อัจฉริยะสมองเพชร 1694-1699

 ตอนที่ 1694 ความสำคัญของระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณ

เพราะจางเซวียนได้การยอมรับเป็นปรมาจารย์ฟ้าประทานครั้งที่ 5 และพบความโชคดีโดยบังเอิญมามากมายหลายครั้ง เขาจึงยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณได้รวดเร็ว ใช้เวลาไม่นานก็เทียบเท่ากับปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวขั้นสูงสุด เป็นไปได้ว่าคงมีแค่ปรมาจารย์หยางกับปรมาจารย์อีกไม่กี่คนที่จะมีระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณสูงกว่าเขา


“29.1?” ได้ยินตัวเลขนั้น เซียนดาบชิงอ้าปากค้าง


เขาเคยคิดว่าถึงลูกชายจะยกระดับวรยุทธได้อย่างรวดเร็ว แต่การเพิ่มระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่ดี ใครจะไปคิดว่าระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของลูกชายจะสูงกว่าเขาเสียอีก?


“ลูก…ลูกฝึกฝนระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณอย่างไร?” เซียนดาบชิงถามด้วยความประหลาดใจ “การยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณนั้นยากมากนะ ต่อให้มีเทคนิควรยุทธช่วย ก็ยังต้องลงทุนลงแรงและใช้เวลานานกว่าจะสำเร็จ…”


เป็นที่รู้กันว่าข้อจำกัดยิ่งใหญ่ที่สุดของเหล่าปรมาจารย์ก็คือระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณ เพื่อการสัมผัสและหยั่งรู้อนาคต ปรมาจารย์หยางได้ปกปิดตัวตนของเขาไว้และออกตระเวนไปทั่วโลกเป็นเวลาหลายปีก่อนที่จะยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณได้สูงขนาดนี้


แต่ลูกชายของเขาเพิ่งอายุ 20 ปีเท่านั้น และใช้เวลา 19 ปีที่ผ่านมาในดินแดนไกลปืนเที่ยงอย่างอาณาจักรเทียนเซวียน แล้วระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของเขาสูงขนาดนี้ได้อย่างไร?


“ผมทำได้อย่างไรน่ะหรือ?” จางเซวียนขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำถาม “ผมไม่รู้จริงๆ ผมไม่เคยฝึกฝนระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของผมมาก่อน มันเพิ่มขึ้นไปเองตามธรรมชาติ…”


ได้ยินคำนั้น เซียนดาบชิงหน้าแดงก่ำและแทบกระอักเลือดออกมา “ลูกจะบอกพ่อว่าระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของลูกเพิ่มขึ้นถึง 29.1 ด้วยตัวมันเอง?”


เห็นความช้ำใจของสามี เซียนดาบเหมิงหัวเราะลั่น


มีผู้คนให้สามีของเธอซักถามมากมาย แต่เขากลับเลือกถามลูกชายของตัวเอง เท่ากับเรียกหาความช้ำใจใส่ตัวชัดๆ!


ครั้งแรกที่ทั้งสามได้กลับมาพบกันอีกครั้งที่สมาพันธ์นานาจักรวรรดิ ลูกชายของพวกเขายังเป็นแค่นักรบระดับเซียนขั้น 8 แต่ภายในเวลาครึ่งเดือน เขาก็กลายเป็นนักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติ โลกจารึก…คิดจะแข่งขันกับผู้ปราดเปรื่องระดับนี้ ไม่เท่ากับหาเรื่องใส่ตัวหรือ?


“มีความผิดปกติอะไรกับระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของผมหรือไง?” จางเซวียนตั้งคำถาม


จะว่าไป การบอกว่ามันเพิ่มขึ้นไปตามธรรมชาตินั้นก็ถือว่าไม่ถูกต้องนัก แต่เรื่องจริงก็คือเขาไม่เคยฝึกฝนระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณเพื่อพยายามเพิ่มมันให้สูงขึ้น


ทั้งหน้าหนังสือสีทอง การได้การยอมรับเป็นปรมาจารย์ฟ้าประทาน การบ่มเพาะจากลายมือบ่มเพาะจิตวิญญาณ การได้แรงบันดาลใจอย่างกะทันหัน…ทุกครั้งที่เขาเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของเขาก็จะเพิ่มสูงขึ้นทีละ 1.0 หรือมากกว่านั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่มันจะเพิ่มขึ้นถึง 29.1 ได้อย่างรวดเร็ว


“ไม่มีอะไรผิดปกติหรอก” เซียนดาบชิงตอบด้วยสีหน้าปั้นยาก


ขณะที่คนอื่นๆแทบจะต้องเอาเนื้อหนังและกระดูกเข้าแลกเพื่อยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณให้ได้สัก 0.1 หมอนี่กลับยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณได้เทียบเท่ากับปรมาจารย์หยางโดยไม่ต้องฝึกฝนอะไรเลย


ถ้าปรมาจารย์คนอื่นๆรู้เรื่องนี้ คงหมดเรี่ยวแรงที่จะฝึกฝนแน่


หวู่เฉินซึ่งเงียบงันมาตลอดโพล่งออกมา “คุณจะไม่อาจเข้าถึงวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณได้นะถ้าปล่อยให้ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณเพิ่มขึ้นไปตามธรรมชาติ คุณจะต้องบ่มเพาะมันเพื่อทำให้สภาวะจิตรวมกันเป็นหนึ่งเดียวและแข็งแกร่ง มีแต่วิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้คุณยกระดับวรยุทธได้”


“ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณมีส่วนสำคัญในการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณหรือ?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


ก็น่าแปลกที่ทั้งสามตระกูลชั้นนำและสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ไม่มีหนังสือที่เกี่ยวข้องกับนักปราชญ์โบราณเลย จางเซวียนจึงไม่รู้อะไรสักอย่างเกี่ยวกับวรยุทธขั้นนี้


“ใช่ หัวใจของการเข้าถึงวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณคือการเชื่อมโยงหัวใจและเจตจำนงของผู้นั้นเข้ากับโลก ทำให้สามารถควบคุมสภาพแวดล้อมได้อย่างสมบูรณ์แบบ หากสภาวะจิตของผู้นั้นไม่แข็งแกร่งพอที่จะควบคุมพละกำลังของโลก ก็จะมีความเสี่ยงที่เขาจะกลายเป็นคนปัญญาอ่อนหรือแม้แต่กลายเป็นบ้า มันก็ดีอยู่ที่คุณยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณได้อย่างรวดเร็วด้วยวิธีการตามธรรมชาติ แต่หากไม่ผ่านการบ่มเพาะใดๆเลย ก็แทบเป็นไปไม่ได้ที่คุณจะสำเร็จวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณ” หวู่เฉินดูเหมือนจะคุ้นเคยกับเรื่องนี้ดี


ในเมื่อเขาเป็นนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานเหมือนกับปรมาจารย์หยาง ก็แปลว่าเขาย่อมเคยแสวงหาหนทางฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณมาแล้ว จึงไม่น่าแปลกใจที่จะมีความรู้เรื่องนี้


“ผมเข้าใจแล้ว” จางเซวียนพยักหน้า


เขามีศพเผ่าพันธุ์ปีศาจที่เป็นที่เป็นนักปราชญ์โบราณอยู่ในแหวนเก็บสมบัติ แม้จะไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนถึงจะสำเร็จวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณ แต่ก็พอหยั่งถึงพละกำลังของผู้ที่มีวรยุทธระดับนั้น


สำหรับนักปราชญ์โบราณ แม้จะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ร่างของอีกฝ่ายก็ยังคงหนักอึ้งจนถึงขนาดที่จางเซวียนแทบยกไม่ไหว ในเวลาเดียวกัน รังสีอันงามสง่าที่ศพนั้นแผ่ออกมาก็ทำให้จิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขามีปัญหากับการเข้าถึงมันในช่วงแรกๆ ข้อเท็จจริงเหล่านี้บ่งบอกพละกำลังของนักรบขั้นนักปราชญ์โบราณได้บางส่วนแล้ว


แม้จะมีความแตกต่างเพียงขั้นเดียวระหว่างนักรบชั่วกัลปาวสานกับวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณ แต่เส้นบางๆนี้คือการแบ่งชั้นระหว่างมนุษย์กับเทพเจ้า จึงเป็นธรรมดาที่ไม่อาจนำประสิทธิภาพของนักรบทั้งสองขั้นมาเปรียบเทียบกันได้


จางเซวียนคิดว่าความแตกต่างอยู่ที่การสะสมพละกำลัง แต่ใครจะไปรู้ว่าระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณก็มีบทบาทสำคัญด้วย


“มันไม่ถูกนะ…” จางเซวียนพลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา เขาหารือกับหวู่เฉิน “การยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณนั้นเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นเฉพาะกับเหล่าปรมาจารย์ไม่ใช่หรือ? ดังนั้นจึงไม่น่าจะมีความจำเป็นที่นักรบคนอื่นๆจะต้องฝึกฝนระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณ ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น พวกเขาฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณได้อย่างไร?”


ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณเป็นเงื่อนไขในการเลื่อนขั้นของเหล่าปรมาจารย์ ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เหล่าปรมาจารย์ให้ความสำคัญกับมันมาก นักรบคนอื่นๆไม่น่าจะมีความจำเป็นต้องฝึกฝนระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณ ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น แล้วพวกเขาจะสำเร็จวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณได้หรือเปล่า?


“นักรบทั่วไปก็ต้องให้ความสำคัญกับการฝึกฝนสภาวะจิตเหมือนกันนะ ดูนักปรุงยาเป็นตัวอย่าง หากพวกเขามีสภาวะจิตที่ไม่เหมาะสม ยาสงบใจที่พวกเขาหลอมก็จะผิดเพี้ยนไป เปลี่ยนจากยาที่ทำให้จิตใจสงบไปเป็นยาพิษ!” หวู่เฉินอธิบาย


“เรื่องนี้เป็นไปในทำนองเดียวกันกับอาชีพอื่นๆ หากมือบรรเลงบทเพลงปีศาจไม่ฝึกฝนสภาวะจิตของพวกเขาให้ดี แล้วจะถ่ายทอดเจตจำนงผ่านเสียงดนตรีเพื่อล่อลวงคู่ต่อสู้ได้อย่างไร? หากผู้เชี่ยวชาญด้านค่ายกลละเลยการฝึกฝนสภาวะจิต พวกเขาจะติดตั้งค่ายกลที่มีความซับซ้อนสูงได้หรือไม่?”


ได้ยินคำนั้น จางเซวียนเงียบไป


เขาเคยเผชิญอะไรทำนองนี้ครั้งหนึ่งเมื่อตอนที่เข้ารับการทดสอบเป็นนักปรุงยาระดับ 1 ดาว ในตอนนั้น มีนักปรุงยาคนหนึ่งที่ไม่สามารถเข้าถึงสภาวะหัวใจน้ำนิ่งและขาดการควบคุมอารมณ์ หมอนั่นพยายามหลอมยาสงบใจขณะที่สภาวะจิตของเขาไม่สงบเยือกเย็น ทำให้ยาที่เขาหลอมออกมานั้นกลายเป็นยาพิษที่มีฤทธิ์สังหารนักรบผู้โชคร้ายที่กินมันเข้าไป


จางเซวียนเข้าใจถึงความสำคัญของสภาวะจิตที่มีต่อมือบรรเลงบทเพลงปีศาจเช่นกัน หากเขาควบคุมอารมณ์ไว้ไม่ได้ บทเพลงที่บรรเลงออกมาก็จะปั่นป่วน ยกตัวอย่าง ในระหว่างการทดสอบเป็นมือบรรเลงบทเพลงปีศาจของเขาที่สถาบันปรมาจารย์หงหย่วน จางเซวียนต้องทำให้นกกระเรียนสวรรค์เต้นรำไปพร้อมกับบทเพลงที่บรรเลงจากพิณ แต่เพราะเขาปล่อยให้อารมณ์พลุ่งพล่าน จึงกลายเป็นการสังหารพวกมันด้วยเสียงดนตรี


เมื่อคิดๆดู ก็ไม่มีอาชีพไหนในโลกนี้ที่ไม่ต้องใช้การฝึกฝนสภาวะจิต เพียงแต่คนเหล่านั้นไม่ได้อยากเป็นปรมาจารย์ก็เท่านั้นเอง


“ก่อนยุคสมัยของปรมาจารย์ขง การฝึกฝนระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณนั้นถูกแบ่งแยกโดยการใช้เจตจำนง ซึ่งมันก็แบ่งออกเป็นหลายระดับ มีทั้งสภาวะหัวใจน้ำนิ่ง สภาวะหัวใจใสกระจ่าง สภาวะจิตวิญญาณปราศจากความกังวล สภาวะเจตจำนงแข็งแกร่ง สภาวะหัวใจปิดกั้น สภาวะจิตไร้การปิดบัง และอื่นๆอีกมากมาย…” หวู่เฉินพูดต่อ


“แต่ปรมาจารย์ขงรู้สึกว่าการแบ่งระดับแบบนี้ซับซ้อนเกินไปและยากต่อการประเมินให้ถูกต้องแม่นยำ เขาจึงปรับเปลี่ยนรูปแบบให้ง่ายขึ้นด้วยการใช้ตัวเลข นำมาสู่ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณที่เราคุ้นเคยกัน ซึ่งรูปแบบที่สภาปรมาจารย์นำมาประยุกต์ใช้ก็คือทุกๆ 3.0 จะหมายถึงระดับขั้นใหม่…ปรมาจารย์ระดับ 1 ดาวจะต้องมีระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณที่ 3.0, ปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวจะต้องมีระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณที่ 6.0 และเพิ่มขึ้นไปตามนี้ ดังนั้น ปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวจึงต้องมีระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณที่ 27.0 ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณนั้นเป็นเงื่อนไขที่เข้มงวดกว่าวรยุทธเสียอีก ผู้ที่มีระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณไม่ถึงขั้นจะไม่สามารถเลื่อนตำแหน่งได้ ต่อให้อยู่ในสภาวะที่ได้รับการยกเว้นก็ตาม”


จางเซวียนพยักหน้า


ปรมาจารย์ขงได้ปรับรูปแบบของ ‘เจตจำนง’ ให้กลายเป็นระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณ และสภาปรมาจารย์ก็นำมาใช้เป็นเงื่อนไขในการเลื่อนระดับขั้น พูดอีกอย่างก็คือ อาชีพอื่นๆก็ต้องใช้รูปแบบของเจตจำนงเหล่านี้เช่นกัน ซึ่งก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรนักถ้าพวกเขาไม่ได้ตั้งเงื่อนไขไว้สูงเกินไป


ดังนั้น เพียงแค่อาชีพอื่นๆไม่ได้ใช้ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณเป็นเงื่อนไข ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่ต้องบ่มเพาะสภาวะจิต


การนำรูปแบบของระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณแบบตัวเลขมาใช้จะทำให้เหล่าปรมาจารย์สามารถดำเนินการฝึกฝนสภาวะจิตของตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง เป็นแรงผลักดันให้พวกเขายกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณขึ้นไปเรื่อยๆ ก็เพราะสิ่งนี้ที่ทำให้สภาปรมาจารย์กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญชั้นนำในสาขานี้ และอาชีพอื่นๆก็พยายามที่จะก้าวตามให้ทัน


“ผมเคยมาที่นี่แล้วครั้งหนึ่ง และถ้าจำไม่ผิด มีสถานที่หนึ่งอยู่เลยไปจากที่นี่ที่อนุญาตให้นักรบบ่มเพาะระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของพวกเขาได้ เป็นที่รู้จักกันในชื่อโดมหัวใจ มีเทคนิควรยุทธอยู่ในนั้นที่ทำให้นักรบสามารถบ่มเพาะสภาวะจิต อีกทั้งยังมีภูมิปัญญาที่ผู้เชี่ยวชาญนับไม่ถ้วนทิ้งไว้ พร้อมกับค่ายกลที่มีอานุภาพบ่มเพาะสภาวะจิตด้วย ทำไมพวกเราถึงไม่ไปที่นั่นล่ะ? ในเมื่อลูกไม่เคยบ่มเพาะสภาวะจิตมาก่อน ก็น่าจะพัฒนาได้อีกมาก” เซียนดาบชิงเสนอแนะ



ตอนที่ 1695 ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณพุ่งพรวด

“โดมหัวใจ?” จางเซวียนพยักหน้า “พวกเราไปดูกันเถอะ!”


ในเมื่อวิหารแห่งขงจื๊อยังไม่เปิด จึงยังพอมีเวลาเหลือ ถ้าโดมหัวใจช่วยบ่มเพาะสภาวะจิตของเขาได้ การไปดูมันสักหน่อยก็ไม่เสียหายอะไร


ที่ผ่านมา การยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของเขาขึ้นอยู่กับโชคดีที่ผ่านเข้ามา แต่การจะพึ่งพาเพียงโชคชะตาในการบ่มเพาะสภาวะจิตนั้นก็คงไม่ถูกต้อง น่าจะดีกว่าถ้าเขาหาเทคนิควรยุทธที่เหมาะสมเพื่อใช้ยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณได้


หลังจากเดินไปได้ครู่หนึ่ง อาคารหลังหนึ่งก็ปรากฏตรงหน้า พวกเขาเดินเข้าไปและได้รับการทักทายจากชายวัยกลางคน


“คารวะทุกท่าน พวกคุณตั้งใจจะเข้ามาบ่มเพาะสภาวะจิตหรือทดสอบมัน?”


“พวกเราอยากบ่มเพาะสภาวะจิต” จางเซวียนตอบ


“เชิญทางนี้…” ชายวัยกลางคนผู้นั้นยิ้มให้ “อันดับแรก โดมหัวใจของเราไม่รับหินวิเศษหรือ สิ่งของแลกเปลี่ยนอื่นๆ เรารับเฉพาะของล้ำค่าระดับเซียนขั้นสูงสุดเป็นของแลกเปลี่ยนเท่านั้น ของล้ำค่าระดับเซียนขั้นสูงสุดชิ้นหนึ่งแลกกับการใช้เวลาอยู่ที่นี่ 2 ชั่วโมง”


“แพงจริงๆ…” จางเซวียนถึงกับชะงัก


หลังจากการปล้นสะดมที่ผ่านมา เขาก็ไม่ขาดแคลนของล้ำค่าระดับเซียนขั้นสูงสุด แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ยังเป็นราคาค่างวดที่นักรบส่วนใหญ่ต้องกระเสือกกระสนเพื่อให้ได้มันมา ต่อให้เป็นผู้ที่มาจากตระกูลใหญ่ก็ตาม


นักรบระดับเซียนขั้น 9 ส่วนใหญ่ไม่มีของล้ำค่าระดับเซียนขั้นสูงสุดอยู่กับตัวด้วยซ้ำ แต่ระยะเวลาเพียง 2 ชั่วโมงในโดมหัวใจก็ต้องแลกมาด้วยของล้ำค่า 1 ชิ้น


“ก็ช่วยไม่ได้นะ ค่าใช้จ่ายในการสร้างค่ายกลและมิติที่ปลอดภัยสำหรับการบ่มเพาะสภาวะจิตนั้น สูงมาก การดูแลรักษามันก็ต้องใช้เงินมหาศาล” ชายวัยกลางคนผู้นั้นตอบ


“ก็จริง ผมพอเข้าใจ” จางเซวียนพยักหน้า


นักรบส่วนใหญ่ที่มาชูฝู่เพื่อบ่มเพาะสภาวะจิตของพวกเขาล้วนเป็นปรมาจารย์ระดับ 9 ดาว แต่ละคนมีระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณที่ 27.0 หรือสูงกว่า สำหรับวรยุทธระดับนี้ ค่ายกลภาพลวงตาและค่ายกลล่อลวงโดยทั่วไปไม่อาจทำอะไรพวกเขาได้ เพื่อสร้างความกดดันให้กับคนเหล่านั้น ค่ายกลและของล้ำค่าต่างๆที่มีคุณภาพสูงสุดจึงต้องถูกนำมาใช้ ดังนั้น จึงเป็นธรรมดาที่ราคาค่างวดของการเข้าสู่โดมหัวใจจะต้องแพงขึ้น


“คุณรับไว้เลย!” จางเซวียนยื่นอาวุธระดับเซียนขั้นสูงสุดชิ้นหนึ่งให้ “ผมอยากทดสอบอานุภาพของมันด้วยตัวเองก่อน ถ้ามันใช้การได้ดีล่ะก็ พวกเราจะเข้าไปฝึกฝนวรยุทธด้วยกัน!”


หลังจากค้นตัวกองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจกว่า 110000 ตัว จางเซวียนก็มีของล้ำค่าระดับเซียนขั้นสูงสุดมากกว่า 1000 ชิ้นอยู่ในแหวนเก็บสมบัติของเขา ในเมื่อเขาไม่มีความจำเป็นต้องใช้ของล้ำค่าระดับนั้นแล้ว จึงไม่เดือดร้อนที่จะนำพวกมันมาใช้ที่นี่


คนอื่นๆพากันพยักหน้า


“เชิญทางนี้…” ชายวัยกลางคนรีบนำพวกเขาเข้าสู่ห้องโถงใหญ่


ที่ใจกลางห้องโถงมีลูกบอลคริสตัลลูกหนึ่ง มันหมุนอย่างเงียบๆอยู่บนแท่นหิน แผ่แสงเรืองเจิดจ้าออกมา ผนังที่อยู่รอบห้องโถงนั้นถูกจารึกไว้ด้วยภูมิปัญญาและเทคนิควรยุทธที่ช่วยยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณ


“สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญที่เคยเข้าสู่โดมหัวใจเพื่อบ่มเพาะสภาวะจิตได้ทิ้งไว้ เราได้ทดสอบพวกมันแล้ว พวกมันล้วนแต่มีอานุภาพสูงในการยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณ แต่ก็ควรใช้ความระมัดระวังด้วย หากคุณทุ่มเทกับมันมากเกินไป มันอาจลงเอยด้วยการปิดกั้นสภาวะจิตของคุณแทน ใช้มันอย่างระมัดระวัง แล้วระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของคุณจะพุ่งพรวดอย่างแน่นอน!” ชายวัยกลางคนพูดยิ้มๆ


ความสำคัญของเทคนิควรยุทธนั้นอยู่ที่คุณภาพ ไม่ใช่ปริมาณ


หากพยายามทุ่มเทกับมันมากเกินไป ก็อาจลงเอยด้วยความสับสน


นักรบแต่ละคนมีเส้นทางการฝึกฝนวรยุทธของตัวเอง ยิ่งพวกเขาพยายามเดินตามรอยคนอื่น ก็มีแต่จะออกห่างไปจากเส้นทางของตัวเองมากขึ้นเท่านั้น หากนักรบคนหนึ่งหลงทางอยู่ในภูมิปัญญาของนักรบคนอื่น ไม่เพียงแต่การพัฒนาของเขาจะด้อยลง วรยุทธยังอาจถูกธาตุไฟเข้าแทรกด้วย


ก็เพราะเหตุผลนี้ที่ทำให้สภาปรมาจารย์ไม่อนุญาตให้นักรบคนหนึ่งศึกษาเทคนิควรยุทธจำนวนมากเกินไป


แต่แน่นอนว่าเรื่องนี้ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย


หากนักรบคนหนึ่งประสบความสำเร็จในการใช้ภูมิปัญญาของคนอื่นเพื่อแผ้วถางเส้นทางของตัวเอง พวกเขาก็จะประสบความสำเร็จสูงกว่าเหล่าบรรพบุรุษ


“เมื่อคุณพร้อม ทาบฝ่ามือของคุณลงบนลูกบอลคริสตัลที่อยู่ตรงหน้าและเพ่งสมาธิไปที่จิตใต้สำนึกของคุณ ลูกบอลคริสตัลจะสร้างความปั่นป่วนให้กับสภาวะจิตของคุณเอง หากคุณรู้สึกว่าถึงขีดสุดที่เกินจะทนทานแล้ว เราก็จะตัดการเชื่อมต่อของค่ายกลเสีย เพื่อที่คุณจะได้ไม่บาดเจ็บ” ชายวัยกลางคนอธิบาย


“ผมเข้าใจ!” จางเซวียนพยักหน้า


เขาเดิน 2 ก้าวเข้าหาลูกบอลคริสตัล แต่ไม่รีบร้อนที่จะทาบฝ่ามือลงไป จางเซวียนกวาดสายตาไปทั่วผนังที่อยู่ตรงข้ามเขา


วิ้ง!


หนังสือใหม่เอี่ยมเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในหอสมุดเทียบฟ้า


จางเซวียนแตะนิ้วที่หนังสือ แล้วรายละเอียดของมันก็ลอยเข้าสู่หัวสมองของเขาอย่างรวดเร็ว นัยน์ตาของเขาค่อยๆเบิกโพลงขึ้นด้วยความตื่นเต้น


ด้วยการประมวลเทคนิควรยุทธกับรายละเอียดของภูมิปัญญาที่อยู่บนผนังเข้าด้วยกัน จางเซวียนก็ประสบความสำเร็จในการประมวลศิลปะการบ่มเพาะหัวใจเทียบฟ้า แม้ก่อนหน้านี้เขาจะเคยอ่านหนังสือมากมายที่เกี่ยวข้องกับการบ่มเพาะสภาวะจิต แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก แต่เมื่ออ่านรายละเอียดของศิลปะการบ่มเพาะหัวใจเทียบฟ้า จางเซวียนก็รู้ทันทีว่าการยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณไม่ใช่เรื่องง่าย ในแง่ของความยากนั้น ยากกว่าการยกระดับวรยุทธเสียอีก โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงความเป็นนามธรรมของมัน


วิธีการทั่วไปในการบ่มเพาะสภาวะจิตที่ใช้กันทั่วทั้งทวีปแห่งปรมาจารย์คือการใช้ค่ายกลภาพลวงตาเพื่อผลักดันจิตใต้สำนึกของผู้นั้นให้เกิดความปั่นป่วน เมื่อผ่านการทดสอบไปได้ สภาวะจิตของผู้นั้นก็จะค่อยๆมั่นคงและแข็งแกร่งขึ้น


แต่ ‘วิธีการทั่วไป’ นี้จัดว่าไม่ตรงประเด็น มันต้องอาศัยดวงและความบังเอิญ ต่อให้นักรบผู้นั้นเพิ่มเทคนิควรยุทธและของล้ำค่าเข้าไปในกระบวนการบ่มเพาะสภาวะจิต โอกาสที่มันจะพัฒนาสูงขึ้นก็ยังไม่เด่นชัด


แต่โชคดีที่ศิลปะการบ่มเพาะหัวใจเทียบฟ้าที่จางเซวียนเพิ่งประมวลขึ้นผ่านหอสมุดเทียบฟ้านั้นแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้เขาฝึกฝนสภาวะจิตได้โดยตรง เช่นเดียวกับการฝึกฝนพลังปราณและจิตวิญญาณ


“เริ่มเลยดีกว่า…” จางเซวียนศึกษาเทคนิควรยุทธการบ่มเพาะหัวใจที่อยู่ในสมอง ก่อนจะทาบฝ่ามือลงบนลูกบอลคริสตัล


วิ้ง!


แสงเจิดจ้าเรืองออกมาจากลูกบอลขณะที่ตัวเลขปรากฏ-29.1


เหมือนอย่างที่จางเซวียนเคยคำนวณไว้ ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของเขาเทียบเท่ากับปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวขั้นสูงสุดแล้ว


“เขา…เป็นปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวหรือ?” ชายวัยกลางคนถึงกับอึ้งตะลึง


เขาคิดว่าด้วยอายุของจางเซวียน ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของชายหนุ่มน่าจะต่ำที่สุดในกลุ่ม และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้อีกฝ่ายมาที่นี่เพื่อบ่มเพาะสภาวะจิต แต่ใครจะไปคิดว่า… 29.1! ต่อให้ค้นหาทั่วทั้งชูฝู่ ก็คงมีปรมาจารย์ไม่กี่คนที่เทียบชั้นกับเขาได้


“อือ” เห็นชายวัยกลางคนอึ้งตะลึง เซียนดาบเหมิงพยักหน้าอย่างภูมิใจ “มีใครที่ได้รับแรงบันดาลใจอย่างปุบปับขณะบ่มเพาะสภาวะจิตที่นี่บ้างหรือเปล่า?”


“มีนะ เมื่อหลายปีก่อน ปรมาจารย์หยางมาเยือนโดมหัวใจของเรา ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของเขาในขณะนั้นคือ 28.2 ระหว่างที่กำลังบ่มเพาะสภาวะจิต เขาเกิดภูมิปัญญาบางอย่างขึ้นมากะทันหัน และระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของเขาก็เพิ่มขึ้นอีก 0.2 กลายเป็น 28.4 เรื่องนี้กลายเป็นตำนานของโดมหัวใจของเราเลยทีเดียว!” ชายวัยกลางคนพูด


ความยากในการยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณนั้นจะเพิ่มสูงขึ้นอีกมากเมื่อระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณสูงกว่า 27.0 ที่ระดับนั้น กว่าจะเพิ่มขึ้นได้สัก 0.1 ก็ต้องใช้ความพยายามอย่างหนักยาวนานหลายปี ถือเป็นวีรกรรมอันน่าทึ่งของปรมาจารย์หยางที่ยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณได้ทีเดียวถึง 0.2 ภายในเวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมง น้อยคนที่จะประสบความสำเร็จแบบเขา


“ปรมาจารย์หยางช่างเก่งกาจจริงๆ…แล้วที่นี่มีป้ายชื่อหรือการจัดอันดับบ้างหรือเปล่า? อัตราสูงสุดที่ปรมาจารย์คนหนึ่งยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของเขาได้คือเท่าไหร่?” เซียนดาบเหมิงยังคงถามต่อ


“เรามีบันทึกไว้ การยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณที่รวดเร็วที่สุดเป็นผลงานของปรมาจารย์ระดับ 8 ดาวคนหนึ่ง ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของเขาแต่เดิมคือ 24.7 แต่เมื่อเข้ารับการทดสอบไป 2 ชั่วโมง ก็เพิ่มขึ้นเป็น 25.7 สูงขึ้นถึง 1.0 เต็มๆ! แต่ก็แน่นอนว่าไม่อาจเทียบกับวีรกรรมของปรมาจารย์หยางได้ เพราะยิ่งระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณสูงขึ้น การยกระดับมันก็ยากขึ้นตามไปด้วย” ชายวัยกลางคนพูด


การยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณนั้นเหมือนการสร้างหอคอย การสร้างหอคอยชั้นล่างๆนั้นยังง่าย แต่หลังจากถึงความสูงระดับหนึ่งแล้ว ความยากก็จะพุ่งพรวด


“ที่รัก คุณคิดว่าเซวียนเอ๋อของเราจะทำลายสถิติหรือ?” เซียนดาบชิงตั้งคำถาม


การที่เขาจะคาดเดาความคิดของภรรยาได้ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไป


“ลูกชายของฉันเป็นผู้ปราดเปรื่อง เป็นธรรมดาไม่ใช่หรือที่เขาจะต้องทำลายสถิติได้สำเร็จ” เซียนดาบเหมิงตอบตามความจริง


“ผมว่าคุณมั่นใจในตัวลูกชายของเรามากไปแล้วล่ะ การบ่มเพาะระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณน่ะไม่เหมือนกับการยกระดับวรยุทธนะ ไม่มีทางบังคับมันได้” เซียนดาบชิงส่ายหน้า


การยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างการซึมซับพลังจิตวิญญาณเข้าสู่ร่างกายและแปรเปลี่ยนเป็นพละกำลัง มันเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนกว่ากันมาก แถมยังขึ้นอยู่กับโชคชะตา ต่อให้ลูกชายของเขาเป็นผู้ปราดเปรื่อง ก็อาจมีบางอย่างในชีวิตที่ความปราดเปรื่องไม่สามารถช่วยได้!


“ดูนั่นสิ!” ยังไม่ทันที่เซียนดาบชิงจะพูดจบ เสียงสั่นๆก็ดังขึ้น


เซียนดาบชิงหันขวับไปมอง บนลูกบอลคริสตัลนั้น เขาเห็นตัวเลข ‘29.1’ กำลังกระพริบ และเปลี่ยนเป็น ‘29.2’, ‘29.3’, ‘29.4’…


“เฮ้ย…” เซียนดาบชิงถึงกับจังงัง



ตอนที่ 1696 ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณ 29.9

ไม่ใช่แค่เซียนดาบชิงที่จังงังกับสิ่งที่เห็น แม้แต่ชายวัยกลางคนก็ยืนอึ้ง ทำท่าราวกับเห็นผี


ความเงียบสงัดครอบคลุมไปทั่ว


เมื่อครู่นี้เองที่พวกเขาเพิ่งยกย่องปรมาจารย์หยางที่ยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณได้ถึง 0.2 อย่างรวดเร็ว แต่นั่นก็เป็นเพราะการได้รับภูมิปัญญาบางอย่างอย่างกะทันหัน และเขาก็ต้องใช้เวลา 2 ชั่วโมงเต็มถึงจะทำสำเร็จ แต่ชายหนุ่มคนนี้…ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของเขาเพิ่มขึ้น 0.1 ทุกๆ 10 วินาที เขาทำได้อย่างไร?


ต่อให้ปรมาจารย์ระดับ 1 ดาวที่มีระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณที่ 3.0 ก็ยังทำไม่ได้แบบนี้!


“หรือว่าลูกบอลคริสตัลจะขัดข้อง?” ชายวัยกลางคนพึมพำขณะรีบเข้าไปตรวจสอบของล้ำค่า


แต่ลูกบอลคริสตัลนั้นก็อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ไม่มีร่องรอยของความเสียหายแม้แต่น้อย


ถ้าลูกบอลคริสตัลไม่ผิดพลาด ก็หมายความว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นมาจากตัวชายหนุ่มเอง ว่าแต่เรื่องแบบนี้เป็นไปได้กับมนุษย์ด้วยหรือ?


หวู่เฉินถึงกับคิ้วกระตุก เขามองจางเซวียนด้วยท่าทีราวกับเสียสติไปแล้ว


นี่ไม่ใช่ระดับวรยุทธ แต่เป็นระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณ ซึ่งระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของจางเซวียนก็สูงกว่า 29.0 แล้ว แต่เขาก็ยังเพิ่มมันได้ อีก 0.1 ทุกๆ 10 วินาที…


“เขามีรากฐานของสภาวะจิตที่แข็งแกร่ง ฝึกฝนเจตจำนงทุกระดับขั้นอย่างไร้ที่ติ ทำให้สภาวะจิตโดยรวมมีความแข็งแกร่งไร้เทียมทานมาก ซึ่งผลที่ได้ก็คือเขาแทบจะไม่เผชิญกับอุปสรรคใดๆเลยในการยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณ มันจึงพุ่งพรวด” หลัวลั่วชิงเอาสองมือไพล่หลังขณะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างสุขุม


สีหน้าของเธอไม่บ่งบอกความประหลาดใจแม้แต่น้อย ราวกับคาดเดาไว้แล้วว่าจะเกิดเหตุแบบนี้


ในฐานะปรมาจารย์ฟ้าประทาน จางเซวียนมีรากฐานของสภาวะจิตที่แข็งแกร่ง หากจะเปรียบกับหอคอยอีกครั้ง ถ้าอิฐที่ถูกก่อขึ้นเป็นรากฐานได้รับการจัดวางอย่างไร้ที่ติ การจะสร้างหอคอยให้สูงขึ้นไปก็ย่อมง่ายขึ้นมาก


“รากฐานที่แข็งแกร่ง…” ฝูงชนพากันยิ้มเจื่อนๆเมื่อรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น


โดยเฉพาะกับเซียนดาบชิง เขาอับอายเสียจนอยากจะหาหลุมหารูเพื่อซุกตัวเข้าไป!


เขาเคยคิดว่าสภาวะจิตของลูกชายน่าจะอ่อนด้อยกว่าตัวเขา อันเนื่องมาจากการยกระดับวรยุทธรวดเร็วเกินไป แต่เรื่องนี้ก็บอกชัดเจนแล้วว่าการยกระดับวรยุทธของลูกชายของเขานั้นไม่ได้เร็วเกินไปสักนิด กลับตรงกันข้าม ระดับวรยุทธของจางเซวียนแทบจะตามสภาวะจิตไม่ทันเสียด้วยซ้ำ


ในเมื่อจางเซวียนบรรลุเงื่อนไขทุกอย่างที่จำเป็นในการฝ่าด่านวรยุทธแล้ว แล้วเขาจะอยู่นิ่งไปเพื่ออะไร?


ต่อหน้าต่อตาสายตาตกตะลึงทุกคู่ ในที่สุดตัวเลขบนลูกบอลคริสตัลก็หยุดเคลื่อนไหว


29.9!


จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นก็ถอนฝ่ามือออกจากลูกบอลคริสตัลและส่ายหน้า “เท่านี้ก็ดูเหมือนจะถึงขีดจำกัดของผมแล้ว”


ด้วยการฝึกฝนศิลปะการบ่มเพาะหัวใจเทียบฟ้า จางเซวียนจึงสามารถยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณได้อย่างรวดเร็วตั้งแต่เริ่มต้น แต่ทันทีที่มันหยุดอยู่ที่ 29.9 เขาก็รู้ได้ทันทีว่าตัวเองไม่อาจยกระดับมันให้สูงไปกว่านี้ได้แล้ว ราวกับมีปราการขนาดมหึมากีดขวางเส้นทางของเขาไว้


ต่อให้จะพยายามผลักดันสักแค่ไหน ปราการนั้นก็ไม่พังทลาย จางเซวียนรู้ได้อย่างรวดเร็วว่าด้วยพละกำลังของเขาในตอนนี้ เขาไม่มีทางการทำลายปราการที่กีดขวางอยู่ได้


เห็นจางเซวียนเดินกลับมา นัยน์ตาของชายวัยกลางคนเบิกกว้างราวกับระฆังใบใหญ่ “ตกลง…คุณฝึกฝนวรยุทธเสร็จแล้วหรือ?”


นักรบทั่วไปมักรู้สึกว่าต่อให้มีเวลา 10 ชั่วโมงก็ยังสั้นเกินไปสำหรับการฝึกฝนวรยุทธ แต่ชายหนุ่มคนนี้เสร็จสิ้นกระบวนการของตัวเองภายในเวลาเพียง 2 นาที


“อ้อ ผมมีเวลา 2 ชั่วโมงใช่ไหม? เพราะฉะนั้นก็ยังเหลือเวลาอยู่ มีใครในหมู่พวกคุณที่อยากทดลองหรือเปล่า?” จางเซวียนหันไปถามคนอื่นๆ


“แม่จะลองดู” เซียนดาบเหมิงตอบ


เธอยังคงมีสีหน้าลิงโลดใจ ปลื้มปริ่มกับวีรกรรมอันน่าทึ่งของลูกชาย


“ขอเวลาผมสักครู่ ผมเกิดภูมิปัญญาบางอย่างขึ้นระหว่างศึกษาเทคนิควรยุทธที่จารึกไว้บนผนัง ทำให้ผมคิดค้นอะไรบางอย่างได้ ให้ผมถ่ายทอดให้ท่านแม่นะ” จางเซวียนพูด


“ลูกคิดค้นเทคนิควรยุทธขึ้นใหม่หรือ?” แม้แต่เซียนดาบเหมิงก็อดชะงักไม่ได้กับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน


พวกเราเข้ามาในห้องนี้ยังไม่ถึง 3 นาทีเลย แต่ไม่เพียงลูกจะยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณได้ถึง 0.8 แต่ยังคิดค้นเทคนิควรยุทธใหม่ได้อีกด้วย?


“ใช่แล้ว” จางเซวียนพยักหน้า ขี้คร้านจะอธิบายอะไรให้ยืดยาว


เขาเคาะนิ้ว แล้วเจตจำนงเสี้ยวหนึ่งของเขาก็ดำดิ่งเข้าสู่จิตใต้สำนึกของเซียนดาบเหมิง


เมื่อได้รับความรู้ที่เพิ่งถูกถ่ายทอดเข้าสู่หัวสมองของเธอ เซียนดาบเหมิงตัวแข็งด้วยความตกตะลึง


ในฐานะนักรบขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณ เธอมีเทคนิควรยุทธสำหรับการบ่มเพาะหัวใจของตัวเอง เพื่อช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับสภาวะจิต แต่เมื่อเธอตรวจสอบเทคนิควรยุทธสำหรับการบ่มเพาะหัวใจที่ลูกชายถ่ายทอดให้ ก็รู้ทันทีว่าสิ่งที่เธอเคยฝึกฝนมาก่อนนั้นคือขยะดีๆนี่เอง!


เซียนดาบเหมิงรีบทำความเข้าใจเทคนิควรยุทธการบ่มเพาะหัวใจที่เพิ่งได้รับมา และไม่ช้าก็เข้าใจมันอย่างถี่ถ้วน


“ขอแม่ลองหน่อย” เซียนดาบเหมิงสูดหายใจลึก จากนั้นก็เดินเข้าหาลูกบอลคริสตัลและทาบฝ่ามือของเธอลงไป


วิ้ง!


ตัวเลขปรากฏขึ้นมาบนลูกบอลคริสตัล-27.3


เธอเป็นนักรบผู้ทรงพลัง ทั้งยังมีศิลปะเพลงดาบอันน่าทึ่ง แต่ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของเธอก็ชะงักงันตั้งแต่เธอบรรลุเงื่อนไขของการเป็นปรมาจารย์ระดับ 9 ดาว


เมื่อรู้สึกได้ถึงแรงกดดันจากลูกบอลคริสตัล เซียนดาบเหมิงหลับตาและเริ่มขับเคลื่อนเทคนิควรยุทธการบ่มเพาะหัวใจที่ลูกชายถ่ายทอดให้


ฟึ่บ!


ตัวเลขบนลูกบอลคริสตัลขยับ-27.4


1 นาทีต่อมา, 27.5


อีก 1 นาทีหลังจากนั้น, 27.6…


มันเพิ่มขึ้นอย่างเป็นระเบียบ เหมือนกับที่เกิดขึ้นกับจางเซวียน ความแตกต่างเดียวก็คือการเพิ่มขึ้นของจางเซวียนนั้นเกิดขึ้นทุกๆ 10 วินาที ขณะที่ของเซียนดาบเหมิงเกิดขึ้นทุกๆ 1 นาที


“….”


เซียนดาบชิงตาโตด้วยความพรั่นพรึง


ถ้าจะมีใครสักคนในโลกนี้ที่รู้จักเซียนดาบเหมิงดีที่สุด ก็ต้องเป็นเขา


ภรรยาของเขาเป็นคนอารมณ์ร้อน ทำให้การยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณเป็นเรื่องยากมาก เขาต้องเสาะแสวงหาทรัพยากรทุกชนิดเพื่อใช้ในการยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของเธอ และเพื่อควบคุมภรรยาที่แสนจะไฮเปอร์ของเขา เซียนดาบชิงถึงกับต้องคิดค้นศิลปะเพลงดาบที่ใช้สำหรับฝึกฝนร่วมกันเพื่อบ่มเพาะสภาวะจิตของเธอด้วย แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังต้องใช้เวลานานกว่าระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของเธอจะถึง 27.3


และหลังจากนั้นมันก็หยุดชะงัก เนิ่นนานหลายปีแล้วที่ตัวเลขนี้ไม่ขยับเลย


แต่ตอนนี้ มันกำลังเพิ่มขึ้น 0.1 ทุกๆ 1 นาที…


เซียนดาบชิงหันไปมองลูกชายและพูดว่า “เทคนิควรยุทธการบ่มเพาะหัวใจของลูก…”


ปาฏิหาริย์ครั้งนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับเทคนิควรยุทธที่ลูกชายเพิ่งถ่ายทอดให้ภรรยาของเขาไปแน่ๆ


“นี่ไง ท่านพ่อลองดูก็ได้!” รู้ดีว่าเซียนดาบชิงคิดอะไร จางเซวียนหัวเราะเบาๆขณะเคาะนิ้วและถ่ายทอดศิลปะการบ่มเพาะหัวใจเทียบฟ้าฉบับเรียบง่ายให้อีกฝ่าย


เซียนดาบชิงทำความเข้าใจมันอย่างรวดเร็ว ครู่ต่อมาเขาก็จังงัง


ไม่แปลกใจแล้วที่ภรรยาของเขายกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณได้รวดเร็วขนาดนี้ เทคนิควรยุทธการบ่มเพาะหัวใจที่ลูกชายของเขาคิดค้นขึ้นนั้นช่างน่าทึ่งจริงๆ!


เหล่าบรรพบุรุษตระกูลจางได้คิดค้นเทคนิควรยุทธมากมายนับไม่ถ้วนเพื่อบ่มเพาะระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณและก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง แต่ไม่มีใครเทียบชั้นได้กับเทคนิควรยุทธการบ่มเพาะหัวใจที่เขาเพิ่งได้รับถ่ายทอดมา


ยิ่งมองลูกชาย ก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่อาจเข้าถึงเขา…เซียนดาบชิงชำเลืองมองจางเซวียนและถอนหายใจเฮือกใหญ่


เขารู้ดีว่าลูกชายของเขาเก็บงำความลับไว้มากมาย และคิดว่าน่าจะได้รู้มันหากพวกเขาได้ใช้เวลาร่วมกันมากกว่านี้ แต่ยิ่งสนิทชิดเชื้อกันมากขึ้นเท่าไหร่ ลูกชายก็ยิ่งดูลึกลับมากขึ้นเท่านั้น


ราวกับว่าลูกชายของเขาเป็นผู้หยั่งรู้ เพราะไม่ว่าจะเป็นเทคนิควรยุทธใด หรือต่อให้เป็นเทคนิคขั้นพื้นฐานแค่ไหน หากตกอยู่ในมือของจางเซวียน ก็จะให้ผลลัพธ์อันน่าทึ่ง สามารถแปรเปลี่ยนเป็นทรัพย์สมบัติล้ำค่าที่ทั้งโลกยอมตายเพื่อจะให้ได้มันไป


ตำนานกล่าวไว้ว่าปรมาจารย์ขงมีความสามารถแบบนี้เช่นกัน เป็นไปได้ไหมว่าลูกชายของเรา กำลังจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับเดียวกันกับปรมาจารย์ขง? เซียนดาบชิงตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น


ตามตำนาน ปรมาจารย์ขงสามารถทำความเข้าใจทุกสิ่งที่เขาได้เรียนรู้ และเชี่ยวชาญทุกศาสตร์ได้ในระยะเวลาอันสั้น ช่างเหมือนกันกับสิ่งที่ลูกชายของเขาทำได้ หรือว่าลูกชายของเขาจะเทียบชั้นกับปรมาจารย์ขงได้จริงๆ?


เพียงแค่คิดก็ทำให้เขาลุ้นระทึกกับอนาคตแล้ว


“มาสิ ฉันมาถึงด่านคอขวดแล้ว และไม่คิดว่าจะไปได้ไกลกว่านี้…”


ขณะที่เซียนดาบชิงกำลังครุ่นคิด ภรรยาของเขาก็พูดขึ้น เขารีบหันไปมอง และเห็นตัวเลข 29.9 อยู่บนลูกบอลคริสตัล ภายในระยะเวลาอันสั้น ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของภรรยาของเขาก็เพิ่มขึ้นถึง 2.6 ไปอยู่ที่ 29.9 ซึ่งเป็นระดับของปรมาจารย์ระดับ 9 ดาว


“29.9 เป็นขีดจำกัดของนักรบขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ถ้าคุณก้าวไปได้อีกขั้นหนึ่ง ก็หมายความว่าระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของคุณเข้าถึงขั้นของนักปราชญ์โบราณแล้ว!” หวู่เฉินอธิบาย


หากก้าวข้ามตัวเลข 29.9 ไปได้ ก็หมายความว่าระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของเราจะเทียบเท่ากับนักปราชญ์โบราณหรือ? จางเซวียนครุ่นคิดหนัก


ตอนนี้เรายังไม่อาจยกระดับวรยุทธของพลังปราณหรือจิตวิญญาณได้ แต่เรามีหน้าหนังสือสีทองอยู่ ถ้าใช้มัน เราจะยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณได้อีก 5.0 ทำให้เทียบเท่ากับนักปราชญ์โบราณ?



ตอนที่ 1697 เซียนดาบชิงฝ่าด่านวรยุทธสำเร็จ

อานุภาพของหน้าหนังสือสีทองนั้นไม่ได้มีแค่การเล่นงานศัตรูจนราบคาบ แต่ยังช่วยซึมซับความรู้ที่เขาถ่ายโอนไว้ในหอสมุดเทียบฟ้าและยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณได้ด้วย


เขาเคยใช้หน้าหนังสือสีทองยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณมา 2 ครั้งแล้ว ซึ่งแต่ละครั้งมันก็เพิ่มขึ้นทีละ 5.0 ถ้าเขาใช้หน้าหนังสือสีทองทำแบบเดิมอีกครั้ง จะก้าวผ่านด่านคอขวดที่ 29.9 ไปได้หรือเปล่า? หากทำได้ เขาก็จะมีสภาวะจิตที่เทียบเท่ากับนักรบขั้นนักปราชญ์โบราณ


จางเซวียนเคยเผชิญหน้ากับนักปราชญ์โบราณมาแล้วครั้งหนึ่ง และสังหารอีกฝ่ายด้วยหน้าหนังสือสีทองก่อนที่หมอนั่นจะทันได้ทำอะไร แต่จากการที่เขาเก็บศพของนักปราชญ์โบราณตัวนั้นไว้ในแหวนเก็บสมบัติ จึงพอรู้คร่าวๆว่านักปราชญ์โบราณนั้นน่าพรั่นพรึงขนาดไหน หากเขายกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณให้สูงขึ้นได้กว่านี้ แล้วเขาจะสามารถปกป้องตัวเองเมื่อต้องเผชิญหน้ากับนักปราชญ์โบราณหรือเปล่า?


แม้ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาจะยังอ่อนด้อย แต่ตราบใดที่สภาวะจิตมีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น ก็น่าจะใช้การปลอมตัวล่อลวงนักปราชญ์โบราณได้


สภาวะจิตเป็นองค์ประกอบสำคัญสำหรับการปลอมตัว หากระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของเขาสูงถึงขั้น คนอื่นๆก็จะมองทะลุการปลอมตัวของเขาได้ยาก


“ขอลองดูหน่อยเถอะ!” จางเซวียนคิดอย่างตื่นเต้น


เขาหวนนึกถึงความรู้สึกครั้งแรกที่ใช้หน้าหนังสือสีทองยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณ จากนั้นก็หลับตาลงและเพ่งสมาธิ เพิ่มระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณ!


ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบใดๆ


จางเซวียนหลับตาลงอีกครั้งและเพ่งสมาธิ เพิ่มระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณ!


ก็ยังคงไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบ


หน้าหนังสือสีทองยังคงลอยอยู่ในหอสมุดเทียบฟ้าอย่างเงียบเชียบ ดูเหมือนจะเยาะเย้ยการกระทำ อันไร้ผลของเขา


ได้โปรดเถอะ ช่วยผมยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณหน่อย!


ผมเลือกคุณ หน้าหนังสือสีทอง! ทำลายด่านคอขวดให้ผมที!


ฮึบบบบบบ! อีกแค่ 0.1 เท่านั้น…


…..


หลังจากเสียเวลาไปกับหน้าหนังสือสีทองอยู่ครู่หนึ่ง จางเซวียนก็ได้แต่นวดหว่างคิ้วด้วยความกลุ้มใจ


เท่าที่เห็น ดูเหมือนเขาไม่สามารถพึ่งพาหน้าหนังสือสีทองให้ช่วยยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณได้อีก


การฝึกฝนสภาวะจิตนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ!


หลังจากนี้ เขาต้องเตรียมตัวสำหรับการต่อสู้อันยาวนาน หากวันเดียวไม่เพียงพอ ก็จะต้องใช้เวลา 2 วัน…หาก 2 วันยังไม่ได้ผล ก็ต้องใช้เวลา 3 วัน หรือไม่อย่างนั้น…ครึ่งเดือนก็น่าจะนานพอให้เขาทำสำเร็จ ใช่ไหม?


ถ้าไม่สำเร็จ เขาก็จะพุ่งเป้าไปที่ความพยายามในการให้ได้การยอมรับเป็นปรมาจารย์ฟ้าประทานครั้งที่ 6 หรืออะไรทำนองนั้น ซึ่งก็คงจะได้ผลเช่นกัน


จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่และกำลังจะดูว่าเซียนดาบชิงเป็นอย่างไรบ้าง ก็พอดีกับที่รู้สึกได้ว่ามีพลังจิตวิญญาณพุ่งตรงเข้าใส่


เขาหันไปมอง และเห็นว่าภายในเวลาไม่นานหลังจากที่ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของเซียนดาบเหมิงถึงระดับ 29.9 วรยุทธของเธอซึ่งหยุดชะงักอยู่ที่ขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณ โลกจารึกมาเนิ่นนานก็เพิ่มสูงขึ้น เข้าสู่ขั้นชั่วกัลปาวสาน!


เซียนดาบเหมิงเป็นนักรบที่ปราดเปรื่องมาก แต่เหตุผลที่ก่อนหน้านี้เธอไม่สามารถฝ่าด่านวรยุทธได้ ก็เพราะปมในใจที่เกิดจากการสูญเสียลูกชาย แต่ในเมื่อตอนนี้เธอได้พบกับลูกชายและยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณได้แล้ว เซียนดาบเหมิงจึงทำลายด่านคอขวดที่กีดขวางอยู่ได้สำเร็จและฝ่าด่านวรยุทธได้อีกครั้ง


สำหรับวรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 4-ชั่วกัลปาวสาน คำว่า ‘ชั่วกัลปาวสาน’ หมายถึง ความเป็นอมตะและความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณต้นกำเนิด ไม่มีปัจจัยภายนอกใดๆที่จะทำให้อารมณ์ของผู้นั้นหวั่นไหวได้ และเพียงแค่ใช้ความคิด นักรบผู้นั้นก็สามารถฉีกกระชากมิติออกเป็นชิ้นๆได้


นี่คือพละกำลังของนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดานักรบที่มีวรยุทธต่ำกว่าขั้นนักปราชญ์โบราณ


ขณะที่พลังจิตวิญญาณพุ่งเข้าสู่ร่างของเธอ วรยุทธของเซียนดาบเหมิงก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว


เมื่อเห็นว่าเซียนดาบเหมิงคงต้องใช้เวลาขัดเกลาวรยุทธสักระยะ จางเซวียนจึงมอบยาเม็ดเกรด 9 ให้กับอีกฝ่าย


ยาเม็ดนั้นละลายทันทีที่เข้าปากของเธอ และพลังจิตวิญญาณจำนวนมหาศาลก็พวยพุ่งเข้าสู่ร่างของเซียนดาบเหมิงทันที ด่านคอขวดที่เคยกีดขวางเธอไว้ก่อนหน้านี้ถูกทำลายไปในชั่วพริบตา


หลังจากแน่ใจแล้วว่าเซียนดาบเหมิงจะไม่เผชิญกับปัญหาใดๆในการฝ่าด่านวรยุทธ จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่


มีอันตรายมากมายแฝงอยู่ในวิหารแห่งขงจื๊อ ไม่ว่าจะเป็นจากบรรดาผู้ที่เข้าไปสำรวจหรือจากกับดักต่างๆที่ถูกฝังไว้ภายใน มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่เซียนดาบชิงเหมิงจะต้องทำตัวให้แข็งแกร่งกว่าเดิม เพื่อจะได้ปกป้องตัวเองได้


ถึงจางเซวียนจะเป็นแค่วิญญาณที่ทะลุมิติมา แต่เขาก็เห็นเซียนดาบชิงเหมิงเป็นเหมือนญาติสนิท และจะไม่มีวันปล่อยให้อันตรายเกิดขึ้นกับทั้งคู่


จางเซวียนหันกลับไปมองเซียนดาบชิงซึ่งกำลังยืนอยู่ตรงหน้าลูกบอลคริสตัล เขาเห็นว่าระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของอีกฝ่ายกำลังเพิ่มขึ้นในอัตรา 0.1 อย่างสม่ำเสมอเหมือนกับเซียนดาบเหมิง ซึ่งใช้เวลาไม่นาน ตัวเลขก็เพิ่มขึ้นไปจนถึง 29.9


“พ่อมาถึงขีดจำกัดของตัวเองแล้วเหมือนกัน…” เซียนดาบชิงพูดด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย


“ท่านพ่อกำลังจะฝ่าด่านวรยุทธใช่ไหม?” จางเซวียนถาม


“พ่อไม่รีบหรอก พ่อเพิ่งฝ่าด่านวรยุทธของสภาวะจิตไป คงต้องบ่มเพาะมันสักพักกว่าจะพร้อม” เซียนดาบชิงตอบ


“ไม่จำเป็นหรอก รีบทำให้สำเร็จเถอะ ผมตรวจสอบสภาวะของท่านพ่อแล้ว เหตุผลที่ก่อนหน้านี้ท่านพ่อไม่สามารถฝ่าด่านวรยุทธได้ก็เพราะมีสิ่งอุดตันอยู่ในทางเดินพลังปราณหลายตำแหน่ง ผมมียาเม็ดหนึ่งที่จะช่วยให้ท่านพ่อแผ้วถางทางเดินพลังปราณได้ แล้วการเข้าถึงวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานก็จะเป็นไปได้อย่างง่ายดาย” จางเซวียนพูดขณะยื่นยาเม็ดหนึ่งให้เซียนดาบชิง


ในเมื่อท่านแม่ฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จแล้ว ท่านพ่อยังจะมีแก่ใจบ่มเพาะสภาวะจิตของตัวเองอยู่หรือ แค่นี้ยังช้ำใจไม่พอหรือไง! อยากจะให้สถานภาพของตัวเองในครอบครัวร่วงหล่นไปกว่านี้อีกใช่ไหม?


“พ่อ…” เซียนดาบชิงถึงกับอึ้งเมื่อเห็นท่าทีของลูกชาย


นี่เราโดนลูกชายดูถูกที่ฝึกฝนวรยุทธช้าไปอย่างนั้นหรือ?


มันเป็นการตำหนิที่รุนแรงไม่เบา แต่เซียนดาบชิงก็ไม่รู้จะตอบโต้อย่างไร


เมื่อ 1 ปีก่อน ตอนที่ลูกชายของเขาเพิ่งเริ่มต้นการเป็นนักรบ ตัวเขาเองเป็นนักรบขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณ


ครึ่งปีผ่านไป ลูกชายของเขาสำเร็จวรยุทธระดับเซียน แต่ตัวเขาเองก็ยังคงเป็นนักรบขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณ


เมื่อ 2-3 วันก่อน ลูกชายของเขาฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 1-การพักฟื้นภายใน แต่ตัวเขาก็ยังคงเป็นนักรบขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณ


มาถึงวันนี้ ลูกชายของเขาเป็นนักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติแล้ว แต่ตัวเขา…ก็ยังคงเป็นไอ้งั่งที่มีวรยุทธขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณอยู่เหมือนเดิม!


ถ้าเขาไม่รีบผลักดันตัวเอง คงถูกลูกชายแซงแน่


เซียนดาบชิงกลืนยาเม็ดนั้นลงไปโดยไม่ลังเล เมื่อพลังจากยาซึมซาบไปทั่วร่าง เขาก็รู้สึกได้ว่ามีกระแสพลังปราณเข้มข้นไหลเวียนไปทั่วทางเดินพลังปราณ ทำลายสิ่งอุดตันต่างๆให้หายไปในชั่วพริบตา


จากนั้น รังสีอันทรงพลังก็ระเบิดออกจากร่างของเขา หลังจากที่วรยุทธต้องชะงักงันมาหลายปี ในที่สุดเซียนดาบชิงก็ฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ!


“เอ่อ…”


เมื่อเห็นว่าตัวเองฝ่าด่านวรยุทธสำเร็จก่อนที่จะทันได้ทรุดตัวลงนั่งเพื่อฝึกฝนวรยุทธ เซียนดาบชิงได้แต่จังงัง


การฝ่าด่านวรยุทธครั้งนี้จะง่ายไปหน่อยไหม?


แต่เขาก็รู้ดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมัวตกตะลึง จึงรีบหลับตาลงและขัดเกลาวรยุทธของตัวเอง


เมื่อเห็นทั้งท่านพ่อและท่านแม่สำเร็จวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานแล้ว จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาหันไปถามหลัวลั่วชิงกับหวู่เฉิน “ยังมีเวลานะ พวกคุณจะทดลองไหม?”


“ขอบคุณที่เสนอแนะให้ แต่ไม่จำเป็นหรอก ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของทั้งนายหญิงและตัวผมมาถึงด่านคอขวดแล้ว การที่พวกเราจะฝึกฝนวรยุทธของสภาวะจิตต่อไปถือว่าไม่มีประโยชน์อะไร” หวู่เฉินประสานมือ


“ด่านคอขวด? ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของพวกคุณคือ 29.9 เหมือนกันหรือ?”


จางเซวียนชะงัก


เขารู้ดีว่าหวู่เฉินกับหลัวลั่วชิงไม่ใช่นักรบขั้นชั่วกัลปาวสานทั่วไป แต่ไม่คิดว่าระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของทั้งคู่จะอยู่ที่ 29.9 เหมือนกัน ดูเหมือนภูมิหลังของทั้งสองคนจะน่าประทับใจกว่าที่เขาคิด


“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็เสร็จธุระแล้ว” จางเซวียนพูด เขาหันไปมองชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างๆและถามว่า “พวกเราใช้ลูกบอลคริสตัลไปยังไม่ถึง 1 ชั่วโมงเลย คุณจะชดเชยเวลาที่เหลือให้พวกเราหรือเปล่า?”


“….” แก้มของชายวัยกลางคนถึงกับกระตุก


ขณะที่นักรบคนอื่นๆใช้เวลา 2 ชั่วโมงเต็มด้วยความหวังว่าจะยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณได้สัก 0.1 แต่นักรบทั้งสามกลับใช้เวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมงในการยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของตัวเองขึ้นไปได้ถึง 29.9 ยิ่งไปกว่านั้น ยังร้องขอการชดเชยด้วย!


สาบานเลยว่าไม่เคยเจอใครขี้เหนียวขนาดนี้มาก่อน!


“อะไรกัน คุณจะไม่ชดเชยให้พวกเราหรือ?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


“ไม่ใช่อย่างนั้น ถือเป็นเกียรติสูงสุดของโดมหัวใจของเราที่ได้ต้อนรับพวกคุณ”


เมื่อเห็นอีกฝ่ายจริงจังในการร้องขอการชดเชย ชายวัยกลางคนสะบัดข้อมือและยื่นของล้ำค่าระดับเซียนขั้นสูงสุดคืนให้


ดูเหมือนเขาจะขาดทุน แต่ข้อเท็จจริงที่ว่ามีนักรบสามคนสามารถยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณได้ถึง 29.9 ภายในโดมหัวใจของเขา ก็ถือเป็นการโฆษณาที่ประเมินค่ามิได้แล้ว


ถึงอย่างไรก็ถือว่าเขาชนะ


“ต้องแบบนี้สิ…” จางเซวียนพยักหน้าอย่างพอใจขณะเก็บของล้ำค่าระดับเซียนขั้นสูงสุดเข้าไปในแหวนเก็บสมบัติ


ชายวัยกลางคนพยักหน้ารับก่อนจะหันไปมองลูกบอลคริสตัล นัยน์ตาของเขาเป็นประกายขณะครุ่นคิด ในเมื่อคนเหล่านี้ฝ่าด่านวรยุทธของระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณได้อย่างรวดเร็ว แล้วจะเป็นไปได้หรือไม่ว่าเราจะทำแบบนั้นได้เหมือนกัน?


เมื่อเกิดความคิดนั้นขึ้น ชายวัยกลางคนก็แอบเดินไปหาลูกบอลคริสตัล


ค่ายกลในลูกบอลนี้จะถูกเปิดใช้งานทีละ 2 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย ในเมื่อบรรดาแขกเหรื่อไม่คิดจะใช้มันอีกแล้ว จะปล่อยให้เวลาเสียไปเปล่าๆก็ไม่ดี เขาลองใช้เองน่าจะดีกว่า


ชายวัยกลางคนทาบฝ่ามือลงบนลูกบอลคริสตัล หลังจากเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของเขาก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง


ในตอนนั้นเอง เขาถึงได้รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วการยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับลูกบอลคริสตัลของเขาเลย…



ตอนที่ 1698 ความกังวลของหลัวลั่วชิง

กว่าจางเซวียนกับพรรคพวกจะออกจากโดมหัวใจ ดวงอาทิตย์ก็ตกดินแล้ว


แทนที่จะเดินตระเวนไปทั่วเมือง จางเซวียนมุ่งหน้าไปยังที่พักแห่งหนึ่งซึ่งเป็นของตระกูลจางเพื่อขัดเกลาระดับวรยุทธของเขาและประเมินความเปลี่ยนแปลงในร่างกาย


วรยุทธเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน นักรบคนหนึ่งไม่มีทางก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดได้หากไม่ฝึกฝนอย่างหนัก ต่อให้คนปราดเปรื่องอย่างเขาก็ยังต้องฝึกฝนอย่างต่อเนื่องกว่าจะได้อย่างที่เป็นอยู่


ด้วยการฝ่าด่านวรยุทธที่เพิ่งเกิดขึ้นไปหมาดๆ ทำให้ทั้งวรยุทธของพลังปราณและวรยุทธของจิตวิญญาณของจางเซวียนเข้าถึงขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 2 ร่างอันทรงเกียรติ โลกจารึก และเมื่อผนวกเข้ากับหอกสวรรค์กระดูกมังกรและแก่นสารของมิติ เวลา และจิตวิญญาณ เขาก็สามารถต่อสู้อย่างสมน้ำสมเนื้อได้แม้แต่กับนักรบขั้นชั่วกัลปาวสาน โลกจารึก


จางเซวียนไม่จำเป็นต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากภายนอกอย่างเช่นหยดเลือดของปรมาจารย์ขงอีกต่อไป


ในอีก 2-3 วันนับจากนี้ เขาจะเก็บตัวอยู่ในที่พักและไม่ไปไหนมาไหนมากนัก


3 วันต่อมา กองกำลังของตระกูลจางก็มาถึงชูฝู่เพื่อสมทบกับกลุ่มที่มาก่อนหน้า


หลังจากฝึกฝนวรยุทธอยู่หลายวัน เซียนดาบชิงเหมิงก็ขัดเกลาวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานของพวกเขาได้สำเร็จ หากทั้งคู่สำแดงศิลปะเพลงดาบพร้อมกัน ก็จะสามารถเอาชนะได้แม้แต่นักรบขั้นชั่วกัลปาวสาน โลกจารึก และคงมีนักรบขั้นนักปราชญ์โบราณไม่กี่คนเท่านั้นที่จะทำร้ายพวกเขาได้


ผู้อาวุโสสูงสุดเกือบทุกคนของตระกูลจางเข้าร่วมการเดินทางสู่วิหารแห่งขงจื๊อในครั้งนี้ ด้วยการมองเพียงแวบเดียว จางเซวียนก็เห็นแล้วว่ามีนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานอยู่ในกลุ่มนี้มากกว่า 20 คน


สมกับที่เป็นตระกูลนักปราชญ์หมายเลข 1 ของทวีปแห่งปรมาจารย์ รากฐานของพวกเขาหยั่งลึกและแข็งแกร่งจริงๆ!


…..


ในวันที่ 5 จู่ๆ หลัวลั่วชิงก็มาเคาะประตู


“จางเซวียน ฉันได้ยินมาว่าข้างนอกคึกคักมาก คุณอยากไปเดินเล่นกับฉันไหม?”


“ไปสิ!” จางเซวียนพยักหน้าโดยไม่ลังเล


ตั้งแต่มาถึงชูฝู่ เขาใช้เวลาเกือบทั้งหมดไปกับการฝึกฝนวรยุทธ ตอนนี้มันเริ่มจะน่าเบื่อและซ้ำซาก คงจะดีหากได้ออกไปเดินข้างนอกสักหน่อย


เมื่อออกจากที่พัก จางเซวียนพบว่าเมืองนี้สับสนวุ่นวายกว่าเมื่อ 4 วันก่อนมาก ไม่ได้มีเฉพาะเหล่าปรมาจารย์และผู้เชี่ยวชาญจากสภาปรมาจารย์ แต่ยังมีบรรพบุรุษเก่าแก่และผู้อาวุโสจากกลุ่มอาชีพต่างๆด้วย


ยังไม่ทันที่เขาจะรู้ตัว ผู้เชี่ยวชาญชั้นนำเกือบทั้งหมดของทวีปแห่งปรมาจารย์ก็มารวมตัวกันอยู่ที่ชูฝู่แล้ว


อันที่จริง ‘ผู้เชี่ยวชาญชั้นยอด’ ที่พูดถึงนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่ยังมีอสูรจำนวนหนึ่งที่มีวรยุทธขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่มาถึงชูฝู่เมื่อสองสามวันก่อนด้วย แม้ด้วยความคับคั่งของเหล่าผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในชูฝู่ตอนนี้ แต่เมืองทั้งเมืองก็ยังคงเป็นระเบียบอย่างไม่น่าเชื่อ จางเซวียนไม่เห็นการต่อสู้หรือการดวลเกิดขึ้นที่ไหนเลย เมืองนี้ยังคงสงบสุขและมีสภาพเรียบร้อยอย่างที่เคยเป็น


เห็นจางเซวียนสงสัย หลัวลั่งชิงอธิบายยิ้มๆ “ที่นี่เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าปรมาจารย์ ไม่มีใครกล้าสร้างความปั่นป่วนหรอก หรือต่อให้เกิดความขัดแย้งขึ้นมา พวกเขาก็จะไปสะสางกันข้างนอก”


ชูฝู่ไม่ได้เป็นแค่ดินแดนที่วิหารแห่งขงจื๊อตั้งอยู่ แต่ยังเป็นดินแดนแห่งบรรพบุรุษของสภาปรมาจารย์ด้วย ไม่มีใครโง่เง่าพอจะสร้างปัญหาที่นี่เพื่อให้ตัวเองกลายเป็นศัตรูของทุกคน


ทั้งคู่เดินไปตามถนนที่สับสนวุ่นวาย จางเซวียนอดสังเกตไม่ได้ว่ามีผู้คนอยู่ในชูฝู่มากมายขนาดไหน เขาชำเลืองมองหลัวลั่วชิงและถามว่า “พูดก็พูดเถอะ คุณคิดว่าจะมีเผ่าพันธุ์ปีศาจอยู่ที่นี่บ้างหรือเปล่า?”


เป็นความจริงที่รู้กันทั่วว่าฮ่องเต้เผ่าพันธุ์ปีศาจสามารถปลอมตัวเป็นปรมาจารย์ได้แนบเนียนถึงขนาดที่แม้แต่ปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวก็แยกไม่ออก


ในเมื่อทั้งเผ่าพันธุ์มนุษย์และอสูรต่างก็มุ่งหน้ามาที่ชูฝู่ เผ่าพันธุ์ปีศาจก็คงไม่ละเลยโอกาสที่จะมาที่นี่เช่นกัน พวกมันน่าจะซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางฝูงชนและลักลอบเข้าไปในวิหารแห่งขงจื๊อเมื่อถึงเวลา


“ฉันก็ว่าอย่างนั้น” หลัวชิงพยักหน้า เธอมองจางเซวียนและพูดว่า “หลังจากวิหารแห่งขงจื๊อเปิดแล้ว พวกเราจะถูกส่งทะลุมิติเข้าไปที่นั่นแบบสุ่ม นั่นหมายความว่าเราจะไม่ได้อยู่ด้วยกันอีก…คุณต้องระมัดระวังตัวไว้ตลอดเวลานะ”


“ทะลุมิติเข้าไปแบบสุ่ม?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


“ใช่ หวู่เฉินได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับวิหารแห่งขงจื๊อมา เท่าที่เขารู้ ทันทีที่วิหารเปิด พวกเราจะถูกโอบล้อมด้วยค่ายกลที่จะส่งเราทะลุมิติเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อโดยไปยังตำแหน่งต่างๆกัน ไม่มีทางที่คุณจะรู้ว่าตัวเองจะไปปรากฏตัวที่ไหน และแน่นอนว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจก็จะถูกส่งทะลุมิติไปเหมือนเรา เพราะฉะนั้น คุณจะละเลยการป้องกันตัวไม่ได้เด็ดขาด” หลัวลั่วชิงพูด


“ได้ ผมจะระวัง” จางเซวียนพยักหน้า


หากเขาถูกส่งทะลุมิติไปยังพื้นที่อันตราย ก็คงต้องอาศัยความสามารถในการปลอมตัว


แต่ภัยคุกคามของเขาไม่ได้มีแค่เผ่าพันธุ์ปีศาจ ยังมีกลุ่มคนจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ที่มีความเป็นปฏิปักษ์ต่อเขาเช่นกัน พวกนั้นคงจ้องจะเล่นงานเขาอยู่


ถึงจางเซวียนจะไม่ใช่คนสิ้นไร้ไม้ตอกอย่างเมื่อก่อน แต่เขาก็ยังคงมีปัญหาหากจะต้องรับมือกับกลุ่มคนจำนวนมากพร้อมๆกัน และอีกอย่าง ไม่มีใครที่สามารถระมัดระวังตัวได้ตลอดเวลา เขาไม่อยากตายเสียก่อนที่จะได้เข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อ


หลัวลั่วชิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอดสร้อยที่อยู่รอบลำคอของเธอออกมาส่งให้จางเซวียน “สร้อยเส้นนี้…ท่านพ่อมอบให้ฉัน มันจะช่วยคุณให้รอดพ้นจากอันตรายได้”


ลักษณะภายนอกของสร้อยนั้นดูคล้ายกับคริสตัล แต่ภายในเป็นสีเลือด เป็นของล้ำค่าที่งดงามมาก


“เอ่อ…” จางเซวียนมองสร้อยที่หลัวลั่วชิงมอบให้เขาอย่างสงสัย


เขารู้ดีว่ามีอันตรายรอคอยอยู่ในวิหารแห่งขงจื๊อ แต่เขาก็มีประสิทธิภาพการต่อสู้เทียบเท่ากับนักรบขั้นชั่วกัลปาวสาน โลกจารึกแล้ว หากใครคิดจะทำร้าย เขาก็มีพละกำลังมากพอที่จะป้องกันตัวเอง


เห็นจางเซวียนไม่รับสร้อยคอของเธอ หลัวลั่วชิงยืนกราน “รับมันไว้เถอะ เราไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ในวิหารแห่งขงจื๊อบ้าง สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือป้องกันตัวเองให้ดีที่สุด ฉันรู้ว่าฉันไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของคุณมากนัก แต่ถ้าเผ่าพันธุ์ปีศาจฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณได้สำเร็จภายในวิหาร และตัวตนของคุณถูกเปิดเผยด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างล่ะก็…คุณจะตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวงแน่”


แน่นอนว่าตัวตนที่เธอพูดถึงก็คือการเป็นปรมาจารย์ฟ้าประทาน


ได้ยินคำนั้น จางเซวียนเงียบไป


ที่หลัวลั่วชิงพูดก็มีเหตุผล


เหล่านักปราชญ์โบราณถูกห้ามไม่ให้เข้าสู่ส่วนลึกของวิหารแห่งขงจื๊อ และไม่เคยมีใครฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณได้สำเร็จตลอดหมื่นปีที่ผ่านมา แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะมีของล้ำค่าบางอย่างภายในวิหารที่ทำให้นักรบสักคนสามารถก้าวข้ามขั้นสุดท้ายได้


ถ้าของล้ำค่านั้นตกไปอยู่ในมือของเผ่าพันธุ์ปีศาจ ก็จะลงเอยด้วยหายนะ อาจยังไม่เป็นอะไรมากนักถ้าเผ่าพันธุ์ปีศาจยังไม่รู้ตัวตนของจางเซวียนในฐานะปรมาจารย์ฟ้าประทาน แต่หากพวกมันรู้ ก็แน่นอนว่าจางเซวียนจะตกเป็นเป้าหมายแรกของพวกมัน


ด้วยความสามารถของเขา เขาอาจสู้รบกับนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานได้โดยปราศจากปัญหา แต่หากต้องเผชิญหน้ากับนักปราชญ์โบราณ สิ่งเดียวที่เขาทำได้ก็คือต้องหาทางหลบหนี


ช่องว่างระหว่างความแข็งแกร่งของนักปราชญ์โบราณกับจางเซวียนนั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เขาจะพยายามตอบโต้


รู้ดีว่าหลัวลั่วชิงเป็นห่วงเขา จางเซวียนจึงรับสร้อยคอมาก่อนจะถามอย่างร้อนใจ “ถ้าผมรับสร้อยของคุณมาแล้ว แล้วตัวคุณล่ะ?”


ถ้าสร้อยนี้สามารถปกป้องเขาได้จริงๆ เขาควรจะรับมันไว้หรือ? แล้วหลัวลั่วชิงจะตกอยู่ในอันตรายหรือเปล่า?


“คุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ต่อให้ฉันต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่ฉันรับมือไม่ไหว ฉันก็ยังหนีได้” หลัวลั่วชิงยืนยัน และดูเหมือนจะไม่อยากพูดเรื่องนี้อีก เธอเปลี่ยนเรื่องพูด “ก่อนหน้านี้ ฉันเห็นหลัวฉีฉีด้วย”


“ฉีฉี?” จางเซวียนชะงัก “เธออยู่ที่นี่ด้วยหรือ?”


เขาไม่ได้พบหลัวฉีฉีอีกเลยนับตั้งแต่ทั้งสองแยกจากกันที่ตระกูลหลัว ถ้าหลัวลั่วชิงเห็นเธออยู่แถวนี้ จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าเธอตั้งใจมาที่วิหารแห่งขงจื๊อเหมือนกัน?


แต่เมื่อคิดดู ก็พอเข้าใจได้ ในฐานะเจ้าของเครื่องเก็บงำมิติ หลัวฉีฉีมีพละกำลังเทียบเท่ากับนักรบขั้นชั่วกัลปาวสาน ในเมื่อการเปิดวิหารแห่งขงจื๊อเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ก็ไม่แปลกที่เธอจะมาปรากฏตัว


“ใช่…เธอเป็นคนดีนะ” หลัวลั่วชิงรำพึง


“ลั่วชิง คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?” ได้ฟังเสียงรำพึงของหลัวลั่วชิง จางเซวียนขมวดคิ้ว


“ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่อดคิดไม่ได้ว่าเมื่อเราต้องแยกจากกันหลังจากที่วิหารแห่งขงจื๊อเปิด เราอาจไม่มีวันได้กลับมาพบกันอีก” หลัวลั่วชิงพูด


สีหน้าของเธอเรียบเฉยและงามสง่าอยู่เสมอ แต่ตอนนี้ ความกังวลและความไม่สบายใจปรากฏชัด


เห็นหลัวลั่วชิงกังวล จางเซวียนพยายามปลอบใจ “อย่าห่วงเลย เราจะต้องเอาชีวิตรอดจากภัยอันตรายในวิหารแห่งขงจื๊อและกลับมาพบกันอีกครั้งแน่!”


นับตั้งแต่เขาพบเธอ ดูเหมือนเธอจะคงความสุขุมเยือกเย็นไว้ได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ราวกับว่าไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ทำให้เธอเดือดร้อนใจได้ บางทีก็ดูเหมือนเธอจะแยกตัวออกจากโลกภายนอกเสียด้วยซ้ำ แต่วันนี้หลัวลั่วชิงดูจะสะเทือนใจมาก


เป็นความจริงที่ว่าเขาจะต้องพบเจอกับศัตรูมากมายในวิหารแห่งขงจื๊อ และการทะลุมิติแบบสุ่มนั้นก็มีแต่จะนำทุกคนไปสู่การผจญภัยที่คาดเดาไม่ได้ ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องพบกับอันตราย แต่เขาจะไม่ยอมนิ่งเฉยโดยไม่ลุกขึ้นสู้


ส่วนหลัวลั่วชิง…แม้ด้วยความสามารถในการหยั่งรู้ระดับของจางเซวียน เขาก็ยังไม่อาจมองเห็นความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเธอได้ เพียงเท่านี้ก็บ่งบอกชัดแล้วว่าระดับพละกำลังของเธอนั้นน่าพรั่นพรึงกว่าเขามาก


และในเมื่อเป็นอย่างนั้น ทั้งคู่จะต้องหวาดกลัวอะไร?


“ฉันก็ว่าอย่างนั้นแหละ เราอย่าพูดเรื่องนี้อีกเลย” หลัวลั่วชิงตอบ เธอยื่นมือออกมาแล้วถามว่า “เครื่องรางลำดับแรกอยู่ไหนล่ะ ขอฉันดูหน่อยได้ไหม?”


“นี่ไง” จางเซวียนสะบัดข้อมือและนำเครื่องรางน้อยออกมายื่นให้


มันเป็นของล้ำค่าที่พวกเขาได้มาพร้อมๆกัน อย่าว่าแต่หลัวลั่วชิงจะอยากเห็นมันเลย ต่อให้เธออยากได้เครื่องรางนี้ จางเซวียนก็จะมอบให้เธอโดยไม่ลังเล



ตอนที่ 1699 เข้าสู่อาณาเขตรอบนอกของวิหารแห่งขงจื๊อ

หลัวลั่วชิงรับเครื่องรางลำดับแรกมาและใช้ปลายนิ้วลูบมันอย่างแผ่วเบา ครู่ต่อมาก็ยื่นมันคืนให้จางเซวียน


“ทำไมคุณไม่รับมันไว้ล่ะ? ผมรอคุณที่ทางเข้าวิหารแห่งขงจื๊อก็ได้ แล้วเราสองคนก็เข้าไปด้วยกัน” จางเซวียนเสนอพร้อมกับยิ้มให้


เขาไม่คิดจะแยกจากหลัวลั่วชิงที่วิหารแห่งขงจื๊อ และไว้ใจเธอด้วย ดังนั้น ใครจะถือเครื่องรางลำดับแรกไว้ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ


“ไม่ต้องหรอก ถ้าได้ไปกับคุณก็ดี ฉันแค่อยากดูมันเท่านั้น” หลัวลั่วชิงส่ายหน้าขณะยื่นเครื่องรางและสร้อยเส้นนั้นให้


“อย่างนั้นก็ได้…คงจะดีถ้าเราสามารถใช้ตราหยกสื่อสารหลังจากที่เข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อแล้ว แต่ถ้าเราติดต่อกันไม่ได้ ก็พบกันที่ทางเข้าห้องโถงลำดับแรกก็แล้วกัน ผมจะรอคุณอยู่ที่นั่น” จางเซวียนพูด


“ได้สิ” หลัวลั่วชิงพยักหน้าพร้อมกับยิ้มน้อยๆ


ทั้งคู่เดินฝ่าฝูงชนคลาคล่ำพร้อมกับสนทนาเรื่องสัพเพเหระ จางเซวียนอดหวนนึกถึงวันที่เขาสารภาพรักกับเธอที่เมืองหลวงต้นเพลิงไม่ได้ ในตอนนั้น ราวกับโลกทั้งโลกหมดความสำคัญไป เพียงแค่มีเธออยู่ข้างกายเขา มันเป็นความรู้สึกสงบสุขและอิ่มใจอย่างที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน


เขาไม่รู้ว่าเธอรู้สึกกับเขาอย่างไร แต่เธอให้ความรู้สึกสนิทสนมและคุ้นเคยกับเขามาก เขารู้ดีว่ามันออกจะไม่ค่อยมีเหตุผลที่จะคิดแบบนี้ แต่ก็ดูราวกับว่าโชคชะตาของทั้งคู่ถูกผูกไว้ด้วยกัน การได้อยู่ข้างเธอเหมือนเป็นสิ่งที่เป็นธรรมชาติที่สุดสำหรับเขา จนถึงขนาดที่เขาไม่อาจเข้าใจโลกนี้อีกต่อไปหากไม่มีเธอ


ช่วงเวลาที่ใช้กับผู้เป็นที่รักนั้นโบยบินอย่างรวดเร็วเสมอ ยังไม่ทันจะรู้ตัว หนึ่งวันก็ผ่านไป


ทั้งคู่กลับสู่ที่พัก


จางเซวียนกำลังจะร่ำลาหลัวลั่วชิง ก็พอดีกับที่พื้นดินสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างกะทันหัน แรงกดดันมหาศาลแผ่ลงมาทั่วเมืองชูฝู่ อาคารโบร่ำโบราณที่ก่อสร้างขึ้นเป็นเมืองนั้นถูกแรงกดดันกระแทก จนพังทลายไปหลังแล้วหลังเล่า


“เกิดอะไรขึ้น?” จางเซวียนชะงัก


นี่คือเมืองที่ปรมาจารย์ขงเคยพักอยู่ชั่วระยะหนึ่งในชีวิตของเขา มันจึงเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ แม้แต่ปูชนียสถานนักปราชญ์ก็ยังไม่เคยเผชิญกับแผ่นดินไหวมาก่อน แล้วทำไมชูฝู่ถึงเกิดการสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างกะทันหันแบบนี้?


หลัวลั่วชิงเงยหน้าขึ้นขณะพูดอย่างเคร่งเครียด “วิหารแห่งขงจื๊อกำลังจะเปิด!”


ได้ยินคำนั้น จางเซวียนรีบเงยหน้ามองท้องฟ้า ดวงอาทิตย์ดวงที่ 2 ที่อยู่กลางอากาศดูเหมือนจะกระพริบไม่หยุด เป็นสัญญาณบ่งบอกว่ากำลังจะมีบางอย่างเกิดขึ้นเร็วๆนี้


จากนั้น รังสีที่มีสีสันหลากหลายก็แผ่ลงมาโอบล้อมชูฝู่ สร้างเส้นทางที่เชื่อมระหว่างโลกทั้งสอง ยิ่งรังสีแผ่ลงมามากขึ้นเท่าไหร่ แรงกดดันที่โถมทับเข้าใส่พื้นดินก็ดูจะรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น


“แบบนี้ไม่ดีแน่…”


เมื่อรู้สึกได้ถึงอันตรายจากแรงกดดันที่หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ บรรดานักรบที่ยังไม่ได้สำเร็จวรยุทธขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ต่างรีบนำเครื่องรางและของล้ำค่าออกมาเพื่อคุ้มกันตัวเอง


แม้แต่จางเซวียนก็ขนลุกขนชันไปทั่วทั้งร่างเพราะแรงกดดันนั้น เขารีบขับเคลื่อนพลังปราณเพื่อขับไล่พละกำลังมหาศาลที่กำลังโถมเข้าใส่


ครืดดดดด!


เกิดรอยแยกบนพื้นดิน พลังจิตวิญญาณที่อยู่โดยรอบก่อตัวขึ้นเป็นพายุทอร์นาโดขนาดใหญ่ที่กวาดทุกสิ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า


ท่ามกลางเสียงคำรามและเสียงหวีดหวิวรอบตัว จางเซวียนรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่มือของเขา-หลัวลั่วชิง


เธอมีสีหน้าบางอย่างที่จางเซวียนไม่เคยเห็นมาก่อน


“จางเซวียน ถ้าฉันปิดบางอย่างไว้จากคุณ…คุณจะเกลียดฉันไหม?”


จางเซวียนไม่เข้าใจว่าทำไมหลัวลั่วชิงถึงตั้งคำถามปุบปับขึ้นมาในเวลาแบบนี้ เขาตอบว่า “ไม่มีวันหรอก ผมรู้ว่าคุณมีความจำเป็นที่จะต้องปกปิดความลับบางอย่างไว้จากผม และผมก็เข้าใจ ผมจะรอจนถึงวันที่คุณเต็มใจพูด…”


“ถ้า…แล้วถ้าฉัน…”


หลัวลั่วชิงยังพูดไม่ทันจบ เสียงระเบิดดังสนั่นก็ดังขึ้นจากท้องฟ้า จากนั้น ทั้งเมืองชูฝู่ก็เจิดจ้าไปด้วยลำแสงสีขาว


“ลั่วชิง!”


ภาพตรงหน้าจางเซวียนพร่าเลือนไปชั่วขณะ ความรู้สึกอบอุ่นที่มือของเขาหายวับไป เขาเห็นโลกรอบตัวหมุนติ้ว ก่อนจะหน้ามืดและสลบ


…..


เมื่อจางเซวียนลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขาก็มาอยู่ท่ามกลางสันเขาขนาดใหญ่ รอบตัวมีแต่ต้นหญ้าสูงที่ดูเหมือนจะทอดตัวยาวไปสุดขอบฟ้า


“ลั่วชิง!”


จางเซวียนรีบลุกขึ้นยืนและสำรวจพื้นที่โดยรอบ แต่ก็ไม่มีใครให้เห็น


ถึงเขาจะตกตะลึงไปชั่วขณะ แต่ก็นึกได้ในทันที


ดูเหมือนวิหารแห่งขงจื๊อเปิดออกแล้ว และเราก็ถูกส่งทะลุมิติเข้ามาแบบสุ่ม…


เมื่อครู่นี้เองที่เขายังอยู่ในที่พักของตระกูลจางที่ชูฝู่ แต่ในชั่วพริบตา ก็มาอยู่ท่ามกลางสันเขา ตอนนี้ สาวน้อยที่เคยจับมือกับเขาไว้แน่นก็หายตัวไปด้วย ชัดเจนว่าเขาถูกส่งทะลุมิติเข้ามาด้วยพละกำลังอันน่าทึ่งบางอย่าง


ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันต้องเป็นผลงานของวิหารแห่งขงจื๊อ


ทุกคนที่เข้ามาที่ชูฝู่จะถูกส่งทะลุมิติเข้ามาแบบสุ่ม โดยมีจุดหมายที่อาณาเขตของวิหารแห่งขงจื๊อ เมื่อรู้ว่าพวกเขาแค่ถูกส่งทะลุมิติเข้ามายังตำแหน่งที่ต่างกันเท่านั้น สุดท้ายจางเซวียนก็ระงับสติอารมณ์ได้ เขาปลดปล่อยการรับรู้จิตวิญญาณออกมาเพื่อสัมผัสพื้นที่โดยรอบ สุดท้ายก็พยักหน้า


‘สภาวะครูบาอาจารย์’ ในบริเวณนี้เข้มข้นกว่าที่ชูฝู่มาก


ไม่น่าแปลกใจที่ทุกคนอยากเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อเพื่อค้นหา ‘ส้มหล่น’ อย่าว่าแต่สิ่งอื่นเลย ลำพังแค่สภาวะครูบาอาจารย์ก็เข้มข้นกว่าที่ชูฝู่แล้ว ปรมาจารย์ที่ได้ฝึกฝนวรยุทธที่นี่จะพบว่าระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของเขาเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วมาก


พลังจิตวิญญาณบริเวณนี้ก็เข้มข้นมากเช่นกัน เราไม่เคยเห็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่มีอะไรดีๆขนาดนี้มาก่อน!


การที่ ‘สภาวะครูบาอาจารย์’ จะเข้มข้นกว่าที่ชูฝู่ก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่แม้แต่พลังจิตวิญญาณก็ยังเข้มข้นจนถึงขนาดที่แทบจะจับต้องได้ แม้ไม่ใช้หินวิเศษขั้นสูงสุด นักรบผู้หนึ่งก็สามารถยกระดับวรยุทธอย่างรวดเร็วเมื่อได้ฝึกฝนที่นี่


จางเซวียนรู้ดีว่าตัวเขามาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ต่างออกไป จึงรีบตรวจสอบสภาวะร่างกายของเขา และหลังจากแน่ใจแล้วว่าประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาไม่ได้ลดลงเมื่ออยู่ในวิหารแห่งขงจื๊อ ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก


จากนั้น จางเซวียนก็สะบัดข้อมือและนำตราหยกสื่อสารออกมา เขาพยายามเปิดใช้งานมัน แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อพบว่าไม่อาจติดต่อใครได้เลย


เป็นอย่างที่คาดการณ์ไว้ ไม่มีทางใช้ตราหยกสื่อสารได้ในอาณาเขตของวิหารแห่งขงจื๊อ ดูเหมือนจะมีปราการบางอย่างปิดกั้นอยู่โดยรอบเพื่อกีดกันการสื่อสารทุกรูปแบบ


จากนั้น เขาก็ชักหอกสวรรค์กระดูกมังกรออกมาและจ้วงแทงมิติที่อยู่ตรงหน้า มิตินั้นสั่นสะท้านเล็กน้อย แต่ก็ไม่ปรากฎรอยแยกแห่งมิติ


ดูเหมือนเราจะใช้การกระโจนผ่านมิติไม่ได้เหมือนกัน


ถ้าเขาเปิดรอยแยกแห่งมิติไม่ได้ ก็ไม่มีทางสร้างเส้นทางแห่งมิติและก้าวออกจากพื้นที่นี้ไปยังพื้นที่อื่น


ดูเหมือนเราจะสำแดงศิลปะการข้ามสิ่งกีดขวางไม่ได้ด้วย…จางเซวียนถอนหายใจเฮือก นั่นหมายความว่าค่ายกลทะลุมิติก็ไม่ทำงานในพื้นที่นี้เช่นกัน!


ช่างน่าทึ่งที่มิติในวิหารแห่งขงจื๊อแข็งแกร่งยิ่งกว่าทวีปแห่งปรมาจารย์เสียอีก ขนาดระดับวรยุทธของเขาเพิ่มสูงขึ้นมากแล้ว เขาก็ยังเปิดรอยแยกแห่งมิติไม่ได้


ขอลองบินดูหน่อย…


จางเซวียนกระโจนขึ้นสู่กลางอากาศและพยายามพุ่งขึ้นไปให้สูงที่สุดเพื่อจะมองพื้นที่ด้านล่างจากมุมสูง แต่ยิ่งกระโจนขึ้นไปสูงขึ้นเท่าไหร่ แรงกดดันมหาศาลที่โถมทับเขาก็ดูจะหนักหน่วงขึ้น ราวกับมีใครสักคนโถมตัวเข้าใส่เขาอย่างรุนแรง


จางเซวียนขับเคลื่อนพลังปราณอย่างดุเดือดและทำได้เพียงพุ่งตัวขึ้นไปถึงยอดไม้ ก่อนจะพ่ายแพ้ให้กับแรงกดดันนั้น


พลั่ก!


เขาตกตุ้บลงมาที่พื้น เกิดหลุมขนาดใหญ่อยู่ใต้ร่างของเขา


จางเซวียนมีสีหน้าประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัดขณะที่ปัดฝุ่นออกจากร่างกาย


มิติที่อยู่ในอาณาจักรโบร่ำโบราณนั้นมีความหนาแน่นกว่ามิติของทวีปแห่งปรมาจารย์มาก ทำให้ การบินและการหลบหนีเป็นไปได้ยาก ต่อให้มีประสิทธิภาพระดับเขา ก็ทำได้แค่พุ่งขึ้นสู่ยอดไม้ก่อนจะร่วงลงมากองกับพื้น ดูเหมือนนักรบคนอื่นๆคงจะย่ำแย่กว่าเขามาก


จางเซวียนวางแผนว่าจะสำรวจพื้นที่อย่างรวดเร็วและหาตำแหน่งที่ตั้งของห้องโถงบริวารและห้องโถงลำดับแรก แต่เท่าที่เห็น ดูเหมือนปรมาจารย์ขงจะได้วางมาตรการป้องกันไว้แล้วเพื่อให้บททดสอบครั้งนี้ไม่ง่ายดายจนเกินไป


แต่จางเซวียนก็ไม่ยอมแพ้ เขาสำรวจพื้นที่โดยรอบโดยใช้ดวงตาหยั่งรู้


ในเมื่อมี ‘สภาวะครูบาอาจารย์’ อบอวลอยู่ในอากาศ ก็เป็นไปได้ว่าห้องโถงลำดับแรกน่าจะอยู่ในบริเวณที่สภาวะครูบาอาจารย์มีความเข้มข้นมากที่สุด ดังนั้น ตราบใดที่เขาติดตามสภาวะครูบาอาจารย์อันเข้มข้นไป ก็น่าจะถึงบริเวณศูนย์กลางได้อย่างรวดเร็ว


แต่ไม่ช้า หลังจากที่กวาดสายตาไปทั่วพื้นที่ จางเซวียนก็มีสีหน้าเคร่งเครียด


เป็นความจริงที่ว่า ‘สภาวะครูบาอาจารย์’ อบอวลไปทั่วพื้นที่ แต่เขาก็ต้องประหลาดใจที่พบว่ามันไม่มีความเหลื่อมล้ำของความเข้มข้นเลย ความเข้มข้นของสภาวะครูบาอาจารย์แผ่ไปทั่วด้วยความเข้มข้นเท่าๆกัน


หรือพูดอีกอย่างก็คือ เขาไม่อาจใช้ประโยชน์จากความเข้มข้นนี้เพื่อค้นหาห้องโถงบริวารและห้องโถงลำดับแรก!


ฮึ่มมม! ถ้าปรมาจารย์ขงคิดว่าจะยับยั้งเราได้ด้วยสิ่งนี้ล่ะก็ เราจะยอมทิ้งหอสมุดเทียบฟ้าเลย! จางเซวียนคำรามขณะนำหนังสือออกมา


หากเป็นนักรบคนอื่น คงจะยอมแพ้และเดินตระเวนท่องไปอย่างไร้จุดหมายจนกว่าจะพบเส้นทางที่พอจะเป็นไปได้ แต่นั่นไม่ใช่กับจางเซวียน เขายังมีไม้ตายชิ้นสุดท้ายอยู่ คือหอสมุดเทียบฟ้า! เมื่อครั้งที่เขาอยู่ในอาณาจักรโบร่ำโบราณของนักปราชญ์หรันชิว ก็ใช้หอสมุดเทียบฟ้าค้นหาตำแหน่งของหอกสวรรค์กระดูกมังกรได้โดยปราศจากปัญหาใดๆ ซึ่งคราวนี้เขาก็น่าจะทำได้เช่นกัน!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)