่ยนไปเป็นความเย็นชาโดยไม่รู้ตัว


“คุณแทบไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะฉะนั้นผมเกรงว่าครั้งนี้เราคงเเบ่งอะไรให้คุณไม่ได้ คราวหน้าคุณต้องพยายามมากกว่านี้นะเพื่อให้ได้ส่วนแบ่ง” มู่เสี่ยวบอกจางเซวียนขณะที่พวกเขากำลังชำแหละอสูรตัวที่ 3 ที่ได้พบ


“เฮ่ออออ! ผมก็คิดว่าเขาจะมีอะไรดีๆอยู่กับตัว คุณจะหวังอะไรจากนักรบนิรนามไม่ได้หรอก!”


“ในเมื่อเขาแทบไม่ได้ทำอะไรเลยในการสังหารอสูรตัวนี้ ก็ไม่ควรมีสิทธิ์ได้รับอะไรทั้งนั้น!”


…..


มีเสียงหารือทำนองนี้อยู่ในกลุ่ม


คำพูดเหล่านี้ออกจะหยาบคาย แต่จางเซวียนก็ไม่ใส่ใจที่จะรับรู้หรือตอบโต้ นัยน์ตาของเขาจับจ้องอยู่ที่ทิศทางที่อสูรปรากฏตัวขึ้นก่อนหน้านี้ จากนั้นก็ตาโตด้วยความตื่นเต้น


เขาสังเกตเห็นว่าอสูรทั้ง 3 ตัวที่ได้พบระหว่างการเดินทางนั้นล้วนแต่กำลังมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่ตรงกันข้ามกับพวกเขา ออกจะเป็นเรื่องบังเอิญเกินไปสักหน่อยที่พวกมันทุกตัวเดินไปยังทิศทางตรงกันข้าม จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกมันกำลังมุ่งหน้าไปตามทางที่ถูกต้องที่นำไปสู่วิหารแห่งขงจื๊อ?


เมื่อเกิดความคิดนั้น จางเซวียนก็นึกอยากแยกตัวออกจากกลุ่มและลุยเดี่ยว แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ทำแบบนั้น เสียงอื้ออึงก็ดังขึ้นจากป่าที่ล้อมรอบพวกเขาไว้


จากนั้น เสือขาวหน้าผากแดงก็ปรากฏตัวออกมาจากดงไม้ที่อยู่ตรงหน้า


อสูรตัวนี้เป็นอสูรที่มีวรยุทธขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณ โลกจารึก ทันทีที่มันปรากฏตัว ก็แผ่แรงกดดันมหาศาลออกมาที่ทำให้หัวใจของทุกคนกระตุกด้วยความพรั่นพรึง


“ทุกคน เตรียมป้องกันตัว!” มู่เสี่ยวทานอย่างร้อนรนก่อนจะจับตามองอสูรตัวนั้น


ฟึ่บ!


ทั้ง 7 คนนี้ ไม่มีใครเป็นมือใหม่ เมื่อได้ยินคำสั่ง พวกเขาก็นำอาวุธออกมาเตรียมพร้อมและเข้าประจำตำแหน่งทันที พร้อมจะเผชิญหน้ากับศัตรูที่กำลังจะเข้ามาเล่นงาน


ฮื่ออออ!


เมื่อเห็นว่ามีคนขวางทาง เสือขาวหน้าผากแดงเกรี้ยวกราดขึ้นมาทันที มันคำรามก้องและพุ่งเข้าใส่ทั้งกลุ่ม


ด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว อสูรตัวใหญ่ก็สำแดงพละกำลังที่เหนือชั้นกว่าทั้งกลุ่ม มันตะปบกรงเล็บลงมา ทำให้อากาศโดยรอบเกิดเสียงหวีดหวิว คลื่นความสั่นสะเทือนระเบิดเข้าใส่มู่เสี่ยวราวกับกระแสดาบฉีอันคมกริบ


“ปราการไม้เขียว!”


มู่เสี่ยวหรี่ตาด้วยความประหลาดใจ เขารีบสะบัดข้อมือและนำโล่ไม้ที่มีรูปร่างเหมือนโดมออกมาวางตรงหน้า


มันเป็นของล้ำค่าของตระกูลมู่


ครืดดดด!


แม้ปราการไม้เขียวจะทรงพลัง แต่เสือขาวหน้าผากแดงก็เหนือชั้นกว่า ด้วยการสะบัดกรงเล็บอีกครั้ง รอยร้าวก็ก่อตัวบนผิวหน้าของปราการไม้เขียวนั้น


พลั่ก!


เมื่อรับมือไม่ไหวอีกต่อไป มู่เสี่ยวกระอักเลือดออกมาและถูกสอยกระเด็นไป


รู้ดีว่าพวกเขาจะกลายเป็นเหยื่อรายต่อไปหากไม่รีบลงมือ ใครคนหนึ่งในกลุ่มตะโกนก้อง “โจมตีมันพร้อมๆกันเถอะ!”


เมื่อได้ยินคำสั่ง สมาชิกที่เหลือก็พุ่งเข้าใส่เสือขาวหน้าผากแดงอย่างพร้อมเพรียงกัน


ทุกคนออกอาวุธอย่างดุเดือด ปล่อยการโจมตีอันทรงพลังเข้าใส่เสือขาวหน้าผากแดง แต่ก็ไม่มีสิ่งใดทะลุผิวหนังของมันได้


ฮื่ออออ!


เสือขาวหน้าผากแดงคำรามกร้าวและหมุนตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้ทุกคนที่อยู่รอบตัวมันกระเด็นไป ใบหน้าของพวกเขาซีดเผือดและกระอักเลือดออกมา ซึ่งบ่งบอกว่านักรบส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้ได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้จะเผชิญหน้ากับอสูรตัวใหญ่เพียงระยะเวลาสั้นๆ


สมกับที่เป็นอสูรซึ่งมีวรยุทธขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณ โลกจารึก ความแข็งแกร่งของมันนั้นน่าสะพรึงจริงๆ!


“พวกเราจะต้องตายที่นี่หรือเปล่า?”


เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่อาจต้านทานอสูรตัวใหญ่ได้แม้จะสำแดงพละกำลังเต็มพิกัดแล้ว ความพรั่นพรึงและความสิ้นหวังก็ปรากฏบนสีหน้าของนักรบกลุ่มนั้น ความรู้สึกที่ว่าพวกเขาอาจต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่เข้าจู่โจม ทำให้ทุกคนเกิดความหมดหวังถึงขีดสุด


ถ้ารู้เสียก่อน จะไม่มีวันตระเวนลึกเข้ามาในพื้นที่บริเวณนี้เลย


ขณะที่ทุกคนคิดว่าความตายมาจ่ออยู่ตรงหน้าแล้ว ชายหนุ่มที่อ่อนแอที่สุดในกลุ่มก็ลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับเสือขาวหน้าผากแดง


“อยู่ที่นี่ผมบินไม่ได้ และการเดินทางด้วยเท้าก็ใช้เวลานานเกินไป คงเป็นวาสนาที่นำพาให้พวกเรามาเจอกัน ในเมื่อชะตาของเราถูกผูกไว้ด้วยกันแล้ว ผมก็จะให้โอกาสคุณ มาเป็นอสูรของผมเถอะ!” ชายหนุ่มที่ชื่อเซวียนจางพูดอย่างสุขุม


ฮื่อออออ?


อสูรเสือขาวหน้าผากแดงถึงกับผงะ


สมองของหมอนี่ผิดเพี้ยนหรือเปล่า?


คุณกำลังจะให้โอกาสผม ให้ผมได้กลายเป็นอสูรของคุณใช่ไหม? สมองคุณเพี้ยนหรือหัวไปกระแทกประตูที่ไหนมา?


นักรบคนอื่นๆก็จังงังกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน


ตลอดเวลาที่ผ่านมา ชายหนุ่มคนนี้ไม่เคยช่วยเหลืออะไรได้มากมายในการต่อสู้ของพวกเขากับอสูรที่มีวรยุทธขั้นร่างอันทรงเกียรติ แต่ตอนนี้ หมอนี่กลับเรียกร้องให้อสูรที่มีวรยุทธขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณ โลกจารึกมาเป็นอสูรของตัวเอง


แม้แต่นักฝึกอสูรก็ยังต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะสร้างความคุ้นเคยกับอสูรก่อนที่จะหว่านล้อมให้พวกมันยอมทำสัญญาด้วย ไม่มีใครรู้ว่าวิหารแห่งขงจื๊อจะเปิดอยู่นานแค่ไหน แต่ก็แน่นอนว่าคงไม่ยาวนานหลายปีแน่


ด้วยความแข็งแกร่งของชายหนุ่มในเวลานี้ ไม่มีทางเลยที่เขาจะทำอะไรได้ทัน!


ก็เพราะเหตุนี้ที่ทำให้พวกเขาเลือกสังหารอสูรทุกตัวที่เข้ามาขวางทาง ไม่คิดที่จะทำให้มันยอมจำนนและนำพวกมันกลับสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์ เพราะมองว่าเป็นไปไม่ได้


หมอนี่เป็นแค่นักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติ ไม่กลัวว่าเสือขาวหน้าผากแดงจะตบเขาทีเดียวตายหรือ?


ต่อหน้าสายตาสงสัยของทุกคน เสือขาวหน้าผากแดงส่งเสียงคำรามโหยหวนออกมา และกำลังจะตะปบกรงเล็บลงบนศีรษะของจางเซวียน



ตอนที่ 1702 เสือขาวประหลาดใจ

“แคว่กกก!”


เกิดเสียงแคว่กราวกับผืนผ้าแห่งมิติถูกฉีกกระชาก การเคลื่อนไหวของเสือขาวหน้าผากแดงนั้นทรงพลังและรวดเร็วเสียจนทำให้เกิดเสียงกึกก้องกลางอากาศ


ท่าทีโอหังที่จางเซวียนแสดงต่อมันทำให้มันโมโหเดือด


การเคลื่อนไหวครั้งนี้ทรงพลังกว่าตอนที่มันเล่นงานมู่เสี่ยวกับคนอื่นๆมาก ต่อให้ของล้ำค่าระดับเซียนขั้นสูงสุดก็ต้องแหลกสลายเพราะพลังของมัน


สุดท้าย ก็ดูเหมือนชายหนุ่มที่กำลังเผชิญหน้ากับเสือขาวหน้าผากแดงจะเกิดความหวาดกลัวจนเสียสติ เขายืนนิ่งอึ้งอยู่กับที่ ไม่คิดจะหลบเลี่ยงการโจมตีเลยแม้แต่นิดเดียว


ผมยังสงสัยอยู่ว่าคุณเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับไหน ใครจะไปคิดว่าคุณมันก็แค่ไอ้ขี้ขลาด!


เสือขาวหน้าผากแดงคำรามเย้ยหยันขณะตะปบกรงเล็บลงบนศีรษะของชายหนุ่ม


บึ้มมม!


แต่ตรงกันข้ามกับที่ทุกคนคิดไว้ ไม่เกิดการระเบิดใดๆขึ้น กลับเกิดเสียงกระทบกันดังกึกก้องของอาวุธที่ดังสนั่นไปทั่วกลางอากาศ เสือขาวหน้าผากแดงหรี่ตาก่อนจะรีบถอนกรงเล็บกลับ


มันใช้พละกำลังเต็มพิกัดเพื่อเล่นงานศีรษะของชายหนุ่ม แต่ไม่เพียงอีกฝ่ายจะไม่เป็นอะไร กรงเล็บของมันยังชาไปหมดด้วย!


ตอนนั้นเอง เสือขาวหน้าผากแดงก็รู้ได้ทันทีว่า แม้ดูเผินๆชายหนุ่มจะเป็นแค่นักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติ แต่พละกำลังของเขาเหนือชั้นกว่านั้นมาก


ฮื่ออออ!


มันคำรามเสียงอ่อย เสือขาวหน้าผากแดงหันหลังกลับและหนีไป


นี่มันบ้าอะไร…


มันกำลังวางแผนจะหาของว่างใส่ท้องเสียหน่อย แต่ลงท้ายก็มาเจอของแข็งที่เคี้ยวยาก!


แบบนี้ดูท่าจะไม่ดี มันควรกลับไปนอนแล้วหลับสักงีบ บางที เมื่อตื่นขึ้นมา มันอาจจะพบว่าเรื่องนี้เป็นแค่ฝันร้าย…


เหล่าอสูรที่อยู่ในมิติลี้ลับไม่ค่อยได้เจอกับการต่อสู้ และสติปัญญาของพวกมันก็อ่อนด้อยกว่าอสูรที่อยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกมันจะโง่จนถึงขั้นรนหาที่ตาย


ในเมื่อมันไม่สามารถเล่นงานศีรษะของชายหนุ่มได้ทั้งๆที่ปล่อยพละกำลังเต็มพิกัดแล้ว ก็ชัดเจนว่าชายผู้นี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่มันควรเข้าไปยุ่งด้วย อย่างคำพูดหนึ่งซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี ‘ในบรรดา 36 ยุทธวิธี หาทางหนีจะดีกว่า!’


“ผมอนุญาตให้คุณไปแล้วหรือ?”


จางเซวียนจะปล่อยให้เสือขาวหน้าผากแดงจากไปตามอำเภอใจได้อย่างไรหลังจากที่มันตะปบหัวเขาแล้ว? เขาปล่อยลูกเตะออกไปโดยไม่ลังเล


พรื่ดดดดด!


เสื้อขาวหน้าผากแดงลื่นไถลไปกว่า 10 เมตรก่อนจะทรุดฮวบลงกับพื้น มันหัวหมุนเสียจนไม่สามารถทรงตัวให้เป็นปกติได้!


“คุณเล่นสนุกพอแล้ว ถึงเวลาต้องยอมจำนนให้ผมแล้วนะ!” จางเซวียนพูดขณะเตะเสือขาวหน้าผากแดงอีกครั้ง


1 นาทีต่อมา…


เลือดหยดหนึ่งลอยเข้าสู่หว่างคิ้วของจางเซวียน ในที่สุดเสือขาวหน้าผากแดงก็ยอมจำนน


“ต้องแบบนี้สิ” จางเซวียนพยักหน้าอย่างพอใจ เขากระโดดขึ้นขี่หลังเสือขาวก่อนจะหันไปมองฝูงชนด้านหลังที่นัยน์ตาแทบปะทุออกจากเบ้า “ผมยังมีเรื่องอื่นที่ต้องไปจัดการ ขอตัวก่อนนะ”


หลังจากพูดจบ จางเซวียนก็ใช้ขากระทุ้งสีข้างของมัน เสือขาวหน้าผากแดงวิ่งเหยาะๆออกไปทันทีและหายเข้าป่าไปในชั่วพริบตา ราวกับไม่เคยปรากฏตัวที่นั่นมาก่อน


“เขา…ทำให้เสือขาวหน้าผากแดงยอมจำนนได้?”


“ใช้เวลาถึง 3 นาทีหรือเปล่า? พระเจ้าช่วย! นี่ผมเพิ่งเห็นอะไรไปนี่?”


…..


มู่เสี่ยวกับคนอื่นๆกลืนน้ำลายหลายอึกใหญ่


พวกเขาเคยคิดว่าหมอนี่ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเป็นคนจริงที่แฝงตัวมา!


ต่างคนต่างรับเหตุการณ์ที่พลิกผันอย่างกะทันหันแบบนี้ไม่ได้


“ถ้ารู้เสียก่อน ผมคงพยายามเป็นมิตรกับเขามากกว่านี้ ถ้ามีผู้เชี่ยวชาญระดับนี้คอยหนุนหลัง ผมคงได้อะไรจากที่นี่มากกว่าเดิมหลายเท่า!”


“พวกเราถูกความโลภบดบัง ในบรรดาอสูรทั้ง 3 ตัวที่เราได้สังหารก่อนหน้านี้ เราไม่ได้แบ่งอะไรให้เขาสักนิดเลย ดูจากสิ่งที่เราทำกับเขา ก็ต้องขอบคุณแล้วล่ะที่เขาไม่หมายเอาชีวิตเรา…”


“เฮ่ออออ! เราพลาดโอกาสงามไปแล้วนะนี่…”


…..


ฝูงชนต่างเสียใจกับการกระทำก่อนหน้านี้ของพวกเขา


ก็จริงที่ว่ายังมีทรัพย์สมบัติรอคอยพวกเขาอยู่อีกมากในวิหารแห่งขงจื๊อ แต่มันก็มีมากพอๆกับอันตราย หากพวกเขามีผู้เชี่ยวชาญคอยคุ้มกันให้ ก็คงจะกอบโกยทรัพย์สมบัติได้มากกว่านี้ โชคร้ายที่ความละโมบโลภมากทำให้พวกเขาพลาดโอกาส ซึ่งก็คงจะไม่มีโอกาสแบบนี้อีกแล้ว


…..


จางเซวียนไม่รับรู้ความคิดของนักรบทั้งกลุ่มที่เขาเพิ่งจากมา เขามุ่งหน้าไปอย่างรวดเร็วโดยขี่หลังอสูรเสือขาวหน้าผากแดง


“แกเป็นอสูรที่อาศัยอยู่ในมิติลี้ลับแห่งนี้ รู้หรือเปล่าว่าวิหารแห่งขงจื๊ออยู่ที่ไหน?”จางเซวียนตั้งคำถาม


หลากหลายวิธีการที่เขาใช้ก็ล้วนแต่ล้มเหลว เขาไม่อาจค้นหาตำแหน่งที่ตั้งของวิหารแห่งขงจื๊อได้ ในเมื่อเสือขาวหน้าผากแดงเติบโตที่นี่ ก็น่าจะคุ้นเคยกับบริเวณโดยรอบเป็นอย่างดี มันน่าจะเป็นผู้นำทางที่ดีที่สุดสำหรับเขา แทนที่จะมัวตระเวนเร่ร่อนอย่างไร้จุดหมายอยู่แบบนี้


“นายท่าน…วิหารแห่งขงจื๊อคืออะไร?” เสือขาวหน้าผากแดงถามอย่างลังเล


จางเซวียนขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำถามนั้น “แกไม่รู้จักจริงๆหรือ?”


เสือขาวหน้าผากแดงส่ายหน้า


จางเซวียนคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามต่อ “แกรู้จักพื้นที่บางส่วนในบริเวณนี้ที่เป็นเขตหวงห้ามไม่ให้พวกแกเข้าไปบ้างหรือเปล่า?”


ดูเหมือนวิหารแห่งขงจื๊อจะเป็นเขตหวงห้ามสำหรับเหล่าอสูร ในเมื่อเสือขาวหน้าผากแดงไม่คุ้นเคยกับคำว่า ‘วิหารแห่งขงจื๊อ’ แต่อย่างน้อยมันก็น่าจะรู้จักพื้นที่ที่เป็นเขตหวงห้าม


ได้ยินคำถามของจางเซวียน เสือขาวหน้าผากแดงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “ในบริเวณนี้มีพื้นที่หนึ่งที่เป็นเขตหวงห้าม มันคืออาณาเขตของเสือเมฆวิญญาณทอง มีครั้งหนึ่งที่ผมพลาดพลั้งก้าวล่วงอาณาเขตของมันเข้าโดยบังเอิญ และสุดท้ายก็ถูกซ้อมจนเกือบตาย นายท่าน, เสือเมฆวิญญาณทองเป็นนายใหญ่ที่ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างภายในรัศมีหมื่นลี้จากที่นี่ มันน่าจะช่วยคุณเรื่องสิ่งที่คุณกำลังตามหาอยู่ได้!”


“เสือเมฆวิญญาณทอง?” จางเซวียนขมวดคิ้วเมื่อได้ยินชื่อที่ไม่คุ้นหู


จากการอ่านหนังสือทั่วทั้งปูชนียสถานนักปราชญ์ เขาได้ความรู้มากมายเกี่ยวกับเหล่าอสูรที่มีอยู่ในโลก รวมถึงสายพันธุ์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วด้วย แต่ก็ไม่เคยได้ยินชื่อเสือเมฆวิญญาณทองมาก่อน


“ใช่แล้ว เธอ…เป็นเสือตัวเมีย ผมเคยพยายามจีบเธออยู่ครั้งหนึ่ง แต่…แค่ก แค่ก ก็ไม่สำเร็จ!” เสือขาวหน้าผากแดงพูดด้วยความกระอักกระอ่วน


สมัยนั้น มันภาคภูมิใจในขนสีขาวที่เรียบลื่นราวกับไหมของตัวเองบวกกับรูปร่างหน้าตาที่โดดเด่น จึงพยายามจะเข้าหาเพื่อเรียกร้องความสนใจจากเสือเมฆวิญญาณทอง แต่เพียงครู่เดียวหลังจากที่มันล่วงล้ำเข้าไปในอาณาเขตของอีกฝ่าย ยังไม่ทันที่มันจะได้พบเธอเลยด้วยซ้ำ ก็ถูกสอยกระเด็นออกมา และต้องเดินหางจุกตูดกลับไป


เมื่อหวนคิดเรื่องนั้น ก็รู้สึกว่าช่างน่าอับอายเหลือเกิน


แม่เสือสาวเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ควรเข้าไปยุ่งด้วยเลยจริงๆ!


หลังจากนั้น มันก็ตั้งใจว่าจะไม่ตามหาแม่เสือสาวตัวไหนมาเป็นภรรยาอีก เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่จะถูกสังหารยามหลับ สำหรับตอนนี้ หมาป่าตัวเมียที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงกับมันดูจะสงบเสงี่ยมเรียบร้อยและน่าสนใจกว่า


จางเซวียนไม่รู้ว่าเสือขาวหน้าผากแดงเริ่มจะคิดวกวนวุ่นวาย เขาตั้งคำถามต่อ “มันแข็งแกร่งแค่ไหน?”


แม้อสูรที่เขาเพิ่งพบจะมีวรยุทธขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณ โลกจารึก แต่ประสิทธิภาพการป้องกันตัวและพละกำลังอันน่าทึ่งของมันก็ทำให้มันเอาชนะได้แม้แต่อสูรที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสาน ขั้นกลาง


แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ยังถูกเล่นงานโดยเจ้าตัวที่มีชื่อว่าเสือเมฆจิตวิญญาณทอง แล้วเจ้าตัวนั้นจะต้องทรงพลังขนาดไหน?


“มันมีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสาน โลกจารึก เป็นหนึ่งในห้าผู้ยิ่งใหญ่ของป่านี้!” เสื้อขาวหน้าผากแดงอธิบาย


“ห้าผู้ยิ่งใหญ่?”


“ใช่ พวกเขาคืออสูร 5 ตัวที่แข็งแกร่งที่สุดในป่า สำเร็จวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสาน โลกจารึก หากจะเปรียบเทียบกัน ภายในป่านี้ผมก็เป็นแค่อสูรระดับกลางขั้นต่ำเท่านั้น” เสือขาวหน้าผากแดงตอบ ตรงไปตรงมา ไม่กล้าโกหกเจ้านายคนใหม่ของมัน


“นายท่าน หากคุณอยากค้นหาอะไรสักอย่างล่ะก็ พวกเขาจะต้องรู้ดีกว่าผมแน่!”


จางเซวียนพยักหน้ารับ


ยิ่งอสูรตัวนั้นมีสถานภาพสูงขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งมีความรู้มากขึ้นเท่านั้น


“พาฉันไปหาเสือเมฆวิญญาณทอง!” จางเซวียนสั่งการ


“ขอรับ นายท่าน”เสือขาวหน้าผากแดงไม่กล้าพูดอะไรอีก มันรับคำสั่งก่อนจะวิ่งไปอย่างรวดเร็ว


เคร้งงงง! เคร้งงงง!


ระหว่างการเดินทาง จางเซวียนได้ยินเสียงกระทบกันของโลหะดังอยู่เบื้องหน้า เมื่อเข้าไปใกล้ ก็เห็นคนสองกลุ่มกำลังทะเลาะกันเพื่อแย่งสมุนไพรต้นหนึ่ง


แต่ทั้งสองกลุ่มนั้นก็หยุดการเคลื่อนไหวทันทีเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา อีกครู่หนึ่ง พวกเขาก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่บนหลังของเสือขาวตัวใหญ่ และกำลังตรงเข้ามาหา


“นั่นคือเสือขาวหน้าผากแดงซึ่งมีวรยุทธขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณ โลกจารึกหรือเปล่า?”


“หมอนั่นเป็นใครน่ะ? ทำไมถึงขี่หลังเสือได้?”


“รอเดี๋ยว…หรือว่าเขาเพิ่งทำให้เสือขาวหน้าผากแดงตัวนี้ยอมจำนนได้?”


…..


นักรบทั้งสองกลุ่มถึงกลับพรั่นพรึงเมื่อได้เห็นจางเซวียนกับเสือของเขา ตะลึงเสียจนลืมความขัดแย้งระหว่างสองฝ่าย พวกเขาเปิดทางให้จางเซวียนผ่านไปโดยอัตโนมัติ


ส่วนจางเซวียนก็โบกมือให้ฝูงชนพร้อมกับยิ้มให้ ราวกับผู้บังคับบัญชาที่กำลังตรวจการทำงานของลูกน้อง เขาเอ่ยทักทาย “สวัสดีทุกคน ผมเห็นแล้วว่าพวกคุณกำลังทำงานหนัก ทำต่อไปนะ ทำต่อไป ไม่ต้องสนใจการมาของผมหรอก ผมแค่ผ่านมาเท่านั้น…”


หลังจากพูดจบ ก็กระทุ้งสีข้างของเสือขาวเบาๆ


ฟึ่บ!


ร่างของเสือขาวหน้าผากแดงเปลี่ยนเป็นลำแสงสีขาวขณะที่พุ่งผ่านฝูงชนไป เมื่อลำแสงนั้นกระทบกับแสงอาทิตย์ ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนหลังเสือก็ดูสง่างามและทรงพลังราวกับเทพเจ้า


“ผู้เชี่ยวชาญตัวจริงมันต้องเป็นแบบนี้…”


ฝูงชนพึมพำกับตัวเอง


ขณะที่พวกเขากำลังดิ้นรนและพยายามเอาชีวิตรอดเพื่อปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่ อีกฝ่ายกลับทำให้อสูรระดับเซียนที่แสนจะทรงพลังพาเขาสำรวจไปได้ทั่วพื้นที่


มันคือช่องว่างที่ไม่มีทางเอื้อมถึงได้ระหว่างผู้เชี่ยวชาญตัวจริงกับคนธรรมดาอย่างพวกเขา


“…เกือบลืมแน่ะ เอาสมุนไพรนั่นมาให้ผมนะ!”


“ได้ที่ไหนล่ะ! นี่มันของผม…”


เมื่อหายตกตะลึงแล้ว พวกเขาก็เริ่มตะโกนและยื้อแย่งสมุนไพรกันต่อไป



ตอนที่ 1703 ตีวงล้อมเสือเมฆ

“ความรักและน้ำใจไมตรีของมวลมนุษย์หายไปไหนหมด?”


เห็นทั้งสองกลุ่มกลับไปฟาดฟันกันเพียงเพื่อสมุนไพรต้นเดียว จางเซวียนยกมือกุมหน้าอกด้วยสีหน้าที่บ่งบอกความเจ็บปวด “ทรัพย์สมบัติคือภัยพิบัติของมวลมนุษย์จริงๆ มิติลี้ลับแห่งนี้อันตรายมาก แทนที่จะร่วมมือกันเพื่อเอาตัวรอดจากบททดสอบครั้งนี้ไปให้ได้ กลับมาต่อสู้กันเสียนี่ ผมไม่เคยรู้สึกอับอายที่เกิดเป็นมนุษย์มากเท่านี้มาก่อน!”


“ฮื่ออออ!” เสือขาวหน้าผากแดงคำรามเป็นการตอบรับ


“ผมเกรงว่าจะไม่มีทางเลือกแล้วล่ะ เพื่อให้มนุษย์หยุดสู้รบกันและรวมตัวกันเป็นหนึ่งเพื่อผ่านบททดสอบครั้งนี้ ผมจะแบกรับปัญหาทั้งหมดไว้เองด้วยการนำทรัพย์สมบัติในพื้นที่นี้ออกไปให้หมด คนเหล่านั้นจะได้ไม่มีอะไรให้ต้องสู้กันอีก” จางเซวียนพูดด้วยสีหน้าที่เปล่งประกายของความเมตตากรุณา


เสือขาวหน้าผากแดงกำลังจะพยักหน้ารับ ก็พอดีกับที่รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างแปลกๆ มันเงยหน้าขึ้นและคำรามอย่างงงๆ “ฮื่ออออ?”


สามารถหาข้อแก้ตัวอันชอบธรรมที่จะปล้นทรัพย์สมบัติทั้งหมดในดินแดนแห่งนี้ได้…เจ้านายคนใหม่ของมันช่างน่าไม่อายเสียจริงๆ!


เขาไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรือ?


จางเซวียนไม่รู้ตัวว่าภาพลักษณ์อันสวยงามของเขาในหัวใจของเสือขาวหน้าผากแดงได้แตกสลายไปแล้ว เขาสั่งการด้วยทีท่าของผู้ผดุงความยุติธรรม “แกคุ้นเคยกับภูมิประเทศแถบนี้ดีและเดินทางไปรอบๆได้อย่างรวดเร็วด้วย ถ้ามีของล้ำค่าดีๆอยู่ตรงไหนล่ะก็ นำมันมาให้ฉันด้วยนะ!”


“ฮื่อออ!” รู้ดีว่านายท่านของมันตัดสินใจแล้ว และจะออกความเห็นอะไรไปก็คงไม่มีประโยชน์ เสือขาวหน้าผากแดงได้แต่พยักหน้ารับก่อนจะพุ่งไปอย่างรวดเร็ว


พูดได้เลยว่าเสือขาวหน้าผากแดงรู้จักพื้นที่นี้เป็นอย่างดี ภายใต้การนำของมัน จางเซวียนได้ทรัพย์สมบัติหายากมาชิ้นแล้วชิ้นเล่า คงต้องใช้เวลานานกว่านี้มากหากให้เขาค้นหามันด้วยตัวเอง


ภายในไม่ถึง 4 ชั่วโมง เขาก็กวาดทรัพย์สมบัติภายในรัศมีหลายร้อยลี้จนเกลี้ยง


มีทั้งสมุนไพรอายุหมื่นปีและสินแร่หายากที่แม้แต่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ก็ยังไม่มี จางเซวียนถึงกับใช้งานอสูรอีก 5 ตัวให้ช่วยเขาออกตามล่าหาสมบัติด้วย


เมื่อไม่มีทรัพย์สมบัติหลงเหลืออยู่ในพื้นที่นั้นแล้ว ความขัดแย้งก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด


เห็นโลกกลับคืนสู่ความสงบสุขอีกครั้ง จางเซวียนยิ้มอย่างพอใจ ด้วยการกระทำอันสูงส่งของเขา ตัวเขากับอสูรที่ยอมจำนนแล้วอีก 6 ตัวมุ่งหน้าไปยังอาณาเขตของเสือเมฆวิญญาณทอง


เพราะเกรงว่าข้อมูลของเสือขาวหน้าผากแดงจะคาดเคลื่อน จางเซวียนจึงตั้งคำถามเดียวกันกับอสูรอีก 5 ตัวที่เขาเพิ่งทำให้มันยอมจำนนได้ ซึ่งคำตอบของพวกมันก็เป็นทำนองเดียวกัน


ภายในผืนป่าแห่งนี้ เสือเมฆวิญญาณทองคือผู้ทรงอำนาจไร้เทียมทาน


“ระหว่างนี้ พวกแกซ่อนตัวอยู่ที่นี่ก่อนนะ เมื่อฉันเรียก ก็เปิดการโจมตีทันทีเพื่อเล่นงานเสือเมฆวิญญาณทองให้ยอมแพ้ให้ได้!”


หลังจากเดินทางไปอีก 1 ชั่วโมง พวกเขาก็เข้าใกล้เป้าหมาย จางเซวียนสะบัดข้อมือและเก็บอสูรทั้ง 6 ตัวเข้าสู่รังนางพญามด


อสูรขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกนั้นแข็งแกร่งกว่าปรมาจารย์ที่มีวรยุทธในระดับขั้นเดียวกัน แม้ด้วยประสิทธิภาพการต่อสู้ในปัจจุบันของจางเซวียน ก็ยังดูเหมือนว่าเขาน่าจะลำบากไม่น้อยในการรับมือกับเสือเมฆวิญญาณทอง


การที่เขาทำให้อสูรจำนวนหลายตัวยอมจำนนนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะอันที่จริง จางเซวียนตั้งใจจะใช้พวกมันเป็นกำลังเสริม


หากเขาไม่สามารถเอาชนะเสือเมฆวิญญาณทองได้จริงๆ ก็จะปล่อยอสูรทั้ง 6 ตัวออกมาพร้อมๆกัน ในฐานะที่พวกมันเป็นอสูรขั้นชั่วกัลปาวสาน โลกจารึก ก็คงจะยื้อเวลาได้ชั่วระยะหนึ่ง


จางเซวียนจะใช้ช่วงเวลานั้นสำแดงเทคนิควรยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดเพื่อเอาชนะเสือเมฆวิญญาณทองให้ได้ในกระบวนท่าเดียว!


หลังจากเก็บอสูรทั้งหมดแล้ว จางเซวียนก็ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางพงหญ้าสูงขณะที่ค่อยๆรุกคืบเข้าสู่เป้าหมาย


ก่อนที่จะเข้าถึงอาณาเขตของเสือเมฆวิญญาณทอง ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังอยู่ข้างหน้า จางเซวียนรีบปีนขึ้นไปบนต้นไม้ต้นหนึ่งอย่างรวดเร็วและสังเกตการณ์ผ่านใบไม้ที่ปกคลุมร่างของเขาไว้


ในระยะที่ไม่ห่างออกไปนัก มีกลุ่มนักรบ 8 คนกำลังเดินมาด้วยความระแวดระวัง ทุกคนถืออาวุธกระชับมั่น พร้อมจะเล่นงานคู่ต่อสู้ได้ทุกเมื่อ


“แม้แต่ผู้ที่อ่อนแอที่สุดในหมู่พวกเขาก็ยังเป็นนักรบขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณ โลกจารึก ทั้งยังมีนักรบขั้นชั่วกัลปาวสาน โลกจารึกอยู่ในหมู่พวกเขาด้วย ดูเหมือนคนพวกนี้จะรู้ว่าอสูรเมฆวิญญาณทองอยู่ที่นี่ และตั้งใจมาเอาชนะมัน…” จางเซวียนวิเคราะห์สถานการณ์อย่างรวดเร็ว


คงไม่ได้มีแต่เขาคนเดียวที่คิดว่าจะตามหาอสูรที่แข็งแกร่งที่สุดในพื้นที่นี้เพื่อสอบถามมันถึงตำแหน่งที่ตั้งของวิหารแห่งขงจื๊อ


เป็นความจริงที่ว่าอาณาบริเวณรอบนอกวิหารเป็นพื้นที่ที่เหมาะสำหรับการฝึกฝนวรยุทธและมีทรัพย์สมบัติล้ำค่าอยู่มากมาย แต่ก็ไม่มีใครที่ไม่รู้ว่าทรัพย์สมบัติที่แท้จริงนั้นอยู่ภายในวิหาร


โอกาสมักมาพร้อมความเสี่ยงเสมอ มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นในช่วงชีวิตที่จะได้ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด และผู้คนมากมายก็เต็มใจที่จะเผชิญกับอันตรายนั้น


“นั่นใครน่ะ?”


ขณะที่จางเซวียนกำลังครุ่นคิด นักรบขั้นชั่วกัลปาวสาน โลกจารึกคนหนึ่งก็ก้าวออกมาและจ้องมายังทิศทางที่จางเซวียนซ่อนตัวอยู่


ช่วงระยะเวลาสั้นๆที่จางเซวียนเผลอครุ่นคิดก่อนหน้านี้ทำให้อารมณ์ของเขาปั่นป่วน การปกปิดรังสีจึงไม่สมบูรณ์ มันเป็นช่องโหว่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ในเมื่อทั้งกลุ่มกำลังระแวดระวังและเตรียมพร้อม ก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะไม่รู้สึก


รู้ตัวว่าถูกพบแล้ว จางเซวียนหัวเราะเบาๆขณะก้าวออกไป “ผมบังเอิญผ่านมาเท่านั้น…”


นักรบขั้นชั่วกัลปาวสาน โลกจารึกคนที่ตั้งคำถามก่อนหน้านี้เป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งที่มีอายุราว 60 ปี เขาขมวดคิ้วอย่างวางอำนาจและตั้งคำถามต่อ “คุณเป็นปรมาจารย์หรือเปล่า?”


เมื่อเห็นว่าสมาชิกบางคนในกลุ่มสวมเสื้อคลุมปรมาจารย์ จางเซวียนตอบอย่างหนักแน่น “ใช่แล้ว”


“ผมคือผู้อาวุโสสูงสุดของดงอสูร, หวูชางผิง ผมตั้งใจจะมาทำให้อสูรที่อยู่ตรงหน้าเรายอมจำนน จึงต้องขอร้องคุณว่าอย่าเข้ามาขัดจังหวะภารกิจของพวกเรา!” ผู้อาวุโสพูดด้วยทีท่าสง่างาม


“ผมไม่ได้ตั้งใจจะขัดจังหวะ แต่ถ้าผมจะขออยู่แถวๆนี้เพื่อเฝ้าดูจะได้ไหม?” จางเซวียนถาม


ในเมื่ออีกฝ่ายมาก่อน ก็คงไม่เหมาะสมนักที่เขาจะเข้าแทรกและฉกฉวยเป้าหมายของคนเหล่านี้ไป


ถึงอย่างไร เป้าหมายของจางเซวียนก็คือหาทิศทางที่มุ่งไปสู่วิหารแห่งขงจื๊อจากเสือเมฆวิญญาณทอง ด้วยเครื่องรางลำดับแรกที่เขามีอยู่ เขาคงจะหาตำแหน่งที่ถูกต้องของวิหารได้อย่างง่ายดาย ตราบใดที่รู้ทิศทางแล้ว


เมื่อได้ยินว่าชายหนุ่มตั้งใจจะอยู่แถวๆนี้ ชายวัยกลางคนที่อยู่ในกลุ่มนั้นคำราม “ผมไม่อนุญาต กรุณาออกไปเดี๋ยวนี้เลย ไม่อย่างนั้นพวกเราจะต้องใช้กำลังขับไล่คุณ!”


“คุณคิดจะขับไล่ผมหรือ?”


“พวกเราหมายตาเสือเมฆวิญญาณทองไว้แล้ว หากคุณอยู่ที่นี่ก็มีแต่จะกีดขวางเรา” หวูชางผิงตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา “กรุณาไปหาอสูรของคุณเองเถอะ”


เมื่อเห็นว่าตัวเองไม่เป็นที่ต้อนรับ จางเซวียนยักไหล่อย่างไม่รู้สึกรู้สา “อย่างนั้นก็ได้ ผมขอให้คุณโชคดีก็แล้วกัน!”


จากนั้น เขาก็หันหลังกลับแล้วจากไป


ทันทีที่จางเซวียนลับสายตาไปจากกลุ่มนักรบทั้ง 8 เขาก็กระดิกนิ้วและสกัดกั้นมิติรอบตัวไว้ก่อนจะย้อนกลับไปอีกครั้ง


“พูดก็พูดเถอะ เราควรจะสังหารหมอนั่นตั้งแต่เมื่อกี้นี้แล้ว ทำไมพวกคุณถึงมัวเสียเวลาพูดกับเขา? เราไม่ได้อยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์นะ ไม่จำเป็นจะต้องทำตามกฎเกณฑ์ที่แสนยุ่งยากพวกนั้น!” ชายวัยกลางคนที่คำรามใส่จางเซวียนก่อนหน้านี้พึมพำอย่างรำคาญสุดขีด


“ผมน่ะไม่มีปัญหาหรอกที่จะฆ่าปรมาจารย์สักคนหนึ่งที่นี่ แต่มันคงจะไม่ดีถ้าเราทำให้เสือเมฆวิญญาณทองเกิดรู้ตัวขึ้นมา เจ้านี่เป็นผู้ยิ่งใหญ่ของป่าแห่งนี้ ผ่านการสู้รบมามากมาย สัญชาตญาณของมันเฉียบแหลมมาก เราจะต้องเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวังที่สุดเพื่อตีวงล้อมและเอาชนะมันให้ได้ในคราวเดียว!” หวูชางผิงพูด


“คุณพูดถูก ผมควรจะพิจารณาให้ถี่ถ้วนกว่านี้” ชายวัยกลางคนพยักหน้ารับ จากนั้นเขาก็ย่นหน้าผากขณะตั้งคำถาม “เราวางของชิ้นนั้นไว้ในรังของมันได้สักระยะหนึ่งแล้ว ป่านนี้เจ้าเสือนั่นคงสลบแล้วล่ะ ใช่ไหม?”


“มันน่าจะสลบแล้วนะ แต่จากข้อมูลที่เราได้มา เสือเมฆวิญญาณทองมีความอึดและทนทานมากมาตั้งแต่เกิด เราจะต้องระมัดระวังไว้ตลอดเวลา รออีกสักพักเถอะ…” หวูชางผิงพูด


“ได้!”


ชัดเจนว่าหวูชางผิงคือผู้นำกลุ่ม เมื่อได้ฟังคำพูดของเขา ทุกคนก็ซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้อย่างเงียบเชียบ ปกปิดทั้งรังสีและลมหายใจของตัวเองไว้


ราว 10 นาทีหลังจากนั้น หวูชางผิงยกมือขึ้นแล้วพูดว่า “เอาล่ะ น่าจะได้เวลาแล้ว เข้าไปดูข้างในกัน”


ได้ยินคำนั้น ชายวัยกลางคนก็รุดหน้าเข้าสู่ถ้ำด้วยฝีเท้าอันเงียบเชียบ จากการเคลื่อนไหวของเขา จางเซวียนบอกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานเช่นกัน แต่อยู่ในขั้นต้น


ถึงอย่างไร ประสิทธิภาพและพละกำลังของเขาก็มากพอที่จะทำให้กลายเป็นกลุ่มอำนาจหลักของทวีปแห่งปรมาจารย์แล้ว


มีแต่เซียนดาบชิงเท่านั้นที่มีพละกำลังทัดเทียมกับเขา!


ฟึ่บ!


ชายวัยกลางคนเดินเข้าไปในถ้ำ


บึ้มมมม!


หลังจากที่เขาเข้าไปไม่นาน เกิดเสียงระเบิดดังสนั่น จากนั้น ชายวัยกลางคนก็กระเด็นออกมาจากถ้ำอย่างรุนแรง แผ่นหลังของเขากระแทกต้นไม้สูงใหญ่หลายต้นก่อนสุดท้ายจะหยุดนิ่ง เลือดกระอักออกจากปาก


“บ้าที่สุด! มันไม่ตกหลุมพรางของเรา เราต้องใช้กำลังแล้ว!”


หวูชางผิงเข้าใจทันทีว่าแผนการเบื้องต้นของพวกเขาล้มเหลว เขาตวาดก้องและพุ่งปราดเข้าไป


สมาชิกคนอื่นๆที่เหลือต่างก็รีบรุดหน้าเข้าสู่ถ้ำ แต่ทันทีที่เข้าประจำตำแหน่ง พื้นดินใต้ฝ่าเท้าของพวกเขาก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง อสูรขนาดมหึมาตัวหนึ่งกำลังเดินช้าๆออกมาจากถ้ำนั้น

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)