คัมภีร์วิถีเซียน 1695-1697

ตอนที่ 1695 ทลายเขตอาคม

 

จากนี้หลิวสุ่ยเอ๋อร์เห็นหานลี่และสือคุนไม่มีอันใดจะพูดอีก มือหนึ่งพลันตบไปที่กำไลเก็บของ


ผลคือลำแสงห้าสีเปล่งแสงสว่างวาบ ร่มสีสดสวยพลันปรากฏขึ้นในมือ


ร่มคันนี้มีความยาวแค่ครึ่งฉื่อ ห้าแสงสิบสี ดูสะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง


สือคุนดูเหมือนจะจดจำสมบัติชิ้นนี้ได้ จึงหน้าเปลี่ยนสี


หลิวสุ่ยเอ๋อร์โยนร่มขึ้นไปกลางอากาศด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


ชั่วขณะนั้นสมบัติชิ้นนี้พลันกลายเป็นลำแสงห้าสีพุ่งออกไปกลางอากาศ หลังจากกะพริบวาบๆ ก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย


หลังจากผ่านไปชั่วครู่หมอกลำแสงห้าสีก็สลายตัวออกกลางอากาศ ปกคลุมในรัศมีสิบกว่าลี้


ท่ามกลางหมอกลำแสง อักขระขนาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากันปรากฏขึ้นรางๆ จากนั้นพลันกะพริบวาบๆ แล้วสลายหายไป


จากนั้นหมอกลำแสงทั้งหมดก็โปร่งใสเช่นกัน สุดท้ายก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย


หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง แล้วกวาดจิตสัมผัสออกไป


ผลคือเมื่อบินอยู่อตรงจุดที่หมอกลำแสงสลายหายไป ก็ถูกพลังไร้รูปร่างดีดกลับมา


ด้านนี้ถูกเขตอาคมที่สร้างขึ้นจากร่มห้าสีปิดผนึกเอาไว้


แต่เช่นนั้นหลิวสุ่ยเอ๋อร์ก็ยังไม่หยุด


เรือนร่างเปล่งแสงสว่างวาบ ธงอาคมเปล่งแสงสีทองสิบกว่าด้าม อักขระบนผิวของมันมีอักขระยันต์เรียงรายอย่างแน่นขนัด


หลังจากที่พวกมันหมุนวนเริงระบำก็ทยอยกันกลายเป็นลำแสงสีทองจมหายไปกลางอากาศ


ชั่วขณะนั้นเสาลำแสงสีทองพลันพวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ แล้วเปล่งแสงสว่างวาบพลางเลือนหายไป


ระลอกคลื่นที่ไม่คุ้นเคยปรากฏขึ้น แต่มันกลับเลือนราง ดูอ่อนเป็นอย่างมาก


เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้หลิวสุ่ยเอ๋อร์กลับรู้สึกผ่อนคลายลง และส่งยิ้มให้หานลี่และพวกพลางเอ่ยอธิบายว่า


“ร่มกั้นห้วงเวลาชิ้นนี้เป็นสมบัติสมประสงค์ของท่านอาจารย์ สามารถกั้นระลอกคลื่นแรงกดยามที่พวกเราทลายเขตต้องห้ามได้ นอกจากนี้ธงอาคมชุดนี้ยังสร้างเขตอาคมทองคำได้ เป็นธงอาคมป้องกันที่ท่านอาจารย์หลอมขึ้นโดยเฉพาะ แม้ว่าสิ่งมีชีวิตระดับศักดิ์สิทธิ์ขั้นต้นทำการโจมตีเขตอาคมนี้ ก็ยังต้านทานไว้ได้กว่าครึ่ง”


“เยี่ยม! ในเมื่อเซียนหลิวทำเช่นนี้ ผู้แซ่สือก็จะวางเขตอาคมเล็กๆ สักหน่อย” สือคุนพลันแววตาเปล่งประกาย เอ่ยพร้อมกับหัวเราะแผ่วเบา


จากนั้นชายร่างใหญ่พลันอ้าปาก คาดไม่ถึงว่าจะพ่นลำแสงสีเทาสิบกว่าดวงออกมา!


ในลำแสงสีเทาทุกดวงล้วนเป็นวงแหวนสีเทา มีทั้งหมดสิบสามวง หลังจากวนล้อมรอบชายร่างใหญ่แล้ว ก็หายวับไปเช่นกัน


“วงแหวนแม่ลูกวิญญาณภูต! คาดไม่ถึงว่าท่านอาวุโสต้วนจะมอบสมบัติชิ้นนี้ให้พี่สือ” หลิวสุ่ยเอ๋อร์รู้จักวงแหวนวงนี้ แววตาพลันหดเล็กลง


“วงแหวนแม่ลูก วงแหวนแม่ลูกชุดนี้ไม่มีประสิทธิภาพอื่น แต่กลับทำลายจิตวิญญาณดั้งเดิมของผู้คนได้โดยเฉพาะ หากไม่ทันระวังตัว ก็สามารถทำร้ายสิ่งมีชีวิตระดับต่ำกว่าระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ให้บาดเจ็บหนักได้ เป็นเครื่องมือช่วยเสริมเขตอาคมของเซียนพอดี” สือคุนเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ


“ก็ดี หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็ หากชนเผ่าแมลงมีเขาเข้ามาก่อความวุ่นวาย พวกเราก็มีการป้องกันที่เพียงพอแล้ว” หลิวสุ่ยเอ๋อร์เงียบขรึมไปชั่วครู่ น้ำเสียงพลันเปลี่ยนเป็นราบเรียบ


แววตาของหานลี่ฉายแววครุ่นคิด แต่จากนั้นพลันลูบใต้คาง แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ “ในเมื่อสหายทั้งสองเตรียมการเสร็จแล้ว พวกเราก็เริ่มทำลายเขตอาคมกันเถิด ไม่รู้เพราะเหตุใด ข้ามักจะรู้สึกว่าพวกเรารีบทำให้เร็วที่สุดจะดีกว่า จะได้ไม่เกิดความผิดพลาดภายหลัง”


“หึๆ พี่หานพูดมีเหตุผล เซียนหลิวลงมือเถิด” สือคุนหัวเราะหึๆ ออกมาแล้วเอ่ยสนับสนุน


“ในเมื่อสหายทั้งสองเตรียมการแล้ว น้องหญิงย่อมไม่มีปัญหา” หลิวสุ่ยเอ๋อร์หัวเราะน้อยๆ ออกมา


จากนั้นหญิงสาวก็สะบัดมือข้างหนึ่ง หว่างนิ้วมีธงเล็กๆ สีเทาอีกด้ามหนึ่งปรากฏขึ้น


ผิวของธงเปล่งแสงสีเทาขมุกขมัว คาดไม่ถึงว่าจะมีลำแสงเทวะดูดปราณแผ่ออกมา!


หญิงสาวสวมงอบโยนธงในมือไปเบื้องหน้า มือหนึ่งพลันร่ายอาคม ปากพลันบริกรรมคาถา


หลังจากเสียง “ตูม” ดังขึ้น กรงล้อลำแสงสีเทาพลันปรากฏขึ้นที่แผ่นหลัง อักขระตรงกลางหมุนวนเล็กน้อย หมอกลำแสงทยอยกันหมุนวน


ธงสีเทาด้ามนั้นสั่นเทาราวกับได้รับพลังกระตุ้น และเปล่งเสียงร้องหึ่งๆ ออกมา


เมื่อเห็นหลิวสุ่ยเอ๋อร์กระตุ้นลำแสงเทวะดูดปราณ หานลี่และสือคุนก็มองสบตากันแวบหนึ่ง แล้วสำแดงอิทธิฤทธิ์เช่นกัน


ครั้งนี้สือคุนเปล่งแสงสีเทาออกมาจากเรือนร่าง สะบัดแขนเสื้อ คาดไม่ถึงว่าจะมีสมบัติแผ่นป้ายบินออกมา


แผ่นป้ายนี้เป็นสีเทาหม่นเช่นกัน แต่ทั้งสองด้านล้วนสลักคำว่า “ปราณ” “ลำแสง” ด้วยอักษรโบราณเอาไว้


แผ่นป้ายหมุนวนอย่างช้าๆ ขยายใหญ่ขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะมีขนาดสองสามจั้ง


ชายร่างใหญ่ยกมือข้างหนึ่งขึ้นอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด นิ้วทั้งห้ากางออกกดลงไปบนด้านหลังของแผ่นป้าย


นิ้วทั้งห้าเปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วขณะนั้นแผ่นป้ายพลันเปล่งแสงสีเทาออกมา อักขระโบราณสองตัวบนแผ่นป้ายเปล่งแสงเจิดจ้าจนแสบตา


ส่วนร่างของชายร่างใหญ่นั้นพลันมีหมอกลำแสงสีเทาหมุนวนโคจรอยู่พร้อมกับเสียงของลำแสงเทวะดูดปราณอันน่าตกตะลึง


หานลี่ในยามนี้ยื่นแขนที่ดำสนิทราวกับน้ำหมึกออกมาจากแขนเสื้อแล้ว


สีหน้าเปลี่ยนไป นิ้วทั้งห้าหดงอ ยอดเขาขนาดจิ๋วสูงสองสามชุ่นปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ


นั่นก็คือภูเขาเทวะดูดปราณที่ถูกหลอมแล้ว


แทบจะไม่ต้องให้หานลี่ร่ายคาถากระตุ้นอันใด ภูเขาลูกนี้ก็บินออกมาโดยอัตโนมัติ


มันพลิ้วไหว ภูเขาน้อยขยายใหญ่ขึ้นทันที จนมีขนาดสิบจั้งเศษ


ผิวของยอดเขามีอักขระสีเงินเปล่งแสงเจิดจ้า ในเวลาเดียวกันระลอกคลื่นลำแสงสีเทาก็ปรากฏขึ้นเป็นชั้นๆ


แทบจะในเวลาเดียวกันนั้น!


กรงล้อลำแสงสีเทาบนแผ่นหลังของหญิงสาวก็สั่นเทา เสาลำแสงสีเทาเปล่งแสงสว่างวาบแล้วพุ่งออกมา โจมตีไปยังธงที่ห่างออกไปแค่คืบ


ชั่วขณะนั้นธงสีเทาพลันสั่นเทา ธงคลี่ขยายออกไป อักขระจำนวนมากปรากฏขึ้น พ่นเสาลำแสงหนาๆ สายหนึ่งออกมา


ตรงหน้าของสือคุนเป็นแผ่นป้ายยักษ์ ลำแสงหมุนวนโคจร เส้นไหมสีเทาพุ่งออกมาจากแผ่นป้าย


หานลี่ร่ายคาถาด้วยสีหน้าราบเรียบ มือหนึ่งชี้ไปที่ยอดเขาสีดำ


ภูเขาเทวะดูดปราณหมุนติ้วๆ ระลอกคลื่นสีเทาหมุนวนอยู่ที่ตีนเขา


พลังเทวะดูดปราณทั้งสามชนิดหลอมรวมร่างกันในพริบตา กลายเป็นอักขระยักษ์เส้นผ่าศูนย์กลางสิบจั้ง!


ภายใต้การชี้นำของหลิวสุ่ยเอ๋อร์ อักขระยักษ์มีลำแสงสีเทาหมุนวนล้อมรอบ แค่กะพริบวาบ ก็จมหายเข้าไปในหมอกสีขาวด้านล่าง


เสียงอึกทึกดังสนั่นขึ้น!


หมอกสีขาวและลำแสงสีเขียวตัดสลับกันไปมา หมอกสีขาวที่ดูเหมือนหมุนวนอย่างช้าๆ คาดไม่ถึงว่าจะเหมือนกับกระดาษบางๆ ที่จะขาดแหล่มิขาดแหล่ ถูกอักขระฉีกขาดออกได้อย่างง่ายดาย กลายเป็นลำแสงวิญญาณสลายหายไป


แต่ด้านล่างหมอกสีขาวพลันมีม่านลำแสงสีเขียวอ่อนปรากฏขึ้น


อักขระยักษ์ร่วงลงมาอย่างต่อเนื่องอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด แล้วทุบลงบนลำแสงสีเขียว


แต่ครั้งนี้กลับเงียบกริบ!


เมื่ออักขระสีเทาและลำแสงสีเขียวสัมผัสกัน คาดไม่ถึงว่าม่านลำแสงจะเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป ราวกับถูกกลืนกินไปจนเกลี้ยงอย่างไรอย่างนั้น


อักขระยักษ์ตกลงมาอีกครั้ง ด้านล่างกลับมีเส้นไหมผลึกสีแดงสดเปล่งแสงระยิบระยับตัดสลับกันไปมาจำนวนนับไม่ถ้วน หนาแน่นไปหมด ราวกับตาข่ายแมงมุมขนาดยักษ์อย่างไรอย่างนั้น


ครั้งนี้อักขระยังไม่ทันได้สัมผัสกับเขตอาคม ตาข่ายเส้นไหมก็เปล่งแสงสีแดงออกมา หมอกลำแสงสีแดงทะลักออกมารองแล้วดันขึ้นด้านบน


อักขระทะลวงเข้าไปในเมฆสีแดงอย่างพอดิบพอดี


แตกต่างกับสถานการณ์ก่อนหน้า เสียงแผดร้องราวกับพายุอัสนีดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง


อักขระยักษ์เปล่งแสงสีเทาออกมา หมุนวนราวกับเมฆสีแดง สุดท้ายก็ถูกลำแสงสีเทากวาดไปจนเกลี้ยง


ผลึกสีแดงสดด้านล่างถูกลำแสงสีเทาปกคลุมเอาไว้ พลันสลายหายไปอย่างรวดเร็วราวกับแสงอาทิตย์ละลายหิมะ


อักขระหม่นแสงลง แล้วร่วงลงมาต่อ โจมตีไปยังเขตอาคมระดับที่สี่


แค่อักขระยันต์ที่สร้างมาจากลำแสงเทวะดูดปราณหม่นแสงลงกว่าในยามแรกเล็กน้อย


เขตอาคมสองสามระดับแรกถูกทำลายลงอย่างง่ายดาย ทำให้หานลี่รู้สึกประหลาดใจเล็กๆ


ลำแสงเขียวไท่อี่ที่เดิมทั้งสามคนหวาดกลัวที่สุด เพราะถูกลำแสงเทวะดูดปราณกั้นเอาไว้ ยามแรกก็ไร้ประสิทธิภาพ และไม่เคยเข้ามาโจมตีสกัดกั้นอักขระ


นี่เป็นสาเหตุที่ทำลายเขตอาคมระดับแรกๆ ได้อย่างง่ายดาย


ชั่วพริบตาภายใต้การจับจ้องของหานลี่ ลำแสงเทวะดูดปราณก็ผนึกรวมตัวกันเป็นอักขระยักษ์ก็ทะลวงผ่านระดับที่เก้าไปอย่างไม่เหมือนกัน


แต่ในที่สุดยามนี้อักขระยักษ์นั้นก็หมดสิ้นประสิทธิภาพ เสียงร้องต่ำๆ ดังขึ้น ผิวของมันมีลวดลายจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น และแตกออกเป็นเสี่ยงๆ พลางสลายหายไป


“สหายทั้งสองรออันใด รีบเตรียมการโจมตีขั้นสุดท้ายสิ!” หลิวสุ่ยเอ๋อร์แผดเสียง จากนั้นกรงล้อลำแสงสีเทาด้านหลังก็พุ่งออกมา กลายเป็นเสาลำแสงหนาๆ สายหนึ่งจมหายเข้าไปในอักขระที่ใกล้จะแตกหัก


ผิวของอักขระผสานเข้าหากันดังเดิมในพริบตา และเปล่งแสงเจิดจ้าออกมาอีกครั้ง ม้วนวนลงไปอย่างดุดันอีกหน


หานลี่เองก็สำแดงอิทธิฤทธิ์เช่นเดียวกันกับสือคุน


แผ่นป้ายยักษ์อันหนึ่งถูกตบเบาๆ พุ่งลงไปราวกับลูกธนู ยอดเขาสีดำถูกนิ้วชี้กดลงไปอย่างเงียบเชียบ


หลังจากที่ทั้งสองไล่ตามกันไป ก็กลายเป็นลำแสงสีเทาขนาดยักษ์สองดวง ร่วงลงไปราวกับดาวตกสีเทาสองดวง


เขตอาคมระดับที่สิบ คือเม็ดทรายสีเหลืองเข้มที่ก่อตัวกันเป็นม่านทราย


เมื่ออักขระสีเทาสัมผัสกับม่านทรายนั้นก็หยุดชะงัก


ภายใต้การเฝ้ามองด้วยเนตรวิญญาณของหานลี่ ลำแสงเขียวไท่อี่ที่เดิมถูกลำแสงเทวะดูดปราณดูดเอาไว้ ปรากฏขึ้นรอบด้านอีกครั้ง


ในที่สุดลำแสงนี้ก็ลดพลังของลำแสงเทวะดูดปราณไป เผยอานุภาพออกมาอีกครั้ง


จากนั้นก็สับลงไปบนพื้น ชั่วขณะนั้นอักขระยักษ์พลันเปล่งเสียงอึกทึก กลายเป็นชิ้นๆ จำนวนนับไม่ถ้วนแล้วระเบิดออก


หมอกลำแสงสีเทาพลันกระเพื่อม กลับทำให้ลำแสงเขียวไท่อี่ที่กลายเป็นเงาลวงตาเหล่านั้นสลายหายไปกว่าครึ่ง


และในยามนั้นเองแผ่นป้ายยักษ์และยอดเขาสีดำที่กลายเป็นดวงแสงสีเทาก็ทุบลงมาอย่างดุดัน


หลังจากเสียง “ตูมๆ” ดังขึ้นสองครั้ง แม้ว่าลำแสงเขียวไท่อี่ที่ชำรุดจะฝืนต้านทานเอาไว้ได้ แต่กลับเหมือนตั๊กแตนห้ามรถ ถูกทั้งสองโจมตีจนแหลกสลาย โจมตีไปยังม่านทรายด้านล่าง


กรวดสีเหลืองสั่นกระเพื่อม จากนั้นกรวดทุกเม็ดมีขนาดเท่ากำปั้นในพริบตา พยายามทะลักไปหาสมบัติสองชิ้นนั้น


หากอยากทำให้แผ่นป้ายยักษ์และยอดเขาปริแตกเป็นเสี่ยงๆ ไปพร้อมกัน


เห็นได้ชัดว่ากรวดสีเหลืองเหล่านี้เป็นสิ่งที่มีที่มาที่ไปไม่ธรรมดา หากเป็นสมบัติธรรมดาย่อมไม่อาจต้านทานการโจมตีที่มีพลังมหาศาลเช่นนี้ได้


แต่ไม่ว่าภูเขาเทวะดูดปราณของหานลี่หรือว่าแผ่นป้ายสีเทาชิ้นนั้น ก็ผสมพลังเทวะดูดปราณอยู่ ภายใต้แรงกดของเม็ดกรวดเหล่านั้น แม้ว่าหมอกลำแสงจะหดเล็กลง แต่ลำแสงกลับเจิดจ้าขึ้น


แม้ว่าเม็ดทรายจะมหัศจรรย์เป็นอย่างมาก แต่เมื่อบีบให้อยู่ในหมอกลำแสงสีเทา กลับไม่อาจเคลื่อนตัวไปด้านหน้าได้ราวกับหนักเป็นพันชั่ง


และในยามนั้นเองอักขระสีเงินบนผิวของภูเขาเทวะดูดปราณและอักขระโบราณบนแผ่นป้ายยักษ์ก็เปล่งแสงเจิดจ้าขึ้นพร้อมกัน สำแดงอานุภาพที่แท้จริงออกมา



 

 

 


ตอนที่ 1696 เก็บภูเขา

 

เห็นเพียงผิวของยอดเขามีอักขระสีเงินปรากฏออกมา บินวนล้อมรอบยอดเขาสีดำอย่างรวดเร็ว กลายเป็นหลุมดำเส้นผ่าศูนย์กลางสองสามจั้งสองสามหลุม


ด้านในมีหมอกลำแสงสีเทาหมุนวน พลังแรงสูบยักษ์ปรากฏขึ้น


เม็ดทรายสีเหลืองรอบด้านถูกลำแสงสีเทาม้วนเข้าไป หมุนติ้วๆ อย่างไม่เป็นตัวเอง แล้วกลับคืนร่างเดิมพลางทะลักเข้ามาในหลุมดำเหล่านั้น


เม็ดทรายยักษ์รอบด้านถูกกวาดไปจนเกลี้ยง


อักขระบนแผ่นป้ายยักษ์เปล่งแสงวาบๆ แต่กลับสั่นเทา ลำแสงสีเทาหนาๆ สายหนึ่งพุ่งออกมาจากส่วนปลาย


ลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ ใช้แผ่นป้ายเป็นด้าม ใช้ลำแสงเทวะดูดปราณเป็นใบมีด คาดไม่ถึงว่าจะมีกระบี่ลำแสงสีเทาขนาดเจ็ดแปดจั้งปรากฏขึ้น


กระบี่ลำแสงกวาดผ่านไป ชั่วขณะนั้นบรรยากาศรอบด้านพลันบิดเบี้ยว เม็ดทรายขนาดยักษ์รอบด้านทยอยกันปริแตกแล้วสลายหายไป


คาดไม่ถึงว่าอานุภาพของกระบี่ลำแสงร้ายกาจเพียงนี้!


แม้ว่าเม็ดทรายสีเหลืองจะมีอยู่มากมายจนนับไม่ถ้วน แต่สมบัติทั้งสองชิ้นก็สำแดงอานุภาพออกมาพร้อมกัน กว่าครึ่งล้วนถูกภูเขาเทวะดูดปราณดูดซับไป ส่วนน้อยถูกกระบี่ลำแสงสับลงสลายหายไป


ในที่สุดเขตอาคมระดับที่สิบก็ถูกทะลวงออก เขตอาคมระดับสุดท้ายพลันปรากฏขึ้น


ม่านลำแสงสีเขียวก่อตัวกันเป็นรูปภาพยักษ์ ปรากฏขึ้นจากด้านล่าง


ยอดเขาสีเขียวมรกตในม้วนภาพวาด มีวิหควิญญาณบินวนอยู่นับไม่ถ้วน เรียงกันเป็นตั้งๆ ราวกับไม่มีที่สิ้นสุดอย่างไรอย่างนั้น


แทบจะในเวลาเดียวกันยอดเขาสีเขียวที่ใหญ่ที่สุดในภาพวาดก็เปล่งแสงสว่างวาบ ลำแสงวิญญาณทอตัวไปทั่วภาพม้วนแล้วระเบิดออก


เงาวิหคห้าหกสีกลับมามีชีวิตในลำแสงสีเขียว บ้างก็กระพือปีกทั้งสอง บ้างก็ชูคอร้องเพรียก ทยอยกันพุ่งออกมาจากม้วนภาพวาด


ในบรรดาวิหคเหล่านั้นบ้างก็อ้าปากพ่นดวงแสงเพลิงสีแดงสดออกมา บ้างก็กระพือปีกทั้งสองข้าง พายุใบมีดสีขาวพุ่งออกมา และยังมีเสียงเพรียกอัสนีออกมาจากกรงเล็บ ประจุไฟฟ้าสีเงินดีดออกมาจากกรงเล็บ


ยามนั้นการโจมตีหนาแน่นนั้นราวกับเขื่อนแตกอย่างไรอย่างนั้น กรูทะลักเข้ามาจากด้านล่าง


นอกจากนี้ยอดเขาสีเขียวพลันเปล่งแสงสว่างวาบ กลายเป็นเงาลวงตาที่ตาเนื้อไม่อาจมองเห็นได้ พุ่งเข้าไปหายอดเขาสีดำและกระบี่ลำแสงสีเทา


จำนวนของลำแสงเขียวไท่อี่นี้ ไม่ใช่สิ่งที่เขตอาคมสองสามระดับแรกจะเทียบเทียมได้ ภายใต้ภูเขาเทวะดูดปราณและภาพลวงตาจากกระบี่ลำแสงที่พุ่งเข้ามา คาดไม่ถึงว่าหมอกลำแสงสีเทาจะหม่นหมองลงหลายส่วน ท่าทางเหมือนถูกขัดขวางไว้


“ลำแสงเขียวไท่อี่!”


หานลี่ไม่ได้ตกตะลึงแต่กลับดีใจ แทบจะไม่ต้องใช้การคาดเดาใดๆ ก็รู้ว่ายอดเขาที่เปล่งแสงสว่างวาบในม้วนภาพนั้นเป็นสิ่งที่เขาใฝ่ฝันถึง


ทว่าเห็นได้ชัดว่าภูเขาลูกนี้ถูกนำไปหลอมเป็นวัตถุดิบหลักของม้วนภาพแล้ว และด้วยความช่วยเหลือของม้วนภาพ อานุภาพของมันก็ดูเหมือนว่าจะเหนือกว่าหลายส่วน


เขาขบคิดเช่นนั้นในใจ กระบี่ลำแสงสีเทาเล่มนั้นสับลงมาอีกครั้งภายใต้เสียงคำรามของสือคุน


ทุกแห่งที่กระบี่ลำแสงกวาดผ่านไป การโจมตีจากดวงแสงเพลิงและใบมีดวายุเหล่านั้นก็สลายหายไปราวกับหิมะน้ำแข็ง สับลงมาที่ฝูงวิหคที่ปรากฏขึ้นในม้วนภาพ


กระบี่ลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ เงาวิหคจำนวนนับไม่ถ้วนถูกสับลงมาในทันที


แต่เงาวิหคจำนวนมากกลับเคลื่อนไหว กลายเป็นเปลวเพลิงห้าสีพุ่งกระโจนมาหากระบี่ลำแสง


เสียง “ตูมๆ” ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยามแรกลำแสงกว่าครึ่งล้วนถูกกระบี่ลำแสงดีดออกไป แต่หลังจากที่เปลวเพลิงห้าสีห่อหุ้มเอาไว้ ในที่สุดกระบี่ลำแสงขนาดยักษ์ก็ไม่อาจต้านทานลำแสงที่หม่นหมองได้ กลับคืนร่างแผ่นป้ายอีกครั้ง และเสียงร้องคร่ำครวญก็ถูกเปลวลำแสงม้วนเข้าไป ร่อนลงมาภาพม้วนภาพด้านล่าง


เปลวเพลิงลำแสงห้าสีที่เหลือเปล่งแสงเจิดจ้า หมุนไปทางยอดเขากลางอากาศอย่างต่อเนื่อง


หานลี่ใจหายวาบ มือหนึ่งพลันร่ายอาคมโดยไม่ได้ขบคิด ชี้ไปทางยอดเขาเทวะดูดปราณด้านล่างด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


เสียงอึกทึกดังขึ้นราวกับเสียงระฆังบนยอดเขา ขยายขนาดใหญ่ขึ้นท่ามกลางลำแสงสีเทา


แค่พลิ้วไหวสองสามคราก็มีขนาดยักษ์สองสามร้อยจั้งท่ามกลางหมอกสีเทา ผิวของมันมีอักขระสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น และพาระลอกคลื่นลำแสงสีเทากดลงมาด้วย


แม้ว่าอานุภาพของกระบี่ยักษ์สีเทาเมื่อครู่จะน่าตกตะลึง และแหลมคมไม่น้อย แต่หากพูดถึงจำนวนของลำแสงเทวะดูดปราณกลับไม่อาจเทียบกับภูเขาเทวะดูดปราณที่ยิ่งใหญ่ได้


เปลวเพลิงห้าสีที่กระโจนขึ้นมาด้านล่างถูกกดทับเอาไว้ราวกับภูเขาไท่ซานอย่างไรอย่างนั้น ไม่ทันได้สัมผัสกับภูเขาลูกนี้ ก็ทยอยกันถูกระลอกคลื่นลำแสงสีเทาทำลายจนหายวับไป


ยอดเขายักษ์ร่วงลงมาด้านล่างอย่างต่อเนื่อง แล้วทุบลงไปที่ม้วนภาพ


ในยามนั้นเองยอดเขาในม้วนภาพพลันเปล่งเสียงร้องยาวๆ ฉากต่างๆ ในภาพที่เดิมสะท้อนภาพต่างๆ ไม่ว่าวิหควิญญาณต้นไม้ใบหญ้าหรือหมู่แมลงก็กลายเป็นลำแสงสีเขียวอ่อนทะลักเข้าไปในยอดเขาทั้งหมด


ชั่วพริบตานั้นยอดเขาก็เปล่งแสงสีเขียวมรกต และทยอยกันม้วนวนออกมาจากภาพวาด และยิ่งไปกว่านั้นตัวมันยังสั่นเทา ปล่อยลำแสงสีเขียวออกมากลายเป็นเส้นไหมสีเขียวมรกต


ลำแสงเขียวไท่อี่ถูกภูเขากระตุ้น ในที่สุดก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ และตัดสลับกันไปมา กลายเป็นตาข่ายสีเขียวมรกตพุ่งไปกลางอากาศ


คลื่นลำแสงสีเทาและตาข่ายลำแสงสีเขียวมรกตโจมตีเข้าหากันภายในพริบตา คาดไม่ถึงว่าจะเกิดเป็นเสียงแหลมสูงราวกับทองคำเสียดสีกัน ยอดเขาทั้งสองลูกสั่นคลอนพร้อมกันอย่างต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน


หานลี่เห็นเหตุการณ์เช่นนั้นพลันหรี่ตาทั้งสองข้างลง พลังปราณโคจรอยู่ภายในร่างอย่างรวดเร็ว คิดจะบรรจุเข้าไปในยอดเขาเทวะดูดปราณ ทำให้อานุภาพของมันเพิ่มมากขึ้น


แต่ในยามนั้นเองกลางอากาศกลับมีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น จากนั้นสายฟ้าสีเทาขนาดเท่าปากชามก็ร่วงลงมา โจมตีไปบนตาข่ายสีเขียวมรกตอย่างแรง


คาดไม่ถึงว่าลำแสงเขียวไท่อี่ที่กลายเป็นตาข่ายยักษ์จะพลิ้วไหวไปมาไม่หยุด


หานลี่พลันรู้สึกดีใจ กวาดสายตาไปมองเห็นทุกอย่างอย่างชัดเจนในทันที คาดไม่ถึงว่าสายฟ้าสีเทาจะร่วงลงมาจากธงด้านหน้าหลิวสุ่ยเอ๋อร์


หญิงสาวผู้นี้เห็นเขตอาคมระดับสุดยอด ใช้สมบัติของหานลี่และสือคุนจัดการไม่ได้ง่ายๆ ในที่สุดก็กระตุ้นสมบัติตรงหน้าของตนเอง เข้ามาช่วยเสริมอีกแรง


ทว่ายอดเขาสีเขียวนั้นสุดยอดมาก ทั้งๆ ที่ปล่อยลำแสงเขียวไท่อี่ออกมาแล้วไม่อาจต้านทานการผสานการโจมตีของยอดเขาเทวะดูดปราณและสายฟ้าสีเทาได้ แต่กลับปล่อยเส้นไหมสีเขียวมรกตออกมาจากยอดเขาไม่หยุด พลางชดเชยตาข่ายที่สลายหายไปไม่หยุด


คาดไม่ถึงว่าจะแค่ตกเป็นรอง แต่กลับไม่ได้ทำให้ตาข่ายนี้แตกสลายไปในทันที


เช่นนั้นแม้ว่าหานลี่และพวกทั้งสองจะเป็นฝ่ายเหนือกว่า แต่กลับไม่อาจทลายเขตอาคมต้องห้ามระดับที่สิบไปได้


ช่วงเวลาที่ล่าช้านี้หากถูกเขตอาคมที่ถูกทำลายไปแล้วฟื้นฟูกลับมาดังเก่า ครานี้ก็ยุ่งยากใหญ่แล้ว


แน่นอนว่าหานลี่และหลิวสุ่ยเอ๋อร์ย่อมรู้เหตุผล จึงเริ่มกระตุ้นสมบัติ แต่จากการโจมตีของคลื่นลำแสงสีเทาและสายฟ้าที่เปรียบดั่งพายุฝน ตาข่ายสีเขียวมรกตที่มีลำแสงเขียวไท่อี่คอยสนับสนุนอยู่ กลับเผยความแข็งแกร่งที่ยากจะเหลือเชื่อออกมา ไม่อาจโจมตีให้แตกกระเจิงได้เลยสักนิด


หานลี่และพวกทั้งสองพลันหน้าเปลี่ยนสี


แต่ในยามนี้สือคุนกลับเคลื่อนไหว


เห็นเพียงชายร่างใหญ่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ร่างกายขยายใหญ่ขึ้น จนมีความสูงสองสามจั้ง แขนยักษ์สองข้างกำหมัดโจมตีไปที่ทรวงอก ร่างกายเปล่งแสงสีเทาออกมา


จากนั้นก็เห็นแขนทั้งสองข้างของเขาโบกสะบัด เงากำปั้นปรากฏขึ้นทันที มันสั่นเทา แล้วกลายเป็นดวงแสงสีเทาโจมตีลงมา


ลำแสงเทวะดูดปราณเหล่านั้นรวมตัวกันกลายเป็นดวงลำแสงแล้วเข้าร่วมการโจมตี ในที่สุดก็กลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่บดขยี้ตาข่ายสีเขียวมรกต


ภายใต้การร่วมมือกันของภูเขาเทวะดูดปราณและสายฟ้าสีเทา โจมตีตาข่ายลำแสง สุดท้ายก็เกิดเสียงอึกทึกดังขึ้น พลังเทวะดูดปราณทั้งสามประสานกัน กลายเป็นดวงลำแสงแล้วสลายหายไป


หมอกลำแสงสีเทา สายฟ้า ดวงแสงทะลักลงมา ล้วนโจมตีไปที่ยอดเขาสีเขียวและม้วนภาพด้านล่าง


ชั่วขณะนั้นม้วนภาพพลันเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ ระเบิดออกมาอย่างต่อเนื่อง เริ่มแตกออกเป็นเสี่ยงๆ สุดท้ายก็สว่างวาบแล้วหายวับไป


เขตอาคมระดับที่หนึ่งพังทลายลง!


กลางอากาศด้านล่าง ม้วนภาพหายไปตั้งนานแล้ว เผยรูขนาดยักษ์ออกมา เส้นผ่าศูนย์กลางสิบจั้งเศษลอยอยู่กลางอากาศ ตรงขอบแผ่ลำแสงสีขาวอ่อนออกมา


เห็นได้ชัดว่าเป็นทางเข้าแห่งหนึ่ง


ทว่าสายตาของหานลี่กลับไม่เหมือนกับหลิวสุ่ยเอ๋อร์และพวกทั้งสองที่ใช้สายตาร้อนแรงจ้องเขม็งไปที่รูนั่น แต่สายตาเขากลับเครียดเขม็ง จ้องไปยังอีกสิ่งหนึ่ง


นั่นก็คือภูเขาน้อยสีเขียวที่ยังคงลอยอยู่ด้านล่างรูทั้งๆ ที่ทั้งสามร่วมมือกันโจมตีไปแล้ว


ม้วนภาพสูญเสียพลังไป พลังเขียวไท่อี่ในยามนี้มีความสูงแค่สองสามจั้ง ผิวของมันเป็นสีอ่อนๆ ท่าทางน่าอนาถมาก


หานลี่หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย ยกแขนข้างหนึ่งขึ้น แล้วชี้ไปที่ยอดเขาเทวะดูดปราณด้านล่าง


ชั่วขณะนั้นยอดเขาสีดำพลันพลิ้วไหว สลายหายไปท่ามกลางอากาศในจุดที่ไกลออกไป


ครู่ต่อมาภูเขาสีเขียวก็เกิดระลอกคลื่นขึ้น ภูเขาเทวะดูดปราณขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น


หลังจากลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบที่ตีนเขา ชั่วขณะนั้นหมอกลำแสงสีเทาก็ม้วนออกมา ห่อหุ้มภูเขาสีเขียวเอาไว้


ภูเขาเขียวไท่อี่เปล่งเสียงร้องคร่ำครวญออกมา ผิวของมันเปล่งแสงสีเขียวระยิบระยับ หมายจะต้านทานพลังของลำแสงเทวะดูดปราณ


แต่เห็นได้ชัดว่าภูเขาที่สูญเสียปราณแท้ไปแล้วจะต้านทานพลังการโจมตีเต็มอัตราของภูเขาเทวะดูดปราณของหานลี่ได้อย่างไร


ท่ามกลางหมอกลำแสงสีเทามีอักขระสีเงินอ่อนปรากฏขึ้น วนล้อมรอบภูเขา แค่กะพริบวาบก็ติดลงไปราวกับแมลงวันติดกระดูก


หลังจากภูเขาเขียวไท่อี่ร้องคร่ำครวญออกมาอย่างจนปัญญาแล้ว ก็หมุนวนไปทางตีนเขาเทวะดูดปราณท่ามกลางอักขระจำนวนนับไม่ถ้วนที่ห่อหุ้มอยู่ ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป ถูกภูเขาเทวะดูดปราณสูบเข้าไปในสันเขา


หานลี่หยักมุมปากขึ้นด้วยความดีใจ มือหนึ่งกวักเรียก ภูเขาเทวะดูดปราณเปล่งแสงสีเทาสว่างวาบแล้วหดเล็กลง ในที่สุดก็กลายเป็นภูเขาขนาดจิ๋วพุ่งมาจากกลางอากาศ


แค่กะพริบวาบ ภูเขาสีดำก็จมหายเข้าไปในแขนเสื้อของหานลี่อย่างไร้ร่องรอย


หานลี่ยกสมบัติขึ้นอย่างรวดเร็ว


รอจนหลิวสุ่ยเอ๋อร์และพวกทั้งสองมีปฏิกิริยาตอบสนอง ภูเขาเขียวไท่อี่ก็ตกลงมาในมือของเขา


นี่จึงทำให้หลิวสุ่ยเอ่อร์และสือคุนตกตะลึง อดที่จะมองสบตากันแวบหนึ่งไม่ได้


จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของทั้งสอง แน่นอนว่าย่อมเดาประวัติความเป็นมาของภูเขาเขียวไท่อี่ออก หากบอกว่าในใจไม่มีความคิดอันใดเกี่ยวกับสมบัติชิ้นนี้ก็เป็นไปไม่ได้


แต่พวกเขากลับคิดไม่ถึงว่า หานลี่จะลงมืออย่างรวดเร็วเช่นนี้ แทบจะทลายเขตอาคมได้ในพริบตา แล้วเก็บสมบัติชิ้นนี้กลับมาอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด


ทั้งสองล้วนมีสีหน้าแปลกประหลาดใจ!


“สมบัติชิ้นนี้มีประโยชน์ต่อผู้แซ่หาน จากนี้ยังมีสมบัติอีกมาก คิดดูแล้วสหายทั้งสองน่าจะไม่รังเกียจที่ข้าน้อยเอาสมบัติชิ้นนี้ไปก่อนกระมัง” แววตาของหานลี่เปล่งประกายวาวโรจน์ พลางเอ่ยกับสือคุนและพวกทั้งสองด้วยรอยยิ้ม


“หึๆ ในเมื่อสมบัติชิ้นนี้มีประโยชน์กับพี่หาน เช่นนั้นก็เอาไปเถิด น้องหญิงไม่มีความเห็นอันใด” หลิวสุ่ยเอ๋อร์กลับมามีสีหน้าปกติได้อย่างรวดเร็ว และฉีกยิ้มเบิกบาน


“แม้ว่าผู้แซ่สือจะสนใจของสิ่งนี้ แต่ในเมื่อพี่หานได้ไปก่อน ข้าน้อยก็ไม่มีอันใดจะกล่าว” สือคุนหน้าเปลี่ยนสีไปสองสามครา แล้วเอ่ยพร้อมกับหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา



 

 

 


ตอนที่ 1697 ยอดเขา วิหาร บันไดหิน

 

“เช่นนั้นผู้แซ่หานต้องขอบคุณสหายทั้งสองที่ช่วยเหลือ” หานลี่คารวะทั้งสองคน แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม


“แค่เรื่องเล็กน้อย ในเมื่อครานี้ทลายเขตอาคมได้แล้ว พวกเรายังต้องรีบเข้าไปตามหาสมบัติข้างใน ขอแค่พวกเราหาของที่ท่านอาจารย์และท่านอาวุโสต้วนต้องการพบ หลังจากออกไปก็คงได้ประโยชน์ไม่น้อย” หลิวสุ่ยเอ๋อร์เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


จากนั้นนางก็เก็บธงสีเทา กลายเป็นลำแสงสีฟ้าสายหนึ่งพุ่งไปยังรูด้านล่าง


สือคุนเห็นเช่นนั้นก็ไม่กล้าเชื่องช้ากลายเป็นลำแสงสีเหลืองไล่ตามหลังไปติดๆ


หานลี่นั้นไม่ได้รีบร้อน เงยหน้าขึ้นกวาดมองรอบด้านพร้อมกับหรี่ตาลงแวบหนึ่ง เมื่อแน่ใจว่าไม่มีปัญหาอันใด ถึงได้พลิ้วกายเหาะลงไปด้านล่าง


และในยามนี้ลำแสงหลีกหนีของหลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนก็เปล่งแสงสว่างวาบ จมหายเข้าไปในรูนั้น


หานลี่บินเข้ามาในรูสีขาวนวลขนาดยักษ์ด้วยสีหน้าราบเรียบ รอบด้านมีหมอกลำแสงสีสันงดงามปรากฏขึ้น พลางม้วนวนไปบนร่างกายของมัน


เขาพลันตกตะลึง ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ ลำแสงแวววาวชั้นหนึ่งห่อหุ้มร่างของเขาเอาไว้ข้างใน


แต่ลำแสงสีสันงดงามเหล่านั้นกลับหยุดชะงัก ทันใดนั้นก็แข็งตัวกลายเป็นอักขระขนาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากัน จากนั้นก็วนล้อมรอบหานลี่ คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นเขตอาคมลำแสงห้าสีขนาดเล็ก


เขาอยู่ตรงใจกลางเขตอาคมลำแสงพอดี


จากนั้นเขตอาคมลำแสงพลันเปล่งเสียงหึ่งๆ ระลอกคลื่นปรากฏออกมาเป็นชั้นๆ


หานลี่เห็นเหตุการณ์เช่นนั้น พลันมีสีหน้าผ่อนคลายลง สองมือไพล่หลัง ไม่ได้มีเจตนาจะลงมือสลายลำแสงนั้น


ครู่ต่อมาเขตอาคมลำแสงก็เปล่งแสงห้าสีออกมา


หานลี่รู้สึกเพียงว่าทัศนียภาพรอบด้านเลือนราง รู้สึกวิงเวียนเล็กน้อย แล้วสลายหายไปท่ามกลางเขตอาคมลำแสง


ครู่ต่อมาเปลือกตาของหานลี่ก็ลืมตาขึ้น พบว่าตนเองอยู่ในแท่นสูงๆ ที่ไม่คุ้นเคย


แท่นสูงทั้งแท่นทำมาจากศิลาสีเขียวขนาดยักษ์ ผิวของมันมีลวดลายเล็กน้อย แต่ก็ไม่นับว่าวิจิตรงดงามอันใด ให้ความรู้สึกหยาบกระด้าง


ส่วนใต้ฝ่าเท้าของเขานั้นเป็นเขตอาคมส่งตัวเส้นผ่าศูนย์กลางสองจั้ง ไม่ไกลนักเป็นบันไดทอดตัวลงไปด้านล่าง


สายตาของหานลี่แค่กวาดไปบนเขตอาคมส่งตัวแวบหนึ่ง ทันใดนั้นก็ช้อนสายตาขึ้นมองสำรวจรอบด้านอย่างละเอียด


เขาในยามนี้ราวกับอยู่ในอีกมิติเวลาหนึ่ง กลางอากาศไม่เพียงจะมีพระอาทิตย์แขวนอยู่ ในรัศมีหมื่นลี้ยังไม่มีมวลเมฆสักก้อน เป็นสีครามเข้ม พื้นดินรอบด้านมีต้นไม้ใบหญ้าหลากชนิดเรียงรายอยู่ บางครั้งยังมีสายลมพัดมาเบาๆ พากลิ่นหอมของหมู่มวลดอกไม้โชยมา


ทว่าทุกอย่างนี้ล้วนไม่ดึงดูดความสนใจเท่าภูเขาน้อยสูงสองสามร้อยจั้งในบริเวณรอบ!


แม้ว่าภูเขาลูกนี้จะไม่สูงนัก แต่ก็ทอดตัวไปสิบลี้เศษ และยิ่งไปกว่านั้นรูปลักษณ์ของภูเขายังมีความเป็นเอกลักษณ์ ทั้งยอดเขาทั้งบนและล่างเป็นเนินสูงชันราวกับใช้มีดดาบตัดออก ตัวภูเขาเป็นสีขาวธรรมดาๆ แต่บนยอดเขากลับมีสีเงินเจิดจ้าแสบตา คาดไม่ถึงว่าจะมีวิหารยักษ์สีม่วงอยู่หลังหนึ่ง แทบจะกินพื้นที่ทั้งหมดของทั้งยอดเขา


แววตาของหานลี่เคร่งขรึมพิจารณาวิหารหลังนี้ขึ้นๆ ลงๆ แวบหนึ่ง แล้วถึงได้ถอนสายตาออกมา สายตากลับไปอยู่บนพื้นหญ้าใต้บันไดหิน


ตรงนั้นหลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนกำลังนิ่งงันอยู่ ราวกับว่ากำลังมองวิหารสีม่วงบนยอดเขาอย่างละเอียด


หานลี่พลันหน้าเปลี่ยนสี ร่างกายพลิ้วไหว หมุนตัวบินลงมาจากแท่นหิน


แต่เมื่อเท้าทั้งสองข้างของเขาอยู่ห่างจากพื้นไปสองสามฉื่อ ร่างกายก็สั่นเทาร่วงลงมาบนพื้น สองเท้าอยู่ในอาณาเขตของเขตอาคม คาดไม่ถึงว่าจะเปล่งเสียงอึกทึกดังสนั่นออกมา ทำให้แท่นหินทั้งหมดสั่นคลอนไปมา


ราวกับว่าร่างกายของเขาหนักอึ้งอย่างไรอย่างนั้น


หานลี่ยกแขนขึ้นโบกสะบัดไปกลางอากาศ แต่พลันเบาหวิว ไม่ได้สัมผัสถึงความแปลกประหลาดอันใด


ใบหน้าของเขามีแววตกตะลึงฉายแวบผ่าน แต่ทันใดนั้นก็นึกอันใดได้ ผิวเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ ร่างกายลอยขึ้นอย่างช้าๆ


แต่สองเท้าเพิ่งจะอยู่ห่างจากพื้นไปไม่ถึงสองสามฉื่อ พลังมหาศาลกลุ่มหนึ่งก็กดลงบนร่างของเขาอย่างไม่มีเค้าลางมาก่อน


ร่างของหานลี่พลิ้วไหวไปเล็กน้อย ทันใดนั้นก็ทำเหมือนไม่มีอันใดเกิดขึ้น แต่สีหน้าของเขาอดที่จะเปลี่ยนสีไม่ได้


เขาไม่ได้พูดอันใด อาศัยกายเนื้อที่แข็งแกร่ง เริ่มค่อยๆ บินขึ้นมาอย่างช้าๆ เมื่อเท้าทั้งสองลอยอยู่ห่างจากพื้นมากกว่าสองฉื่อ ร่างกายก็สั่นเทาอีกครั้ง ผิวเปล่งแสงสีเขียวสว่างจ้าออกมา


แม้ว่าครั้งนี้หานลี่จะหน้าไม่เปลี่ยนสี แต่ก็อดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้ จากนั้นแววตาพลันฉายแสงสีฟ้าสว่างวาบ พลางจ้องเขม็งไปบนเรือนร่างของตนเอง


เห็นเพียงภายใต้เนตรวิญญาณนั้นร่างกายของเขาถูกหมอกลำแสงสีเหลืองอ่อนรัดเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็สุดจะรู้ได้ จากอานุภาพของลำแสงวิญญาณห่อหุ้มร่างของเขา คาดไม่ถึงว่าจะไม่อาจต้านทานหมอกลำแสงนี้ได้เลยสักนิด


ยามนี้สือคุนที่อยู่ใต้แท่นหินพลันหันกลับมา และเอ่ยกับหานลี่ด้วยรอยยิ้มขมขื่น


“พี่หานท่านก็พบแล้วหรือ ดูเหมือนว่าเขตอาคมกั้นอากาศที่นี่จะไม่เหมือนกับเขตอาคมทั่วๆ ไป ทุกครั้งที่ออกห่างจากพื้นทุกๆ หนึ่งฉื่อ พลังเขตอาคมก็จะเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่า ข้าเองก็บินขึ้นได้แค่เจ็ดแปดฉื่อ แล้วก็ไม่อาจรับไหวอีก”


“ทุกครั้งที่บินสูงขึ้นไปหนึ่งฉื่อ พลังต้องห้ามก็จะเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่านั้น เขตต้องห้ามนี้ช่างบ้าคลั่งนัก หากบินห่างจากพื้นสองสามจั้งขึ้นไป เกรงว่าระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ก็คงไม่อาจรับพลังมหาศาลนี้ได้” หานลี่เอ่ยอย่างแช่มช้า จากนั้นร่างกายพลันเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ ร่อนลงมาบนพื้นอีกครั้ง


หมอกลำแสงสีเหลืองพันรัดบนร่างของเขา ชั่ววินาทีที่สองเท้าของเขาเหยียบไปบนพื้นดิน ก็สลายหายไปอย่างแปลกประหลาด


“จากกายเนื้อที่แข็งแกร่งของสหายสือ ยังบินได้แค่เจ็ดแปดฉื่อ แล้วระดับเผ่าเบื้องบนธรรมดาๆ อย่างพวกเรา เกรงว่าห่างจากพื้นดินแค่สามสี่ฉื่อก็ถึงขีดจำกัดแล้ว” หลิวสุ่ยเอ๋อร์เองก็เอ่ยโดยไม่หันกลับมา


สายตาของนางยังคงไม่เลื่อนออกจากวิหารบนยอดเขาที่ไกลออกไปเลยสักนิด!


หานลี่ได้ยินคำพูดของทั้งสองคน ก็มีสีหน้าเคร่งขรึม แต่เมื่อครุ่นคิดเล็กน้อย ก็เดินออกมาจากเขตอาคมโดยไม่พูดอันใดอีก และเดินลงไปตามบันไดหิน มาถึงข้างกายของสือคุนและหลิวสุ่ยเอ๋อร์


“ดูแล้ววิหารบนยอดเขานั้นน่าจะเป็นที่ที่ใช้เก็บสมบัติสินะ สหายทั้งสองจะรออันใดอีก?” หานลี่เอ่ยถามอย่างราบเรียบ


“คาดไม่ถึงว่าที่นี่จะมีเขตอาคมอื่นด้วย แน่นอนว่าต้องระวังตัวหน่อย” ในที่สุดหลิวสุ่ยเอ๋อร์ก็หันกลับมา ถอนสายตาออก มองหานลี่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึมขณะเอ่ย


“เขตอาคมอื่นๆ ถึงจะหมายความว่าที่นี่มีสมบัติล้ำค่าอยู่จริง ทว่าในเมื่อเป็นเขตอาคมประเภทกำจัดการบิน จากหลักการแล้วน่าจะมีอันตรายไม่มาก” หานลี่เอ่ยพร้อมกับกลั้วหัวเราะ


“พี่หานเองก็รู้แค่หลักการเท่านั้น! ในเมื่อเจ้าของที่นี่อาจจะเป็นเซียนจากแดนเซียน จะคาดเดาตามหลักการได้อย่างไร” หลิวสุ่ยเอ๋อร์อดที่จะถอนหายใจออกมาเบาๆ เฮือกหนึ่งก่อนตอบกลับไปไม่ได้


“หากสหายทั้งสองไม่ลองเสี่ยงดู แค่ดูไม่แตะต้องก็ไม่มีทางได้สมบัติมา หากเป็นเช่นนั้น พวกเราจะเสี่ยงอันตรายมาที่นี่ทำไมกัน” หานลี่แววตาเปล่งประกายวาวโรจน์ แล้วเอ่ยอย่างไม่เกรงใจ


“พี่หานพูดมีเหตุผล รอบๆ นี้มีคนของเผ่าแมลงมีเขาวนเวียนไปมา พวกเราไม่อาจเสียเวลาได้” สือคุนดูเหมือนว่าจะมองไม่เห็นอันตรายอันใด กลับเอ่ยสนับสนุนหานลี่


“ในเมื่อสหายทั้งสองกล่าวเช่นนี้ เช่นนั้นน้องหญิงก็ไม่มีความคิดเห็นอื่น พวกเราไปกันเถิด” หลิวสุ่ยเอ๋อร์หน้าเปลี่ยนสีไปสองสามครั้ง สุดท้ายก็ตัดสินใจตอบตกลง


เมื่อได้ยินหลิวสุ่ยเอ๋อร์เองก็ไม่ปฏิเสธใดๆ อีก สือคุนก็หัวเราะฮ่าๆ ออกมา ฉับพลันนั้นพลันสะบัดแขนเสื้อ ชั่วขณะนั้นของสีดำสนิทก็พุ่งออกมาจากแขนเสื้อ แต่เมื่อออกจากแขนเสื้อ ก็ร่อนลงพื้นอย่างหนักอึ้งทันที


เป็นหุ่นเชิดเหล็กรูปร่างเหมือนหมาป่ายักษ์สีดำ


“คาดไม่ถึงว่าเขตอาคมของที่นี่จะมีผลต่ออาวุธเช่นกัน!” หลิวสุ่ยเอ๋อร์ร้องอุทานออกมา สีหน้าดูไม่ได้


เช่นนั้นละก็หากเผชิญหน้ากับอันตรายภายนอก นางก็ทำได้เพียงเอาลมปราณและเคล็ดวิชาลับออกมาต้านทานแล้ว


หานลี่เห็นเช่นนั้น ก็หน้าเปลี่ยนสี พลันระมัดระวังตัวขึ้นหลายส่วน


สือคุนกลับหัวเราะร่าออกมา สาวเท้ายาวๆ ไปที่ยอดเขา


เทียบกับผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาที่ไม่อาจใช้สมบัติใดๆ ได้อีก กายเนื้อของเขาย่อมกลายเป็นอาวุธสังหาร แน่นอนว่าย่อมได้เปรียบมาก


หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมาแล้วสาวเท้าตามไปติดๆ


หลิวสุ่ยเอ๋อร์กลอกตาไปมาแล้วเดินไปอย่างเงียบเชียบ


ตรงข้ามของพวกเขาเป็นหนทางไปสู่ยอดเขา มีถนนสายหนึ่งมุ่งตรงไปยังยอดเขา


ถนนสายนี้ล้วนสร้างขึ้นจากบันไดหินสีขาวกว้างสองสามจั้ง มองจากไกลๆ ดูเหมือนยอดเขารูปงูเหลือมสีขาว ทำให้ผู้คนเห็นแล้วตกตะลึง!


ทว่าแม้ว่าหานลี่และพวกทั้งสามจะไม่กล้าบินออกจากที่นี่ แต่กายเนื้อก็แข็งแกร่งกว่าคนธรรมดา และไม่ได้หวาดกลัวอันตรายใดๆ จากหนทางไปสู่ภูเขา


หลังจากที่ทั้งสามคนเหยียบไปบนบันได ก็มุ่งตรงไปยังยอดเขา


แต่สือคุนที่เป็นผู้นำกลับเหยียบไปบนบันไดขั้นแรก แล้วพลันหน้าเปลี่ยนสี


แต่ความจริงแล้วเท้าของเขายังไม่ทันได้หยุด ก็สาวเท้าขึ้นไปบนภูเขาทีละก้าวๆ แต่ความเร็วกลับเชื่องช้าลง ไม่เหมือนตอนแรก


หานลี่ที่อยู่ด้านหลังเองก็เห็นฉากนี้ ความคิดเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าย่อมรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย


ทว่าเมื่อเขาเหยียบไปบนบันไดสีขาวนั้น ก็ถึงเข้าใจขึ้นมา


บนบันไดสีขาวมีแรงดูดมหาศาล ทำให้ขาทั้งสองข้างของเขาหนักอึ้งเป็นพันชั่ง ช่างกินแรงนัก


และยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเดินไปมากขึ้น ก็พบว่าบันไดหินเหล่านี้มีแรงสูบมากขึ้นทีละขั้นๆ


แม้ว่าการเพิ่มขึ้นทีละนิดระหว่างบันไดหินแต่ละครั้งจะบางเบาจนแทบไม่รู้สึก


แต่ขอแค่ขบคิดดู จากตีนเขาไปจนถึงยอดเขามีบันไดหินเป็นหมื่นขั้น ก็เพียงพอจะทำให้ผู้คนขนลุกซู่แล้ว


ทว่าโชคดีที่ขอแค่ยืนนิ่งอยู่บนบันไดหินไม่ขยับเขยื้อน พลังแรงสูบที่เกิดขึ้นก็จะค่อยๆ ลดลง แม้กระทั่งเมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า ก็มีท่าทีเหมือนสลายหายไป


หานลี่ชื่นชมว่าสุดยอดในใจ แต่กลับไม่ได้สนใจสิ่งนี้เท่าใดนัก


จากกายเนื้อที่แข็งแกร่งจากการฝึกฝนเคล็ดวิชาพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์มารเที่ยงแท้ แม้แต่เผ่าศักดิ์สิทธิ์ธรรมดาๆ เกรงว่าคงไม่ดีเท่า


แม้ว่าบันไดหินเหล่านี้จะแปลกประหลาด แต่ก็มั่นใจว่าจะเดินขึ้นไปบนยอดเขาได้โดยไม่ต้องหยุดพักเลยสักนิด


ส่วนสือคุนจะเดินขึ้นไปโดยไม่ต้องหยุดพักได้หรือไม่นั้น ก็ต้องดูว่าได้ปิดบังระดับกายเนื้ออันแข็งแกร่งที่สำแดงออกมาก่อนหน้านี้ไว้หรือไม่


ส่วนหญิงสาวนามว่าหลิวสุ่ยเอ๋อร์นั้น หากไม่มีวิธีการอื่น อาศัยเพียงพลังของกายเนื้อล้วนไม่อาจเดินไปถึงวิหารได้


เมื่อขบคิดในใจเช่นนี้ หานลี่ก็เดินขึ้นไปสิบกว่าก้าวโดยไม่หยุดพักแล้ว ก็หันกลับมามองหลิวสุ่ยเอ๋อร์แวบหนึ่ง


ร่างของหญิงสาวผู้นี้หยุดอยู่บนบันไดหินขั้นที่หนึ่งไม่ขยับเขยื้อน ราวกับว่ากำลังขบคิดอันใดอยู่ แต่แววตาพลันเปล่งประกาย เผยท่าทางโกรธเกรี้ยวอย่างสุดๆ ออกมา

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)