พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1697-1702
บทที่ 1697 ใครขวางข้า ตาย!
อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ หนิวโหย่วเต๋อคนเดียวสามารถโยงให้ทุกคนสิ้นเปลืองกำลังความคิดเยอะเกินไปจริงๆ ยิ่งคิดไม่ถึงว่าจะก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้ได้ ถ้าแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ได้ อย่าว่าแต่เขาเลย แม้แต่โค่วหลิงซวีก็โล่งอกเช่นกัน ต่อให้เป็นโค่วเจิงก็ตาม ถ้าลองคิดย้อนไปแล้วก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นเช่นกัน
ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างนี้ โค่วเจิงเข้าใจแล้ว ทุกคนกำลังจนใจ เขากล่าวอย่างกลุ้มใจว่า “ถ้ารู้ตั้งแต่แรก…” คำพูดช่วงท้ายไม่ได้เอ่ยออกมา เขาจะบอกว่าตอนแรกไม่น่าแย่งไปประสมโรงเลย ตอนนี้แม้แต่ลูกชายตัวเองก็ติดกับดักไปด้วยแล้ว
ถังเฮ่อเหนียนยิ้มอย่างขื่นขม มีลูกชายเพียงคนเดียว ตอนนี้หายไปแล้ว ไม่ว่าใครก็รู้สึกทุกข์ใจทั้งนั้น เรื่องนี้ปลอบใจไม่ได้ง่ายๆ เลย
สุดท้ายโค่วหลิงซวีที่เงียบมาตลอดก็เอ่ยว่า “เหวินไป๋เสียสละชีวิตเพื่อตระกูลโค่ว ให้ฉูฉู่คลอดใหม่อีกสักคนเถอะ ข้าอนุญาตให้พวกเจ้าสองคนคลอดใหม่อีกสองคนเป็นกรณีพิเศษ”
โค่วเจิงก้มหน้าอย่างหดหู่ “ข้าไม่รู้จะอธิบายเรื่องนี้กับฉูฉู่ยังไง”
ในตำหนักเงียบงัน จินตนาการออกเลยว่าหลังจากสุยฉูฉู่รู้ข่าวแล้วจะเศร้าใจขนาดไหน แม้แต่โค่วหลิงซวีเองยังปวดใจ ถึงอย่างไรนางก็เป็นสะใภ้ใหญ่ของตระกูลโค่ว
“เฒ่าถัง!” โค่วหลิงซวีสูดหายใจลึก “เจ้าหาโอกาสเหมาะๆ คุยกับพ่อแม่ของฉูฉู่สักหน่อย บอกพวกเขาว่าข้าบอกว่า ในอนาคตฉูฉู่จะได้เป็นนายหญิงของตระกูลโค่ว การเสียสละบางอย่างนั้นเราจำเป็นต้องเผชิญหน้า ต้องรู้จักปล่อยวาง ให้พวกเขาเกลี้ยกล่อมลูกสาวตัวเองให้ดี” คำพูดบางอย่างฝั่งนี้ไม่สะดวกจะพูด ให้ครอบครัวของสุยฉูฉู่โน้มน้าวเองจะดีกว่า
เมื่อกล่าวคำนี้ แม้แต่โค่วเจิงเองก็ยังประทับใจ ถ้าสุยฉูฉู่จะได้เป็นนายหญิงของตระกูลโค่ว เช่นนั้นในอนาคตก็หมายความว่าเขาจะได้เป็นหัวหน้าตระกูลของตระกูลโค่ว ท่านพ่อเท่ากับสัญญาต่อหน้าเขาแล้ว ขอเพียงไม่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น ท่านพ่อก็จะไม่กลืนคำพูดตัวเอง
ถังเฮ่อเหนียนย่อมรู้ว่าคำพูดนี้หมายความว่าอะไร เขาชำเลืองมองปฏิกิริยาของโค่วเจิงแวบหนึ่ง แล้วโค้งตัวเล็กน้อย “ขอรับ!”
ในขณะนี้เอง จู่ๆ ด้านนอกก็มีเงาคนคนหนึ่งแฉลบเข้ามา แล้วรายงานเสียงดัง “ท่านอ๋อง ทูตตรวจการขวาเกาก้วนไม่สนใจกำลังพลที่คอยกันอยู่ข้างนอก ถือคำสั่งมังกรนำคนบุกเข้ามาแล้ว”
“คงจะมาเพราะสายลับคนนั้นของหน่วยตรวจการขวา” ถังเฮ่อเหนียนกล่าวเสริมทันที
“อ้อ!” โค่วหลิงซวีเอียงหน้ามองไปนอกตำหนัก แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะ “เกาก้วนมาด้วยตัวเองแล้ว สงสัยจะไม่ได้มาดี ไปเถอะ ข้าจะไปพบเขาด้วยตัวเองสักหน่อย”
ผู้พิพากษาหน้านิ่งมาหาถึงที่ เขาไม่ออกหน้าไปพบด้วยตัวเองไม่ได้หรอก คนอื่นๆ ของตระกูลโค่วยืดอกไม่ได้เมื่ออยู่ต่อหน้าอินทรีและสุนัขของราชันสวรรค์
คนที่อยู่นอกตำหนักรีบหลีกทางไปอยู่ด้านข้าง โค่วหลิงซวีที่ก้าวออกจากตำหนักใหญ่มีอำนาจบารมีในตัวเอง เยื้องย่างดุจพยัคฆ์มังกร โค่วเจิงกับถังเฮ่อเหนียนเดินตามอยู่ทางซ้ายและขวา
เงาคนกลุ่มหนึ่งเหาะลงมาจากฟ้า เหยียบลงนอกประตูใหญ่ของจวนอ๋องสวรรค์โค่วที่ใหญ่โตโอ่อ่า
ผู้ที่นำหน้ามาก็คือเกาก้วน สวมหมวกทรงสูงสีดำ ผ้าคลุมบ่าสีดำที่แนบติดหลังปลิวตามลมอย่างช้าๆ ใบหน้าแข็งทื่อดุจแม่พิมพ์ทั้งยังไร้อารมณ์เงยขึ้นช้าๆ เหลือบมองป้ายที่แขวนอยู่บนวงกบของประตูหลัก จากนั้นโบกมือสะบัดผ้าคลุมที่เกะกะมือ แล้วเดินก้าวยาวขึ้นบันไดไป
กำลังพลสองกลุ่มตามอยู่ข้างหลัง มีหนึ่งรอยคนเต็มๆ พวกเขาสวมหมวกสีดำปักลายเมฆทอง ชุดคลุมสีดำขอบทอง ตรงเอวคาดเข็มขัดหยก
คนกลุ่มหนึ่งพุ่งออกจากใต้วงกบประตูที่สูงใหญ่ มาขวางอยู่หน้าประตู มีสองคนเดินนำออกมาเคียงกัน ทั้งคู่ยกมือสองข้าง ตะคอกกล่าวพร้อมกัน “ผู้ที่มาหยุดก่อน!”
เกาก้วนที่เดินขึ้นบันไดมาไม่หลีกทาง ยังเดินไปข้างหน้าต่อด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ผู้ติดตามข้างหลังเกาก้วนกวาดสายตาเย็นเยียบมองประตู ไม่เห็นนายท่านของตระกูลโค่วออกมาตรงรับ เขาไม่เชื่อหรอกว่าทูตขวาเกานำคนบุกเข้ามาแล้วคนตระกูลโค่วจะไม่รู้สถานการณ์ อาศัยฐานะของทูตขวาเกา ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจะมีบุคคลระดับสูงของตระกูลโค่วสักคนออกมาต้อนรับ ตอนนี้กลับไม่เห็นเลยสักคน เห็นได้ชัดว่าจงใจจะไม่ไว้หน้าทูตขวาเกา
เมื่อเห็นเกาก้วนเดินเข้ามาตรงๆ โดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุด สองคนตรงประตูก็ตะคอกอีกครั้ง “ผู้ที่มาโปรดหยุเ จะไปรายงานก่อน…”
เกาก้วนเดินก้าวยาวไม่หยุด ไม่แม้แต่จะเหลียวหลัง แต่กลับยื่นมือไปคว้ากระบี่จากเอวลูกน้องข้างหลัง “ชวิ้ง…” กระบี่วิเศษออกจากฝัก งอศอกกวาดกระบี่ในแนวขวาง แสงสะท้อนคมกระบี่วับวาบ มีเลือดกระเด็นสองวง
สองคนที่เข้ามาขวางยังพูดไม่ทันขาดคำ เสียงชักกระบี่ยาวออกจากฝักก็ดังก้อง ศีรษะสองใบกระเด็นขึ้นมาแล้ว
“ชวิ้ง…” เกาก้วนงอแขนเก็บกระบี่กลับมา แสงกระบี่แวบไปด้านหลัง กระบี่ยาวเสียบกลับเข้าฝักกระบี่ตรงเอวของลูกน้องข้างหลังแล้ว
สองคนที่ศีรษะกับลำตัวอยู่คนละที่ยังไม่ทันล้มลง เลือดร้อนจากคอพุ่งขึ้นฟ้า กระบี่นี้รวดเร็วเกินไปจริงๆ เร็วจนทั้งสองทำอะไรไม่ถูก ไม่ว่าใครก็นึกไม่ถึงว่าเกาก้วนจะกล้าลงมือฆ่าคนในจวนอ๋องสวรรค์โค่วโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
ผู้ติดตามข้างหลังเกาก้วนรีบแย่งก้าวมาข้างหน้า ควงมือขวางเลือดสดที่กระเด็นออกมา จะได้ไม่เลอะบนตัวเกาก้วน ขณะเดียวกันก็ผลักศพสองร่างที่ยังไม่ทันล้มลงจนกระเด็นออกไปทางซ้ายและขวา จะได้ไม่ขวางทาง
กระบี่ยาวออกจากฝักและกลับเข้าฝัก ราวกับเมฆเหินน้ำไหล รวดเร็วราบรื่นจนทำให้คนต้องยกนิ้ว จะเห็นได้ว่ายามทูตขวาเกาจะลงมือกับคนของตระกูลโค่วขึ้นมา ก็ไม่เคยลังเลเลยสักนิด ไม่เห็นจวนอ๋องสวรรค์โค่วอยู่ในสายตาเลย คนอื่นๆ ที่เฝ้าประตูอกสั่นขวัญแขวน ถ้าไม่ได้รับคำสั่ง ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าลงมือกับทูตขวาเกาท่านนี้ เช่นเดียวกัน เมื่อไม่ได้รับคำสั่งก็ไม่มีใครกล้าหลีกทาง คนกลุ่มหนึ่งยังขวางอยู่ตรงหน้าเกาก้วนเหมือนเดิม แต่กลับรีบถอยหลังถามจังหวะที่เกาก้วนก้าวเข้ามา ทั้งหมดเผยอาวุธแล้วเช่นกัน
มีบางคนรีบหันตัวกลับเข้าไปรายงานในจวน ผ่านไปไม่นาน ทหารสวมเกราะทุกที่ในจวนอ๋องสวรรค์โค่วก็เหาะมารวมตัวกัน ความเคลื่อนไหวนี้สะเทือนทั้งจวนอ๋องสวรรค์โค่วทันที ทุกคนแทบจะวิ่งออกมาดูความเคลื่อนไหว อยากจะทำความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ตรงหน้าประตูพระจันทร์ มีสมาชิกในครอบครัวที่เป็นผู้หญิงของตระกูลโค่วมารวมตัวกันเร็วมาก ทั้งหมดกำลังจ้องเกาก้วนที่นำกลุ่มบุกผ่านลานกว้างของตำหนักหน้า ส่วนกำลังพลจวนอ๋องสวรรค์โค่วที่ขวางหน้าเกาก้วนกลับถูกกดดันจนถอยหลังมาตลอดทาง เรียกได้ว่าทำให้พวกผู้หญิงอกสั่นขวัญแขวน
ทุกคนของจวนอ๋องสวรรค์โค่วพลันย้ายมาทางนี้ ตอนได้ยินข่าวว่ากำลังพลในใต้หล้าเคลื่อนไหว ก็ได้ยินข่าวลือแว่วมาแล้ว เหมือนจะบอกว่าท่านอ๋องกำลังจะก่อกบฏ!
และในตอนนี้เห็นเกาก้วนนำคนจำนวนมากมาด้วยตัวเอง ทั้งยังเกิดฉากแบบนี้ขึ้น ถึงขนาดใช้อาวุธกับเกาก้วนแล้ว ก็ยิ่งทำให้ผู้หญิงกลุ่มนี้ตกใจ บางคนอดไม่ได้ที่จะสงสัย เพราะเกาก้วนเป็นขุนนางคนสนิทของราชันสวรรค์ อย่าบอกนะว่าเกาก้วนได้รับคำสั่งให้มาจัดการท่านอ๋อง?
พวกผู้หญิงที่ยามปกติใช้ชีวิตหรูหราไร้กังวล จู่ๆ ก็ได้เห็นฉากของจริงแบบนี้ บางคนตกใจแทบแย่แล้ว ตอนนี้เพิ่งจะตระหนักได้ ว่าถ้าท่านอ๋องถูกเกาก้วนจัดการขึ้นมา แล้วในอนาคตทุกคนจะทำอย่างไรล่ะ? ถ้าไม่มีท่านอ๋องคอยบัญชาการกำลังพลทัพเหนือเป็นที่พึ่ง แล้วใครจะเห็นพวกนางอยู่ในสายตา จุดจบของผู้หญิงในตระกูลที่ก่อกบฏก็ยิ่งน่าเวทนา ต่อให้ไม่ตายแต่ก็ไม่ได้มีจุดจบดีไปกว่าผู้หญิงในหอนางโลมสักเท่าไร ไม่ว่าใครก็อยากจะลิ้มรสชาติหงส์ตกอับทั้งนั้น
ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผู้หญิงบางคนในจำนวนนี้ยังบ่นอย่างคับแค้นที่ท่านอ๋องนำลูกหลานผู้หญิงในจวนอ๋องสวรรค์โค่วไปแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ ตอนนี้ถึงได้พบว่า ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการทำให้ตระกูลโค่วไม่ล้ม
“นี่มันเรื่องอะไรกัน?” อนุภรรยาบางคนที่ขี้ขลาดอดไม่ได้ที่จะถ่ายทอดเสียงถามคนข้างๆ
อวิ๋นจือชิวที่ออกมาถึงทีหลังก็ปรากฏตัวอยู่ท่ามกลางผู้หญิงพวกนี้เช่นกัน นางเดินมาข้างกายสุยฉูฉู่ หร่วนจิ้งและซูฮวนเหนียง แล้วถามอย่างตกใจ “พี่สะใภ้ทั้งสาม เกิดอะไรขึ้นคะ?”
“ไม่รู้สิ” ผู้หญิงทั้งสามที่มีสีหน้ากังวลล้วนส่ายหน้า
ชูเจี้ยน สามีของโค่วเชี่ยน เป็นหัวหน้ากลุ่มอารักขาของจวนอ๋องสวรรค์โค่วเช่นกัน ในเวลานี้สวมเกราะรบสีแดงทั้งตัว ในมือถือทวนยาวเฉียงลากพื้น เดินก้าวยาวเข้าไปรับเกาก้วนด้วยสีหน้าดุร้าย ข้างหลังเขามีทหารสวมเกราะติดตามหลายร้อย ในมือถืออาวุธตามไปข้างหน้า
ชั่วขณะนั้นเสียงเกราะรบเคลื่อนไหวก็ดังไปทั้งลานกว้าง บรรยากาศอึดอัดจนแม้แต่อากาศก็ไม่กล้าเคลื่อนไหว
ฉากนี้ทำให้ผู้หญิงไม่น้อยตกใจจนหน้าซีด พวกนางตกใจจนหยุดหายใจ โดยเฉพาะโค่วเชี่ยนที่อยู่ในตระกูลโค่วเป็นเวลานานโดยไม่แยกบ้าน เมื่อเห็นสามีตนเองนำกลุ่มคนบุกอยู่ข้างหน้า นางก็อดไม่ได้ที่จะกัดริมฝีปากแน่น นางรู้ดีว่าเกาก้วนเป็นคนอย่างไร ขุนนางคนสนิทของราชันสวรรค์ที่คุมหน่วยตรวจการขวาได้ ศักยภาพต้องไม่ด้อยแน่นอน เมื่อสู้กับคนแบบนี้สามีตนอาจจะไม่ชนะ แต่นางกลับไม่อาจห้ามสามีไม่ให้เสี่ยงอันตรายได้ เพราะนางเข้าใจแจ่มแจ้ง ว่าบทบาทของชูเจี้ยนก็มีตายเพื่อปกป้องตระกูลโค่ว ตั้งแต่วันที่แต่งงานกับนาง สามีของนางก็หนีไม่พ้นภารกิจนี้แล้ว นี่ก็คือสาเหตุที่บิดาให้ชูเจี้ยนเป็นหัวหน้ากลุ่มอารักขา
อีกด้านหนึ่ง โค่วฉินกับโค่วเหมี่ยนถามจนรู้ชัดแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งสองเหาะจากฟ้าลงมาเหยียบระหว่างกำลังพลสองกลุ่มที่เข้าใกล้กัน บนใบหน้าทั้งคู่ฉายแววเดือดดาล
ยามเผชิญหน้ากับเกาก้วนที่ประชิดเข้ามา โค่วฉินโบกมือชี้พร้อมตะคอกถาม “เกาก้วน ใครมอบอำนาจให้เจ้ามาฆ่าคนของตระกูลโค่ว!”
เกาก้วนยังคงไม่หยุด มองข้ามการปรากฏตัวของทั้งสองไปเลย จ้องเพียงกำลังพลกลุ่มใหญ่ข้างหลังทั้งสองที่ประชิดเข้ามา พลางโบกมือเผยคำสั่งมังกร เสียงอันเยียบเย็นดังก้องอย่างช้าๆ “ใครขวางฆ่า ตาย!”
เกิดเสียงดังอย่างกะทันหัน ผู้ติดตามข้างหลังร้อยคนเผยอาวุธทันที ยืนจัดกระบวนทัพข้างหลังเขาอย่างรวดเร็ว ตามหลังเกาก้วนบุกไปข้างหน้าต่อ
“หยุดเดี๋ยวนี้! ถอยออกไปให้หมด!” ขณะที่ศึกใหญ่กำลังจะปะทุ เสียงอันน่าเกรงขามของโค่วหลิงซวีก็ดังก้องอยู่บนฟ้าเหนือจวนอ๋องสวรรค์โค่ว
ชูเจี้ยนถือทวนในแนวขวางทันที ชั่วพริบตาเดียวกำลังพลข้างหลังก็หยุดนิ่ง เรียกได้ว่ายามเคลื่อนไหวราวกับกระต่ายวิ่งหนี ยามนิ่งก็สงบเสงี่ยมราวกับหญิงสาวบริสุทธิ์
พอชูเจี้ยนโบกมือ กำลังพลข้างหลังก็แยกออกเป็นสองฝั่งทันที เรียงสองแถวอย่างเป็นระเบียบ
คนแถวแรกที่ขวางตรงหน้าเกาก้วนรีบหลีกทางไปด้านข้าง เผยให้เห็นโค่วฉินกับโค่วเหมี่ยนที่อยู่ข้างหลัง ทั้งสองยังคงยืนอย่างเย็นชาอยู่ตรงนั้น โค่วเหมี่ยนยกฝ่ามือบอกให้ให้ผู้ที่มาหยุดอยู่ตรงนั้น
เกาก้วนพลิกมือเผยป้ายคำสั่ง แต่กลับไม่หยุดเดิน พอโบกแขนหนึ่งที ก็ปัดแขนของโค่วเหมี่ยนที่ยื่นเข้ามาออกไปด้านข้าง จากนั้นใช้ฝ่ามืออีกข้างผลักหน้าโค่วฉินออกไป ผลักจนโค่วฉินเซถอยหลังไม่หยุด ชั่วพริบตาเดียวก็ทำให้สองพี่น้องหลีกทางได้แล้ว จากนั้นนำกำลังพลข้างหลังบุกไปข้างหน้าต่อ
ท่ามกลางสายตาฝูงชน สองพี่น้องที่เป็นลูกชายอ๋องสวรรค์ เดิมทีไม่อยากทำให้ตระกูลโค่วดูอ่อนแอ แต่ใครจะคิดว่าถูกเกาก้วนทำเสียหน้าต่อหน้าธารกำนัลแล้ว เกาก้วนโยนทั้งสองแล้วเดินผ่านไปโดยไม่ชายตาแลด้วยซ้ำ
กำลังพลหน่วยตรวจการขวาเดินไปข้างหน้าตามทางที่กำลังพลตระกูลโค่วหลีกให้ เกาก้วนอยู่ข้างหน้า หมวกดำทรงสูงที่เป็นเอกลักษณ์และผ้าคลุมบ่าสีดำที่ปลิวลมตามย่างก้าวโดดเด่นอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน
กำลังพลตระกูลโค่วที่เรียงแถวอยู่สองฝั่งตามจับตาดู
บนแท่นบันไดหน้าตำหนัก มีคนสามคนเดินลงมาอย่างไม่รีบร้อน โค่วหลิงซวีอยู่ตรงหน้าสุด ขณะที่เดินก็ใช้สายตาซักถามอันเย็นเยียบก้มมองเกาก้วนที่นำคนเดินเข้ามา
สำหรับโค่วหลิงซวี การเผชิญหน้ากับเกาก้วนในรังตัวเอง เขายังจำเป็นต้องใช้คนมากมายปกป้องด้วยเหรอ? สถานการณ์ตึงเครียกเกินไป ถ้าให้คนอื่นเห็นจะนึกว่าตนกลัวเกาก้วน ดังนั้นโค่วหลิงซวียกมือดีดนิ้ว นักรบสวมเกราะหลายร้อยหยุดฝีเท้าทันที มีเพียงชูเจี้ยนที่ถือทวนเดินอยู่ข้างๆ เพียงลำพัง เดินต่อไปข้างหน้าตามกำลังพลของหน่วยตรวจการขวา
บทที่ 1698 ดาบของเกาก้วน
เกาก้วนเองก็ยกมือเล็กน้อย กำลังพลข้างหลังที่ถือดาบและทวนวางห้อยลงแล้วเช่นกัน
หลังจากทั้งสามเดินลงบันไดได้ไม่กี่ก้าว เกาก้วนก็นำคนเดินมาถึงตรงหน้าแล้ว ทั้งสองหยุดอยู่ห่างกันประมาณหนึ่งจั้ง
ทั้งสองคนกำลังยืนคุมเชิงกัน คนหนึ่งสวมหมวกทรงสูงและผ้าคลุมบ่า อีกคนสวมชุดอ๋องสวรรค์หลอมดาวเก้าชั้นฟ้า คนหนึ่งยืนโดดเด่นลำพัง อีกคนมีลักษณะน่าเกรงขาม
ทั้งสองสบตากันเงียบๆ ครู่หนึ่ง สุดท้ายโค่วหลิงซวีก็กล่าวอย่างไม่หวาดหวั่น “จู่ๆ ทูตขวาเกาก็ให้เกียรติมาเยือนถึงที่ ไม่ทราบว่ามีธุระอะไร?”
เขานับถือในความกล้าหาญของเกาก้วนจริงๆ ในเวลาแบบนี้ยังกล้าถ่อมาถึงจุดที่มีกำลังทหารล้อมไว้มากมายอย่างที่นี่ ทั้งยังกล้าลงมือฆ่าคน ราวกับเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วจริงๆ
“ท่านอ๋องรู้อยู่แก่ใจแล้วเหตุใดจึงถาม ทัพเหนือจับคนของหน่วยตรวจการขวาเอาไว้ หน่วยตรวจการขวาแสดงเจตนาชัดเจนว่าให้ปล่อยคน แต่ทัพเหนือไม่สนใจเลย ก็ช่วยไม่ได้ ทูตขวาผู้นี้ทำได้เพียงมาด้วยตัวเอง หวังว่าท่านอ๋องจะใจกว้างไม่ถือสา ปล่อยคนของข้าไปซะ!” เกาก้วนกล่าว
โค่วหลิงซวีถามว่า “นี่ก็คือเหตุผลให้เจ้าฆ่าคนของตระกูลโค่วงั้นเหรอ? หรือคนหน่วยตรวจการขวาของเจ้าเท่านั้นที่เป็นคน แต่คนตระกูลโค่วของข้าไม่ใช่คน?”
เกาก้วนตอบว่า “คนที่ภักดีทำงานรับใช้ฝ่าบาทควรจะมีชีวิตอยู่ดีๆ มีเพียงคนเห็นแก้ประโยชน์ส่วนตน จาบจ้วงเดชานุภาพสวรรค์ สมควรตาย!”
“ข้ารับใช้ที่เฝ้าประตูบ้านขอให้ทูตขวาเกาหยุดก่อนเพื่อรอรายงาน ทำไมจึงกลายเป็นจาบจ้วงเดชานุภาพสวรรค์ไปเสียแล้ว มีคนเฝ้าประตูบ้านไหนบ้างที่ปล่อยให้คนบุกรุกได้ตามอำเภอใจ?” โค่วหลิงซวีถามกลับ
เกาก้วนตอบว่า “ตอนข้าอยู่บนฟ้าข้างนอกก็เผยป้ายคำสั่งของฝ่าบาทแล้ว จวนอ๋องสวรรค์โค่วจะไม่รู้เชียวหรือ? ยังมาขวางข้าเหมือนเดิม ถ้าไม่ใช้การจาบจ้วงเดชานุภาพสวรรค์แล้วเรียกว่าอะไร? ฝ่าบาทเคยมีคำสั่ง ข้าเป็นคือถือป้ายคำสั่ง หากมีคดีต้องสืบเมื่อใด นอกจากวังสรรค์แล้ว ไม่ว่าที่ไหนก็ไปได้ทั้งนั้น หรือท่านอ๋องรู้สึกว่าจวนอ๋องสวรรค์โค่วค่อนข้างพิเศษ จึงสามารถอยู่เหนือบัญชาสวรรค์ได้?”
โค่วหลิงซวีจึงกล่าวกลั้วหัวเราะ “คำสั่งนี้เป็นคำพูดปากเปล่าของทูตขวาเกาเอง ใครจะไปรู้ว่าจริงหรือปลอม? ถึงยังไงข้าก็ไม่เคยอยู่ในเหตุการณ์แล้วได้ยินคำสั่งนี้ของฝ่าบาท”
“ในเมื่อท่านอ๋องแกล้งเลอะเลือน เช่นนั้นก็คุยง่ายแล้ว ตอนนี้ลองติดต่อฝ่าบาทด้วยตัวเองเพื่อพิสูจน์ก็ได้” เกาก้วนกล่าวเสียงเรียบ
โค่วหลิงซวีไม่สนใจประเด็นนั้น “คนหน่วยตรวจการขวาของเจ้าถ่อมาทำลับๆ ล่อๆ ที่ทัพเหนือ จะจับตัวไม่ได้เชียวเหรอ?”
เกาก้วนตอบว่า “ท่านอ๋องระดมทัพใหญ่ เจตนาไม่แน่ชัด หน่วยตรวจการขวาตัดสินลงโทษคนในใต้หล้า มีหน้าที่ตรวจสอบหาหลักฐาน ท่านอ๋องกลับคุมตัวคนของหน่วยตรวจการขวาไว้ หรือว่ามีเรื่องอะไรที่เป็นความลับจนหน่วยตรวจการขวารู้ไม่ได้?”
“ข้าไม่ได้ทำเรื่องอะไรที่เป็นความลับ” โค่วหลิงซวีแสยะยิ้ม
“ข้าสงสัยว่าท่านอ๋องคิดจะก่อกบฏ!” เกาก้วนพูดกระแทกเสียงแข็งอย่างไม่เกรงใจ
ประโยคนี้ทำให้ถังเฮ่อเหนียนกับโค่วเจิงสีหน้าเย็นเยียบทันที โค่วหลิงซวีเลิกคิ้ว ดวงตาพยัคฆ์คมกริบเป็นประกาย “ทูตขวาเกา เจ้าจะมาพูดซี้ซั้วอย่างนี้ไม่ได้ ถ้าข้าจะก่อกบฏ เจ้ายังจะรอดมายืนพูดอยู่ตรงนี้ได้อีกเหรอ?”
เกาก้วนกล่าวว่า “ดังนั้นจึงต้องตรวจสอบ หน่วยตรวจการขวาถึงได้ส่งคนมาตรวจสอบหาหลักฐานอย่างลับๆ ถ้าท่านอ๋องไม่ใช่วัวสันหลังหวะ ทำไมต้องกักตัวสายลับของหน่วยตรวจการขวาไม่ยอมปล่อยด้วยล่ะ? ปล่อยคนมา หลังจากข้านำตัวกลับไปตรวจสอบความจริงแล้ว ก็ย่อมพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของท่านอ๋องได้ ท่านอ๋อง ท่านคิดว่ายังไง?”
“สมกับเป็นทูตขวาเกาที่ใช้วิธีทรมานสอบสวนนักโทษมายาวนาน ช่างฝีปากไหลลื่นจริงๆ” โค่วหลิงซวีกล่าว
“ฝีปากไหลลื่นจะเป็นคำชมหรือคำด่าก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยข้าก็ไม่เคยพูดจาเหลวไหล! ท่านอ๋อง ปล่อยคนเถอะ” เกาก้วนกล่าว
โค่วหลิงซวีเอียงหน้าเล็กน้อยมองถังเฮ่อเหนียน “ถามดูหน่อยว่าคนยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า”
คำพูดนี้มีความล้ำลึก ถังเฮ่อเหนียนตาเป็นประกาย รู้ว่าท่านอ๋องต้องการจะส่งคนตายให้เกาก้วน
ทว่าเกาก้วนเป็นใครล่ะ ก็เป็นอย่างที่โค่วหลิงซวีบอก เกาก้วนใช้วิธีการทรมานเพื่อสอบสวนนักโ?มานาน ตอบสนองต่อสิ่งที่เป็นเบาะแสเร็วมา ไม่รอให้ถังเฮ่อเหนียนตอบ ก็ชิงพูดสอดขึ้นมาแล้ว “ทางที่ดีส่งคนเป็นกลับมาให้ข้า ไม่อย่างนั้นเกรงว่าวันนี้จวนอ๋องสวรรค์โค่วอาจจะวุ่นวาย”
ถ้ารอให้ถังเฮ่อเหนียนตอบ คำตอบก็จะเป็นตายแล้วแน่นอน ต่อให้ยังไม่ตายแต่ก็ไม่สะดวกจะแก้ไขคำพูด มีแต่ต้องส่งมอบคนตายให้เท่านั้น
โค่วหลิงซวีจึงกล่าวว่า “คำพูดของทูตขวาเกาช่างไร้เหตุผลเสียจริง จับคนมาได้แล้วก็ย่อมต้องสอบสวน ถ้าสอบสวนแล้วไม่ระวังมือทำคนตาย ข้าก็มีไม่วิชาฟื้นชีพคนตายหรอก บุกเข้ามาในเขตสำคัญของทัพเหนือ ไม่ระวังตัวจนตายไปก็เป็นเรื่องปกติ ทูตขวาเกาบังคับใจคนอื่นไปก็ไม่มีความหมาย ถ้ามีความเห็นแย้งอะไรก็ไปแจ้งเอาผิดข้าต่อฝ่าบาทได้เลย”
“หรือว่าท่านอ๋องอยากจะก่อกบฏ?” เกาก้วนถามโดยตรง
การกล่าวเช่นนี้ต่อหน้าฝูงชนนั้นอ่อนไหวเกินไป คนที่ได้ยินพากันอกสั่นขวัญแขวน
“ทูตขวาเกา ข้อหาบางอย่างจะมากล่าวหากันซี้ซั้วไม่ได้หรอก” โค่วหลิงซวีกล่าวด้วยสีหน้าเย็นเยียบ
“ข้าเพียงถามเท่านั้นเอง ท่านอ๋องจะส่งคนเป็นให้ข้ากลับไปหรือไม่?” เกาก้วนถาม
“แล้วถ้าข้าไม่ให้ล่ะ?” โค่วหลิงซวีแสยะยิ้ม
เกาก้วนใช้แขนสองข้างเลิกผ้าคลุมบ่าข้างหลัง สองมือสะบัดขึ้นฟ้า คว้าดาบยาวสองข้างไว้ในมือแล้ว ปลายดาบชี้ขึ้นฟ้า แล้วไข้วกันตรงหน้าอก
ดาบยาวสองด้ามนี้ต่างจากดาบยาวที่เห็นกันทั่วไป ดาบยาวเกินครึ่งจั้ง ตัวดาบยาวแคบ เป็นกระบี่ยาวสองด้าม แต่ก็จัดอยู่ในประเภทดาบ ตัวดาบมีลักษณะโบราณเรียบง่าย แต่กลับเป็นสีแดง โปร่งแสง บนตัวดาบด้ามหนึ่งเต็มไปด้วยลวดลายสลักคลื่นคลั่งโหมซัดสาด ส่วนบนดาบอีกด้ามสลักลายพายุฝนฟ้าคะนอง
ตัวดาบเผยสีแดงสดภายใต้แสงอาทิตย์ สะท้อนแสงเล็กน้อย ราวกับเปล่งแสงรัศมีสีแดงได้
“ชวิ้งๆ…” คมดาบคู่ที่ประสานกันตรงหน้าอกเสียดสีกัน ส่งเสียงต่ำทว่าดังก้องชัดเจน เป็นเสียงที่เสนาะหู
เกาก้วนใช้แขนสองข้างกางดาบคู่ ดาบด้ามหนึ่งส่งเสียง “ติง” คมดาบแตะพื้นเบาๆ ดาบอีกด้ามชี้ไปด้านหน้านอย่างช้าๆ คมดาบชี้ไปตรงหว่างคิ้วของโค่วหลิงซวีแล้ว ผ้าคลุมบ่าข้างหลังสะบัดเองโดยไร้ลม ลอยกระเพื่อมขึ้นมาเบาๆ
กำลังพลหน่วยตรวจการขวาจำนวนหนึ่งร้อยข้างหลังเขาชูอาวุธขึ้นทันที ภายนอกทำสีหน้าเย็นเยียบ แต่ที่จริงทุกคนแอบตกใจ นี่ท่านทูตขวากำลังจะลงมือกับโค่วหลิงซวีเหรอ?
เกาก้วนที่แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเผยอาวุธง่ายๆ ก็เผยอาวุธแล้ว! สมาชิกตระกูลโค่วที่มองอยู่ไกลๆ แต่ละคนสีหน้าเปลี่ยน จะเดินไปถึงขั้นนั้นจริงๆ แล้วเหรอ?
พอชูเจี้ยนโบกมือ กำลังพลกลุ่มก่อนหน้านี้ก็พุ่งเข้ามาทันที มาล้อมคนกลุ่มนี้เอาไว้แล้ว ส่วนบนบันไดด้านบนก็มีกำลังพลสวมเกราะกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามาอีก แต่ละคนดึงสายธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ เล็งไปทางพวกเกาก้วนเบื้องล่าง
ขณะจ้องคมดาบเกาก้วนที่ชี้เข้ามา โค่วหลิงซวีก็หรี่ตาเล็กน้อย ดาบของเกาก้วน!
ถังเฮ่อเหนียนที่ยืนอยู่ข้างหลังโค่วหลิงซวีกำหมัดแน่นโดนจิตใต้สำนึก จ้องคมดาบของเกาก้วนไม่ละสายตา
กระบี่ของซือหม่าเวิ่นเทียน ดาบของเกาก้วน บางทีคนรุ่นหลังอาจไม่รู้ว่าสิ่งนี้หมายความว่าอะไร แต่สำหรับคนที่เคยเห็นแย่งชิงความเป็นจ้าวแห่งใต้หล้าในปีนั้นมากับตาตัวเอง กลับรู้ว่าสองคนนี้ที่ติดตามประมุขชิงน่ากลัวขนาดไหน พวกเขาถูกขนานนามว่า ‘คู่ดาบกระบี่ไร้เทียมทาน’ วิญญาณที่ตายด้วยดาบกระบี่คู่นี้มีไม่รู้ตั้งเท่าไร สร้างผลงานใหญ่กรีธาทัพออกปราบใต้หล้าเพื่อประมุขชิง
หลังจากตำหนักสวรรค์ก่อตั้งขึ้นมา เนื่องจากหน้าที่รับผิดชอบ ดาบของเกาก้วนเผยออกมาน้อยมาก ยกตัวอย่างเช่นลูกหลานตระกูลโค่วที่อยู่ในเหตุการณ์ พวกเขาเพิ่งเคยเห็นดาบของเกาก้วนเป็นครั้งแรก เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นอาวุธของเกาก้วน
ตรงจุดที่คมดาบชี้ไป เกาก้วนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาไร้หัวใจ “ก่อนที่หน่วยตรวจการขวาจะส่งสายลับคนนี้มา พวกเราเคยได้รับรายงานแล้ว บอกว่าท่านอ๋องมีเจตนาวางแผนก่อกบฏอย่างลับๆ และก่อนที่สายลับจะตกอยู่ในมือท่านอ๋อง ก็เคยส่งข่าวกลับมาที่หน่วยตรวจการขวาแล้วเช่นกัน บอกว่าค้นพบบางอย่างที่สำคัญ ให้ข้านำคนเป็นๆ กลับไป จะได้ถามได้สะดวกว่าจะค้นพบข้อมูลสำคัญอะไร ถึงตอนนั้นย่อมพิสูจน์ได้ว่าท่านอ๋องบริสุทธิ์หรือไม่ หากท่านอ๋องดึงดันจะส่งคนตายให้หน่วยตรวจการขวา เช่นนั้นข้าก็มีเหตุผลให้สงสัยว่าท่านอ๋องฆ่าคนปิดปาก! รู้จักท่านอ๋องมาหลายปี ท่านอ๋องย่อมรู้ว่าแต่ไหนแต่ไรมาเกาก้วนทำงานตามหน้าที่ เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ไร้ทางเลือก ทำได้เพียงเชิญให้ท่านอ๋องตามข้าไปช่วยให้ปากคำที่หน่วยตรวจการขวาสักเที่ยว! ดาบข้าไม่เจอเลือดมานานแล้ว หวังว่าท่านอ๋องจะไม่กดดัน!”
แม้แต่ดาบที่ไม่เคยเจอคนมานานก็เผยออกมาแล้ว ท่าทีของเขาชัดเจนมาก ไม่มีทางเหลือให้ถอยกลับ
โค่วหลิงซวีจ้องเขานานมาก ทั้งสองสบตากัน ไม่มีใครหลีกทางให้ใคร
ในขณะนี้ ทุกคนที่อยู่รอบข้างเริ่มตึงเครียดแล้ว ต่อให้เป็นคนโง่ก็มองออกว่าเกาก้วนต้องการคนเท่านั้น อย่างอื่นเป็นเพียงข้ออ้าง แต่ทูตตรวจการขวาก็โหดอย่างนี้ สามารถนำข้ออ้างมาทำให้เป็นเรื่องจริงได้ สำหรับคนส่วนใหญ่ เดิมทีผู้พิพากษาหน้านิ่งคนนี้ก็ไม่ใช่คนมีเหตุผลอะไรอยู่แล้ว เป็นหมาบ้าที่ประมุขชิงเลี้ยงไว้กัดคน!
เมื่อเจอกับคนที่สามารถดึงหนังสือมาทำธงได้ทุกเมื่ออย่างเกาก้วน ไม่ว่าใครคุยกับเขาด้วยเหตุผลก็ล้วนเสียเปรียบทั้งนั้น! สุดท้ายโค่วหลิงซวีจึงยอมถอยแล้ว กล่าวช้าๆ ว่า “ช่างยัดข้อหาเก่งจริงๆ! ดาบคู่ของทูตขวาเกาช่างสมคำร่ำลือ…เฒ่าถัง ส่งคนให้เขา!”
เกาก้วนเองก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับคำพูดเหน็บแนม ปักคมดาบกับพื้นทันที แล้วยืนรอ
ผ่านไปไม่นาน ทหารสวมเกราะสองคนก็ลากคนคนหนึ่งออกมาจากนอกจวนอ๋องสวรรค์โค่ว คนคนนี้เสื้อผ้าขาดรุ่ย ถูกทรมานจนเลือดท่วมตัว ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือเผยโม่ คนที่ลงมือฆ่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงด้วยตัวเอง ตอนนี้สองเท้าเผยกระดูกขาวจนยืนเองไม่ได้ แต่ยังมีชีวิตอยู่
เผยโม่ที่สภาพสะบักสะบอมเงยหน้ามองเกาก้วน โดยเฉพาะเมื่อเห็นดาบคู่ในมือเกาก้วน ก็พอจะเดาได้แล้วว่าเผยดาบเพื่อเขา ดาบของทูตขวาเกาคือตำนานของหน่วยตรวจการขวา เผยโม่แสดงสีหน้าซาบซึ้งใจ
เกาก้วนหันกลับมาแวบหนึ่ง แล้วเอียงหน้าเล็กน้อย มีคนสองคนเข้าไปหาเผยโม่ทันที
ซวบ! ดาบสองดาบพลิกขึ้นมา เก็บดาบแล้ว เกาก้วนกุมหมัดคารวะโค่วหลิงซวี “รบกวนมากไปหน่อย หวังว่าท่านอ๋องจะใจกว้างไม่ถือสา! ข้ามีธุระต้องจัดการ ขอกล่าวอำลาตรงนี้!”
“ขออภัยที่ไม่ได้ไปส่ง!” โค่วหลิงซวีแสยะยิ้ม “หวังว่าทูตขวาเกาจะให้คำตอบข้าได้ว่าค้นพบข้อมูลสำคัญอะไร”
“แน่นอน” เกาก้วนเอ่ยรับ จากนั้นสะบัดชายผ้าคลุม หันตัวนำกลุ่มคนเดินก้าวยาวจากไป
โค่วหลิงซวีเอามือไขว้หลังมองเงาหลังเกาก้วนจากไป มองไม่ออกว่าอยู่ในอารมณ์ไหน เขาย่อมรู้ว่าเกาก้วนไม่มีทางสืบเจอว่าเขาก่อกบฏ เพียงแต่เรื่องในวันนี้ทำให้เขาเสียหน้านิดหน่อย เพราะข้ารับใช้รวมทั้งลูกหลานของตระกูลโค่วล้วนกำลังดูอยู่ ต่างก็เห็นแล้วว่าเขาถูกเกาก้วนกดดันให้ก้มหัว
แต่เขากลัวเกาก้วนจริงๆ น่ะเหรอ? ถ้าจะลงมือขึ้นมา เขารับรองได้ว่าเกาก้วนรวมทั้งลูกน้องของเกาก้วนจะไม่ได้รอดกลับไปสักคน แต่สุดท้ายเขาก็ยังอดทนไว้
ถ้าเป็นยามปกติ เขาก็จะไม่ไว้หน้าเกาก้วนเลยจริงๆ วางอำนาจบาตรใหญ่ขนาดนี้ มาฆ่าคนของตนถึงในจวนอ๋องสวรรค์แล้ว! แต่สถานการณ์ในตอนนี้อ่อนไหวมาก ถ้าเขากำจัดเกาก้วนจริงๆ ต่อให้เขาไม่อยากโดนข้อหาก่อกบฏแต่ก็จะต้องแบกข้อหาก่อกบฏ ไม่ง่ายเลยกว่าจะทำให้เรื่องราวสงบลงได้ ถ้าจะให้เกิดคลื่นลมอีกนั้นไม่คุ้ม!
คิดไปคิดมาแม้แต่ตัวเองก็ยังรู้สึกทอดถอนใจ สี่อ๋องสวรรค์ร่วมมือกับตระกูลเซี่ยโห้วเล่นตุกติก กดดันจนประมุขชิงต้องยอมถอย เพื่อที่จะทำให้สถานการณ์โดยรวมของใต้หล้าสงบ ประมุขชิงจะไม่ถอยก็ไม่ได้ แต่ยามโค่วหลิงซวีเจอกับหมาบ้าอย่างเกาก้วน ก็ถูกเกาก้วนกดดันให้ต้องถอยอีกเช่นกัน เขาเองก็ต้องยอมถอยเพื่อรักษาผลประโยชน์ส่วนรวมของตระกูลโค่วเหมือนกันมิใช่หรือ
เขาไม่อยากไปถือสาเรื่องที่มีเข้ามาเรื่อยๆ ไม่หยุดหย่อน หันตัวเอามือไขว้หลังเดินจากไปแล้ว
บทที่ 1699 ตรวจสอบพบความจริง
ลูกหลานตระกูลโค่วที่ดูเหตุการณ์อยู่ข้างๆ กำลังมองเงาร่างสวมผ้าคลุมบ่าสีดำเดินก้าวยาวผ่านลานกว้างไป เรียกได้ว่าเกิดความรู้สึกใหม่ พบว่าไปมีเรื่องกับผู้พิพากษาหน้านิ่งท่านนี้ไม่ไหวจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะสังหารเข้ามาถึงประตูบ้านของตระกูลโค่วแล้ว แม้แต่นายท่านก็ยังต้องยอมถอยให้สามฉื่อ
แน่นอน ทุกคนก็เข้าใจได้เช่นกัน ว่าหากจะลงมือสู้กันในรังของตระกูลโค่ว นายท่านก็ไม่เหตุผลให้กลัวเกาก้วน เห็นได้ชัดว่ามีเหตุผลอย่างอื่นอีก
อวิ๋นจือชิวที่อยู่ท่ามกลางสมาชิกครอบครัวผู้หญิงก็มองตามเงาร่างเกาก้วนเช่นกัน วันนี้นับว่าได้รับรู้ถึงความอันธพาลของผู้พิพากษาหน้านิ่งท่านนี้แล้ว!
ไม่ว่าจะอย่างไร สภาพตึงเครียดที่เพิ่งตั้งลูกธนูไว้บนสายเมื่อครู่นี้ก็หายไปแล้ว ทุกคนแอบโล่งอก
โค่วเชี่ยนที่รู้สึกบีบหัวใจอยู่ตั้งนานรียเดินมาหาชูเจี้ยนสามีของตัวเอง
ชูเจี้ยนที่อยู่ในชุดเกราะเห็นสายตาลูกน้อง จึงหันกลับไปมอง อ่านสายตาของโค่วเชี่ยนออกว่าซ่อนความจนใจเอาไว้ แต่ในใจกลับรู้สึกอบอุ่น…
วังสรรค์ อุทยานสายัณห์ บนตึกศาลา ประมุขชิงยืนอยู่บนที่สูง กำลังพิงรั้วทอดสายตามองไปไกล แววตาดูเปล่าเปลี่ยวเงียบเหงา
ซ่างกวนชิงที่อยู่ข้างกายเขารู้ว่าช่วงนี้เขาอารมณ์ไม่ดี เดิมทีบางสิ่งนั้นยังสามารถปิดบังได้แต่ภายนอก ตอนนี้แม้แต่ชุดชั้นในปิดบังความอับอายจุดสุดท้ายก็ฉีกขาดแล้ว ที่จริงสี่อ๋องสวรรค์กำลังใช้กำลังทางทหารสร้างความมั่นคงให้ตัวเองมาตลอด ทว่าในที่สุดครั้งนี้ก็เปิดเผยสู่ภายนอกแล้ว ทำให้ฝ่าบาทสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไร
ที่จริงตามหลักแล้วก็จะโทษสี่อ๋องสวรรค์ไม่ได้ ในปีนั้นตอนที่ล้มหกปราชญ์ กำลังพลของฝ่าบาทก็มีไม่เยอะ ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือยังมีอำนาจไม่มาก และไม่มีทางขยายอำนาจมากเกินไปยามอยู่ใต้หนังตาหกปราชญ์ได้ ดังนั้นตอนก่อปฏิวัติจึงต้องพันธมิตรเร่งด่วน ในปีนั้นพวกฝ่าบาทสัญญากับสี่อ๋องสวรรค์ว่าจะเสพสุขใต้หล้าร่วมกัน รับปากแล้วว่าจะแบ่งอาณาเขตให้พวกเขาปกครอง สร้างตำหนักสวรรค์ขึ้นมาโดยใช้รูปแบบอ๋องครองแคว้น ส่งเสริมให้พวกเขาดึงกำลังพลไปทั่วทุกที่ ทว่าหลังจากเสร็จเรื่องแล้วพวกฝ่าบาทกลับพูดอย่างทำอย่าง
ตอนแรกก็อ้างว่าใต้หล้ายังไม่สงบ จึงรวมศูนย์บัญชาการเพื่อกวาดล้างโจรกบฏ จนกระทั่งดึงประมุขพุทธะเข้ามากำหนดแนวโน้มสถานการณ์และรวบรวมอำนาจได้มหาศาล กำลังพลกองทัพองครักษ์ในมือใช้การได้ ประมุขไป๋เดินทางไปทั่วแล้วดึงกำลังพลของประมุขปีศาจเข้ามาอีก ก็ทำให้เขาแปรพักตร์เบี้ยวสัญญาทันที แบ่งอาณาเขตให้ปกครองอะไรกัน เป็นเรื่องล้อเล่นสินะ?
ภายใต้การใช้อำนาจกดข่ม จึงเกิดเป็นแบบจำลองอย่างทุกวันนี้ หลังจากทำให้ผลประโยชน์ของสี่อ๋องสวรรค์มีเสถียรภาพแล้ว ก็ร่วมมือกับสี่อ๋องสวรรค์ข่มตระกูลเซี่ยโห้วที่เคยสนับสนุนตนอีก กดดันให้ตระกูลเซี่ยโห้วส่งมอบสมาคมวีรชนให้ ตัดขาดอำนาจทางทหารทั้งหมดในฉากหน้าของตระกูลเซี่ยโห้ว กวาดล้างอำนาจในที่แจ้งของตระกูลเซี่ยโห้วจนหมดเกลี้ยง
จากนั้นก็อ้างอีกว่าประมุขไป๋และประมุขปีศาจไม่มีขอบเขตอำนาจอะไร บอกว่าทั้งสองมีเจตนาจะแบ่งขอบเขตอำนาจกันใหม่ ความคิดคร่าวๆ ก็คือต้องการจะตัดแบ่งขอบเขตอำนาจของสี่อ๋องสวรรค์ให้ออกมาเป็นหนึ่งขอบเขตอำนาจ สี่อ๋องสวรรค์ย่อมไม่หวังให้เรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นอยู่แล้ว และฝ่าบาทก็รับปากตระกูลเซี่ยโห้วอีกว่าจะแต่งตั้งเซี่ยโห้วเฉิงอวี้เป็นราชินีสวรรค์ อำนาจหลายฝ่ายจึงแอบร่วมมือกัน จู่ๆ ก็มีการกลั่นแกล้ง สุดท้ายก็ทำให้อำนาจของประมุขไป๋กับประมุขปีศาจสลายไปหมดแล้ว
ทว่าการปรับอำนาจในใต้หล้าของฝ่าบาทกลับยังไม่หยุด หลังจากกลั่นแกล้งครั้งแล้วครั้งเล่า สี่อ๋องสวรรค์ก็เรียนรู้ที่จะว่านอนสอนง่ายแล้วเช่นกัน เริ่มเกาะกลุ่มปรองดองกันเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง รู้ว่าไม่ว่าตระกูลไหนล้มลง ก็จะถึงคราวที่อีกตระกูลจะซวยตามกันไป สุดท้ายจึงเกิดเป็นรูปแบบของใต้หล้าอย่างที่เห็น
และครั้งนี้ที่จริงก็ไม่นับว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลง เพียงแต่ตอนนี้รูปแบบของใต้หล้าชัดเจนขึ้นก็เท่านั้นเอง
การมาของซือหม่าเวิ่นเทียนทำลายความเงียบสงบบนตึกศาลาสูง ซ่างกวนชิงเอียงหน้ามองซือหม่าเวิ่นเทียนที่เร่งฝีเท้าเดินเข้ามา พบว่าซือหม่าเวิ่นเทียนดูมีชีวิตชีวาพอสมควร
ซือหม่าเวิ่นเทียนดูมีชีวิตชีวาจริงๆ ต้องยอมรับสิ่งที่ซ่างกวนชิงบอก ว่าเกาก้วนมีกึ๋นจริงๆ หน่วยตรวจการซ้ายยังไม่ทันสืบเจอว่าเกิดปัญหาตรงไหนกันแน่ แต่เกาก้วนสืบเจอเรื่องที่เกิดขึ้นที่น้ำพุวังเวงแล้ว ขณะเดียวกันก็เจอผลลัพธ์คร่าวๆ แล้ว
ครั้งนี้ติดหนี้น้ำใจเกาก้วนใหญ่หลวง เกาก้วนทำตามสัญญาโดยมอบผลลัพธ์ที่สืบได้ให้เขา บอกว่าผลลัพธ์ที่สืบได้อาจหยาบไปบ้าง ให้เขาไปหารายละเอียดอีกที จะได้ไม่ผิดพลาด เขาย่อมให้สายลับของแต่ละบ้านตรวจสอบความจริงทันที พบว่ากำลังพลออกล่าที่น้ำพุวังเวงของแต่ละบ้านหายไปแล้ว ไม่ได้ปรากฏตัวอีก และเขาก็จับพยานที่น้ำพุวังเวงชั้นห้ามาพิสูจน์ข่าวของเกาก้วนได้แล้ว
“ฝ่าบาท สืบทราบสาเหตุของเรื่องนี้ได้แล้วขอรับ” หลังจากซือหม่าเวิ่นเทียนทำความเคารพ ก็ใช้สองมือมอบแผ่นหยกสองแผ่นให้ “เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะออกล่าที่น้ำพุวังเวง กำลังพลออกล่าถูกกำลังพลตำหนักสวรรค์กลุ่มใหญ่โจมตี ถ้าข่าวไม่ผิดพลาด ลูกหลานของขุนนางใหญ่ตำหนักสวรรค์ไล่ตั้งแต่อ๋องสวรรค์มาจนถึงเทพประจำดาวแทบจะตายที่น้ำพุวังเวงกันหมด กำลังพลหลายหมื่นที่ออกล่าที่น้ำพุวังเวงก็ตายหมดเช่นกัน และตามที่พยานเห็น กำลังพลที่โจมตีสวมชุดเกราะของตำหนักสวรรค์ ในมือถือธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ เหมือนจะเป็นกองทัพองครักษ์ คนที่หน่วยตรวจการซ้ายส่งไปตรวจสอบที่เกิดเหตุก็พบร่องรอยธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จำนวนมากเช่นกัน หลังจากจบเรื่องสี่อ๋องสวรรค์คงจะเข้าใจผิดว่าฝ่าบาทบงการ ถึงได้เคลื่อนไหวระดมพลครั้งใหญ่”
“กองทัพองครักษ์?” ประมุขชิงที่รับแผ่นหยกมาไว้ในมือโมโหแล้ว ถามเสียงดังว่า “เป็นกองทัพองครักษ์ทำเหรอ?”
ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบว่า “กำลังพลที่โจมตีน่าสงสัย ถึงแม้จะเลียนแบบกองทัพองครักษ์ แต่กลับปิดบังใบหน้า ข้าน้อยตรวจสอบกับกองทัพองครักษ์แล้ว ช่วงนี้กองทัพองครักษ์ไม่ได้มีกำลังพลกลุ่มไหนไปที่น้ำพุวังเวงเลย และในบรรดากำลังพลออกล่าทั้งหมด ก็มีเพียงกำลังพลของตระกูลเซี่ยโห้วที่ไม่เป็นอะไร เมื่อนำเบาะแสต่างๆ มารวมกันเพื่อตัดสิน เกรงว่าเรื่องนี้คงไม่พ้นเกี่ยวข้องกับตระกูลเซี่ยโห้ว”
ประมุขชิงรีบตรวจอ่านแผ่นหยกในมือ พร้อมถามว่า “ตระกูลเซี่ยโห้วจะเอาธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์มาจากไหนมากมายขนาดนั้น?”
ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบว่า “ฝ่าบาทลืมเครื่องแบบชุดนั้นที่ทะเลดาวสับสนแล้วหรือ? จนกระทั่งตอนนี้ยังไม่มีเบาะแส ในใต้หล้านี้ ผู้ที่สามารถเอาอาวุธชุดนั้นไปได้อย่างเงียบเชียบ เกรงว่าจะมีอยู่ไม่มาก ตระกูลเซี่ยโห้วมีความสามารถนี้แน่นอน เมื่อนำเบาะแสแต่ละอย่างมารวมกัน เกรงว่าอาวุธชุดนั้นจะตกอยู่ในมือตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว!”
หลังจากประมุขชิงอ่านรายงานอย่างละเอียดแล้ว สีหน้าก็ดำมืดลง เรียกได้ว่าขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดว่า “ขุนนางชั่วมักใหญ่ใฝ่สูง! ข้าดูแลตระกูลเซี่ยโห้วไม่ขาดตกบกพร่อง บังอาจมารังแกข้าอย่างนี้!” เสียงดังแกร๊ก แผ่นหยกในมือแตกเป็นผุยผง
ซือหม่าเวิ่นเทียนเงียบแล้ว ถึงอย่างไรครั้งนี้เขาก็รอดตัวไปอย่างราบรื่น
ซ่างกวนชิงแอบตกตะลึง พบว่าตระกูลเซี่ยโห้วโหดมากทีเดียว ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทยังเรียกเซี่ยโห้วท่าเข้าวังอยู่เลย ตระกูลเซี่ยโห้วแสดงท่าทีชัดเจนว่าจะยืนข้างฝ่าบาท แต่เบื้องหลังกลับไปรวมหัวกับสี่อ๋องสวรรค์ข่มฝ่าบาท หลังจากฉีกผ้าที่ปิดบังความน่าอายของตำหนักสวรรค์ออกแล้ว ยังจะทวงธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แปดล้านจากตำหนักสวรรค์อีก ช่างดีนัก พอกลับมาสืบหาความจริง ก็พบว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะอุบายเจ้าเล่ห์ของตระกูลเซี่ยโห้ว สงสัยตระกูลเซี่ยโห้วจะได้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แปดล้านนั่นไปไว้ในมือตั้งนานแล้ว
แต่จะว่าไปแล้ว ตอนแรกฝ่าบาทก็พูดจาไม่เป็นคำพูดต่อตระกูลเซี่ยโห้วเหมือนกันไม่ใช่เหรอ เกรงว่าตระกูลเซี่ยโห้วอาจจะไม่คิดว่าตัวเองเป็นขุนนางชั่วมักใหญ่ใฝ่สูงก็ได้
เรื่องนี้เจ้ายังมีวิธีไหนไปหาหลักฐานจากตระกูลเซี่ยโห้วอีกเหรอ คำตอบที่ได้มีเพียง เปล่า! ใส่ร้าย! ตระกูลเซี่ยโห้วไม่ยอมรับแน่นอน
หลักการก็เหมือนที่สี่อ๋องสวรรค์สงสัยว่าตัวเองถูกกองทัพองครักษ์โจมตีแล้วหาหลักฐานจากฝ่าบาทไม่ได้ ไม่ว่าฝ่าบาทจะทำหรือไม่ก็พิสูจน์ไม่ได้ ต่อให้เป็นฝ่าบาททำ แล้วจะยอมรับเหรอ? ผลที่ตามมาจากการยอมรับนั้นต้องจ่ายสูงมากเพื่อจะชดเชย นั่นไม่ใช่เรื่องที่ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แปดล้านคันจะแก้ไขได้แล้ว
ตอนนี้ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร แต่ก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าเรื่องราวได้เกิดขึ้นแล้ว ต่อให้สี่อ๋องสวรรค์รู้ว่าตระกูลเซี่ยโห้วทำ แต่ก็ไม่มีทางยอมคายธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แปดล้านที่ตัวเองได้ไปแล้วออกมาหรอก และไม่มีทางที่จะเข้าประชุมราชสำนักให้ตัวเองเข้ามาอยู่ในพื้นที่เสี่ยงอีก จะต้องอาศัยโอกาสนี้แน่นอน พวกเขาจะต้องอาศัยโอกาสที่ฝ่าบาทตอบตกลงทำเรื่องราวบางอย่างให้เป็นจริง ไม่อย่างนั้นครั้งหน้าจะไม่มีข้ออ้างดีๆ อย่างนี้อีก ที่สำคัญคือต่อให้สี่อ๋องสวรรค์รู้ว่าตระกูลเซี่ยโห้วทำ แต่ก็ทำอะไรตระกูลเซี่ยโห้วไม่ได้อยู่ดี โดยเฉพาะยามที่ต้องการความช่วยเหลือจากตระกูลเซี่ยโห้วตอนนี้
ในขณะนี้เอง โพ่จวินกับอู๋ฉวี่ที่สวมเกราะรบก็มาพร้อมกัน หลังจากทำความเคารพแล้ว ทั้งคู่ก็สังเกตได้ว่าประมุขชิงเพิ่งบีบแผ่นหยกทิ้ง ทั้งคู่อดไม่ได้ที่จะสบตากัน ไม่รู้ว่าประมุขชิงได้รับรายงานแบบไหนมา แต่แน่ใจได้ว่าไม่ใช่ข่าวดีอะไรแน่นอน
“ฝ่าบาท!” สุดท้ายโพ่จวินก็กุมหมัดคารวะพร้อมรายงาน “เหนือใต้ออกตก สี่ทัพเริ่มถอนกำลังตามบัญชาของฝ่าบาทแล้ว กองทัพองครักษ์กำลังจับตาดูทิศทางการเคลื่อนไหวของสี่ทัพอย่างเข้มงวด”
เรียกได้ว่าเป็นข่าวดี สีหน้าพยับเมฆของประมุขชิงผ่อนคลายลงแล้ว หลังจากเดินออกจากอารมณ์ที่ย่ำแย่แล้ว เขาก็กลับมาสุขุมเยือกเย็น จากนั้นหันตัวไปด้านนอกแล้วถอนหายใจเบาๆ “บุกยึดใต้หล้านั้นง่าย แต่ปกครองใต้หล้านั้นยาก คำกล่าวของคนโบราณไม่ได้หลอกข้า!” ในเสียงถอนหายใจนั้นไม่รู้ว่าแสดงอาการจนใจออกมามากแค่ไหน
เขาไม่มีโอกาสกำจัดสี่อ๋องสวรรค์งั้นเหรอ? ไม่ใช่เลย ก่อนหน้านี้มีโอกาสเยอะมาก แต่เขาไม่อาจทำแบบนี้ได้ง่ายๆ ไม่อย่างนั้นเขาก็สามารถพูดอวดดีได้เลยว่า ต่อให้สี่อ๋องสวรรค์ร่วมมือกันก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของประมุขชิง เขาคนเดียวสามารถฆ่าตาแก่สี่คนนั่นทิ้งได้ ทว่าหากยังเกลี้ยกล่อมซื้อใจกำลังพลของสี่อ๋องสวรรค์ไม่ได้ ถ้าเขาทำแบบนี้แล้ว ลูกน้องเก่าของสี่อ๋องสวรรค์ก็จะพิจารณาก่อนเลยว่าจะถูกสะสางบัญชีเก่าหรือไม่
สำหรับเรื่องนี้ ไม่ว่าเจ้าจะปลอบใจอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ ถามหน่อยว่ามีราชันที่ไหนบ้างอยากจะเห็นกำลังพลเครือข่ายอื่นกุมทัพที่แข็งแกร่งต่อไป แบบนั้นถือเป็นเรื่องล้อเล่นแล้ว หลังจากจบเรื่องก็จะต้องกวาดล้างหรือไม่ก็เปิดกรงเปลี่ยนนกถึงจะสงบใจได้ คนของสิบปราสาทดำเนินถูกทิ้งก็ไม่ใช่เพราะสาเหตุด้านนี้หรอกหรือ พอสี่อ๋องสวรรค์ตายไป ภายใต้สถานการณ์ที่กำลังพลเบื้องล่างกังวลเรื่องอนาคต ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะรวมตัวกันเป็นกลุ่มอำนาจอีกกลุ่มแล้วตั้งตัวเป็นอิสระจากตำหนักสวรรค์ หรือไม่ก็ไปหาตระกูลเซี่ยโห้วกับแดนสุขาวดี แบบนั้นประมุขชิงก็จะกลายเป็นคนหัวเดียวกระเทียมลีบทันที แต่ถ้ายังเก็บสี่อ๋องสวรรค์ไว้ อย่างน้อยก็ยังคงสถานภาพปัจจุบันไว้ได้ ยังรักษาโครงสร้างผลประโยชน์ที่ใต้หล้าส่งให้ประมุขชิงได้ต่อไป นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการหรอกเหรอ? แต่นี่ก็ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่เขายอมอดทนให้มีสี่อ๋องสวรรค์อยู่
หลังจากครุ่นคิดพักหนึ่ง ก็นึกได้ว่าในมือยังมีแผ่นหยกอีกแผ่น เขาหยิบขึ้นมาอ่าน แล้วมุมปากก็เริ่มโค้งยิ้มทีละนิด จากนั้นโยนให้ซ่างกวนชิง “พวกเจ้าตั้งใจดูให้ดีนะ นี่ต่างหากขุนนางที่ภักดีเหมือนต้นขาต้นแขนของข้า!”
ซ่างกวนชิงมองซือหม่าเวิ่นเทียนแวบหนึ่ง รู้ว่านี่คือรายงานที่อีกฝ่ายเพิ่งมอบให้ฝ่าบาท ยังนึกว่าซือหม่าเวิ่นเทียนทำเรื่องดีอะไรเอาใจฝ่าบาทเสียอีก ผลก็คือพบว่าไม่เกี่ยวกับซือหม่าเวิ่นเทียน แต่เป็นรายงานลับเกี่ยวกับเรื่องที่เกาก้วนไปก่อเรื่องที่จวนอ๋องสวรรค์ ซึ่งหน่วยตรวจการซ้ายแอบส่งมา
ตั้งแต่บุกเข้าไปในเขตค่ายทัพเหนือ บุกเข้าไปฆ่าทหารยามที่เฝ้าจวนอ๋องสวรรค์โค่ว แล้วสุดท้ายก็ใช้ดาบชี้หน้าโค่วหลิงซวี แล้วก็ง้างปากเสือแย่งตัวสายลับหน่วยตรวจการขวากลับมาจากโค่วหลิงซวีทั้งเป็นๆ ทำให้โค่วหลิงซวีเสียหน้าแรงมาก ขนาดซ่างกวนชิงอ่านแล้วยังแอบตกใจ ตอนนี้สถานการณ์ละเอียดอ่อน เจ้าเกาหมวกสูงนี่ช่างใจกล้ามากทีเดียว!
แผ่นหยกส่งต่อกลับมาถึงมือโพ่จวิน หลังจากโพ่จวินอ่านแล้ว ก็กล่าวเหยียดหยามถึงที่สุด “ภายนอกดูจงรักภักดี แต่ภายในปลิ้นปล้อนที่สุด ขุนนางโฉด!” เท่ากับโต้เถียงประโยคที่ประมุขชิงบอกว่า ‘ขุนนางที่ภักดีเหมือนต้นขาต้นแขน’
บทที่ 1700 เผยโม่ ท่านบุรุษ
ซ่างกวนชิงกำลังจ้องซือหม่าเวิ่นเทียนที่ก้มหน้าก้มตาพลางครุ่นคิด เรื่องบางเรื่องฝ่าบาทตัวอยู่ในสถานการณ์จึงมองไม่กระจ่าง แต่เขาเฝ้าดูวังสวรรค์มานานขนาดนี้ ทำให้รู้แจ้งเห็นจริงว่าสถานการณ์ระหว่างขุนนางทั้งข้างล่างข้างบนเป็นอย่างไร ที่จริงผู้ที่รายงานข่าวได้ถูกรสนิยมฝ่าบาทก็คือเกาก้วนของหน่วยตรวจการขวา แบบนี้ไม่สอดคล้องกับลักษณะการทำงานของซือหม่าเวิ่นเทียนของหน่วยตรวจการซ้าย ปกติแล้วข่าวประเภทนี้ล้วนถูกซือหม่าเวิ่นเทียนกดเอาไว้หมด ทำไมครั้งนี้ถึงรายงานขึ้นมาแล้วล่ะ?
ไม่นานเขาก็ตระหนักอะไรบางอย่างได้ กวาดสายตามองเศษฝุ่นบนพื้นที่เกิดขึ้นหลังจากประมุขชิงบีบแผ่นหยก นึกถึงรายงานสองฉบับที่ส่งขึ้นมาพร้อมกัน ในดวงตาฉายแววแดกดันเล็กน้อย นี่เป็นการยื่นลูกท้อยื่นลูกสาลี่ชัดๆ[1]!
ในขณะนี้เอง คำพูดของโพ่จวินก็กระแทกออกมา ราวกับเสียงฟ้าผ่าทะลุหู ทำให้เขางงเป็นไก่ตาแตก มองโพ่จวินอย่างตะลึงงัน พร้อมด่าในใจว่า ตาแก่นี่จะปล่อยให้ฝ่าบาทดีใจสักหน่อยไม่ได้เหรอ? เจ้าไม่ต้องอยู่ข้างกายฝ่าบาทนานๆ นี่ แต่พวกเราต้องอยู่ข้างกายฝ่าบาทตลอด ถ้าฝ่าบาทอารมณ์ไม่ดีขึ้นมา เจ้ารู้มั้ยว่ารสชาติจะเป็นอย่างไร? ตาแก่เวรตะไลที่สมควรโดนฟันพันดาบ!
ซือหม่าเวิ่นเทียนมุมปากกระตุกเล็กน้อย เอียงหน้ามองโพ่จวินเช่นกัน เจ้าเฮงซวยนี่อุดปากตัวเองไม่อยู่อีกแล้ว!
โพ่จวินโยนแผ่นหยกให้อู๋ฉวี่ที่อยู่ข้างกันอย่างดูถูกเหยียดหยาม ทำเหมือนเป็นของสกปรกอะไรสักอย่าง
อู๋ฉวี่รับของมาอย่างปวดประสาท ขณะที่ร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจอ่านเนื้อหาในแผ่นหยก ก็เหล่ตามองโพ่จวินไปด้วย ในใจแอบทอดถอนใจ ทำไมตาแก่เจ้าอารมณ์นี่ต้องหาเรื่องลำบากใส่ตัว!
เมื่อมองปฏิกิริยาของประมุขชิงอีกครั้ง ก็เป็นอย่างที่คาดไว้ สีหน้าประมุขชิงดำมืดลงแล้ว ระเบิดอารมณ์อย่างฉับพลัน ชี้หน้าโพ่จวินพร้อมแหกปากด่า “ตาแก่น่าตาย คนที่สละชีวิตทำงานให้ข้าเป็นขุนนางโฉดกันหมด ในใต้หล้ามีเจ้าคนเดียวที่เป็นขุนนางจงรักภักดีหรือไง?”
เพิ่งจะได้เห็นพฤติกรรมเกาก้วนที่จวนตระกูลโค่ว เรียกได้ว่าฉีกหน้าโค่วหลิงซวีได้ถึงอกถึงใจ แสดงอำนาจบารมีของประมุขชิงเต็มที่ ทำให้อารมณ์อัดอั้นตันใจเนื่องจากแผนที่เปลี่ยนแปลงของเขาดีขึ้นไม่น้อย ใครจะคิดว่ายังไม่ทันได้ดีใจ ก็ถูกน้ำเย็นสาดใส่หน้าเสียแล้ว รสชาตินั้นช่าง…
โพ่จวินยืดคอเถียงกลับทันที “ตอนนี้สถานการณ์อ่อนไหว ควรจะคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวมของฝ่าบาท แต่เกาก้วนกลับยอมทำเรื่องที่กระตุ้นความขัดแย้งเพื่อสายลับคนเดียว บางทีอาจจะแค่เพื่อเอาใจฝ่าบาท แต่กลับมีโอกาสทำให้ใต้หล้ามีเลือดนองกลายเป็นแม่น้ำได้ ทำให้ใต้หล้าที่ฝ่าบาทลำบากไขว่คว้ามาเกิดความวุ่นวายใหญ่โต แบบนี้ไม่เรียกว่าขุนนางหน้าซื่อใจคดหรอกหรือ? แค่เอาใจฝ่าบาทเป็นก็ถือเป็นขุนนางจงรักภักดีกันหมดแล้วหรือไง!”
พอประมุขชิงเจอกับคำพูดของเจ้าหมอนี่ก็ข่มไฟโกรธไม่ไหวทันที ตะคอกอย่างเดือดดาลว่า “เสี่ยงชีวิตไปทำเรื่องนี้ ในสายตาเจ้าเป็นแค่การเล่นละครเอาใจข้างั้นเหรอ? อีกฝ่ายเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงอันตรายเพื่อคนในหน่วยงานตัวเอง แต่ปากเจ้ากลับพูดซะแย่ขนาดนี้! ข้าถามเจ้าหน่อย ในปีนั้นตอนเจ้าปกป้องหนิวโหย่วเต๋อก็กำลังเล่นละครเหมือนกันใช่มั้ย?”
โพ่จวินตอบว่า “สองเรื่องนี้ไม่อาจนำมาเทียบกันได้เลย ฝ่าบาทแต่งงานรับจ้านหรูอี้เป็นสนมสวรรค์ ที่บอกว่าคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวมอะไรนั่นล้วนเป็นคำพูดเหลวไหล สุดท้ายก็กลายเป็นความปรารถนาส่วนตัวอยู่ดี หนิวโหย่วเต๋อด่าได้ถูกต้อง ข้างกายฝ่าบาทขาดคนที่กล้าพูดความจริง ถ้าเขาตายไปจะไม่น่าเสียดายหรอกหรือ! พอพูดถึงเรื่องนี้ ข้าน้อยก็จำเป็นต้องพูด ฝ่าบาท ท่านน่ะอยู่ในวังมานาน ถ้าข้างกายไร้คนจริงใจก็จะถูกตบตาได้ง่าย ทุกคนล้วนเอาใจฝ่าบาท ไม่มีใครกล้าพูดความจริงสักคน ถ้าเป็นอย่างนี้นานไปจะไม่แย่หรอกหรือ? ฝ่าบาทตำแหน่งสูงสุดในใต้หล้า มีคนประจบสอพลอเยอะเกินไป ทำให้เลอะเลือนได้ง่าย! ในวังหลังต้องมีผู้หญิงที่ช่วยเบิกเนตรฝ่าบาทจริงๆ สักคน เป็นคนที่สามารถโน้มน้าวฝ่าบาทได้ ไม่ทำให้ฝ่าบาทคิดเองเออเอง ผู้หญิงที่ยึดมั่นใจปณิธานตัวเอง เป็นผู้หญิงที่สามารถดึงสติฝ่าบาทได้ทุกเมื่อ เป็นผู้หญิงที่พูดจาไม่น่าฟังแต่หวังดีต่อฝ่าบาทเสมอ ไม่ใช่ผู้หญิงที่อาศัยแต่น้ำเสียงกับสีหน้าทำให้ฝ่าบาทสำราญ…”
เมื่อได้ยินคำว่าคิดเองเออเอง ยึดมั่นใจปณิธานตัวเอง ประมุขชิงก็เบิกตาโพลง แบบนี้เท่ากับด่าเขาต่อหน้าธารกำนัล เขามองซ้ายมองขวา รอบข้างกลับว่างเปล่า หาของอะไรมาทุ่มใส่คนไม่ได้ สุดท้ายจึงชี้หน้าโพ่จวินตัดบทให้เลิกพูดพล่อย แล้วคำถามเสียงดังอย่างเกรี้ยวกราด “ไสหัวไป!”
โพ่จวินยังไม่ยอมหุบปาก อู๋ฉวี่ที่อยู่ข้างกันจึงลงมือห้ามโพ่จวิน กอดโพ่จวินที่ยืนตรงให้เดินไป เพราะวันนี้ด่าเกินไปแล้วจริงๆ ถ้าปล่อยให้อยู่ต่อไปประมุขชิงอาจจะชักดาบออกมาฟันได้
“ตาแก่ปัญญาทึบ! ตาแก่น่าตาย…” ประมุขชิงชี้เขาที่ถูกรวบตัวไปพร้อมด่าไม่หยุด โมโหจนหน้าแดงแล้ว
ซือหม่าเวิ่นเทียนกับซ่างกวนชิงปาดเหงื่อ นี่ก็คือโพ่จวิน ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นมาด่าฝ่าบาทอย่างนี้ เกรงว่าคงโดนฟันหัวหลุดแล้ว เดชานุภาพสวรรค์จะถูกจาบจ้วงได้ง่ายๆ ได้อย่างไร โพ่จวินสามารถรอดไปได้ครั้งแล้วครั้งเล่าก็นับว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ประมุขชิงที่โมโหกระฟัดกระเฟียดถึงได้สงบลง แล้วแสยะยิ้มบอกว่า “ซ่างกวน ทำป้ายคำสั่ง ‘บัญชาใต้หล้า’ ขึ้นมา ข้าจะแจกให้เกาก้วนต่อหน้าทุกคนตอนประชุมราชสำนัก!”
ซือหม่าเวิ่นเทียนกับซ่างกวนชิงสบตากันแวบหนึ่ง นับว่าเข้าใจแล้ว ว่าฝ่าบาททำแบบนี้เพราะ ‘โค่วหลิงซวีบอกว่าคำสั่งนี้เป็นคำพูดปากเปล่าของทูตขวาเกา’
ซ่างกวนยังดีหน่อย คิดเพียงว่าวิธีการของเกาก้วนได้ใจราชันสวรรค์ไปอย่างลึกซึ้ง ได้อำนาจเพิ่มขึ้นอีกขั้น เกรงว่าในการสืบคดีต่อจากนี้จะไร้ความเกรงกลัวยิ่งกว่าเดิมแล้ว
ซือหม่าเวิ่นเทียนกลับแอบร้องในใจอย่างขื่นขม การที่ตัวเองยื่นหมู่ยื่นแมว ทำไมกลายเป็นทุ่มหินใส่เท้าตัวเองไปเสียแล้วล่ะ ตอนนี้สมมติถ้าเกาก้วนจะบุกหน่วยตรวจการซ้ายของตน ตนยังจะหาข้ออ้างอะไรมาขัดขวางได้อีก หลังจากนี้ถ้าเกาก้วนถือป้ายคำสั่งฝืนบุกเข้ามา ตัวเองยังจะมีความสามารถหรือความกล้าใดขัดขวางอีก? อีกทั้งยังเหมือนกดหน่วยตรวจการซ้ายไม่ให้โดดเด่นด้วย
สำหรับประมุขชิง กลับคำนึงถึงอีกอย่าง ในเมื่อเป็นดาบดี ก็ต้องลับให้คมแล้วใช้งาน โดยเฉพาะภายใต้สถานการณ์อย่างนี้!
ภูเขาเขียวน้ำใส ทิวทัศน์ธรรมชาติงดงาม คฤหาสน์กำแพงแดงกระเบื้องน้ำเงินหลังหนึ่ง
สายฝนพรำกระทบใบกล้วยนอกหน้าต่างไม่ขาดสาย เผยโม่เอนกายอยู่บนเก้าอี้นอน บนตัวห่มผ้าห่มผืนบาง กำลังมองทิวทัศน์ด้านนอก ฟังเสียงเม็ดฝนหยดบนชายคา ได้อารมณ์ไปอีกแบบ
บนบันไดไม้มีเสียงฝีเท้าเดินขึ้นมา เขาไม่ได้สนใจ นึกว่าเป็นลูกน้องที่คอยปรนนิบัติ หลังจากถูกช่วยชีวิตกลับมาจากตระกูลโค่ว เขาก็ถูกหน่วยตรวจการขวาส่งตัวมาพักรักษาตัวอย่างสงบที่คฤหาสน์ในโลกมนุษย์ ที่นี่มีแต่มนุษย์ธรรมดา ไม่มีใครรู้ถึงตัวตนของเขา ถึงแม้สภาพแวดล้อมจะไม่ได้งดงามเหมือนแดนสวรรค์ แต่ดีที่สงบเงียบไร้การยินดียินร้ายในลาภยศ ทำให้คนอารมณ์สงบได้ง่าย เหมาะสมกับการพักผ่อนรักษาบาดแผลเป็นพิเศษ
เงาคนที่ปรากฏตรงหน้าบังสายตาของเขาที่กำลังมองไปนอกหน้าต่าง ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นชายเคราหยิกคนหนึ่ง มนุษย์ธรรมดาอาจมองไม่ออก แต่นักพรตแค่มองใบหน้าที่ไร้ชีวิตชีวาและเลือดเนื้อปราดเดียวก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายสวมหน้ากากปลอม
“หา! ท่านบุรุษ ท่านมาได้ยังไง…” เผยโม่ตกใจ แล้วพยายามลุกขึ้นทันที
ชายเคราหยิกยกฝ่ามือกด พลังอิทธิฤทธิ์กลุ่มหนึ่งกดเขาให้นอนกลับลงไป แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “เจ้าบาดเจ็บสาหัส ไม่ต้องมากพิธี นอนลงเถอะ เรื่องในครั้งนี้อันตรายมาก ให้เจ้าเสี่ยงชีวิตไปทำ จนเจ้าบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ ลำบากเจ้าแล้ว”
เผยโม่รีบบอกว่า “บาดเจ็บเล็กน้อยไม่เป็นอุปสรรคมากมาย บำรุงไม่นานเดี๋ยวก็ฟื้นฟูแล้ว เพียงแต่ครั้งนี้โชคดีพ้นเคราะห์มาได้ ก็เพราะทูตตรวจการขวาเกาก้วนปรากฏตัวทันเวลา ถ้าไม่ใช่เพราะเขามาทวงคนที่จวนตระกูลโค่วด้วยตัวเอง ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจวนตระกูลโค่วจะไว้หน้าหน่วยตรวจการขวาปล่อยผู้น้อยหรือไม่ เกรงว่าผู้น้อยคงไม่มีโอกาสมาเจอท่านบุรุษอีกแล้ว ในจุดนี้ ผู้น้อยจำเป็นต้องยอมรับ ว่าเกาก้วนปฏิบัติต่อพี่น้องหน่วยตรวจการขวาดีจริงๆ ทุกคนยอมศิโรราบเขาแล้ว เรื่องที่ท่านบุรุษฝากฝัง ข้าว่าใกล้จะสำเร็จแล้ว พอข้าพูดสิ่งที่ท่านบุรุษชี้แนะได้ไม่นาน ถังเฮ่อเหนียนก็ปรากฏตัวแล้ว ข้าเห็นปฏิกิริยาของเขา เหมือนจะได้ยินแล้ว คาดว่า…”
ชายเคราหยิกโบกมือตัดบท “ไม่ต้องพูดรายละเอียดแล้ว ข้ารู้เรื่องนี้หมดแล้ว ครั้งนี้เจ้าทำได้ดีมาก”
รู้แล้วเหรอ? เผยโม่แอบตกใจ ท่านนี้เป็นใครกันแน่?
เขาข่มกลั้นความสงสัยไว้ในใจ “ท่านบุรุษมีอะไรจะกำชับ แค่ใช้ระฆังดาราติดต่อมาโดยตรงก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมาด้วยตัวเอง ถ้าถูกคนจับได้เกรงว่าจะส่งผลต่อความปลอดภัยของท่านบุรุษ”
ชายเคราหยิกถอนหายใจ “ที่ข้าเผยตัวมาครั้งนี้ก็เพราะตั้งใจมาเยี่ยมเจ้า เรื่องที่ข้าสั่งให้เจ้าทำครั้งนี้ ในใจข้ารู้สึกผิดจริงๆ เรื่องราวเร่งด่วนถึงได้เกิดกลยุทธ์ชั้นต่ำขึ้นเพราะไม่มีทางเลือก” ขณะที่พูดก็วางกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งบนหน้าอกเผยโม่ “ทรัพยากรฝึกตนเล็กน้อยเพื่อแทนคำขอโทษ”
เผยโม่รีบปฏิเสธ “ไม่ต้องขอรับๆ ครั้งก่อนที่ท่านบุรุษให้ก็เพียงพอให้เผยโม่ใช้ได้นานแล้ว ไม่ต้องสิ้นเปลืองอีกแล้ว”
ชายเคราหยิกดันกลับไป “ข้างในมีของวิเศษชิ้นหนึ่ง ยามหน้าสิ่วหน้าขวานสามารถช่วยปกป้องชีวิตเจ้าได้ เก็บไว้เถอะ ไม่ต้องปฏิเสธอีก ข้ายังมีธุระ ไม่สะดวกจะอยู่นาน บอกลากันตรงนี้ เจ้ารักษาตัวอย่างสงบใจเถอะ”
เผยโม่กำลังจะลุกขึ้นนั่งเพื่อน้อมส่ง แต่ชายเคราหยิกยื่นมือกดบ่าให้เขานอนลง แล้วเงาร่างก็ถลันหายไปท่ามกลางม่านฝนนอกหน้าต่างราวกับสายลม
เผยโม่ถือกำไลเก็บสมบัติอึ้งอยู่นานมาก…
“ในที่สุดก็ถอนทัพแล้วเหรอ?”
ตลาดสวรรค์ ผู้จัดการร้านคนหนึ่งคว้าแขนคนงานที่วิ่งเข้ามารายงานสถานการณ์
พนักหน้าพยักหน้าซ้ำๆ “ใช่แล้วขอรับ ทัพที่ตั้งอยู่ตรงประตูดวงดาวถอนออกไปแล้ว บอกว่าฝึกกำลังพลเสร็จแล้ว ต้องกลับแล้ว”
“งั้นก็ดี งั้นก็ดี ถ้าฝึกกำลังพลจริงๆ ก็ดี ทำเอาข้านึกว่าจะมีการก่อกบฏ ถ้าเกิดภาวะสงครามขึ้นมา อย่าว่าแต่การค้าขายเลย ไม่ว่าเรื่องอะไรก็มีโอกาสเกินได้ทั้งนั้น ในปีนั้นที่บุกยึดใต้หล้าก็ไม่รู้ว่ามีคนเข้าไปเกี่ยวข้องตั้งเท่าไร ได้ยินว่ามีคนตายนับไม่ถ้วน” ผู้จัดการร้านเอามือตบอกถอนหายใจแรง
“ถอนทัพแล้ว ถอนทัพแล้ว การฝึกจบลงแล้ว”
ในอดีตรุ่งเรืองไร้ที่เปรียบ ตอนนี้กลายเป็นถนนที่ซบเซาแล้ว แต่ก็มีคนวิ่งมาร้องตะโกนด้วยความดีใจอีก
ไม่นานเสียงหัวเราะพูดคุยบนถนนก็ดังเป็นแถบ ส่วนใหญ่เป็นคนของร้านค้าต่างๆ เพราะบนถนนไม่มีแขก
พลทหารที่เฝ้าอยู่บนกำแพงเมืองโล่งอกมาก เอนกายลงกับพื้นทั้งๆ ที่สวมเกราะรบ ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ข้าตกใจแทบตายแล้ว”
ทหารสวรรค์ที่เข้ามาล้อมรอบกายพากันนั่งลงแล้วหัวเราะลั่น ตอนนี้ตลาดสวรรค์ถูกควบคุมโดยตำหนักสวรรค์ ถ้าเกิดกบฏจริง ทหารตัวเล็กตัวน้อยในตลาดสวรรค์อย่างพวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะมีจุดจบเป็นอย่างไร สรุปก็คือไม่ว่าตลาดสวรรค์จะถูกควบคุมโดยตำหนักสวรรค์หรืออำนาจท้องถิ่น ถ้าเกิดเหตุวุ่นวายขึ้นพวกเขาก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร ล้วนเป็นเป้าหมายให้ฝ่ายตรงข้ามปล้นฆ่า
ตลาดผี หลังจากได้ยินข่าวเกาก้วนจากอวิ๋นจือชิวส่ง เหมียวอี้ก็ถอนหายใจอย่างตกตะลึง เจ้าเวรเกาก้วนนี่ช่างเป็นสุนัขรับใช้ของประมุขชิงจริงๆ เจ๋งเกินไปแล้ว ทำเรื่องแบบนี้ได้เป็นปกติเกินไป ไม่ต้องแปลกใจเท่าไรเลย สาเหตุที่เขาทึ่งจริงๆ ก็คือนึกไม่ถึงว่าเกาก้วนจะกล้าฉีกหน้าโค่วหลิงซวีอย่างนี้ ขนาดอยู่ในสถานการณ์อย่างนั้นยังไม่กลัวตายอีก
เขาไม่เก็บเรื่องแบบนี้มาใส่ใจ เขามีอีกเรื่องต้องทำ เขามาที่ตึกศาลาสัตยพรต เป็นฝ่ายมาขอดื่มน้ำชากับเฉาหม่าน
…………………………
[1] ยื่นลูกท้อยื่นลูกสาลี่ 投桃报李 หมายถึงแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กัน
บทที่ 1701 แม่ทัพภาคโดดเดี่ยว
“แลกอาณาเขตเหรอ?” เฉาหม่านที่ยกถ้วยน้ำชางงไปชั่วขณะ “แลกที่อยู่กับวัดพระกษิติครรภ์?” ต่อให้เขาจะฉลาด แต่ก็ไม่เข้าใจว่าเหมียวอี้กำลังจะเล่นลูกไม้ไหน
“อืม!” เหมียวอี้พยักหน้า “เถ้าแก่บอกราชินีสวรรค์ให้สักหน่อย ให้ราชินีสวรรค์คุยกับกับแดนพุทธให้สักหน่อย”
เฉาหม่านเหลือยตาลง “เรื่องแบบนี้พ่อค้าคนหนึ่งอย่างข้าจะไปบอกราชินีสวรรค์ได้ยังไง ท่านไปบอกตระกูลโค่วเอาเองเถอะ”
เหมียวอี้หัวเราะแห้งพลางส่ายหน้า ตระกูลโค่วไม่มีทางทำเรื่องไร้สาระอย่างนี้แน่นอน มิหนำซ้ำตระกูลโค่วก็รู้แล้วว่าตนขุดจวนแม่ทัพภาค จะช่วยเขาวางกับดักวัดพระกษิติครรภ์ได้อย่างไร นี่ไม่ใช่เรื่องที่บ้านคนมีเงินจะทำ “เถ้าแก่ อยู่ต่อหน้าคนเปิดเผยเหตุใดต้องพูดคลุมเครือ ท่านจะติดต่อราชินีสวรรค์ไม่ได้ได้ยังไง? ถ้าพูดเปิดเผยจะไม่สนุกแล้วนะ”
หึ! เฉาหม่านเหลือบมองเขาศีรษะจดเท้า พบว่าช่วงนี้เจ้าหนุ่มนี่มีท่าทีไม่ชอบมาพากลนิดหน่อย ก่อนหน้านี้เวลาเห็นตนยังระมัดระวังตัวมาก อย่างน้อยก็มองออกว่ารู้สึกหวาดกลัว ตอนนี้กลับไม่สนใจอะไรแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีแม่ทัพภาคตลาดผีคนไหนกล้าพูดกับตนอย่างนี้ สงสัยมีความมั่นใจที่จะเผยไพ่แล้วจริงๆ
แต่จะว่าไปแล้ว คำพูดแบบนี้ไม่ต้องเสแสร้งก็นับว่าสบายใจ
เขาเองก็ไม่ได้จะแตกคอกันเพราะเรื่องนี้ เหตุผลน่ะเหรอ เหมียวอี้รู้ว่าเขารู้ แต่เขากลับไม่รู้ว่าเหมียวอี้รู้ว่าเขารู้แล้ว
เฉาหม่านแสยะยิ้ม “ได้ๆ ทำไมต้องเปลี่ยนสถานที่? จวนแม่ทัพภาคตลาดผีสร้างมาหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินว่าจะเปลี่ยนที่กับวัดพระกษิติครรภ์ ถ้าไม่บอกเหตุผลมา คาดว่าคงไม่มีใครอยากเกี่ยวข้องเรื่องนี้ บันทึกของนายท่านที่ตลาดสวรรค์ก็ไม่ได้ยอดเยี่ยมสักเท่าไร ทางที่ดีอย่าก่อเรื่องตลาดผีเลย” ความหมายแฝงในคำพูดก็คือ อย่ามาก่อเรื่องในอาณาเขตของข้า
เหมียวอี้ตอบว่า “จะพูดอย่างนี้ก็แล้วกัน ข้ามีศัตรูเยอะเกินไป ที่จวนแม่ทัพภาคคึกคักเกินไป อยู่แล้วไม่สงบใจ วัดพระกษิติครรภ์ค่อนข้างลับตาคน”
เฉาหม่านตอบว่า “อีกฝ่ายเป็นคนแดนพุทธ ไม่สอดมือเข้ามายุ่งเรื่องฝั่งตำหนักสวรรค์ แค่อยากจะหลบอยู่อย่างสงบ ท่านเอาอีกฝ่ายมาเกี่ยวข้องกับเรื่องวุ่นวาย ท่านคิดว่าอีกฝ่ายจะตอบตกลงเหรอ? มิหนำซ้ำถ้ารบกวนราชินีสวรรค์เพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ท่านคิดว่าเหมาะสมเหรอ?” เขาแสยะยิ้มทีหนึ่ง ทำท่าราวกับบอกว่าให้เหมียวอี้ล้มเลิกความคิดนี้เสีย
“ที่จริงขอเพียงเถ้าแก่คุยให้ทั้งสองฝ่าย ทั้งสองฝ่ายจะต้องไว้หน้าเถ้าแก่แน่นอน” เหมียวอี้กล่าวอย่างเชื่องช้าใจเย็น
“ตึกศาลาสัตยพรตไม่ยุ่งกับเรื่องแบบนี้” เฉาหม่านปฏิเสธลูกเดียว
“ที่สำคัญคือถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากราชินีสวรรค์…ต่อให้แดนพุทธตอบตกลงก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี!” เหมียวอี้ไม่ยอมแพ้
“อ้อ!” เฉาหม่านฟังอะไรบางอย่างออกจากน้ำเสียงของเขา จึงจิบชาช้าๆ สองสามคำ ก่อนจะให้คำตอบที่แฝงความหมายลึกซึ้ง “เดิมทีเจ้าถูกดูแลโดยตำหนักนารีสวรรค์อยู่แล้ว รายงานไปที่ตำหนักนารีสวรรค์โดยตรงก็พอแล้ว มาหาข้าถือเป็นการกระทำที่มากเกินความจำเป็น” เขาอยากจะเห็นว่าเหมียวอี้จัดการคนฝั่งแดนพุทธอย่างไร
เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็เข้าใจแล้วเช่นกัน อีกฝ่ายไม่สะดวกจะคุยให้อย่างโจ่งแจ้ง ยังต้องให้เขารายงานเองอย่างเปิดเผย เพียงแต่ลับหลังจะช่วยเขาคุยกับราชินีสวรรค์ได้ จึงกุมหมัดคารวะขอบคุณทันที “เถ้าแก่ชี้แนะได้ถูกต้อง วันหลังค่อยมารบกวนใหม่” พูดจบก็ลุกขึ้นเดินจากไป
ทว่าเฉาหม่านกลับพูดรั้งเขาไว้ “อย่ารีบเลย ยังมีอีกเรื่องที่อยากอธิบายกับนายท่าน”
เหมียวอี้อึ้งทันที แล้วก็นั่งลงอีก “มีเรื่องอะไร?”
เฉาหม่านวางถ้วยน้ำชาลง “ช่วงนี้ตลาดผีเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย มีคนทำงานไม่สอดคล้องกับจริยธรรม ทำลายธรรมเนียมของตลาดผี บางทีใช้อุบายชั่วกับโรงน้ำชาของคนอื่น ทำให้คนอื่นประกอบธุรกิจไม่ได้ บางทีก็ไปคุกคามที่สำนักของคนอื่น บ้างครั้งไปจับตัวคนในครอบครัวคนอื่นมาเป็นตัวประกัน ใช้วิธีการต่างๆ นาๆ เพื่อ ‘ซื้อ’ ร้านค้า ไม่ต่างอะไรกับนักต้มตุ๋นที่หลอกไปทั่วโดยไม่ลงทุน เมื่อตรวจสอบดูแล้วก็พบว่าเกี่ยวข้องกับสวีถังหรานลูกน้องของท่าน ตอนนี้ทุกคนมาร้องขอความยุติธรรมที่ตึกศาลาสัตยพรต ข้าต้องได้หัวคนไปชี้แจงกับพวกเขา นายท่านคิดว่าข้าจะทำยังไงดี? ถ้านายท่านไม่สะดวกจะลงมือเอง ก็มีคนจะทำแทนให้”
“ทำไมเจ้าเวรนี่ไม่รู้จักเคารพธรรมเนียมบ้างเลย?” เหมียวอี้กล่าวด้วยสีหน้าโมโห แต่จากนั้นก็ถอนหายใจทันที “เรื่องนี้น่ะ ที่จริงก็โทษสวีถังหรานไม่ได้หรอก เป็นข้าเองที่ให้เขาไปซื้อร้านค้าที่ตลาดผีหลายร้าน เขาอาจจะขัดสนเงินทองกระมัง เลยทำงานรีบเร่งไปหน่อย กลับไปข้าจะตักเตือนเขา ครั้งนี้ยกเว้นให้ ครั้งต่อไปไม่ปล่อยแน่?”
“ครั้งนี้ยกเว้นให้ ครั้งต่อไปไม่ปล่อยแน่? หรือท่านแม่ทัพภาคยังอยากจะให้มีครั้งหน้าอีก? แก้ไขครั้งนี้ก่อนแล้วกัน” เฉาหม่านกล่าวอย่างไม่เกรงใจ “คายสิ่งที่ฮุบไปออกมาเดี๋ยวนี้ เรียกทหารสวรรค์ที่ไปข่มขู่คนอื่นกลับมาทันที ที่จับคนในครอบครัวพวกเขาไว้ก็ปล่อยเดี๋ยวนี้ ขอเพียงเขาชี้แจง ก็จะปล่อยเขาไปสักครั้งเพื่อเห็นแก่หน้านายท่าน ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าตึกศาลาสัตยพรตไม่เกรงใจ” ถ้าไม่ใช่เพราะมีเหตุผลพิเศษ ฝั่งนี้คงจะให้บทเรียนกับจวนแม่ทัพภาคแล้ว มีหรือที่จะนั่งคุยกันดีๆ อย่างนี้
เหมียวอี้ตอบกลั้วหัวเราะ “อยู่ที่ตลาดผี เรื่องข่มเหงแย่งชิงนั้นเกิดขึ้นทุกวัน ทำไมพอข้าทำบ้างก็ไม่ได้แล้วล่ะ?”
“ธรรมเนียมก็คือธรรมเนียม คนของจวนแม่ทัพภาคไปแทรกแซงเรื่องการค้าขายที่ตลาดผีไม่ได้” เฉาหม่านกล่าว
เหมียวอี้หัวเราะไม่ออกแล้ว กล่าวอย่างเอื่อยเฉื่อยว่า “ธรรมเนียมไม่มียกเว้นไมตรี ต้องให้ทางรอดสักทางสิ” ในคำพูดเผยความหมายแฝงว่า ถ้าไม่เหลือทางรอดให้ข้า ไม่ว่าเรื่องอะไรข้าก็ทำได้ทั้งนั้น
“ท่านกำลังขู่ข้าเหรอ?” เฉาหม่านถาม
“จะกล้าได้ยังไง! ถ้าไม่มีทรัพยากรฝึกตนแล้วข้าจะฝึกตนได้ยังไงล่ะ ต้องให้ทางรอดกันบ้างสิ?” เหมียวอี้ถาม
“ตระกูลโค่วให้ทรัพยากรฝึกตนท่านน้อยไปเหรอ?” เฉาหม่านถาม
“ก่อนหน้านี้ก็ไม่น้อยหรอก” พอพูดถึงตรงนี้ เหมียวอี้ก็ทำสีหน้าหมดอารมณ์นิดหน่อย แล้วยกถ้วยน้ำชาอุ่นๆ ขึ้นมาจิบหนึ่งคำ “เพิ่งจะได้รับข่าวจากตระกูลโค่วมา หลังจากนี้ตระกูลโค่วจะไม่ให้ทรัพยากรฝึกตนข้าอีกแล้ว รอให้ข้าเจอกำลังพลที่ยินดีจะมาอยู่ที่จวนแม่ทัพภาคแล้ว กำลังพลของตระกูลโค่วก็จะออกจากที่นี่ทันที”
“เอ่อ…” เฉาหม่านงุนงงเล็กน้อย แล้วถามอย่างแปลกใจว่า “มันเรื่องอะไรกัน?”
“ไม่พูดดีกว่า” เหมียวอี้ส่ายหน้าพลางยิ้มอย่างเบื่อหน่าย
นี่ไม่ใช่คำโกหก เพราะสถานการณ์เป็นอย่างนี้จริงๆ แต่ตระกูลโค่วอธิบายเหตุผลได้ค่อนข้างดี นั่นก็คือเพื่อที่จะรับประกันความปลอดภัยของเขาได้ ก็ต้องประนีประนอมกับขุนนางใหญ่คนอื่นของตำหนักสวรรค์ด้วย จำเป็นต้องทำอย่างนี้เพื่อให้เกิดผลดีกับเขา แต่การถอนกำลังพลของตระกูลโค่วกลับไม่ได้เรียบง่ายแค่การเปลี่ยนกำลังพล เพราะกำลังพลของตระกูลโค่วที่อยู่ที่นี่ย่อมมีตระกูลโค่วช่วยเลี้ยงไว้ แต่ถ้าเปลี่ยนกำลังพลใหม่ จะมีใครอยากมาอยู่ในสถานที่เส็งเคร็งอย่างตลาดผีล่ะ ต่อให้ฝืนย้ายมา แต่ถ้าเจ้าไม่ให้ประโยชน์อะไรกับอีกฝ่ายเลย ไม่มีเงินทั้งยังไม่ได้เลื่อนขั้น ชัดเจนว่าไร้อนาคต แล้วผีที่ไหนจะอยากมาทำงานรับใช้เจ้าล่ะ จะให้ตึกศาลาสัตยพรตช่วยให้เจ้าเลื่อนขั้นเร็วๆ เหรอ ไม่มีทางเกิดเรื่องอย่างนั้นอีกแน่นอน
ถ้าให้เขาแค่คนเดียว ทรัพยากรฝึกตนที่หกลัทธิมอบให้ก็เลี้ยงทั้งครอบครัวของเขาได้อย่างไม่มีปัญหา แต่ถ้าจะเอาทรัพยากรของหกลัทธิมาเลี้ยงคนกลุ่มใหญ่ ก็อาจจะฟังดูเหลวไหลไปหน่อย ถ้าอยากจะได้ลูกน้องคนสนิทสักกลุ่ม การลงทุนเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เดิมทีนึกว่าจะไม่ต้องกังวลเรื่องใช้ทรัพยากรแล้ว ผลปรากฏว่าอ้อมไปอ้อมมาก็ยังหลบไม่พ้น อยากจะทำงานใหญ่ก็ไม่พ้นต้องใช้กำลังทรัพย์สนับสนุน ถ้าไม่มีกำลังทรัพย์แม้แต่งานเล็กก็จัดการได้ยาก ที่เขาให้สวีถังหรานหาร้านค้ายี่สิบร้านก็เพราะมีแผนอีกอย่างหนึ่ง ตอนนี้แผนเกิดการเปลี่ยนแปลง จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไรแล้ว ใครจะคิดว่าตระกูลโค่วจะถอนกำลังออก ทำให้เขาต้องพิจารณาปัญหาเรื่องกำลังทรัพย์
แน่นอน เรื่องนี้ก็มีประโยชน์เช่นกัน ตระกูลโค่วคืนอิสระให้อวิ๋นจือชิวแล้ว ถ้ารบกวนเรื่องอะไรเล็กน้อยก็พอช่วยได้ แต่ถ้าเรื่องใหญ่ก็อย่าหวังเลย นอกจากนี้หลังจากตระกูลโค่วถอนกำลังออกไป อย่างน้อยก็ไม่ต้องถูกตระกูลโค่วจับตาดูอย่างเข้มงวดแล้ว
และตระกูลโค่วก็พูดจาถึงขั้นนี้ เหมียวอี้รู้อยู่แก่ใจเช่นกัน นี่คือรูปแบบใหม่ที่ใช้ตัดสัมพันธ์ระหว่างเขากับตระกูลโค่ว เพียงแต่เรื่องบางเรื่องถ้าพูดเปิดเผยทุกคนจะมองหน้ากันไม่ผิด เหลือทางหนีทีไล่ไว้สักนิด ต่อไปเวลาเจอกันจะได้ไม่ลำบากใจ
เฉาหม่านทำสีหน้าครุ่นคิด ถึงแม้จะไม่เข้าใจว่าในนั้นเกิดเรื่องอะไรกันแน่ แต่คาดว่าหนิวโหย่วเต๋อคงไม่ถึงขั้นพูดซี้ซั้วกับปัญหานี้ จึงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “ลูกน้องเก่าของท่านที่ตลาดสวรรค์ล่ะ ให้ช่วยหาร้านที่ตลาดสวรรค์ให้หลายๆ ร้านก็คงไม่ยากมั้ง?”
“ร้านค้าที่ตลาดสวรรค์จะค้าขายได้กำไรเยอะเหมือนการค้าหลบๆ ซ่อนๆ ที่ตลาดผีได้ยังไงล่ะ?” เหมียวอี้ส่ายหน้า แต่นี่เป็นเพียงสาเหตุเดียวเท่านั้น อีกสาเหตุเป็นเพราะเขาไม่อยากทำให้พวกฝูชิงลำบากไปด้วย อย่างไรเสียเรื่องบางเรื่องตระกูลโค่วก็แค่พูดไว้เท่านั้น ในภายหลังจะเป็นอย่างไรก็ไม่มีใครพูดได้ชัดเจน ถ้าพวกฝูชิงใกล้ชิดเขาเกินไปอาจจะไม่ใช่เรื่องดี นอกจากนี้ เมื่อดูจากสถานการณ์ต่างๆ ถ้าตัวเองอยากจะหลุดพ้นจากตลาดผีก็เกรงว่าคงยากนิดหน่อย การไปขอให้พวกฝูชิงช่วยเหลือไม่ใช่สิ่งที่เขาปรารถนา
แล้วอีกอย่าง เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ที่คลุมเครือ การทำร้านค้าที่ตลาดสวรรค์มีความเสี่ยงนิดหน่อย เขาเคยเป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์มาก่อน ทางการบทจะยึดร้านเจ้าก็ยึดเลย ถึงตอนนั้นความเสียหายก็จะไม่ใช่น้อยๆ เขาเคยมีเรื่องกับคนมากมายขนาดนั้น ใครจะพูดได้ชัดเจนล่ะ ไม่เหมือนตอนอยู่ที่ตลาดผี ตึกศาลาสัตยพรตสามารถรับประกันให้เขาได้ในระดับหนึ่ง มือของตำหนักสวรรค์แทรกแซงเข้ามาไม่ได้ นี่ก็คือรากฐานที่ตึกศาลาสัตยพรตสามารถรวบรวมตลาดซื้อขายที่ตลาดผีได้
“ถ้าไม่อย่างนั้น ข้าลดขนาดลงก็ได้ สักสิบร้านเป็นยังไง?” เหมียวอี้ต่อรอง
เฉาหม่านปฏิเสธลูกเดียว “ข้าจะบอกอีกครั้ง ธรรมเนียมก็คือธรรมเนียม คนของจวนแม่ทัพภาคไม่อาจยื่นมือเข้าไปแทรกแซงการค้าในตลาดผีได้ อย่าว่าแต่สิบร้านเลย ต่อให้เป็นร้านเดียวก็ไม่ได้ ไม่มีทางเหลือให้ต่อรอง! ถ้าเริ่มผ่อนผันให้ท่าน ต่อไปถ้าที่นี่เปลี่ยนแม่ทัพภาค พวกเขาก็จะยกท่านมาเป็นข้ออ้าง แล้วข้าจะสกัดขวางมือของตำหนักสวรรค์ที่ยื่นมาที่นี่ได้ยังไงล่ะ?”
เหมียวอี้ขมวดคิ้ว อีกฝ่ายอธิบายเหตุผลชัดเจนขนาดนี้ สงสัยช่องทางนี้จะไม่สะดวกแล้วจริงๆ หลังจากในหัวรีบคิดหาวิธี สุดท้ายก็เอ่ยปากขอร้องอีกฝ่าย “เถ้าแก่ ช่วยอะไรข้าอีกสักนิดได้มั้ย?”
“อะไร?” เฉาหม่านถามเสียงเย็น
เหมียวอี้นั่งโน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย “ช่วยคุยกับราชินีสวรรค์ให้สักหน่อยว่าจะช่วยได้หรือไม่ ข้าไม่ต้องการกำลังพลที่ตลาดผีแล้ว ไม่ต้องส่งคนมาที่นี่แล้ว ข้าจะเป็นแม่ทัพภาคโดดเดี่ยว ให้อำนาจข้าตัดสินใจด้วยตัวเองก็พอ”
แม่ทัพภาคโดดเดี่ยว? นี่จะมาไม้ไหนอีก? เฉาหม่านงงไปชั่วขณะ ก่อนจะถามว่า “อำนาจในการตัดสินใจด้วยตัวเองคืออะไร?”
เหมียวอี้ตอบว่า “อนุญาตให้ข้ารับนักพรตอิสระมาทำงานให้จวนแม่ทัพภาคในนามของจวนแม่ทัพภาค แบบนี้สามารถช่วยตำหนักสวรรค์ประหยัดค่าจ้างได้เยอะเลย ใช่มั้ยล่ะ?”
ในหัวของเจ้าหนุ่มนี่มันคิดบ้าอะไรของมัน? เฉาหม่านครุ่นคิด แต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจ พบว่าตัวเองค่อนข้างโง่ ไม่น่าเชื่อว่าจะตามความคิดของเจ้าหนุ่มนี่ไม่ทัน จึงอดไม่ได้ที่จะถามอย่างแปลกใจ “หรือว่ารับนักพรตอิสระมาทำงานให้จวนแม่ทัพภาคแล้วจะไม่ต้องจ่ายเงินเลี้ยง? ถ้าไม่มีทรัพยากรฝึกตนแล้วใครจะมาทำงานให้? ตำหนักสวรรค์ดึงกำลังพลให้ท่าน อย่างน้อยท่านก็ไม่ต้องควักเงินกระเป๋าตัวเองมาจ่ายค่าจ้างพื้นฐานไม่ใช่เหรอ?”
เหมียวอี้ตอบว่า “กำลังพลที่ดึงมาจากตำหนักสวรรค์ทำงานได้แค่ในตลาดผี ถ้าส่งออกไปทำอะไรก็จะเกินขอบเขตได้ง่าย แต่กำลังพลที่ข้าหามาเองสามารถส่งออกไปทำงานข้างนอกหรือไม่ก็ทำธุรกิจสร้างกำรให้ข้าได้ ทำอะไรแค่นี้ไม่ได้เหรอ?”
“…” เฉาหม่านพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง แต่ในหัวเกิดแสงสว่างฉับพลัน หรือว่าเจ้าหนุ่มนี่จะฉวยโอกาสดึงอำนาจที่อยู่เบื้องหลังออกมา?
เขายกถ้วยน้ำชาขึ้นช้าๆ พร้อมกล่าวอย่างเนิบนาบ “เดิมทีท่านก็อยู่ในสังกัดตำหนักนารีสวรรค์โดยตรง รายงานไปที่ตำหนักนารีสวรรค์โดยตรงก็สิ้นเรื่องแล้ว มาหาข้าถือว่าเกินความจำเป็นไปหน่อย”
คำตอบเหมือนกับก่อนหน้านี้ไม่มีผิด เหมียวอี้เข้าใจแล้ว จึงยืนขึ้นกุมหมัดคารวะ พร้อมกล่าวปนเสียงหัวเราะ “เช่นนั้นข้าก็ขอตัวก่อน รอให้เรื่องเปลี่ยนอาณาเขตกับวัดพระกษิติครรภ์เรียบร้อยแล้ว ข้าก็จะจัดการเรื่องนี้ทันที ส่วนเจ้าสวีถังหรานนั่นก็เหลวไหลเกินไปแล้ว เดี๋ยวกลับไปข้าจะสั่งให้เขากลับเนื้อกลับตัวเลย!”
บทที่ 1702 จวนแม่ทัพภาค
เรื่องจริงก็ได้พิสูจน์แล้ว ว่าเมื่อมีเฉาหม่านคอยช่วยเหลือ เรื่องการสลับอาณาเขตก็ไม่ใช่ปัญหาเลย หลังจากจวนแม่ทัพภาคตลาดผีรายงานสิ่งที่ต้องการต่อตำหนักนารีสวรรค์ คำตอบที่ได้รับก็ไม่ใช่การปฏิเสธ บอกว่าเพียงต้องพิจารณาสักหน่อย
สำหรับบางคน เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นเรื่องใหญ่ แต่สำหรับคนระดับราชินีสวรรค์ นี่ก็เป็นแค่เรื่องเกี่ยวกับการเปลี่ยนที่พัก ตราบใดที่ฝั่งแดนพุทธไม่มีความเห็นแย้งก็จะไม่มีปัญหา ที่จริงขอเพียงนางเอ่ยปาก ฝั่งแดนพุทธก็ไม่น่าจะหักหน้านาง ก็แค่เรื่องเปลี่ยนที่พักเอง หน้าตาศักดิ์ศรีของราชินีสวรรค์มีค่ากว่าสิ่งนี้ไกลมาก
หลังจากนั้นไม่กี่วัน เหมียวอี้ก็ได้รับข่าวที่ส่งมาจากพระอาจารย์จี้คงวัดพระกษิติครรภ์ บอกว่าสามารถสลับที่อยู่กันได้ ถามเขาว่าสะดวกจะสลับกันเมื่อไร
ยังต้องใช้เวลาอะไรอีก? สลับทันที! สถานที่อันตรายเช่นนี้เขาไม่อยากอยู่ต่อแม้แต่วันเดียว
หลังจากเหลือคนไว้ส่วนหนึ่งเพื่อส่งต่องาน เหมียวอี้ก็เด็ดป้ายจวนแม่ทัพภาคแล้วนำกำลังพลไปที่วัดพระกษิติครรภ์โดยตรง
พระอาจารย์จี้คงที่พบกับเขามีสีหน้าจนใจ แบบนี้มันเรียกว่าเรื่องอะไรกัน แต่ก็ไม่มีทางเลือก เพราะเบื้องบนออกคำสั่งมาแล้ว เก็บของย้ายที่ก็แล้วกัน
“พระอาจารย์ ท่านลืมหยิบของไปด้วย”
จี้คงกำลังนำคนออกจากประตูใหญ่เตรียมจะออกไป แต่ถูกเหมียวอี้ตะโกนเรียกไว้
พระอาจารย์จี้คงหันกลับมามองอย่างงุนงง เหมียวอี้ที่ยืนอยู่ตรงประตูหรี่ตายิ้มพร้อมชี้ป้ายชื่อบนวงกบประตู
พระอาจารย์จี้คงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกทันที จากนั้นโบกแขนเสื้อ ร่ายอิทธิฤทธิ์ดูดป้ายชื่อเข้ามาเก็บไว้ จากนั้นประนมมือขอบคุณเหมียวอี้
“แขวนป้ายชื่อ” เหมียวอี้เอียงหน้าบอกสวีถังหราน สวีถังหรานปฏิบัติตามอย่างร่าเริงทันที ส่วนเหมียวอี้กุมหมัดคารวะจี้คง “ขออภัยที่ส่งได้เพียงตรงนี้!”
ขณะมองดูจี้คงเดินจากไป บนใบหน้าเหมียวอี้ก็เริ่มทำสีหน้าประหลาด ไม่รู้ว่าหลังจากจี้คงเห็นสภาพที่พักโกโรโกโสแล้วจะมีปฏิกิริยาอย่างไร
“นายท่าน แขวนเสร็จแล้ว ท่านดูหน่อยว่าเป็นยังไง?” สวีถังหรานขอรายละเอียดอยู่ข้างๆ
เหมียวอี้หันตัวมาเงยหน้ามอง พบว่าตั้งตรงเรียบร้อยมาก เขาจึงพยักหน้า แล้วชี้บนผนังด้านนอก “ติดประกาศว่าย้ายวัดพระกษิติครรภ์ไปแล้ว จะได้ไม่มีศิษย์สำนักพุทธแล้วเข้าประตูผิด”
“ขอรับ! จะไปจัดการเดี๋ยวนี้” สวีถังหรานเอ่ยรับทันที
เหมียวอี้เอามือไขว้หลังเดินเข้าไปข้างใน “ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ให้ค้นหาในที่พักให้ละเอียดทุกซอกทุกมุม อย่าให้เหลือลับลมคมในอะไรเอาไว้”
“ขอรับ!” หยางเจาชิงนำคนไปปฏิบัติตามคำสั่งทันที
ส่วนเหมียวอี้ก็เดินขึ้นไปชั้นบนอย่างเนิบช้า มาถึงพระอุโบสถแห่งนั้น เม่ยจีกับอวี้หลัวช่าล้วนเจอเขาที่นี่ คิดไปคิดมาก็รู้สึกทอดถอนใจ เมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ยังเป็นแขกอยู่เลย แต่ด้วยความพยายามของตน ชั่วพริบตาเดียวตนก็กลายเป็นเจ้าของที่นี่แล้ว
ส่วนพระพุทธรูปที่หลงเหลืออยู่ที่นี่ เหมียวอี้ก็ไม่ได้คิดจะรื้อทิ้ง ทุกที่ในนี้ล้วนมีร่องรอยของสำนักพุทธ ถ้าจะจัดการก็ยุ่งยากเช่นกัน
เพียงแต่ถ้าพูดโดยภาพรวมแล้ว ปัจจัยของที่นี่ก็เหนือกว่าที่อาณาเขตเดิมเยอะมาก ถึงแม้ที่อาณาเขตเดิมจะไม่นับว่าแย่ก็ตาม
ส่วนพระอาจารย์จี้คงที่เข้าพักในจวนแม่ทัพภากลับงงเป็นไก่ตาแตก ตะลึงงันกับสิ่งที่เห็น กวาดสายตามองครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างเนิบช้าเหม่อลอย นึกว่าตัวเองตาฝาดไป หรือว่านี่จะเป็นภาพลวงตาที่เกิดจากวิชาอะไรบางอย่าง?
มองดูจากภายนอกก็ยังพอไหว แต่พอเข้ามาข้างในทำไมกลายเป็นอย่างนี้ล่ะ ก่อนหน้านี้ก็เคยมา แต่ก็ไม่ใช่แบบนี้นี่นา ผนังนั่น เสานั่น ขื่อนั่น ทำไมดูเหมือนเสี่ยงจะถล่มลงมาได้ทุกเมื่อ คนที่มาที่นี่เป็นครั้งแรกเดินแล้วไม่กล้าส่งเสียงดังเลย น่าตกใจมาก ทำไมกลายเป็นอย่างนี้ไปได้?
ศิษย์สำนักพุทธคนอื่นที่เตรียมตัวเข้าพักเรียบร้อยแล้ว แต่ละคนทำสีหน้าตกใจ ไม่ค่อยกล้าเชื่อสิ่งที่ตัวเองได้เห็น
ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ทุกคนที่มีโอกาสมาที่จวนแม่ทัพภาคบ่อยๆ คนที่ได้เห็นสถานการณ์ในจวนแม่ทัพภาคมีไม่เยอะ ในดวงตาพวกเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ ที่แท้คนในจวนแม่ทัพภาคก็พักอยู่ในสถานที่อันตรายอย่างนี้นี่เอง ไม่แปลกใจที่อยากจะแลกสถานที่กับพวกเรา
พระอาจารย์จี้คงเอามือลูบเสาที่บอบบางเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่ใช่วิชาพรางตา ใบหน้าก็เดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีด ค่อยๆ เผยสีหน้าโกรธเคืองออกมา ชั่วขณะนั้นอยากจะไปขอคำชี้แจงจากเหมียวอี้ ทว่าสุดท้ายก็ยังข่มอารมณ์ไว้ พยายามทำใจให้สงบ เกลี้ยกล่อมตัวเองว่าอย่าวู่วาม
ประการแรก หนิวโหย่วเต๋อเป็นนักรบที่โด่งดัง เป็นแม่ทัพผู้เหี้ยมหาญที่มีผลงานการรบดีมาก เชี่ยวชาญการรบที่สุด ลูกน้องของเขาก็ล้วนเป็นกำลังพลชั้นดีของตระกูลโค่ว ถ้าต่อสู้กันขึ้นมา ฝ่ายนี้ก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหนิวโหย่วเต๋อเลยจริงๆ ประการต่อมา หนิวโหย่วเต๋อขึ้นชื่อว่าเป็นพวกไม่ใช้สมอง มีเรื่องอะไรบ้างที่ทำไม่ได้? ต่อให้ตนไม่อยากจะสู้ ต่อให้แค่จะไปคุยกันด้วยเหตุผล แต่เจ้าหนุ่มนั่นก็อาจไม่แน่ นอกจากนี้ก็ยังสงสัยด้วยว่าหนิวโหย่วเต๋อกำลังจงใจล้างแค้นตน เดิมทีก็จงใจหาเรื่องอยู่แล้ว หลังจากหลอกเขาสองครั้งติดต่อกัน เขาก็ประกาศแล้วว่าจะรื้อวัดพระกษิติครรภ์ของตน ใครจะคิดว่าท่าไม้ตายสำรองจะอยู่ที่นี่ ไม่น่าเชื่อว่าจะรื้อที่นี่ ความคิดแบบนี้ชั่วร้ายเกินไปแล้ว!
ที่สำคัญที่สุดก็คือ ตัวเองเป็นฝ่ายไปหาก่อน ถ้าทำให้แดนพุทธกับตำหนักสวรรค์เกิดข้อพิพาทขึ้นมา ตนก็รับผิดชอบไม่ไหวเลยจริงๆ
แต่ความโกรธนี้…พอหันตัวมองดูสภาพโดยรอยแล้วข่มอารมณ์ไม่ไหวจริงๆ แบบนี้จะอยู่กันอย่างไรล่ะ! ถ้าอยู่ไปสองวันแล้วถล่มลงมาจะทำอย่างไร?
ดังนั้นเขาจึงหยิบระฆังดาราออกมา จะต้องร้องเรียนเรื่องนี้ให้ได้!
หลังจากแดนพุทธได้ข่าวจากจี้คง ทีแรกก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไร ต่อให้หนิวโหย่วเต๋อจะสารเลวแค่ไหนแต่ก็ไม่ถึงขั้นทำเรื่องแบบนี้หรอกมั้ง? ทว่าหลังจากตรวจสอบยืนยันซ้ำ ก็พบว่าข่าวไม่ผิด หนิวโหย่วเต๋อทำอย่างนี้แล้วจริงๆ
แน่นอน พวกเขาไม่อาจแตกคอกับตำหนักสวรรค์เพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ แต่ก็จะทำเหมือนฝั่งนี้เป็นคนโง่ไม่ได้ ยังต้องเตือนฝั่งราชินีสวรรค์สักหน่อย ว่าถ้าครั้งหน้าเกิดเรื่องแบบนี้อีกจะไม่ยอมแล้ว!
หลังจากตำหนักนารีสวรรค์ได้ข่าวจากแดนสุขาวดี ทีแรกก็ไม่กล้าเชื่อเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้ถามเหมียวอี้ ไปถามทางตึกศาลาสัตยพรตแทนว่าคิดอย่างไร รู้เรื่องล่วงหน้าแล้วเตรียมแผนอื่นไว้แล้วหรือเปล่า? เหตุใดจึงไม่บอกล่วงหน้า วุ่นวายจนทางนี้ไม่รู้จะตอบแดนพุทธอย่างไร
ส่วนราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็คิดว่าเฉาหม่านคงมีแผนอะไรอีกอย่างหนึ่ง ไม่อย่างนั้นคงไม่ช่วยบอกกับทางนั้นให้หนิวโหย่วเต๋อหรอก ที่จริงมีหลายเรื่องมากที่ตระกูลเซี่ยโห้วแอบทำโดยไม่บอกนาง นางก็รู้เช่นกัน แต่ก็จนใจที่ทำอะไรไม่ได้ จึงทำได้เพียงแสดงออกต่อเฉาหม่านอย่างอ้อมๆ ว่าไม่พอใจ
หลังจากได้รับข่าว เฉาหม่านก็ยังไม่กล้าเชื่อเช่นเดียวกัน เป็นไปไม่ได้หรอกมั้ง? แต่เขาก็ไม่รู้สถานการณ์เบื้องลึกจริงๆ ที่สำคัญคือหลังจากกำลังพลในจวนแม่ทัพภาคตลาดผีย้ายออกไปแล้ว ก็เปลี่ยนกำลังพลใหม่เป็นคนของตระกูลโค่วทั้งหมด คนนอกจึงไม่รู้ว่าสถานการณ์ข้างในเป็นอย่างไร
ดังนั้นเรื่องเล็กน้อยนี้จึงสะเทือนไปถึงเถ้าแก่เฉาหม่านแห่งตึกศาลาสัตยพรตให้ต้องออกโรงเอง เฉาหม่านนำคนไปที่ ‘วัดพระกษิติครรภ์ใหม่’ ด้วยตัวเอง โดยใช้ข้ออ้างที่ฟังดูดีว่ามาเยี่ยมเยียน ที่จริงจะมาตรวจสอบว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรกันแน่
พระอาจารย์จี้คงย่อมรู้ถึงสถานะของเฉาหม่านที่ตลาดผี นับเป็นผู้ที่มีอำนาจในตลาดผีอย่างแท้จริง ดังนั้นจึงออกมาต้อนรับด้วยตนเอง
“เถ้าแก่เฉามาเยือนด้วยตนเอง นับเป็นเกียรติของวัดเล็กๆ แห่งนี้” จี้คงประนมมืออย่างสุภาพ แล้วหันตัวเชิญ
ภายนอกดูไม่เลว ไม่เหมือนมีปัญหาอะไร!
เฉาหม่านที่ยืนอยู่ตรงประตูเหลียวซ้ายแลขวา พยักหน้าเล็กน้อย แล้วเอามือไขว้หลังเดินเข้าไปข้างใน
หลังจากมาถึงข้างในแล้ว เห็นสภาพเรือนพักที่โอนเอนใกล้จะล้ม เฉาหม่านและผู้ติดตามก็เดินเบาๆ โดยจิตใต้สำนึก พวกเขาสบตากันอย่างพูดไม่ออก เงยหน้ามองบนเพดาน ไม่รู้เลยจริงๆ ว่ามันจะถล่มลงมาเมื่อไร นี่มันใช่ที่อยู่อาศัยของคนเหรอ?
เมื่อได้เห็นกับตาตัวเองแล้ว เฉาหม่านก็นับว่าเชื่อว่าหนิวโหย่วเต๋อทำเกินไป ขนาดเรื่องไร้คุณธรรมที่เกิดผลเสียต่อตัวเองแบบนี้ก็ยังกล้าทำ ขนาดไม่ได้ประโยชน์อะไรก็ยังล่วงเกินคนเขาไปทั่ว ช่างเป็นคนบ้าจริงๆ! เขาจึงกล่าวว่า “ไต้ซือเตรียมจะแลกกลับหรือเปล่า?” เขาเฝ้ารอที่จะเห็นเหมียวอี้โดนกรรมตามสนองมาก
เฉาเฟิ่งฉือที่ตามมาด้วยเรียกได้ว่าหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก กาเข้าฝูงกา หงส์เข้าฝูงหงส์ สมกับเป็นสหายเพียงคนเดียวของพี่ใหญ่ตอนยังมีชีวิตอยู่ ทำไมมีสันดานเดียวกันซะได้
จี้คงถอนหายใจแล้วบอกว่า “ทางสำนักส่งข่าวมา ว่าให้เห็นแก่หน้าราชินีสวรรค์แล้วปล่อยผ่าน ให้พวกอาตมาซ่อมบำรุงสักหน่อย แต่แน่นอน หากเถ้าแก่เฉายินดีจะให้วัดพระกษิติครรภ์ขุดสร้างวัดใหม่ที่ริมตลาดผี อาตมาก็ย่อมซาบซึ้งใจไม่รู้สิ้น”
“เหอะๆ!” เฉาหม่านเอามือลูบจมูก แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ถ้าทิ้งบริเวณใจกลางตลาดผีไปก็น่าเสียดาย ต่อเติมที่นี่ให้มั่นคงแข็งแรงดีกว่า” นี่ไม่ใช่คำโกหก ที่นี่กำลังจะถล่มแล้วจริงๆ ต้องสิ้นเปลืองอีกแล้ว ที่พักที่จุคนจำนวนมากขนาดนี้ ต้องกินพื้นที่มากขนาดไหนกัน!
เขาเองก็แค่มาดูนิดหน่อย ดูว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า ไม่ได้เตรียมจะอยู่ที่นี่นาน
หลังจากออกจากวัดพระกษิติครรภ์แล้ว เฉาหม่านก็นำคนตรงไปยังจวนแม่ทัพภาคแห่งใหม่ ต้องการจะไปคิดบัญชีกับเหมียวอี้ เพราะบังอาจมาหลอกใช้เขา ทำให้เขาชี้แจงกับราชินีสวรรค์ไม่ได้ แต่พอไปได้ครึ่งทาง ก็เลี้ยวกลับมาที่ตึกศาลาสัตยพรตอีก ถ้าไปหาถึงที่จริงๆ แล้วจะทำอะไรเหมียวอี้ได้ล่ะ สั่งสอนสักยกเหรอ? ถ้ากลับไปตอนนี้ก็ยังต้องแกล้งโง่อีก ถ้าไปหาถึงที่ก็ต้องให้เหมียวอี้ให้คำชี้แจ้งจริงๆ!
“สลับจวนแม่ทัพภาคแล้ว?”
ในจวนอ๋องสวรรค์โค่วชั่วคราว โค่วหลิงซวีที่ได้รับข่าวรู้สึกงงนิดหน่อน
เรื่องนี้ปิดบังเขาไม่ได้ เพราะตระกูลโค่วยังไม่ได้ถอนกำลังกลับมาจากตลาดผี
“ข้าก็แปลกใจเหมือนกัน ข้าเห็นกับตาว่าสภาพจวนแม่ทัพภาคเสียหายจนกลายเป็นแบบไหน วัดพระกษิติครรภ์ตอบตกลงให้สลับกันได้ยังไง?” โค่วเจิงถาม
หลังจากนั้นไม่กี่วัน ทางนี้ก็ได้รับรข่าวจากฝั่งแดนพุทธแล้ว ทางนั้นบอกว่าจะช่วยปิดบังเรื่องที่ หนิวโหย่วเต๋อวางกับดักวัดพระกษิติครรภ์
ตระกูลโค่วได้ยินข่าวแล้วพูดไม่ออก ก่อนหน้านี้ยังนึกว่าเหมียวอี้ใช้วิธีการอะไรเจรจากับแดนพุทธให้ตอบตกลงได้ สงสัยจะเป็นการหลอกลวงขูดรีด!
โค่วหลิงซวีได้ยินข่าวแล้วเงียบไปพักหนึ่ง สุดท้ายก็ถอนหายใจเบาๆ “เจ้าหนุ่มนี่ช่างอยู่ไม่สุขจริงๆ! หวังว่าเขาจะรับสิ่งที่ตัวเองทำได้ก็แล้วกัน!”
ขนาดฝั่งนี้ยังรู้ข่าวแล้ว ทางวังสวรรค์ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ประมุขชิงที่ได้ทราบข่าวตั้งใจไปที่ตำหนักนารีสวรรค์ ไปเยี่ยมราชินีสวรรค์ที่กำลังตั้งครรภ์ แน่นอนว่าต้องถือโอกาสถามเรื่องจวนแม่ทัพภาคตลาดผีด้วย
หลังจากออกจากตำหนักนารีสวรรค์ ประมุขชิงก็ชำเลืองซ่างกวนชิงที่เดินตามเข้ามา อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า แล้วกล่าวอย่างรู้สึกขำ “พอพูดถึงเรื่องนี้ เฉิงอวี่ก็เหมือนจะโมโหนิดหน่อย! สลับอาณาเขตกัน สมแล้วที่เจ้าลูกลิงนั่นคิดได้ ใจกล้าไม่เบา ตัวอยู่ที่ตลาดผีแต่กล้าล่วงเกินตระกูลเซี่ยโห้ว แต่ก็น่าสนุกทีเดียว ไม่น่าเชื่อว่าพอรื้อจนจวนแม่ทัพภาคโอนเอนแล้ว ชั่วพริบตาเดียวก็หาคนมาสลับที่กันได้เรียบร้อย ทั้งยังมีคนโง่มารับช่วงต่อจริงๆ การแลกเปลี่ยนนี้ทำแล้วไม่ขาดทุน” พูดจบก็หัวเราะเบาๆ อีกอย่างอดไม่ได้ แปลกจัง พอรู้ว่าแม้แต่เหมียวอี้ก็ยังหลอกต้มตระกูลเซี่ยโห้วได้ ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะรู้สึกสะใจ
ซ่างกวนชิงยิ้มบางๆ แต่ก็ทำท่าอึกอัก เหมือนมีอะไรบางอย่างจะพูด
ประมุขชิงเหล่ตามองแวบหนึ่ง เดาว่าคงมีคำพูดบางอย่างที่ทำให้ตนไม่ปลื้ม จึงไม่สะดวกจะพูดออกมา จึงทำเสียงฮึดฮัดแล้วบอกว่า “มีอะไรก็พูดมาได้เลย”
ซ่างกวนชิงก้มหน้าตอบ “ได้รับข่าวมา ว่าทางสี่อ๋องสวรรค์ถ่ายทอดคำสั่งลงไปแล้ว สั่งแต่ละหน่วยของตัวเองว่าไม่ว่าในอดีตจะเคยมีความแค้นอะไรกับหนิวโหย่วเต๋อ ต่อไปนี้ก็ห้ามไปหาเรื่องหนิวโหย่วเต๋ออีก”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น