ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 170-173
บทที่ 170 อยู่ร่วมห้องกับฝ่าบาทตามลำพัง
แต่ว่าบาดแผลที่นางได้รับค่อนข้างสาหัสมาก ไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของฆาตกรใจโหดจากที่ใด ถึงกลับลงมือกับสตรีที่อ่อนนุ่มเช่นนี้อย่างโหดเ**้ยม
ดูบาดแผลนี้สิ หากว่าเป็นบุตรสาวของชาวบ้านทั่วไป แน่นอนว่าคงจะร้องไห้คร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดจนสลบไปแล้ว แต่สาวน้อยที่คลุมหน้าเอาไว้ผู้นี้ กลับไม่ร้องเลยสักคำ ทำราวกับว่าเคยชินเสียแล้ว
ทุกการกระทำของเขาล้วนถูกฝ่าบาทจับจ้องอยู่ เขาจึงไม่กล้าสับเพร่าแม้แต่น้อย
ฝ่าบาทไม่ทรงรับสั่งเรียกหมอหลวง แต่เรียกหาเขา แสดงว่าฐานะของหญิงสาวผู้นี้ไม่อาจเปิดเผยต่อผู้คน อีกทั้งเมื่อเร็วๆ นี้ฝ่าบาทก็พึ่งจะทรงเรียกกุ้ยเฟยมาถวายตัว
ทว่ายามนี้กลับทรงมีสตรีอยู่ที่เบื้องนอกเสียแล้ว จุ๊ๆๆ! ทุกยุคทุกสมัยฮ่องเต้ล้วนแล้วแต่ทรงเจ้าสำราญ คำพูดนี้กล่าวได้ไม่มีผิด
พอจัดการแผลเสร็จสับเรียบร้อย ต้มยาซุนถึงได้กราบทูลว่า ” ฝ่าบาท หนึ่งเดือนนับจากนี้ ควรให้แม่นางผู้นี้รับประทานเนื้อปลา เนื้อสัตว์และอาหารที่มีรสจัด รับประทานผักผลไม้ ปลา และกุ้งให้มากหน่อยจะช่วยฟื้นฟูบาดแผล “
จากนั้น ต้มยาซุนก็กล่าวกับตู๋กูซิงหลันอีกว่า ” แม่นาง โปรดจดจำเอาไว้ว่าจะต้องระมัดระวังอารมณ์ดีใจเสียใจ ไม่โกรธเกรี้ยวเกินไป ท่านบาดเจ็บจนถึงพื้นฐานของร่างกาย จำเป็นจะต้องทำนุบำรุงอย่างระมัดระวัง”
นี่ก็ดูไปก็ประหลาดจริงๆ เมื่อครู่เขาจับชีพจรดู พบว่าร่างกายของนางขาดพลัง พื้นฐานว่างเปล่า ไม่รู้ว่าเป็นเพราะประสบเหตุใดมา คล้ายว่าหัวใจเปราะบางอย่างยิ่ง
นี่น่าจะ……..เป็นเพราะนางมีสถานะพิเศษ แต่กลับถูกฮ่องเต้หมายตาเข้า น่าเสียดายที่ในวังเองก็มีกุ้ยเฟยที่ได้รับความโปรดปรานอย่างออกนอกหน้าอยู่แล้ว
ฝ่าบาทจึงทรงซ่อนนางเอาไว้ ทำให้นางอยู่อย่างไร้ศักดิ์ไร้ฐานะ จนกลายเป็นปมในใจ ถึงได้ส่งผลกระทบถึงร่างกาย
ตู๋กูซิงหลันพยักหน้า เป็นเพราะนางฝืนบังคับแยกดวงจิตและร่างเนื้อ จึงได้เกิดผลกระทบเช่นนี้ หมอหลวงซุนนับว่าเป็นผู้มีความสามารถจริงๆ
พอเขากล่าวจบแล้ว จีเฉวียนก็ให้หลี่กงกงพาคนกลับไปอย่างเงียบๆ
” นั่นเอ่อ ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่เป็นอะไรมากแล้ว เวลานี้ก็ค่ำมากแล้ว ตอนนี้สมควรกลับตำหนักเฟิ่งหมิงได้แล้วละมั่ง ” ตู๋กูซิงหลันพูดแล้ว ก็ขยับตัวลุกขึ้น
” ถึงตอนนี้ที่ด้านนอกล้วนรู้กันหมดแล้วว่าเราอุ้มกุ้ยเฟยเข้ามาในตำหนักบรรทม ไม่รู้ว่ามีสายตากี่คู่ต่อกี่คู่กำลังจับจ้องมาที่ตำหนักตี้หัว เจ้าแน่ใจหรือว่าจะไปในตอนนี้? ” จีเฉวียนประทับลงข้างๆ สีพระพักตร์เยือกเย็น
ที่จริงแล้ว แม้แต่พระองค์เองก็ยังทรงรู้สึกได้ว่า ตู๋กูซิงหลันในยามนี้กำลังอ่อนแออย่างมาก นางจำเป็นจะต้องได้พักผ่อน
ตู๋กูซิงหลัน “………”
ไม่รอให้นางได้กล่าวอะไร ก็ได้ยินจีเฉวียนรับสั่งว่า ” คืนนี้เจ้าก็ค้างที่นี่ “
ตู๋กูซิงหลัน “!!! “
นางหันไปมองดูจีเฉวียนด้วยความตกตะลึง ” นี่ไม่ค่อยดีละมั้ง? “
จีเฉวียนทรงพระสรวลเสียงเย็น ” เจ้าคิดว่าเราจะทำอะไรเจ้าหรือ? “
ว่าแล้วพระองค์ก็ทรงเสริมอีกประโยค ” ซูกุ้ยเฟยขาวกว่าเจ้า นุ่มกว่าเจ้า หอมกว่าเจ้า เราปล่อยนางไปไม่ต้องการ แล้วจะมาสนใจตัวเจ้าหรือ? “
ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่านี่มันแทงใจดำอย่างยิ่ง ขออย่าได้โจมตีรูปลักษณ์ของนางเช่นนี้ได้ไหม?
นางเองก็ทั้งสวยทั้งหอมอยู่เหมือนกันนะ!
ไม่ๆๆๆๆ ทั้งหมดนี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นมันอยู่ทีจะให้นางอยู่ลำพังกับฮ่องเต้สุนัขผู้นี้ ทั้งคืน?
แต่พอเห็นว่าจีเฉวียนทรงทำท่าไม่ยอมให้นางได้ปฏิเสธใดๆ เลยสักนิด ตู๋กูซิงหลันก็ได้แต่นั่งอยู่บนเก้าอี้กุ้ยเฟยของนางอย่างสงบเสี่ยม ” เอาเถอะ ถ้าเช่นนั้นคืนนี้ข้าก็จะนั่งอยู่บนนี้แหละ “
รอจนถึงผ่านครึ่งคืนไปแล้ว คิดว่าบรรดาสายสืบของพระสนมจากตำหนักต่างๆ ก็คงจะทนไม่ไหวพากันถอยไปเอง ถึงตอนนั้นนางก็ค่อยหลบออกไปอย่างเงียบๆ
และเพราะพึ่งจะดื่มยาของหมอหลวงซุนลงไป นางจึงรู้สึกง่วงงุนขึ้นมา ร่างกายก็หนักไปหมด
คำพูดของนางก็ถูกจีเฉวียนทรงปฎิเสธอีก ” เจ้าเป็นคนเจ็บ เจ้าต้องนอนบนเตียง”
ฮ่องเต้สุนัขในที่สุดก็รู้จักพูดจาประสาคนอยู่บ้าง
ตรัสแล้ว ก็เสด็จเข้ามาอุ้มนางไปวางลงบนเตียงมังกร
พอจะวางนางลงไป อยู่ๆ พระองค์ก็ทรงชะงักขึ้นมา คิดย้อนไปเมื่อครึ่งปีก่อน ตอนนั้น ตู๋กูซิงหลันเป็นคนปีนขึ้นเตียงของเขาด้วนตัวเอง……..
ตอนนี้ เขากลับเป็นฝ่ายที่อุ้มนางขึ้นมาบนเตียงตัวเอง?
ฮ่องเต้ทรงรู้สึกว่าพระองค์เองออกจะผิดประหลาดไปเสียแล้ว
ช่างเถอะ…..เป็นเพราะนางได้รับบาดเจ็บต่างหาก จำเป็นจะต้องพักผ่อน เตียงมังกรนี้อบอุ่นกว่า ฟูกก็อ่อนนุ่ม สบายกว่าหน่อย
พอทรงคิดได้เช่นนี้ ก็ค่อยคลายพระหัตถ์ออก ดึงผ้าห่มมาคลุมร่างให้ตู๋กูซิงหลัน ” ปิดตา นอนเร็วๆ เข้า”
ภายใต้แสงเทียน ดวงตาดอกท้อของนางเป็นประกายราวหยดน้ำ น่าชมเป็นที่สุด
เขาเกรงว่าตนเองจะมองดูมากเกินไป ในใจจะบังเกิดความคิดน่ารังเกียจขึ้นมาได้
ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่ายามนี้ตนเองได้แต่เป็นเนื้อบนเขียง ยามที่สมควรเชื่อฟังวาจาเช่นนี้ก็ควรจะทำตัวเชื่อฟังเอาไว้ก่อนจะดีกว่า
นางไม่สนใจปัญหาแล้ว ปิดตา กอดผ้าห่มนอนดีกว่า
จะอย่างไรก็ยังมีวิญญาณทมิฬอยู่ หากว่าเจ้าฮ่องเต้สุนัขคิดจะทำอะไรขึ้นมา วิญญาณทมิฬย่อมต้องชิงบอกก่อนแน่
จีเฉวียนมองดูนางหลับตาลง ภายใต้แสงเทียน ใบหน้านั้นอาบไล้ด้วยแสงอันอบอุ่น ขนตาที่หนาเป็นแพ คิ้วเรียวโค้งได้รูป แลดูนุ่มนวล
มองอย่างไรก็ไม่เพียงพอ ต่อให้ได้มองดูอยู่เช่นนี้ทั้งคืน ก็คงยังไม่เต็มอิ่ม
สีพระพักตร์ของจีเฉวียนยังคงเรียบเย็นดุจน้ำแข็งฉาบไว้ ครู่ต่อมาก็เสด็จไปดับเทียนลง ค่อยคลำทางในความมืดกลับมาที่เตียง
พอถอดรองพระบาทออก ก็ขึ้นไปบนเตียงบรรทม
ที่จริงแล้วตู๋กูซิงหลันยังไม่ได้หลับ พอเห็นเขาทำเช่นนี้นางก็เกือบจะกระโดดผึงขึ้นจากเตียง
นางรีบกลิ้งตัวไปด้านใน พอกำลังจะลุกขึ้นมา ก็ถูกจีเฉวียนกดเอาไว้ ” ถ้ายังกระดุกกระดิกได้อย่างไม่กลัวตายเช่นนี้ หัวของเจ้าก็คงจะไม่ต้องการแล้วสินะ? “
ตู๋กูซิงหลันไม่รู้จะสรรหาคำพูดใดจริงๆ ” ไม่ใช่เพคะ ฝ่าบาท ก็ทำไมพวกเราถึงต้องนอนเตียงเดียวกันด้วย? “
หากไม่ใช่เพราะว่าตอนนี้นางอ่อนแอมาก จะต้องสู้ตายแน่นอน
” นี่เป็นเตียงของเรา เราไม่นอนบนเตียงแล้วจะไปนอนที่ไหน? ” เสียงของพระองค์ตรัสอยู่ในความมืด จีเฉวียนใช้พระหัตถ์ข้างหนึ่งพาดผ่านคอของนางเอาไว้ ให้นางได้แต่ต้องนอนนิ่งๆ อยู่ข้าง
” แต่บุรุษและสตรีไม่อาจใกล้ชิด! ” ยามนี้ตู๋กูซิงหลันเขินอายเสียจนในใจแทบจะตะโกนออกมาอยู่แล้ว
จีเฉวียน ” เราก็ไม่ได้จูบเจ้าสักหน่อย “
ตู๋กูซิงหลัน “…….” โว้ย ฮ่องเต้สุนับที่ไร้ยางอาย!
” เจ้ากับเราเป็นแม่ลูกกัน นอนเตียงเดียวกันก็ไม่เห็นจะมีอะไรแปลก ” จีแวนยังคงใช้พระหัตถ์กักตัวนางไว้ ” เราง่วงแล้ว ไม่อยากพูดกับเจ้าอีก ปิดปากเสีย นอนให้เรียบร้อยด้วย”
คราวนี้รู้จักเรียกเป็นแม่ลูกแล้วหรือ?
ยามปกติไม่เคยเห็นท่านให้ความเคารพข้าบ้างเลย!
สวรรค์ทรงโปรดหากว่ายามนี้ตู๋กูซิงหลันยังสามารถนอนหลับได้ก็ถือว่าประหลาดแล้ว
ทำไมสถานการณ์อยู่ๆ ถึงได้กลายเป็นเช่นนี้ไปได้?
ตอนนี้ยิ่งทีนางยิ่งมองฮ่องเต้ไม่ออกเสียแล้ว
เขาเล่นให้นางใช้ชื่อของซูเม่ยเข้ามาในตำหนักบรรทม อยู่ร่วมกับเขาตามลำพังกันทั้งคืน ทำเช่นนี้ในใจของนางก็รู้สึกผิดต่อซูเม่ยมากแล้ว
ตอนนี้ยังถึงขั้นนอนเตียงเดียวกันอีกหรือ?
หากว่านางคือซูเม่ย นางจะต้องถือดาบใหญ่ยาวสักสามสิบเมตร มาหั่นไทเฮาชาเขียวผู้นี้เป็นชิ้นๆ แน่
จีเฉวียน……ตกลงแล้วเขาคิดจะให้นางกับซูเม่ยฆ่ากันเองหรือไง หรือว่ายังมีแผนอื่นๆ อีก?
ตู๋กูซิงหลันเงียบไปอย่างคิดไม่ออก
บนลำคอของนางมีท่อนแขนของเขาพาดอยู่อย่างแน่นหนา แขนนั้นเย็นเป็นน้ำแข็งทีเดียว ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าที่ข้างกายมีน้ำแข็งก้อนใหญ่นอนอยู่ ชนิดที่ความร้อนสักนิดไม่กล้ากล้ำกลาย
จีเฉวียนบรรทมลงที่ข้างกายนาง ใช้เตียงเดียวร่วมกับตู๋กูซิงหลัน ท่อนแขนของเขาพาดอยู่บนลำคอนาง ทำให้รู้สึกอุ่นๆ นุ่มๆ สบาย
จมูกของเขาได้กลิ่นดอกฮว๋ายจากตัวของนาง นางพึ่งจะดื่มยาลงไป จึงยังมีกลิ่นยาอวนอยู่จางๆ ที่ผ่านมาเขาไม่ชอบกลิ่นยา แต่ครั้งนี้กลับไม่รู้สึกว่าแย่สักเท่าไหร่
ครั้งแรกที่นอนเตียงเดียวกับสตรี จะเป็นความรู้สึกเช่นนี้หรือ? คล้ายว่า ความรู้สึกนี้ก็ไม่ได้น่ารังเกียจสักเท่าไหร่
แต่ว่าความรู้สึกนี้กลับทำให้เขาอยากเข้าใกล้นางมากกว่าเดิมอีกสักหน่อย อย่างไรเสียคนเป็นๆ ก็สบายกว่าเตาอุ่นมือมากนัก
ตอนที่ 171 กอดจีเฉวียนเอาไว้ดั่งเป็นปลาหมึกยักษ์
ตู๋กูซิงหลันถูแท่งน้ำแข็งขนาดใหญ่ขนาบข้าง ตลอดทั้งคืนจีเฉวียนทรงพาดท่อนแขนเอาไว้บนลำคอของนาง ท่อนแขนที่ทั้งแข็งและหนักทำเอานางหายใจแทบไม่ออก
นางพลิกตัว หันหลังให้จีเฉวียน และอาจเป็นเพราะยาที่หมอหลวงซุนให้มา มีฤทธฺ์ค่อนข้างรุนแรง เพียงไม่นานก็ทำให้นางหลับลึกลงไปด้วยความง่วง
จากนั้นตลอดทั้งคืนนางก็ติดอยู่ในความฝัน
นางฝันเห็นสถานที่ที่มีแต่น้ำแข็งเต็มไปหมด ลมหนางพัดโชยมา แต่นางกลับใส่เพียงชุดนอนผืนบาง ที่ด้านหลังยังมีราชสีห์ตัวใหญ่ที่ถูกน้ำแข็งเกาะอยู่ทั่วร่างคอยติดตามมาอยู่ตลอด
ฝีเท้าของนางหนักมาก เพียงไม่นานก็ถูกราชสีห์น้ำแข็งนั้นไล่ตามจนทัน
ราชสีห์ตัวนั้นอยู่ที่เบื้องหน้าของนาง พอร่างกายที่สูงเมตรกว่าๆ ของมันกดดันลงมา นางก็รู้สึกว่ากระทั่งเลือดในตัวก็ยังเย็นเฉียบ
ดวงตาสีน้ำเงินคู่นั้นจับจ้องนาง ในดวงตาคู่นั้นมีแต่เงาร่างของนางสะท้อนอยู่ ท่าทางของมันคล้ายจะตื่นเต้นยินดี พอปลายหางส่ายและพาดลงไปครั้งหนึ่ง พื้นดินด้านหลังก็แตกระแหงออกมา
กรงเล็บของมันกางออก มันคิดจะสัมผัสตู๋กูซิงหลันสักหน่อย แต่กลับถูกพลังที่ไร้รูปลักษณ์ขัดขวางไว้ ราวกับว่ารอบตัวของมันมีห่วงโซ่ที่มองไม่เห็นอยู่ จนมันถูกลากกลับไปขังไว้ในโลกน้ำแข็งตลอดกาลดังเดิม
ตู๋กูซิงหลันยืนอยู่ที่เดิม ไม่รู้เพราะเหตุใด ทั้งที่เป็นความฝันแต่นางกลับรู้สึกเจ็บปวดใจขึ้นมา
…………………………………….
ฮ่องเต้เองก็ทรงฝัน ในความฝันนั้นทรงทอดพระเนตรเห็นฤดูหนาวกลางเดือนสิบสอง ในที่สุดตำหนักตี้หัวก็ได้มองเห็นดวงอาทิตย์แล้ว
ดอกเย่วกุ้ยฮวาทั่งทั้งสวนล้วนผลิบาน ส่งกลิ่นหอมเข้มข้นออกมา ทำให้จิตใจผู้คนรู้สึกอบอุ่น
อยู่ๆ ในพระตำหนักตี้หัวปรากฎราชสีห์น้ำแข็งตัวใหญ่อยู่ตัวหนึ่ง นอนหมอบอย่างสงบอยู่ใต้ต้นเย่วกุ้ยฮวา
บนหลังของราชสีห์น้ำแข็ง มีสาวน้อยนางหนึ่งเกาะอยู่ นางคลี่ยิ้มกว้างให้กับเขา
รอบตัวนางคล้ายจะมีรัศมีอยู่รายล้อม ยามที่นางยิ้มแย้มก็งดงามราวกับดวงตะวันที่สดใส
เขายังยืนอยู่ที่เดิม เงยหน้ามองไปยังนาง พอได้สบตากัน ก็เห็นว่าสตรีผู้นั้นเหมือนกับตู๋กูซิงหลันราวกับเป็นคนๆ เดียวกัน
ช่วงเวลานั้นเองพระองค์ก็รู็สึกว่าดวงพระทัยกำลังพองโตขึ้นมา
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ ที่พระองค์รู้สึกว่านางงดงามเช่นนี้?
……………………………………….
ยามเช้าของวันรุ่งขึ้น
ผ้าห่มบนเตียงบรรทมห่อคนสองคนเอาไว้แนบแน่น ทั้งที่ก่อนนอนยังรักษาระยะระหว่างกันอยู่ชัดๆ แต่พอยามเช้ามาถึง ระยะนั้นไม่เพียงถูกทำลายลงไป ซ้ำยังออกจะมีอะไรที่เกินๆ ไปอยู่บ้าง
ฮ่องเต้ทรงบรรทมเช่นคนปกติทั่วไป แต่ตู๋กูซิงหลันกลับไม่เรียบร้อยเอาเสียเลย ขาข้างหนึ่งพาดผ่านเอวผอมของเขาอยู่ สองมือก็กอดอยู่บนร่างของเขา ราวกับปลาหมึกยักษ์ที่รัดเขาเอาไว้ทั้งเป็น
ใบหน้าขาวที่หมดจดของนางอยู่บนอกของเขา กำลังลืมตาอย่างงัวเงีย
พอนางลืมตาขึ้นมา ก็เห็นว่าฮ่องเต้ทรงนอนลืมตามองนางอยู่
จีเฉวียนมองนางอยู่นานแล้ว ฟ้ายังไม่ทันสว่างเขาก็ตื่นแล้ว แต่พอตื่นแล้วก็ยังคงรักษาท่านอนเช่นนี้เอาไว้ ปล่อยให้ตู๋กูซิงหลันที่หลับอุตุกอดเขาเอาไว้
แต่ไหนแต่ไรเขาไม่ชอบให้ใครมาสัมผัส ที่ผ่านมารอบตัวเขาในระยะหนึ่งจั้งล้วนไม่เคยมีสิ่งมีชีวิตใดๆ อยู่ใกล้
เนื่องเพราะประสบการณ์บางอย่างในวัยเด็ก ทำให้เขาเป็นโรคกลัวความใกล้ชิด
ทันทีที่มีคนเขามาสัมผัสขอบเขตความปลอดภัยของเขาอย่างกระทันหัน เขาก็จะรู้สึกอึดอัดไม่สบายตัวขึ้นมาในทันที และหากยังมีคนกล้าเข้ามาใกล้เขาอีกละก็ เขาก็จะมีโทสะ ระเบิดอารมณ์ออกมาในทันที
ตอนที่เขาพึ่งจะกลับมายังต้าโจวนั้น มีสตรีที่ไม่กลัวตายอยู่ไม่น้อยคิดจะเข้าใกล้เขา สุดท้ายแล้วก็ไม่เหลือใครที่รอดพ้นจากจุดจบดับอนาถไปได้
ขนาดยามปกติทั่วไปที่ต้องสัมผัสกันตามารยาทยังทำให้เขารู้สึกไม่สบายตัว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ามีคนนอนร่วมเตียงด้วยเลย
ตู๋กูซิงหลันนับว่าเป็นคนแรก
เขาไม่ปฎิเสธ และไม่หงุดหงิด เพียงแต่มองดูนางนิ่งๆ
ยามที่นางกำลังหลับใหล ขนตานั้นก็กระพริบน้อยๆ ริมฝีปากที่ปราศจากเลือดไปเมื่อวานยามนี้ก็ฟื้นคืนจนดีขึ้นมาก ไม่รู้ว่านางฝันเห็นสิ่งใดอยู่ ถึงได้พึมพำบางคำอยู่ในปาก ฟังไม่ออกว่าเป็นคำว่าอะไรกันแน่
จีเฉวียนไม่ทรงทราบว่าในใจของนางกำลังคิดอะไร ถึงได้นอนหลับสบาย กอดอยู่บนตัวเขาอย่างไม่ยอมลงเช่นนี้
แต่ว่าเขาเองก็ไม่ผลักนางออก
ยามนี้ตู๋กูซิงหลันรู้สึกอับอายขึ้นมาอย่างรุนแรง ปกติเวลานอนนางมักจะไม่ค่อยเรียบร้อย หากมีตุ๊กตาก็กอดตุ๊กตา ไม่มีตุ๊กตาก็กอดหมอนก็ได้ ขอแค่มีอะไรให้นอนกอดก็เป็นพอ
คิดไม่ถึงเลยว่าโรคที่คุ้นเคยนี้ …….จะมาก่อปัญหาในยามที่ฮ่องเต้ทรงประทับอยู่บนเตียงด้วย
อ้ายๆๆๆ นางกลับเป็นตัวหิวกระหายไปแล้ว แม้แต่แท่งน้ำแข็งเช่นนี้ก็ยังไม่ปล่อยผ่าน!
ประเด็นสำคัญก็คือ……..นางรู้สึกว่ามุมปากตัวเองเปียกชื้น คล้ายว่า……จะน้ำลายไหล
นางทำน้ำลายหกบนชุดนอนของจีเฉวียน!
หากว่านางไม่ได้จำผิดละก็ จีเฉวียนเป็นโรคบ้าความสะอาดอย่างรุนแรง!
นางรีบลุกขึ้นนั่ง ใช้ข้อมือปาดเช็ดน้ำลายที่มุมปาก
จีเฉวียนก็ยังคงจ้องดูนาง แต่กลับไม่ได้มีโทสะ เพียงกล่าวเบาๆ ประโยคหนึ่งว่า ” ชุดมังกรของเราแพงมาก ถูกเจ้าทำสกปรกแล้ว”
ที่จริงนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรก ตอนกลางวัยที่ฝันถึงนางก็สกปรกมาแล้วรอบหนึ่งด้วยซ้ำ
พอฟังเขาพูดเช่นนี้ ตู๋กูซิงหลันก็ยิ่งรู้สึกอับอายยิ่งกว่าเดิม ยามปกตินางไม่มีทางเป็นเช่นนี้แน่ สาเหตุหลักจะต้องมาจากยาของหมอหลวงซุนเป็นแน่
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อคืนนี้นอกจากจะฝันเห็นราชสีห์น้ำแข็งตัวนั้นแล้ว ต่อจากนั้นก็ยังฝันอะไรที่ไม่ปะติดปะต่อกันอีกด้วย อืม คล้ายกับจะฝันว่าเห็นเสี่ยวซูเฟยกับเสี่ยวหยวนเฟยอาบน้ำด้วยกันกระมั้ง?
อิๆๆๆ ….ภาพนั้นมันสวยงามมากๆ เลย
ดูเสียจนคึกคัก เลยพาลให้ตื่นขึ้นมา
ตื่นแต่เช้ามาเห็นใบหน้าของจีเฉวียน พูดตามจริงเถอะ ออกจะบาดตาไปสักหน่อย
ฮ่องเต้ที่พึ่งจะทรงตื่นบรรทม ไม่ได้ดูแล้วเย็นชาเป็นน้ำแข็งเหมือนยามปกติ เส้นพระเกศายุ่งเหยิงเล็กน้อย ยุ่งเหยิงแบบนี้ควรจะเรียกว่าอะไรดีน้า?
ขนฟู………
ใช่ๆ คล้ายกับขนฟูๆ นั้นเอง ดังนั้นเขาจึงดูเกียจคร้านอย่างยากจะมีให้เห็น
จีเฉวียนถูกนางจับจ้องมองดูไม่วางตา ทันใดนั้นก็รีบยื่นพระหัตถ์ออกไป บังดวงตาของนางเอาไว้
ถูกกอดเอาไว้ทั้งคืน ฝ่ามือของเขาจึงมีไออุ่นอยู่บ้าง ไม่ได้เย็นเฉียบเหมือนยามปกติ
ฝ่ามือใหญ่ยื่นออกมา ใบหน้าของตู๋กูซิงหลันเกือบทั้งหมดล้วนถูกเขาบังเอาไว้
จีเฉวียนทรงรีบใช้พระหัตถ์อีกข้างลูบไล้หางตา ยังดี ที่สะอาดอยู่
นับตั้งแต่ที่ครั้งก่อนถูกตู๋กูซิงหลันบอกว่าหางตาของเขามีสิ่งสกปรก ทุกวันที่เขาตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่ต้องทำก็คือล้างหน้า
วันนี้ยังไม่ได้ทันล้างหน้าก็เจอกันแล้ว ยิ่งทำให้ฮ่องเต้ทรงยิ่งเพิ่มความระมัดระวังในรูปลักษณ์ของตนเอง
หืม ไม่มีก็ดีแล้ว
จากนั้นเขาจึงค่อยลดมือที่ปิดบังดวงตาของตู๋กูซิงหลันลง ลุกขึ้นมานั่งด้วยใบหน้าเย็นชา ” อย่าได้เอาแต่จ้องมองดูเรา น้ำลายของเจ้าเกือบทำเราจมแล้ว”
ตู๋กูซิงหลันคิดจะบอกเขาว่า เขาเข้าใจผิดแล้ว
นางยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ก็ได้ยินเสียงฉางซุนซิ่วดังมาจากนอกตำหนักบรรทมว่า ” ฝ่าบาท กระหม่อมมาขอเข้าเฝ้า”
จีเฉวียนประทับนั่งอยู่บนเตียง เหลือบพระเนตรมองดูท้องฟ้านอกหน้าต่างที่ยังไม่ทันสว่างดี พระพักตร์เกียจคร้านที่ดูงดงามนั้นพลันเลือนหายไปจนสิ้น
ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าตนเองกำลังจะกลายเป็นมือที่สามที่ถูกฝ่ายหญิงจับได้คาเตียง จบกัน เมียหลวงมาถึงที่แล้ว
ในใจของนางตอนนี้โหวงเหวงไปหมดแล้ว
พอนางเงยหน้าสบตามองจีเฉวียน ก็เห็นเขาพลิกตัวลงจากเตียง ยื่นมือมาคว้าตัวนางไปอุ้ม ค่อยผลักหน้าต่างพลิกตัวออกไปทันที
ใต้เท้าของเขามีสายลมพัดผ่าน ร่างกายเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ตู๋กูซิงหลันไม่สามารถมองทุกสิ่งที่อยู่ด้านข้างได้ชัดเจน เพียงรู้สึกว่ามีสายลมรุนแรงพัดผ่านลำคอไป
ดูท่านางคงจะประเมินจีเฉวียนต่ำไปเสียแล้ว เพียงแค่ความเร็วขนาดนี้ วรยุทธ์ของเขาไหนเลยจะเป็นแค่พี่ชายที่อ่อนแอคนหนึ่งได้ มีแต่จะต้อง…….แข็งแกร่งอย่างยิ่ง
เพียงแต่ว่ายามปกติไม่เคยเห็นเขาแสดงออกมาเลยสักน้อย อืม เก็บซ่อนได้ดีมาก
ตอนที่ 172 สายพระเนตรของฝ่าบาทเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นมาแล้ว
ดูท่านางคงจะประเมินจีเฉวียนต่ำไปเสียแล้ว เพียงแค่ความเร็วขนาดนี้ วรยุทธ์ของเขาไหนเลยจะเป็นแค่พี่ชายที่อ่อนแอคนหนึ่งได้ มีแต่จะต้อง…….แข็งแกร่งอย่างยิ่ง
เพียงแต่ว่ายามปกติไม่เคยเห็นเขาแสดงออกมาเลยสักน้อย อืม เก็บซ่อนได้ดีมาก
หากไม่ใช่เพราะว่าอีกนิดเดียวก็จะถูกท่านราชครูจับได้แบบคาหนังคาเขา เกรงว่าเขาก็คงจะยังปิดบังต่อไป
พระตำหนักตี้หัวกับตำหนักเฟิ่งหมิงห่างกันไม่ใช่ระยะทางใกล้ๆ แต่เขาใช่เวลาเพียงครู่เดียวก็พานางกลับมาถึงได้แล้ว
ท้องฟ้ายังคงมืดอยู่ กระทั่งนกกระจอกยังคงหลับอยู่ในรังบนต้นไห่ถาง มันเพียงรู้สึกว่าข้างกายมีเสียงขยับ บางสิ่งก็ผ่านไปแล้ว
มันยืดคอน้อยๆ ขึ้นมามองหาในทันที มองไปมองมาหาอย่างไรก็ไม่พบเจออะไร จึงมุดกลับไปซุกตัวกลมเหมือนเดิม ค่อยผลอยหลับไปอีก
จีเฉวียนอุ้มตู๋กูซิงหลันกลับมาที่ห้องของนาง วางลงบนเตียงนอน
” ฝ่าบาทเกรงว่าท่านราชครูจะพบเห็นถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ” ตู๋กูซิงหลันซุกตัวลงไปในผ้าห่ม ยามเช้าในฤดูหนาวช่างทรมานผู้คน
เห็นสีพระพักตร์ของเขาเคร่งเครียด คงเกรงว่าท่านราชครูจะเข้าใจผิดขึ้นมาละมั้ง
ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าเขาทำตัวประหลาดอยู่บ้าง ทางหนึ่งชอบท่านราชครู ทางหนึ่งโปรดปรานเสี่ยวซูเฟย
อย่างที่เขาว่าพระทัยของฮ่องเต้มีแต่ความรักเผื่อแผ่ไปทั่วละมั้ง?
จีเฉวียนไม่ได้ตรัสว่ากระไร เพียงแต่เสด็จไปยังบานหน้าต่างเปิดออกมุมหนึ่ง ทอดพระเนตรมองยังต้นไห่ถางที่ยังคงมีหิมะเกาะอยู่เต็มภายในตำหนัก
” นับแต่วันนี้เป็นต้นไป หากไม่มีคำอนุญาตจากเรา เจ้าไม่อาจออกจากตำหนักเฟิ่งหมิงด้วยตนเอง” ครู่ต่อมาพระองค์ค่อยตรัสเสริม ขณะหันพระพักตร์กลับมา ก็ทอดพระเนตรมองดูนางด้วยสายพระเนตรลึกล้ำ
” หากว่ายังไม่ฟังคำอีก ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะส่งเจ้าไปอยู่กับโยวหนิง “
ไม่ได้ยินชื่อของเต๋อเฟยมานานแล้ว แต่พอได้ยินพระองค์ตรัสจากพระโอษฐ์ ทำให้นางอยู่ๆ ก็รู้สึกเหน็บหนาวขึ้นมา
ตรัสแล้วจีเฉวียนก็หันไปทอดพระเนตรเจ้าไก่ขนดำตัวฟูที่อยู่ใต้ต้นไม้ในสวน พอนึกถึงอาการบาดเจ็บของนาง ก็ยิ่งเกิดความคิดจะเอาเจ้าไก่นั้นมาตุ๋นน้ำแกงขึ้นมา
เจ้าไก่ตัวนั้นจะต้องมีรสชาติดีกว่าน้ำแกงแม่ไก่แก่ตุ๋นมากมายเป็นแน่
ตู๋กูซิงหลันมองดูเงาหลังของพระองค์ อยู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกขึ้นมาว่าบนร่างของเขากำลังเกิดไอสังหาร
หากว่านางยังคงออกไปวิ่งวุ่นวายอยู่ภายนอก จีเฉวียนคงจะต้องแขวนศีรษะของนางเอาไว้บนกำแพงเมืองคอยต้อนรับผู้คนเป็นแน่
พอนางตัดสินใจได้แล้วก็ลูบคอเบาๆ กล่าวออกมาคำหนึ่ง ” รู้แล้วเพคะ “
อย่างไรเสียในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ ร่างกายจำเป็นจะต้องพักรักษาตัว นางเองก็ไม่ได้อยากจะไปเสียเวลาคิดให้วุ่นวาย
ฮ่องเต้ทรงได้ฟังแล้ว สายพระเนตรก็เปลี่ยนเป็นอบอุ่นไปชั่วขณะ ตรัสเสียงเบาคำหนึ่งว่า ” เชื่อฟังก็ดี”
ตู๋กูซิงหลัน ไม่ทันได้ยินชัดเจน พระองค์ก็พลิกร่างออกจากหน้าต่างไปแล้ว ตู๋กูซิงหลันเพียงแต่มองเห็นชายผ้าพลิ้วผ่านหน้าต่างออกไป เขาก็ไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว
นางพิงร่างกับเบาะนุ่มบนเตียง ครุ่นคิดว่าต่อไปคงจะต้องยิ่งระมัดระวังฮ่องเต้องค์นี้ให้มากกว่าเดิม
นางไม่เข้าใจเขาเลยแม้แต่น้อย และไม่รู้ว่าในร่างของเขามีความลับอันใดที่ทำให้คนประหลาดใจซุกซ่อนอยู่
แต่ว่าศพคืนชีพที่กลายเป็นตัวประหลาดผู้นั้น และยังมีอันหว่านจืออีกคน นางจะต้องสืบออกมาให้ชัดเจน
………………………………………………….
ตู๋กูซิงหลันสะลึมสะลือจนหลับไปอีกรอบหนึ่ง พอนางตื่นขึ้นมา เชียนเชียนก็เอาดอกไห่ถางที่พึ่งเด็ดใหม่เข้ามา
” นายหญิงเจ้าคะ เมื่อครู่หลี่กงกงแวะมารอบหนึ่ง บอกว่าฝ่าบาททรงมีสิ่งของประทานให้ท่าน” เชียนเชียนพูดพลาง ก็ชี้ไปยังกล่องไม้ที่อยู่บนโต๊ะ
ตู๋กูซิงหลันสั่งให้นางเปิดออกดู ก็เห็นว่าเป็นเตาอุ่นมือที่ทำจากทองคำและประดับด้วยทับทิม เป็นชิ้นที่อันหว่านจือถวายแก่ฝ่าบาทนั้นเอง
” นายหญิงท่านเกรงกลัวความหนาวหรือเจ้าคะ? ทำไมฝ่าบาทถึงประทานสิ่งนี้ให้กับท่าน? ” เชียนเชียนโคลงศีรษะอย่างสงสัย
ตู๋กูซิงหลันเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน สิ่งของของอันหว่านจือ ทำไมฝ่าบาทถึงต้องยกให้นาง?
ของที่เป็นเหมือนเผือกร้อนเช่นนี้อย่าได้เก็บเอาไว้นานจะดีกว่า
” จริงสิเจ้าคะ หลี่กงกงยังส่งโจ๊กกุ้ง ซุปไก่และผลไม้หายากมาด้วย ทั้งหมดล้วนวางอยู่ในห้องข้างๆ นายหญิงตื่นแล้วก็รับประทานสักหน่อยเถอะเจ้าค่ะ”
ตู๋กูซิงหลันถูกจีเฉวียนข่มขู่จนเคยชินเสียแล้ว อยู่ๆ ก็มาเปลี่ยนไปเช่นนี้ทำเอานางรู้สึกไม่คุ้นเคยขึ้นมา
เดี๋ยวก่อน ซุปไก่หรือ?
นางลงจากเตียงอย่างรีบร้อน อาศัยฝีเท้าที่ยังคงอ่อนล้าเดินไปที่ข้างเตียง มองออกไปในสวนกลับไม่เห็นเจ้าไก่ขนฟูตัวนั้นเลยแม้แต่เงา
” เจ้าติ๊งต๊องละ? “
” เมื่อวานยังเห็นหาหนอนกินอยู่ในสวนเลยเจ้าค่ะ ” เชียนเชียนโยกศีรษะไปมา ” เอ๋? ทำไมถึงไม่เจอแล้วนะ แปลกจริงๆ “
ตู๋กูซิงหลันรีบฉวยเสื้อคลุมมาคลุมลงบนตัว เดินออกไปที่ห้องข้างๆ
บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหาร ไก่ตุ๋นชามนั้นยังมีควันร้อนฉุยขึ้นมาอยู่เลย เนื้อไก่ถูกตุ๋นจนเปื่อยยุ่ย ตู๋กูซิงหลันอดที่จะคิดถึงภาพเจ้าติ๊งต๊องถูกเชือดอย่างอนาถไม่ได้
แต่ประเด็นสำคัญคือ…….ไก่ตุ๋นนั้นหอมมาก
เชียนเชียนรีบตักมาให้นางชามหนึ่ง ซุปไก่นี้ถูกตุ๋นอย่างใส่ใจ น้ำมันลอยถูกตักทิ้งไปหมด แล้วเติมถั่งเช่าลงไป นี่เป็นของบำรุงที่ดีนัก ดูแล้วไม่เลี่ยนเลยสักนิด
ตู๋กูซิงหลันดื่มลงไปทั้งน้ำตาชามหนึ่ง พอหมดชามก็รู้สึกว่ากระตุ้นกระเพาะอาหารดีมาก จึงดื่มอีกชาม
วิญญาณทมิฬหมอบดูอยู่บนบ่าของนาง อดรู้สึกไม่ได้ว่าตนเองอย่าได้เปลี่ยนเป็นร่างเนื้อจะดีกว่า ไม่งั้นมีหวังเพียงพริบตาเดียวก็อาจจะกลายเป็นน้ำแกงในหม้อได้
หลังจากนั้นผู้หญิงบางคนก็คงจะกินมันลงไปทั้งน้ำตา
…………………………………….
ข่าวที่ฝ่าบาททรงอุ้มซูกุ้ยเฟยเข้าห้องบรรทมและประทานความโปรดปรานอยู่ทั้งคืน ถูกสายสืบของบรรดาพระสนมนำความออกไปเผยแพร่อย่างรวดเร็ว
เช้าวันรุ่งขึ้นในท้องพระโรง ฝ่าบาทก็ทรงลงพระนามในราชโองการแต่งตั้งให้ซูกุ้ยเฟยเป็นหวงกุ้ยเฟย
ถึงแม้ว่าจะมีขุนนางบางคนคัดค้าน แต่กลับถูกฝ่าบาทตำหนิกลางท้องพระโรงรอบหนึ่ง คนอื่นๆ จึงไม่มีใครกล้าพูดอะไรอีก
กลับเป็นตู๋กูซิงหลันที่พวกเขามองว่าเป็นนางมารมาโดยตลอด ไม่รู้ว่าไปกระทำสิ่งใดให้ฝ่าบาททรงเคืองพระทัย ถึงได้ทรงมีพระบัญชา ให้กักบริเวณนางเอาไว้แต่ในตำหนักเฟิ่งหมิง
ผู้คนทั้งหลายจึงได้เข้าใจขึ้นมาว่า นางมารล่มบ้านล่มเมืองที่ใดกัน ไทเฮาน้อยผู้นั้นที่จริงแล้วไม่ได้รับการจัดอันดับเลยเสียด้วยซ้ำ
สุดท้ายแล้วนางก็เป็นเพียงแค่สาวงามที่ไร้สมองคนหนึ่ง ต่อไปก็คงไม่สามารถทำเรื่องใหญ่ใดๆ ได้อีก
ดูอย่างซูกุ้ยเฟยเสียยังดีกว่า นางพึ่งจะกลับมาไม่ทันไร ก็สามารถทำให้ฝ่าบาททรงลุ่มหลงจนไม่รู้ทิศรู้ทางได้แล้ว
ในวังหลังมีสาวงามมากมายแต่ฝ่าบาทกลับมอบพระทัยให้กับนางแต่เพียงผู้เดียว แม้พระสนมอื่นๆ จะชะแง้หน้าคอยมองสักเท่าใดก็ไม่เคยได้รับการเหลียวแลจากพระองค์
นี่ย่อมจะทำให้เหล่าขุนนางทั้งหลายที่ส่งบุตรสาวเข้าวังไปเกิดความไม่พอใจอยู่แล้ว
เช่นนี้แต่ละคนย่อมต้องเทความเกลียดชังลงไปบนซูเม่ย
หย่งเฉิงอ๋องเองก็กลายเป็นศัตรูหลักของส่วนรวม มีแต่ฟ้าดินเท่านั้นที่รู้ว่าพระทัยของหย่งเฉิงอ๋องและพระชายานั้นตกอยู่ในความหวาดหวั่นเพียงไร
………………..
ซูเม่ยเดินทางไปยังตำหนักเฟิ่งหมิง ที่ด้านนอกมีราชองครักษ์มากมายรอยล้อมอยู่ กองราชองครักษ์ประจำพระองค์ของฝ่าบาทแต่ละคนล้อมตำหนักเฟิ่งหมิงเอาไว้อย่างคึกคักเข้มแข็ง จนแม้แต่ยุงสักตัวยังบินผ่านเข้าไปไม่ได้
เป็นเช่นดังที่ข่าวภายนอกร่ำลือกัน อาหลันถูกคุมขังเอาไว้จริงๆ
ครั้งก่อนเป็นเพราะเขาเอาแต่ใจพาตัวนางไป ดังนั้นจึงกระตุ้นพระพิโรธของฝ่าบาทขึ้นมา ไม่รู้ว่าตอนนี้อาหลันอยู่ในตำหนักเฟิ่งหมิง จะถูกทรมานจนลำบากเพียงไร
ซูเม่ยทั้งตำหนิตนเอง ทั้งรู้สึกโกรธแค้นขึ้นมา
แต่ว่ายามที่นางเข้าไปในพระตำหนักตี้หัว กลับไม่มีผู้ใดกล้ารั้งตัวนาง
ฝ่าบาททรงประทับอยู่ในห้องทรงพระอักษร กำลังอ่านฎีกาต่างๆ อันหว่านจือถวายชาแล้ว ก็คอยรับใช้อยู่ที่ด้านข้าง
ฝ่าบาทมิได้ทรงไล่นางออกไป แต่ก็ไม่ได้ทรงสนพระทัยนางเช่นกัน
ปล่อยให้นางต้องเฝ้าดูพระองค์กับซูเม่ยใกล้ชิดสนิทสนมกันอยู่ทุกวัน ทุกค่ำคืนก็ร่วมห้อง หัวใจของนางราวกับว่ามีมดนับพันนับหมื่นตัวกำลังไต่ไปมา
แม้ว่าท่านย่าจะบอกว่าให้นางอดทนไว้ แต่นางก็ทนต่อไปไม่ไหวแล้ว
ทุกๆ วันได้แต่เฝ้ามองดูฝ่าบาทผู้ทรงงดงามดุจเทพเซียน หัวใจของนางยิ่งทียิ่งกระเพื่อมไม่ยอมหยุด ได้แต่เกลียดที่ตนเองไม่ใช่ซูเม่ย
พอคิดถึงซูเม่ย คนก็เดินเข้ามา
ซูเม่ยสวมชุดแดงตลอดร่าง ใบหน้าตกแต่งอย่างปราณีตบรรจง ดูงดงามยั่วยวนราวกับนางมารที่ออกมาจากยมโลก
พอเห็นอันหว่านจือนั่งคุกเข่าอยู่ที่ด้านข้างของฝ่าบาท นางก็กล่าวเสียงเยือกเย็นออกไปว่า ” เจ้าออกไปซะ เรามีเรื่องส่วนตัวจะทูลฝ่าบาท”
ตอนที่ 173 ในที่สุดเขาก็ยอมรับว่า......ถูกใจอาหลันเข้าแล้ว
อันหว่านจือ โกรธจนแทบจะด่านางออกมา นางค้อนตาขาวใส่สตรีที่ได้รับความโปรดปรานเป็นพิเศษและหยิ่งผยองผู้นั้น มีอะไรน่าอวดหนักหรือ?
ต้องมีสักวันที่นางจะได้รับความโปรดปรานเหนือกว่า!
นางทอดสายตาไปยังจีเฉวียน ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
จีเฉวียนเพียงแต่กล่าวด้วยเสียงเย็นชาว่า “หวงกุ้ยเฟยสั่งแล้ว เจ้า ก็ไม่ขยับหรือ? “
ท่าทางเช่นนั้นเห็นได้ชัดเลยว่า ฝ่าบาททรงวางซูเม่ยเอาไว้เป็นอันดับหนึ่ง และเห็นนางเป็นเพียงบ่าวรับใช้
อันหว่าจรือ โกรธจนโทสะพลุ่งพล่าน แต่ก็ไม่อาจขัดขืน นางได้แต่ถอยออกไปอย่างไม่ยินยอม จากนั้นรีบกลับไปที่ตำหนักชางอู๋เข้าไปหาอันหร่วน
ภายในห้องซูเม่ยยืนสงบนิ่ง พอมองดูสีพระพักตร์ที่ยังคงเย็นชาดั่งเดิมของฝ่าบาท ก็เปิดหัวข้อสนทนาอย่างตรงๆ ว่า ” ฝ่าบาท เป็นข้าที่พาอาหลันไปเอง พระองค์ทรงกักบริเวณนางเพื่ออะไร? “
” เจ้าว่าไงล่ะ? ” จีเฉวียนเงยพระพักตร์ หรี่พระเนตรมอง ท่าทางเช่นนั้นยังดูเป็นจิ้งจอกเสียยิ่งกว่าซูเม่ยอีก
” ข้ายอมรับ ข้าชอบอาหลัน อยากจะอยู่กับนางตลอดเวลา ” ซูเม่ยหงายไพ่กล่าวกับเขา ” พูดกันตรงๆ เลยก็แล้วกัน ตอนนั้นที่ข้าเข้าวังมาเป็นพระสนม ทั้งหมดก็เพื่ออาหลัน”
เขายืนตัวตรงดุจพู่กัน ท่าทางไม่มีกลัวตาย
” หืม? ” จีเฉวียนทรงปิดหนังสือฎีกา สายพระเนตรหงส์จดจ้องไปยังเขา ” ดังนั้นละ? “
ความนิ่งเงียบของจีเฉวียนนับว่าอยู่นอกเหนือความคาดหมายของเขาไปบ้าง
ซูเม่ยขมวดคิ้วถามเบาๆ ว่า “ดังนั้นอะไร? “
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตอบคำถามนั้นว่า ” ดังนั้น ขอฝ่าบาทอย่าได้ทรงรังแกอาหลัน ไม่ว่าเป็นเรื่องใดข้าก็สามารถยอมทำแทนนางได้ และยินดีจะทำแทนนาง “
พอเขาพูดออกไปแล้ว สีพระพักตร์ของจีเฉวียนก็ยิ่งเย็นชากว่าเดิม
” เจ้าจะยอมรับแทนนาง? ” จีเฉวียนประทับนั่งให้ตรง พระสุรเสียงก็ยิ่งทียิ่งต่ำลง
” ชีวิตของข้านี้สามารถมอบออกไปเพื่อนาง ฝ่าบาทจะว่าอย่างไร? ” ซูเม่ยถึงขนาดคุกเข่าลงแล้วหมอบลงไปที่เบื้องพระพักตร์ สายตาของเขามีแต่ความมุ่งมั่น ” ในชีวิตนี้ ข้าชอบแต่นางเพียงผู้เดียว ต่อให้ต้องฝ่าภูเขาดาบ ข้ามทะเลเพลิง ถึงตายก็ไม่หวั่นไหว! “
จีเฉวียนทรงได้ฟังแล้ว ก็พระสรวลออกมา ” ความสามารถมีไม่มาก แต่ปากกลับกล่าวได้อย่างเต็มที่”
พระองค์ถอนพระทัยเสียงเย็นคำหนึ่ง ” ซูเม่ย อย่าได้ลืมเสีย ตอนนี้เจ้าเป็นหวงกุ้ยเฟยของเรา เป็นว่าที่มารดาขององค์ชายใหญ่ “
” เจ้าสามารถลำพองเอาแต่ใจ แต่อย่าได้ลืมว่าในบ้านยังมีบิดามารดา ทุกวันนี้พวกเขามีเจ้าเป็นบุตรโทน เจ้าจะเอาชีวิตที่ไหนไปถวายไทเฮากัน? “
ประโยคเดียวของจีเฉวียน ทำเอาซูเม่ยถึงกับนิ่งงันอยู่กับที่ไป
แต่แล้วดวงตาจิ้งจอกคู่นั้นก็ฉุกประกายเย็นวาบขึ้นมา ” ข้าชอบอาหลันก็เป็นเรื่องของข้า ไม่เกี่ยวกับคนในครอบครัว บิดาของข้ายอมลำบากตรากตรำเพื่อฝ่าบาท ตามเหตุผลแล้วฝ่าบาทย่อมไม่มีทางไร้น้ำพระทัย ทำร้ายคนในครอบครัวของข้า “
” เราย่อมไม่ไปแตะต้องบิดามารดาของเจ้า แต่เจ้าเป็นบุตรโทนหากว่าเกิดตายไป เจ้าคิดว่าหย่งเฉิงอ๋องสามีภรรยาจะอยู่ต่อไปได้? “
หัวใจของซูเม่ยเย็นวาบขึ้นมา ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาเขาล้วนไม่เชื่อฟังโอวาท แต่จะอย่างไรก็เข้าใจดีมาตลอดว่าบิดามารดารักใคร่เขาถึงเพียงไร หากว่าเขาตายไป บิดามารดาคงแทบจะเสียสติ
เขาเหยียดหลังขึ้นตั้งตรง ดวงตาจิ้งจอกคู่นั้นจดจ้องดวงเนตรหงส์ของจีเฉวียน โดยปราศจากความหวาดกลัวแม้แต่น้อย ” ฝ่าบาททรงดำริเอาไว้อย่างรอบคอบ หรือจะเป็นเพราะว่า ในพระทัยของพระองค์มีอาหลันอยู่ ถึงไม่อาจยอมให้ข้ากับนางได้ใกล้ชิดกัน? “
คำพูดนี้เขาก็เคยเอ่ยขึ้นมาก่อน แต่ว่าก่อนหน้านี้ฝ่าบาทมิได้ทรงยอมรับ แต่การที่พระองค์ไม่ทรงยอมรับมิได้หมายความว่าเขาจะไม่รู้
จีเฉวียนถูกคำพูดนี้กระเทือนถึงความในพระทัยก็จริง แต่สีพระพักตร์ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
” ฝ่าบาทมีพระประสงค์จะแยกข้ากับอาหลัน กลับไม่ทรงใส่พระทัยระมัดระวังคนข้างพระองค์ ทุกวันนี้เมืองหลวงไร้ความสงบ กระทั่งองค์หญิงใหญ่ยังมีคนกล้าแตะต้อง ไม่แน่ว่าอีกไม่นาน กระทั่งพระองค์เองก็อาจถูกคนโยกคลอนเข้าสักวัน “
ซูเม่ยกล่าวจบ ก็เหลือบตามองออกไปที่นอกประตู ” ท่านผู้เฒ่าตู๋กูรบชนะแดนเป่ยเจียงไปกว่าครึ่งแล้ว การจะได้ดินแดนเป่ยเจียงมาทั้งหมดเป็นเรื่องช้าหรือเร็วเท่านั้น แคว้นต้าโจวนับว่าอยู่ในอำนาจของเขาตั้งแต่แรก ฝ่าบาททรงเป็นผู้นำที่มีปณิธานยิ่งใหญ่ ไม่จำเป็นจะต้องเสียเวลาสิ้นเปลืองพระดำริไปกับเรื่องของหนุ่มสาว”
” มิสู้ทรงสนับสนุนข้ากับอาหลัน แล้วตั้งพระทัยมุ่งมั่นในราชกิจ เช่นนี้พระองค์ย่อมทรงไร้ซึ่งจุดอ่อนใดๆ ในชีวิตอีกแล้ว”
จีเฉวียน ” หึๆๆ ฝันหวานไปเถอะ ” ผู้ที่ไร้จุดอ่อนชีวิตมิอาจสมบูรณ์พร้อมไปได้
พระองค์เป็นฮ่องเต้ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นมนุษย์ เป็นคนที่มีเลือดเนื้อมีหัวใจ
ซูเม่ย “…….”..
” ไสหัวกลับไปเป็นหวงกุ้ยเฟยของเจ้าเสีย”
” ฝ่าบาท ถึงแม้ว่าพระองค์จะทรงเป็นฮ่องเต้เป็นโอรสสวรรค์ แต่ว่าเรื่องของอาหลัน ข้าจะไม่ยอมถอยเด็ดขาด! ” ซูเม่ยไม่ยอมถอย หากเขาจะแย่งชิงอาหลันกับพระองค์ ตนเองยอมต้องมีไพ่ตายอยู่อีกบ้าง
จีเฉวียนสาดสายพระเนตรเย็นไปยังเขา ” คนที่เราหมายตา ผู้อื่นย่อมไม่อาจแย่งชิงได้ตลอดกาล ซูเม่ย ความสามารถของเจ้ายังไม่พอ “
ซูเม่ยตกตะลึงไป……..ดู! …….ในที่สุดเขาก็ยอมรับแล้วว่า……ถูกใจอาหลัน!
…………………………
ตำหนักชางอู๋ อันหว่านจือไปกระเง้ากระงอดร่ำร้องกับอันหร่วนอยู่นานแล้ว
” ท่านย่า ข้าถวายการรับใช่ฝ่าบาทมาก็ตั้งนานแล้ว แต่ว่าพระองค์กลับไม่ทรงแลมองดูข้าตรงๆ เลยสักครั้ง หากปล่อยไปอย่างนี้ เมื่อไหร่ข้าถึงจะได้เป็นพระสนมกัน? “
น้ำตาของนางรินไหลอย่างไม่คิดชีวิต
” ทุกวันนี้ในพระทัยของพระองค์มีแต่ซูเม่ย ซูเม่ยนั่นก็เป็นนางจิ้งจอกแท้ๆ ฝ่าบาทถูกมันยั่วจนหลง ไม่สนใจข้าเลยสักนิด”
อันหร่วนนั่งคุกเข่าอยู่ที่เบื้องหน้าพระพุทธรูป สวดเม็ดประคำในมือเสียงเบาๆ
ในใจของนางตอนนี้คิดแต่จะสืบเสาะทราบให้จงได้ว่าสตรีใต้หน้ากากผู้นั้นคือใครกัน จากความเห็นที่ได้รับมาของเฮยโยว (黑幽= ความเงียบงันอันดำมืด) ในร่างของสตรีที่สวมหน้ากากผู้นั้นมีกลิ่นอายของหยกสรรพชีวิต
นี่เป็นการค้นพบที่น่าแปลกประหลาดนัก
นายท่านติดตามรวบรวมเศษเสี้ยวของหยกสรรพชีวิตนี้มาโดยตลอด ถึงวันนี้ก็สามารถรวบรวมมาได้เกือบครึ่งชิ้นแล้ว คิดไม่ถึงว่า ในร่างของสตรีในเมืองหลวง จะมีกลิ่นไอของหยกสรรพชีวิตที่เข้มข้นอยู่
อีกทั้งยังมีความสามารถที่จะต่อสู้กับเฮยโยวที่เป็นศพคืนชีพกลายร่างไปแล้วได้ด้วย
เป็นผู้ใดกัน?
หลายวันนี้ เฮยโยวและพวกกำลังตามหาเบาะแสของสตรีผู้นั้น แต่กลับไม่พบสิ่งใดเลยสักนิด
พอตอนนี้ต้องมาทนฟังเสียงคร่ำครวญของอันหว่าจรือ ในใจของนางก็ขุ่นข้องรำคาญนัก
” ท่านย่า ท่านพูดอะไรสักอย่างสิ! ” อันหว่านจือร้อนใจใหญ่แล้ว ” หากปล่อยไปอย่างนี้ วังหลังทั้งหมดก็คงกลายเป็นสรวงสวรรค์ของซูเม่ยไปแล้ว ขนาดตอนนี้นางยังไม่ยอมละเว้นข้าเลยสักนิด ภายหน้าไม่แน่ว่าอาจจะไล่ข้าออกจากวังไปก็ได้นะ “
อันหร่วนยังคงสวดประคำในมือต่อไป จิตใจของนางเคร่งเครียด รอยยับย่นบนใบหน้าก็ยิ่งลึก ” ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ยิ่งต้องชิงตั้งครรภ์ให้ได้ก่อนซูเม่ย ขอเพียงแค่เจ้าคลอดองค์ชายใหญ่ออกมา วังหลังย่อมจะต้องเป็นของเจ้าแต่เพียงผู้เดียว”
เดิมทีนางคิดจะให้หว่านจรือใกล้ชิดจนเกิดความผูกพันทางใจขึ้นมา อาศัยรูปลักษณ์ของหว่านจรือที่คล้ายคลึงกับฉางซุนฮองเฮาอยู่สามส่วน บวกกับการรับใช้ใกล้ชิดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน นางก็คิดว่าไม่ช้าไม่นานฝ่าบาทจะต้องทรงรักหว่านจรือเข้าสักวัน
แต่ว่าดูท่านางจะประเมินน้ำพระทัยของฝ่าบาทต่ำไปแล้ว
อันหว่านจือได้ฟังแล้ว ดวงตาคู่นั้นก็ทอประกายขึ้นมา ” ตั้งครรภ์? ท่านย่า ข้าจะไปเอาความสามารถมาจากที่ไหนกัน …..ฝ่าบาท อย่าว่าแต่สัมผัสข้าเลย แม้แต่มองก็ยังไม่ทรงยอมมองข้า”
ใบหน้าที่ยับย่นของอันหร่วนปรากฎรอยยิ้ม ” เจ้าคอยถวายพระสุธารสให้กับฝ่าบาทอยู่ทุกวันยังจะไม่มีโอกาสอีกหรือ? “
พูดแล้ว นางก็ล้วงเอาขวดยาสีอ่อนออกมาใบหนึ่ง
” นี่เป็นยาเสน่ห์ ไร้สีไร้กลิ่น แม้แต่พวกหมอก็ไม่มีทางตรวจออกได้ ขอเพียงฝ่าบามทรงดื่มลงไป ย่อมต้องบังเกิดความต้องการขึ้นมา ” อันหร่วนพูดแล้ว ก็ส่งยาขวดนั้นให้กับอันหว่านจือ
จากนั้นก็ดึงฝ่ามือของอันหว่านจือเข้ามาพลางกล่าวว่า ” ถึงตอนนั้นในสายพระเนตรของพระองค์ เจ้าก็จะกลายเป็นคนที่พระองค์ทรงปรารถนาที่สุด “
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น