คัมภีร์วิถีเซียน 1692-1694
ตอนที่ 1692 ผลึกเงา
เห็นได้ชัดว่าประจุไฟฟ้าเหล่านั้นมีอานุภาพไม่น้อย เมื่อปล่อยให้เปลวเพลิงสีเขียวแผดเผาก็แค่กะพริบวาบๆ เท่านั้น ไม่ได้เคลื่อนไหวเลยสักนิด
หลังจากที่เงากรงเล็บยักษ์ข้างหนึ่งยืนกรานอย่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน เห็นได้ชัดว่าไม่ด้อยไปกว่ากรงล้อหกชิ้นด้านล่างที่กลายเป็นจานยักษ์สีเงิน ในที่สุดก็แตกออกเป็นชิ้นๆ กลางลำแสงสีเงินแล้วสลายหายไป
เมื่อไม่มีจานยักษ์มาขวาง เสียงหึ่งๆ ดังขึ้น พุ่งตรงไปสับที่หัวของหุ่นเชิด
ยังไม่ทันได้ร่อนลงมา ด้านล่างพลันมีลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบแล้วบิดเบี้ยว ระลอกคลื่นประหลาดๆ แผ่ออกมาราวกับว่าถูกสับออกอย่างไรอย่างนั้น
หุ่นเชิดวิหคอัสนีเห็นเช่นนั้นพลันอ้าปากออก
พ่นประจุไฟฟ้าสีเขียวราวกับท่อน้ำออกมา คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นมังกรวารีสีเขียวตัวหนึ่ง อ้าปากตะปบเล็บกระโจนเข้ามา โจมตีไปที่จานทรงกลมอย่างแรง
หลังจากเสียง “ปัง” ดังขึ้น ลำแสงสีเงินและประจุไฟฟ้าสีเขียวก็ตัดสลับกันไปมา
ชั่วขณะนั้นจานทรงกลมสีเงินพลันหมุนติ้วๆ รอบกายสั่นเทาเปล่งเสียงครืนๆ ออกมา ผิวของมันมีรอยแยกสองสามสายปรากฏขึ้น
จากนั้นลำแสงพลันเปล่งแสงวาววาบ กลายเป็นกรงล้อหกชิ้นอีกครั้ง พลางร่วงกลับไปมาชนต่างเผ่าตัวเตี้ยทั้งหกอีกครั้ง
จากนั้นประจุไฟฟ้าบนร่างของวิหคอัสนีก็ขยายออกอีกครั้ง ร่างกายเปล่งเสียงหึ่งๆ กลายเป็นประจุไฟฟ้าลำแสงสายหนึ่งหายวับไปจากที่เดิม
ครู่ต่อมารถศึกทั้งสามครั้งพลันเปล่งแสงสว่างวาบ เงาร่างวิหคอัสนีปรากฏขึ้น จากนั้นก็กระพือปีกทั้งสอง ชั่วขณะนั้นพลันมีพายุน่าสะอิดสะเอียนโชยเข้ามาด้วย
ชนต่างเผ่าร่างแคระแกร็นทั้งหกยกมือขึ้นพร้อมกัน มือข้างหนึ่งกดลงไปบนร่างของหุ่นเชิดเกราะสีเขียวตรงหน้าอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า
แววตาของหุ่นเชิดสามตัวเปล่งประกายวาวโรจน์ ผิวมีลำแสงสีเขียวแผ่ออกมา ร่างกายขยายใหญ่ขึ้น
ชั่วพริบตานั้นหุ่นเชิดหน้ากากก็ร่อนลงมา ร่างกายสูงสิบจั้งเศษ กลายเป็นปีศาจยักษ์หน้าเขียวมีเขี้ยวสามตัว
กรงเล็บปีศาจอันใหญ่โตทั้งหกโบกสะบัดไปกลางอากาศพร้อมกัน กรงเล็บลำแสงสีดำเขียวสิบกว่าสายเปล่งแสงสว่างวาบแล้วปรากฏขึ้น พลางโจมตีไปยังวิหคอัสนี
จากนั้นมือหนึ่งของปีศาจก็ตะปบไปทางแผ่นหลังอีกครั้ง
ทวนสั้นสีเงินสิบสองเล่มที่ขยายใหญ่ขึ้นเช่นกันพลันกลายเป็นเสาสีเงินสิบสองสายเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป
ชั่วขณะนั้นกลางอากาศพลันมีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น!
วิหคอัสนีเห็นเช่นนั้นกลับอ้าปากออกด้วยสีหน้าราบเรียบ พ่นประจุไฟฟ้าสีเขียวออกมาอีกครั้ง กรงเล็บข้างหนึ่งกดลงไป พลังมหาศาลไร้รูปร่างแผ่ลงมา
ชนต่างเผ่าร่างกายแคระแกร็นทั้งหกชักแขนกลับมา ในยามนั้นปากพลันบริกรรมคาถา ร่างกายขยายใหญ่ขึ้นสองสามเท่าเช่นกัน
จากนั้นสมบัติหลากหลายสิบกว่าชิ้นพลันบินออกมาจากร่างของพวกมัน กลายเป็นไอสมบัติเป็นสายๆ เข้าร่วมการโจมตี
เสียงระเบิดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ระลอกคลื่นหมุนวนแล้วแผ่ออกไป ลำแสงต่างๆ เจิดจ้าจนแสบตา ทำให้ผู้คนแทบจะไม่อาจสบตาตรงๆ ได้
การต่อสู้ฉากนี้กินเวลาต่อเนื่องไปหนึ่งชั่วยาม
เมื่อเสียงระเบิดหยุดลง ในที่สุดลำแสงวิญญาณก็หม่นแสงลง
หุ่นเชิดวิหคอัสนีพาร่างกายที่เหลือเพียงครึ่งหนึ่งร่อนลงมาจากกลางอากาศ แล้วร่วงลงสู่ซากปรักหักพังพลางหายลับไป
รถศึกสามคันและหุ่นเชิดเกราะสีเขียวที่ฟื้นฟูรูปร่างกลับมาเป็นเหมือนเดิมซึ่งลอยอยู่กลางอากาศก็ได้รับบาดเจ็บหนักเช่นกัน แม้กระทั่งตรงหน้าอกของหุ่นเชิดตัวหนึ่งยังมีรูขนาดเท่าปากชามเพิ่มขึ้นมารูหนึ่งทะลุผ่านทรวงอกไป
หากไม่ใช่เพราะเป็นร่างของหุ่นเชิด อาการบาดเจ็บระดับนี้หากอยู่บนร่างของชนต่างเผ่าธรรมดาๆ คนหนึ่งก็คงเพลี่ยงพล้ำไปแล้ว
ส่วนร่างของชนต่างเผ่าทั้งหกนั้นก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าใดนัก
ไม่ใช่แค่สมบัติสิบสองชิ้นที่ลอยโคจรอยู่รอบด้านพวกเขาถูกทำลายไปกว่าครึ่ง เกราะสงครามที่สวมอยู่บนร่างของพวกเขาก็ไหม้เกรียม แม้กระทั่งเป็นรูโหว่อยู่หลายจุด แทบจะตกอยู่ในสภาพเสียหายยับเยิน
กลับเป็นอสูรประหลาดรูปร่างคล้ายควายหกตัวนั้นที่ไร้ซึ่งอาการบาดเจ็บ แต่ปากก็ยังพ่นไอสีขาวออกมา เปียกชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อ
โดยรวมแล้วการต่อสู้ของวิหคอัสนีและหุ่นเชิดครั้งนี้ ชนต่างเผ่าทั้งหกได้รับชัยชนะในท้ายที่สุด แต่ก็เสียหายไปไม่น้อยเช่นกัน
ทว่าชนต่างเผ่าทั้งหกเห็นหุ่นเชิดวิหคอัสนีร่วงลงมากลับเผยสีหน้ายินดีออกมา ทันใดนั้นก็กระตุ้นรถศึกอีกครั้ง พลางพุ่งลงไปด้านล่าง
ในยามนั้นเองเสียงเย็นชาพลันดังขึ้นจากเมฆหมอกที่อยู่ไม่ไกลนัก
“เยี่ยม เยี่ยมมาก สหายเผ่านักปราชญ์ทมิฬกำจัดหุ่นเชิดตัวนี้ได้ก็ช่วยประหยัดแรงของพวกเราได้มาก”
สิ้นเสียงพลันมีแสงเจิดจ้าปรากฏขึ้นกลางเมฆหมอก เงาร่างคนสวมชุดแตกต่างกันสิบกว่าคนปรากฏขึ้น
ผู้ที่เป็นผู้นำสวมชุดคลุมยาวสีเหลือง ดูจากใบหน้าแล้วมีอายุไม่เกินยี่สิบปีเศษ แต่ตรงหน้าผากกลับมีเขาสีทองงอกออกมาสามเขา เปล่งแสงระยิบระยับ สะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง
ด้านหลังของเขามีบุรุษสตรีชายชราเด็กทารกยืนเรียงแถวกันอยู่สิบกว่าคน ล้วนมีเขาอยู่บนศีรษะเช่นกัน แต่สีสันและรูปร่างพลันแตกต่างกันไป
เมื่อเห็นสิบกว่าคนนี้ ชั่วขณะนั้นใบหน้าของชนต่างเผ่าร่างกายแคระแกร็นทั้งหกคนก็ดูไม่ได้ หนึ่งในนั้นที่ดูเหมือนหัวหน้าของชนต่างเผ่าร่างกายแคระแกร็นเปล่งเสียงแหบพร่าที่ฟังไม่ได้ศัพท์ออกมา
“เผ่าแมลงมีเขา! พวกเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร หรือว่าสะกดรอยตามพวกเรามา?”
“สะกดรอยตาม! ก็คู่ควรอยู่! ทว่าในเมื่อพวกเราพบที่นี่แล้ว ก็อย่าคิดจะเอาชีวิตรอดจากไปเลย ลงมือ ส่งพวกมันไป” ชายหนุ่มเขาสีทองที่เป็นผู้นำหัวเราะอย่างเย็นชาออกมา สุดท้ายกลับออกคำสั่งกับสหายร่วมวิถีด้านหลัง
ชาวเผ่าแมลงมีเขาที่อยู่ด้านหลังสิบกว่าคนเปล่งเสียงตอบรับพร้อมกัน จากนั้นก็กลายเป็นลำแสงหลีกหนี คาดไม่ถึงว่าล้อมเข้ามาเป็นรูปพัด
“ไป”
นักปราชญ์ทมิฬทั้งหกย่อมหน้าเปลี่ยนสี ผู้ที่เป็นผู้นำจึงร้องตะโกนออกมาด้วยความตกตะลึงระคนโกรธขึ้ง
ใต้ฝ่าเท้าของควายทั้งหกตัวมีพลังพายุเพลิงปรากฏขึ้น แล้วพุ่งทะยานออกไป รถศึกทั้งสามคันกลายเป็นลำแสงสีเขียวสามกลุ่ม พุ่งตรงไปอีกด้าน
ท่ามกลางแสงสีเขียวนั้นพลันมีประจุไฟฟ้าเปล่งแสงเรืองๆ และส่งเสียงอึกทึกดังมา ความเร็วน่าตกตะลึง
ทว่าชาวเผ่าแมลงมีเขาเหล่านั้นกลับมีอิทธิฤทธิ์ที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่า
ในบรรดาสิบกว่าคนนั้น บ้างก็เปล่งแสงสว่างวาบ กลายเป็นสายรุ้งเจิดจ้าสายหนึ่ง บ้างก็ร่ายอาคมร่างกายพลิ้วไหวหายวับไปจากที่เดิม
และยังมีคนที่สะบัดแขนเสื้อ ชั่วขณะนั้นอสูรวิญญาณตัวหนึ่งและสมบัติเหาะเหินพลันบินออกมา ร่างกายพลิ้วไหวยืนอยู่บนนั้น ไล่ตามไปด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ
ชายหนุ่มเขาสีทองผู้นั้นกลับเอามือไพล่หลังลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ ราวกับว่ามั่นใจในตัวผู้อื่นเต็มเปี่ยม
มิน่าล่ะเขาถึงได้มั่นใจเช่นนี้
แม้ว่านักปราชญ์ทมิฬจะเป็นเผ่าที่มีขนาดไม่เล็กในแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนี แต่คนของเผ่านี้กลับไม่เชี่ยวชาญเรื่องเคล็ดวิชาเหาะเหิน ปกติแล้วหากต่อสู้กันก็ทำได้เพียงอาศัยรถวายุต่างๆ ที่หลอมขึ้นต่อสู้กับผู้อื่น
หากเป็นเวลาปกติหรือยามที่ต่อสู้กับผู้คนแล้วเป็นฝ่ายเหนือกว่านั้น ช่องโหว่เช่นนี้ก็ไม่ได้ถือว่าใหญ่มากมายนัก
แต่ยามนี้ชนต่างเผ่าร่างกายแคระแกร็นทั้งหกเพิ่งจะจบการต่อสู้ที่ยากลำบากไป ศัตรูแข็งแกร่งก็ปรากฏตัวขึ้นใหม่ทันที และยิ่งไปกว่านั้นเห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่เวลาที่พวกเขาจะต่อสู้กัน แน่นอนว่าย่อมกลายเป็นจุดอ่อนที่ถึงชีวิต
ผลคือเมื่อทุกอย่างเกิดขึ้น ก็ไม่ต่างจากที่เขาคิดเอาไว้มากนัก รถศึกทั้งสามคนแค่บินไปได้สิบจั้งเศษ เบื้องหน้าก็มีลำแสงวิญญาณสองสามกลุ่มระเบิดออก เงาร่างคนสองสามสายเปล่งแสงสว่างวาบแล้วปรากฏขึ้น
นั่นก็คือชนเผ่าแมลงมีเขาสองสามคนที่สำแดงเคล็ดวิชาเคลื่อนย้ายแล้วหายวับไปกับอากาศ
พวกเขาล้วนชูมือขึ้นโดยไม่ได้ปริปาก ชั่วขณะนั้นเพลิงอัสนีจำนวนมากก็ทะลักออกมา ทุบไปบนรถศึกสามคัน
แม้ว่าควายหกตัวที่ควบคุมรถม้าจะโหดเหี้ยมมาก แต่ก็อดที่จะหยุดชะงักเท้าทั้งสี่ไม่ได้ ปากก็พ่นเปลวเพลิงสีเขียวออกมาต้านทานการโจมตีกลางอากาศ
ส่วนชั่วเวลาที่ล่าช้าไปนั้น คนที่เหลือสิบกว่าคนด้านหลังก็ควบคุมอสูรวิญญาณและสมบัติต่างๆ บินมา ชั่วครู่ก็มาปรากฏตัวล้อมรถศึกทั้งสามคันเอาไว้
สมบัติต่างๆ “กระบี่” “ขวาน” “ไม้เท้า” ปรากฏขึ้น บินออกมาจากร่างของชนเผ่าแมลงมีเขาพร้อมกัน กลายเป็นหมอกลำแสงหลากสีสันห่อหุ้มลงมา
นักปราชญ์ทมิฬหกคนบนรถศึกเห็นสถานการณ์เช่นนั้น แววตาก็เผยสีหน้าสิ้นหวังออกมา แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น ก็ไม่กล้ายืนนิ่งรอความตาย
ทั้งหกคนพลันร้องตะโกน มือหนึ่งตรงไปบนชุดเกราะสีเขียวที่เต็มไปด้วยความเสียหาย หลังจากที่ทำให้พวกมันกลายร่างเป็นปีศาจยักษ์อีกครั้ง มือพลันร่ายอาคม ร่างกายขยายใหญ่ขึ้นอีกครั้ง กรงล้อสีเงินที่แผ่นหลังบินออกมา และพลิ้วไหวกลายเป็นจันทร์ทรงกลดสีเงินนับร้อยนับพันดวง พลางพุ่งออกมาทั้งสี่ทิศแปดด้านพร้อมกัน
นักปราชญ์ทมิฬหกคนเกิดความคิดพยายามอย่างสุดชีวิต ยามนั้นพลันต่อสู้กับชนเผ่าแมลงมีเขาสิบกว่าคนจนแยกแยะไม่ออก
ทว่าไม่ว่าชนต่างเผ่าหรือว่าชนต่างเผ่าร่างแคระแกร็นก็รู้ดีว่า สถานการณ์เช่นนี้เป็นแค่การเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่เท่านั้น เมื่อนักปราชญ์ทมิฬสองสามตนสูญเสียพลังปราณไปจนหมด ก็ถึงเวลาฝังศพของพวกเขา
แต่ชนต่างเผ่าเหล่านี้ รวมทั้งชายหนุ่มเขาสีทองคนหนึ่งล้วนไม่รู้ว่า
คาดไม่ถึงว่านอกจากพวกเขาสองคนเผ่าแล้วที่นี่ยังมีบุคคลที่สามที่อยู่ห่างจากหอคอยผุพังไปสองสามร้อยลี้ กำลังใช้สมบัติประหลาดๆ ชิ้นหนึ่งจับจ้องมองทุกอย่าง
สมบัติชิ้นนี้คือผลึกวารีสีขาวโปร่งใส แต่ผิวของมันมีภาพวาดเปล่งแสงเรืองๆ นั่นก็คือภาพการต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายของเผ่าแมลงมีเขาสิบกว่าคนและเผ่าปราชญ์ทมิฬหกคน
แต่แค่มองอยู่ไกลๆ ราวกับว่ากำลังรับชมทุกอย่างห่างออกไปสิบลี้เศษ
ตรงหน้าผลึกวารีมีคนนั่งสมาธิอยู่สองคน คนหนึ่งมีสีหน้าราบเรียบ คนหนึ่งมีสีหน้าตกตะลึงระคนสงสัยไม่แน่นอน
“นี่มันเรื่องอันใดกัน เผ่าแมลงมีเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร หรือว่ามาเพื่อเขตอาคมซากปรักหักพังเช่นกัน” ผู้ที่มีสีหน้าตกตะลึงระคนสงสัย มีรูปร่างอรชนอ้อนแอ้น สวมงอบสีขาวบนศีรษะ นั่นก็คือหลิวสุ่ยเอ๋อร์
คำพูดเมื่อครู่ของหญิงสาวผู้นี้เบาจนแทบจะไม่ได้ยิน แต่เห็นได้ชัดว่ากำลังถามคนข้างกาย
อีกคนหนึ่งที่ดูยังหนุ่มยังแน่น สวมชุดคลุมสีเขียว แต่ใบหน้าธรรมดาสามัญ นั่นก็คือหานลี่
แม้ว่าหานลี่จะมีสีหน้าราบเรียบ แต่กลับมองภาพวาดในผลึกวารีด้วยดวงตาที่ไม่กะพริบ เมื่อได้ยินคำนี้ มุมปากก็กระตุกเล็กน้อย แล้วตอบกลับอย่างราบเรียบ
“เซียนหลิวไม่ต้องกังวลนัก ซากปรักหักพังนี้กว้างใหญ่มาก จะไปบังเอิญมีเป้าหมายเดียวกันกับพวกเราได้อย่างไร และยิ่งไปกว่านั้นตำแหน่งของพวกเราในยามนี้ก็อยู่ห่างจากเขตต้องห้ามไปสองสามหมื่นลี้ หากคนเหล่านี้มีเป้าหมายเดียวกันกับพวกเราจริงๆ จะไปสู้กับนักปราชญ์ทมิฬเหล่านั้นได้อย่างไร ทว่าการเคลื่อนไหวหลังจากนี้ต้องระมัดระวังให้มาก อย่าให้คนเผ่าแมลงมีเขาเหล่านี้พบพวกเรา”
“พี่หานพูดมีเหตุผล น้องหญิงวางใจแล้ว พวกเราเปลี่ยนที่ซ่อนตัวกันก่อนเถิด อยู่ให้ห่างจากเผ่าแมลงมีเขาสักหน่อย จากนั้นก็รอให้สหายสือมาถึงที่นี่ แล้วค่อยร่วมแรงกันทลายเขตอาคมต้องห้าม” หลิวสุ่ยเอ๋อร์ขบคิดเล็กน้อย แล้วเอ่ยแนะนำเช่นนี้ออกมา
“อืม เช่นนี้ก็ได้ ทว่าก่อนหน้านี้ต้องรู้แผนการของเผ่าแมลงมีเขาเหล่านั้นก่อน เดิมเรื่องนี้ก็ยากเย็นมาก แต่คาดไม่ถึงว่าอาวุโสไฉ่จะให้เซียนผู้นี้ยืมผลึกที่มีชื่อเสียงมากในเผ่าผลึกอย่าง ‘ผลึกเงา’ เช่นนั้นก็สามารถดูแผนการของชนเผ่าแมลงมีเขาที่อยู่ห่างออกไปพันลี้ได้อย่างง่ายดายแล้ว” หานลี่มองผลึกศิลา หลังจากลูบใต้คางแล้ว ก็เอ่ยอย่างแช่มช้าออกมา
“แม้ว่าผลึกเงานี้จะอำพรางกายได้เป็นอย่างดี แม้กระทั่งระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่อาจสัมผัสได้ แต่ก็ทำได้เพียงสะท้อนทิศทัศน์ธรรมดาๆ เท่านั้น หากอีกฝ่ายสำแดงเขตอาคมอันใดออกมาปกปิดการกระทำของตนเอง ผลึกเงานี้ก็จะไร้ซึ่งประสิทธิภาพเช่นกัน” หลิวสุ่ยเอ่อร์อดที่ขมวดคิ้วดำขลับไม่ได้
ตอนที่ 1693 ลำแสงเขียวไท่อี่
และไม่รู้ว่าบังเอิญหรือชายหนุ่มเขาสีทองผู้นั้นพบอันใดจริงๆ
สิ้นเสียงของหญิงสาวผู้นี้ ชายหนุ่มที่นิ่งงันไม่ขยับมาโดยตลอดพลันเงยหน้าขึ้นมองไปยังเบื้องบน จากนั้นก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้น บาตรกลมๆ สีดำพลันบินออกมา หมุนวนแล้วลอยอยู่กลางอากาศ
จากนั้นชายหนุ่มเผ่าแมลงมีเขาพลันบริกรรมคาถา นิ้วทั้งสิบร่ายไปทางบาตรทรงกลมอย่างต่อเนื่อง
อาคมหลากสีสันพุ่งออกมาเป็นสายๆ เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในบาตรทรงกลม
หลังจากที่บาตรทรงกลมเปล่งเสียงร้องยาวๆ ออกมา ผิวของมันเปล่งแสงสีดำ และขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว
ชั่วพริบตานั้นก็มีขนาดสิบจั้งเศษ ลอยอยู่กลางอากาศราวกับห้องห้องหนึ่ง
จากนั้นฝาก็บินออกมา ไอสีดำสนิทราวกับน้ำหมึกจำนวนนับไม่ถ้วนพลันทะลักออกมาจากบาตรทรงกลม และขยายไปทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้าน
ฉากยามค่ำคืนขยายใหญ่ขึ้น ปกคลุมท้องฟ้ากว่าครึ่งเอาไว้
ชั่วขณะนั้นผลึกวารีที่อยู่ตรงหน้าหานลี่และหลิวสุ่ยเอ๋อร์พลันกลายเป็นสีดำสนิท มองไม่เห็นสิ่งใดอีก
ทั้งสองพลันหน้าเปลี่ยนสี แต่ไม่รอให้ผู้ใดเอ่ยปาก ผลึกวารีก็เปล่งแสงสีดำสว่างวาบ ผิวภายนอกกลับมาเป็นเช่นเดิม ภาพวาดปรากฏขึ้นอีกครั้ง
เห็นเพียงทุกอย่างในภาพวาดก็ดูคล้ายคลึงกับก่อนหน้าเป็นอย่างมาก แม้กระทั่งเมฆสีขาวสองสามกลุ่มที่อยู่ไกลออกไปก็เหมือนกันทุกระเบียบนิ้ว แต่ชนเผ่าแมลงมีเขาและชายหนุ่มเขาสีทองที่เดิมกำลังลอยอยู่กลางอากาศกลับหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
แววตาของหลิวสุ่ยเอ๋อร์เปล่งประกาย ชี้นิ้วเรียวไปที่ผลึกวารี
ลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ ผิวของผลึกวารีเปลี่ยนไปอีกครั้ง คาดไม่ถึงว่าจะสะท้อนภาพฉากด้านล่างออกมา
ผลคือปรากฏขึ้นท่ามกลางพายุทรายสีเหลืองอีกครั้ง ไม่เห็นเงาของชาวเผ่าแมลงมีเขาอีกเช่นกัน
“ดูแล้วอีกฝ่ายคงสำแดงเคล็ดวิชาลวงตา ปิดบังการเคลื่อนไหวของตนเอง นอกเสียจากว่าจะฝืนควบคุมผลึกเงาให้พุ่งเข้าไปในเขตอาคม เช่นนั้นก็ทำอันใดไม่ได้ แต่เช่นนั้นร่องรอยของพวกเราสองคนก็จะต้องถูกเปิดเผยอย่างไม่ต้องสงสัย ช่างเป็นการได้ที่ไม่คุ้มเสียจริงๆ” หลิวสุ่ยเอ๋อร์ถอนหายใจออกมาเบาๆ เฮือกหนึ่ง
จากนั้นนางพลันสะบัดแขนเสื้อไปทางผลึกวารี ลำแสงผลึกวารีเปล่งแสงสว่างวาบ ไอหมอกสีขาวนวลปรากฏขึ้นเป็นสายๆ แล้วภาพวาดก็สลายตัวออกราวกับภาพลวงตา สุดท้ายก็กลายเป็นผลึกสีขาวนวลที่ดูธรรมดาๆ เม็ดหนึ่ง ถูกเก็บเข้าไปในแขนเสื้อ
“ช่างเถิด ในเมื่อคนเผ่าแมลงมีเขาระมัดระวังตัวเช่นนี้ พวกเราก็อย่าทำให้พวกเขารู้ตัวเลย แต่เช่นนั้นพวกเขาคงมีแผนการไม่น้อย ไม่รู้ว่าจะมีผลกระทบกับเรื่องของพวกเราหรือไม่?” หานลี่กลับเอ่ยพึมพำพร้อมกับครุ่นคิด
“สองสามหมื่นลี้ สำหรับพวกเรามันใช้เวลาเพียงชั่วครู่เท่านั้น มันหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ พี่หานมีแผนการดีๆ หรือไม่?” หลิวสุ่ยเอ๋อร์ใจหายวาบ แล้วเอ่ยถามอย่างแช่มช้า
“อีกฝ่ายมีจำนวนมากเกินไป และยิ่งไปกว่านั้นอิทธิฤทธิ์ก็ไม่ด้อยไปกว่าพวกเรา วิธีที่ดีที่สุดแน่นอนว่าย่อมไม่มี มีเพียงถึงยามนั้นต้องวางอาคมหลายชั้นขึ้นหน่อย จะได้ปกปิดระลอกคลื่นยามที่พวกเราทลายเขตอาคม นอกจากนี้แม้ว่าคนเผ่าแมลงมีเขาจะวางเคล็ดวิชาลวงตาอำพรางการเคลื่อนไหวของตนเอง พวกเราก็ทำอันใดแถวๆ เขตอาคมลวงตาได้ ส่งหุ่นเชิดไม่ก็อสูรวิญญาณไปจับตามอง หากพวกเขากระทำการใหญ่จริงๆ พวกเราก็จะได้ระวังตัวได้” หลังจากที่หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อย ก็เอ่ยเช่นนี้ออกมา
“มีเพียงต้องทำเช่นนั้น” หลิวสุ่ยเอ๋อร์เองก็ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่เช่นกัน และทำได้เพียงตอบรับอย่างจนปัญญา
“ในเมื่อเซียนเองก็ไม่ปฏิเสธ พวกเราก็เริ่มวางเขตอาคมกันเถิด ที่นี่ไม่ควรอยู่นาน รีบวางเขตอาคมกันเถิด” หานลี่เอ่ยอย่างไม่ต้องขบคิด
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ไม่ทราบว่าสหายสือจะมาถึงที่นี่เมื่อใด คงไม่เกิดปัญหาอันใดระหว่างทางหรอกนะ” หลิวสุ่ยเอ๋อร์พยักหน้าอย่างเคร่งขรึม แล้วเอ่ยด้วยท่าทางกังวลใจเล็กๆ
“ในเมื่อเราสองคนมาถึงที่นี่ได้อย่างราบรื่น จากอิทธิฤทธิ์ของพี่สือก็น่าจะไม่เป็นอันใด และยิ่งไปกว่านั้นยามนี้ยังไม่ถึงสองเดือน หากสหายสืออ้อมมาไกลหน่อย มาสายสักสองสามวันก็เป็นเรื่องปกติ” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา ดูเหมือนว่าจะเชื่อมั่นในตัวของสือคุนเต็มเปี่ยม
“หวังว่าจะเป็นเช่นกันกระมัง” หญิงสาวสวมงอบได้ฟังหานลี่กล่าวเช่นนั้น ย่อมไม่กล้าพูดอันใดที่กังวลใจอีก
หานลี่หัวเราะออกมา แล้วสะบัดแขนเสื้อ
ชั่วขณะนั้นเงาสีขาวสายหนึ่งพลันบินออกมา หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง ก็กลายเป็นหญิงสาวสวมชุดสีขาวท่ามกลางลำแสงสีขาวเย็นเยียบ ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบ
นั่นก็คือหุ่นเชิดสะท้านฟ้า ‘หวาหวา’
“ไป! จับตาดูคนเผ่าแมลงมีเขาเหล่านั้น ไม่ต้องลงมือกับพวกเขา ขอแค่มองพวกเขาอยู่ไกลๆ ก็พอแล้ว” หานลี่ออกคำสั่งอย่างราบเรียบ
‘หวาหวา’ ได้ยินคำนี้พลันแววตาเปล่งประกาย ค้อมตัวลงเล็กน้อย หมายจะพวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ แต่ภายใต้ความคิดของหานลี่ ก็ออกเสียงเรียกหญิงสาวผู้นั้น
“ช้าก่อน! เจ้าเอาสมบัติและยันต์วิเศษนี้ไปด้วย! จะได้ไม่กังวลว่าจะถูกพบ” หานลี่เอ่ยไปพลางมือหนึ่งพลันพลิกฝ่ามือ ในมือมีลำแสงสว่างวาบ ฉับพลันนั้นพลันมีผ้าไหมสีดำและยันต์วิเศษปรากฏขึ้น
ยันต์นั้นเปล่งแสงสีม่วงออกมา นั่นก็คือยันต์ชำระพิสุทธิ์
ใบหน้าของ ‘หวาหวา’ ยังคงดูสีหน้าไม่ออก แต่ก็ตะปบมือข้างหนึ่งออกมาอย่างเชื่อฟัง ดูดผ้าไหมสีดำและยันต์วิเศษเข้ามาในมือ จากนั้นร่างกายพลันเปล่งแสงสีขาวสว่างวาบ กลายเป็นเงาสีขาวสายหนึ่งพุ่งแหวกอากาศออกไป
“พี่หานท่านรักหุ่นเชิดตัวนั้นไม่น้อยเลยสักนิด ทว่านั่นก็ไม่แปลก หุ่นเชิดสะท้านฟ้าระดับสูงเช่นนี้ ต่อให้เป็นน้องหญิงก็อิจฉานางมากเช่นกัน” หลิวสุ่ยเอ๋อร์มองเห็นภาพตรงหน้าก็ฉีกยิ้มเบิกบาน
“หึๆ เซียนล้อเล่นแล้ว จากฐานะของสหายหากอยากจะซื้อหุ่นเชิดสะท้านฟ้าสักตัว ย่อมไม่ใช่เรื่องยากอันใด แต่จะว่าไปแล้วหุ่นเชิดชนิดนี้กลับดีแต่ภายนอก ปกติแล้วย่อมสู้อสูรวิญญาณระดับเดียวกันไม่ได้ ตัวนี้ของข้าก็มีคนมอบให้” หานลี่ฉีกยิ้มน้อยๆ ออกมา แล้วเอ่ยอย่างไม่คิดเช่นนั้น
“นั้นมันก็ใช่ หากควบคุมหุ่นเชิดชนิดต่อกรกับศัตรู แค่ศิลาวิญญาณระดับสุดยอดที่ต้องสูญเสียไป ก็เพียงพอจะทำให้ผู้คนเจ็บปวดแล้ว ในเมื่อพี่หานส่งหุ่นเชิดสะท้านฟ้าออกไป ข้าก็จะปล่อยอสูรวิญญาณตัวหนึ่งออกไปร่วมมือกับหุ่นเชิดคอยจับตาดูคนของเผ่าแมลงมีเขาเช่นกัน” หลิวสุ่ยเอ๋อร์เห็นหานลี่ไม่อยากเอ่ยเรื่องหุ่นเชิดสะท้านฟ้ามากนัก ก็เปลี่ยนหัวข้อบทสนทนาอย่างรู้จักวางตัว
จากนั้นหญิงสาวผู้นี้ก็ใช้มือข้างหนึ่งกดไปตรงบั้นเอว สายรุ้งห้าสีสายหนึ่งพุ่งออกมา จมหายไปกลางอากาศราวกับลำแสงอัสนีศิลาเพลิง
แม้ว่าจากเนตรวิญญาณของหานลี่ ก็ทำได้เพียงมองเห็นรางๆ ครู่หนึ่ง นั่นดูเหมือนหมาไม้น้อยติดปีกตัวหนึ่ง เปล่งแสงห้าสีสันออกมา
หานลี่ถูกความเร็วของอสูรน้อยทำให้ตกตะลึง อดที่จะมองไปยังหญิงสาวสวมงอบแวบหนึ่งอย่างมีเลศนัยไม่ได้
แต่หลิวสุ่ยเอ๋อร์กลับยืนขึ้นแล้วเอ่ยว่า
“พวกเราไปกันเถิด ไปรอสหายสือแถวเขตอาคมก็แล้วกัน”
แน่นอนว่าหานลี่ย่อมไม่มีท่าทีคัดค้าน
ดังนั้นทั้งสองคนจึงเปล่งแสงวาวโรจน์ กลายเป็นลำแสงหลีกหนีสองสายพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ บินออกห่างจากพวกเผ่าแมลงมีเขา
ระหว่างทางทัศนียภาพบนพื้นดินล้วนเหมือนเดิม สิ่งที่เข้ามาในครรลองสายตาล้วนเป็นพายุทรายสีเหลือง
มีซากปรักหักพังปรากฏขึ้นท่ามกลางพายุทรายอยู่รางๆ
หานลี่มาถึงที่นี่เมื่อสองสามวันก่อน แล้วมองเห็นภาพรวมคร่าวๆ ของซากปรักหักพังแล้ว
ที่นี่มีพื้นที่กว้างใหญ่ ประมาณสองสามล้านลี้
ยังมีสถานที่จำนวนไม่น้อยที่มีเขตอาคมต้องห้ามวางอยู่ ดูอันตรายเป็นอย่างมาก
โชคดีที่หานลี่ได้รับคำเตือนจากพวกของไช่หลิวอิง และหลบหลีกแดนเหล่านี้ไปให้ไกล มิเช่นนั้นที่นี่คงมีกลไกโบราณที่คล้ายกับหุ่นเชิดวิหคอัสนีก็มากกว่าตัวเดียว
ส่วนเขตอาคมต้องการที่พวกของไช่หลิวอิงจดจำไม่ลืมเลือนนั้น ก็คือสถานที่ที่ดูแล้วอันตรายที่สุด
หลังจากที่ทั้งสองคนบินมาได้สองสามหมื่นลี้อย่างระมัดระวัง ในที่สุดก็หยุดลำแสงหลีกหนีลง
หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง แล้วมองไปเบื้องหน้า
เห็นเพียงด้านล่างไกลออกไปหมอกลำแสงสีขาวขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางร้อยจั้ง ค่อยๆ หมุนวนอยู่ท่ามกลางพายุทราย ปล่อยให้พายุทรายส่งเสียงหวีดร้อง ไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิด
และยิ่งไปกว่านั้นเมื่อพายุทรายสัมผัสกับหมอกลำแสงนี้ ก็ทยอยกันเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายไป ราวกับถูกกลืนกินไปจนเกลี้ยง
สิ่งที่ทำให้ยิ่งขนลุกซู่ก็คือ รอบด้านของหมอกลำแสงมีโครงกระดูกอสูรกองอยู่เกลื่อนพื้น
กว่าครึ่งล้วนถูกเม็ดทรายสีเหลืองปกคลุมเอาไว้ ทว่าก็เผยหัวกะโหลกสีดำปนเหลืองออกมา ไม่รู้ว่าอยู่ที่นี่มากี่ปีแล้ว บ้างกลับเป็นสีขาวโพลนเหมือนใหม่ เห็นได้ชัดว่าเป็นโครงกระดูกอสูรประหลาดที่เพิ่งตาย
ยามนี้ในมือของหลิวสุ่ยเอ๋อร์พลันมีจานอาคมประหลาดขนาดเท่าฝ่ามือปรากฏออกมา พลางพิจารณาอย่างละเอียด
“ใช่แล้ว ที่นี่แหละ นี่คือแดนต้องห้ามของท่านอาจารย์และท่านอาวุโสต้วน”
หลังจากผ่านไปชั่วครู่หลิวสุ่ยเอ๋อร์ก็พ่นลมหายใจยาวๆ ออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วเอ่ยพึมพำกับตัวเอง
“ดูอันตรายมาก! ทว่าในเมื่อท่านอาวุโสทั้งสองทุ่มเทขนาดนี้ให้พวกเรามารวมตัวกันที่นี่เพื่อทำลายเขตอาคมจะต้องมีความมั่นใจอยู่หลายส่วนแน่” หานลี่กวาดตามองบนโครงกระดูกอสูร แต่กลับเอ่ยออกมาอย่างราบเรียบ
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นกระมัง จากคำพูดของท่านอาจารย์ เขตอาคมต้องห้ามแห่งนี้เป็นสิ่งกลายสภาพมาจากลำแสงเทวะดูดปราณและ ‘ลำแสงเขียวไท่อี่’ ในสมัยโบราณ หากจะทลายมัน มีเพียงต้องใช้ลำแสงเทวะดูดปราณที่เป็นปฏิปักษ์กับมันตามธรรมชาติ คิดดูแล้วที่รวบรวมพวกเราที่มีร่างของเทวะดูดปราณทั้งสามคนมา น่าจะเพียงพอให้ทำลายเขตอาคมนี้แล้ว” หลิวสุ่ยเอ๋อร์เข้าใจเขตอาคมตรงหน้ามากกว่าหานลี่ไม่น้อย คาดไม่ถึงว่าจะเอ่ยเช่นนี้ออกมา
“ลำแสงเขียวไท่อี่!” หานลี่ที่เดิมสีหน้าราบเรียบกลับอดที่จะร้องอุทานออกมาเบาๆ ไม่ได้ ใบหน้าพลันมีความตกตะลึงระคนดีใจฉายแวบผ่าน
“อันใด พี่หานสนใจลำแสงประหลาดนี้หรือ?” หลิวสุ่ยเอ๋อร์ดูเหมือนจะพบสีหน้าแปลกประหลาดของหานลี่ จึงเอ่ยถามด้วยแววตาที่เปล่งประกาย
“ผู้แซ่หานมีสมบัติดูดปราณอยู่กับตัว แน่นอนว่าย่อมเข้าใจลำแสงประหลาดเหล่านี้อยู่บ้าง ว่ากันว่าลำแสงเขียวไท่อี่เลื่องชื่อว่าเป็น ‘มีดล่องหน’ แหลมคมมาก หากปล่อยออกมาอานุภาพแทบจะเทียบกับไอกระบี่ไร้รูปได้ สังหารอีกฝ่ายได้ในพริบตา ไม่รู้ว่ามหัศจรรย์เช่นนั้นหรือไม่” หานลี่กลับมีสีหน้าปกติ และเอ่ยออกมาเบาๆ
“ดูแล้วพี่หานคงรู้จักลำแสงเขียวไท่อี่อยู่ไม่น้อยจริงๆ ข้าได้ยินท่านอาจารย์กล่าวว่าลำแสงนี้แม้จะมีอานุภาพไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้น่าตกตะลึงเท่าในตำนาน แต่หากใช้ลำแสงประหลาดนี้สร้างเขตอาคม ก็เป็นสิ่งที่ไร้เทียมทาน เอาชนะไม่ได้ มิเช่นนั้นตอนแรกท่านอาจารย์คงพยายามเสี่ยงอันตรายทลายเขตอาคมต้องห้ามนี้แล้วเอาสมบัติกลับมาแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นลำแสงเขียวไท่อี่ก็ไม่อาจฝึกฝนในวันหลังได้เช่นกัน มีเพียงต้องอาศัยพลังที่สร้างขึ้นจากธรรมชาติสร้างขึ้น ในแดนวิญญาณของพวกเรา ลำแสงประหลาดนี้หาได้ยากกว่าลำแสงเทวะดูดปราณนัก ผู้ที่ฝึกฝนลำแสงเทวะดูดปราณ บางครั้งก็ยังพอได้ยินมาบ้าง แต่ผู้ที่ฝึกฝนลำแสงเขียวไท่อี่นั้น กลับไม่เคยได้ยินมาก่อนตั้งแต่ในอดีตกาล” หลิวสุ่ยเอ๋อร์เอ่ยอธิบาย
“เช่นนั้นเขตอาคมด้านล่างก็น่าจะมีสมบัติที่สามารถควบคุมลำแสงเขียวไท่อี่อยู่ชิ้นหนึ่งสินะ ไม่ก็มีสิ่งที่มีลำแสงชนิดนี้แฝงอยู่!” หางตาของหานลี่กระตุก อดที่จะเอ่ยถามย้อนกลับไม่ได้
ตอนที่ 1694 เผ่าอัสนีคำราม
“แม้ว่าท่านอาจารย์จะไม่ได้บอกละเอียด แต่กว่าครึ่งก็คงเป็นเช่นนั้น” หลิวสุ่ยเอ๋อร์พยักหน้า
“เยี่ยม! คิดไม่ถึงว่าการเดินทางครั้งนี้จะได้พบกับลำแสงเขียวไท่อี่ที่มีชื่อเสียงเกรียงไกร แม้ว่าจะไม่ได้สมบัติอันใดในการเดินทางครั้งนี้ แต่ก็ไม่สูญเปล่า” หานลี่พ่นลมหายใจออกมาเบาๆ มุมปากเผยรอยยิ้มออกมา
ส่วนหลิวสุ่ยเอ๋อร์พลันมองไปที่หมอกสีขาวด้านล่าง แววตาเผยแววครุ่นคิดออกมา
ฉับพลันนั้นมือหนึ่งก็พลิกฝ่ามือ ในมือมีสามง่ามสีแดงสดปรากฏขึ้น ชูมือข้างหนึ่งขึ้น กลายเป็นลำแสงสีแดงพุ่งออกไป
แค่กะพริบวาบ ชั่วพริบตานั้นลำแสงก็มาอยู่เหนือหมอกลำแสงสีขาว ดูเหมือนว่าจะเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายไป
ในยามนั้นเองฉับพลันนั้นลำแสงสีแดงพลันสั่นเทา สามง่ามเปล่งเสียงร้องคำรามออกมา ชั่วครู่ก็แยกออกเป็นเจ็ดแปดท่อน
ราวกับถูกอาวุธไร้รูปร่างเจ็ดแปดเล่มสับลงมาพร้อมกัน แตกออกอย่างง่ายดาย
เศษสามง่ามหักๆ ร่อนลงมาด้านล่างอีกครั้ง แล้วถูกโจมตีอย่างหนาแน่นอีกครั้ง สุดท้ายก็กลายเป็นดวงลำแสงสีแดงระเบิดออกแล้วสลายหายไป
หานลี่มองเห็นฉากเมื่อครู่ ก็หุบยิ้มตรงมุมปาก สีหน้าเคร่งขรึมขึ้น
เมื่อครู่ที่แผ่จิตสัมผัสมา คาดไม่ถึงว่าจะสัมผัสลำแสงเขียวไท่อี่ไม่ได้
แต่โชคดีที่ก่อนหน้านี้เขาใช้เนตรวิญญาณวารีกระจ่าง รูม่านตาจึงเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ ชั่วพริบตาสามง่ามก็ระเบิดออก มองเห็นเงาลวงตาบางๆ ยี่สิบสามสิบสายสับลงมาด้านบน
ของเหล่านี้แม้ว่าจะจะมองเห็นรางๆ ภายใต้เนตรวิญญาณ รูปร่างโปร่งใส
ดูแล้วของเหล่านี้คงเป็นโฉมหน้าที่แท้จริงของลำแสงเขียวไท่อี่
“ลำแสงเขียวไท่อี่นี่แปลกประหลาดดังคาด” หลิวสุ่ยเอ๋อร์ไม่รู้ว่าใช้วิธีใด ดูเหมือนว่าจะสัมผัสได้ถึงลำแสงลวงตาเหล่านั้น แล้วถอนหายใจออกเบาๆ ขณะเอ่ย
หานลี่ได้ยินก็ขมวดคิ้ว ยกมือขึ้น ลำแสงสีเขียวพุ่งออกมาจากแขนเสื้อ
หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง สิ่งนี้ก็ร่อนลงมาด้านล่าง
เป็นกระบี่บินสีเขียวยาวสองสามฉื่อเล่มหนึ่ง!
นั่นก็คือกระบี่ไผ่เขียวตัวต่อเมฆา
กระบี่เล่มนี้สับลงมาอย่างน่าอัศจรรย์ เปล่งแสงสว่างวาบ แล้วมาอยู่ในระดับความสูงที่ห่างจากหมอกสีขาวไปไม่ถึงสิบกว่าจั้ง
แววตาของหานลี่เปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ จ้องเขม็งมองไปด้วยดวงตาที่ไม่กะพริบ
ผลคือเห็นเงาลวงตารูปทรงเหมือนเส้นไหมบางๆ ยี่สิบสามสิบเล่ม ก็ปรากฏตัวรอบๆ กระบี่บิน จากนั้นก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วสับลงมาที่กระบี่บิน
เสียงร้องแหลมๆ เสียดแก้วหูดังขึ้น!
กระบี่บินเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบอย่างต่อเนื่อง อาศัยความแหลมคมของตัวมันทำให้ปลอดภัยไร้อันตราย แต่ก็ยังคงร่อนลงมาด้านล่าง
มองเห็นว่าจะสัมผัสกับหมอกลำแสงสีขาว เงาลวงตาที่ปรากฏรอบด้านกระบี่บินพลันพุ่งเข้าไปหากระบี่บินพร้อมกันนับร้อยนับพันดวง
ในที่สุดกระบี่ไผ่เขียวตัวต่อเมฆาก็ไม่อาจต้านทานเสียงร้องต่ำๆ ได้ จากนั้นแตกออกเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นลำแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งแล้วระเบิดออก
หานลี่พลันหน้าเปลี่ยนสี แต่ก็ตะปบมือข้างหนึ่งไปกลางอากาศโดยไม่ได้พูดอันใด
ลำแสงสีเขียวในมือมารวมตัวกันอยู่จุดๆ เดียว กระบี่บินอันสมบูรณ์แบบเล่มหนึ่งรวมตัวกันปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
หลิวสุ่ยเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนั้น แววตาแปลกประหลาดพลันฉายแวบผ่าน
ส่วนหานลี่กลับสั่นศีรษะ โบกสะบัดมือข้างหนึ่ง กระบี่บินในมือพลันหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
แม้ว่าในมือของเขาจะมีพลังป้องกันเหนือกว่าสมบัติอื่นๆ อย่างกระบี่ไผ่เขียวตัวต่อเมฆา แต่หากถูกทำลายก็ไม่อาจฟื้นฟูกลับมาได้ แน่นอนว่าย่อมไม่อาจเสี่ยงเอาออกมาทดสอบกับเขตอาคมนี้ได้
ทว่าแม้ว่าใบหน้าของเขาจะยังคงรักษาความสงบนิ่งเอาไว้ได้ หานลี่กลับรู้สึกตื่นเต้นดีใจไม่หยุด
ลำแสงเขียวไท่อี่ คือลำแสงประหลาดที่เป็นวัตถุดิบหลักในการหลอมห้าภูเขาผสานปราณอย่าง ‘ภูเขาเขียวไท่อี่’
แม้ว่าในโลกนี้จะมีสมบัติของลำแสงเขียวไท่อี่ แต่ก็ไม่ได้มีเพียงภูเขาเขียวไท่อี่ที่มีรูปทรงเป็นยอดเขา
แต่ในเมื่อเขตอาคมนี้อาจจะเป็นที่พำนักของเซียนเที่ยงแท้ และยิ่งไปกว่านั้นยังรักษาอานุภาพเอาไว้ได้มาตั้งแต่ในอดีตกาล ดูเหมือนว่าจะมีเพียงลำแสงเขียวไท่อี่ที่ส่งออกมาจากภูเขาเขียวไท่อี่อย่างต่อเนื่องเท่านั้นที่ทำได้
หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็ หากเขาได้ภูเขาลูกนี้มา ภูเขาลูกที่สองก็เป็นสิ่งที่เฝ้ารอได้เลย
หานลี่ขบคิดเช่นนั้น กลับเอ่ยกับหญิงสาวอย่างราบเรียบ
“ลำแสงเขียวไท่อี่แหลมคมดังคาด ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าและข้าสองคนจะทำลายได้ รอให้สหายสือคุนมาถึง ทั้งสามคนค่อยร่วมมือกันทลายจะดีกว่า”
“น้องหญิงก็คิดเช่นนั้น พวกเราหาที่พักพักผ่อนให้กระปรี้กระเปร่าแถวๆ นี้ก่อนเถิด” หลิวสุ่ยเอ๋อร์เอ่ยสนับสนุนอย่างเต็มปากเต็มคำ
ดังนั้นทั้งสองคนจึงปรึกษากันเล็กน้อย แล้วกลายเป็นลำแสงหลีกหนี พุ่งตรงไปยังทิศทางหนึ่งอีกครั้ง
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ทั้งสองก็ร่อนลงมาจากกลางอากาศที่ห่างออกไปพันลี้
แม้ว่าที่นี่จะมีพายุทรายไม่น้อย แต่หลิวสุ่ยเอ๋อร์ชูมือข้างหนึ่งขึ้น สำแดงไข่มุกทรงกลมสีเหลืองออกมา
ไข่มุกนี้หมุนติ้วๆ ปล่อยแสงสีเหลืองออกมา ห่อหุ้มหานลี่และหญิงสาวผู้นี้เอาไว้
พายุทรายรอบๆ ถูกลำแสงสีเหลืองกวาดออกไป ชั่วขณะนั้นพลันหายไปจนเกลี้ยง
หานลี่และหลิวสุ่ยเอ๋อร์พลันร่อนลงมาอย่างช้าๆ สุดท้ายก็ร่อนลงตรงจุดที่พังทลายไปกว่าครึ่ง เหลือเอาไว้เพียงวิหารที่ผุพังไปกว่าครึ่ง
……
ครึ่งเดือนต่อมาขอบฟ้าพลันมีลำแสงสว่างวาบ ลำแสงหลีกหนีปรากฏขึ้นสายหนึ่ง จากนั้นก็พุ่งเข้ามา
หลังจากกะพริบวาบสองสามครา ก็หม่นแสงลงและเผยเงาร่างสูงใหญ่ออกมาตรงหน้าวิหารที่หานลี่และหลิวสุ่ยเอ๋อร์ซ่อนตัวอยู่
นั่นก็คือสือคุนของเผ่ารังไหมศิลา
ทว่าชายร่างใหญ่ในยามนี้มีสีหน้าซีดขาวไปเล็กน้อย ดวงตาทั้งสองข้างหม่นแสง ดูเหมือนว่าจะสูญเสียปราณแท้ไปไม่น้อย
สือคุนร่อนลงมาด้านล่างท่ามกลางพายุทรายอย่างไม่รีบร้อน แต่ก็มองไปรอบๆ ด้านอย่างระแวดระวัง เมื่อมั่นใจว่าไม่มีความผิดปกติใดนั้น ถึงได้พลิกฝ่ามือ ในมือมีจานอาคมปรากฏขึ้น
เขาจ้องมองจานอาคมเขม็ง ผิวเปล่งแสงสีเหลืองออกมา ร่อนลงมาด้านล่างอย่างเงียบๆ
เม็ดทรายสีเหลืองด้านล่างโจมตีไปบนลำแสงวิญญาณที่ห่อหุ้มชายร่างใหญ่ เปล่งเสียงเอี๊ยดๆ ราวกับทองคำกระทบกันออกมา แต่กลับไม่อาจทำอันใดได้เลยสักนิด
แต่เมื่อสือคุนร่อนลงมาถึงวิหาร หานลี่และหลิวสุ่ยเอ๋อร์กลับรออยู่ที่ทางเข้าตั้งนานแล้ว
“พี่สือ สีหน้าท่านแย่ขนาดนี้ หรือว่าพบกับความยุ่งยากอันใด” หลิวสุ่ยเอ๋อร์เห็นท่าทางของสือคุนชัดเจน ก็เอ่ยถามด้วยความตกตะลึงเล็กๆ
“ไม่ใช่แค่ยุ่งยาก ผู้แซ่สือเกือบจะรักษาชีวิตน้อยๆ เอาไว้ไม่ได้” สือคุนเห็นหานลี่และพวกทั้งสอง สีหน้าก็ผ่อนคลายลงจากนั้นก็หัวเราะอย่างขมขื่นออกมา
ร่างกายของเขาพลิ้วไหว ลงมาอยู่ตรงหน้าหานลี่และหลิวสุ่ยเอ๋อร์
“หรือว่าสหายสือไม่ได้สลัดแมลงเหี้ยมออกไปตั้งแต่แรก?” หานลี่เอ่ยถามอย่างแช่มช้า
เขาจำได้ดี ผู้ที่ไล่ตามชายร่างใหญ่ไปเหมือนกับผู้ที่ไล่ตามเขานั่นก็คือแมลงคลื่นสีเงิน
หากไม่ใช่เพราะเขาสังหารมันไปจนเกลี้ยง ก็คงสลัดออกยาก
“แม้ว่าแมลงเหล่านั้นจะรับมือได้ยาก แต่ข้าสำแดงเคล็ดวิชาลับที่ได้รับถ่ายทอดมาจากท่านอาจารย์ พวกมันก็ไม่ได้ทำให้ข้าจนตรอก ข้าพบกับคนของเผ่าอัสนีคำรามระหว่างทาง ถูกพวกมันไล่สังหารมานานครึ่งเดือน ในที่สุดถึงได้หนีเอาชีวิตรอดมาได้” ชายร่างใหญ่ขบเคี้ยวเขี้ยวฟันขณะเอ่ย
“เผ่าอัสนีคำราม! คือกลุ่มที่สำแดงได้เพียงอิทธิฤทธิ์ธาตุน้ำแข็ง และคิดว่าธาตุน้ำแข็งเป็นต้นกำเนิดของทุกอิทธิฤทธิ์ และมองผู้ที่ฝึกฝนธาตุอื่นเป็นศัตรูน่ะหรือ” หลิวสุ่ยเอ๋อร์ตกตะลึงไปเล็กน้อย
“ใช่แล้ว เจ้าบ้าพวกนั้นแหละ อย่ามองว่าเผ่านี้มีพละกำลังแค่ระดับกลาง และยิ่งไปกว่านั้นทุกคนยังไม่มีเหตุผล แต่จากพลังในการต่อสู้ก็ไม่ด้อยไปกว่าเผ่าระดับกลางและสูงอย่างระดับราชามหาสมุทรและระดับเขาเดียว ก่อนหน้านี้เผ่านี้มีชีวิตอยู่แค่ทางเหนือสุดของแผ่นดินเสียงเพรียกอัสนี เป็นเพราะมันโดดเดี่ยวเกินไป จึงไม่ค่อยได้รับแผ่นป้ายกว้างเย็น เข้ามาในแดนกว้างเย็น คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้ไม่เพียงจะเข้ามาในแดนนี้ ข้ายังโชคร้ายไปพบเข้าอีก” สือคุนเอ่ยอย่างโมโห
เป็นเพราะหานลี่เคยอ่านมาจากในตำรา แน่นอนว่าจึงรู้จักชื่อเสียงของเผ่าอัสนีคำราม เมื่อได้ยินก็มองสบตากับหลิวสุ่ยเอ๋อร์แวบหนึ่ง แล้วทำได้เพียงถอนหายใจกับความโชคร้ายของชายหนุ่ม
จากสถานการณ์ของชายร่างใหญ่ในยามนี้ แน่นอนว่าไม่เหมาะสมที่จะทลายเขตอาคมกับพวกเขาสองคนในครานี้
ดังนั้นหลังจากที่ทั้งสามคนปรึกษากันเล็กน้อย ก็เตรียมตัวว่าจะรออีกสักห้าหกวัน ให้สือคุนฟื้นฟูพลังปราณ แล้วเริ่มเคลื่อนไหวอย่างเป็นทางการอีกครั้ง
แน่นอนว่าหานลี่เองก็เล่าเรื่องคนของเผ่าแมลงมีเขาที่อยู่ห่างจากพวกเขาไปสองสามหมื่นลี้ให้สือคุนฟัง
ชายร่างใหญ่ได้ยินพลันแบะปาก และมีท่าทีหมดคำพูด
วันเวลาห้าหกวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ระยะเวลานี้หุ่นเชิดของหานลี่และอสูรวิญญาณของหลิวสุ่ยเอ๋อร์ล้วนไม่เห็นชนเผ่าแมลงมีเขาวางเคล็ดวิชาลวงตา หรือมีการเคลื่อนไหวใดๆ อีก
ราวกับว่าหลังจากที่ชาวเผ่าแมลงมีเขาวางเขตอาคมลวงตาไว้ จะมีเพิ่มหรือไม่มีเพิ่มก็เท่านั้น ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ อีก
แม้ว่าหานลี่และหลิวสุ่ยเอ๋อร์จะไม่รู้ว่าคนเผ่านี้มีความคิดอันใด แต่แน่นอนว่าก็ต้องเฝ้าภาวนาให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ต่อจนถึงยามสุดท้าย ให้พวกเขาทำลายเขตอาคมได้อย่างราบรื่น แล้วจากไปอีกครั้ง
ดังนั้นวันนี้ทั้งสามคนจึงบินออกมาจากพื้นดินอย่างเงียบเชียบ แล้วแอบเข้าไปในเขตอาคม
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ลำแสงหลีกหนีสามสายก็มาปรากฏตัวขึ้นใกล้กับหมอกลำแสงสีขาวกลุ่มนั้นอีกครั้ง เงาร่างของหานลี่และพวกทั้งสามปรากฏออกมา จากนั้นร่างกายก็เลือนรางไป แล้วแยกย้ายกันไป ปรากฏตัวขึ้นตรงมุมของเขตอาคมเป็นรูปสามเหลี่ยม
“หากอยากทลาย สหายทั้งสามจะต้องจำมันให้ขึ้นใจก่อน เขตอาคมด้านล่างสร้างขึ้นจากลำแสงเขียวไท่อี่ แบ่งออกเป็นสามชั้นใหญ่ สิบเอ็ดระดับ แต่ละระดับร้ายกาจขึ้นทีละสามส่วน จำต้องทลายทั้งหมดในคราวเดียว มิเช่นนั้นขอแค่พบกับอุปสรรคในระดับของเขตอาคมต้องห้าม แล้วเคลื่อนไหวเชื่องช้า การทลายเขตอาคมก่อนหน้าก็จะกลับเป็นดังเดิม ทำให้ทุกอย่างล้มเหลว! วันนั้นท่านอาวุโสต้วนยังไม่ได้อยู่ในระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ ก็อาศัยสมบัติป้องกันตัวที่น่าตกตะลึงและกายเนื้อที่แข็งแกร่งทลายระดับของเขตอาคมต้องห้ามไปทีเดียวเจ็ดระดับ แต่หากพวกเราสามคนร่วมมือกัน และยิ่งไปกว่านั้นมีลำแสงเทวะดูดปราณคอยควบคุมลำแสงเขียวไท่อี่ ตามทฤษฎีแล้วก็น่าจะทำลายได้ทั้งหมดสิบเอ็ดชั้น ทว่านี่เป็นแค่การคาดเดาของท่านอาจารย์เท่านั้น ความจริงเป็นอย่างไร มีเพียงถึงครานั้นถึงจะรู้ ดังนั้นสหายทั้งสองยังคงต้องระมัดระวังให้มาก!” หลิวสุ่ยเอ๋อร์มองหานลี่และสือคุนแวบหนึ่ง เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เห็นได้ชัดว่าเรื่องทลายเขตอาคมนั้น มีหญิงสาวผู้นี้เป็นหัวหน้า
หานลี่ได้ฟังคำพูดของหลิวสุ่ยเอ๋อร์ก็อดที่จะฉีกยิ้มไม่ได้ และเอ่ยถามย้อนกลับ
“ข้าและสหายสือล้วนเสียแรงไปตั้งมากกว่าจะมาถึงที่นี่ แน่นอนว่าย่อมต้องออกแรงเต็มที่ ไม่มีทางปล่อยให้ล้มเหลวแน่ แต่ข้อตกลงที่ข้าทำกับท่านอาวุโสทั้งสอง เซียนหลิวและสหายสือน่าจะรู้ดีสินะ?”
“พี่หานโปรดวางใจ ข้าสองคนสัญญากับท่านอาจารย์เอาไว้แล้ว นอกจากของที่ท่านอาจารย์และท่านอาวุโสต้วนต้องการสองสามชิ้น สมบัติที่เหลือก็ต้องดูตามพรสวรรค์ของแต่ละคน ไม่มีทางขออันใดเพิ่มแน่”
สือคุนที่อยู่ด้านข้างได้ยิน ก็หัวเราะร่าแล้วพยักหน้าเช่นกัน
หานลี่ได้ฟังคำนี้ ก็พยักหน้าพร้อมเผยใบหน้าพึงพอใจ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น