คัมภีร์วิถีเซียน 1698-1699

ตอนที่ 1698 ปีนยาก

 

เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวผู้นี้เข้าใจระดับของตัวเองแล้ว จึงทั้งตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว


แม้ว่าพวกเขาสามคนไม่ว่าผู้ใดก็ไม่ได้เอ่ยอันใด แต่เห็นได้ชัดว่าผู้ใดไปถึงวิหารก่อน แน่นอนว่าย่อมต้องแย่งชิงสมบัติไปก่อน


หากเป็นเช่นนั้นละก็ หญิงสาวผู้นี้ก็มั่นใจว่าตนเองไม่มีโอกาสมากนักเมื่อเทียบกับสือคุนและพวกอีกสองคน


ทว่าแม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้หลิวสุ่ยเอ๋อร์ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีวิธีอันใดเลย


นางแค่ครุ่นคิดเล็กน้อยก็พลิกฝ่ามือ หว่างนิ้วมียันต์หลากสีสันปรากฏขึ้น


สีเหลือง สีเงิน และยังมีสีแดงสด


เสียง “ฟิ้ว” ดังขึ้น ชั่วพริบตานั้นยันต์วิเศษสามแผ่นพลันตบไปร่างอรชนอ้อนแอ้นของหญิงสาว ระเบิดลำแสงหลากสีสันสามดวงออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายไปอย่างไร้ร่องรอย


ทันใดนั้นลำแสงสีเหลือง เงิน แดง สามสีพลันซัดออกมาจากร่างของหลิวสุ่ยเอ๋อร์ และแผ่แรงกดที่น่าตกตะลึงออกมา


ยันต์วิเศษสามแผ่นนั้นคาดไม่ถึงว่าจะเป็นยันต์ช่วยเสริมสามชนิดที่ไม่เหมือนกัน สามารถเพิ่มระดับความแข็งแกร่งของกายเนื้อจากพลังชีพจรในด้านที่ไม่เหมือนกัน


มีอิทธิฤทธิ์ทั้งสามชนิดคอยเสริม หญิงสาวผู้นี้เองก็ไม่ลังเลอีก พลางสาวเท้าขึ้นไปบนภูเขา


หานลี่มองเห็นฉากนี้ใบหน้าไม่ได้เผยสีหน้าแปลกประหลาดใดๆ ออกมา


แม้ว่ายันต์วิเศษช่วยเสริมจะมหัศจรรย์มาก แต่สำหรับพวกเขาที่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงนั้น ความจริงแล้วก็เป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยเท่านั้น


ผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาๆ ที่ฝึกฝนพลังปราณเป็นหลัก แน่นอนว่าย่อมไม่สนใจยันต์วิเศษเพิ่มความแข็งแกร่งของกายเนื้ออยู่แล้ว ปกติแล้วยามต่อกรกับศัตรูก็ไม่ต้องใช้สิ่งช่วยเสริมใดๆ


สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรที่ฝึกตนเป็นหลักนั้น ยันต์ช่วยเสริมประเภท ‘ยันต์วัชระ’ สำหรับผู้ที่มีร่างกายแข็งแกร่งอยู่แล้วนั้นก็ไม่มีประโยชน์


ถึงอย่างไรเสียผู้ฝึกตนก็เป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งของกายเนื้ออยู่แล้ว จึงมีขอบเขตกว้างมาก ต่อให้ใช้ยันต์วิเศษช่วยเสริมที่สูงส่งแค่ไหน ก็ไม่มีทางมียันต์วิเศษที่เพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกาย และเพิ่มความแข็งแกร่งของกายเนื้อไปสองสามเท่าได้


แม้ว่ายันต์ช่วยเสริมระดับสูงจะหายากแค่ไหน สามารถเพิ่มระดับของผู้ฝึกฝนได้ขั้นสองขั้น ก็นับว่าเป็นเรื่องที่หายากแล้ว


ดังนั้นผู้บำเพ็ญเพียรปกติแม้ว่าจะแปะยันต์ช่วยเสริมมากแค่ไหน ผลที่ได้ก็ไม่สู้กายเนื้อที่แข็งแกร่งของผู้ฝึกตน


หานลี่เองก็เชี่ยวชาญด้านยันต์วิเศษ แน่นอนว่าจึงเข้าใจทั้งหมด ดังนั้นจึงไม่สนใจสิ่งนี้ ยังคงเดินขึ้นไปบันไดไปต่อทีละขั้นๆ


หลังจากทั้งสามคนเดินตามกันไปเรื่อยๆ ทุกคนก็เริ่มมีระยะห่างจากยอดเขาแตกต่างกัน


ยามแรกแม้ว่าพลังต้องห้ามบนขั้นบันไดหินจะมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่หลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนรู้ว่าขอแค่หยุดอยู่ชั่วครู่ก็จะทำให้พลังแรงดูดลดลงแล้ว แต่กลับไม่มีท่าทีจะหยุดพักเลยสักนิด


เวลาผ่านไปทั้งสามคนจึงเดินขึ้นมาหนึ่งในสามส่วนของทางเดินแล้ว


ทว่าสถานการณ์ของยามนี้หานลี่และพวกในยามนี้กลับไม่เหมือนกันแล้ว


สือคุนที่อยู่ด้านหน้าสุด เท้าทั้งสองข้างยังคงมั่นคง เดินขึ้นไปด้านบน แต่ทรวงอกกลับสั่นกระเพื่อมเบาๆ และยิ่งไปกว่านั้นหน้าผากยังเริ่มมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมา


หานลี่ที่อยู่ตรงกลาง ผิวหนังเริ่มเปลี่ยนเป็นสีทองอ่อน แต่สีหน้ายังคงสงบนิ่ง ดูไม่ออกว่ากินแรงเลยสักนิด


ส่วนหญิงสาวสวมงอบที่อยู่คนสุดท้าย แม้ว่าจะมองสีหน้าไม่ออก แต่เห็นได้ชัดว่าฝีเท้าของนางเชื่องช้าลงเรื่อยๆ และยิ่งไปกว่านั้นทุกครั้งที่สาวเท้าไป ร่างกายอรชนอ้อนแอ้นก็จะสั่นเทาเบาๆ ลำแสงสามสีบนเรือนร่างเดี๋ยวเปล่งแสงเจิดจ้าเดี๋ยวมืดหม่น ราวกับว่าจะพังทลายลงได้ตลอดเวลา


เห็นได้ชัดว่าแม้ว่าหญิงสาวผู้นี้จะมียันต์วิเศษแปะอยู่บนเรือนร่าง แต่ก็ไม่อาจยืนหยัดได้นานนัก


หลิวสุ่ยเอ๋อร์เองก็รู้เรื่องนี้ดี แววตางดงามฉายแววจนปัญญา


ในที่สุดหลังจากที่ปีนขึ้นมาได้สองสามร้อยขั้น หญิงสาวผู้นี้พลันถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วหยุดชะงักฝีเท้าอยู่ที่เดิม


หานลี่ไม่ได้หันกลับมา จิตสัมผัสสัมผัสทุกอย่างได้ ใบหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย แต่ฝีเท้ายังคงไม่มีท่าทีจะหยุดพักเลยสักนิด


จากนั้นสือคุนและหานลี่ก็ก้าวไปด้านหน้า ในที่สุดก็มาถึงตรงกลางทางเดิน


ใบหน้าของสือคุนเริ่มมีเม็ดเหงื่อไหลริน ทุกฝีเท้าที่เหยียบไปบนบันได ทำให้พื้นดินสั่นคลอน ลำแสงสีเหลืองบนร่างเปล่งแสงเรืองๆ สีหน้าไม่ผ่อนคลายลงเลยสักนิด


ชายร่างใหญ่เผ่าศิลารังไหมผู้นี้ใช้จิตสัมผัสตรวจสอบหานลี่ที่อยู่ด้านหลังเช่นกัน


หานลี่ในยามนี้นอกจากจะมีลำแสงสีทองเข้มขึ้นหลายส่วน ไม่ว่าสีหน้าหรือว่าท่าทางก็ยังคงเหมือนกับตอนแรกทุกระเบียบนิ้ว ราวกับว่าไม่ได้รับผลกระทบจากเขตอาคมใต้ฝ่าเท้าเลยสักนิด


“หรือว่าคนผู้นี้เป็นผู้ฝึกตนระดับสูง และยิ่งไปกว่านั้นกายเนื้อยังแข็งแกร่งกว่าตน!” สือคุนเริ่มตกตะลึง


มาถึงหลิวสุ่ยเอ๋อร์คนสุดท้าย หลังจากพักผ่อนชั่วครู่ กินยาลูกกลอนฟื้นกำลัง ก็สาวเท้าเดินขึ้นไปอีกครั้ง


ชายร่างใหญ่ขบคิดอย่างรวดเร็ว รู้สึกว่าสองขาของตนยิ่งเชื่องช้าลงเรื่อยๆ พลังแรงดูดใต้ฝ่าเท้าหนักอึ้งราวกับภูเขาไท่ซานอย่างไรอย่างนั้น และยิ่งไปกว่านั้นโครงกระดูกรอบกายยังส่งเสียงลั่น “แกร๊กๆ” ออกมา แต่เห็นได้ชัดว่ากายเนื้อกำลังรับน้ำหนักมาก


จากนั้นความเร็วในการก้าวไปข้างหน้าของสือคุนก็ลดลง แต่หานลี่กลับสาวเท้าต่อไป ในที่สุดผ่านไปหนึ่งถ้วยน้ำชาชายร่างใหญ่ก็อยู่ระดับเดียวกันกับเขา


หานลี่หันหน้าไป ส่งยิ้มบางๆ ให้สือคุนที่เหงื่อโซมกาย ก้าวเดินผ่านไปด้วยความเร็วที่ไม่ลดลงเลยสักนิด หลังจากสาวเท้าออกไปสองสามก้าวอย่างสบายๆ แล้ว ก็ดึงระยะห่างออกจากชายร่างใหญ่


ชายร่างใหญ่พลันกัดฟัน ร่างกายหยุดชะงัก สองเท้าตรึงแน่นอยู่ที่เดิม จากนั้นสองตาก็จ้องเขม็งไปยังเงาแผ่นหลังของหานลี่ สีหน้าเคร่งขรึมสลับกับสดใส


มองเห็นหานลี่ในยามนี้ เดินออกไปได้ร้อยกว่าขั้นแล้ว แต่เงาร่างยังคงไม่มีท่าทีจะเชื่องช้าลงเลยสักนิด


สือคุนพลันหน้าเขียวคล้ำ


เขาเงยหน้าขึ้นมองวิหารสีม่วงบนยอดเขา แล้วใช้จิตสัมผัสหาหลิวสุ่ยเอ๋อร์ที่กำลังเดินมาอย่างช้าๆ มุมปากกระตุกสองครั้ง ควักขวดสีโลหิตออกมาจากอกเสื้อ


ขวดนั้นเป็นสีแดงโลหิต ผิวของมันมียันต์วิเศษขนาดจิ๋วความยาวสองสามชุ่นแปะอยู่ เผยท่าทีลึกลับออกมา


สือคุนเป่าปากใส่ของในมืออย่างไม่ลังเลเลยสักนิด


ชั่วขณะนั้นหมอกลำแสงสีเหลืองพลันพ่นออกมา ม้วนวนผิวของขวดสีโลหิต ยันต์วิเศษสองสามแผ่นนั้นร่วงลงมาโดยอัตโนมัติ


เสียง “ปัง” ดังขึ้นสองสามครั้ง ยันต์วิเศษเหล่านี้กลายเป็นเปลวเพลิงลำแสงสองสามกลุ่ม สลายหายไปกลางอากาศ


เมื่อยันต์วิเศษถูกกำจัดไป ฝาขวดก็เปิดออกทันที เปลวเพลิงลำแสงสีโลหิตพ่นออกมาจากปากขวด ด้านในมียาลูกกลอนสีโลหิตถูกห่อหุ้มอยู่


สือคุนรู้เรื่องนี้ตั้งนานแล้ว จึงออกแรงดูด


ชั่วขณะนั้นแรงดูดพลันปรากฏขึ้น ชั่วครู่ก็กลืนยาลูกกลอนเม็ดนั้นเข้าไปในปาก แล้วกลืนลงท้องไป


ยาลูกกลอนเม็ดนั้นละลายในพริบตา กลายเป็นความร้อนแรงพุ่งไปยังจุดตันเถียนและตามจุดชีพจรต่างๆ


แม้ว่าหานลี่จะสาวเท้าอยู่ด้านหน้า แต่ก็สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของสือคุน พลันใจเต้น


ผลคือเห็นชายร่างใหญ่กินยาไปได้ชั่วครู่ ใบหน้าพลันมีสีแดงโลหิตปรากฏขึ้น จากนั้นผิวที่เดิมเป็นสีเทาขาวพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงสด แผ่อุณหภูมิที่ร้อนฉ่าออกมา ลำแสงวิญญาณที่แผ่ออกมาก็เปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีเหลืองอมแดง


จากนั้นก็เห็นสือคุนร้องตะโกนออกมาเบาๆ หน้าผากมีเส้นเอ็นขนาดใหญ่ปูดโปนขึ้น ลำคอขยายใหญ่ขึ้นสองสามเท่า จากนั้นร่างกายก็ขยายใหญ่ขึ้น จนมีความสูงสี่ห้าจั้ง


สือคุนที่มีร่างกายใหญ่โตสาวเท้าออกไปอย่างไม่ลังเล เสียง “ตูม” ดังขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะข้ามไปสองขั้น


เช่นนั้นสือคุนจะสาวเท้าไล่ตามหานลี่มาด้วยความเร็วที่เหนือกว่าตอนแรก


หานลี่เห็นเหตุการณ์เช่นนั้น แววตาพลันฉายแววเปล่งประกาย


เห็นได้ชัดว่าสือคุนใช้เคล็ดวิชาลับทำลายปราณแท้ของตน มิเช่นนั้นหากมีอิทธิฤทธิ์เช่นนี้ เหตุใดถึงไม่ใช้ตั้งแต่แรก จะมาใช้ในตอนนี้ทำไมกัน


เมื่อขบคิดเช่นนั้น ก็ไม่กล้าดูแคลน


ทันใดนั้นพลันสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง มือหนึ่งพลันร่ายอาคม ลำแสงสีทองเปล่งแสงเจิดจ้า จากนั้นผิวหนังพลันมีเกล็ดสีทองปรากฏขึ้น


สุดท้ายหานลี่พลันยกมือข้างหนึ่งลูบท้ายทอย


หลังจากเสียง “ฟึบ” ดังขึ้น หมอกลำแสงสีทองพลันพุ่งออกมาจากแผ่นหลังของเขา จากนั้นก็แข็งตัวกลายเป็นเงาลวงตาสีทองสามเศียรหกกร


เมื่อเงาลวงตาสีทองปรากฏตัวขึ้น ก็เปล่งแสงสว่างวาบกระโจนเข้าหาร่างของหานลี่ทันที


ชั่วขณะนั้นใบหน้าของเขาพลันเปล่งแสงสีทองสว่างวาบ เกล็ดสีทองบนเรือนร่างมีลำแสงไหลวนโคจร คาดไม่ถึงว่าจะผนึกรวมกันเป็นเกราะลำแสงสีทอง ปกคลุมเรือนร่างของเขาเอาไว้แน่น


จากนั้นหานลี่ก็ขยับฝีเท้า คาดไม่ถึงว่าเคลื่อนไหวรวดเร็วกว่าก่อนหน้าสามส่วน


ยังคงรักษาระยะห่างระหว่างสือคุนที่มีร่างกายใหญ่ยักษ์เอาไว้ได้


ทั้งสองคนที่อยู่ด้านหลังเห็นเช่นนั้น แน่นอนว่าย่อมตกตะลึง ทว่าไม่ว่าสือคุนหรือว่าหลิวสุ่ยเอ๋อร์ที่อยู่ด้านหลังสุดก็สำแดงอิทธิฤทธิ์ออกมาหมดแล้ว จึงทำได้เพียงก้าวขึ้นภูเขาไปทีละก้าวๆ ตามกำลังของตนเอง


หลังจากที่หานลี่ถูกเกราะสีทองซึ่งสร้างมาจากเทวรูปปกคลุม เห็นได้ชัดว่ากายเนื้อถูกกระตุ้นจนอยู่ในระดับที่น่าเหลือเชื่อ แม้ว่าจะไม่อาจกล่าวได้ว่าก้าวได้ดุจเหาะเหิน แต่เมื่อปลายเท้าขยับก็ลอยขึ้นจากบันไดหินชั้นหนึ่งได้อย่างง่ายดาย


แม้ว่าสือคุนที่อยู่ด้านหลังจะร้อนใจ แต่ก็ทำได้เพียงมองเงาแผ่นหลังของหานลี่ค่อยๆ ไกลลับออกไป ดึงระยะห่างออกไปเรื่อยๆ


หลังจากที่หยุดชะงักไปชั่วครู่ ร่างของหานลี่ก็อยู่ห่างกับสือคุนไปสี่ห้าร้อยขั้น สือคุนกลับไม่อาจระดับระดับเดิมได้ ฝีเท้าจำต้องเชื่องช้าลงอีกครั้ง


แต่ครั้งนี้สือคุนไม่แค่มีเหงื่อโชกบนใบหน้า บนเรือนร่างยังมีไอหมอกสีขาวทะลักออกมา ราวกับว่าร่างทั้งร่างกลายเป็นเตาหลอมอย่างไรอย่างนั้น ดูแล้วน่าตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง


ทว่าไม่ใช่แค่สือคุนที่ฝีเท้าเชื่องช้าลง หานลี่ที่อยู่ตรงหน้าก็ขมวดคิ้ว ในที่สุดก็รับแรงดูดมหาศาลไม่ไหว สองเท้าพลันเชื่องช้าลง


หานลี่ในยามนี้อยู่ห่างจากยอดเขาไปแค่สองสามร้อยขั้นเท่านั้น แต่เขากลับพบความยุ่งยากขึ้นแล้ว ทุกขั้นของบันไดหินด้านล่างล้วนเพิ่มแรงดูดมากกว่าแต่ก่อนมาก


แม้ว่าจะมีกายเนื้อที่แข็งแกร่งในระดับที่น่ากลัวมากกว่าระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ คาดไม่ถึงว่าจะกินแรงแล้ว


หลังจากที่ก้าวขึ้นไปได้ร้อยกว่าขั้น ร่างกายก็หยุดชะงัก ฝีเท้าเริ่มเชื่องช้าลงอย่างหาที่เปรียบ แทบจะก้าวไปก้าวหนึ่ง ก็ต้องพักให้ร่างกายกลับมามั่นคง ถึงจะก้าวต่อไปได้


และในยามนี้สือคุนและหลิวสุ่ยเอ๋อร์ที่อยู่ด้านหลังก็หยุดอยู่ที่เดิมไปตั้งนานแล้ว ทำได้เพียงมองหานลี่เข้าใกล้ยอดเขาไปทีละก้าวๆ


ในที่สุดเมื่อหานลี่เดินมาถึงสิบขั้นสุดท้าย แรงดูดที่เกิดขึ้นบนพื้นดิน ก็ทำให้หานลี่เริ่มอกสั่นขวัญแขวน เกราะสีทองที่ปกคลุมอยู่เริ่มสั่นเทาไม่หยุด ท่าทางเหมือนจะสลายหายไปได้ตลอดเวลา


ภายใต้ความจนปัญญาของหานลี่ ก็ทำได้เพียงจำใจต้องหยุดลงในขณะที่อยู่ห่างจากยอดเขาไปแค่คืบ

 

 

 


ตอนที่ 1699 อิทธิฤทธิ์ใหม่

 

เขารอจนแรงดูดใต้ฝ่าเท้าอ่อนแรงลงระดับหนึ่ง จากนั้นถึงได้สาวเท้าออกไปอีกครั้ง แล้วหยุดลงชั่วครู่…


เช่นนั้นบันไดสิบขั้นสุดท้ายนั้นหานลี่นั้นใช้เวลาไปครึ่งเค่อ  ในที่สุดก็มาถึง


ในชั่วพริบตาที่สองเท้าเหยียบบนยอดเขา หานลี่ก็รู้สึกเพียงว่าแรงดูดใต้ฝ่าเท้าไม่อยู่อีกต่อไป ร่างกายเปลี่ยนเป็นเบาหวิว ราวกับว่าไม่ต้องใช้ลมปราณใดๆ ก็สามารถสาวเท้ายาวๆ ต่อเนื่องกันได้


หานลี่พ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง เกราะสีทองบนร่างสลายหายไปในพริบตา


เมื่อหันหน้ามาก็มองไปยังด้านล่างภูเขาแวบหนึ่ง


เห็นเพียงสือคุนในยามนี้อยู่ห่างออกไปสองสามร้อยขั้น มองมาทางหานลี่พร้อมกับหอบหายใจ สีหน้ากลัดกลุ้ม


ส่วนหลิวสุ่ยเอ๋อร์ยังอยู่ห่างออกไปอีกสองพันขั้น จึงเห็นเพียงจุดสีดำเล็กๆ เท่านั้น


โชคดีที่ทั้งสองคนรู้ว่าแม้หานลี่จะมาถึงก่อน แต่วิหารสีม่วงกว้างใหญ่เพียงนี้ ยิ่งไปกว่านั้นผู้ใดก็ไม่รู้ว่าด้านในมีเขตอาคมร้ายกาจอันใดกันแน่ จึงไม่กลัวว่าสมบัติทั้งหมดจะถูกอีกฝ่ายหอบไป


หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา รู้ว่ากว่าทั้งสองคนจะมาถึงยอดเขาก็ต้องใช้เวลาอีกนาน แล้วจึงหันกายไปโดยไม่พูดอันใด พลางมองไปทางวิหารสีม่วงเบื้องหน้า


ห่างจากเขาไปยี่สิบสามสิบจั้ง มีประตูวิหารสูงสิบจั้งเศษตั้งตระหง่านอยู่


ประตูนี้ปิดสนิท พื้นผิวของมันมีผลึกศิลาหลากสีสันยี่สิบสามก้อนสลักอยู่ ตรงขอบมีอักขระซับซ้อน เรียงกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย


หลังจากที่หานลี่พิจารณาประตูวิหารอย่างละเอียดสองสามรอบ แววตาก็เปล่งประกายฉายแววตกตะลึง


เขาถึงได้พบว่าผลึกศิลาขนาดเท่ากำปั้นยี่สิบสามสิบก้อน คาดไม่ถึงว่าจะเป็นศิลาวิญญาณระดับสุดยอดที่หายากมาก แม้กระทั่งอยู่ในระดับที่บริสุทธิ์กว่า ‘ศิลาวิญญาณระดับสุดยอด’ ในแดนวิญญาณ


หานลี่ส่งเสียง ‘จุ๊ๆ’ ออกมาเบาๆ เลื่อนสายตาไปตกอยู่บนประตูวิหารด้านข้างกำแพงวิหารสีม่วง


กำแพงนี้ไม่รู้ว่าสร้างมาจากวัตถุดิบใด ทว่าสูงห้าหกจั้ง แต่ตัวกลับเปล่งลำแสงสีม่วงออกมา ผิวของมันยังมีอักขระสีเงินจำนวนน้อยใหญ่สลักอยู่


หานลี่หยักมุมปากขึ้น มองปราดเดียวก็มองอักขระที่เขาคุ้นเคยเหล่านั้นออกว่าคือ ‘อักษรลูกอ๊อดสีเงิน’


“ที่นี่สร้างขึ้นเพื่อเซียนในแดนเซียน!” ใบหน้าของหานลี่ดูเหมือนจะราบเรียบ แต่ในใจพลันคุกรุ่น สายตาที่มองไปยังวิหารค่อยๆ ร้อนแรงขึ้น


แม้ว่าเขาจะมีสมบัติอยู่หลายชนิด และยิ่งไปกว่านั้นตั้งแต่ที่ก้าวเข้ามาสู่หนทางแห่งการบำเพ็ญเพียรก็พบความบังเอิญไม่หยุด แต่เมื่อคิดว่าวิหารแห่งนี้อาจจะมีสมบัติของเซียน ก็รู้สึกตื่นเต้นจนแทบไม่เป็นตัวเอง


มิน่าล่ะไฉ่หลิวอิงและต้วนเทียนจึงมั่นใจว่าที่นี่จะต้องมียาลูกกลอนที่จะช่วยให้พวกเขาทะลวงระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ได้


จากอิทธิฤทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ของเซียน การปรุงยาลูกกลอนที่มีประโยชน์ต่อผู้ที่อยู่ในระดับต่ำลงมา ก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายแล้ว


ทว่าถึงอย่างไรเสียหานลี่ก็ไม่ใช่คนธรรมดา หลังจากตั้งสมาธิแล้ว ร่างทั้งร่างก็เงียบขรึมขึ้นอีกครั้ง แล้วมองไปที่กำแพงวิหารสีม่วงแวบหนึ่ง


ฉับพลันนั้นพลันยกมือข้างหนึ่งขึ้น ยื่นนิ้วออกมาชี้ไปกลางอากาศ


ชั่วขณะนั้นเสียงฟ้าผ่าพลันดังขึ้น ประจุไฟฟ้าสีทองอ่อนสายหนึ่งปรากฏขึ้น หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบ ก็โจมตีไปเหนือกำแพงวิหาร


ฉากที่แปลกประหลาดพลันปรากฏขึ้น!


เมื่อประจุไฟฟ้าสีทองพุ่งออกไปถึงกำแพงวิหารสีม่วง ฉับพลันนั้นเสียงไพเราะราวกับเสียงสวรรค์ก็ดังขึ้น จากนั้นลำแสงสีม่วงพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ประจุไฟฟ้าสีทองหายวับไปราวกับโคลนที่จมลงสู่มหาสมุทร


หานลี่พลันขมวดคิ้ว


แม้ว่าจะใช้เนตรวิญญาณวารีกระจ่างในพริบตา เขาก็ดูความมหัศจรรย์ของลำแสงสีม่วงนั้นไม่ออกเลยสักนิด


ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง หานลี่ล้มเลิกความคิดที่จะอ้อมกำแพงนี้ไป เลื่อนสายตาไปอยู่บนประตูวิหารอีกครั้ง


เทียบกับเขตอาคมลึกลับบนกำแพงวิหารด้านข้างแล้ว แน่นอนว่าไปทางประตูหลักจะมั่นคงกว่า


ทว่าแม้ว่าเขาจะมองความผิดปกติบนประตูวิหารไม่ออก แต่ก็ไม่มีทางบุกเข้าไปเปิดประตูนี้ด้วยตัวเองแน่


หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อย มือหนึ่งก็ตบไปบนกำไลบนข้อมือ ชั่วขณะนั้นลำแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งก็บินออกมา แต่ทันใดนั้นก็ร่อนลงมาบนพื้นอย่างแรง


กลับเป็นหุ่นเชิดวานรยักษ์สูงสองจั้งตัวหนึ่ง แขนขาทั้งสี่หมอบอยู่กับพื้นดิน ดูเหมือนว่าจะถูกพลังจำกัดการเหาะเหินกดลงมาไม่น้อย


หานลี่เห็นเหตุการณ์เช่นนั้นก็เลิกคิ้วขึ้น มือหนึ่งร่ายอาคมชี้ส่งๆ ไปทางหุ่นเชิด


ครู่ต่อมาร่างของหุ่นเชิดวานรยักษ์พลันเปล่งเสียง “กึกๆ” ออกมา แล้วปีนขึ้นมาอย่างช้าๆ หันกายมาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก พลางเดินไปที่ประตูวิหารที่อยู่ไกลออกไป


หานลี่เองก็ยืนนิ่งรออยู่ที่เดิม แต่สองตาอดที่จะหรี่ลงเล็กน้อยไม่ได้ จ้องเขม็งดูการเคลื่อนไหวของหุ่นเชิดวานรยักษ์ด้วยดวงตาที่ไม่กะพริบ


ผลคือเมื่อวานรยักษ์เดินไปถึงหน้าประตูวิหาร ก็ยกมือสองข้างขึ้นผลักประตูใหญ่สองฝั่งเข้าไปอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด


หลังจากที่ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบบนร่างของหุ่นเชิด ประตูวิหารก็ค่อยๆ เคลื่อนไหวถูกผลักออก


หานลี่มีสีหน้าประหลาดใจราวกับว่าทั้งตกตะลึงระคนดีใจและไม่อยากจะเชื่อ


คาดไม่ถึงว่าประตูใหญ่บานนี้จะถูกเปิดได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ มันจะง่ายดายเกินไปหน่อยกระมัง


เขาขบคิดเช่นนี้แล้วฝืนระงับความสงสัยใคร่รู้ในใจไป พลางกวาดสายตามองเข้าไปด้านในประตูวิหารอย่างรีบร้อน


เห็นเพียงด้านหลังประตูวิหารเป็นจัตุรัสที่สร้างขึ้นจากอิฐสีเขียว รอบข้างล้วนมีหยกสีขาวโปร่งใสล้อมรอบอยู่


ปลายอีกด้านของจัตุรัสเป็นวิหารหลักสูงใหญ่สีทองอมม่วง


มองจากไกลๆ รอบด้านของวิหารหลังนี้ยังมีวิหารข้างขนาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากันอีกสามหลัง ล้อมรอบวิหารหลักเป็นคำว่า ผิ่น (品)


นอกจากนี้ด้านหลังวิหารหลักยังมีหอคอยเตี้ยๆ อยู่อีกหอหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะกินพื้นที่กว้างขวางมาก


หลังจากที่เขาลังเลเล็กน้อยก็กระตุ้นหุ่นเชิด


วานรยักษ์ขยับกาย สาวเท้ายาวๆ เดินเข้าไปในประตูวิหาร


หานลี่ยกเท้าขึ้น แล้วค่อยๆ เดินตามไปอย่างช้าๆ


หลังจากผ่านไปชั่วครู่เขาก็อยู่อีกด้านของประตูวิหาร ในที่สุดก็เข้าข้างในและไปถึงมุมหนึ่งของจัตุรัส


จัตุรัสนี้ไม่นับว่าเล็กมีขนาดถึงห้าหกร้อยจั้ง


หุ่นเชิดวานรยักษ์ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเขาเดินตรงไปยังใจกลางของจัตุรัส หมายจะทะลุผ่านจัตุรัสตรงไปยังวิหารหลัก


หานลี่เดินตามหลังไป แต่ตั้งแต่ต้นจนจบก็ยังรักษาระยะห่างจากหุ่นเชิดอยู่ยี่สิบจั้งเพื่อไม่ให้เกิดสิ่งที่คาดไม่ถึงขึ้น


แต่หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หานลี่พลันมีสีหน้าเคร่งขรึม พบอันใดที่ผิดปกติ


เห็นอยู่ชัดๆ ว่าจัตุรัสนี้มีความกว้างไม่ถึงสองสามร้อยจั้ง หุ่นเชิดวานรยักษ์และเขาเดินมานานแล้ว ก็ยังไม่ถึงใจกลางของจัตุรัสสักที


“เขตอาคมลวงตา!” หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลงฉับพลันนั้นก็ให้หุ่นเชิดที่อยู่ด้านหน้าหยุดฝีเท้า จากนั้นก็หันหน้าไปมองด้านหลังแวบหนึ่ง


เห็นเพียงเขาที่น่าจะเดินออกไปไกลสามสี่ร้อยจั้งแล้ว ด้านหลังห่างออกไปสิบกว่าจั้งยังเป็นหยกสีขาวโปร่งใสล้อมรอบอยู่ ราวกับว่าเขาไม่ได้ออกห่างจากมุมของจัตุรัสเลยตั้งแต่แรก


หานลี่รู้สึกตกตะลึง ทันใดนั้นแววตาพลันฉายแสงสีฟ้าวาววาบอย่างไม่ลังเลอีก เริ่มกวาดมองทั่วทั้งจัตุรัส


แต่ทุกแห่งที่เนตรวิญญาณกวาดผ่านไปกลับว่างเปล่า คาดไม่ถึงว่าจะมองไม่เห็นเลยสักนิด


หานลี่พลันหน้าเปลี่ยนสีรู้สึกตกตะลึง


จากอิทธิฤทธิ์ของเนตรวิญญาณคาดไม่ถึงว่าจะไม่อาจมองทะลุผ่านเขตอาคมลวงตาเล็กๆ นี้ได้ นี่แทบจะเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนสำหรับเขา


ทว่าเมื่อคิดว่าผู้ที่วางเขตอาคมนี้อาจจะเป็นเซียนจากแดนเซียน ดูเหมือนว่าเขตอาคมลวงตาจะลึกลับเช่นนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าตกตะลึงอันใด


แต่แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นหานลี่กลับไม่ได้คิดจะล้มเลิกความตั้งใจ


หลังจากที่เขาพ่นลมหายใจออกมายาวๆ เฮือกหนึ่ง พลังปราณทั่วเรือนร่างก็พองขึ้น จากนั้นก็ไล่ไปตามชีพจรตรงไปยันหว่างคิ้ว


แทบจะในเวลาเดียวกันนั้นหว่างคิ้วของเขาพลันมีไอสีดำรวมตัวกันขึ้น จากนั้นพลันเปล่งแสงสว่างวาบเนตรสีดำแวววาวปรากฏขึ้นท่ามกลางไอสีดำ


นั่นก็คือเนตรทำลายล้างที่หานลี่บ่มเพาะมาสองสามร้อยปี


เนตรวิญญาณนี้ถูกบ่มเพาะอยู่ในร่างของหานลี่มาตั้งแต่แดนมนุษย์ ยามนี้ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ก็มีอิทธิฤทธิ์ลึกลับเป็นธรรมดา


แม้ว่าเนตรนี้จะมีอิทธิฤทธิ์ด้านห้วงเวลาเป็นหลัก แต่ก็มีอิทธิฤทธิ์ด้านกำจัดเคล็ดวิชาลวงตาและเคล็ดวิชาหลงใหลเคลิบเคลิ้ม แต่แค่ประสิทธิภาพไม่บริสุทธิ์เท่าเนตรวิญญาณเท่านั้น


ยามที่หานลี่มาถึงแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนีแล้วทำการกักตนฝึกบำเพ็ญเพียรครั้งแรกนั้น ก็บังเอิญผสมเนตรทำลายล้างและเนตรวิญญาณวารีกระจ่างเข้าด้วยกันครั้งหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าเมื่อผสมรวมกันแล้วจะได้อิทธิฤทธิ์ใหม่ อานุภาพเหนือกว่าเนตรวิญญาณสองชนิด


แต่แค่อิทธิฤทธิ์นี้ร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง แต่ทุกครั้งที่สำแดงออกมาก็จะสูญเสียพลังปราณไปไม่ธรรมดา


ดังนั้นตั้งแต่ที่หานลี่รู้จักกับอิทธิฤทธิ์นี้ก็เพิ่งเอามาลองใช้จริงเป็นครั้งแรก


แต่เมื่อนึกถึงสถานการณ์ที่ทดลองใช้อิทธิฤทธิ์นี้เป็นครั้งแรก เขาก็มั่นใจว่าจะมองทะลุผ่านเขตอาคมลวงตาตรงหน้าได้


ทันใดนั้นก็เห็นเขาบริกรรมคาถา ลำแสงสีฟ้าในตาค่อยๆ เจิดจ้าขึ้น ส่วนลูกตาเนตรทำลายล้างสีดำก็เคลื่อนไหว ลำแสงสีดำหมุนโคจรไปมา ราวกับว่ามีผลึกสีดำสนิทฝังอยู่บนหน้าผากของเขา เผยท่าทีลึกลับเป็นอย่างยิ่งออกมา


ฉับพลันนั้นลำแสงสีฟ้าสองสายและเสาลำแสงสีดำสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากเนตรวิญญาณที่สามในเวลาเดียวกัน เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป รวมตัวกันอยู่ด้านหน้าหานลี่ จากนั้นลำแสงวิญญาณพลันเปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะรวมตัวกันกลายเป็นดวงแสงสีดำฟ้า


ด้านนอกเป็นสีฟ้าด้านในเป็นสีดำ เปล่งแสงแวววาว ขนาดเท่ากำปั้น ราวกับลูกตายักษ์ลูกหนึ่ง


“ทำลาย”


หานลี่กับสะบัดแขนเสื้อไปทางดวงแสงอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด


หมอกลำแสงสีเขียวพุ่งออกมาจากแขนเสื้อ เปล่งแสงสว่างวาบแล้วกระโจนไปหาดวงแสง ทันใดนั้นก็จมหายไปอย่างไร้ร่องรอย


ผิวของดวงแสงเปล่งแสงสว่างวาบ อักขระสีดำและฟ้าสองสีขนาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากันปรากฏขึ้น และยิ่งไปกว่านั้นยังหมุนวนอย่างรวดเร็ว


ชั่วพริบตานั้นดวงแสงพลันเปล่งแสงเจิดจ้า เส้นไหมลำแสงสีดำและฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากด้านบนแล้วพุ่งไปทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้าน


เส้นไหมลำแสงเหล่านี้ดูบางเบาดุจรวงข้าว แต่เมื่อพุ่งออกมากลับรวดเร็วอย่างหาที่เปรียบ แทบจะกะพริบวาบ ก็พุ่งไปจุดต่างๆ  ของจัตุรัส คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นตาข่ายยักษ์สีดำและฟ้าห่อหุ้มทั้งจัตุรัสเอาไว้


ครู่ต่อมาเสียงทุ้มต่ำก็ดังออกมาจากจุดต่างๆ ของจัตุรัสอย่างต่อเนื่อง ตาข่ายเส้นไหมร่อนลงมา ลำแสงหลากสีสันทยอยกันระเบิดออก


ฉับพลันนั้นระลอกคลื่นประหลาดๆ ก็พวยพุ่งขึ้นบนท้องฟ้า ตาข่ายเส้นไหมบิดเบี้ยวเปลี่ยนรูปอยู่กลางอากาศ จากนั้นทัศนียภาพตรงใจกลางของจัตุรัสก็เลือนราง ประตูลำแสงบานใหญ่สีขาวโพลนพลันปรากฏขึ้น

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)