กระบี่จงมา 169.1-169.2
บทที่ 169.1 เอาคนที่สู้เป็นมา
โดย
ProjectZyphon
หนึ่งคนเดินนำ หนึ่งคนเดินตามขึ้นไปบนยอดเขา เหมาเสี่ยวตงยืนอยู่นอกศาลาลมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ทั่วทั้งบุรพแจกันสมบัติทวีป เมื่อเทียบกันแล้ว ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้ามีน้อยกว่าผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบอยู่มาก นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมการที่ต้าหลีมีซ่งจ่างจิ้งปรากฎถึงได้สร้างความสะท้านสะเทือนไปทั่วทิศ
ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าแทบจะหล่อหลอมเรือนกายและจิตวิญญาณได้ถึงขั้นสูงสุดของโลกมนุษย์ ถูกขนานนามว่าหมื่นอาคมไม่อาจรุกราน แม้เหมาเสี่ยวตงจะรู้ว่าไม่ได้เกินจริงอย่างที่เล่าลือกันภายนอก แต่จะอย่างไรซะนักพรตห้าขอบเขตบนก็ยังมีวิชาอภินิหารที่ยิ่งใหญ่ มีพละกำลังมากจนสามารถย้ายภูเขา โกรธที่ก็สามารถพลิกคว่ำมหาสมุทร ทว่าหากดูแค่การต่อสู้ร้ายแรงถึงตายระหว่างซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าแคว้นที่เลื่อนสู่ขอบเขตกับบรรดานักพรตยอดฝีมือแล้ว เขาเหมาะกับคำเรียกขานนี้อย่างแท้จริง เพราะอย่างไรซะนักพรตห้าขอบเขตบนที่ทำตัวเหมือนมังกรเทพซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆก็หาตัวจับได้ยากยิ่ง
ชุยตงซานหัวเราะเฮอๆ พลางเอ่ยแนะนำ “อาจารย์เฒ่าผู้นี้มีชื่อว่าเหมาเสี่ยวตง อดีตศิษย์น้องของฉีจิ้งชุน ตอนนี้คือรองเจ้าขุนเขาที่จัดการเรื่องราวต่างๆ ในสำนักศึกษาซานหยา”
เดิมทีหลี่เอ้อร์ไม่คิดจะปรายตามองผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ที่ตรงเอวห้อยไม้บรรทัดไว้ แต่พอได้ยินประโยคนี้ก็รีบคลี่ยิ้มทันที “อาจารย์เหมา ข้าคือบิดาของหลี่ไหว”
ผู้เฒ่าตะลึงงัน ชุยตงซานเองก็ประหลาดใจเหมือนกัน ด้วยนิสัยประหลาดโผงผางหัวแข็งของหลี่เอ้อร์ ต่อให้ปากไม่เอ่ยตำหนิสำนักศึกษาซานหยา แต่ในท้องย่อมต้องมีความไม่พอใจกักเก็บเอาไว้ เพราะอย่างไรซะทางสำนักศึกษาก็ไม่ได้ทำอะไรสักอย่างกับมรสุมครั้งนี้ มองดูเหมือนเป็นคนกลางที่ไม่เข้าข้างใคร แต่แท้จริงแล้วค่อนไปทางไม่มีน้ำใจเสียมากกว่า อย่าว่าแต่คนในเหตุการณ์อย่างพวกหลี่เป่าผิงเลย แม้แต่นักเรียนของสำนักศึกษาเดิมในต้าหลีที่ติดตามเหมาเสี่ยวตงมาด้วยในเวลานั้นก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดอาจารย์เฒ่าถึงไม่ออกหน้าทวงความเป็นธรรม ขอคำอธิบายจากราชสำนักต้าสุย
เหมือนกับฉีจิ้งชุนที่เคยเป็นผู้บัญชาการณ์ถ้ำสวรรค์หลีจูที่ตกอยู่ในทางตัน ไม่มีความเป็นไปได้ที่เขาจะจากมาโดยที่ยังมีชีวิตอยู่ แม้ฮ่องเต้สกุลซ่งต้าหลีจะไม่ได้ซ้ำเติมฉีจิ้งชุน แต่ก็ไม่กล้าเสนอความคิดเห็นใดๆ ต่อขั้วอำนาจเหล่านั้น หลังจบเรื่องจึงทำให้เหล่าบัณฑิตที่จบไปจากอดีตสำนักศึกษาซานหยารู้สึกผิดหวังอย่างยิ่ง
หลี่เอ้อร์ยิ้มอย่างสง่างาม “ตอนอยู่เมืองเล็ก มีครั้งหนึ่งอาจารย์ฉีไปดื่มเหล้ากับข้า แล้วพูดถึงอาจารย์เหมา บัณฑิตที่อาจารย์ฉีให้การยอมรับ ข้าหลี่เอ้อร์จึงรู้สึกว่าต้องเป็นบัณฑิตที่แท้จริง ดังนั้นเรื่องในครั้งนี้ ข้าเชื่อว่าท่านอาจารย์ผู้เฒ่าที่ต้องดูแลสำนักศึกษาขนาดใหญ่แบบนี้ต้องมีความลำบากใจของตัวเอง ข้าหลี่เอ้อร์ไม่เคยเรียนหนังสือมาก่อน แต่เหตุผลเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ก็ยังพอจะเข้าใจอยู่บ้าง”
ดูท่าเวลาอยู่นอกบ้าน ชายฉกรรจ์ท่าทางกระด้างเรียบง่ายคนนี้จะไม่ใช่น้ำเต้าตันที่แท้จริง
น่าจะเป็นเพราะคนนอกที่สามารถทำให้เขาเปิดปากพูดได้จะมีไม่มากก็เท่านั้น
และเห็นได้ชัดว่าเหมาเสี่ยวตงได้พึ่งใบบุญของฉีจิ้งชุนศิษย์พี่ของเขา
ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ถอนหายใจหนึ่งที กล่าวอย่างจนใจ “ข้าละอายใจมิกล้ารับคำชม”
หลี่เอ้อร์กล่าวตามมารยาทจบก็เริ่มหันมองไปรอบด้าน สายตาแหลมคมเหมือนกระแสน้ำขึ้นที่ไหลทะลักออกไป เมื่อกระแสน้ำทะลักทลาย บางจุดจึงมีลูกคลื่นโถมตัวขึ้น มองคล้ายเสาหินที่ตั้งอยู่กลางแม่น้ำ ทว่าไม่นานก็ลดตัวลงต่ำด้วยความหวาดหวั่นอย่างรวดเร็ว เพื่อหลบเลี่ยงประกายคมกริบ ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบนามว่าไช่จิงเสินที่อยู่ใกล้กับภูเขาตงหัวมากที่สุดก็เป็นคนหนึ่งในนั้น
หลี่เอ้อร์พบสิ่งปลูกสร้างโอ่อ่ากินอาณาบริเวณกว้างขวาง กำแพงแดงหลังคากระเบื้องสีเขียว ปราณมังกรเข้มข้น มีกลิ่นอายตามแบบฉบับของที่พักเชื้อพระวงศ์
เหมาเสี่ยวตงเอ่ยถาม “เจ้าคิดจะหาคนมาพูดคุยเหตุผล?”
เดิมทีหลี่เอ้อร์กำลังจะไปจากภูเขาลูกนี้แล้ว แต่พอผู้เฒ่าเปิดปาก เขาก็หยุดการโคจรลมปราณในร่างกาย พยักหน้ารับ “จะไปหาฮ่องเต้ต้าสุยโดยตรงเลย หากเขาพูดง่ายก็จะบอกให้เขาเชิญพวกตระกูลฉู่หนานซี ตระกูลพลเอกหัน ฮวายหย่วนโหวอะไรพวกนั้นออกมา ข้าไม่รังแกคนอื่น ยังจะรับปากให้พวกเขาส่งคนที่สู้เก่งที่สุดในตระกูลออกมา จะมาทีละคนหรือมาพร้อมกันก็เอาตามที่พวกเขาสบายใจ”
สีหน้าของชายฉกรรจ์ร่างเล็กเตี้ยกำยำนิ่งขรึม น้ำเสียงราบเรียบอย่างถึงที่สุด
ชุยตงซานจุ๊ปากไม่หยุด เห็นได้ชัดว่าเขารอชมเรื่องสนุก ไม่กลัวว่าท้องฟ้าจะถูกเจาะให้เป็นรู
เหมาเสี่ยวตงปวดหัวแปลบ คิดจะพูดเกลี้ยกล่อม แต่ชายฉกรรจ์กลับแสยะยิ้มเผยฟันขาวสะอาดราวหิมะ “หากฮ่องเต้ต้าสุยพูดยาก นั่นก็ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่ อธิบายเหตุผลก็มีวิธีของการต่อยตีแบบมีเหตุผล ไม่อธิบายเหตุผลก็มีวิธีต่อยตีแบบไร้เหตุผล วันนี้ข้าหลี่เอ้อร์ไม่รื้อวังหลวงต้าสุยครึ่งหนึ่ง วันหน้าก็จะเปลี่ยนแซ่ตามฮ่องเต้สกุลเกา”
น้ำชั่วร้ายในท้อง (เปรียบเปรยกับความคิดที่ไม่ดี ความคิดที่ชั่วร้าย) ของชุยตงซานกระเพื่อมรัว เอ่ย “เตือนด้วยความหวังดี” อย่างมีเจตนาแอบแฝงอยู่ข้างๆ “แม้ว่าค่ายกลปกป้องเมืองของเมืองหลวงต้าสุยจะสามารถป้องกันศัตรูภายนอกรุกรานเมืองหลวงได้อย่างแข็งแกร่ง แต่กับภายในแล้วกลับธรรมดามาก อานุภาพก็ห่างชั้นเกินกว่าจะเทียบเคียงกับหอป๋ายอวี้จิงของต้าหลีที่ได้ทั้งรุกและรับได้ แต่จะอย่างไรซะที่นี่ก็คือใจกลางของต้าสุย วังหลวงก็ยิ่งเป็นสถานที่ที่สำคัญในสถานที่ที่สำคัญ ต่อให้เจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่มีขอบเขตเก้าขั้นสูงสุด แต่หากบุกเข้าไปในวงล้อมก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะสามารถถอยออกมาได้อย่างปลอดภัย”
หลี่เอ้อร์กระตุกมุมปาก จ้องมองเด็กหนุ่มชุดขาวด้วยสายตามืดทะมึน “นั่นเป็นเรื่องที่ข้าควรเป็นกังวล เจ้าไม่ต้องเป่าลมชั่วร้ายพวกนี้ใส่หูข้าหลี่เอ้อร์ เจ้าไม่ใช่เมียข้าเสียหน่อย นางสามารถเป่าหูอยู่ข้างหมอนข้า แต่เจ้าล่ะเป็นตัวอะไร คำพูดไม่น่าฟังเอามาเอ่ยกันก่อน ข้าไม่สนใจแผนการไร้ยางอายของพวกเจ้า แต่ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะเห็นข้าเป็นคนโง่ได้”
ชุยตงซานยิ้มตาหยี “ปัดโธ่ ใจหวังดีกลับถูกมองเป็นตับลาเสียได้ นายท่านใหญ่หลี่เอ้อร์จะอารมณ์ดียังไง จะทำแบบไหน ข้าไม่สนแล้วก็ได้”
หลี่เอ้อร์กล่าวยิ้มๆ “แต่ว่ายังต้องรบกวนให้เจ้าบอกหลี่ไหวสักคำ บอกว่าบิดาของเขาออกไปซื้อของให้พวกเขาสามแม่ลูก ดึกหน่อยถึงจะกลับมาสำนักศึกษา”
เหมาเสี่ยวตงกล่าวอย่างเป็นกังวล “ช้าก่อน บอกตามตรง มรสุมในครั้งนี้ ข้ามีจุดประสงค์แอบแฝง โดยหวังว่าจะใช้โอกาสนี้มอบสภาพแวดล้อมที่ช่วยให้เด็กๆ เล่าเรียนอย่างสบายใจได้อย่างแท้จริง ไม่ต้องการให้ความขัดแย้งระหว่างต้าหลีและต้าสุยเกี่ยวพันมาถึงสำนักศึกษาซานหยา ใจคนแปรเปลี่ยนได้ตลอดเวลา เดิมทีข้าวางแผนไว้ว่าอีกไม่นานจะเดินทางไปวังหลวงด้วยตัวเองสักรอบ เพื่อขอฟังคำตัดสินสุดท้ายจากฮ่องเต้สกุลเกา…”
หลี่เอ้อร์โบกมือ “อาจารย์ผู้เฒ่า นั่นเป็นเรื่องของสำนักศึกษาพวกเจ้า ข้าไม่สน ข้าไปวังหลวงครั้งนี้เป็นเรื่องในครอบครัวของข้าหลี่เอ้อร์ เอาเป็นว่าข้ารับปากว่าจะไม่นำปัญหามาให้สำนักศึกษา ข้อนี้อาจารย์ผู้เฒ่าวางใจได้”
เหมาเสี่ยวตงยิ้มเจื่อน “คำพูดนี้อาจไม่น่าฟัง แต่ยิ่งเจ้าก่อเรื่องวุ่นวายในวังหลวงได้ใหญ่โตเท่าไหร่ อันที่จริงกลับยิ่งเป็นการดีต่อสำนักศึกษามากเท่านั้น ทว่าเจ้าบุกเข้าไปในวังหลวงของราชวงศ์แห่งหนึ่งเพียงลำพัง มันอันตรายเกินไป หากไม่จำเป็นก็ไม่ควรใช้วิธีที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเช่นนี้ หากเป็นไปได้ก็ให้รองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาอย่างข้าไปพูดคุยกับฮ่องเต้ต้าสุยให้รู้เรื่องด้วยตัวเอง ให้เขากำราบตระกูลเหล่านั้น ถ้าถึงเวลานั้นแล้วเจ้าหลี่เอ้อร์ยังไม่พอใจค่อยลงมือก็ยังไม่สาย ตกลงไหม?”
หลี่เอ้อร์ส่ายหน้า “ความหวังดีของอาจารย์ผู้เฒ่า ข้าหลี่เอ้อร์รับไว้แล้ว แต่เมื่อครู่นี้ข้าก็บอกแล้วว่านี่เป็นเรื่องในบ้านของข้า ในฐานะของผู้นำครอบครัว…”
หลี่เอ้อร์รีบหยุดปาก เปลี่ยนมาพูดว่า “ในฐานะผู้ชายในบ้าน บิดาของหลี่ไหว เรื่องที่ข้าสามารถแก้ไขได้โดยอาศัยหมัด ข้าก็จะแก้ปัญหาด้วยตัวเอง ไม่คิดถึงอะไรมากมายขนาดนั้น”
เหมาเสี่ยวตงจำต้องหันไปขยิบตาให้เด็กหนุ่มชุดขาว หวังว่าคนที่เจ้าสำนวนโวหารผู้นี้จะช่วยกันบ้าง ไม่ปล่อยให้สถานการณ์ตกอยู่ในสภาวะยากลำบากชวนประดักประเดิด น่าเสียดายก็แต่ไอ้หมอนั่นตัดสินใจแล้วว่าจะนั่งภูดูสายน้ำ ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่จึงถอนหายใจ ได้แต่เปลี่ยนหัวข้อถามคำถามที่เขาใคร่รู้มาโดยตลอด “ฉีจิ้งชุนสอนหนังสืออยู่ในเมืองเล็ก วันๆ อยู่กับเด็กประถมศึกษากลุ่มหนึ่ง เขามีชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง?”
หลี่เอ้อร์อึ้งตะลึง คงคิดไม่ถึงว่าผู้เฒ่าจะถามคำถามข้อนี้ เขาต้องหยุดคิดชั่วขณะ “ก็พอได้ อาจารย์ฉีเคยไปที่บ้านข้าครั้งหนึ่ง ไม่ได้คุยอะไรกันมากนัก แต่ข้านับถืออาจารย์ฉีอย่างมาก ต่อให้เป็นผู้หญิงปากร้ายอย่างเมียข้า…ต่อให้เป็นคนที่พูดจาไม่ค่อยเป็นก็ยังชื่นชมอาจารย์ฉีไม่ขาดปาก พูดเล่นว่าหากนางเด็กกว่านี้สักยี่สิบปี รับรองว่าจะแต่งงานใหม่แน่นอน ภายหลังยังรู้สึกเสียดายที่ลูกสาวข้าอายุน้อยเกินไป”
พูดถึงเรื่องหยุมหยิมพวกนี้ ชายฉกรรจ์กลับหัวเราะอย่างมีความสุข ยังเอ่ยแถมอีกหนึ่งประโยคว่า “ข้ารู้สึกว่าหลี่ไหวมีอาจารย์อย่างอาจารย์ฉีต่างหากถึงจะเป็นวาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา”
นี่แสดงให้เห็นว่าหลี่เอ้อร์เคารพเลื่อมใสบัณฑิตอย่างฉีจิ้งชุนจากใจจริง
คราวนั้นภรรยาถูกข่วนจนเลือดอาบหน้า และตระกูลนั้นก็มีบรรพบุรุษที่เป็นเทพเซียนอยู่บนภูเขาข้างนอกพอดี ด้วยความเดือดดาล หลี่เอ้อร์หันหลังให้คนในครอบครัวแอบออกไปนอกถ้ำสวรรค์หลีจู เขาบุกรื้อจากตีนเขาไปตลอดทางจนถึงศาลบรรพชนของอีกฝ่าย แม้แต่ศาลบรรพชนก็ยังถูกเขารื้อจนเละเทะไม่เหลือชิ้นดี สุดท้ายเจ้าคนบ้าที่ไม่พูดอะไรสักคำตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่บอกแม้แต่ว่าชื่อแซ่อะไรก็ทะยานร่างจากไปไกล การต่อสู้ครั้งนั้นทำเอาคนครึ่งหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปปากอ้าตาค้าง
พอหลี่เอ้อร์กลับมาถึงเมืองเล็ก ฉีจิ้งชุนก็มาเยือนถึงบ้าน
เพราะหากคิดจะออกไปจากถ้ำสวรรค์หลีจูจำเป็นต้องได้รับการอนุญาตจากอริยะอย่างฉีจิ้งชุนเสียก่อน ในฐานะอาจารย์ของหลี่ไหว เดิมทีหลี่เอ้อร์ก็ให้ความเคารพฉีจิ้งชุนอยู่แล้ว ดังนั้นก่อนจะเกิดเรื่องเขาจึงได้ไปบอกกล่าวอีกฝ่ายก่อนแล้ว หลังจบเรื่องฉีจิ้งชุนมาเยี่ยมถึงบ้าน หลี่เอ้อร์จึงทำตัวไม่ถูกสักเท่าไหร่ กลัวว่านับแต่นี้ไปอาจารย์ในโรงเรียนท่านนี้จะเกิดความรู้สึกที่ไม่ดีต่อหลี่ไหว ตอนนั้นในบ้านมีเหล้าซ่านจิ่วเหลืออยู่อีกเล็กน้อย รสชาติย่ำแย่มากถึงขนาดที่หลี่เอ้อร์ไม่กล้าเอาออกมาให้ขายหน้าตัวเอง
ผลกลับกลายเป็นว่าฉีจิ้งชุนเรียกร้องว่าอยากดื่มเหล้าด้วยตัวเอง คนทั้งสองจึงดื่มกันคนละถ้วยอยู่ในลานบ้าน ต่างคนต่างนั่งบนม้านั่งตัวเล็ก ส่วนที่เรียกว่า “โต๊ะ” นั้น แท้จริงก็คือเก้าอี้ตัวหนึ่ง ด้านบนวางผักดองที่ทำเองหนึ่งจานและถั่วลิสงโรยเกลืออีกหนึ่งจาน
ฉีจิ้งชุนคุยเรื่องการเรียนของหลี่ไหวด้วยรอยยิ้ม “ผู้แข็งแกร่งชักดาบเข้าใส่ผู้ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า เจ้าเหมือนสหายที่เป็นดั่งพี่ชายคนหนึ่งของข้ามาก”
ชายฉกรรจ์คุยไม่เก่ง จึงตอบไปทื่อๆ “ข้าไม่มีดาบ”
ฉีจิ้งชุนดื่มเหล้าหนึ่งอึก แล้วกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ผู้แข็งแกร่งเหวี่ยงหมัดเข้าใส่ผู้ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า?”
ตอนนั้นชายฉกรรจ์เครียดมากจริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่เพราะสถานะอริยะลัทธิขงจื๊อที่ควบคุมสถานที่แห่งนี้ของฉีจิ้งชุน แล้วก็ไม่ใช่เพราะสถานะอาจารย์บุตรชายของอีกฝ่าย แต่เป็นเพราะคำวิจารณ์หกคำจากอาจารย์ของตน “มีหวังจะก่อตั้งลัทธิเรียกตัวเองเป็นบรรพบุรุษ” ความตื่นเต้นนั้นของหลี่เอ้อร์ไม่ได้เกิดจากความหวาดกลัว แต่เป็นความนับถือเลื่อมใสที่มาจากใจจริง ฟ้าดินกว้างใหญ่ วิถีวรยุทธ์ยิ่งสูงส่ง ตบะยิ่งเลิศล้ำก็จะยิ่งค้นพบว่าคนบางคนที่อยู่จุดสูง ก้าวเดินได้ร้ายกาจแค่ไหน สำหรับแผ่นหลังยิ่งใหญ่ที่อ้างว้างของคนเหล่านี้ ต่อให้หลี่เอ้อร์จะไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน แต่ก็ยังเต็มใจที่จะแสดงความเคารพนับถือที่มีน้ำหนักมากพอออกมา
ดังนั้นหลี่เอ้อร์ในเวลาได้แต่พูดทุกเรื่องออกไป “อันนี้พอจะถือว่าใช่อย่างกล้อมแกล้ม…ลูกทะเลาะกับคนอื่น ข้าไม่สามารถออกหน้าได้ แต่ไปงัดข้อกับบรรพบุรุษที่อยู่เบื้องหลังของพวกเขานั้นไม่ยาก”
ฉีจิ้งชุนชนถ้วยกับชายฉกรรจ์ ถามยิ้มๆ “ออกจากบ้านครั้งนี้รู้สึกอย่างไร?”
หลี่เอ้อร์ส่ายหน้า “ชื่อเสียงใหญ่โต ฟังดูแล้วน่าครั่นคร้าม ผลสุดท้ายกลับไม่มีใครที่ต่อสู้เป็นสักคน”
กล่าวมาถึงตรงนี้ หลี่เอ้อร์ก็ยิ้มประจบ “เหล้าไม่ดี อาจารย์ฉี ขอโทษด้วยนะ”
ฉีจิ้งชุนกลับยกซดเหล้าคุณภาพต่ำในถ้วยจนหมด ก่อนจะทอดสายตามองไกลไปยังฟ้าราตรี สีหน้าเลื่อนลอย ยิ้มตาหยี “อร่อย ตอนข้ายังหนุ่มมักจะดื่มเหล้าแบบนี้บ่อยๆ แถมนิสัยยังร้ายกาจกว่าเจ้าเยอะ”
สุดท้ายหลี่เอ้อร์รู้ว่า ต่อให้ฉีจิ้งชุนจะอยากดื่มเหล้าจริงๆ ก็ยังจงใจเหลือค้างไว้ให้เขาครึ่งกา ตอนที่ลุกขึ้นยืนได้พูดกับเขาว่า “ข้าไม่กล้าพูดว่าจะสั่งสอนให้หลี่ไหวมีความรู้มากมายเท่าไหร่ แต่จะต้องสอนให้เขาเป็นคนดี นิสัยไม่แย่ไปกว่าบิดาของเขาแน่นอน ข้อนี้เจ้าหลี่เอ้อร์วางใจได้”
หลี่เอ้อร์ลุกตาม “อาจารย์ฉี แค่นี้ก็พอแล้ว!”
หลี่เอ้อร์เดินไปส่งฉีจิ้งชุนที่หน้าประตูบ้าน ชายผู้สวมชุดลัทธิขงจื๊อเดินไปในตรอกเพียงลำพัง แผ่นหลังของเขาดูอ้างว้างเดียวดาย
ครั้งสุดท้ายที่ได้พบกับอาจารย์ฉีคือตอนที่หลี่เอ้อร์แอบหลบอยู่ห้องด้านข้างของร้านตระกูลหยาง วันนั้นฝนตกพรมลงมาบนตรอกเล็ก ฉีจิ้งชุนเดินถือร่มเดินเคียงไหล่ไปกับคนผู้หนึ่ง เดิมทีร่มก็ไม่ได้คันใหญ่อะไร แถมยังเอียงไปทางเด็กหนุ่มตรอกหนีผิงที่ชื่อเฉินผิงอันผู้นั้นเสียมากกว่า คนทั้งสองพูดคุยกัน เด็กหนุ่มเบี่ยงตัวเงยหน้ายิ้มกล่าวว่าตกลง อาจารย์กลับเบี่ยงตัวก้มหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
หลี่เอ้อร์ไม่เคยเห็นอาจารย์ฉีที่ไม่…เดียวดายแบบนั้นมาก่อน
ในเวลานี้ยืนอยู่บนยอดเขาตงหัวต่างบ้านต่างเมือง หลี่เอ้อร์มองเด็กหนุ่มข้างกายและอาจารย์ผู้เฒ่าก็คลี่ยิ้ม กล่าวว่า “บัณฑิตทั่วหล้า ไม่มีใครเทียบเคียงอาจารย์ฉีได้สักคน”
หลี่เอ้อร์นึกถึงฉีจิ้งฉุน นึกถึงเฉินผิงอัน สุดท้ายคิดถึงหลี่ไหวบุตรชายของตัวเอง
หัวใจของบุรุษผู้นี้กระเพื่อมไหวรุนแรง รู้สึกเพียงว่าคำพูดบางอย่างหากไม่เอ่ยออกมาไม่สาแก่ใจ แต่ก็บอกไม่ได้อีกว่าเพราะอะไรถึงเป็นเช่นนั้น ในเมื่อเป็นอย่างนี้ก็สู้! ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไม แค่รู้สึกว่าเหล้าครึ่งกาที่ติดค้างอาจารย์ฉีในปีนั้น ต้องสู้กับคนอื่นให้สะใจสักครั้ง แล้วค่อยดื่ม!
เรือนกายที่ไม่สูงไม่ใหญ่ของหลี่เอ้อร์จึงทะยานจากยอดเขาตงหัวแหวกอากาศออกไป วาดเส้นโค้งขนาดใหญ่ยักษ์ที่พาดผ่านครึ่งเมืองหลวง ไปตกลงกลางวังหลวงต้าสุย!
—-
บทที่ 169.2 เอาคนที่สู้เป็นมา
โดย
ProjectZyphon
วังหลวงต้าสุย ตำหนักจรุงจิตที่สง่างามเรียบง่าย ฮ่องเต้ต้าสุยเรียกเจ้ากรมพิธีการมาพบอีกครั้ง ขมวดคิ้วถาม “ทางฝ่ายของสำนักศึกษามีความเคลื่อนไหวอีกหรือไม่?”
ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยส่ายหน้า “เหมาเสี่ยวตงบอกแค่ว่าจะให้คำอธิบายแก่ฝ่าบาท แต่ไม่ได้บอกว่าจะเข้าวังตอนไหน”
บุรุษท่าทางสุภาพสวมชุดคลุมมังกรกล่าวอย่างจนใจ “ต้องเป็นต้าสุยของพวกเราที่ให้คำอธิบายแก่สำนักศึกษาพวกเขามากกว่ากระมัง ทว่าเหมาเหล่าไม่มา กว่าเหรินก็ไม่อาจเร่งรัดให้สำนักศึกษามาทวงความยุติธรรมได้”
ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยใคร่ครวญถึงคำพูดที่จะใช้อย่างระมัดระวัง หลังจากเรียบเรียงประโยคได้เรียบร้อยแล้วจึงเอ่ยคำที่ผ่านการไตร่ตรองแล้วออกมา “หากจะบอกว่าสาเหตุการทะเลาะเบาะแว้งระหว่างหลี่ไหวกับเพื่อนร่วมหอพักเป็นความขัดแย้งของเด็กๆ ก็พอจะเข้าใจได้ เป็นฝ่ายต้าสุยของพวกเราที่ทำความผิดก่อน ส่วนมรสุมน้อยใหญ่ที่เกิดขึ้นมาตามหลัง ต่างก็ผิดถูกกันคนละครึ่ง สุดท้ายตอนที่เด็กหนุ่มซึ่งชื่อว่าอวี๋ลู่ผู้นั้นลงมือ ถือว่าเกินเหตุไปจริงๆ ประเด็นสำคัญคือเด็กหนุ่มคนนี้ไม่เพียงแต่ลงมืออย่างเหี้ยมโหด อีกทั้งยังมีกลอุบายลึกล้ำ ตามคำบอกของผู้ฝึกกระบี่คนนั้น หลายครั้งที่อวี๋ลู่ลงมือแบ่งพลังออกเป็นของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่ ขอบเขตที่ห้าและหก ตอนหลังพยายามกดตบะให้อยู่ในขอบเขตที่หกตลอดเวลา การลงมือในครั้งสุดท้ายถึงจะใช้ตบะขอบเขตที่เจ็ดอย่างเหี้ยมหาญ ทำร้ายผู้ฝึกกระบี่ให้บาดเจ็บสาหัส”
ฮ่องเต้ต้าสุยพยักหน้ารับ อันที่จริงขันทีสวมชุดคลุมงูหลามที่อยู่นอกประตูผู้นั้นได้เล่าให้เขาฟังตั้งนานแล้ว เด็กหนุ่มอวี๋ลู่น่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ผู้มีตบะขอบเขตหกขั้นสูงสุด แต่ในศึกใหญ่กลางหอหนังสือครานั้นกลับใช้ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตชมมหาสมุทรเป็นหินลับมีด อาศัยเหตุการณ์ครั้งนี้ช่วยให้ตัวเองฝ่าทะลุขอบเขต ฐานกระดูก พรสวรรค์ จิตใจปณิธาน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าล้วนเป็นการเลือกสรรจากส่วนที่ยอดเยี่ยมที่สุดทั้งสิ้น
เรื่องราวและบุคคลที่บุรุษซึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรผู้นี้มองเห็นในสายตา ไม่ว่าจะเป็นความดีเลวของคน หรือแนวโน้มในการพัฒนาของเรื่องราวก็ล้วนแตกต่างไปจากขุนนางฟ้ากรมพิธีการที่เปี่ยมไปด้วยความระแวดระวังผู้นี้
ขันทีเฒ่าที่อยู่นอกประตูพลันมาหยุดอยู่ข้างกายฮ่องเต้ต้าหลี เจ้ากรมพิธีการรู้สึกเพียงว่าหูตาพร่าลาย อยู่ดีๆ ก็เห็นชุดคลุมงูหลามสีแดงสดบังขวางอยู่เบื้องหน้าฮ่องเต้ต้าสุยอย่างไม่สนใจมารยาทพิธีการระหว่างกษัตริย์กับขุนนางเลยแม้แต่น้อย
ฮ่องเต้ต้าสุยแค่รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ไม่ได้โกรธ ยิ่งไม่มีความหวาดกลัว
จากนั้นทั่วทั้งวังหลวงก็เกิดแรงสั่นสะเทือนรุนแรงราวกับวัวดินกำลังพลิกตัว
แล้วก็ได้ยินเสียงกังวานของคนผู้หนึ่งเอ่ยถาม “ฮ่องเต้ต้าสุยอยู่ไหน?”
ฮ่องเต้ต้าสุยลุกขึ้นยืน ถามยิ้มๆ “ไอ้หมอนี่ใจกล้าจริงๆ เขาแข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่?”
ขันทีสูงวัยตอบเสียงทุ้มหนัก “ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้า มีความเป็นไปได้ว่าจะไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าธรรมดา สามารถพูดได้ว่าร้ายกาจอย่างถึงที่สุด”
ฮ่องเต้ต้าสุยพยักหน้ารับ “ก็เหมือนกับบรรดฉีไต้จ้าว (ชื่อตำแหน่งขุนนาง คือยอดฝีมือในการเล่นหมากล้อม หมากรุก มีหน้าที่หลักๆ คือคอยเล่นหมากรุกเป็นเพื่อนฮ่องเต้) ที่ผู้เล่นระดับแคว้นเก้าขั้นก็มีการแบ่งแข็งแกร่งและอ่อนด้อย ระดับขั้นอาจมองดูเหมือนใกล้เคียงกัน แต่แท้จริงแล้วความต่างกลับมากมหาศาล”
ภายใต้การคุ้มกันของขันทีหนึ่งในผู้เฝ้าประตูเมืองหลวงต้าสุย บุรุษเดินออกจากตำหนักจรุงจิตพลางเอ่ยเนิบช้า “เดิมทีควรมีสิบขั้น แต่เพราะเล่าลือกันว่าในนครจักรพรรดิขาวของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมีมารใหญ่ตนหนึ่งที่เรียกตัวเองว่าขั้นสิบ บนกำแพงเมืองยังปักธงผืนหนึ่งที่เขียนว่า ‘ถ่อมตนแด่บรรพชนหมากล้อมทั่วหล้า’ ดังนั้นจึงไม่มีราชวงศ์ใดที่มีความกล้ามากพอจะประทานตำแหน่งขั้นสิบให้แก่นักเล่นหมากล้อมในแคว้นตัวเอง บอกตามตรงว่านักเล่นหมากล้อมผู้มีพรสวรรค์ในต้าสุยล้ำเลิศเป็นอันดับหนึ่งในแจกันสมบัติทวีป แต่กระนั้นต้าสุยก็ยังไม่กล้าแหกกฎข้อนี้ กว่าเหรินอยากจะไปเป็นนครจักรพรรดิขาวแห่งนั้นกับตาตัวเองจริงๆ”
ขันทีกล่าว “ลองให้ยอดฝีมือในวังหลวงหยั่งเชิงดูก่อน ฝ่าบาทค่อยปรากฏตัวก็ยังไม่สาย”
ฮ่องเต้ต้าสุยกับขันทีผู้สวมชุดคลุมลายงูหลามเพิ่งจะเดินออกมาจากระเบียงก็มีผู้ฝึกลมปราณผมขาวโพลนผู้หนึ่งเดินเข้ามารายงานสถานการณ์การต่อสู้
บนลานกว้างนอกตำหนักอู่อิง รองผู้บัญชาการณ์ทหารองค์รักษ์ส่วนพระองค์ที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเจ็ดคนหนึ่งถูกคนผู้นั้นต่อยจนหมดสติไปแล้ว ตอนนี้ยังไม่มีใครกล้าเข้าไปหามตัวรองผู้บัญชาการณ์ออกมา
คนทั้งสามเดินออกไปได้ประมาณร้อยกว่าก้าวก็มีแม่ทัพร่างกำยำสวมเสื้อเกราะสีทองอีกคนหนึ่งเข้ามารายงาน
ปรมาจารย์ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบที่เฝ้าพิทักษ์บริเวณใกล้เคียงนอกวังหลวงคนหนึ่งรุดเข้ามาในวังหลวงอย่างเร่งร้อน เพิ่งจะเรียกอาวุธอาคมออกมาก็ถูกหมัดหนึ่งของคนผู้นั้นต่อยอาวุธอาคมกระเด็นออกไปนอกวัง ส่วนตัวเขาก็ถูกอีกหมัดหนึ่งต่อยให้ลอยลิ่วไปกระแทกกับำแพง เขาไม่ได้หมดสติไป แต่ก็ไม่เหลือพละกำลังให้ต่อสู้อีกแล้ว
ฮ่องเต้ต้าหลีอืมรับหนึ่งที แล้วถามว่า “เปิดใช้ค่ายกลในวังแล้วหรือยัง?”
ขุนพลเสื้อเกราะทองพยักหน้ารับ “เปิดแล้วพะย่ะค่ะ! สามารถโคจรได้ตลอดเวลา ปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์และผู้ฝึกลมปราณใหญ่ทั้งในและนอกเมืองหลวง ตอนนี้ต่างก็มุ่งหน้ามาที่วังหลวง”
ฮ่องเต้ต้าสุยถาม “คนผู้นั้นได้ลงมือก่อนบ้างหรือไม่?”
ขุนพลฝ่ายบู๊ส่ายหน้า “ไม่เลย แค่บอกว่าต้องการพบฝ่าบาท หากพวกเราลงไม้ลงมือ เขาก็จะยืนนิ่งอยู่กับที่”
ฮ่องเต้ต้าสุยพูดกับตัวเอง “ความผิดเดิมไม่ทำซ้ำสาม”
ขันทีสวมชุดลายงูหลามเอ่ยยิ้มๆ “ในเวลาอย่างนี้ฝ่าบาททรงอย่าพิถีพิถันกับเรื่องพวกนี้เลย ให้ข้าไปพบเขาก่อนเถิดพะย่ะค่ะ หากยังคงแพ้ ฝ่าบาทค่อยเผยกาย”
ฮ๋องเต้ต้าสุยเอ่ยหยอกเย้า “พวกเจ้าต่างก็เป็นคนที่เดินบนวิถีของการฝึกวรยุทธ์เหมือนกัน อย่าให้แพ้จนน่าเกลียดเกินไปนักล่ะ”
ฐานะของขันทีเฒ่าสูงส่ง ในอดีตเคยรับใช้อดีตฮ่องเต้ต้าสุยมาสามสมัย ได้ยินประโยคนี้ก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หากไม่ถึงที่สุดจริงๆ พวกเราไม่มีทางใช้ปราณมังกรของเมืองหลวง”
ขันทีเฒ่าแตะปลายเท้าเบาๆ พริบตาเดียวก็พุ่งไปอยู่บนหลังคาของตำหนักแห่งหนึ่ง แล้วกระโดดไปกลางอากาศเหมือนกบแตะผิวน้ำ บังคับลมพุ่งไปด้านหน้าประหนึ่งเทพเซียนที่เดินทางท่องเที่ยว
ขอบเขตของผู้ฝึกยุทธ์ในโลก ขอบเขตแปดคือขอบเขตจำแลงขนนก จะสามารถลอยตัวอยู่กลางอากาศ บังคับลมเดินทางไกล จึงเป็นสาเหตุให้มีชื่อเรียกอีกอย่างว่าขอบเขตเดินทางไกล
ส่วนขอบเขตเก้าขั้นสูงสุดก็คือปรมาจารย์ขอบเขตปลายทางในสายตาของคนในยุทธภพ ความหมายก็ถือเส้นทางแห่งวรยุทธ์ใต้ฝ่าเท้าได้เดินมาจนถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ระดับความแข็งแกร่งของเรือนกายเหนือกว่าร่างอรหันต์ทองคำของลัทธิพุทธ ในบรรดาผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางซึ่งไม่นับรวมนักพรตขอบเขตสิบ หากถูกขอบเขตเก้าเข้าใกล้ในระยะสิบจั้ง โดยที่ไม่มีอาวุธอาคมระดับสูงสุดคุ้มกันกายก็ต้องมีจุดจบด้วยความตายกันแทบทุกคน
ขันทีเฒ่าสวมชุดคลุมลายงูหลามสีแดงสดพลิ้วกายลงบนลานกว้างนอกตำหนักอู่อิง อยู่ห่างจากชายฉกรรจ์ที่หน้าตาไม่โดดเด่นผู้นั้นประมาณยี่สิบกว่าจั้ง
ก่อนหน้าที่ขันทีใหญ่ผู้นี้จะปรากฏตัว พื้น หลังคาและกำแพงทั่วทั้งวังหลวงต่างก็มีแสงสีทองชั้นหนึ่งปรากฎขึ้นเหมือนกระแสน้ำสีทองที่ไหลรินเอื่อยเฉื่อย ท่ามกลางน้ำสีทองบางๆ ชั้นหนึ่งที่แผ่ไปทั่วพื้นดินพอจะมองเห็นภาพมายาของเจียวและมังกรที่แสยะปากกางกรงเล็บ แผ่พลังอำนาจน่ากริ่งเกรงได้รำไร
ค่ายกลหลังนี้ของวังหลวงต้าสุยมีชื่อว่ากำแพงมังกร
ราชวงศ์ต้าสุยสงบสุขมาเนิ่นนาน กำแพงมังกรจึงไม่เคยถูกใช้งานมาร้อยกว่าปีแล้ว
เมื่อค่ายกลหลังนี้ถูกเปิดใช้ ตลอดทั้งวังหลวงจึงทอแสงทองอร่าม ขันทีเฒ่าที่เคยผ่านศึกใหญ่โหดร้ายครั้งนั้นมากับตัวพลันสับสนด้วยความรู้สึกมากมายประดังประเดเข้ามา
“นึกไม่ถึงว่าพวกเราจะได้พบหน้ากันอีกแล้ว”
ขันทีเฒ่ามือหนึ่งไพล่หลัง มือหนึ่งกำเป็นหมัดวางไว้ตรงหน้าท้อง “แลกกันสามหมัด หากเจ้าชนะ ก็จะได้พบฝ่าบาทของพวกเรา”
ตอนนั้นที่อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูก็เป็นชายฉกรรจ์ผู้นี้ที่ถือกรงราชามังกรไว้ในมือ คิดจะขายปลาหลีสีทองที่อยู่ด้านในให้กับเด็กหนุ่มจากตรอกยากจนคนหนึ่ง
ทว่ากลับถูกผู้เฒ่ากับองค์ชายเกาเซวียนดักชิงโชควาสนาใหญ่สองส่วนไปกลางคัน
ในเวลานั้นชายฉกรรจ์เก็บซ่อนตัวตนได้อย่างลึกล้ำ บวกกับการสยบเวทอาคมของถ้ำสวรรค์หลีจู ผู้เฒ่าจึงมองไม่ออกว่าอีกฝ่ายคือปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์คนหนึ่ง
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นสีหน้าไร้อารมณ์ ไม่คิดจะตีสนิทกับขันทีเฒ่าชุดงูหลามสีแดง เพียงเอ่ยด้วยภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปที่ค่อนข้างจะผิดเพี้ยนว่า “ข้าต่อให้เจ้าต่อยก่อนสองหมัดก็แล้วกัน”
ขันทีเฒ่าเลิกคิ้วสูง “ตกลง!”
ชายฉกรรจ์ไม่พูดอะไรอีก ลมปราณจมสู่จุดตันเถียน ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ลานกวางนอกตำหนักอู่อิงเริ่มเกิดเสียงแตกร้าว ทว่าชายฉกรรจ์กลับยืนนิ่งประดุจขุนเขาที่ตั้งตระหง่านกลางวังหลวงต้าสุย
ในรัศมีสิบลี้โดยมีเขาเป็นจุดศูนย์กลาง แสงสว่างสีทองบนพื้นพลันหม่นมัวลง
ขันทีเฒ่าสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง เริ่มก้าวเดินไปข้างหน้าประมาณหนึ่งชุ่น จากนั้นแต่ละก้าวที่ตามมาก็เริ่มกว้างขึ้นเรื่อยๆ ก้าวสุดท้ายไกลถึงสองจั้ง พลังอำนาจน่าเกรงขาม พอมาหยุดอยู่ด้านหน้าชายฉกรรจ์แล้วก็ปล่อยหมัดต่อยไปที่หน้าอกของอีกฝ่าย
เสียงกัมปนาทดังสนั่นหวั่นไหว
ประหนึ่งระฆังใบใหญ่ถูกตีก้องดังไปทั้งวังหลวง
เจียวสีทองตัวหนึ่งที่เดิมทีว่ายวนอยู่บนพื้นของลานกว้างนอกตำหนักอู่อิงถูกลมปราณยิ่งใหญ่ขุมนี้กระแทกชน ร่างที่อยู่ท่ามกลางม่านกระแสน้ำสีทองจึงกลิ้งหลุนๆ ไปด้านหลังทันที สุดท้ายไปขดตัวอยู่ในมุมของกำแพงสูงแห่งหนึ่งที่ห่างไปไกล ให้ตายก็ไม่ยอมขยับตัว
ชายฉกรรจ์ถอยไปสามสี่ก้าว ยังคงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “เหลืออีกหนึ่งหมัด”
ขันทีเฒ่าไม่พูดไม่จา ชุดคลุมสีแดงสดสะบัดพึ่บพั่บ ย่างเท้าออกไปก้าวหนึ่งพลางคำรามกร้าว ส่งอีกหมัดให้กระแทกลงบนหน้าผากของชายฉกรรจ์
หมัดนี้ไม่ว่าจะเป็นตอนออกหมัดหรือตอนปะทะกับหน้าผากของอีกฝ่ายล้วนเงียบกริบ
ทว่าองค์รักษ์ส่วนพระองค์และนางกำนัลกับขันทีจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ในวังต่างก็ได้รับการโจมตีอย่างรุนแรง กลุ่มคนฝ่ายแรกมีตบะเป็นพื้นฐาน จึงรู้สึกเพียงว่าเยื่อหูสั่นสะเทือน เลือดลมปั่นป่วนยากสงบ ทว่าฝ่ายหลังมีหลายคนที่ร่างปลิวหวือออกไป พอร่วงกระแทกพื้นแล้วหูทั้งสองข้างต่างก็มีเลือดสดทะลักอาบน่าสยดสยอง
หมัดที่เหวี่ยงออกมาเต็มแรงของขันทีเฒ่าต่อยให้ร่างของชายฉกรรจ์ลอยลิ่วไปกระแทกกับผนังสูง ทว่าเพียงไม่นานเขาก็ใช้ฝ่ามือสองข้างดันผนังด้านข้าง ดึงตัวเองออกมาจากในกำแพง กระโดดลงพื้นเบาๆ ก่อนเดินเข้าหาขันทีอายุมากที่ปล่อยหมัดไปแล้วสองครั้งพลางเอ่ยด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนไปจากเดิม “เจ้ายังเหลืออีกหนึ่งหมัด ลงมือได้เต็มที่ แต่คราวนี้ข้าเองก็ต้องแสดงฝีมือบ้างแล้ว”
นับตั้งแต่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเจ็ดก่อนหน้านี้ ภายหลังเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบ มาจนถึงหนึ่งในคนเฝ้าประตูเมืองหลวงอย่างท่านผู้นี้ นับรวมแล้วชายฉกรรจ์ออกหมัดไปแค่ครั้งเดียว
หมัดเดียวเท่านั้น
และชายฉกรรจ์ก็เป็นคนซื่อสัตย์ตรงไปตรงมามากพอ เขาไม่คิดจะรังแกผู้ใดจริงๆ
ขันทีสูงวัยสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง “โปรดชี้แนะ!”
ชายฉกรรจ์เริ่มการจู่โจม หมัดเรียบง่ายที่พุ่งตรงมาต่อยลงบนหน้าอกของขันทีเฒ่า
นาทีถัดมาบนลานกวางของตำหนักอู่อิงก็ไม่มีเงาร่างของขันทีต้าสุยผู้นี้อยู่อีก ทว่าตรงกำแพงสูงกลับเกิดโพรงขนาดใหญ่ ชายฉกรรจ์รออยู่พักหนึ่ง ไม่เห็นว่ามีคนเดินออกมาจากทางนั้น เขาถึงได้เอ่ยว่า “ฮ่องเต้ต้าสุย หากเจ้าจะหลบซ่อนตัวต่อไปก็ส่งคนที่สู้เป็นออกมา ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ให้มาพร้อมหมดทีเดียว!”
—–
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น