ลำนำบุปผาพิษ 1696-1705
บทที่ 1696 กู้ซีจิ่วหายตัวไป 4
กู้ซีจิ่วย่อมทราบถึงจิตใจของหลานไว่หู เอ่ยไปว่า “อาการบาดเจ็บของนางยังต้องรีบทำการรักษา ไม่อาจล่าช้าได้ ครูฝึกหลง ท่านมารักษาให้นางที” เธอมอบหลานไว่หูให้หลีเมิ่งซย่า “เมิ่งซย่า รบกวนเจ้าอุ้มนางออกไปจากที่นี่กับเจ้าสำนักหลงที”
หลีเมิ่งซย่าย่อมไม่ปฏิเสธ “ได้!” รับเอาหลานไว่หูไป หนนี้หลานไว่หูไม่หลบหลีกแล้ว ปล่อยให้หลีเมิ่งซย่าอุ้มอย่างว่าง่าย
สายตามองไปทางประตูเข้าออกอย่างข่มอารมณ์ไว้ไม่อยู่ ทำไมเยี่ยนเฉินยังไม่ออกมาล่ะ? ขอเขาอย่าได้ถูกจับตัวไว้ด้านในเลย…
หลงซือเย่เอ่ยถามกู้ซีจิ่ว “เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม? หน้าซีดมากเลย…”
“ข้าไม่เป็นไร ครูฝึกหลง อาการบาดเจ็บของไว่หูต้องฝากไว้กับท่านแล้ว ต้องรักษานางให้หายดีนะ”
หลงซือเย่ไม่พูดอะไร ยื่นมือไปจับชีพจรกู้ซีจิ่วดูทันที หลังจากยืนยันแล้วว่าเธอไม่เป็นไรและไม่ได้รับบาดเจ็บ ถึงได้ปล่อยมือ “เจ้าวางใจเถอะ อาการบาดเจ็บของนางข้าจะรับผิดชอบเอง”
กู้ซีจิ่วถอนหายใจอย่างโล่งอก หลงซือเย่กล่าวเช่นนี้แล้ว เช่นนั้นหลานไว่หูต้องไม่เกิดปัญหาใดขึ้นแน่นอน
หลานเยวี่ยคิดจะเอ่ยบางอย่าง จู่ๆ แผ่นดินใต้ฝ่าเท้าก็สั่นไหวขึ้นมา! คล้ายจะเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงขึ้นกะทันหัน!
“พวกท่านไปจากที่นี่ก่อนเถอะ ข้าจะไปตามหาเยี่ยนเฉิน” กู้ซีจิ่วพลันหมุนกาย เข้าไปในวังใต้ดินแห่งนั้นอีกครา…
หลงซือเย่หลุบตาลงเล็กน้อย เขารู้จักนิสัยรักพวกพ้องของเธอดี จึงไม่คิดจะขัดขวางการไปตามหาคนของเธอ
กลับเป็นหลัวจั่นอวี่ที่หน้าเปลี่ยนสีแวบหนึ่ง คิดจะตามเข้าไปด้วย แต่ถูกหลงซือเย่หยุดยั้งไว้ด้วยประโยคหนึ่ง “เจ้าไม่ต้องไปหรอก ด้วยวรยุทธ์ของซีจิ่วในยามนี้ ไม่ว่าประสบอันตรายใดเข้าก็เพียงพอจะคุ้มกันตัวเองได้ ถ้าเจ้าเข้าไปโดยไม่ทราบสถานการณ์ จะกลายเป็นตัวถ่วงนางได้”
หลัวจั่นอวี่คิดๆ ดูก็ว่าถูก ทำได้เพียงยอมวางมือ
หลงซือเย่ถอนหายใจ เขายังคงเชื่อมั่นว่ากู้ซีจิ่วจะสามารถออกมาได้อย่างปลอดภัย อีกอย่างด้วยวรยุทธ์ของเขาในยามนี้ ก็ไม่อาจช่วยอะไรเธอได้ชั่วคราว มิสู้รักษาคนที่เธอห่วงใยให้หายดีเสียดีกว่า พอนางออกมาจะได้ดีใจสักหน่อย
ดังนั้นเขากับหลีเมิ่งซย่าจึงพาหลานไว่หูล่วงหน้าจากไป
หลานเยวี่ยไม่ได้ติดตามไปด้วย เขายืนอยู่ใต้ต้นเหมยต้นหนึ่ง มองดอกเหมยอย่างใจลอย
หลัวจั่นอวี่ตบไหล่เขาทีหนึ่ง “เหตุใดไม่ตามไปดูเล่า?”
หลานเยวี่ยถูจมูก ถอนหายใจ “ยามนี้คนที่นางไม่อยากเห็นที่สุดคงจะเป็นข้า เป็นครั้งแรกที่ประมุขอย่างข้าถูกคนรังเกียจเช่นนี้…”
หลัวจั่นอวี่ทราบเรื่องราวระหว่างหลานเยวี่ย หลานไว่หู รวมถึงเยี่ยนเฉินด้วย ดังนั้นเขาจึงเอ่ยอย่างเห็นใจยิ่งนัก “บุปผาร่วงหล่นด้วยมีใจทว่าธารารินไหลกลับไร้รัก อันที่จริงแล้วสิ่งที่มิใช่ของเจ้าเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องฝืนดึงดันเลย ไยเจ้าต้องแยกคู่รักให้พลัดพรากกัน เพื่อความต้องการส่วนตัวของเจ้าด้วยเล่า? หากปล่อยวางได้ก็ปล่อยไปเสียเถอะ”
หลานเยวี่ยปรายตามองเขาแวบหนึ่ง “เจ้าสามารถประคองคู่หมั้นตนส่งมอบให้ผู้อื่นได้หรือไม่เล่า? หากว่านางไม่หนี ยามนี้นางจะเป็นศรีภรรยาของข้าแล้ว!”
“ประเด็นคือนางหนีแล้ว! นี่พิสูจน์ได้แล้วว่าหัวใจของนางไม่ได้อยู่ที่เจ้าเลย ตัวเจ้าดีร้ายอย่างไรก็เป็นถึงประมุขของเผ่าจิ้งจอกคราม บังคับฝืนใจเด็กสาวนางหนึ่งเช่นนี้จะมีประโยชน์อะไร? อีกทั้งตัวเจ้าก็ไม่มีโรคแอบแฝงอันใด ใช่ว่าจะหาภรรยาไม่ได้…”
หลานเยวี่ยร้องเฮอะคราหนึ่ง “เจ้าน่ะสิที่เป็นโรคแอบแฝง! สตรีที่ต้องการเป็นภรรยาของประมุขเช่นข้าไม่รู้ว่ามีอยู่มากมายปานใด!”
อันที่จริงเขาแค่ไม่ยินยอมอยู่บ้างก็เท่านั้น
ที่เขาอยากแต่งกับจิ้งจอกน้อยประการแรกเพราะเป็นความปรารถนาของบิดานาง ประการที่สองก็เพราะมีส่วนช่วยในการฝึกยุทธ์ของเขา ประการที่สามคือนางเป็นราชครูของเผ่าจิ้งจอกคราม เขาแต่งกับนางก็เท่ากับกุมอำนาจที่แท้จริงของเผ่าจิ้งจอกครามได้มั่นยิ่งขึ้น ประการที่สี่คือเขาก็ค่อนข้างชอบพอจิ้งจอกน้อยเช่นกัน รู้สึกว่านางน่ารักยิ่ง แต่งมาเป็นภรรยาก็ไม่นับว่าเลวร้ายอันใด
แน่นอนว่าความชอบที่เขามีต่อหลานไว่หูยังห่างไกลจากเยี่ยนเฉินนัก เขาไม่อาจสละชีวิตเพื่อนางได้…
—————————————————————————
บทที่ 1697 กู้ซีจิ่วหายตัวไป 5
เขาถอยหลังไปก้าวหนึ่ง หมายจะพูดบางอย่าง พื้นดินใต้ฝ่าเท้าก็พลันไหวสะเทือนขึ้นมาอีกระลอก!
การสั่นสะเทือนนั้นเกิดขึ้นกะทันหัน คล้ายกับเกิดแผ่นดินไหวระดับเก้าขึ้น!
คนไม่กี่คนไม่ทันระวัง ถูกแรงสั่นไหวอย่างฉับพลันนี้สั่นสะเทือนให้โซซัดโซเซ
โชคดีที่ทุกคนล้วนเป็นยอดฝีมือ พอเห็นท่าไม่ดีก็รีบเหินทะยานขึ้นไปทันที!
แผ่นดินสั่นสะเทือนเลือนลั่น บิดเบี้ยว…
แผ่นดินปริแยก ต้นเหมยทั้งหมดพากันหักโค่นพังทลายลง…
ฝุ่นธุลีลอยฟุ้งสูงครึ่งฟ้า เสียงกึกก้องกัมปนาทจากการพังทลายทำให้ทุกคนหูดับกันหมด ด้านล่างราวกับถึงวันโลกาวินาศแล้ว
หลัวจั่นอวี่หน้าเปลี่ยนสีแล้ว!
เขาพลิกร่างหมายจะพุ่งลงไปด้านล่าง ถูกหลานเยวี่ยยื้อยุดไว้ “ลงไปไม่ได้นะ! เจ้าจะถูกฝังทั้งเป็นเอา!”
“ข้าจะไปช่วยน้องสาวข้า!” หลัวจั่นอวี่ร้อนรนแล้ว พยายามดิ้นรนหมายจะหลุดพ้นจากการจับของหลานเยวี่ย
ยามนี้พลังยุทธ์ของหลานเยวี่ยฟื้นฟูกลับมาอย่างสมบูรณ์แล้ว พอฟัดพอเหวี่ยงกับหลัวจั่นอวี่ ดังนั้นหลัวจั่นอวี่จึงดิ้นไม่หลุดจากเขาชั่วขณะ
“นางมีพลังวิญญาณขั้นสิบแล้ว ต่อให้ถูกฝังอยู่ใต้ดินก็สามารถเคลื่อนย้ายออกมาได้ เจ้าไปมีแต่จะเอาชีวิตไปทิ้งเปล่าๆ! ไม่มีประโยชน์อะไรเลยสักนิด…หรือว่าเจ้าอยากให้นางออกมาแล้ว พบว่าเจ้าไม่อยู่ ต้องวิ่งกลับไปตามหาเจ้าอีกรอบเล่า?”
หลัวจั่นอวี่ถูกหลานเยวี่ยติเตียนจนหน้าแดงก่ำแล้ว เขาย่อมทราบว่าที่หลายเยวี่ยพูดมามีเหตุผล แต่พอเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันถึงน้องสาวร่วมสายเลือดของตน เขาก็ไม่อาจสุขุมเยือกเย็นได้ชั่วขณะจริงๆ…
ขณะที่ยังปลงไม่ตกอยู่บ้าง จู่ๆ ท่ามกลางละอองฝุ่นที่ฟุ้งตลบสูงครึ่งฟ้าก็มีลำแสงสีขาวสายหนึ่งห่อหุ้มเงาร่างคนสองคนไว้แล้วพุ่งทะยานขึ้นมา
เนื่องจากฝุ่นตลบอบอวลหนาเกินไป ทุกคนจึงมองไม่ออกชั่วขณะว่าเป็นผู้ใด
“ซีจิ่ว!” หลัวจั่นอวี่พุ่งเข้าไปอย่างไม่คำนึงถึงสิ่งใดทั้งสิ้น
เมื่อพุ่งเข้าใกล้ๆ ถึงได้พบว่านั่นไม่ใช่กู้ซีจิ่ว แต่เป็นตี้ฝูอีกับหลานจิ้งอี๋…
สภาพของทั้งสองคนดูไม่จนตรอกเท่าไหร่ อาภรณ์บนร่างตี้ฝูอีก็ไม่ยับยู่ยี่สักเท่าใด ส่วนหลานจิ้งอี๋ นางลอยตัวอยู่ในแขตแดนเบื้องหลังเขา กำลังนั่งสมาธิฝึกฝนวรยุทธ์อยู่…
หลัวจั่นอวี่ทึ่มทื่อไปครู่หนึ่ง แล้วโพล่งถาม “ตี้ฝูอี เห็นซีจิ่วหรือไม่?”
ตี้ฝูอีขมวดคิ้ว “นางพาหลานไว่หูออกมาก่อนแล้วมิใช่หรือ? พวกเจ้าไม่ได้เจอนาง?”
วิชาเคลื่อนย้ายของนางว่องไวเป็นที่สุด เขาไล่ตามนางไม่ทันเลย…
“นางพาหลานไว่หูออกมาแล้วจริงๆ แต่ก่อนหน้านี้เยี่ยนเฉินไม่วางใจ หลังจากพวกเจ้าเข้าไปได้ไม่นานก็ตามเข้าไปแล้ว ยังไม่ออกมาเลย ซีจิ่วไม่วางใจ มอบหลานไว่หูให้เจ้าสำนักหลง จากนั้นก็เข้าไปตามหาเยี่ยนเฉิน จวบจนยามนี้ก็ยังไม่ออกมา…”
สีหน้าตี้ฝูอีแปรเปลี่ยนเล็กน้อย เขาเพิ่งออกมาจากตำหนักใต้ดินที่ราวกับขุมนรกแห่งนั้น ย่อมทราบถึงอันตรายภายในดี
แผ่นดินไหวนี้มิใช่ภัยธรรมชาติ แต่เป็นภัยจากมนุษย์ เป็นโม่เจ้าผู้นั้นที่หลังจากหนีออกไปแล้วก็เปิดใช้กลไกแผ่นดินไหว…
‘เส้นเลือด’ ทั้งหมดระเบิดออก โลหิตในเส้นเลือดเหล่านั้นล้วนเป็นยาพิษที่สามารถกัดกร่อนทุกสิ่งได้ ยามที่เขาทะยานออกมา เห็นกับตาว่าผู้คุ้มกันในตำหนักใต้ดินที่หนีไม่ทันเหล่านั้นถูกโลหิตพิษที่ปะทุขึ้นมาทุกหนทุกแห่งสาดรด สลายเป็นเถ้าธุลีไปทันที…
ยามที่ ‘เส้นเลือด’ เหล่านั้นระเบิดกระจายไปทั่ว ครอบคลุมทุกพื้นที่ ไร้จุดอับ ไม่มีพื้นที่ให้หลบซ่อนเลย
หากว่ามิใช่ว่าตี้ฝูอีเปิดใช้ค่ายกลคุ้มกายรีบพุ่งทะยานออกมาได้ทันกาล เกรงว่าคงประสบอันตรายแล้ว…
กู้ซีจิ่วเป็นวิชาเคลื่อนย้าย ต่อให้นางหาเยี่ยนเฉินไม่พบ เมื่อพบพานอันตรายก็สามารถเคลื่อนย้ายออกมาได้ทันทีกระมัง? นางน่าจะทราบถึงความอันตราย ไม่นำชีวิตของตัวนางมาล้อเล่นหรอก…
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จิตใจตี้ฝูอีค่อนข้างกระสับกระส่าย เขาสูดหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง ล้วงป้ายหยกออกมาติดต่อกับนาง เปิดใช้งาน แล้วคอยให้ฝั่งนางรับสาย
แต่หลังป้ายหยกส่องกะพริบอยู่ไม่กี่ทีก็ไม่มีความเคลื่อนไหวอีกเลย กลับสู่สีสันดั้งเดิมทันที
สีหน้าตี้ฝูอีแปรเปลี่ยนแล้ว นิ้วมือที่กุมป้ายหยกอยู่ออกแรงจนซีดขาว
——————————————————————————
บทที่ 1696 กู้ซีจิ่วหายตัวไป 4
กู้ซีจิ่วย่อมทราบถึงจิตใจของหลานไว่หู เอ่ยไปว่า “อาการบาดเจ็บของนางยังต้องรีบทำการรักษา ไม่อาจล่าช้าได้ ครูฝึกหลง ท่านมารักษาให้นางที” เธอมอบหลานไว่หูให้หลีเมิ่งซย่า “เมิ่งซย่า รบกวนเจ้าอุ้มนางออกไปจากที่นี่กับเจ้าสำนักหลงที”
หลีเมิ่งซย่าย่อมไม่ปฏิเสธ “ได้!” รับเอาหลานไว่หูไป หนนี้หลานไว่หูไม่หลบหลีกแล้ว ปล่อยให้หลีเมิ่งซย่าอุ้มอย่างว่าง่าย
สายตามองไปทางประตูเข้าออกอย่างข่มอารมณ์ไว้ไม่อยู่ ทำไมเยี่ยนเฉินยังไม่ออกมาล่ะ? ขอเขาอย่าได้ถูกจับตัวไว้ด้านในเลย…
หลงซือเย่เอ่ยถามกู้ซีจิ่ว “เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม? หน้าซีดมากเลย…”
“ข้าไม่เป็นไร ครูฝึกหลง อาการบาดเจ็บของไว่หูต้องฝากไว้กับท่านแล้ว ต้องรักษานางให้หายดีนะ”
หลงซือเย่ไม่พูดอะไร ยื่นมือไปจับชีพจรกู้ซีจิ่วดูทันที หลังจากยืนยันแล้วว่าเธอไม่เป็นไรและไม่ได้รับบาดเจ็บ ถึงได้ปล่อยมือ “เจ้าวางใจเถอะ อาการบาดเจ็บของนางข้าจะรับผิดชอบเอง”
กู้ซีจิ่วถอนหายใจอย่างโล่งอก หลงซือเย่กล่าวเช่นนี้แล้ว เช่นนั้นหลานไว่หูต้องไม่เกิดปัญหาใดขึ้นแน่นอน
หลานเยวี่ยคิดจะเอ่ยบางอย่าง จู่ๆ แผ่นดินใต้ฝ่าเท้าก็สั่นไหวขึ้นมา! คล้ายจะเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงขึ้นกะทันหัน!
“พวกท่านไปจากที่นี่ก่อนเถอะ ข้าจะไปตามหาเยี่ยนเฉิน” กู้ซีจิ่วพลันหมุนกาย เข้าไปในวังใต้ดินแห่งนั้นอีกครา…
หลงซือเย่หลุบตาลงเล็กน้อย เขารู้จักนิสัยรักพวกพ้องของเธอดี จึงไม่คิดจะขัดขวางการไปตามหาคนของเธอ
กลับเป็นหลัวจั่นอวี่ที่หน้าเปลี่ยนสีแวบหนึ่ง คิดจะตามเข้าไปด้วย แต่ถูกหลงซือเย่หยุดยั้งไว้ด้วยประโยคหนึ่ง “เจ้าไม่ต้องไปหรอก ด้วยวรยุทธ์ของซีจิ่วในยามนี้ ไม่ว่าประสบอันตรายใดเข้าก็เพียงพอจะคุ้มกันตัวเองได้ ถ้าเจ้าเข้าไปโดยไม่ทราบสถานการณ์ จะกลายเป็นตัวถ่วงนางได้”
หลัวจั่นอวี่คิดๆ ดูก็ว่าถูก ทำได้เพียงยอมวางมือ
หลงซือเย่ถอนหายใจ เขายังคงเชื่อมั่นว่ากู้ซีจิ่วจะสามารถออกมาได้อย่างปลอดภัย อีกอย่างด้วยวรยุทธ์ของเขาในยามนี้ ก็ไม่อาจช่วยอะไรเธอได้ชั่วคราว มิสู้รักษาคนที่เธอห่วงใยให้หายดีเสียดีกว่า พอนางออกมาจะได้ดีใจสักหน่อย
ดังนั้นเขากับหลีเมิ่งซย่าจึงพาหลานไว่หูล่วงหน้าจากไป
หลานเยวี่ยไม่ได้ติดตามไปด้วย เขายืนอยู่ใต้ต้นเหมยต้นหนึ่ง มองดอกเหมยอย่างใจลอย
หลัวจั่นอวี่ตบไหล่เขาทีหนึ่ง “เหตุใดไม่ตามไปดูเล่า?”
หลานเยวี่ยถูจมูก ถอนหายใจ “ยามนี้คนที่นางไม่อยากเห็นที่สุดคงจะเป็นข้า เป็นครั้งแรกที่ประมุขอย่างข้าถูกคนรังเกียจเช่นนี้…”
หลัวจั่นอวี่ทราบเรื่องราวระหว่างหลานเยวี่ย หลานไว่หู รวมถึงเยี่ยนเฉินด้วย ดังนั้นเขาจึงเอ่ยอย่างเห็นใจยิ่งนัก “บุปผาร่วงหล่นด้วยมีใจทว่าธารารินไหลกลับไร้รัก อันที่จริงแล้วสิ่งที่มิใช่ของเจ้าเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องฝืนดึงดันเลย ไยเจ้าต้องแยกคู่รักให้พลัดพรากกัน เพื่อความต้องการส่วนตัวของเจ้าด้วยเล่า? หากปล่อยวางได้ก็ปล่อยไปเสียเถอะ”
หลานเยวี่ยปรายตามองเขาแวบหนึ่ง “เจ้าสามารถประคองคู่หมั้นตนส่งมอบให้ผู้อื่นได้หรือไม่เล่า? หากว่านางไม่หนี ยามนี้นางจะเป็นศรีภรรยาของข้าแล้ว!”
“ประเด็นคือนางหนีแล้ว! นี่พิสูจน์ได้แล้วว่าหัวใจของนางไม่ได้อยู่ที่เจ้าเลย ตัวเจ้าดีร้ายอย่างไรก็เป็นถึงประมุขของเผ่าจิ้งจอกคราม บังคับฝืนใจเด็กสาวนางหนึ่งเช่นนี้จะมีประโยชน์อะไร? อีกทั้งตัวเจ้าก็ไม่มีโรคแอบแฝงอันใด ใช่ว่าจะหาภรรยาไม่ได้…”
หลานเยวี่ยร้องเฮอะคราหนึ่ง “เจ้าน่ะสิที่เป็นโรคแอบแฝง! สตรีที่ต้องการเป็นภรรยาของประมุขเช่นข้าไม่รู้ว่ามีอยู่มากมายปานใด!”
อันที่จริงเขาแค่ไม่ยินยอมอยู่บ้างก็เท่านั้น
ที่เขาอยากแต่งกับจิ้งจอกน้อยประการแรกเพราะเป็นความปรารถนาของบิดานาง ประการที่สองก็เพราะมีส่วนช่วยในการฝึกยุทธ์ของเขา ประการที่สามคือนางเป็นราชครูของเผ่าจิ้งจอกคราม เขาแต่งกับนางก็เท่ากับกุมอำนาจที่แท้จริงของเผ่าจิ้งจอกครามได้มั่นยิ่งขึ้น ประการที่สี่คือเขาก็ค่อนข้างชอบพอจิ้งจอกน้อยเช่นกัน รู้สึกว่านางน่ารักยิ่ง แต่งมาเป็นภรรยาก็ไม่นับว่าเลวร้ายอันใด
แน่นอนว่าความชอบที่เขามีต่อหลานไว่หูยังห่างไกลจากเยี่ยนเฉินนัก เขาไม่อาจสละชีวิตเพื่อนางได้…
—————————————————————————
บทที่ 1697 กู้ซีจิ่วหายตัวไป 5
เขาถอยหลังไปก้าวหนึ่ง หมายจะพูดบางอย่าง พื้นดินใต้ฝ่าเท้าก็พลันไหวสะเทือนขึ้นมาอีกระลอก!
การสั่นสะเทือนนั้นเกิดขึ้นกะทันหัน คล้ายกับเกิดแผ่นดินไหวระดับเก้าขึ้น!
คนไม่กี่คนไม่ทันระวัง ถูกแรงสั่นไหวอย่างฉับพลันนี้สั่นสะเทือนให้โซซัดโซเซ
โชคดีที่ทุกคนล้วนเป็นยอดฝีมือ พอเห็นท่าไม่ดีก็รีบเหินทะยานขึ้นไปทันที!
แผ่นดินสั่นสะเทือนเลือนลั่น บิดเบี้ยว…
แผ่นดินปริแยก ต้นเหมยทั้งหมดพากันหักโค่นพังทลายลง…
ฝุ่นธุลีลอยฟุ้งสูงครึ่งฟ้า เสียงกึกก้องกัมปนาทจากการพังทลายทำให้ทุกคนหูดับกันหมด ด้านล่างราวกับถึงวันโลกาวินาศแล้ว
หลัวจั่นอวี่หน้าเปลี่ยนสีแล้ว!
เขาพลิกร่างหมายจะพุ่งลงไปด้านล่าง ถูกหลานเยวี่ยยื้อยุดไว้ “ลงไปไม่ได้นะ! เจ้าจะถูกฝังทั้งเป็นเอา!”
“ข้าจะไปช่วยน้องสาวข้า!” หลัวจั่นอวี่ร้อนรนแล้ว พยายามดิ้นรนหมายจะหลุดพ้นจากการจับของหลานเยวี่ย
ยามนี้พลังยุทธ์ของหลานเยวี่ยฟื้นฟูกลับมาอย่างสมบูรณ์แล้ว พอฟัดพอเหวี่ยงกับหลัวจั่นอวี่ ดังนั้นหลัวจั่นอวี่จึงดิ้นไม่หลุดจากเขาชั่วขณะ
“นางมีพลังวิญญาณขั้นสิบแล้ว ต่อให้ถูกฝังอยู่ใต้ดินก็สามารถเคลื่อนย้ายออกมาได้ เจ้าไปมีแต่จะเอาชีวิตไปทิ้งเปล่าๆ! ไม่มีประโยชน์อะไรเลยสักนิด…หรือว่าเจ้าอยากให้นางออกมาแล้ว พบว่าเจ้าไม่อยู่ ต้องวิ่งกลับไปตามหาเจ้าอีกรอบเล่า?”
หลัวจั่นอวี่ถูกหลานเยวี่ยติเตียนจนหน้าแดงก่ำแล้ว เขาย่อมทราบว่าที่หลายเยวี่ยพูดมามีเหตุผล แต่พอเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันถึงน้องสาวร่วมสายเลือดของตน เขาก็ไม่อาจสุขุมเยือกเย็นได้ชั่วขณะจริงๆ…
ขณะที่ยังปลงไม่ตกอยู่บ้าง จู่ๆ ท่ามกลางละอองฝุ่นที่ฟุ้งตลบสูงครึ่งฟ้าก็มีลำแสงสีขาวสายหนึ่งห่อหุ้มเงาร่างคนสองคนไว้แล้วพุ่งทะยานขึ้นมา
เนื่องจากฝุ่นตลบอบอวลหนาเกินไป ทุกคนจึงมองไม่ออกชั่วขณะว่าเป็นผู้ใด
“ซีจิ่ว!” หลัวจั่นอวี่พุ่งเข้าไปอย่างไม่คำนึงถึงสิ่งใดทั้งสิ้น
เมื่อพุ่งเข้าใกล้ๆ ถึงได้พบว่านั่นไม่ใช่กู้ซีจิ่ว แต่เป็นตี้ฝูอีกับหลานจิ้งอี๋…
สภาพของทั้งสองคนดูไม่จนตรอกเท่าไหร่ อาภรณ์บนร่างตี้ฝูอีก็ไม่ยับยู่ยี่สักเท่าใด ส่วนหลานจิ้งอี๋ นางลอยตัวอยู่ในแขตแดนเบื้องหลังเขา กำลังนั่งสมาธิฝึกฝนวรยุทธ์อยู่…
หลัวจั่นอวี่ทึ่มทื่อไปครู่หนึ่ง แล้วโพล่งถาม “ตี้ฝูอี เห็นซีจิ่วหรือไม่?”
ตี้ฝูอีขมวดคิ้ว “นางพาหลานไว่หูออกมาก่อนแล้วมิใช่หรือ? พวกเจ้าไม่ได้เจอนาง?”
วิชาเคลื่อนย้ายของนางว่องไวเป็นที่สุด เขาไล่ตามนางไม่ทันเลย…
“นางพาหลานไว่หูออกมาแล้วจริงๆ แต่ก่อนหน้านี้เยี่ยนเฉินไม่วางใจ หลังจากพวกเจ้าเข้าไปได้ไม่นานก็ตามเข้าไปแล้ว ยังไม่ออกมาเลย ซีจิ่วไม่วางใจ มอบหลานไว่หูให้เจ้าสำนักหลง จากนั้นก็เข้าไปตามหาเยี่ยนเฉิน จวบจนยามนี้ก็ยังไม่ออกมา…”
สีหน้าตี้ฝูอีแปรเปลี่ยนเล็กน้อย เขาเพิ่งออกมาจากตำหนักใต้ดินที่ราวกับขุมนรกแห่งนั้น ย่อมทราบถึงอันตรายภายในดี
แผ่นดินไหวนี้มิใช่ภัยธรรมชาติ แต่เป็นภัยจากมนุษย์ เป็นโม่เจ้าผู้นั้นที่หลังจากหนีออกไปแล้วก็เปิดใช้กลไกแผ่นดินไหว…
‘เส้นเลือด’ ทั้งหมดระเบิดออก โลหิตในเส้นเลือดเหล่านั้นล้วนเป็นยาพิษที่สามารถกัดกร่อนทุกสิ่งได้ ยามที่เขาทะยานออกมา เห็นกับตาว่าผู้คุ้มกันในตำหนักใต้ดินที่หนีไม่ทันเหล่านั้นถูกโลหิตพิษที่ปะทุขึ้นมาทุกหนทุกแห่งสาดรด สลายเป็นเถ้าธุลีไปทันที…
ยามที่ ‘เส้นเลือด’ เหล่านั้นระเบิดกระจายไปทั่ว ครอบคลุมทุกพื้นที่ ไร้จุดอับ ไม่มีพื้นที่ให้หลบซ่อนเลย
หากว่ามิใช่ว่าตี้ฝูอีเปิดใช้ค่ายกลคุ้มกายรีบพุ่งทะยานออกมาได้ทันกาล เกรงว่าคงประสบอันตรายแล้ว…
กู้ซีจิ่วเป็นวิชาเคลื่อนย้าย ต่อให้นางหาเยี่ยนเฉินไม่พบ เมื่อพบพานอันตรายก็สามารถเคลื่อนย้ายออกมาได้ทันทีกระมัง? นางน่าจะทราบถึงความอันตราย ไม่นำชีวิตของตัวนางมาล้อเล่นหรอก…
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จิตใจตี้ฝูอีค่อนข้างกระสับกระส่าย เขาสูดหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง ล้วงป้ายหยกออกมาติดต่อกับนาง เปิดใช้งาน แล้วคอยให้ฝั่งนางรับสาย
แต่หลังป้ายหยกส่องกะพริบอยู่ไม่กี่ทีก็ไม่มีความเคลื่อนไหวอีกเลย กลับสู่สีสันดั้งเดิมทันที
สีหน้าตี้ฝูอีแปรเปลี่ยนแล้ว นิ้วมือที่กุมป้ายหยกอยู่ออกแรงจนซีดขาว
บทที่ 1698 ถ้างั้นนางไปไหนกันล่ะ?
เมื่อเกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นมีความเป็นไปได้อยู่สองกรณี หนึ่งคืออีกฝ่ายต้องเข้าไปในพื้นที่อันตรายอันใด เกรงว่าถ้ามีการสื่อสารแล้วจะเสียสมาธิ จึงปิดป้ายหยกสื่อสารเสีย เหมือนการปิดเครื่องโทรศัพท์มือถือ สองคือป้ายหยกแผ่นั้นได้รับความเสียหายอันใดเข้า ทำให้ขัดข้องอย่างสิ้นเชิง
แล้วนางเป็นแบบไหนกัน?
เขาจำได้ว่ายามที่เข้าไปพร้อมนาง ป้ายหยกบนกายนางยังเปิดใช้งานอยู่…
ไม่มีเหตุผลเลยที่เข้าไปตามหาเยี่ยนเฉินแล้วต้องปิดป้ายหยกเป็นการเฉพาะ หรือว่า…จะเป็นแบบที่สอง?
เขาฝืนข่มความว้าวุ่นใจไว้ มองไปที่หลัวจั่นอวี่ “เจ้าลองใช้ยันต์ถ่ายทอดเสียงติดต่อนางซิ!”
นัยน์ตาหลัวจั่นอวี่แดงก่ำไปหมดแล้ว “ก่อนหน้านี้ติดต่อดูแล้ว ติดต่อไม่ได้เลย!”
พูดอีกอย่างก็คือ ยันต์ถ่ายทอดเสียงบนกายนางก็ปิดใช้งานอย่างสิ้นเชิงเช่นกัน หรืออาจกล่าวได้ว่าเสียหายไปแล้วเหมือนกัน
จู่ๆ หลานเยวี่ยก็ร้องตะโกนขึ้นมา “นี่ ข้าติดต่อเยี่ยนเฉินได้แล้ว!”
สายตาของหลัวจั่นอวี่และตี้ฝูอีล้วนสว่างวาบขึ้นมาทั้งคู่ มองเขาอย่างพร้อมเพรียง ตี้ฝูอีพลันยื่นมือไปฉวยยันต์ถ่ายทอดเสียงมาจากหลานเยวี่ย “เยี่ยนเฉิน ซีจิ่วล่ะ?”
เยี่ยนเฉินชะงักไปแวบหนึ่ง “นางไม่ได้ไปหาพวกท่านหรือ? หลังจากนางช่วยข้าออกมาก็จากไปเลย ข้านึกว่านางไปหาพวกท่านเสียอีก”
เดิมทีหลังจากเยี่ยนเฉินบุกเข้าไปไม่นานก็ประสบอันตราย ถูกกลไกจนแทบจะร่วงหล่นลงสู่โลหิตพิษแล้ว ในช่วงเวลาคับขันกู้ซีจิ่วได้ใช้ยันต์ถ่ายทอดเสียงติดต่อมาหาเขา จากนั้นก็เคลื่อนย้ายมาโผล่ตรงหน้า และช่วยเหลือเขาไว้
เมื่อเยี่ยนเฉินทราบว่าหลานไว่หูรอดพ้นจากอันตรายแล้ว ย่อมไม่คิดจะรั้งอยู่ด้านในไปมากกว่านี้อีก
ขณะที่เดินทางออกมาพร้อมกับกู้ซีจิ่ว แผ่นดินไหวที่สะท้านฟ้าสะเทือนดินก็ไล่ตามขึ้นมาแล้ว…
กู้ซีจิ่วตอบสนองว่องไว คว้าเยี่ยนเฉินไว้แล้วใช้วิชาเคลื่อนย้าย เนื่องจากจิตใจกระวนกระวาย ระยะทางที่กู้ซีจิ่วพาเยี่ยนเฉินเคลื่อนไปจึงค่อนข้างไกล พุ่งทะยานออกไปถึงห้าสิบลี้ จากนั้นนางก็ให้เยี่ยนเฉินไปเยี่ยมหลานไว่หูที่อยู่กับหลงซือเย่ด้วยตัวเอง นางยังมีธุระด่วนอย่างอื่นอยู่ ใช้วิชาเคลื่อนย้ายหายตัวไปทันที…
เยี่ยนเฉินพะวงถึงจิ้งจอกน้อย ติดต่อหาหลงซือเย่โดยตรง สอบถามว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน ขณะที่เร่งเดินทางไปยังที่นั่น ก็ได้รับการถ่ายทอดเสียงมาจากหลานเยวี่ย ถึงรู้ว่ากู้ซีจิ่วไม่ได้ไปสมทบกับพวกหลานเยวี่ย…
ถ้างั้นนางไปไหนกันล่ะ?
นางออกไปตามหาโม่เจ้าโดยตรงงั้นหรือ?!
ตี้ฝูอีทราบความจากปากคำของหลานจิ้งอี๋ ผู้บงการอยู่หลังม่านคือ ‘หรงเจียหลัว’ ทว่ากลับเรียกขานตนว่าข้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ ส่วนกู้ซีจิ่วก็เรียกขานอีกฝ่ายว่า ‘โม่เจ้า’
หากไม่ผิดไปจากที่คาดไว้ หรงเจียหลัวน่าจะถูกโม่เจ้าสิงร่างอย่างสมบูรณ์แล้ว!
ตำหนักใต้ดินและสระโลหิตด้านล่างเป็นโม่เจ้าที่สร้างขึ้น ถึงแม้ตี้ฝูอีจะไม่ได้เผชิญหน้ากับโม่เจ้าแต่ก็ทราบถึงวิทยายุทธ์ของเขาอย่างล้ำลึก มารสวรรค์ที่ใช้ชีวิตมาหลายพันปีตนหนึ่ง ต่อให้พลังยุทธ์ไม่ได้ฟื้นฟูกลับมาอย่างสมบูรณ์ แต่ก็มิใช่ผู้ที่เด็กสาวที่มีพลังยุทธ์เพียงไม่กี่สิบปีจะไปเทียบเคียงได้
และจากถ้อยคำประโยคสุดท้ายที่เขาเอ่ยออกมาว่า ‘ไม่นึกเลยว่าจะเป็นเจ้า’ เขาทราบถึงฐานะสูงสุดของกู้ซีจิ่วแล้ว! มีความเป็นไปได้สูงที่พุ่งเป้าทุกอย่างไปที่นาง สังหารนางให้สิ้นซาก!
หากว่านางเผชิญหน้ากับเขาเพียงลำพังจะอันตรายยิ่งนัก กล่าวได้ว่าไม่มีโอกาสเอาชนะได้เลย…
นับเป็นครั้งแรกในประวัติการณ์ที่ตี้ฝูอีกระวนกระวายใจอย่างยิ่ง นิ้วมือที่อยู่ในแขนเสื้อสั่นระริก
หลานจิ้งอี๋ที่ถูกเขาห่อหุ้มอยู่ในเขตแดนที่ด้านหลังย่อมสัมผัสถึงอารมณ์ของเขาได้ ลืมตาขึ้นแล้วเอ่ยว่า “พี่หวง ท่านอย่ากังวลเลย นางมีวิชาเคลื่อนย้าย สู้ไม่ไหวก็ยังหลบหนีเป็น ก่อนหน้านี้ก็หลบหนีได้ว่องไวยิ่ง พวกเราล้วนตามไม่ทัน นางช่างเหลือเกินจริงๆ แล่นออกไปไม่บอกกล่าวผู้ใดเลยสักคำ ยามนี้ก็ไม่ทราบแล้วว่าไปซุกซ่อนอยู่ในซอกหลืบมุมใด เจตนาทำให้ผู้อื่นเป็นห่วง…”
เอ่ยวาจายังไม่จบ จู่ๆ ก็หวีดร้องเสียงแหลม!
เขตแดนที่ห่อหุ้มนางอยู่แตกอกในทันใด ร่างนางร่วงดิ่งลงไปอย่างไม่อาจควบคุมได้!
—————————————————————————
บทที่ 1699 เจ้าคนบ้ากามปล่อยข้านะ!
ด้านล่างคือวังใต้พิภพที่กำลังพังทลาย ภายในวังใต้พิภพมีโลหิตพิษระเบิดออกมาทั่วทั้งพื้นที่…
หากนางตกลงไปด้านใน ไหนเลยจะรักษาชีวิตเอาไว้ได้?
ทันทีที่นางกำลังจะตกลงไป เชือกเล็กเส้นหนึ่งก็ดึงนางขึ้นมา…จากนั้นก็ร่อนลงสู่อ้อมกอดของหลานเยวี่ยที่ยังคงตกตะลึงอยู่บ้าง
หลานเยวี่ยทึมทื่อกับนางเงือกที่ร่วงลงมาจากฟากฟ้า เกือบรับไว้ไม่ไหว จิตใต้สำนึกเขาพลันคว้าจับคอเสื้อของอีกฝ่ายไว้ คิดจะดึงนางขึ้นมา
ทว่าอาภรณ์เดิมของหลานจิ้งอี๋ถูกฉีกจนขาดวิ่น บนร่างนางมีเพียงเสื้อคลุมด้านนอกตัวหนึ่งที่ตี้ฝูอีให้ไว้เพื่อบดบังความอับอาย เสื้อคลุมหลวมโคร่ง เมื่อหลานเยวี่ยดึงก็เผลอแหวกสาบเสื้อของนางออกโดยไม่ได้ตั้งใจ หลังจากนางกรีดร้องเสียงแหลม ร่างกายก็พลันลื่นหลุดจากเสื้อคลุม หล่นลงไปเบื้องล่างอีกครา…
หลานเยวี่ยกระทำการอย่างเฉียบแหลมและตอบโต้อย่างรวดเร็ว รีบคว้านางเอาไว้อีกครั้ง สัมผัสนั้นนุ่มลื่น เมื่อเขาก้มลงมอง เหงื่อพลันผุดพรายเต็มใบหน้า! สิ่งที่เขาคว้าไว้อยู่ก็คือหางเงือกของอีกฝั่ง ห้อยกลับหัวอยู่ตรงนั้น
ห้อยกลับหัวก็ช่างเถิด ประเด็นคือนางยังไม่ได้สวมเสื้อผ้าอีก…
หลานจิ้งอี๋ทั้งอับอายและโกรธเคือง อดไม่ได้ที่จะดิ้นรน “ปล่อยข้านะ! เจ้าคนบ้ากามปล่อยข้านะ!”
สัตบุรุษผิดจริยาห้ามดู แน่นอนว่าหากผิดจริยายิ่งห้ามแตะต้อง หลานเยวี่ยยอมรับว่าตัวเองชีกอทว่าไม่ต่ำช้า ยิ่งไม่ยินยอมเป็นคนบ้ากาม เขาจึงหลับตาลงแล้วคลายมือ
ดังนั้นหลานจิ้งอี๋จึงร่วงหล่นลงไปอีกครั้ง!
หลานจิ้งอี๋ตกใจจนขวัญแทบจะเตลิดไปแล้ว! ในช่วงเวลาขับขันในที่สุด นางสร้างใยเงือกหมุนเกลียวขึ้นไปบนเอวของหลานเยวี่ย จากนั้นก็ออกแรงดึง เรือนกายพุ่งทะยานขึ้นมาเข้าสู่อ้อมกอดของหลานเยวี่ย
เรือนกายของหลานเยวี่ยยืดตรงดุจต้นสน แขนทั้งสองข้างกางออกดั่งกระเรียน ท่าทางหลบเลี่ยงข้อกังขาเต็มที่ “แม่นาง โปรดสงวนท่าทีไว้บ้าง อย่าเอาแต่โผเข้าสู่อ้อมกอดข้า”
การเคลื่อนไหวเมื่อสักครู่ของหลานจิ้งอี๋ทำให้บาดแผลที่ยากจะสมานเปิดอีกครั้งหนึ่ง หยาดโลหิตไหลริน เจ็บปวดจนนางเกือบสลบไป
ทว่านางดึงสายคาดเอวของหลานเยวี่ยไว้แน่น เกรงว่าจะร่วงหล่นลงไปอีก กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “ช่วยข้าด้วย…”
เดิมทีคุณสมบัติร่างกายของนางย่ำแย่ ในช่วงไม่กี่เดือนมานี้ ตี้ฝูอีหลอมโอสถลับให้นางจำนวนมาก จึงทำให้พลังวิญญาณของนางพัฒนาก้าวหน้าประหนึ่งดอกงาผลิบาน ฝืนทะลวงขั้นเก้าได้แล้ว ทว่านางไร้ซึ่งพรสวรรค์จริงๆ ถึงแม้พลังวิญญาณเพิ่มขึ้น วรยุทธ์ที่แท้จริงของนางกลับไม่เอาไหน ยามนี้เมื่อบาดเจ็บสาหัส แม้แต่วิชาพื้นฐานอย่างวิชาเหาะเหินก็ใช้ไม่ได้ ทำได้เพียงอาศัยคนอื่นพานางไป มิเช่นนั้น หากนางตกลงไปจะหลอมละลายกลายเป็นน้ำหนองทันทีแน่นอน…
เพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ ยามนี้นางไม่สนใจแล้วว่าเสียหน้ารึไม่เสียหน้า จับหลานเยวี่ยไว้แน่นไม่ยอมปล่อย นางกวาดตามองรอบด้านอีกครั้ง ตี้ฝูอีหายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว!
เห็นได้ชัดว่าเขาไปตามหากู้ซีจิ่ว…
หลานจิ้งอี๋ทั้งเศร้าโศกและโกรธเคือง ทั้งหวาดกลัวและตื่นตระหนก ดวงหน้าน้อยๆ ซีดขาวไปหมดแล้ว
หลานเยวี่ยไม่ได้ทิ้งนางเอาไว้ อย่างไรเสียเมื่อสักครู่ตี้ฝูอีก็กล่าวทิ้งท้ายไว้หนึ่งประโยคก่อนหายตัวไป “รักษานาง อย่าให้นางมีอันเป็นไป”
คำพูดของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้ หลานเยวี่ยไม่กล้าไม่ฟัง ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงเลือกช่วยเหลือนางเท่านั้น
ทว่านางเงือกที่เปลือยเปล่านางหนึ่งแขวนห้อยอยู่ที่เอวของเขาอย่างไรเสียก็ดูไม่เหมาะสม หลานเยวี่ยรู้สึกว่าหนังหน้าของตัวเองยังคงมีค่า เขาไม่อยากเอามันมาทิ้งไว้ที่นี่
ดังนั้นจึงยกมือขึ้นโยนเสื้อคลุมสตรีไปบนร่างนาง “แม่นาง เปลือยเปล่าไม่เหมาะสม รบกวนสวมเสื้อคลุมเถิด อีกอย่างข้าจิตใจหยาบกระด้าง ไม่เข้าใจการทะนุถนอมอ่อนโยนกับสตรี ดังนั้นเจ้าไม่ต้องทำแง่งอนกับข้า มิเช่นนั้นหากข้าไม่พอใจไม่แน่อาจจะเตะเจ้าลงไปก็ได้…”
หลานจิ้งอี๋นิ่งอึ้ง ใบหน้างดงามของนางแดงก่ำ ไม่กล้าพูดจาแม้แต่คำเดียว
หลานเยวี่ยสร้างเขตแดนห่อหุ้มนางไว้ไม่ได้ และไม่ยินยอมอุ้มนาง ดังนั้นเขาจึงครุ่นคิด…
บทที่ 1700 กู้ซีจิ่ว เจ้าอย่าทำเรื่องโง่ๆ นะ!
หลานเยวี่ยสร้างเขตแดนห่อหุ้มนางไว้ไม่ได้ และไม่ยินยอมอุ้มนาง ดังนั้นเขาจึงครุ่นคิด ไม่รู้ว่าเขาทำสายคาดเส้นหนึ่งจากที่ใดมามัดเอวนางไว้ พานางเหินทะยานประหนึ่งสายป่านเล่นว่าว ยามที่โบยบินยังบอกนางด้วยความปรารถนาดีประโยคหนึ่งว่า “แม่นาง หญิงชายมิควรอยู่ใกล้ชิดกัน ข้าจึงทำได้เพียงใช้วิธีโง่เขลาเบาปัญญาเช่นนี้พาเจ้าไป เจ้าอย่าทำสายคาดขาด มิเช่นนั้น ข้าอาจช่วยเจ้าไม่ทันกาล…”
สายลมอันหนาวเหน็บพัดเป่าใบหน้าดุจคมมีด หลานจิ้งอี๋รู้สึกว่าตัวเองจะขาดออกจากกันด้วยสายลมแล้ว! เป็นครั้งแรกในชีวิตที่นางต้องทนทุกข์ทรมานถึงเพียงนี้ ทว่ากลับไม่มีวิธีอื่นใด
ไม่เพียงแต่ไม่กล้าทำสายคาดขาด ในทางกลับกันนางออกแรงจับมันไว้ อยากร้องไห้ก็ร้องไม่ออก หยาดเหงื่อเย็นวาบกลั่นออกมาเป็นไข่มุกกลิ้งเม็ดแล้วเม็ดเล่า
ความเศร้าโศกเปล่าเปลี่ยวในใจก่อตัวเป็นระลอกๆ ที่แท้ในใจหวงถูจะมีนางหรือไม่มีนางก็ได้ นางไม่เคยได้เข้าไปอยู่ในใจเขาเลย…
เพียงแต่เขาเฉยชากับนางมาเนิ่นนานหลายปี เหตุใดจู่ๆ ถึงมาทำดีกับนางเมื่อไม่กี่เดือนก่อน?
รักษาโรคเรื้อรังของนาง หลอมโอสถให้นาง ให้นางเป็นสานุศิษย์สวรรค์ อีกทั้งยังเติมเต็มความปรารถนาเล็กๆ น้อยๆ ของนาง…
นางคิดว่าในที่สุดความเหนื่อยยากทั้งหมดของตนก็เห็นผล ในที่สุดก็ทำให้เขามองนางได้ นึกไม่ถึงว่าวินาทีนี้ต้องกลับไปสู่สภาพเดิม
กู้ซีจิ่วเพิ่งหายตัวไปแห่งหนใดก็ไม่รู้ เขาก็ละทิ้งนางไป ไม่ไยดีว่าร่างกายนางยังบาดเจ็บสาหัส…
…
กู้ซีจิ่วหายตัวไปแล้ว
ตี้ฝูอีใช้ทรัพยากรทุกสิ่งทุกอย่าง ทำทุกวิถีทางเพื่อตามหานาง ทว่ากลับไม่มีผลลัพธ์ใดๆ
วังหลวงเขาย่อมไปมาแล้ว ข้าราชบริพารที่นั่นไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เพียงรู้แค่ว่าฝ่าบาทของพวกเขาเสด็จออกเป็นการส่วนพระองค์ ไม่รู้จะกลับมาเมื่อใด
ทุกซอกทุกมุมของวังหลวง ทุกที่ตี้ฝูอีล้วนค้นหาจนทั่ว แต่กลับไม่พบร่องรอยของกู้ซีจิ่วกับโม่เจ้าเลย
ทว่าเขาก็พบอะไรบางอย่าง ในห้องนอนของจักรพรรดิมีเส้นทางลับสายหนึ่งซ่อนอยู่ เมื่อเดินตรงไปตามเส้นทางลับนี้จะถึงตำหนักลับโลหิตใต้ป่าเหมยนั้นได้
ตอนตี้ฝูอีเดินตามเส้นทางลับไป ตำหนักลับแห่งนั้นก็พังทลายลงจนสิ้นซากแล้ว มองไม่เห็นสภาพดั้งเดิมอีก สถานที่ที่ยังพอเข้าไปได้ก็เต็มไปด้วยโลหิตพิษ…
อันที่จริงมู่เฟิงและสี่ทูตยังคงสับสนงงงวยยิ่งนัก วันคืนที่ผ่านมาเหล่านี้เทพศักดิ์สิทธิ์แทบจะไม่สนใจ ไม่ไถ่ถามถึงแม่นางกู้ ต่อให้มีการพบปะติดต่อกันบ้างเป็นครั้งคราว แต่ก็เพื่อความสงบสุขของใต้หล้านี้ ทั้งสองต่างเย็นชาซึ่งกันและกัน
พวกเขายังคิดว่าเทพศักดิ์สิทธิ์ปล่อยวางแม่นางกู้ได้โดยสิ้นเชิง มองนางเป็นแค่ลูกน้องทั่วไปคนหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าการที่นางหายตัวไปในวันนี้ เทพศักดิ์สิทธิ์กลับเหมือนทำดวงวิญญาณหล่นหาย ตามหานางพลิกฟ้าพลิกดิน
สามวัน สามวันมานี้เทพศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้กิน ไม่ได้นอน ตามหานางโดยตลอด…
ทว่าไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่ากู้ซีจิ่วไปที่แห่งใด พวกเขาตามหาในทุกๆ ที่ที่ตามหาได้ ต่างก็ไม่พบแม้แต่เงาของนาง
ตี้ฝูอีเข้าไปในแท่นชมดาว ดูดวงดารามากมายเปล่งประกายระยิบระยับบนท้องฟ้า
สายตาเขาจ้องมองไปยังดาวราชันดวงใหม่ดวงนั้น จากนั้นสีหน้าพลันแปรเปลี่ยน
จู่ๆ ดาวราชันดวงใหม่ที่ส่องสว่างมาโดยตลอดดวงนั้นก็มืดมนลง!
พันพัวกับดาวมารสวรรค์แดงฉานดวงนั้น ง่อนแง่นอยู่ตลอดเวลา…
และดาวมารสวรรค์ก็มืดมนลงไม่น้อย ลักษณะจะร่วงแหล่มิร่วงแหล่…
นางไปหาโม่เจ้าจริงๆ! ไม่รู้ว่านางใช้วิธีอะไร ทว่านางเลือกที่จะตายตกไปพร้อมกันกับโม่เจ้า…
กู้ซีจิ่ว เจ้าอย่าทำเรื่องโง่ๆ นะ!
กู้ซีจิ่ว ชีวิตของเจ้าสำคัญกว่าชีวิตของเขามากนัก อย่ายอมแพ้…
เรือนกายตี้ฝูอีพลันผุดลุก รีบตรงไปยังทิศทางหนึ่ง!
ครั้งนี้ดวงดาวทั้งสองเผยให้เห็นตำแหน่งของพวกเขาแล้ว…
ขอให้เขาไปให้ทันกาลด้วย
จะต้องไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับนางเป็นอันขาด
————————————————————————————
บทที่ 1701 ท่าทีไม่ตายไม่ยอมเลิกรา
จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับนางเป็นอันขาด นางเป็นผู้ปกครองคนใหม่ของโลกใบนี้ไม่ใช่หรือ? เหตุใดจึงร่วงหล่นได้ง่ายๆ?
ซีจิ่ว รอข้าด้วย…
…
“เสี่ยวซีจิ่ว เจ้าช่างยึดมั่นกับข้าเสียจริง ตามติดไม่ปล่อยขนาดนี้ ชอบข้างั้นหรือ?”
เหนือสุดของทวีป มีมหาสมุทรน้ำแข็งซึ่งภายในมีแผ่นน้ำแข็ง
ลึกลงไปในแผ่นน้ำแข็งคือสถานที่แห่งความตาย ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอาศัยอยู่ มีเพียงสัตว์ร้ายที่ทานทนความหนาวเหน็บได้จำพวกนกเพนกวินและหมีขั้วโลกผ่านทางมาบ้างเป็นครั้งคราว
เกล็ดหิมะปกคลุมทั่วพื้นที่ทั้งยอดเขาน้ำแข็ง ธารน้ำแข็ง ภูเขาน้ำแข็ง
ที่นี่เปรียบเสมือนส่วนที่ลึกที่สุดของขั้วโลกเหนือ ภูมิอากาศกับสภาพแวดล้อมย่ำแย่ยิ่งนัก
พลังวิญญาณของที่นี่ก็หาได้ยายิ่ง ไม่ใช่สถานที่ฝึกฝนที่ดี ดังนั้นโดยปกติจึงไม่มีทางมีผู้ใดมา
ทว่ายามนี้ภายในรอยแยกน้ำแข็งที่มองไม่เห็นเบื้องล่างแห่งหนึ่งที่ลึกลงไปในแผ่นน้ำแข็งมีซุ่มเสียงสายหนึ่งส่งผ่าน ภายในน้ำเสียงที่ดึงดูดแฝงความเย้าหยวนปนหยอกเหย้า
“โม่เจ้า ข้ายึดมั่นกับเจ้าจริงๆ ยึดมั่นจนอยากให้เจ้าตายไปเสีย!” ซุ่มเสียงเย็นชาสายหนึ่งดังขึ้น แฝงความหนาวเหน็บถึงกระดูก
“เฮ้อ ช่างน่าเศร้าเสียจริง!” เสียงบุรุษผู้นั้นถอนหายใจ แล้วร่ายกลอนสองบทอย่างแผ่วเบา “ข้าฝากใจไว้กับจันทราส่องสว่าง ไฉนเลยจันทรากลับส่องแสงไปยังคูน้ำ ”
ลึกลงไปในรอยแยกน้ำแข็งมีถ้ำน้ำแข็งใหญ่โตมโหฬาร ด้านในถ้ำน้ำแข็งมีธารน้ำแข็ง ทั้งสองฝั่งของธารน้ำแข็งล้วนเป็นเสาน้ำแข็งอันแหลมคม ลำแสงสีครามสว่างไสว มีไอเย็นกดทับ
กู้ซีจิ่วยืนอยู่บนเสาน้ำแข็งต้นหนึ่ง ส่วนโม่เจ้าก็ยืนอยู่บนเสาน้ำแข็งอีกฝั่งหนึ่ง ธารน้ำแข็งที่โหมซัดสาดคั่นกลางระหว่างสองคน
โม่เจ้าหรี่ตามองกู้ซีจิ่ว ภายในดวงตาคู่นั้นแฝงความเสน่หารักใคร่ ยามที่ร่ายกลอนสองบทนั้น ดวงตาของเขายังฉายแววหมองหม่นเป็นครั้งคราว เป็นภาพลักษณะของคุณชายที่สิ้นหวัง
กู้ซีจิ่วขบเม้มริมฝีปากบางเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าไม่ไยดีต่อความรักที่เขามีให้
ส่วนกลอนสองบทนั้น เดิมทีโม่เจ้าไม่น่าจะรู้จัก ทว่าอย่างไรเสียโม่เจ้าก็เคยสมคบคิดกับหลงฟั่น อีกทั้งหลงฟั่นยังยกย่องตัวเองเป็นคนชั่วช้าในคราบนักปราชญ์ที่สง่างาม ไม่น่าแปลกที่จะร่ายบทกลอนที่มีชื่อเสียงของกวีที่มีชื่อเสียงบางบทต่อหน้าโม่เจ้า
โม่เจ้าร่ายกลอนจบก็ส่งเสียงทอดถอนใจ “อันที่จริง ข้ายังค่อนข้างแปลกใจจริงๆ เจ้าไล่ล่าตามข้ามาได้อย่างไร? เห็นๆ กันอยู่ว่าข้าลบร่องรอยทั้งหมดระหว่างทางแล้ว แม้แต่ตี้ฝูอีก็ไม่อาจตามหาข้าพบ เจ้าหาข้าเจอได้อย่างไร?”
ในเมื่อตำหนักลับโลหิตนั้นถูกเปิดเผย โม่เจ้าย่อมทำลายมันจนสิ้นซาก จากนั้นเขาค่อยถือโอกาสใช้วิชาดำดินหลบหนี
เขาได้สิ่งของสองอย่างที่เขาต้องการแล้ว น้ำตานางเงือกกับโลหิตขั้วหัวใจของจิ้งจอกน้อย ขอเพียงแค่กินของสองอย่างนี้ไปแล้วโคจรพลังยุทธ์ให้ดี ฝึกฝนอีกสามวันสามคืน เขาก็จะฟื้นฟูได้อย่างสมบูรณ์
ดังนั้นเขาจึงไม่คิดที่จะเปิดฉากต่อสู้ ต้องการรอจนกว่าทุกอย่างจะฟื้นฟูกลับมาค่อยว่ากัน
สิ่งที่เขานึกไม่ถึงก็คือ ไม่ว่าเขาจะหลบหนีไปที่ใด กู้ซีจิ่วก็จะโผล่ออกมาภายในครึ่งชั่วยาม ปรากฏกายต่อหน้าเขาทันที ขัดจังหวะการฝึกฝนของเขา…
แรกเริ่มเขาเองก็คิดเช่นกันว่าจะจับกู้ซีจิ่วขังไว้ แล้วค่อยเริ่มแผนการหลบหนี
ทว่ากู้ซีจิ่วไหลลื่นเสียยิ่งกว่ามัจฉา พอเขาลุกขึ้นไล่ล่า นางก็ใช้วิชาเคลื่อนย้ายในพริบตาหายตัวไป พอเขานั่งสมาธิฝึกฝน นางก็ออกมาซุ่มโจมตี…ทำให้เขาแทบจะเป็นบ้า!
ต่อมาเขาไม่รู้จะทำอย่างไรดีจึงทำได้แค่เพียงหลบหนีตลอดเวลาโดยใช้วิธีการต่างๆ ระหว่างการไล่ล่าและการหลบหนีนี้ ทั้งสองบุกเข้าไปในแผ่นน้ำแข็งที่เวิ้งว้างไร้ผู้คน และพบเจอกันโดยบังเอิญอีกครั้งที่รอยแยกน้ำแข็งนี้
กู้ซีจิ่วตามติดไปกับเขาด้วยท่าทีไม่ตายไม่ยอมเลิกรา
โม่เจ้ากลืนกินโลหิตจิ้งจอกครามเกินสามวันแล้ว หากไม่ฝึกฝนโคจรพลังยุทธ์ เมื่อพ้นเวลายาออกฤทธิ์ก็จะไม่ได้ผลอีกต่อไป
โม่เจ้าหงุดหงิดใจเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นกู้ซีจิ่วที่เขาชมชอบมาตลอดอีกครั้ง นางกลับไม่มีความสุขอีกต่อไป แต่กลายเป็นจิตใจฝักใฝ่การต่อสู้ ในที่สุดก็มีใจคิดสังหารขึ้นมา…
บทที่ 1702 นางก็คือดาวราชันดวงใหม่ที่เขาตามหาไม่พบ!
เขาก็ดูดาวเป็น เพียงแต่ศาสตร์โหราพยากรณ์ของเขาไม่ได้ลึกล้ำเท่าตี้ฝูอี ทำได้เพียงแค่ดูคร่าวๆ เท่านั้น
เขารู้ว่าดาวราชันดวงเก่าจะร่วงหล่นลงในที่สุด และในช่วงเวลานี้ก็จะมีดาวราชันดวงใหม่ถือกำเนิดขึ้นบนโลกใบนี้ หากดาวมารสวรรค์สังหารดาวราชันดวงใหม่ก่อนที่มันจะเติบใหญ่ขึ้นมาอย่างแท้จริง เช่นนั้น ดาวมารสวรรค์ก็จะยึดครองและเข้าแทนที่ได้สำเร็จ กลายเป็นผู้ปกครองคนใหม่ของโลกใบนี้ แน่นอนว่าเป็นผู้ปกครองสายมาร โครงสร้างของทวีปแห่งนี้ก็ต้องแก้ไขใหม่ทั้งหมด
เขามีจิตใจละโมภมาตั้งนานแล้ว และรอคอยมาโดยตลอด รอคอยให้ดาวราชันดวงใหม่ปรากฏขึ้น แรกเริ่มดาวราชันดวงใหม่จะอ่อนแอยิ่งนัก ถูกสังหารได้โดยง่าย
และดาวราชันดวงใหม่มักจะปรากฏขึ้นภายในหกสิบปีที่ดาวราชันดวงเก่าจะร่วงหล่น
เขาเพ่งพิศดวงดาวมาตลอด ทว่าในสายตาเขา ดาวราชันดวงเก่านั้นส่องแสงประกายยิ่งนักตลอดเวลา แทบจะไม่มีทีท่าว่าจะร่วงหล่น
ดังนั้น เขาจึงคิดว่าดาวราชันดวงใหม่ไม่มีทางปรากฏขึ้นในชั่วขณะหนึ่ง อย่างน้อยที่สุดไม่มีทางปรากฏขึ้นภายในหกสิบปี ดังนั้นเขาจึงทำตัวเรียบง่ายไม่โดดเด่นมาตลอด หลบซ่อนอย่างลึกลับ เพื่อจะได้ไม่ไปกระตุ้นความสงสัยของเทพศักดิ์สิทธิ์…
สิ่งที่เขาไม่คาดคิดก็คือ ดาวราชันดวงใหม่จะปรากฏขึ้นรวดเร็วถึงเพียงนี้!
ตอนที่เขาค้นพบ ดาวราชันดวงใหม่ดวงนั้นก็ส่องแสงประกายสุกใสแล้ว! แข็งแกร่งขึ้นมาแล้ว!
เห็นได้ชัดว่า ดาวราชันดวงเก่าทำอะไรบางอย่างกับมัน จนทำให้มันซ่อนตัว ไม่ส่องแสงก่อนหน้าที่มันยังไม่แข็งแรง หายไปจากท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดารา และทำให้โม่เจ้าพลาดโอกาสดีๆ ไป…
สิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ โม่เจ้าค้นพบดาวราชันดวงใหม่ แต่กลับไม่มีทางวิเคราะห์ได้เลยว่าดาวราชันดวงใหม่นั้นแท้จริงแล้วเป็นผู้ใด? เขาถึงกับไม่มีทางวิเคราะห์ตำแหน่งของอีกฝ่ายได้ และย่อมไม่มีทางสังหารอีกฝ่ายได้เช่นกัน
เดิมทีเขาคิดว่าจะค่อยออกตามหาหลังจากที่ฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์ นึกไม่ถึงว่าเมื่อเห็นกู้ซีจิ่วออกกระบวนท่า ลำแสงสีรุ้งแพรวพราวนั้นไม่อาจหลอกลวงได้ มีเพียงดาวราชันบนโลกใบนี้เท่านั้นถึงจะปล่อยลำแสงชนิดนั้นออกมาได้!
นางก็คือดาวราชันดวงใหม่ที่เขาตามหาไม่พบ!
เขารู้สึกว่าสวรรค์ช่างเล่นตลกอันโหดร้ายกับเขาเหลือเกิน สตรีเพียงผู้เดียวที่เขาชมชอบ สตรีเพียงผู้เดียวที่เขาอยากครอบครอง กลับเป็นดาวราชันดวงใหม่ที่เขาต้องการสังหารมาโดยตลอด!
อันที่จริง เขาคิดใคร่ครวญมาตลอดทางหลบหนีว่าจะทำอย่างไรดี?
เดิมทีเขาคิดจะแต่งงานกับดาวราชันดวงใหม่ จากนั้นก็ตัดขาดผู้สนับสนุนนางทั้งหมด ให้นางเป็นเพียงสตรีในวังหลังของเขา คอยดูเขาปกครองใต้หล้า ดูสถานการณ์วุ่นวายเป็นเพื่อนเขาด้วยรอยยิ้ม
ทว่าตอนนี้เขาถูกนางไล่ล่าอย่างกระชั้นชิด จิตใจที่ชมชอบของเขาก็จืดจางแล้ว
ในอนาคตยังคงมีสตรีที่เลิศเลอ ทว่าใต้หล้านี้มีเพียงหนึ่งเดียว เพื่อแผนการยึดครองอำนาจสูงสุดของเขา เขาทำได้เพียงยอมสละนางไปก่อน…
อย่างมากก็หลงเหลือดวงวิญญาณของนางไว้ ประทับรอยมารในดวงวิญญาณนาง ทำให้ถึงแม้นางเกิดใหม่ก็จะไม่มีทางเป็นเทพได้อีก ทำได้เพียงเป็นสตรีของเขา
เขาหรี่ตามองนางที่อาภรณ์พลิ้วปลิวไสวอยู่ฝั่งตรงข้าม นิ้วมือภายในแขนเสื้อค่อยๆ กระชับแน่น!
เขายังฉงนสงสัยในวิชาสืบหาร่องรอยของกู้ซีจิ่วยิ่งนัก เหตุใดจึงได้เหนือธรรมดาถึงเพียงนี้?!
กู้ซีจิ่วจ้องมองเขา ทุกท่วงท่าทุกการเคลื่อนไหวของเขาล้วนอยู่ในสายตาเธอ และย่อมรู้ดีว่าเขามีใจคิดสังหารต่อตัวเองแล้ว
เธอหยักมุมปากเล็กน้อย ในที่สุดก็ถึงเวลาตัดสินแล้ว!
เธอรอช่วงเวลานี้มาแสนนาน!
ยามนี้เธอค่อนข้างอารมณ์ดี ดังนั้นจึงมีใจตอบข้อสงสัยของโม่เจ้า “ความจริงข้าสงสัยในตัวเจ้ามานานแล้ว ดังนั้นจึงเล่นเล่ห์เล็กน้อยไว้บนตัวเจ้า เพราะฉะนั้น นอกจากเจ้าไม่ต้องการสังขารนี้แล้ว มิเช่นนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องคิดที่จะหลบหนีอีก ไม่ว่าเจ้าหลบหนีไปที่ใด ข้าก็ตามหาเจ้าได้พบ!”
โม่เจ้านิ่งอึ้ง
เขาทอดถอนใจ “ข้าหลบซ่อนได้อย่างดีเยี่ยมแท้ๆ ตัวเองก็ไม่ได้เผยพิรุธ แม้แต่ตี้ฝูอีก็ดูไม่ออก เจ้าดูออกจากตรงไหนกันแน่?”
เขาแสดงได้สมบทบาทยิ่งนัก อีกทั้งครั้งนี้สังขารที่เขายึดครองหรงเจียหลัวเป็นการรวมร่างที่แท้จริง เขากลืนกินดวงวิญญาณของหรงเจียหลัว มีความทรงจำทั้งหมดของหรงเจียหลัว
————————————————————————————-
บทที่ 1703 แค่เคยเท่านั้น
และสามารถกล่าวได้ว่า ยามนี้เขาก็คือหรงเจียหลัว สรุปแล้วเขาเผยพิรุธออกไปตรงไหนกัน?
กู้ซีจิ่วเม้มริมฝีปากแดงเรื่อนิดๆ กล่าวเพียงประโยคเดียวว่า “หรงเจียหลัวเคยเป็นสหายของข้า!”
เธอรู้จักสหายเป็นอย่างดีเสมอมา กับหรงเจียหลัวเองก็เช่นเดียวกัน
นิสัยใจคอของคนผู้หนึ่งสามารถเปลี่ยนไปได้เพราะการเปลี่ยนแปลงของสถานะ แต่นิสัยหลักๆ ยังคงไม่แปรเปลี่ยนไปมากนัก
หรงเจียหลัวหน้านิ่งสุขุมเยือกเย็น แต่จริงๆ แล้วนิสัยขี้อายและค่อนข้างเก็บตัว แต่ระยะเวลาไม่กี่เดือนมานี้ถึงแม้ยามปกติหรงเจียหลัวจะหน้านิ่งเคร่งขรึมเช่นเดิม แต่บางครั้งแววตากลับดูชั่วร้ายอยู่บ้าง ทำให้กู้ซีจิ่วแคลงใจในตัวเขา…
อันที่จริงก่อนหน้านี้ เธอเคยลอบหยั่งเชิงเขามาแล้วไม่กี่ครั้ง ล้วนหยั่งไม่พบความผิดปกติเลย เธอยังนึกอยู่เลยว่าตนคงระแวงมากไป
แต่เพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อน ยามที่เธอไปยังวังหลวงเพื่อสวดส่งวิญญาณอาฆาตเหล่านั้นและพบปะกับหรงเจียหลัว ก็ได้ลอบเล่นลูกไม้เล็กน้อยไว้บนร่างกายเขา
ร่างกายของหรงเจียหลัวมีความสุ่มเสี่ยง ไม่ว่าเขาจะถูกโม่เจ้าสิงร่างหรือไม่ กู้ซีจิ่วล้วนต้องลอบสอดส่องดูแลเขา
ต่อให้เขาไม่ใช่โม่เจ้า หากว่าวันไหนถูกโม่เจ้านึกถึงแล้วลักพาตัวไป เธอจะได้มีทิศทางในการหาตัวคน…
ท้ายที่สุดโม่เจ้าก็ยังคงปราดเปรื่อง ฟังความนัยของกู้ซีจิ่วออก อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจคราหนึ่ง “ซีจิ่ว เจ้าช่างดีต่อหรงเจียหลัวเสียจริงนะ! แต่ข้าก็เคยเป็นสหายของเจ้าเช่นกัน ทำไมไม่เห็นเจ้าจะดูแลข้าถึงเพียงนี้บ้างเล่า?”
กู้ซีจิ่วยิ้มเย็น “ข้าเคยถือว่าเจ้าเป็นสหายจริงๆ เพียงแต่ แค่เคยเท่านั้น!” หลังจากตัวเขาที่เป็นอวตารของโม่เจ้ากระทำเรื่องราวที่สวรรค์ขุ่นมนุษย์เคืองออกมามากมาย เธอจะนับเขาเป็นเพื่อนต่อไปได้อย่างไรเล่า?
โม่เจ้าหลุบตาลง ถอนหายใจแผ่วๆ “แต่ข้าเห็นเจ้าเป็นสหายมาโดยตลอด เจ้าคิดดูสิ นับแต่เจ้ารู้จักข้ามา ข้าก็ดีต่อเจ้ามาโดยตลอด ไม่เคยปองร้ายเจ้าอย่างแท้จริงเลย ปีนั้นยามเจ้าตกที่นั่งลำบากก็เป็นข้าที่คอยช่วยเหลือเจ้า กับสหายของเจ้าข้าก็หักใจทำร้ายจริงๆ ไม่ลงเช่นกัน มิเช่นนั้นไหนเลยจิ้งจอกน้อยตัวนั้นมีชีวิตรอดได้? ซีจิ่ว เป็นคนต้องมีมโนธรรม ข้าดีต่อเจ้าเช่นนี้ เจ้ากลับไล่ล่าข้าไม่ยอมเลิกรา ทำลายตำหนักใต้ดินของข้าไปกี่แห่ง ทำร้ายข้าจนบาดเจ็บสาหัสมากี่ครั้งแล้ว…ยามนี้ยังต้องการสังหารข้าให้สิ้นซากอีก ลองใช้จิตใจที่มีมโนธรรมของเจ้าคิดเสียหน่อยเถิด เจ้าไม่สำนึกบุญคุณข้าบ้างหรือ?”
วาทศิลป์ของเขายอดเยี่ยมนัก น้ำเสียงอ่อนโยนดึงดูด ดั่งธาราไหลเอื่อย คล้ายจะไหลซึมเข้าสู่ใจคนได้
ยามที่เขาเอ่ยถ้อยคำเหล่านี้ออกมา นัยน์ตาดำขลับคู่นั้นคล้ายจะเจือระลอกแสงอันนุ่มนวลไว้ สุกสกาวดั่งแสงเดือน ราวกับต้องการห่อหุ้มผู้คนไว้ในความอ่อนโยนห่วงอาลัยของเขา
กู้ซีจิ่วเงียบงัน ยังคงจ้องมองเขาอย่างไร้อารมณ์
โม่เจ้ายืนหยัดไม่ยอมแพ้ ก้าวเข้าหาเธอสองก้าว “ซีจิ่ว ครั้งนี้ปล่อยข้าไปได้หรือไม่?”
กู้ซีจิ่วเม้มริมฝีปากจิ้มลิ้มนิดๆ “หรงเจียหลัวตัวจริงล่ะ? เขาอยู่ที่ไหน?”
โม่เจ้าถอนหายใจ “แล้วข้ามิใช่หรงเจียหลัวหรอกหรือ?”
“เจ้าไม่ใช่! อย่างมากเจ้าก็เป็นแค่หรงเช่อ! องค์ชายแปด นึกถึงอดีตที่หรงเจียหลับปฏิบัติต่อเจ้าอย่างดียิ่งนักสิ เจ้าหักใจลงมือกับเขาอย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้ได้เชียวหรือ?”
สุ้มเสียงของโม่เจ้านุ่มนวล “ซีจิ่ว เขาเป็นมนุษย์ที่ปฏิบัติต่อข้าดียิ่งจริงๆ ดังนั้นข้าจึงไม่ได้ลงมือกับเขาอย่างเหี้ยมโหดอันใดเลย เจ้าคงไม่รู้ เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าอันที่จริงแล้วเขาน้อยเนื้อต่ำใจนัก เนื่องจากมักจะเป็นภาระให้เจ้าอยู่เสมอ เขาต้องการจะแข็งแกร่งขึ้นให้มากหน่อย ปรารถนาว่าจะสามารถเคียงบ่าเคียงไหล่กับเจ้าได้ ต้องการเป็นที่พึ่งคุ้มฝนบังลมให้เจ้า…แต่พรสวรรค์ของเขามีจำกัด ด้วยคุณสมบัติของร่างกายเขา ไม่อาจทะลวงไปถึงขั้นเก้าได้ และไม่มีวันแข็งแกร่งไปกว่าเจ้าได้…เขาหดหู่นักสิ้นหวังยิ่ง…”
“ดังนั้นเจ้าจึงฉวยโอกาสล่อลวงเขา ให้เขาทำพันธะโลหิตอันใดกับเจ้ากระมัง? ให้เจ้าครอบครองร่างกายของเขาได้ใช่ไหม?!”
โม่เจ้ายิ้มแล้ว “จะบอกว่าล่อลวงก็ไม่ได้หรอก เป็นเขายินยอมพร้อมใจเอง ข้ารับปากกับเขาว่าจะรักษาสตินึกคิดของเขาเอาไว้
บทที่ 1704 ข้าหักใจปฏิเสธเจ้าไม่ลงอยู่แล้ว
โม่เจ้ายิ้มแล้ว “จะบอกว่าล่อลวงก็ไม่ได้หรอก เป็นเขายินยอมพร้อมใจเอง ข้ารับปากกับเขาว่าจะรักษาสตินึกคิดของเขาเอาไว้ ถ่ายทอดความสามารถทั้งหมดของข้าเข้าไปในร่างเขา เขาดีต่อข้า ข้าย่อมไม่ฉ้อฉลเขาจริงๆ ดังนั้นยามนี้ข้าก็คือเขา เขาก็คือข้า…”
กู้ซีจิ่วยกมุมปากขึ้น “ที่เจ้ารักษาไว้มิใช่สติของเขา แต่เป็นความทรงจำกระมัง?! เจ้ากลืนกินดวงวิญญาณของเขาไปแล้วสินะ?”
โม่เจ้าถูจมูก “บอกได้เพียงว่ายามนี้ข้ากับเขาหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว คำว่ากลืนกินนี้ออกจะระคายหูอยู่บ้าง”
นัยน์ตากู้ซีจิ่วมีแววเศร้าสลดพาดผ่าน เข้าใจเหตุผลหลักที่โม่เจ้าสามารถสิงร่างของหรงเจียหลัวได้แล้ว
อย่างไรเสียหรงเช่อที่เป็นอวตารของโม่เจ้าก็คลุกคลีตีโมงกับหรงเจียหลัวมาเนิ่นนานปานนั้น เข้าใจนิสัยใจคอของเขาอย่างลึกซึ้ง และจับจุดอ่อนในอุปนิสัยของหรงเจียหลัวได้ง่ายดายยิ่ง และนำมาให้กับเขา
ผนวกกับถึงอย่างไรในอดีตหรงเช่อกับหรงเจียหลัวก้เป็นพี่น้องร่วมสายเลือดกัน มีสายเลือดเดียวกัน เขาสิงร่างของหรงเช่อมานานเนิ่นนานแล้ว ย่อมปรับตัวให้เข้ากับสายเลือดสกุลหรงได้แล้ว เมื่อเข้าสิงร่างของหรงเจียหลัวอีกครั้งจึงบรรลุผลลัพธ์อย่างง่ายดายด้วยการลงแรงเพียงครึ่งเดียว
อย่างไรเสียหรงเจียหลัวก็เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาอายุยี่สิบกว่าปีเท่านั้น จะสามารถต่อกรกับโม่เจ้าที่ฝึกฝนบ่มเพาะมาหลายพันปีแล้วได้อย่างไรกัน? เมื่อถูกเขาสิงร่าง ดวงวิญญาณก็มีแต่จะถูกเขากลืนกินเท่านั้น…
เห็นทีว่าหรงเจียหลัวคงหวนกลับมาไม่ได้แล้ว! เขากลายเป็นโม่เจ้าไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว!
หัวใจใช่ว่าจะไม่โศกเศร้าเลย ถึงอย่างไรหรงเจียหลัวก็ดีต่อเธอยิ่งนักเสมอมา
หากว่าไม่มีโม่เจ้า หรงเจียหลัวไหนเลยจะมิใช่จักรพรรดิที่เลิศล้ำพระองค์หนึ่ง ไม่แน่ว่าอาจระบือนามไปถึงรุ่นลูกรุ่นหลานก็ได้
แต่เขาช่างอาภัพนักที่ได้ประสบพบพานโม่เจ้า อันที่จริงแล้วชั่วชีวิตของเขาล้วนถูกควบคุมไว้ในกำมือของโม่เจ้ามาโดยตลอด…
เดิมทีกู้ซีจิ่วยังมีห่วงให้พะวงอยู่ ทว่ายามนี้กลับไม่มีอันใดให้ห่วงพะวงแล้ว!
สายตาเธอร่อนลงบนร่างโม่เจ้า “ข้ามีอยู่เรื่องหนึ่งที่ยังไม่กระจ่าง”
“ว่ามาเถิด ข้าหักใจปฏิเสธเจ้าไม่ลงอยู่แล้ว”
“ในวังโลหิตแห่งนั้น ที่จู่ๆ เจ้าก็พูดว่า ‘ไม่นึกเลยว่าจะเป็นเจ้า’ หมายความว่าอย่างไร?” กู้ซีจิ่วรู้สึกอยู่เสมอว่ามีความนัยแฝงอยู่ในวาจานี้ของเขา
โม่เจ้าแย้มยิ้ม เอ่ยถามเธอ “ซีจิ่ว เจ้าเป็นวิชาโหราศาสตร์หรือไม่?”
กู้ซีจิ่วขมวดคิ้วทันที นี่เกี่ยวอะไรกับโหราศาสตร์?
จู่ๆ เธอก็นึกถึงอดีตที่ตี้ฝูอีเคยพาเธอไปดูผังดวงดาว ได้เห็นดาวใหญ่ดวงนั้นที่เป็นตัวแทนของตี้ฝูอี และได้พบดวงดาวที่สื่อถึงตนเช่นกัน ทว่ายามนั้นตี้ฝูอีกลับไม่พูดอะไรมากนัก
ตอนนั้นเธอนึกว่าตนไม่มีความสำคัญอะไร ดังนั้นต่อให้ปรากฏขึ้นบนฝังดวงดาวก็เพราะบังเอิญมีความสัมพันธ์กับตี้ฝูอีเท่านั้น จึงไม่ได้ซักไซ้ถามไถ่ลงลึกอีก
ยามนี้จู่ๆ โม่เจ้าก็เอ่ยถามเธอเช่นนี้ ปัญญาอันเฉียบแหลมของเธอพลันเคลื่อนไหว หรือว่าโม่เจ้าจะมองเธอออกจากผังดวงดาว?
ตำแหน่งของเธอในยามนี้ ในผังดวงดาวน่าจะค่อนข้างพิเศษกระมัง!
การดูผังโหราศาสตร์ที่แท้จริงจะต้องดูในสถานที่เฉพาะเจาะจงเท่านั้น บนท้องฟ้าทั่วไปไม่อาจบ่งบอกอันใดได้
เธอจึงย้อนถามประโยคหนึ่ง “ดูเป็นแล้วอย่างไร? ดูไม่เป็นแล้วอย่างไร?”
โม่เจ้ายิ้มน้อยๆ มองดูเธอ คล้ายต้องการจะมองหาบางสิ่งจากท่าทีของเธอ
ถึงแม้นางจะปกปิดไว้อย่างดียิ่ง แต่ดูจากคำถามประโยคนี้ของนาง นางน่าจะยังไม่รู้ถึงสถานะที่แท้จริงของตน…
น่าสนใจ!
ในสถานการณ์ปกติ ดาวราชันดวงเก่าจะต้องคอยพิทักษ์ดาวราชันดวงใหม่ แต่ก็เป็นเพียงหน้าที่และความรับผิดชอบอย่างหนึ่งเท่านั้น เพียงคอยคุ้มครองในช่วงเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น รอจนดาวราชันดวงใหม่เติบใหญ่ขึ้นมาแล้วค่อยสั่งสอนทักษะบางอย่างให้แก่อีกฝ่าย โดยเฉพาะทักษะในการบริหารจัดการโลกใบนี้
เนื่องจากเป็นผู้สืบทอดของตน ดาวราชันดวงเก่าจึงไม่มีทางปกป้องประคองดาวราชันองค์ใหม่ไว้กลางฝ่ามือเด็ดขาด และยิ่งจะไม่ฝ่าฝืนสวรรค์หลายครั้งเพื่อนางด้วย
แต่เมื่อมองจากผังโหราศาสตร์ เห็นได้ชัดว่าดาวราชันดวงเก่าทำสิ่งต่างๆ เพื่อนางไม่น้อย เกินกว่าขอบเขตทั่วไปที่ดาวราชันดวงเก่าดูแลดาวราชันดวงใหม่ไปมากมายแล้ว
————————————————————————————-
บทที่ 1705
ว่ากันตามเหตุผลแล้ว ดาวราชันดวงเก่าสมควรจะถ่ายทอดศาสตร์โหราพยากรณ์แก่ดาวราชันดวงใหม่ได้แล้ว แต่ดูเหมือนว่าจะยังไม่ได้ถ่ายทอดให้ นางยังคงไม่รู้อะไรเลย
ชัดเจนยิ่งนักว่าดาวราชันดวงเก่าไม่อยากให้นางทราบความจริงเรื่องการสืบทอดจากดาวราชันดวงเก่าสู่ดาวราชันดวงใหม่ กลับพิทักษ์คุ้มครองนางไว้อย่างดีเหนือธรรมดา
เมื่อปรากฏสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นมีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ดาวราชันดวงเก่ากับดาวราชันดวงใหม่เป็นคู่รักกัน ดาวราชันดวงเก่าไม่อยากให้ดาวราชันดวงใหม่เสียใจเกินไปดังนั้นจึงไม่บอกความจริงที่ว่าเขาต้องร่วงหล่นจากท้องนภา…
ไม่แน่ว่าเขาอาจหาข้ออ้างใดมาแตกหักเลิกรากับดาวราชันดวงใหม่ก่อนที่ตัวเขาจะร่วงหล่นไป แสร้งทรยศหักหลัง ให้ดาวราชันดวงใหม่ตัดใจจากเขาอย่างสมบูรณ์ ไม่ไยดีความเป็นความตายของเขาอีก
ส่วนเขาก็จะแสร้งหายตัวไปอีกครั้ง ถึงอย่างไรการที่เขาหายหน้าไปหลายปี ถึงขั้นหลายสิบปีก็เป็นเรื่องปกติไปแล้ว หากว่าดาวราชันดวงเก่าจัดการได้เหมาะสมเรียบร้อย หลังจากเขาร่วงหล่นไป ก็ให้ลูกน้องสวมรอยเป็นเขา นานทีปีหนก็โผล่หน้าออกมาสักครั้ง ให้ผู้คนในแผ่นดินเห็นว่าเขายังอยู่ บางทีดาวราชันดวงใหม่อาจจะไม่ทราบไปชั่วนิรันดร์ว่าดาวราชันดวงเก่าร่วงหล่นไปแล้ว…
และหลังจากดาวราชันดวงใหม่ช้ำรัก ก็จะไม่สอบถามถึงเรื่องราวทุกอย่างของดาวราชันดวงเก่าอีกต่อไป เช่นนั้นนางก็จะไม่ทราบความจริงที่ว่าดาวราชันดวงเก่าร่วงหล่นไปแล้วตลอดกาล
และกู้ซีจิ่วที่เป็นดาวราชันดวงใหม่นี้ก็มีความเกี่ยวข้องพัวพันกับตี้ฝูอี ตี้ฝูอีปกป้องคุ้มครองกู้ซีจิ่วก็ปกติยิ่งนัก แต่เทพศักดิ์สิทธิ์ไม่ควรจะปกป้องคุ้มครองนางถึงเพียงนี้ นอกเสียจากว่า…นอกเสียจากว่าเทพศักดิ์สิทธิ์ก็คือตี้ฝูอี! และบางทีตี้ฝูอีก็คืออวตารของเทพศักดิ์สิทธิ์…
เมื่อนึกถึงข้อนี้ ข้อสงสัยทั้งหมดในใจของโม่เจ้าล้วนแจ่มแจ้งขึ้นมาในทันที!
ซ้ำเขายังทราบเรื่องที่กู้ซีจิ่วกับตี้ฝูอีเลิกรากันแล้วด้วย
ยามนั้นเขาไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าสองคนนั้นรักใคร่กันปานนั้น ต่างฝ่ายต่างสามารถตายแทนอีกฝ่ายได้ แล้วก้าวมาถึงจุดนี้กันได้อย่างไร?
ตอนนี้กลับเข้าใจหมดทุกอย่าแล้ว!
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!
ตี้ฝูอีช่างทำได้ทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมายโดยแท้!
เขามองกู้ซีจิ่วแล้วถามอีกประโยค “ตี้ฝูอีก็คือเทพศักดิ์สิทธิ์ใช่ไหม?”
หัวใจกู้ซีจิ่วพลันเต้นแรง ทว่าสีหน้ายังคงราบเรียบ “เจ้าพูดเหลวไหลอันใด?!” ที่แท้ไอ้สารเลวนี้อาศัยสิ่งใดในการอนุมานกัน?!
โม่เจ้าหลุบตาลง หัวเราะเบาๆ คราหนึ่ง ไม่มีแผนการจะแถลงไขให้แก่กู้ซีจิ่ว เพียงถอนหายใจอย่างสำนึกเสียใจยิ่งนักคราหนึ่ง “ถ้ารู้แต่แรกว่าเขาคือเขา ตอนที่อยู่ในตำหนักใต้ลาวาข้าน่าสังหารเขาให้สิ้นซากไปเสีย!”
เสียใจภายหลังเหลือเกิน!
ในใจของโม่เจ้าสำนึกเสียใจจนแทบจะร้องด่าถึงมารดาแล้ว!
ไม่นึกเลยว่าเมื่อก่อนเทพศักดิ์สิทธิ์เคยตกอยู่ในกำมือเขามาแล้ว แต่เขากลับปล่อยให้อีกฝ่ายหนีไปได้ง่ายๆ!
สายตาที่โม่เจ้ามองกู้ซีจิ่วมีแววเห็นใจวาบผ่านแวบหนึ่ง หากว่านางทราบความจริงจะเป็นเช่นใดกัน?
จะแตกสลายหรือไม่?
ไม่สิ ตี้ฝูอียังมีชีวิตอยู่ ยังไม่อาจให้นางทราบความจริงล่วงหน้าได้
รอจนตี้ฝูอีล่วงลับไปแล้ว เขาค่อยเอาความจริงมาเปิดเผยต่อหน้านางอย่างโหดเหี้ยม ท่าทีที่นางแสดงออกมาในยามนั้นคงน่าสนใจยิ่งนัก!
เช่นนี้จะได้ทำให้ความพากเพียรอุตสาหะทั้งหมดของตี้ฝูอีกลายเป็นเสียเปล่าไป และนับว่าได้ล้างแค้นที่ถูกเขากดไว้จนโงหัวไม่ขึ้นมาเนิ่นนานหลายปี
ฮ่าๆ! น่าสนใจ! นี่ช่างเป็นความคิดที่น่าสนใจโดยแท้!
ความคิดอันบ้าคลั่งผุดขึ้นในใจของโม่เจ้าทีอย่างละอย่างๆ และไม่คิดจะสังหารกู้ซีจิ่วแล้ว อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในยามนี้ เขาจะรอชมสีหน้าในยามที่นางได้รู้ความจริง…
เดิมทีเขามีใจคิดสังหารกู้ซีจิ่วแล้ว ยามนี้ความคิดสังหารนั้นเจือจางลงแล้ว
ไม่เป็นไร เขาจะรอให้ดาวราชันดวงเก่าร่วงหล่นไปก่อนแล้วค่อยเคลื่อนไหวอีกครั้ง!
ขอเพียงหลานไว่หูยังมีชีวิตอยู่ ก็สามารถถูกเขาช่วงชิงเอาโลหิตจากหัวใจมาได้อีก ส่วนน้ำตานางเงือกเขาก็มีกักตุนไว้แล้ว…
หลายวันมานี้ถึงแม้เขาจะถูกกู้ซีจิ่วไล่ตามจนวิ่งพล่านไปทั่ว ส่วนใหญ่เป็นเพราะกู้ซีจิ่วเป็นเลิศในทักษะการหนีเอาชีวิตรอด และเป็นเลิศในทักษะการก่อกวน ส่วนเขาก็แค่อยากหาสถานที่เงียบสงบปลอดการรบกวนเพื่อฝึกฝนโคจรพลังยุทธ์เท่านั้น ดังนั้นถึงได้กลายเป็นฝ่ายถูกไล่ล่าอยู่เช่นนี้
————————————————————————————-
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น