ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา 169-176
บทที่ 169 สมาชิกใหม่ของฟาร์มปลา
โดย
Ink Stone_Fantasy
ปลายเดือนมิถุนายน อากาศก็ร้อนระอุขึ้นมาแล้ว
กินมื้อเย็นเสร็จ ฉินสือโอวก็กลับไปที่ห้องนอนแล้วเปิดหน้าต่างออกเป็นอันดับแรก ในคฤหาสน์มีแอร์แต่เขาไม่เคยใช้เลย ลมทะเลตอนกลางคืนโชยเอื่อยเย็นสบาย ตอนลมพัดมารู้สึกสบายตัวมากกว่าโดนลมเย็นเยือกจากแอร์เป่าเสียอีก
เพราะอากาศร้อนแล้ว เดือนนี้หู่จือกับเป้าจือและฉงต้าจึงไม่ได้นอนในห้องนอน พวกมันย้ายรังกันไปนอนใต้ต้นเมเปิลเรียบร้อยแล้ว
แต่ว่าคืนนี้เจ้าสี่ตัวซึ่งรวมต้าป๋ายแล้วกลับรีบวิ่งกลับกันมาส่ายหางรอฉินสือโอวที่ห้องนอนเพราะกลัวจะไม่เจอเขา
ฉินสือโอวกล่อมทั้งสี่นอนเหมือนกล่อมเด็ก ต้าป๋ายซุกเข้าอกของฉงต้า เจ้าสองตัวนี้ก็ไม่รู้สึกร้อนบ้างหรือไง
หลังจากบนทิ้งตัวนอนลงบนเตียงแล้ว ฉินสือโอวก็เข้าไปดูในทะเลเสียหน่อย เขานึกได้ว่าไม่ได้ไปดูทะเลในเขตโรงงานเคมีมานาน พอไปดูก็พบว่าบริเวณนั้นกลายเป็นแหล่งสวรรค์ของสาหร่ายไปแล้ว
สาหร่ายสีน้ำตาลแต่ละเส้นที่ยาวสิบกว่าเมตรไปจนถึงหลายสิบเมตรขึ้นอยู่แถวโขดหินน่านน้ำนอกชายฝั่ง พวกมันมีสีน้ำตาลอมเหลืองหรือไม่ก็อมเขียวและกำลังพลิ้วไหวไปตามคลื่นทะเลราวงูยักษ์
นี่ยังแค่แถวน่านน้ำนอกชายฝั่งซึ่งมีพื้นที่ให้สาหร่ายสีน้ำตาลโตได้ไม่มากพอ แต่เมื่อไปถึงจุดน้ำลึกที่ห่างไปสี่ห้าร้อยเมตร สาหร่ายสีน้ำตาลก็โตได้น่ากลัวยิ่งกว่าเดิม
สาหร่ายสีน้ำตาลในเขตทะเลลึกโตได้ถึงสามสี่ร้อยเมตร รากของพวกมันฝังลึกเข้าไปในดิน ลำต้นหนึ่งพุ่งผ่านสิ่งกีดขวางสู่ผิวน้ำราวดาบคม
สาหร่ายสีน้ำตาลต้นใหญ่แบบนี้มีก้านที่ดูเหมือนกิ่งไม้หลายร้อยอัน บนก้านมีใบไม้แผ่ออกมา บางใบยาวถึงสองเมตรกว่าและกว้างถึงยี่สิบเซนติเมตร พวกมันลอยตัวกระจายในทะเลกินพื้นที่กว้างขวาง คอยผลิตออกซิเจนให้กับน้ำทะเล และเป็นอาหารให้กับแพลงก์ตอนด้วย
ที่สาหร่ายสีน้ำตาลทั้งหมดสามารถลอยอยู่ในน้ำทะเลได้ก็เพราะบนใบของมันมีถุงลมซึ่งสามารถสร้างแรงพยุงที่มากพอให้ใบของสาหร่ายสีน้ำตาลรวมถึงทั้งต้นลอยขึ้นมาได้ ถุงลมเหล่านั้นจะเรียงรายอย่างเป็นระเบียบอยู่สองข้างของเส้นใบหลักเพื่อรักษาสมดุลของสาหร่ายเวลาอยู่ในน้ำ
ตอนนี้จากเขตน่านน้ำบริเวณโรงงานเคมีเป็นศูนย์กลาง สาหร่ายสีน้ำตาลได้ยึดครองทะเลไปแล้ว ฉินสือโอวประเมินผลกระทบของจิตสำนึกโพไซดอนที่มีต่อสาหร่ายสีน้ำตาลต่ำเกินไป ภายใต้การเร่งของพลังแบบนี้ทำให้มันโตเกินขีดจำกัด ในทะเลธรรมดาสาหร่ายสีน้ำตาลที่มีความสูงถึงสองร้อยเมตรเป็นสิ่งที่หาได้ยาก แต่มันกลับหาได้มากมายในระยะสามสี่ร้อยเมตรบริเวณนี้
ฉินสือโอวค่อนข้างยินดีกับผู้ยึดครองแบบนี้ เขาคิดกระทั่งว่าถ้าเป็นแบบนี้ก็ไม่จำเป็นต้องพัฒนาแนวปะการังแล้วมาพัฒนาแนวสาหร่ายสีน้ำตาลแทนก็ได้ จะได้ทำให้ฟาร์มปลาเขากลายเป็นอเมซอนในทะเลไปซะเลย
สาหร่ายสีน้ำตาลก็สามารถเป็นที่พักพิงให้เหล่าปลาได้เหมือนกับแนวปะการัง อีกอย่างมันยังมีข้อดีที่แนวปะการังเทียบไม่ได้ก็คือการผลิตออกซิเจนและเป็นอาหาร
พอสัมผัสได้ถึงจิตสำนึกโพไซดอน เหล่างูทะเลที่ดูดุร้ายก็พากันว่ายเข้ามา ตอนนี้จะเรียกว่างูทะเลก็คงจะไม่เหมาะ คงต้องเรียกว่ามังกรทะเลถึงจะเหมาะกว่า
งูทะเลที่เป็นจ่าฝูงมีลำตัวยาวเกือบๆ สิบเมตร สีสันสดใส แววตาเย็นชา เขี้ยวพิษคมกริบ มันเป็นเสมือนราชาในแนวสาหร่ายสีน้ำตาล คอยประคับประคองทุกอย่างและอยู่เหนือทุกสิ่ง
แต่เมื่ออยู่ภายใต้จิตสำนึกโพไซดอน เหล่างูทะเลกลับมีนิสัยอ่อนโยนมาก พวกมันเลื้อยว่ายไปในน้ำตามจิตสำนึกโพไซดอนไปในแนวสาหร่ายสีน้ำตาลราวกับองครักษ์ผู้ซื่อสัตย์
หลังจากฉินสือโอวใช้จิตสำนึกโพไซดอนขู่พวกคนจากโรงงานเคมีที่ต้องการกำจัดสาหร่ายสีน้ำตาล เขาก็ไม่ได้มาดูพวกมันอีก ตอนแรกเขากะว่าจะให้พวกมันอยู่ตามมีตามเกิด คิดว่างูทะเลพวกนี้จะไปจากทะเลแถบนี้และว่ายตามกระแสน้ำอุ่นไปยังสถานที่อย่างอ่าวเม็กซิโกอะไรประมาณนั้น
แต่ปรากฏว่าพวกงูทะเลยังอยู่ที่นี่ ราชางูสั่งการให้บริวารคุมแนวสาหร่ายสีน้ำตาลอันกว้างขวางนี้เหมือนเป็นกองทหารรักษาการณ์ที่ฉินสือโอวทิ้งไว้ที่นี่เพื่อคอยอารักขาทะเลแถบนี้ให้เขา
สาหร่ายสีน้ำตาลดึงดูดปลาเล็กปลาน้อยจำนวนมากเข้ามา และงูทะเลพวกนี้ก็กินเหล่าปลาตัวเล็กตัวน้อยเป็นอาหาร การใช้ชีวิตเช่นนี้ก็ถือว่ามีรสชาติไม่เลว
พอสัมผัสได้ถึงความภักดีจากฝูงงูทะเล ฉินสือโอวก็แอบซาบซึ้งและเป็นกังวลในขณะเดียวกัน งูทะเลพวกนี้ตัวใหญ่มาก พิษก็ร้ายแรง ถ้าต่อไปเกิดไปทำร้ายใครขึ้นมาจะทำยังไง?
เขาได้แต่ใช้จิตสำนึกโพไซดอนสื่อสารกับงูทะเลว่าพยายามอย่าขึ้นไปบนบกเวลากลางวัน และอย่าทำร้ายชีวิตสิ่งมีชีวิตอื่นนอกจากพวกปลาตัวน้อยๆ
แม้จะไม่ค่อยชอบงูทะเล แต่ฉินสือโอวก็ไม่ได้อยากทำร้ายพวกมัน งูทะเลพวกนี้ภักดีกับเขา ถ้าเขาเป็นโพไซดอน งั้นงูทะเลตัวนั้น หรืออาจจะเรียกว่ามังกรทะเล ก็เป็นกองทหารซึ่งเป็นอาวุธสำคัญของโพไซดอน
พอจัดการฝูงมังกรทะเลเรียบร้อยแล้วฉินสือโอวก็กะจะจากไป แต่เขาก็เจอกับปลาตัวใหญ่ที่มีสีน้ำตาลเทาด้านข้างและมีสีเงินออกน้ำตาลที่ท้อง
ปลาพวกนี้ล้วนมีลำตัวที่ยาวกว่าหนึ่งเมตรครึ่ง หน้าตาของมันดูขี้เหร่และแปลกประหลาด รูปร่างด้านข้างแบน บนหัวมีดวงตาเปล่งประกายสองข้างและปากเล็ก ที่หลังและท้องมีครีบหลังและครีบก้นที่ทั้งสูงและยาว ส่วนท้ายของลำตัวก็มีหางเป็นลวดลายพลิ้วไหว
ดูจากภายนอกปลาชนิดนี้ดูเหมือนจานใบโต รูปร่างออกสั้นแต่ข้างตัวอ้วน หัวและปากเล็ก ครีบท้ายสั้นมาก ไม่มีครีบท้องและไม่มีหาง ดูราวกับโดนเอามีดตัดส่วนล่างไป
“ปลาแสงอาทิตย์?” ฉินสือโอวพินิจมองอย่างสนใจ
ปลาสองสามตัวกำลังแหวกว่ายอย่างเกียจคร้านในทะเล ตอนพวกมังกรทะเลเข้าใกล้ก็ยังไม่กลัว พวกมันใช้ดวงตาเป็นประกายมองดูแล้วกินสาหร่ายสีน้ำตาลตรงหน้าต่อไปอย่างสุขุม
มังกรทะเลไม่ได้สนใจเจ้าพวกนี้ เพราะพวกมันมีอาหารที่เพียงพอและจับง่ายกว่าอย่างปลาตัวเล็กๆในทะเล อีกอย่างปลาแสงอาทิตย์ก็ตัวใหญ่และแข็งแรงเกินไป พวกมันกินไม่ลง
ทั้งสองฝ่ายว่ายผ่านกันไปโดยที่ต่างคนต่างอยู่
ฉินสือโอวกลับมาที่ฟาร์มปลาของตัวเองก็พบว่ามีปลาแสงอาทิตย์ที่ฟาร์มของตัวเองด้วย แต่มันตัวเล็กกว่าที่เขาเจอในแนวสาหร่ายสีน้ำตาลและกำลังไล่จับแมงกะพรุนกินเป็นอาหาร
แม้ว่าปลาแสงอาทิตย์ตัวใหญ่จะเคลื่อนไหวได้เชื่องช้า แต่ปลาตัวเล็กพวกนี้กลับปราดเปรียวมาก พูดกับตามความจริง เจ้าปลานี่มันขี้เหร่สุดๆ ฉินสือโอวรู้สึกว่าถ้าปลาพวกนี้มีสติรับรู้คงต้องร้องไห้เพราะความขี้เหร่ของตัวมันเองแน่
แต่การมาของปลาแสงอาทิตย์พวกนี้กลับเป็นเรื่องดี เพราะอาหารอันดับหนึ่งของมันก็คือแมงกะพรุนซึ่งฉินสือโอวกำลังปวดหัวกับแมงกะพรุนจำนวนมากในฟาร์มพอดี ขอแค่เลี้ยงปลาแสงอาทิตย์ไว้สักหน่อยปัญหานี้ก็จะหมดไป
เลี้ยงปลาแสงอาทิตย์ก็ไม่เลว พวกมันมีคุณค่าทางเศรษฐกิจ นอกจากจะเอามาวิจัยทางวิทยาศาสตร์และชื่นชมความสวยงามแล้ว มันยังเป็นอาหารที่แพงมากอีกด้วย
แต่ปลานี้ก็ยังมีข้อเสียอย่างหนึ่ง นั่นก็คือเนื้อน้อย หลังจากลอกหนังแล้วเนื้อของมันจะมีไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วนของน้ำหนัก แต่คุณภาพเนื้อกลับดีเยี่ยม สารอาหารสูง ปริมาณโปรตีนก็สูงกว่าปลามีชื่ออย่างจะละเม็ดเสียอีก
อีกอย่างไส้ปลาของพวกมันก็เป็นอาหารชั้นเลิศในยุโรป ทั้งกรอบทั้งหอม ปรุงเสียหน่อยก็กระตุ้นความอยากอาหารขึ้นมาได้มาก
ตอนนี้ฉินสือโอวกำลังรอ รอให้ปลาแสงอาทิตย์ตัวเมียในฝูงมาวางไข่ขยายพันธุ์
ปลาแสงอาทิตย์ตัวเมียขยายพันธุ์ได้เยอะมาก ปลาตัวเมียหนึ่งตัววางไข่ได้ครั้งละ 25 ล้านถึง 300 ล้านฟองเลยทีเดียว แต่เพราะส่วนหนึ่งตายจากการไม่ได้รับการปฏิสนธิ ส่วนไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิและลูกปลาเล็กอีกส่วนหนึ่งก็จะถูกปลากิน บวกกับลูกปลาที่เพิ่งฟักออกมาจะอ่อนแอมาก พอพายุเข้าคลื่นลงโหมกระหน่ำแรงก็จะทำให้ลูกปลาตายไปอีกส่วนหนึ่ง
ฉะนั้นหลังจากผ่านมรสุมนั้นมาได้ ลูกปลาที่โตเป็นปลาเต็มวัยได้จึงเหลือไม่เยอะ ดังนั้นแม้ว่าปลาแสงอาทิตย์จะวางไข่ได้มาก แต่ปลาแสงอาทิตย์ในทะเลกลับหายาก โอกาสเจอก็มีน้อย ปลาแสงอาทิตย์ตัวหนึ่งวางไข่ 300 ล้านฟอง c9jจะมีแค่ประมาณสามสิบตัวเท่านั้นที่จะอยู่รอดจนฤดูผสมพันธุ์
ปลาแสงอาทิตย์ที่มาปรากฏตัวในฟาร์มของฉินสือโอวในครั้งนี้มีห้าสิบกว่าตัวซึ่งถือว่าเป็นฝูงใหญ่แล้ว ไม่รู้ว่าพวกมันมาจากไหน บางทีมันอาจจะเป็นฝูงเดียวกัน พวกที่แอบอยู่ในแนวสาหร่ายสีน้ำตาลคงจะเป็นปลาพ่อแม่ ส่วนที่ไล่กินแมงกะพรุนคงเป็นลูกหลานปลา
ปลาแสงอาทิตย์พวกนี้ฉลาดมาก หลังจากโตแล้วพวกมันจะเคลื่อนไหวช้าจึงทำให้ปกป้องตัวเองได้ยากเลยกลายเป็นเหยื่อของพวกปลากินเนื้อได้ง่าย ตอนนี้พอเห็นแนวสาหร่ายก็เลยว่ายมาซ่อนตัวโดยเฉพาะ
แนวสาหร่ายสีน้ำตาลสามารถเป็นที่ซ่อนและคุ้มภัยให้กับปลาแสงอาทิตย์ได้ และยังมีงูทะเลที่ไม่สนใจพวกมันแต่กลับมีฤทธิ์ทำให้ปลาที่กินเนื้อเป็นอาหารอย่างพวกฉลามหวาดกลัวได้สามารถปกป้องพวกมันได้อีกอย่างไม่ต้องสงสัย
ด้วยเหตุนี้จึงเรียกได้ว่าแนวสาหร่ายเป็นจุดที่ปลอดภัยที่สุดของปลาแสงอาทิตย์แล้ว
ที่ทำให้ฉินสือโอวดีใจยิ่งกว่านั้นคือ ตอนที่เขาถ่ายจิตสำนึกโพไซดอนให้ปลาทูน่าครีบเหลืองก็พบว่าเจ้านั่นพาปลาตัวเมียมาด้วย และปลาตัวนั้นก็ท้องอยู่
นั่นหมายความว่ายังไงล่ะ? หมายความว่าหากฉินสือโอวทำมาตรการป้องกันได้ดี ฟาร์มปลาของเขาก็จะมีฝูงครอบครัวปลาทูน่าครีบเหลืองแล้ว ปลาตัวเมียตัวหนึ่งสามารถวางไข่ได้ราวระหว่าง 2-8 ล้านฟอง ขอแค่ดูแลอย่างเหมาะสมก็จะมีปลาทูน่าครีบเหลืองอย่างน้อยพันตัวที่สามารถอยู่รอดต่อไปได้
ปลาทูน่าสีเหลืองโตเต็มวัยที่มีน้ำหนักร้อยกว่ากิโลกรัมตัวหนึ่งอย่างต่ำก็ขายได้ถึงหนึ่งแสนดอลลาร์แคนาดา นั่นคือหลายร้อยล้านดอลลาร์แคนาดาเลยนะ!
นี่เป็นครั้งแรกที่ฉินสือโอวตระหนักได้ว่าจริงๆ แล้วขอแค่ดูแลฟาร์มให้ดี ฟาร์มก็จะทำเงินได้ไม่แย่ไปกว่าสมบัติในท้องทะเลเลย
แน่นอนว่าปลาทูน่าครีบเหลืองไม่ได้ขยายพันธุ์ได้ง่ายดายขนาดนั้น ปลาพันธุ์นี้โตช้า จากลูกปลาจนโตได้สามสี่กิโลกรัมยังไงต้องใช้เวลาประมาณสิบเดือน โตจนสองเมตร น้ำหนักหนึ่งร้อยกิโลกรัมก็ต้องใช้เวลาสิบยี่สิบปี หนำซ้ำในฟาร์มปลานิวฟันด์แลนด์ที่มีอุณหภูมิค่อนข้างต่ำก็ยิ่งโตช้าไปอีก
แต่ขอแค่มีความหวังก็พอไม่ใช่เหรอ? อีกอย่างฉินสือโอวยังมีของเหนือธรรมชาติอย่างจิตสำนึกโพไซดอนเอาไว้เร่งการเติบโตด้วย
เดิมทีสองสามีภรรยาปลาทูน่าครีบเหลืองกำลังแหวกว่ายสะบัดครีบตามกันท่องยุทธภพอย่างว่องไว
ปรากฏว่าพอได้จิตสำนึกโพไซดอนโผล่ออกมา ต้าหวงก็นิ่งงันไม่ขยับเขยื้อน ปลาทูน่าครีบเหลืองตัวเมียก็ตกใจจนรีบลดความเร็วแล้วว่ายไปหาสามี
ฉินสือโอวรู้สึกมีความสุข เขาใช้จิตสำนึกโพไซดอนควบคุมปลาตัวเมียตัวนั้นก่อนจะถ่ายพลังโพไซดอนให้ นี่เป็นถึงแม่ปลาที่แบกชีวิตหลายร้อยล้านเชียวนะ ต้องทำให้แน่ใจว่ามันสมบูรณ์แข็งแรง
ตอนแรกฉินสือโอวกะจะให้เจ้าปลาทูน่าครีบเหลืองไปเอาไข่มุกดำที่เจอในช่วงก่อนหน้านี้กลับมาที่ฟาร์มปลา ตอนนี้พอดูๆไปแล้ว ต้าหวงคงมีเรื่องที่สำคัญกว่าต้องทำ นั่นก็คือปกป้องเมียของมัน
แต่ฉินสือโอวรู้สึกว่าต้าหวงคงดีใจที่จะได้เป็นพ่อ มันกับปลาทูน่าครีบเหลืองตัวเมียตัวนั้นคงอยู่ด้วยกันมานานแล้ว และปลาตัวเมียตัวนั้นก็ท้องมาได้ช่วงหนึ่งแล้วด้วย
แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่ได้สำคัญอะไร รสชาติของปลาสาวคงจะอร่อยกว่า ดีไม่ดีต้าหวงอาจจะเป็นปลาเจ้าชู้ตามแบบโจโฉก็ได้
และเพื่อที่จะป้องกันสิ่งไม่คาดคิด ฉินสือโอวจึงให้เมียของต้าหวงไปอยู่ที่ฟาร์มก่อน ถ้าชอบทะเลลึกก็ไปอยู่ที่แนวสาหร่ายสีน้ำตาลก็ได้ ที่นั่นมีมังกรทะเลคุ้มครอง ปลอดภัยกว่าค่ายทหารกองกำลังพิเศษเสียอีก มังกรทะเลถนัดรบแถมยังมีพิษร้ายเทียบได้ทักษะเวทมนตร์ ต่อให้วาฬเพชฌฆาตยาวสิบเมตรไปเองก็ยังต้องยอม!
……………………………………………..
บทที่ 170 งานหนักของหมึกกล้วย
โดย
Ink Stone_Fantasy
พอไปดูที่ถิ่นไข่มุกดำก็ดูปลอดภัยดี ไม่ได้มีปลาใหญ่สนใจเจ้าพวกที่มีเกราะเงินเทาทั้งตัวพวกนี้
ฉินสือโอวครุ่นคิดสักพัก แต่ก็ยังคิดไอเดียดีๆ ที่จะขนส่งไม่ได้ ได้แต่ใช้วิธีเดิม คือขับเรือประมงต่อแล้วใช้แรงคนเคลื่อนย้าย
คิดได้แบบนั้นเขาก็รู้สึกว่าตัวเองจำเป็นต้องเลี้ยงปลาหมึกยักษ์หรือไม่ก็ปลาหมึกกล้วยเสียแล้ว
เขาวิ่งไปที่เรือดังเคิลออสเตียสอีกครั้ง ที่นี่มีหมึกกล้วยอยู่เยอะ แล้วยังเป็นปลาหมึกแอตแลนติกด้วย เป็นหมึกกล้วยชนิดหายาก แน่นอนว่าเทียบกับหมึกโคลอสซัลหรือปลาหมึกยักษ์แล้วถือว่าละลานตาทีเดียว
ปกติแล้วปลาหมึกกระดองแอตแลนติกตัวโตได้ถึงหนึ่งเมตร ตรงนี้อาจมีความเข้าใจผิดอย่างหนึ่ง หลายคนแยกระหว่างปลาหมึกยักษ์กับปลาหมึกกระดองแล้วก็ปลาหมึกกล้วยไม่ออก นึกว่าพวกมันน่าจะเป็นชนิดเดียวกัน จริงๆแล้วไม่ใช่แบบนั้น พูดง่ายๆก็คือหัวของปลาหมึกยักษ์เป็นทรงกลม ส่วนลำตัวของปลาหมึกกระดองจะยาว นี่คือจุดต่างที่ชัดที่สุด
ฉินสือโอวเลือกแต่ปลาหมึกกระดองแอตแลนติกที่โตเต็มวัย ลำตัวล้วนยาวอย่างน้อยหนึ่งเมตร หนวดของพวกมันมีกำลังกว่า และยาวกว่า เลือกไปเลือกมาก็ได้ปลาหมึกกระดองมาร้อยกว่าตัว แล้วใช้จิตสำนึกโพไซดอนควบคุมพวกมันทั้งหมดไว้
ปลาหมึกกล้วยเป็นอาหารทะเลที่พบได้บ่อย อาศัยอยู่ในทะเลเอเชียตะวันออก ปลาหมึกกล้วยแบบนี้ปกติมักจะอาศัยอยู่ในเขตน้ำตื้น ความลึกของน้ำลึกไม่เกินสองร้อยเมตร
บรรพบุรุษปลาหมึกกระดองแอตแลนติกกับปลาหมึกกล้วยเอเชียตะวันออกไม่เหมือนกัน พวกมันชอบอาศัยอยู่ในแถบน้ำลึกสี่ห้าร้อยเมตร ซึ่งก็เกี่ยวกับสภาพแวดล้อม ในมหาสมุทรแอตแลนติกมีปลากินเนื้อขนาดใหญ่มากมาย และปลากินเนื้อแทบทุกชนิดจะกินพวกปลาหมึกกระดอง หมึกยักษ์เป็นอาหาร ฉะนั้นพวกมันเลยจำเป็นต้องไปซ่อนตัวในทะเลลึก
เตรียมงานเรียบร้อยแล้ว ฉินสือโอวก็หลับตานอน เขาเป็นคนใจร้อน กะว่าวันที่สองตื่นแล้วจะไปจัดการปัญหาหมึกกล้วยกับหอยมุกดำเสีย
ตื่นมาตอนหกโมง เขาคาดว่าเหมาเหว่ยหลงคงไม่ตื่นก่อนเก้าโมงแน่ ส่งข้อความจากมือถือบอกไว้ว่าจะไปล่องทะเลเสร็จก็พาอีวิลสันขับเรือลากอวนออกจากท่าไป
พอมีอีวิล สันหลายๆ เรื่องก็ง่ายขึ้นเยอะ ปากเขาหนัก ให้เขาไปจัดการเรื่องแปลกๆ น่ะเหมาะที่สุด เขาไม่คิดมาก แล้วก็ไม่ถาม แล้วยิ่งไม่มีทางบอกคนอื่นด้วย
ในฟาร์มปลา คนเดียวที่อีวิลสันเชื่อใจก็คือฉินสือโอวที่ให้ข้าวเขากินอิ่ม
ถ้าเป็นในสมัยโบราณ คนแบบนี้สามารถฝึกให้เป็นมือสังหารได้ น่าเสียดายที่อีวิลสันไม่ค่อยจะมีไหวพริบ
เรือดังเคิลออสเตียสห่างจากฝั่งทะเลไปค่อนข้างไกล ไม่อย่างนั้นรัฐบาลแคนาดาก็คงจะทำการประมงไปนานแล้ว พวกหมึกกล้วยแอตแลนติกเดินทางกันหามรุ่งหามค่ำตั้งแต่เมื่อคืนถึงเพิ่งมาถึงถิ่นที่อยู่อาศัยของหอยมุกเมื่อเช้าตอนเจ็ดโมงกว่า
ต้องรู้ด้วยว่าปลาหมึกกล้วยแอตแลนติกเคลื่อนไหวไม่ได้ช้าเลย ภายใต้พลังโพไซดอนพวกมันสามารถเร็วได้ถึง150 กิโลเมตร แม้แต่แชมป์ว่ายน้ำในหมู่ปลาซึ่งก็คือปลาเซลฟิช ความเร็วอยู่ที่แค่ 110 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
การเคลื่อนไหวของปลาหมึกกล้วยค่อนข้างพิเศษ หน้าท้องส่วนหัวของพวกมันเป็นทรงกรวย ตอนที่ร่างพวกมันหด น้ำภายในร่างทรงกระเป๋าเสื้อจะถูกพ่นออกมาด้วยรวดเร็ว ปลาหมึกจึงยืมแรงผลักของน้ำเพื่อว่ายไปข้างหน้าได้อย่างว่องไวเหมือนกับลูกดอกที่ถูกยิงออกจากคันศร
เพราะโดยปกติแล้วกรวยมักจะชี้ไปทางข้างหน้า ดังนั้นการเคลื่อนไหวของปลาหมึกกล้วยมักจะถอยหลัง พลังโพไซดอนถ่ายเข้าร่างของมันไม่หยุดเพื่อรักษาการเคลื่อนไหวที่พุ่งไปด้านหน้าด้วยความเร็วสูง ปลาหมึกสี่ห้าร้อยตัวรวมตัวกันเกิดเป็นกองทัพโยกย้ายถิ่นใต้ทะเล
หลังจากที่เจอกับฝูงปลาหมึกกระดองในเขตหอยมุกดำในทะเล ฉินสือโอวปล่อยอวนลากบนเรือลง หมึกกล้วยที่ใช้หนวดพันหอยมุกติดอวนขึ้นมา ตาของอวนเล็กกว่าร่างของมันมากจึงสามารถลากพวกมันไปใต้น้ำได้
ในน่านน้ำนั้นมีหอยมุกอยู่ประมาณสองร้อยตัว จำนวนไม่มาก แต่เพราะไม่ใช่เขตแอตแลนติกเหนือ อยู่รอดมาได้ในต่างถิ่นก็ไม่ง่ายแล้ว
ฉินสือโอวควบคุมให้พวกปลาหมึกกระดองเข้าไปในอวน แล้วเก็บจิตสำนึกโพไซดอนกลับมา
ปรากฏว่าในตอนนั้นเองก็มีบางอย่างผิดปกติไป!
พอเหล่าหมึกกล้วยสัมผัสได้ว่าจิตสำนึกโพไซดอนกำลังออกไปไกลก็ร้อนรนขึ้นมาโดยพลัน พวกที่ไม่ได้เกาะหอยมุกอยู่ก็พากันถอยแล้วมุ่งตามไปในทิศทางของจิตสำนึกโพไซดอนทางผิวน้ำ
ชั่วขณะนั้น ท่อทรงกรวยที่ท้องพวกมันเริ่มพ่นน้ำอย่างต่อเนื่อง แล้วยืมแรงผลักว่ายขึ้นไปด้านบน พอถึงผิวน้ำพวกมันสัมผัสไม่ได้ถึงจิตสำนึกโพไซดอนจึงร้อนรนโดยพลัน รีบพ่นน้ำจากท่อกรวยของตัวเองลงด้านล่างไม่หยุดราวกับจรวดที่ถูกปล่อยทะยานขึ้นฟ้า!
หมึกกล้วยเหล่านั้นกระโดดขึ้นเหนือน้ำสูงถึงสิบเมตรราวกระสุนที่ถูกยิงออกไปสลับกันกระโดดขึ้นลงดูตระการตา!
มองดูปลาหมึกที่พุ่งขึ้นฟ้า อีวิลสันที่นั่งพินิจพิเคราะห์เบ็ดตกปลาอยู่บนดาดฟ้าลุกขึ้นมาอย่างประหลาดใจ เขาชี้ไปที่เหล่าปลาหมึกกระดองตัวโตแล้วมองไปทางฉินสือโอวด้วยสีหน้าตะลึง
ฉินสือโอวเองก็ตะลึงไม่แพ้กัน เขารู้ว่าปลาหมึกกระดองบินได้ อย่างปลาหมึกบินมีชื่อของอ่าวโตเกียวที่สามารถบินเหนือผิวน้ำได้ราวห้าสิบเมตร แต่นี่คือปลาหมึกกล้วย เป็นปลาหมึกตัวโตที่มีความยาวของลำตัวเกินหนึ่งเมตร แรงพุ่งของท่อกรวยจะแรงขนาดไหนถึงขนาดที่เจ้านี่สามารถบินเหนือผิวน้ำทะเลได้?
“ใช่ สะเทือนใจสุดๆ อีวิลสัน…..” ฉินสือโอวพูดพึมพำ
อีวิลสันกลับร้องขึ้นอย่างตื่นเต้น “บอส! เท็ปปันยากิ!”
เหล่าปลาหมึกพากันร่วงกลับลงในน้ำ สีหน้าตะลึงงันของฉินสือโอวถูกเสียงตะโกนของอีวิลสันไล่ไปจนหมดสิ้น เขากลอกตาก่อนจะพูดขึ้น “กินๆๆ อะไรก็กินได้หรือไง?”
อีวิลสันมองเขาตาปริบๆพลางพูดซ้ำๆ “ปลาหมึกย่าง ปลาหมึกทอด ปลาหมึกเผา เท็ปปันยากิ! อร่อย!”
ฉินสือโอวเกือบจะยอมแพ้อีกฝ่ายแล้ว เขาควบคุมให้พวกปลาหมึกเข้าอวนแล้วเร่งเรือให้ไวขึ้นเพื่อดึงปลาหมึกไปข้างหน้า อีวิลสันเดินตามเขาอย่างใจจดใจจ่อ
เขาไม่มีทางอื่นจึงได้แต่ปลอบใจ “พวกนี้ไม่ใช่ปลาหมึกกล้วย มันไม่อร่อย ไป เรากลับฟาร์มไปกินพิซซ่าดีไหม?”
“พิซซ่าซิซิลีเหรอ?” อีวิลสันถาม
ฉินสือโอวตั้งทิศทางเดินเรือพลางพูดขึ้น “ใช่ พิซซ่าซิซิลี แล้วยังมีพิซซ่าแฮมกระเทียม มีหมด อยากกินอะไรกินเลย”
“เท็ปปนยากิได้ไหม?” อีวิลสันถามขึ้นอีก
ฉินสือโอวกล่าวปฏิเสธ “ไม่ได้ อีวิลสัน ตอนนี้ปลาหมึกที่ฟาร์มเรายังเล็ก ยังกินไม่ได้ อีกสองเดือนถึงจะกินได้ โตแล้วถึงกินได้”
อีวิลสันพยักหน้าอย่างจริงจัง “งั้นก็รออีกสองเดือนค่อยกิน”
เขาถือโอกาสแอบหยิบแอปเปิลของฉินสือโอวที่วางอยู่บนแท่นขับ ‘กร๊อบ’ ‘กร๊อบ’ สองคำ แอปเปิลทั้งลูกก็หายไปแล้ว
พอมาถึงเขตแนวปะการัง ฉินสือโอวก็เปิดอวนแล้วปล่อยเหล่าปลาหมึกออกมา
พวกฉลามกบเกาะกลุ่มกันตั้งแต่มันเดย์จนถึงซันเดย์ ฉลามกบทั้งเจ็ดไม่มีขาดสักตัว
เจ้าพวกนี้อาจจะกำลังปรึกษากันว่าจะรับมือกับบอลหิมะกับไอซ์สเกตอย่างไร ตอนที่ปลาหมึกกระดองร่วงลงมาก็ตกลงบนหัวของจัมทร์จอมหัวเสียของกลุ่มเข้าพอดี
เจ้ามันเดย์หัวโจกฉลามกบโกรธขึ้นทันใด เรียกพรรคพวกมากะจะเริ่มกิน ปรากฏว่าฝูงปลาหมึกกล้วยก็ร่วงมา ‘ฉึบๆ’ อย่างกับลวกเกี๊ยว ปลาหมึกฝูงโตมาถึงแล้ว ปลาหมึกกล้วยแอตแลนติกสี่ห้าร้อยตัว แต่ละตัวล้วนยาวมากกว่าหนึ่งเมตรขึ้นไป…
ปลาหมึกกล้วยแอตแลนติกล้อมพวกฉลามกบไว้ตรงกลางพอดี เหล่าฉลามต่างเข้ามาเกาะกลุ่มกันอย่างตื่นกลัว พอหางสะบัดก็ลนลานหนีขึ้นผิวน้ำไป…
………………………………………………………
บทที่ 171 งบมาแล้ว
โดย
Ink Stone_Fantasy
เหล่าปลาหมึกไม่ได้หยุดอยู่แถวแนวปะการังนาน พวกมันว่ายในเขตฟาร์มปลาสักพักก่อนจะมุ่งหน้าไปทางแนวสาหร่ายสีน้ำตาลอย่างแน่วแน่
ไม่ใช่เพราะของทะเลในเขตฟาร์มไม่ลึกพอ แต่เกี่ยวกับความเคยชินของพวกมัน ปลาหมึกกล้วยชอบซ่อนตัวในภาชนะหรือในซอกหลืบของหินปะการังใต้ทะเล แนวปะการังเป็นสถานที่พักผ่อนที่พวกมันชื่นชอบ แต่ปลาหิมะตัวโตที่นี่มีมากเกินไป และพวกมันก็บังเอิญเป็นศัตรูทางธรรมชาติกับปลาหมึกกล้วยด้วย
เพราะแบบนั้นพวกมันจึงเลือกแนวสาหร่ายเพื่อโอกาสอยู่รอดที่มากกว่าเดิม
นอกจากสถานการณ์คับขันอย่างตอนหนีเอาชีวิตรอด ปลาหมึกกล้วยว่ายน้ำได้ไม่เร็วนัก โดยปกติแล้วพวกมันจะอาศัยครีบรูปสามเหลี่ยมที่หลังลำตัวเพื่อสร้างกระแสคลื่นแล้วดันตัวไปข้างหน้า
ปลาหมึกกล้วยตัวโตสี่ห้าร้อยตัวรวมตัวกันเป็นกองทัพ ค่อนข้างที่จะดูน่าเกรงขาม พวกมันเข้าไปใกล้แนวสาหร่ายอันกว้างขวาง กองทัพงูทะเลออกโรงภายใต้การนำของงูพิษตัวโตมาขวางทางพวกมันอย่างหาเรื่อง
ทัพงูทะเลเป็นเจ้าแห่งท้องทะเลอย่างแน่นอน แต่เหล่าปลาหมึกกล้วยก็ไม่กลัว พวกมันหันกลับมาแล้วโชว์ถุงหมึก ภายในถุงหมึกมีต่อมหมึกที่พัฒนาเต็มที่อยู่ พอถุงหมึกบีบตัว น้ำหมึกสีดำเข้มก็พุ่งกระจายออกมา
ถ้าปลาหมึกกล้วยตัวหนึ่งพ่นน้ำหมึกออกมาก็ไม่เท่าไร แต่ถ้าปลาหมึกสี่ห้าร้อยตัวพ่นหมึกออกมาพร้อมกันละก็อานุภาพร้ายแรงทีเดียว
ใช้ไปเพียงแค่ยี่สิบกว่าวินาที ทะเลบริเวณที่งูทะเลกับปลาหมึกกล้วยอยู่ก็ดำไปหมด แต่อย่าคิดว่าน้ำหมึกนั้นจะขวางได้แค่สายตาของอีกฝ่าย จริงๆ แล้วยังมีสารพิษที่ทำให้ชาอยู่ในนั้นด้วย เหล่าปลาทู ปลากะพง ปลาจะละเม็ดที่ถูกหมึกห้อมล้อมก็ค่อยๆ เสียการเคลื่อนไหวแล้วหงายท้องไปด้านบน
แน่นอนว่าเหล่างูทะเลคุ้นเคยกับพิษเป็นอย่างดี อีกอย่างผิวนอกของพวกมันยังมีผิวเมือกป้องกันไว้อีกด้วย พิษจึงไม่ค่อยมีผลเท่าไร
แต่ว่าตอนนี้พวกมันก็ไม่เป็นอันตรายกับเหล่าปลาหมึกกล้วยแล้ว พวกปลาหมึกจึงถือโอกาสพากันหดเยื่อแมนเทิล น้ำถูกพ่นผ่านรูพ่นน้ำที่กรวยออกไปด้านนอก พอแบบนั้นพวกมันจึงกลายร่างเป็นจรวดใต้น้ำอีกครั้งแล้วว่ายมุดเข้าไปในแนวสาหร่ายอย่างรวดเร็ว
เหล่างูทะเลเข้าใจในทันทีว่าพวกมันโดนหลอกเข้าแล้ว นั่นทำให้พวกมันหงุดหงิดหัวเสียไม่เบา สะบัดหางแบนราวไม้พายแล้วรีบไล่ตามทันที
ฉินสือโอวได้แต่ปลอบงูทะเลให้สงบลงเพื่อให้พวกมันปล่อยปลาหมึกกล้วยไป ไม่อย่างนั้นศึกใหญ่ครั้งนี้คงจะเลี่ยงยาก
เหล่าหอยมุกดำมีชีวิตรอดในแนวปะการัง ตอนที่พวกมันอยู่ที่อ่าวเม็กซิโกก็อาศัยที่แนวปะการัง ฉะนั้นหลังจากที่พวกมันร่วงลงมาก็ยื่นตีนเดินออกมาแล้วค่อยๆเคลื่อนไปข้างหน้าหาที่เหมาะๆเตรียมลงหลักปักฐาน
แพลงก์ตอนในแนวปะการังเยอะกว่าก้นทะเลลึกที่รกร้างมาก เหล่าหอยมุกดำก็สามารถขยายพันธุ์ได้ไวกว่าที่นี่
พอหมดปัญหาแล้ว ฉินสือโอวก็เก็บอวนกลับมาให้อีวิลสันเก็บ ส่วนตัวเขาลงเรือไปก่อน ตอนนั้นเหมาเหว่ยหลงตื่นแล้ว และกำลังเล่นกับหู่จือเป้าจือที่สนามหญ้าหน้าคฤหาสน์
เหมาเหว่ยหลงหาไส้กรอกย่างชิ้นหนึ่งมาโบกไปมาหน้าหู่จือกับเป้าจือ ทั้งสองปิดปากสนิทแล้วมองเขาอย่างเย็นชาราวกับดูการแสดงตัวตลก
แม้แต่ฉงต้ายังไม่สน มันกำลังส่ายก้นอ้วนๆ เล่นอยู่กับต้าป๋าย
พอเห็นฉินสือโอว เหมาเหว่ยหลงก็โยนไส้กรอกออกไปแล้วพูดขึ้น “ไส้กรอกที่บ้านแกนี่มันอะไรเนี่ย หมายังไม่กินเลย”
ฉินสือโอวรับไส้กรอกมาแล้วแบ่งเป็นสองท่อนจากนั้นก็โยนไปให้หมา หู่จือกับเป้าจือที่นั่งบนพื้นกระโจนขึ้นแล้วอ้าปากงับกันคนละชิ้น พอลงถึงพื้นก็ส่ายหางพลางกะซวกกลืนลงไป
เหมาเหว่ยหลงถลึงตาโพลงโดยพลัน นานสองนานเขาถึงพูดขึ้นอย่างโอดครวญ “แกดูสิ หมาบ้านแกนี่มันฉลาดเกินไปแล้วมั้ง? ทำไมของที่ฉันให้มันถึงไม่กิน? อีกอย่าง ดูสายตาที่พวกมันมองฉันสิ เห็นฉันเป็นอะไรกันแน่เนี่ย”
“หน้าอย่างแกอะนะ ถ้าไม่ใช่เพราะเราอยู่ด้วยกันมาสี่ปีจนรู้นิสัยแกอย่างดี ฉันคงจะเข้าใจว่าแกเป็นนักเลงแล้วต่อยแกตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอหน้า” ฉินสือโอวรีบฉวยโอกาสโต้กลับ
เหมาเหว่ยหลงวิ่งไล่ฉินสือโอวพลางตะโกน “มาสิ ดูสิว่าใครกันแน่ที่จะโดนต่อย…..”
ฉินสือโอวตื่นเช้าออกกำลังกายทุกวัน แถมยังมีพลังโพไซดอนคอยบำรุงร่างกายอีกด้วย เหมาเหว่ยหลงจะเทียบได้ทั้งความเร็วและเรี่ยวแรงได้ยังไง?
เหมาเหว่ยหลงวิ่งไปไม่กี่ก้าวก็หอบแฮ่ก แม้แต่เสื้อของฉินสือโอวก็ไม่ได้แตะ หู่จือกับเป้าจือนั่งมองทั้งสองคนเล่นกันบนพื้น พอหยุดลงก็ร่วมกันใช้สายตาดูถูกมองไปที่เหมาเหว่ยหลง
ฉินสือโอวเห็นฉงต้าหาที่กะจะนอนหมอบลงอีก พอนึกได้ว่าจะลดน้ำหนักให้มันก็เลยดึงมันขึ้นเพื่อให้วิ่ง
ฉงต้าไม่วิ่งหรอก เหนื่อยจะตาย พอมันโดนดึงขึ้นขาอ้วนทั้งสี่ก็อ่อนยวบลงหมอบตามเดิม
หลังจากนั้น ฉงต้าก็ทำเลื้อยแบะไปบนพื้นอย่างกับกองเนื้อไร้กระดูก ใครจะทำอะไรก็ช่าง ฉันก็จะไม่ขยับ อย่างไรเรื่องทำตัวเกเรฉันน่ะถนัดอยู่แล้ว เราก็มาดูกัน
ฉินสือโอวหมดหนทางจึงหยิกหูกลมเจ้าเนื้อนั้นเบาๆแล้วด่า ‘ไอ้เจ้าเซ่อ’ ก่อนจะเดินเข้าคฤหาสน์ไป
วันนี้เป็นวันสุดสัปดาห์ ไม่ต้องไปเรียน พวกเชอร์ลี่ย์จึงมากินข้าวสาย รอจนฉินสือโอวกลับมาค่อยกินด้วยกัน
เชอร์ลี่ย์ทำอาหารเช้าเสร็จแล้ว ขนมปังโฮลวีต เนื้อผัด ไส้กรอกย่าง ไข่ผัด และสลัดผลไม้ นอกนั้นยังมีนมเปรี้ยวกับนมที่อุ่นร้อนไว้แล้ว จัดไว้พอสำหรับหกที่พอดี
อาหารเช้าของอีวิลสันคือไข่ต้มและข้าวกับซี่โครงหมู เขาพึมพำอยากกินพิซซ่ามาตลอด แต่อาหารเช้าจะมีพิซซ่าได้ไง ฉินสือโอวได้แต่ปลอบเขาและสัญญาว่ามื้อกลางวันจะมีพิซซ่า
แค่มื้อเช้ามื้อเดียวอีวิลสันกินไข่ไปยี่สิบห้าลูก กับข้าวซี่โครงหมูทั้งหม้อหุงข้าว ฉินสือโอวซื้อหม้อนี้มาใช้บางทีเวลาต้อนรับครอบครัวพวกชาร์ค ซีมอนสเตอร์ นีลเซ็น แต่อีวิลสันแค่คนเดียวก็กินได้ขนาดนี้…..
“โห น่าเสียดายที่เจ้าหมอนี่ไม่ไปเข้าร่วมแข่งขันแชมป์กินจุเดนิส” เหมาเหว่ยหลงกินไข่ผัดพลางพูดอย่างลำบาก
อีวิลสันไม่ค่อยสนใจคุณภาพและรสชาติของอาหาร ขอแค่ยัดให้อิ่มท้องได้เป็นพอ พอกินเสร็จล้างหม้อล้างจานเรียบร้อยเขาก็กลับออกไป
ทางฉินสือโอวที่กำลังกินข้าวเช้าก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น พอเห็นว่าเป็นนายกเทศมนตรีแฮมเล็ตจึงถามขึ้น “เป็นอะไรไปเพื่อน?”
“ฉิน ต้องรบกวนนายแล้ว คือแบบนี้นะ งบที่จะเอามาจัดการเกี่ยวกับปลาไนเอเชียในทะเลสาบเฉินเป่ามาแล้ว ฉันอยากจะขอให้นายไปซื้อเมล็ดพืชน้ำด้วยกันเสียหน่อย” แฮมเล็ตพูดอย่างอารมณ์ดี
“ไวดีนี่” ฉินสือโอวอุทานออกมา แล้วพูดขึ้นอีก “ไม่มีปัญหา ครึ่งชั่วโมงให้หลังเจอกันที่ท่าเรือ”
เหมาเหว่ยหลงถามว่ามีกิจกรรมอะไร ฉินสือโอวจึงตอบว่าจะพาเขาไปเดินที่เซนต์จอห์นเสียหน่อย แล้วกลับมายิงปลา
ได้ยินแบบนั้นเหมาเหว่ยหลงก็ยิ้มจนปากโค้ง เขาเคยเห็นรูปที่ฉินสือโอวยิงปลาไนในบล็อกเลยรอกิจกรรมนี้มาตลอดเลย
กินข้าวเช้าเสร็จ ฉินสือโอวก็กอดเชอร์ลี่ย์แล้วขอบคุณที่เธอทำอาหารเช้ามากมายอย่างที่เขาทำประจำ จากนั้นก็ถามพวกเขาว่าอยากไปเซนต์จอห์นด้วยกันไหม
พาวลิสส่ายหน้าแล้วพูดขึ้น “ไม่ครับ ลุงฉิน วันนี้เรากะว่าจะไปขายของในเมือง”
“ขายของ?” ฉินสือโอวถาม
“ใช่ครับ ไปขายเกี๊ยว” พาวลิสพูดอย่างอารมณ์ดี มิเชลล์จึงถาม “ได้ไหมครับ ลุงฉิน?”
ฉินสือโอวประหลาดใจมาก ดูท่าว่ากิจกรรมจำลองในเมืองคราวที่แล้วจะทำให้เด็กๆ ทั้งสี่ร่าเริงขึ้น นี่เป็นเรื่องดี เขาแปะมือกับพวกเด็กๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เยี่ยมไปเลยทุกคน เข้าไปในเมืองแล้วโกยเงินคนพวกนั้นเลย ฉันว่าร้านเกี๊ยวของทุกคนจะต้องดังเหมือนกับร้านของคุณลุงฮิคสันแน่ๆ”
เชอร์ลี่ย์ยิ้มหวาน “เราจะไปขายเกี๊ยวน้ำที่ข้างร้านคุณลุงฮิคสัน”
ฉินสือโอวลูบผมสีทองนุ่มลื่นของเธอแล้วเอ่ยขึ้น “ดีมาก พวกเธอไปเถอะ ฉันก็ไม่ไปด้วยละ ฉันจะต้องไปเซนต์จอห์นสักหน่อย”
เด็กๆทั้งสี่เตรียมไส้และแผ่นแป้งเกี๊ยวเอง ส่วนงานผสมแป้งก็มอบให้อีวิลสัน เอาน้ำกับแป้งผสมกันตามสัดส่วน อีวิลสันนวด ‘ตุบตับๆ’ แค่ไม่กี่หมัดสักสองรอบแป้งก็ได้ที่แล้ว
เด็กแคนาดาถูกสอนมาว่าเวลาขอให้คนอื่นช่วยอะไรต้องตอบแทนเสมอ เด็กๆ ทั้งสี่จึงให้เกี๊ยวน้ำชามใหญ่เป็นของตอบแทนอีวิลสัน
พออีวิลสันได้ยินว่าจะมีของกินอร่อยๆ ก็ทุ่มเททำงานเลยทีเดียว
ตอนที่พาเหมาเหว่ยหลงไปท่าน้ำในเมือง แฮมเล็ตก็รออยู่ที่นั่นแล้ว เขาที่เป็นผู้อพยพชาวอังกฤษยังคงแต่งตัวแบบผู้ดีดั้งเดิม ข้างในเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวราวหิมะ ข้างนอกเป็นเสื้อกั๊กตัวเล็ก บนขาสวมกางเกงขายาว และสวมรองเท้าหนังมันเงา
ส่วนฉินสือโอว เขากับเหมาเหว่ยหลงสวมเสื้อยืดกับกางเกงเลทั้งคู่ บนเท้าสวมรองเท้าแตะแบบหนีบ
แนะนำทั้งสองฝ่ายเสร็จ ฉินสือโอวจึงพูดกับแฮมเล็ต “รัฐสภาไวขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? เรื่องกระจายเงินออก พวกนักการเมืองในเมืองเมเปิลลีฟไม่ค่อยจะกระตือรือร้นแบบนี้นี่ครับ?”
แฮมเล็ตพูดยิ้มๆ “ไม่กระตือรือร้นไม่ได้หรอก ปลาไนเอเชียเป็นภัยต่อเกรตเลกส์ ขืนปล่อยไว้ต่อไป เราก็คงได้กินน้ำผสมของเสียที่ปลาไนเอเชียถ่ายออกมาแน่”
เขตเกรตเลกส์เป็นเส้นชีวิตของอเมริกาเหนือ แม้ว่าผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำของที่นี่จะเยอะแต่ก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ที่สำคัญคือมันเป็นแหล่งน้ำ
ฉินสือโอวยิ้มออกมา พอหลังจากขึ้นเรือเขาก็พูดกับเหมาเหว่ยหลง “ดูสิ คนแคนาดาก็ไร้สาระแบบนี้ กินน้ำทะเลสาบที่มีปลาไนปลาเฉาแล้วมันจะทำไมกัน? บรรพบุรุษเรากินน้ำจากแม่น้ำหวงเหอกับแม่น้ำฉางเจียงมาเป็นพันปีเคยเป็นอะไรที่ไหน?”
เหมาเหว่ยหลงก็พยักหน้า ทั้งสองเลยมีหัวข้อคุยกัน
พอถึงเซนต์จอห์น ฉินสือโอวก็โทรไปหาเรคบิ๊กฟุตก่อน ตอนนี้ทั้งสองทำงานด้วยกัน เรคแค่เป็นโบรกเกอร์ก็ได้เงินไปไม่น้อยแล้ว เขาช่วยฉินสือโอวติดต่อหาพวกลูกปลา ฟาร์มปลา กับเมล็ดสาหร่ายพืชน้ำซึ่งไม่เคยมีปัญหาเลย
“ครั้งนี้จะทำอะไรบ้าง เพื่อน?” เรคขับรถมารับ แฮมเล็ตขับพาเจ้าหน้าที่รัฐมาด้วยสองคน
ฉินสือโอวเห็นชุดทำงานบนตัวแฮมเล็ตที่เปื้อนคราบน้ำมันเต็มไปหมดจึงเอ่ยถาม “ทำไรอะมา? นายยุ่งอยู่หรือเปล่า?”
เรคพูดยิ้มๆ “ไม่มีอะไร ผมเปลี่ยนเสื้อไม่ทัน ในร้านมีรถเอทีวีมาล็อตหนึ่ง ผมปรับแต่งเองไปสองคัน ทำเอาบนตัวเปื้อนน้ำมันไปไม่น้อย”
“รถเอทีวี?” ฉินสือโอวถามอย่างสนใจ “พาฉันไปดูหน่อยเป็นไง ฉันสนใจมันมากเลย”
เรครู้ว่าฉินสือโอวเป็นเศรษฐี พอเขาบอกว่าสนใจจึงยิ้มออกมาโดยพลัน “ดูสิ ลูกค้ามาแล้ว คราวนี้รู้หรือยังว่าทำไมผมต้องรีบมารับ?”
ฉินสือโอวแนะนำแฮมเล็ต “นี่สิถึงจะลูกค้ารายใหญ่ เราจะซื้อเมล็ดพืชน้ำ ขั้นแรกต้องซื้ออย่างน้อยหนึ่งแสนถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นดอลลาร์”
ตอนนี้เป็นฤดูร้อน เหมาะกับการโปรยเมล็ดพืชน้ำ
เรคพยักหน้าแล้วพูดขึ้น “เรื่องนี้ง่ายมาก ผมจะโทรหาเพื่อนเก่าแก่เสียหน่อย ให้พวกเขาส่งผู้จัดการธุรกิจมา เป็นเจ้าเดียวกับเมล็ดสาหร่ายของนายคราวที่แล้ว ‘บริษัท ดิค พันธุ์พืชน้ำทะเล’”
แฮมเล็ตพยักหน้าก่อนจะหันมาพูดกับฉินสือโอว “ฉันถามกรมประมงของเซนต์จอห์นมาแล้ว บริษัท ดิค พันธุ์พืชน้ำทะเลเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุด ได้มาตรฐานที่สุดในย่านเรา”
“ราคาเขาก็ถูกที่สุด เชื่อผมเถอะ” เรคยิ้มด้วยความมั่นใจ
…………………………………………………
บทที่ 172 ตลาดเมืองเซนต์จอห์น
โดย
Ink Stone_Fantasy
ฉินสือโอวไปทำธุระอย่างอื่นระหว่างที่รอผู้จัดการบัญชีจากบริษัท ดิค พันธุ์พืชน้ำทะเล
เพราะจะไปยิงปลา ฉะนั้นเลยต้องเตรียมธนูให้เหมาเหว่ยหลง เรคแนะนำธนูรีเคิร์ฟระดับเริ่มต้น ราคาคุ้มค่า ใช้ง่าย ถนัดมือ
เหมาเหว่ยหลงเลือกธนูรีเคิร์ฟที่คันหลักทำจากแผ่นคาร์บอนไฟเบอร์และเส้นใยแก้ว เขาตามพนักงานที่มีฝีมือยิงธนูไปฝึก ส่วนฉินสือโอวก็ไปดูรถเอทีวี
เอทีวีเป็นตัวย่อ ชื่อเต็มคือ All-Terrain-Vehicle คนแคนาดากับอเมริกาชอบเรียกชื่อย่อ ความหมายคือ ‘พาหนะที่เหมาะกับทุกสภาพถนน’ ปกติแล้วที่จีนจะเรียกด้วยชื่อที่ทางการมากกว่าว่ารถทุกสภาพถนนสี่ล้อ ถ้าภาษาปากหน่อยก็คือรถชายหาด
จริงๆ แล้ว คำเรียกรถชายหาดเป็นการเรียกที่ผิด การเรียกว่ารถออฟโรดขับขี่ทุกสภาพถนนยังจะถูกต้องเสียกว่าคำว่ารถชายหาด เพียงแต่ชื่อนี้ยาว ไม่เข้ากับนิสัยคนจีน และเพราะรถประเภทนี้มีล้อใหญ่กว้าง ขับไปบนพื้นทรายได้ง่ายเลยถูกเข้าใจผิดเรียกเป็นรถชายหาด
ฉินสือโอวซื้อรถชายหาดก็เพราะอยากจะขับมันบนหาดทราย พอรู้เรื่องนี้ เรคก็ยิ้มแล้วพูดขึ้น “ไม่ เพื่อน ถ้าแค่ขับบนหาดละก็ รถเอทีวีคันเล็กธรรมดาก็ได้แล้ว ที่ผมจะให้ดูน่ะไม่ใช่แบบนี้ ยี่ห้อรถผมน่ะดี ไม่ใช่แค่ขับบนทรายได้ ประสิทธิภาพยอดเยี่ยม แต่ยังขับได้บนทางน้ำ ทางป่า กระแสน้ำ หรือแม้กระทั่งทะเลทรายที่สภาพแวดล้อมย่ำแย่ด้วย”
เดินมาถึงห้างขายอุปกรณ์ตกปลาชาวไวกิ้ง ตรงหน้าประตูก็มีรถเอทีวีคันใหญ่อยู่สองคันซึ่งก็คือรถชายหาด
รถชายหาดสองคันนั้นคันหนึ่งแดง อีกคันหนึ่งดำ ลักษณะดูใหญ่และเรียบง่าย ล้อใหญ่ทั้งสี่สูงถึงครึ่งหนึ่งของความสูงคนราวรถถังขนาดเล็ก
เรคแนะนำ “นี่คือธันเดอร์แคท-1000-เอช 2 สง่าเหมือนฮัมเมอร์ เอสยูวี เอช 2 รถอยู่ที่ 600 ปอนด์ ระยะฐานล้อคือ 52 5 นิ้ว ความจุถังน้ำมัน 19 ลิตร
“เครื่องยนต์เป็นลูกสูบคู่ เพลาราวลิ้นเดี่ยวเหนือฝาสูบ สี่จังหวะ สี่วาล์ว แรงแน่นอน”
“ความจุกระบอกสูบ 951ซีซี กระบอก 92 มม x 716 มม เกียร์เป็นซีวีที อีบีเอสอัตโนมัติกับเกียร์ถอยหลังมีหมด ยางหน้าขนาด 25 x 8-12 ยางหลัง 25 x 10-12……”
เรคเป็นคนคลั่งไคล้เครื่องยนต์ พูดถึงเรือยนต์หรือรถชายหาดแบบนี้ละก็เรียกได้ว่าน้ำไหลไฟดับ หลังจากนั้นยังแนะนำช่วงล่างด้านหน้า ระบบกันสะเทือนด้านหลัง แล้วยังมีพวกเบรกหน้า เบรกหลังอีก ข้อมูลเยอะเกินไป ศัพท์เฉพาะก็เยอะมากไป ฉินสือโอวฟังจนเบื่อ
“หยุดก่อนเพื่อน บอกราคาฉันมาเลยดีกว่า ราคาของรถทุกรุ่นที่นายมี” ฉินสือโอวพูดอย่างปวดหัว
เรคตบลงที่รถสีดำพลางพูดขึ้น “นี่คือธันเดอร์แคท-1000-เอช 2 ราคาหมื่นห้า ถือว่าเป็นรุ่นที่ดีและคลาสสิคที่สุดแล้ว นอกนั้นยังมีแบรนด์อย่างพวกยามาฮ่า บอมบาเดียร์ ฮอนด้า คาวาซากิ โพลาริส ซูซูกิ เคทีเอ็ม…..”
“สินค้าญี่ปุ่นก็ตัดออกเลย ฉันไม่ชอบของญี่ปุ่น” ฉินสือโอวพูด เหมาเหว่ยหลงที่เพิ่งมาถึงยกนิ้วโป้งขั้น ทั้งสองคนยิ้มพลางแปะมือกัน
เรคยักไหล่แล้วพูดต่อ “โอ้ งั้นคุณควรเลือกธันเดอร์แคทไม่ก็โพลาริสจะดีที่สุดนะ ทั้งสองอันนี้เป็นสินค้าอเมริกา”
ฉินสือโอวจองธันเดอร์แคท เอช 2 คันหนึ่ง ความสามารถในการออฟโรดของเจ้านี่เด่นกว่าเพื่อน ต่อไปก็ขับมันไปเล่นกินลมในเมืองได้ กระทั่งสามารถขึ้นเขา แล้วเจ้านี่ก็ไม่ต้องมีใบอนุญาตขับขี่
เดินเข้าไปด้านในก็มีคนกำลังโหลดและขนถ่ายรถชายหาด พอฉินสือโอวมองดูก็พบว่าเป็นรถรุ่นเล็ก รถคันนั้นสูงแค่ต้นขาเขา ยางมีขนาดแค่ประมาณสามสิบเซนติเมตร สีทองทั้งคัน ดูๆ แล้วทั้งน่ารักและสง่า
“ยังมีรุ่นเล็กด้วยเหรอ?” ฉินสือโอวถาม
เรคพยักหน้าแล้วพูดขึ้น “นี่คือบอมบาเดียร์ ไลออน คัพเอส 200 ความจุกระบอกสูบ…..”
ฉินสือโอวแบมืออย่างจนใจ เรคเข้าใจความหมายของเขาจึงยิ้มออกมาแล้วเอ่ยปาก “ก็ได้ งั้นผมก็จะไม่พูดถึงค่าตัวเลขแล้วกันนะ พูดง่ายๆ สมรรถภาพของรถนี้ไม่เลว ความเร็วไม่เร็วเกินไป เร็วสุดก็ 40 ไมล์ เหมาะให้เด็กขับ อีกอย่างเทียบกับรถผู้ใหญ่ รถคันนี้ยังติดตั้งระบบรั้วป้องกันอัตโนมัติไว้ด้วย ราคาหมื่นหนึ่ง”
“ไม่น่าเชื่อว่าราคาไม่ต่ำกว่าคันใหญ่เท่าไร?” แฮมเล็ตพูดอย่างประหลาดใจ
เรคอธิบาย “คันใหญ่แพงที่เครื่องยนต์กับล้อ คันเล็กแพงที่ระบบรักษาความปลอดภัยครับ”
ฉินสือโอวยื่นบัตรให้เรคแล้วพูดขึ้น “สองคัน เพื่อน ส่งไปที่เรือประมงฉัน”
“ดูสิ ได้มาหนึ่งดีล” เรครับบัตรมาพลางยิ้มแล้วโบกมือ
พนักงานข้างนอกเข้ามาแล้วเอ่ยขึ้น “หัวหน้าครับ คุณบิล ซาทชี่มาถึงแล้ว”
เรคพาทุกคนเดินออกด้านนอกไป ในขณะเดียวกันก็พูดแนะนำไปด้วย “บิลก็คือผู้จัดการบัญชีจากบริษัท ดิค พันธุ์พืชน้ำทะเล เก่งพอตัว เข้มงวดรอบคอบมาก เรื่องธุรกิจไปหาเขาไม่มีปัญหาแน่นอน”
ที่หน้าประตู ฉินสือโอวเห็นชายคนขาววัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบ
คนคนนี้น่าจะเป็นคนยิวเหมือนกับเออร์บัก ผมสีทองหวีเนี้ยบ อากาศร้อนขนาดนี้ยังใส่สูทเต็มยศกับเสื้อเชิ้ตขาว บนคอยังมีเนกไทสีฟ้า ในมือมีกระเป๋าเอกสาร ที่เท้าสวมรองเท้าหนังที่มันเงาจนเทียบกับแฮมเล็ตได้
หลังจากที่จับมือ บิลหยิบเอานามบัตรของตัวเองออกมาก่อนจะถือไว้ด้วยสองมือแล้วยื่นให้คนละใบ
แฮมเล็ตเองก็ยื่นนามบัตรของตัวเองให้ไปด้วยท่าทีธรรมชาติและรักษามารยาทในขณะเดียวกัน ฉินสือโอวเกาจมูกอย่างอักอ่วน ให้ตายเถอะ เออร์บักไม่อยู่ด้วย เขาไม่ได้เตรียมอะไรเลย
ไม่มีเออร์บัก ฉินสือโอวก็กลายเป็นคนที่ไม่รู้เรื่องอะไร พูดได้ว่าหลังจากที่เออร์บักถูกวินิจฉัยว่าเป็นเนื้องอกในสมอง คนที่เขาห่วงที่สุดก็คือฉินสือโอว ฉะนั้นเลยต้องให้เขาเลี้ยงเด็กกำพร้าทั้งสี่ให้ได้เพื่อที่จะเร่งให้เขาโตเป็นผู้ใหญ่ไวๆ
ปรากฏว่าตอนนี้อาการป่วยของเขาคงที่ และภายใต้พลังโพไซดอนร่างกายเขาก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ทุกวันที่อยู่ที่ฟาร์มตอนเช้าก็จะดูต้นผักผลไม้ ตกบ่ายก็แช่บ่อน้ำร้อน กลางคืนก็สอนการบ้านเด็กทั้งสี่ ดูมีความสุขมาก
หลังจากที่แลกนามบัตร บิลกับแฮมเล็ตและคนอื่นๆ สามคนเริ่มคุยเรื่องเกี่ยวกับเมล็ดพืชน้ำ บิลเข้มงวดจริงๆ พอแฮมเล็ตบอกว่าพวกเขามาจากเกาะแฟร์เวล เขาก็เอาเอกสารออกมาทันทีแล้วพูดว่า “นี่คือรายงานตรวจสภาพน้ำของทะเลสาบเฉินเป่า ในนั้นบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับชนิดพืชน้ำในปัจจุบันและสัดส่วนโดยรวมอย่างละเอียดครับ”
ฉินสือโอวก็ได้มาฉบับหนึ่ง รายงานนั้นมีทั้งหมดยี่สิบกว่าหน้า ข้อมูลขาดความละเอียด สัดส่วนชนิดของพืชน้ำตั้งแต่ปี1990และมีการตรวจทุกๆ ห้าปี ข้อมูลอยู่ในนั้นทั้งหมด อีกอย่างในรายงานยังมีระดับความชอบที่ปลาไนเอเชียมีต่อพืชน้ำชนิดต่างๆ ด้วย
เห็นได้ชัดว่าบิลทำการบ้านมาดี เขารู้ถึงที่มาของเงินก้อนนี้ของเมืองแฟร์เวล แล้วก็รู้ถึงจุดประสงค์ของมัน
รอจนพวกเขาอ่านจบ บิลจึงแนะ “สำหรับทะเลสาบภายใน พืชน้ำเป็นสิ่งจำเป็น มันคือที่พักและอาศัยของสัตว์น้ำหลากชนิด ในขณะเดียวกันก็เป็นอาหารให้กับสัตว์หลายประเภทอย่างหอยทากทะเล เป็ดน้ำ นกน้ำ กบ ที่สำคัญที่สุดคือผลิตออกซิเจนให้ปลา”
“ผมแนะนำพวกคุณให้ปลูกอเมซอนใบยาวอเมริกาเหนือมากขึ้น พืชน้ำชนิดนี้สามารถดูดซึมของเสียจากสัตว์และปลาได้ดีกว่า การผลิตออกซิเจนก็เหนือขั้น ที่สำคัญที่สุด มันเป็นหนึ่งในพืชน้ำไม่กี่ชนิดที่ปลาไนเอเชียกินไม่ได้”
แฮมเล็ตได้ยินแบบนั้นจึงกระแอมไอแล้วพูดขึ้น” “บิล มีเรื่องหนึ่งที่ฉันต้องพูด จุดประสงค์ที่เราซื้อเมล็ดพืชน้ำครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อจำกัดปลาไนเอเชีย แต่จุดประสงค์เราก็เพื่อพัฒนาระบบนิเวศของทะเลสาบ…..”
บิลกะพริบตาปริบๆ อย่างสับสน “พัฒนาระบบนิเวศ?”
พอฉินสือโอวเห็นว่าคุยแบบนี้ไปไม่รอด แฮมเล็ตเป็นนักการเมืองจนชิน เวลาพูดชอบกำกวม เห็นได้ชัดว่าบิลไม่ค่อยเข้าใจจึงพูดตรงๆ “เมล็ดพืชน้ำที่เราจะซื้อ ไม่ว่าปลาไนเอเชียจะกินหรือไม่ก็ตาม ขอแค่ปลาในพื้นที่ชอบกินก็พอ”
บิลพูดพลางขมวดคิ้ว “แล้วพวกคุณไม่คิดจะจำกัดการขยายพันธุ์ของปลาไนเอเชียหรือไง?”
ฉินสือโอวยิ้มออกมาพลางพูดขึ้น “เรื่องนี้เรามีวิธีแล้ว”
บิลพยักหน้าแล้วพูด “ถ้าอย่างงั้นเรื่องนี้ก็ง่ายมาก ขอแค่โปรยเมล็ดตามสัดส่วนชนิดของพืชน้ำในทะเลสาบเฉินเป่าเหมือนเมื่อสิบปีก่อนอีกรอบก็ได้แล้วไม่ใช่เหรอ?”
วิธีนี้ผ่านอย่างรวดเร็ว รัฐบาลท้องถิ่นของแคนาดามีดีอยู่อย่างหนึ่ง ขอแค่การเงินเปิดสาธารณะ หลายปัญหาสามารถผ่านได้เพียงขั้นตอนเดียว ไม่ต้องเปิดประชุมโน้นนี้เพื่อหารือ
บิลเอาชนิดของเมล็ดกับราคากางออกมา แฮมเล็ตกับฉินสือโอวพาลูกน้องสองคนมาวิเคราะห์ด้วยกันเพื่อรับรองการซื้อเมล็ดพืชน้ำเบื้องต้นหนึ่งแสนสองหมื่นทั้งหมดสี่สิบแปดตัน
เมล็ดของพืชน้ำจะแพงกว่าเมล็ดสาหร่ายนิดหน่อย อีกอย่างในงบแสนสองนี้ยังรวมค่าเช่าเครื่องบินกับค่าแรงด้วย
หารือกันใกล้จบ ที่เหลือก็แค่เซ็นสัญญาซึ่งเข้มงวดกว่า จำเป็นต้องมีทนายอยู่ด้วยถึงจะดำเนินการได้ ทั้งสองฝ่ายไม่มีทนาย ถ้าพูดกันตามหลักการก็คือฝั่งฉินสือโอวกับแฮมเล็ตไม่ได้พาทนายมาด้วย ไม่น่าเชื่อว่าบิลจะมีหนังสือรับรองคุณสมบัติทนายความ มิน่าละนิสัยถึงได้รอบคอบขนาดนี้!
ยังคงเป็นเรคที่เลี้ยงข้าว ถ้าเป็นที่จีน ไปทำเรื่องให้รัฐยังไงรัฐก็ต้องเลี้ยงสักมื้อ แต่ที่แคนาดาอย่าแม้แต่จะคิด
พอกินข้าวกลางวันเสร็จ พวกแฮมเล็ตก็ไปหาทนายร่างสัญญา ส่วนฉินสือโอวกับเหมาเหว่ยหลงก็เดินเตร่ในตลาดเมืองเซนต์จอห์น
หนึ่งในสองคนซื้อน้ำแข็งไสผลไม้มาก่อน กินน้ำแข็งไสเย็นๆ เปรี้ยวๆ หวานๆ พลางเดินทอดน่องภายใต้ร่มเงาไปในตลาด เหมาเหว่ยหลงพูดขึ้น “จังหวะชีวิตคนที่นี่ช้าจริงๆ ใช้ชีวิตในที่แบบนี้สิถึงเรียกว่าใช้ชีวิตจริงๆ ที่ปักกิ่ง? นั่นเรียกว่าเอาตัวรอด!”
ฉินสือโอวพูด “อย่ามัวแต่บ่นเลย รีบดูสิว่าจะซื้ออะไรไหม?”
“นายเลี้ยง?” เหมาเหว่ยหลงยิ้มร้าย
ฉินสือโอวล้วงมือถือออกมาถ่ายรูปแล้วให้เขาดู เหมาเหว่ยหลงไม่เข้าใจ ฉินสือโอวจึงพูดขึ้นยิ้มๆ “ฉันให้นายดูจากรูปว่าหน้านายใหญ่แค่ไหน จะได้รู้ตัวเองบ้าง ยังจะให้ฉันเลี้ยง ฝันไปเถอะ?”
เดินมาถึงรถขายเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นเคลื่อนที่พอดี นี่เป็นจุดเด่นของนิวฟันด์แลนด์ พวกพ่อค้าแม่ค้าขายเสื้อผ้าไม่ได้วางแผงลอยกับพื้น แต่เป็นรถเล็กๆ ที่คล้ายกับรถขายอาหารเช้าในจีน เสื้อผ้าหมวกรองเท้าล้วนวางอยู่ในนั้น
ที่ทำแบบนี้ไม่ใช่เพื่อหลีกหนีการจับกุมของเทศกิจ แต่มาจากประเพณีการค้าการประมงทางทะเล
ทั้งสองเดินไปถึงรถขายของที่มีเสื้อยืดสไตล์จีนแขวนไว้ บนเสื้อสกรีนลายอย่างเหมาเจ๋อตง เหลยเฟิง เสื้อบางตัวก็สกรีนคำอ้างอิงของเหมาเจ๋อตงอย่าง ‘ผู้มีความรู้ควรไปชนบท’ ‘จงทำตัวเหมือนแสงแดดยามแปดเก้าโมง’
ที่น่าตลกก็คือ เจ้าของคงจะไม่รู้ภาษาจีน มีเสื้อสองตัวที่สกรีนคำอ้างอิงซึ่งน่าสนใจมาก ตัวหนึ่งสกรีนว่า ‘ถ้าเมาแล้วขับฉันจะแต่งงานใหม่’ ส่วนอีกตัวคือ ‘จุดไฟเผาภูเขาแล้วนั่งดูอยู่ข้างล่าง’ ทำเอาฉินสือโอวกับเหมาเหว่ยหลงระเบิดหัวเราะออกมา
เสื้อแบบนี้ราคาถูกมาก ตัวละแค่สิบห้าดอลลาร์เท่านั้น ฉินสือโอวเลือกมาอย่างละตัว ต่อไปใส่เสื้อนี้คงจะเท่ไม่เบา ส่วนเสื้อสกรีน ‘จุดไฟเผาภูเขาแล้วนั่งดูอยู่ข้างล่าง’ นั้น เขาใส่ในทันที
……………………………..
บทที่ 173 เสื้อผ้าสองชุด
โดย
Ink Stone_Fantasy
ที่จริงแล้ว ของที่ฉินสือโอวต้องการในตอนนี้ไม่เยอะจริงๆ ที่เขาเดินตลาดขายของชำแค่เพราะเดินเป็นเพื่อนเหมาเหว่ยหลงที่มาสัมผัสวัฒนธรรมท้องถิ่นนิวฟันด์แลนด์เท่านั้น
ทั้งสองคนสวมเสื้อยืดแบบเดียวกัน คนหนึ่งสกรีนว่า ‘จุดไฟเผาภูเขาแล้วนั่งดูอยู่ข้างล่าง’ ส่วนอีกคน ‘ถ้าเมาแล้วขับฉันจะแต่งงานใหม่ อีกอย่างทั้งสองคนสูงเท่ากัน ทรงผมสั้นทั้งคู่ รูปร่างต่างกันเล็กน้อย พอมาเดินด้วยกันก็ดึงดูดต่างชาติได้พอควร
ตอนนี้ฉินสือโอวกับเหมาเหว่ยหลงสองคนก็คือต่างชาติในสายตาของคนแคนาดา
เดินเตร่ไปพักหนึ่งฉินสือโอวก็เริ่มร้อนพอดี พอมองขึ้นไปก็เจอกับหญิงสาวคนขาวตัวเล็กน่ารักเดินหน้าแดงเข้ามาหาแล้วเอ่ยปากถาม “สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าเป็นพี่น้องฝาแฝดกันหรือเปล่าคะ? ขอฉันถ่ายรูปคู่พวกคุณได้ไหม?”
“พี่น้องฝาแฝด?” ฉินสือโอวอึ้งไป ก่อนจะยิ้มร่าตามแล้วพูดขึ้น “ล้อเล่นหรือเปล่า…..”
“ใช่แล้ว เราเป็นแฝดกันครับ ฝาแฝด ผมเป็นคนพี่ เขาเป็นน้อง…” เหมาเหว่ยหลงพูดแทรกคำพูดของฉินสือโอวเสียงดัง แล้วยังทำตาเขม็งใส่เขาด้วย แถมด้วยสีหน้า ‘แกหุบปากแล้วทำตัวดีๆ หน่อย ทำเสียเรื่องละก็ ตายแน่’ พอหันกลับไปก็ยิ้มเหมือนเดิม
“คุณอยากถ่ายรูปกับเราเหรอ? ไม่มีปัญหาแน่นอนครับ” เหมาเหว่ยหลงจงใจทำทีเป็นสุภาพบุรุษ
ฉินสือโอวกลอกตา ผู้หญิงคนนี้นี่ต่อให้เพิ่งเคยเห็นคนผิวเหลืองเป็นครั้งแรกก็ไม่น่าจะมองเขาทั้งสองเป็นพี่น้องกันมั้ง? อย่างไรเสียความต่างของโครงหน้าคนผิวเหลืองก็ค่อนข้างชัดมากนะ
หลังจากนั้นก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาดึงสาวร่างเล็กคนนั้นไว้แล้วพูดว่า “ขอโทษด้วยนะคะคุณทั้งสอง เพื่อนของฉันมีภาวะไม่รู้ใบหน้านิดหน่อย…” พูดไปได้ครึ่งหนึ่ง เธอก็เห็นฉินสือโอวชัดๆแล้วพูดอย่างประหลาดใจ “หวัดดี ฉิน?”
ฉินสือโอวเองก็จำผู้หญิงคนนั้นได้ เธอเป็นครูคนหนึ่งจากโรงเรียนประถมแกรนท์ชื่อว่าเชอริล คราวที่แล้วเขาไปที่โรงเรียนเพื่อช่วยพวกเชอร์ลี่ย์ทำเรื่องเข้าเรียน แล้วยังโดนลุงคนเฝ้าประตูเข้าใจผิดอีก
เหตุเพราะเด็กทั้งสี่ ฉินสือโอวเลยเคยเจอเชอริลมาบ้าง ตอนเธออยู่โรงเรียนเธอแต่งตัวเรียบร้อยมาก ตอนนี้กลับไม่เหมือนกัน เธอสวมครอปท็อปสีขาวลายม้าลาย เสื้อแบบนี้กำลังเป็นที่นิยมในนิวฟันด์แลนด์ พูดได้ว่าเป็นเสื้อห่ออกที่โชว์เอวเรียวบาง
เดิมทีเชอริลก็อกใหญ่อยู่แล้ว พอใส่ชุดแบบนี้ก็ยิ่งดูตั้งเด่นกว่าเดิม ส่วนเอวเล็กของเธอก็คอดเป็นพิเศษ ส่วนโค้งน่าตะลึงไล่ลงไป ทำอากาศที่ร้อนอยู่แล้วร้อนยิ่งกว่าเดิม
ท่อนล่างเชอริลสวมกระโปรงทรงดินสอสีขาวหิมะ กระโปรงแนบเนื้อดึงให้เอวดูสูงขึ้นเข้ากับรองเท้าส้นสูงสีเงิน ทำให้ขาดูยาวเรียวกว่าเดิม เธอที่ยืนอยู่ตรงนั้นดูราวกับเปลวเพลิงก็ไม่ปาน
พอเห็นเชอริล เหมาเหว่ยหลงก็กลืนน้ำลาย ‘เอื้อก’ ท่าทางแบบนั้นทำเอาฉินสือโอวไม่อาย แน่นอนว่าเขาก็กลืนน้ำลาย ‘เอื้อก’ เหมือนกัน
“ครูเชอริล สวัสดีครับ” ฉินสือโอวพูดยิ้มๆ แล้วยื่นมือออกไป จากนั้นก็แนะนำให้เหมาเหว่ยหลงรู้จัก
สาวร่างเล็กคนนั้นมีชื่อว่าแฮทธาเวย์ เธอเป็นคนเยอรมันและเป็นเพื่อนสนิทของเชอริล ตอนนี้อาศัยอยู่ที่เซนต์จอห์น ทั้งสองกำลังเดินเที่ยวเล่นกันจึงมาเจอกับฉินสือโอว เหมาเหว่ยหลงโดยบังเอิญ
แฮทธาเวย์ค่อนข้างเป็นคนเก็บเนื้อเก็บตัว อีกอย่างก็เป็นอย่างที่เชอริลบอก เธอมีภาวะไม่รู้ใบหน้าเล็กน้อย ดูหน้าคนเยอรมันด้วยกันเองยังจำผิด นับประสาอะไรกับคนผิวเหลืองที่ไม่เคยเจอ? เพราะแบบนั้นถึงมีเหตุการณ์เมื่อครู่
หลังจากที่ทำความรู้จักกัน แฮทธาเวย์ก็ทำหน้าผิดหวังแล้วพูดขึ้น “ที่แท้พวกคุณก็ไม่ใช่ฝาแฝดกันเหรอ?”
เธอไม่ได้สนอกสนใจอะไรกับเรื่องฝาแฝดคนผิวเหลือง เพียงแต่ว่าเธอรู้ดีว่าตัวเองมีนิสัยเก็บตัว แฮทธาเวย์กำลังฝึกทักษะการเข้าสังคม ทีแรกเธอกะว่าจะยืมเรื่องฝาแฝดมาทำความรู้จักพวกฉินสือโอวสักหน่อย
เหมาเหว่ยหลงกระอักกระอ่วนขึ้นมา เพราะคำที่เพิ่งหลอกเธอไปยังดังก้องข้างหูอยู่เลย เขาจึงได้แต่พูดขึ้น “จริงๆ แล้วเราไม่ได้เกี่ยวดองกันทางสายเลือดครับ แต่ทางความสัมพันธ์แล้วเราเป็นเหมือนฝาแฝด มาๆๆ จะถ่ายรูปไม่ใช่เหรอ? ก็ถ่ายได้เหมือนกันแหละครับ”
ฉินสือโอวยิ้ม ทั้งสี่ยืนอยู่ด้วยกันแล้ววานเจ้าของร้านเครื่องดื่มเย็นช่วยถ่ายให้
เพราะไม่ค่อยจะสนิทกัน ฉะนั้นหลังจากที่ฉินสือโอวเลี้ยงเครื่องดื่ม ทั้งสองฝ่ายก็แยกย้ายกันไป
เหมาเหว่ยหลงโพสต์รูปลงในโมเม้นต์ของตัวเองพลางเดาะลิ้น “สาวคนนั้นไม่เลวเลย”
“คนไหน?” ฉินสือโอวถามไปแบบไม่ใส่ใจ
เหมาเหว่ยหลงบ้าขึ้นมาทันทีแล้วมองเขาโกรธๆ “คนไหนเกี่ยวอะไรกับนายด้วยเล่า? ฉินโซ่ว ฉันบอกให้นะ แกมีวินนี่อยู่ แกเป็นผู้ชายที่มีแฟนแล้ว อย่ามาคิดอะไรมั่วๆ ล่ะ!”
ฉินสือโอวอยากจะเป็นลมเขาพูดขึ้น “นี่ เจ้าโคโกโร่ มีเหตุผลหน่อยสิ? ฉันทำอะไรฮะ…”
“ไม่ได้คิดอะไรก็ดี เชอริลนั่นน่ะ ฉันชอบ ฉันกะจะรุกจีบเธอหนักเลยละ” เหมาเหว่ยหลงพูดอย่างจริงจังแล้วจ้องฉินสือโอวไม่วางตาทำเอาอีกฝ่ายเสียวสันหลัง
คิดไปคิดมาฉินสือโอวจึงยกมือขวาขึ้นทำมือในท่าสาบานแล้วเอ่ยปาก “เมียเพื่อน ไม่เกรงใจ…”
ตาของเหมาเหว่ยหลงถลึงโพลงเป็นกระดิ่งวัวทันใด
ฉินสือโอวรีบแก้ตัว “แค่กๆ ช่วงนี้พูดแต่อังกฤษพูดจีนไม่ค่อยคล่องเลย เอาใหม่นะ เมียเพื่อน เราไม่ยุ่ง! ฉันฉินสือโอวรักเพื่อนที่สุด ผู้หญิงที่นายชอบ ฉันไม่มีทางคิดอะไรเด็ดขาด!”
เหมาเหว่ยหลงยังคงมองเขา ฉินสือโอวจนใจจึงพูดขึ้น “แบบนี้ยังไม่โอเคอีกเหรอ?”
“โอเคกับผีสิ” เหมาเหว่ยหลงพูด “วันหยุดฉันมีแค่สองอาทิตย์ นี่ก็ใกล้เวลากลับแล้ว พอฉันกลับไป การติดต่อหลายอย่างของฉันกับเชอริลก็ต้องพึ่งแกแล้ว แกต้องทำหน้าที่ดีๆ รู้ไหม?”
“เข้าใจแน่นอนครับหัวหน้า แกทำเต็มที่ก็พอ แกกินข้าวฉันเลี้ยง แกเปิดห้องฉันจ่าย แกโม้ฉันผสมโรง แกกินเนื้อฉันแทะกระดูก รักเพื่อนพอยัง?” ฉินสือโอวพูดด้วยรอยยิ้ม
เหมาเหว่ยหลงพูด “แรกๆ น่ะยังพอโอเค แต่ไอ้กินเนื้อแทะกระดูกนี่เปรียบได้ไม่ค่อยเหมาะเอาเสียเลย”
ทั้งสองคุยเล่นกันแล้วเริ่มเดินไปทางด้านหลัง อากาศร้อนมากจริงๆ
เพิ่งจะนั่งลงบนเรือรับแขก มือถือของฉินสือโอวก็สั่น วินนี่โทรมา พอรับสายก็เป็นคำขอวิดีโอคอลเขาจึงกดเชื่อมต่อ
ใบหน้าสะสวยของวินนี่โผล่ขึ้นในหน้าจอมือถือทันใด “ฉิน คุณอยู่ที่ไหน?”
“ผมอยู่บนเรือ เมื่อกี้ไปเซนต์จอห์นมารอบหนึ่ง กำลังจะกลับฟาร์ม คุณก็รู้ ผมอยู่กับเจ้าโคโกโร่ ต้องพาเขาไปเที่ยวที่ดีๆ แถวนี้หน่อย คุณล่ะ อยู่ที่ไหน? เลิกงานกี่โมง เหนื่อยมากใช่ไหม?”
“โอเคอยู่” วินนี่ยิ้มหวาน “เพิ่งจะเลิกงานเมื่อกี้ ตอนนี้ฉันอยู่ในร้านริเวอร์ ไอส์แลนด์ เห็นกระโปรงตัวหนึ่งสวยดี คุณช่วยฉันดูหน่อยสิ?”
พูดไปวินนี่ก็ยื่นมือถือออกไปข้างหน้าเพื่อที่จะได้ถ่ายให้เห็นทั้งตัว
วินนี่สวมเสื้อสีดำสั้นตัวหลวมและกระโปรงเอวสูงผ่าข้างสีดำ ที่เท้าสวมรองเท้าส้นสูงหน้าแหลมสีดำ พอสะบัดผมสลวยสีดำสวมแว่นกันแดด ในความสง่างามแอบแฝงไปด้วยเสน่ห์เย้ายวน แม้จะผ่านหน้าจอแต่เสน่ห์นั้นก็น่าตะลึง
ฉินสือโอวสูดปาก ไม่ใช่เพราะวินนี่สวยเกินไปแต่เพราะว่าเสื้อผ้าที่วินนี่ใส่คือเสื้อครอปท็อป ท่อนล่างก็เป็นกระโปรงผ่าข้าง ทรงดินสอเหมือนกัน…..
แม้ว่าเขาจะอายเวลาเจอผู้หญิง แต่อีคิวเขาไม่ต่ำเลย ชุดเสื้อผ้าบนตัวที่วินนี่ใส่แทบจะเหมือนกับเชอริลที่เจอกันเมื่อตอนกลางวันเลย
“เป็นไง?” วินนี่ถามพลางยิ้มหวาน
ฉินสือโอวพยักหน้ารัวแล้วออกปาก “เพอร์เฟกต์ เพอร์เฟกต์ที่สุด ที่รัก ชุดนี้ทำมาเพื่อคุณโดยเฉพาะเลย”
วินนี่ถอดแว่นออกมาอย่างสง่างาม รอยยิ้มหวานกว่าเดิมแล้วเอ่ยขึ้น “ที่รัก? คำเรียกแบบนี้เร็วไปหรือเปล่า”
ฉินสือโอวยักไหล่แล้วพูดขึ้น “เสน่ห์คุณกำราบผมหมดแล้วเลยอดเรียกออกไปแบบนั้นไม่ไหว ถ้าชอบชุดนั้นก็ซื้อเลย ผมช่วยจ่ายออนไลน์ให้ได้”
วินนี่พูดยิ้มๆ “ไม่ต้องหรอก ฉันมาเดินเที่ยวจะไม่ได้เอาบัตรเครดิตมาด้วยได้ไง? คุณชอบก็ดีแล้ว แต่ก่อนฉันซื้อเสื้อผ้าตามความชอบของตัวเอง ตอนนี้ฉันแค่คิดว่าควรถามความเห็นคุณไว้ด้วยหน่อยดีกว่า”
พูดจบวินนี่ก็โบกมือให้ฉินสือโอวแล้ววางสาย
เหมาเหว่ยหลงยืนดูคลื่นทะเลบนดาดฟ้า เขาเห็นฉินสือโอววางสายโทรศัพท์จึงเอ่ยถาม “คุยกับแฟนเหรอ? ดูรอยยิ้มบนหน้าแกสิ โครตหื่น! ดีนะที่แกเป็นผู้ชาย ถ้าแกเป็นผู้หญิงคงได้เป็นพานจินเหลียนแน่”
ฉินสือโอวพูดด้วยน้ำเสียงขึงขัง “ไอ้บ้า นี่แกเพิ่มวินนี่เข้ามาในโมเม้นต์เหรอ? รีบลบรูปที่ถ่ายกับพวกเชอริลเมื่อตอนกลางวันเลย!”
เหมาเหว่ยหลงอึ้งไปก่อนจะได้สติแล้วยิ้มร้าย “เฮ้ย แฟนแกเช็กเหรอ?”
ฉินสือโอวพูดอย่างภูมิอกภูมิใจ “เช็กอะไรเล่า เธอกลัวว่าฉันจะโดนผู้หญิงสวยๆ แย่งไป แกก็รู้นี่ว่าเพื่อนแกตอนนี้เป็นสินค้าที่เป็นที่ต้องการ หล่อ สาวเยอะ บอกความจริงละกัน หน้าหล่อ แรงดี มีเงิน มีความอดทน มีเวลาให้ เพื่อนเอ๋ย…..”
เหมาเหว่ยหลงยกมือขวาขึ้นแล้วชี้นิ้วขึ้นหนึ่งนิ้วเลียนแบบสายล่อฟ้าจากนั้นก็พูดว่า “มา เก๊กต่อไป เพื่อน เก๊กต่อไปเลย ตอนนี้ฉันมันไม่กลัวฟ้าผ่าอยู่แล้ว”
…………………………………………………
บทที่ 174 ของขวัญจากฉันให้นาย
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อฉินสือโอวกลับมาถึงฟาร์มปลา เขาก็เห็นเรคที่กำลังรออยู่และพนักงานอีกสองคนที่กำลังยุ่งกับการประกอบรถเอทีวี
รถเอทีวีคันนี้ไม่จำเป็นต้องติดป้ายทะเบียนไม่ว่าจะที่จีนหรือแคนาดาก็ไม่ต้องติดเหมือนกัน
เนื่องจาก ’มาตรการการจัดการใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ของสาธารณรัฐประชาชนจีน’ ของที่จีนไม่มีรถประเภทเอทีวี นอกจากมันจะไม่ถูกจัดอยู่ในประเภทรถที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าทั่วไปแล้ว มันยังไม่ถูกจัดอยู่ในประเภทรถของผู้พิการอีกด้วย นี่จึงเป็นสาเหตุที่มันไม่สามารถใส่ป้ายทะเบียนได้แถมยังไม่สามารถขับขี่บนถนนได้ด้วย
แต่ในทางกลับกันที่แคนาดากลับมีรถประเภทนี้ และยังมีข้อกำหนดที่ชัดเจนด้วยว่ามันถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่ของรถประเภทพิเศษ และรถประเภทพิเศษจะสามารถใช้ได้แค่ในบางสถานที่เท่านั้น เช่นสวนสนุก สนามแข่ง ฟาร์มปลา ฟาร์มเกษตร ป่าและสถานที่ดำเนินกิจกรรมอื่นๆ และถ้านำไปขับขี่บนถนนก็จะถือว่าเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ดังนั้นจึงไม่สามารถติดป้ายทะเบียนได้
จากนั้นเรคจึงได้อธิบายการนำไปขับให้ฉินสือโอวฟัง คือถ้าอยากจะนำรถไปขับเล่นล่ะก็ จะต้องเอาขึ้นหลังกระบะแล้วขับรถกระบะไปตามทางหลวงปกติ พอถึงสถานที่ที่มีไว้สำหรับเอทีวีก็ค่อยนำมันลงมาขับได้
เดิมทีฉินสือโอวไม่ได้คิดจะขับขึ้นทางหลวงอยู่แล้ว เขาแค่กะจะขับวนในเมืองเล็กๆ สักสองสามรอบก็พอ แต่หลักๆ แล้วคือเอาไว้ขับในฟาร์มปลานั่นแหละ
หลังจากเอทีวีรุ่นโพลาริส เอช 2 ประกอบเสร็จ เรคก็เติมน้ำมันลงไป จากนั้นเขาก็ให้ฉินสือโอวขึ้นไปลองขับดู
รถเอทีวีขับง่ายกว่ารถยนต์ซะอีก เพราะว่ามันไม่ใช่รถที่ใช้พวงมาลัยในการขับ แต่มันใช้แฮนด์ในการบังคับเหมือนกับพวกจักรยานและมอเตอร์ไซต์ นอกจากนี้เอช 2 ยังเป็นเกียร์ออโต้อีกด้วย แถมยังมีสตาร์ทไฟฟ้าซึ่งเพียงแค่กดปุ่มก็สามารถสตาร์ทได้แล้ว จากนั้นพอเหยียบคันเร่งก็สามารถวิ่งฉิวออกไปได้
ส่วนล้อของเอช 2 ก็ทั้งกว้างทั้งใหญ่ เมื่อขับไปบนชายหาดก็ไม่มีทางจมลงไปแน่นอน เพียงแต่ทรงมันยกสูงไปหน่อยเลยค่อนข้างจะโคลงเคลงเล็กน้อย แต่นี่ก็ถือว่าเป็นจุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของมัน
เมื่อขับบนชายหาดได้รอบหนึ่งแล้วฉินสือโอวก็รู้สึกชอบใจมากจึงให้เหมาเหว่ยหลงมาลองขับดูด้วย ส่วนเขาและเรคพากันมาทดสอบการใช้งานของบอมบาร์เดียร์ เอส 200 ที่เขาจะให้เป็นของขวัญแก่เด็กๆ
เรคก็เพิ่งจะรู้ว่าเออร์บักรับเด็กมาเลี้ยงถึงสี่คนจึงพูดขึ้นอย่างยินดี “คราวหลังถ้าว่างๆ ผมจะให้คันเบ็ดพวกเด็กๆ คนละคัน จะได้เอาไว้ใช้ตกปลาได้สบายๆ ถ้าคุณว่างก็ไปเอาที่ผมได้เลยนะ”
เรคบิ๊กฟุตไม่เหมือนกับคนแคนาดาทั่วๆไป เพราะคนอเมริกาเหนือส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับค่านิยมพวก ‘น้ำใจก็ส่วนน้ำใจ ธุรกิจก็ส่วนของธุรกิจ’ พ่อลูกที่ทำธุรกิจกันยังต้องคิดบัญชีกันเลย แต่เรคคนนี้ดูเหมือนกับพวกโรบินฮูดของจีนที่มักจะชอบแจกของหรือไม่ก็แจกส่วนลดเป็นประจำ
เรื่องนี้ชาร์คอธิบายเอาไว้ว่าพวกเขาล้วนเป็นลูกหลานชาวไวกิ้ง ดังนั้งจึงมีนิสัยใจคอที่แตกต่างจากพวกผู้อพยพผิวขาวชาวยุโรป
อีวิลสันเดินออกมาจากคฤหาสน์ที่อยู่ด้านหลัง พอเห็นเขา เรคก็ร้องออกมาอย่างตกใจ “เพื่อนของคุณนี่รูปร่างสูงใหญ่จริงๆ เลยนะ ไปหาคนตัวใหญ่ขนาดนี้มาจากไหนล่ะเนี่ย?”
ฉินสือโอวทักทายอีวิลสันแล้วปล่อยให้เขาไปเดินเล่นที่ชายหาด หลังจากนั้นเขาจึงค่อยเล่าเรื่องภูมิหลังของอีวิลสัน ที่จริงแล้วพอได้ยินชื่อของเขา เรคก็พอจะรู้แล้วว่าเรื่องมันเป็นมาอย่างไร เขามองแผ่นหลังของอีวิลสันด้วยแววตาสับสนก่อนจะพูดขึ้น “ที่แท้ก็เป็นลูกของจูเลียเองหรอกเหรอ โตขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย”
“พวกนายรู้จักด้วยเหรอ?” ฉินสือโอวถามขึ้น
เรคยิ้มเจื่อนแล้วพูดขึ้น “ก็ทั้งผม ชาร์ค และซีมอนสเตอร์สนิทกันจะตาย คุณม่แปลกใจเหรอ? ที่จริงแล้วเมื่อสิบห้าปีก่อนบ้านผมเคยอยู่ที่แฟร์เวลมาก่อนน่ะ หลังจากนั้นพอฟาร์มปลาปิดตัวลง พ่อก็พาพวกเราไปที่เซนต์จอห์น แล้วก็ค่อยๆ ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา”
“ผมรู้จักอีวิลสันเพราะตอนที่เขายังเด็กก็เคยได้ดูแลเขาอยู่ สาเหตุก็เพราะแม่ของเขานั่นแหละ พี่จูเลียน่ะ” พอเรคพูดถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “พี่ชายผมเคยโดนจูเลียตามจีบอย่างบ้าคลั่ง แต่น่าเสียดายที่ต่อมาจูเลียก็มาฆ่าตัวตายและเขาคงจะทนรับความเจ็บช้ำนี้ไม่ไหวก็เลยไปเป็นทหารที่ควิเบก”
ฉินสือโอวพยักหน้าโดยไม่พูดไม่จา เรื่องในตอนนั้นไม่ได้ทำร้ายแค่ครอบครัวหนึ่งเท่านั้น
แต่จากนั้นเรคก็หันมาพูดกับเขาอีก “ชะตากรรมที่จูเลียต้องเจอไม่มีใครรับได้หรอก ประจวบกับตอนนั้นรัฐบาลได้ออกมาประกาศปิดฟาร์มปลานิวฟันด์แลนด์ หลังจากนั้นเกาะแฟร์เวลก็กลายเป็นเกาะร้าง ทั้งสองเรื่องนี้ทำให้ผู้คนมากมายเริ่มหมดความหวังกับเมืองนี้สุดๆ และค่อยๆพากันออกจากเมืองไป”
พอได้เห็นอีวิลสัน ความรู้สึกของเรคก็ค่อยๆ ดิ่งลงเหว เห็นได้ชัดว่าเขาหวนกลับไปคิดถึงเรื่องในอดีตที่ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้
ฉินสือโอวมองดูอายุของเรค ตอนนั้นเขาน่าจะยังหนุ่มและมีความเป็นไปได้ว่าเขาอาจจะมีความรู้สึกดีๆ ให้จูเลียแน่นอน
จากนั้นพวกเขาก็พากันดื่มเบียร์เย็นๆ คนละแก้วก่อนที่เรคจะขอตัวกลับก่อน แต่ก่อนที่เขาจะไป เขาก็ได้พูดขึ้น “ตอนนี้เจ้าเด็กอีวิลสันคนนี้ชอบอะไรเป็นพิเศษล่ะ?”
ฉินสือโอวกำลังจะพูดขึ้น แต่เรคก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน “นอกจากการกินน่ะนะ เพื่อน ดูแค่รูปร่างก็รู้แล้วว่าเขาคงจะชอบของกิน”
พอคิดดูอย่างละเอียดแล้ว ฉินสือโอวก็ได้แค่พยักหน้า “หมดแล้ว”
จากนั้นเรคก็เดินจากไปอย่างหดหู่ เขาหน้านิ่วคิ้วขมวดและไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
พอตกบ่าย พวกพาวลิสทั้งสี่คนก็วิ่งเข้ามาอย่างดีอกดีใจ เมื่อเห็นฉินสือโอว เชอร์ลี่ย์ก็หยิบกระเป๋าสตางค์ใบเล็กออกมา แล้วพูดขึ้นอย่างดีใจ “ลุงฉิน ดูสิว่าพวกเราหาเงินได้มากขนาดไหน? เยอะมากเลย!”
“ยินดีกับพวกเธอด้วย เหล่าเถ้าแก่น้อยทั้งหลาย” ฉินสือโอวปรบมือให้ทั้งสี่คน
หลังจากปรบมือให้แล้ว พาวลิส กอร์ดอนและมิเชลต่างก็พากันมองไปที่เชอร์ลี่ย์ เธอดูเขินอายอย่างมากก่อนจะหยิบผ้าโพกหัวสีน้ำเงินออกจากกระเป๋าหนังสือแล้วพูดขึ้นมา “ลุงฉิน นี่คือของขวัญที่พวกเราใช้เงินจากการขายเกี๊ยวน้ำซื้อมาให้นาย นายชอบไหม?”
เดิมทีฉินสือโอวไม่เคยใส่ผ้าโพกหัวมาก่อน แต่พวกชาวประมงและเจ้าของฟาร์มปลาต่างก็ใส่เจ้านี่เพื่อกันลมเวลาออกทะเล ผ้าโพกหัวจะช่วยป้องกันเส้นผมไม่ให้โดนน้ำทะเลหรือเป็นหวัดอะไรทำนองนั้น
เมื่อมองดูท่าทางที่ตื่นเต้นของเชอร์ลี่ย์ ฉินสือโอวก็รับเอาผ้าโพกหัวมาดู มันเป็นผ้าโพกหัวที่ดูทันสมัยผืนหนึ่ง แถมยังมีสีฟ้าสดและมีรูปการ์ตูนปลาวาฬทั้งผืนอีกด้วย
เขาเอาผ้าโพกหัวมาโพกเอาไว้บนศีรษะพลางเข้าไปกอดเชอร์ลี่ย์แล้วพูดออกมา “ขอบคุณเธอมาก เธอช่างรู้ใจฉันจริงๆ เลย ฉันชอบมากเลยล่ะ ฉันคิดมาตลอดเลยว่าจะซื้อมาไว้สักผืน แต่สุดท้ายก็ไม่เจออันที่ชอบสักที แต่ผืนที่เธอให้มานี้เป็นผืนที่เยี่ยมมากที่สุดเลย”
พอเชอร์ลี่ย์ยิ้มออกมา ฉินสือโอวก็ปล่อยเธอไป จากนั้นกอร์ดอนก็เดินเข้ามายื่นเครื่องประดับเล็กๆที่เอาไว้ห้อยคอให้เขา มันคือสร้อยคอเส้นเล็กๆ เส้นหนึ่ง ตรงกลางมีจี้เหล็กกล้าสเตนเลสรูปหอยสังข์เล็กๆ อยู่ด้วย “นี่คือของขวัญจากผมนะฉิน”
จากนั้นพาวลิสก็หยิบแว่นกันแดดอันหนึ่งจากกระเป๋ากางเกงออกมาให้ฉินสือโอวแล้วพูดออกมา “เห็นคุณชอบตากแดด ลุงฉิน อันนี้คือแว่นกันแดดนะ มันสามารถช่วยปกป้องสายตาคุณจากแสงแดดได้”
ส่วนมิเชลที่เหลือเป็นคนสุดท้ายก็ค่อยๆหยิบสิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวตกใจออกมา มันก็คือปลอกแขนอันหนึ่ง เป็นปลอกแขนที่ฝีมือการทำค่อนข้างหยาบไปสักหน่อย
ปลอกแขนนี้ทำจากหนังกวางทั้งหมดและยังมีเข็มขัดสี่เส้นไว้รัดกับแขนให้แน่นหนา ตรงกลางปักเลี่ยมไม้ไว้อย่างไม่ค่อยจะละเอียดเท่าไร สิ่งนี้จะเห็นได้ทั่วไปกับคนที่เลี้ยงนกอินทรี ซึ่งพวกเขามักจะสวมใส่ไว้ที่แขนแล้วให้พวกเหยี่ยวหรืออินทรีทองมาเกาะบนแขน
“ฉิน ผมคิดว่าปลอกแขนอันนี้จะช่วยให้ความสัมพันธ์ของคุณกับเชสเตอร์ วิลเลี่ยม นิมิตส์ดีขึ้นกว่าเดิมน่ะ” มิเชลพูดอย่างเขินอาย
เมื่อมองไปที่ของขวัญเหล่านั้น ฉินสือโอวก็แทบจะไม่อยากเชื่อสายตาเล็กน้อย เขาเอาแต่จับพลิกไปพลิกมา เมื่อใบหน้าเล็กๆ ของมิเชลเห็นอย่างนั้นก็ถอดสีขึ้นมาทันทีแล้วรีบถามขึ้นมา “คุณไม่ชอบเหรอ?”
ฉินสือโอวดึงเธอเข้ามาไว้ในอ้อมแขน หลังจากนั้นก็โอบกอดเด็กๆ อีกสามคนแล้วพูดขึ้น “ไม่ๆ ฉันชอบสิ พวกเพื่อนๆตัวน้อยทั้งหลาย ฉันชอบมากเลยล่ะ! นี่คือของขวัญที่ดีที่สุดที่ฉันได้รับมาเลยนะ มันคือของขวัญที่ดีที่สุดในชีวิตที่ฉันได้รับมาเลย! ขอบใจพวกเธอมากๆ เลยนะ พวกขวัญพวกนี้สุดยอดไปเลย!”
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมคู่ชายหญิงถึงอยากมีลูกหลังแต่งงาน เพราะความรู้สึกที่มีคนมาเอาอกเอาใจแบบนี้มันช่างเป็นความรู้สึกที่ไม่มีอะไรมาแทนที่ได้จริงๆ
ถึงแม้ว่าแต่ก่อนฉินสือโอวจะชอบซื้อของให้เด็กๆ สี่คนนี้ แต่ความรู้สึกที่มีต่อพวกเขาก็คล้ายๆ กับการเลี้ยงสัตว์เท่านั้น ส่วนการรับเลี้ยงพวกเขาก็ยิ่งเป็นเหมือนหน้าที่ และเขาก็กำหนดบทบาทของตัวเองเป็นแค่ผู้ปกครองเท่านั้น
แต่ในตอนนี้ที่เขาได้รับของขวัญเหล่านี้ มันกลับทำให้เขาเข้าใจว่าหน้าที่ของเขานั้นห่างไกลจากคำว่าง่ายอยู่มาก!
และตอนนี้เขาก็เข้าใจแล้วว่าที่พวกเด็กๆ ออกไปขายเกี๊ยวน้ำกันนั้น ไม่ใช่เพราะอยากจะฝึกฝนตัวเองหรืออะไรเลย เพียงแต่พวกเขาต้องการจะหาเงินมาซื้อของขวัญให้ฉินสือโอวก็เท่านั้น เพราะพวกเขาไม่มีเงินเก็บเลยแม้แต่นิดเดียว ฉินสือโอวก็ลืมเรื่องนี้ไปเลยเช่นกัน
ฉินสือโอวเอาผ้ามาโพกหัว เอาสร้อยมาสวมไว้ที่คอ จากนั้นก็สวมแว่นดำและมัดปลอกแขนอย่างแน่นหนา จากนั้นสักพักฉินสือโอวก็ไปหลบอยู่ใต้ร่มไม้แล้วผิวปากเรียกเชสเตอร์ วิลเลี่ยม นิมิตส์มา
ไม่นานนักเชสเตอร์ วิลเลี่ยม นิมิตส์ก็บินโฉบมาเกาะบนปลอกแขนของเขา ฉินสือโอวจึงค่อยเรียกเหมาเหว่ยหลงมา เพื่อให้เขาและพวกเด็กมาถ่ายรูปด้วยกัน
เมื่อเขาได้รับของขวัญจากเด็กๆแล้ว เขาจึงคิดว่าจะเริ่มแจกของขวัญให้เด็กๆบ้าง
ที่จริงฉินสือโอวนำของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จากบอสตันและไมอามีมาฝากเด็กๆ ทั้งสี่ด้วย แต่เขาก็ยังไม่รู้จะให้เด็กๆ เนื่องในโอกาสอะไรดี ดูเหมือนตอนนี้โอกาสนั้นจะมาถึงแล้ว
เขาให้เสื้อบอลแก่เด็กๆ คนละตัว แถมบนนั้นยังมีลายเซ็นของนักบอลชื่อดังอีกด้วย นอกนั้นยังมีพวกของใช้ในการออกกำลังกายเช่นปลอกสวมหัวเข่ากับผ้ารัดข้อมือ และสุดท้ายเขาก็หยิบลูกบาสยี่ห้อสปัลดิงออกมาแล้วถามขึ้น “พวกเธอใครชอบบาสเกตบอลบ้าง? เดี๋ยวต่อไปพวกเรามาเล่นด้วยกันนะ”
เด็กทั้งสี่ต่างก็ยังไม่เคยเล่นบาสเกตบอลมาก่อน ส่วนมิเชลก็ได้แต่เกาหัวแล้วนึกถึงตอนเขารับลูกบาสแล้วเลี้ยงลูกอย่างงุ่มง่ามในครั้งก่อน จากนั้นเจ้าตัวก็พูดขึ้น “งั้นเดี๋ยวผมเล่นเป็นเพื่อนคุณเอง ดีไหมลุงฉิน?”
“ดีมากเลยล่ะ” ฉินสือโอวตอบอย่างมีความสุข
แต่ตอนนี้ยังเหลือเซอไพร์สุดท้ายที่ยังไม่ได้หยิบออกมา ฉินสือโอวกะว่าจะรอให้ทานข้าวเย็นกันเสร็จก่อนแล้วค่อยพาเด็กๆทั้งสี่ไปที่ชายหาด ที่มีบอมบาร์เดียร์ เอส 200 คันน้อยแต่เครื่องยนต์และสมรรถนะดีเยี่ยมจอดอยู่ตรงนั้น
ฉินสือโอวพาพวกเขาทั้งสี่เดินไปที่นั่น พอไปถึงเขาก็ให้พาวลิสขึ้นไปนั่นบนรถแล้วพูดออกมา “หนุ่มน้อย รถคันนี้เป็นของนายแล้วนะ ต่อจากนี้ไปมันจะเป็นรถแข่งของนายแล้ว ชอบไหม?”
ตอนที่พาวลิสเห็นรถเอทีวีครั้งแรกก็คาดไว้แล้ว แต่พอฉินสือโอวพูดออกมาก็ยิ่งทำให้เขาประหลาดใจมากกว่าเดิมจนต้องร้องขึ้นมา “มายก๊อด นี่รถของมเหรอ? มันเป็นรถของผมแล้วเหรอ? จริงเหรอ? ไม่อยากจะเชื่อเลย โอ้มายก๊อด นี่คือรถแข่งของผมจริงๆ ใช่ไหม?”
แล้วฉินสือโอวก็ถ่ายรูปให้เขาพร้อมพูดขึ้น “ใช่แล้ว มันเป็นรถแข่งของนาย รถแข่งคันแรกของนาย และเส้นทางนักแข่งรถของนายจะเริ่มต้นจากตรงนี้แหละ และฉันก็หวังว่าสักวันหนึ่งนายจะได้ขับพวกเฟอรารี่หรือไม่ก็ฟอร์ดควบทะยานไปในสนามแข่งฟอร์มูล่าวันด้วยนะ!”
พาวลิสทั้งลูกคลำไปที่ส่วนหัวของบอมบาร์เดียร์ เขาทั้งลูบทั้งคลำไปทุกส่วนทุกซอกทุกมุมของมัน ขณะลูบไปก็ร้องไห้ไปด้วย แล้วสุดท้ายเขาก็กอดไปที่แฮนด์จับแล้วร้องไห้โฮออกมายกใหญ่
ฉินสือโอวเห็นดังนั้นจึงเข้าไปกอดเขาแล้วพูดปลอบประโลมออกมา “ไม่ร้องแล้วๆ พาวลิส นายเป็นพี่ใหญ่นะ ทีหลังไม่ต้องร้องแล้ว รอให้นายได้ถือถ้วยรางวัลที่หนึ่งของการแข่งขันฟอร์มูลาวันมืออาชีพก่อนแล้วกัน ถึงตอนนั้นแล้วค่อยร้อง โอเคไหม”
ฉินสือโอเข้าใจพาวลิส เพราะเขาเป็นพี่คนโตสุดในเด็กทั้งสี่ แต่ก่อนสมัยที่ยังร่อนเร่พเนจร เขาต้องดูแลทั้งน้องชายและน้องสาว มีอะไรเขาก็จะให้น้องๆ ทานก่อนตลอด เมื่อถึงคราวลำบากเขาก็เป็นคนออกรับแทนเสมอ แม้ว่าจะต้องโดนตีจนได้รับแผลไปทั่วทั้งตัวก็ตาม
นอกจากนี้พาวลิสยังเป็นคนผิวสี คนผิวสีในแคนาดาจะไม่เหมือนคนผิวสีส่วนใหญ่ในอเมริกา ยิ่งบวกกับแคนาดายังเป็นอนุรักษนิยมกันอยู่ การเหยียดสีผิวของที่นี่จึงค่อนข้างรุนแรง ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าเรื่องราวที่พาวลิสเคยเผชิญมาจะหนักหน่วงและอ้างว้างได้ขนาดไหน
พอหลังจากร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลังเสร็จแล้ว พาวลิสก็เช็ดน้ำตาให้แห้งพร้อมพูดออกมาทั้งรอยยิ้ม “ฉิน คุณสอนผมขับเจ้านี่หน่อยได้ไหม?”
“งั้นนายตั้งชื่อให้มันก่อนดีไหม” ฉินสือโอวพูดขึ้น
พาวลิสคิดไปคิดมาแล้วก็พูดออกมา “งั้นเรียกมันว่าซีบิสกิตดีไหม?”
ซีบิสกิตเป็นอาหารชนิดหนึ่งที่พวกกะลาสีชาวอเมริกันหรือพวกชาวประมงทานกันเป็นประจำในสมัยก่อน แต่ต่อมาเงินทุนในการผลิตต่ำลงจึงส่งผลให้รสชาติแย่ หลังๆมาคุณภาพเลยไม่ดีเท่ากับชื่อเสียง
นอกจากนี้ มันยังเป็นชื่อที่มีชื่อเสียงมากในการแข่งม้าครั้งหนึ่งและยังถือเป็นตัวแทนของชื่อแปลกชื่อหนึ่งในตำนานอีกด้วย!
………………………………………………………………
บทที่ 175 ซีบิสกิต
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในคืนส่งท้ายปีเก่าปี 1938 ‘นิตยสารไทม์’ ฉบับประเทศสหรัฐอเมริกาได้ประกาศ 10 อันดับบุคคลแห่งปี แต่ในปีนั้นมีบุคคลแห่งปีเพียงเก้าคนเท่านั้น ในบรรดาบุคคลแห่งปีทั้งเก้าคนนั้นมีทั้งแฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์ เนวิล เชมเบอร์ลิน และ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์รวมอยู่ด้วย
ส่วนอีกบุคคลหนึ่งนั้นไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นม้าตัวหนึ่ง ม้าตัวนี้มีชื่อว่าซีบิสกิต
ม้าตัวนี้เกิดในปี 1933 มันเกิดมาตัวเเคระแกร็นและมีข้อบกพร่องตรงที่หัวเข่าของมันยื่นออกมาจนไม่สมส่วน อีกทั้งขาของมันยังไม่เหยียดตรง ซึ่งทั้งหมดคือความบกพร่องของร่างกายและม้าประเภทนี้จะต้องถูกทอดทิ้งเมื่อเกิดมา เรื่องนี้ทุกคนต่างเห็นพ้องต้องกัน
เพราะแบบนี้ตั้งแต่ซีบิสกิตเกิดมาจนอายุสามปี มันจึงผ่านชีวิตในแต่ละวันมาอย่างยากลำบาก มันเกิดในตระกูลม้าแข่งแต่กลับถูกเลือกปฏิบัติเพราะร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ ทั้งลากของ ดึงเครื่องโม่ และงานอื่นๆ ที่แสนลำบากอีกมากมาย
จนมาถึงปี 1936 ครูฝึกม้าผู้ยากจนคนหนึ่งที่ชื่อ ทอม สมิธได้ซื้อตัวมันไป หลังจากที่ฝึกมันจนครบหนึ่งปี ในปี 1937 ซีบิสกิตก็เริ่มเข้าร่วมการแข่งม้าของสหรัฐอเมริกา หลังจากที่ได้รับชัยชนะจากการลงแข่งในการแข่งขันครั้งแรก มันก็เริ่มกวาดรางวัลการแข่งขันม้าทุกรายการทั่วสหรัฐอเมริกาจนขึ้นมาเป็นม้าแถวหน้าที่ไม่มีใครล้มได้ กระทั่งมาถึงการแข่งขันสนามที่สิบซึ่งนับเป็นชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่และสำคัญอย่างมาก ณ เวลานั้นมันมีรายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นสี่พันดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว!
โดยเฉพาะในวันที่ 1 พฤศจิกายน ปี 1938 การแข่งขันระหว่างซีบิสกิตกับราชาแห่งรางวัลการแข่งม้า “นาวีนักรบ” ที่เป็นตำนานอันโด่งดัง ราชาปะทะราชา ม้าที่ร่างกายไม่สมบูรณ์ปะทะกับราชาม้า ในการแข่งขันครั้งนี้ความสามารถของซีบิสกิตโดดเด่นอย่างมาก หลังจากที่เริ่มการแข่งขันก็ไม่มีใครคาดคิดว่ามันจะสามารถเข้าเส้นชัยและคว้าชัยชนะไปได้อย่างขาดลอยถึง 4 ช่วงตัว!
แต่ตำนานก็ยังไม่สิ้นสุดลง วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ปี 1939 ซีบิสกิตประสบอุบัติเหตุจนเส้นเอ็นขาหน้าข้างซ้ายฉีกขาด เพราะเหตุนี้จึงทำให้มันมีโอกาสสูงที่จะไม่สามารถลงแข่งขันได้อีก
จากนั้นวันที่ 2 มีนาคม ปี 1940 ซีบิสกิตที่อายุครบเจ็ดปีมันก็หวนกลับคืนสู่วงการ อีกทั้งยังสามารถชนะการแข่งขันครั้งสุดท้ายที่มันไม่เคยชนะได้อีกด้วย นั่นคือการแข่งขันที่สนามแข่งม้าซานต้าแอนนิต้าที่มีเงินรางวัลสูงถึงหนึ่งแสนดอลลาร์สหรัฐ
ผู้คนต่างพากันคิดว่าม้าแก่ตัวนี้เข้าร่วมการแข่งขันเพื่อกระชับมิตร และเพื่อเป็นส่งท้ายอาชีพของตัวเองเท่านั้น แต่ในท้ายที่สุดผลการแข่งขันครั้งนั้นกลับทำให้ชาวอเมริกันทุกคนต้องตกใจเป็นอย่างมาก ซีบิสกิตทำเวลาได้ดีที่สุดในประวัติศาสตร์การแข่งม้าของสนามแข่งม้าซานต้าแอนนิต้า ซึ่งถือว่าเป็นสถิติที่ดีที่สุดเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์การแข่งขันม้าของสหรัฐอเมริกา และยังเป็นการทำลายสถิติโลกอีกด้วย
หลังจากที่นักเขียนชื่อดังอย่างจูลี่ โรเจอร์ได้เห็นการแข่งขันนี้ เขาก็ได้เขียนบรรยายในคอลัมน์พิเศษของตัวเองว่า “ฉันโชคดีมากที่ได้มีชีวิตอยู่เห็นเหตุการณ์ในวันนี้”
ตั้งแต่นั้นมา ชื่อซีบิสกิตก็กลายเป็นตัวแทนของจิตวิญญาณอันไม่ย่อท้อของชาวอเมริกาเหนือมาโดยตลอด และยังแสดงถึงนิสัยอันมุ่งมั่นและความเชื่อมั่นในการไม่ยอมแพ้อีกด้วย
ในตอนที่ฉินสือโอวได้ยินเรื่องนี้ครั้งแรกเขารู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก นี่ไม่ใช่แค่เรื่องที่เต็มไปด้วยแง่คิดและกำลังใจเท่านั้น นี่มันเป็นตำนานจริงๆ และการเอาตำนานมาแบบนี้มาตั้งเป็นชื่อรถแข่งของตัวเองก็แสดงให้เห็นว่าพาวลิสคาดหวังในตัวเองอย่างมาก
เขาอยากจะกลายเป็นตำนานนักแข่งรถเหมือนกัน!
ฉินสือโอวตบบ่าพาวลิสแล้วพูดขึ้น “ชื่อนี้เป็นชื่อที่ดี สู้ๆนะ อย่าทำให้ซีบิสกิตต้องขายหน้าล่ะ!”
หลังจากที่เขาสอนวิธีควบคุมรถเอทีวีคันนี้ให้แก่พาวลิสแล้ว เขาก็ให้พาวลิสได้ลองขับ เร่งความเร็วและเลี้ยวรถด้วยตัวเองเพื่อให้เขาเข้าใจทักษะเบื้องต้นในการขับรถคันนี้
เออร์บักยืนอยู่ที่ชายหาดพลางมองดูฉินสือโอสอนพาวลิสขับรถอย่างอดทน ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้น
เช้าวันถัดมา พาวลิสลุกจากเตียงไปเช็ดซีบิสกิตจนสะอาดเอี่ยม จากการสอนของฉินสือโอวเมื่อคืนวาน เขาจะต้องตรวจสอบตำแหน่งจำพวกสายเบรก เบรกมือ ถังน้ำมัน ล้อรถและเพลารถ หลังจากตรวจไม่พบปัญหาใดๆ เขาจึงค่อยไปทานอาหารเช้า
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อย เด็กทั้งสี่คนยังต้องเอาเกี๊ยวน้ำเข้าไปขายในเมือง ฉินสือโอวจึงพาเหมาเหว่ยหลงไปล่องเรือ
หลังจากล่องเรือเสร็จแล้ว ฉินสือโอวเตรียมจะพาเหมาเหว่ยหลงไปยิงปลาในตอนบ่าย ข้าวของของทั้งสองคนถูกจัดเอาไว้อย่างเรียบร้อยเพราะชาร์คได้พาอีวิลสันมาเตรียมไว้ให้ล่วงหน้าแล้ว นี่ไม่ใช่เป็นเพียงการยิงปลาทั่วไปเท่านั้น แต่หลังจากยิงปลาเสร็จในตอนเย็นพวกเขาจะมีงานเลี้ยงบาร์บีคิวที่ริมชายหาดด้วย
หลังจากฉินสือโอวทำอาหารกลางวันเสร็จ ปรากฏว่าเด็กน้อยทั้งสี่คนไม่ได้กลับมาทานอาหารที่นี่ คุณลุงฮิคสันโทรศัพท์มาบอกว่าเด็กๆจะยังไม่กลับไปและพวกเขาจะทานอาหารที่บ้านของคุณลุงฮิคสัน
เมื่อนอนหลับกลางวันจนเต็มอิ่มแล้ว ฉินสือโอวและเหมาเหว่ยหลงก็พากันขับรถกระบะไปยังทะเลสาบเฉินเป่า โดยระหว่างนั้นพวกเขาก็ได้แวะไปยังร้านอาหารของคุณลุงฮิคสันด้วย
บ่ายสองโมงตรงเป็นช่วงเวลาที่ร้อนที่สุดของวัน คนส่วนใหญ่มักจะหลบอยู่ในห้องและเปิดเครื่องปรับอากาศเพื่อดับร้อน แต่ถัดจากร้านอาหารของคุณลุงฮิคสันนั้นกลับมีเด็กทั้งสี่คนรวมถึงลูกสุนัขสองตัวกำลังยืนหลบแดดอยู่ใต้ร่มต้นไม้พลางมองยังผู้คนที่เดินผ่านไปมาบนถนนตาปริบๆ
ข้างๆ ร้านอาหารมีโต๊ะอยู่สองตัว มีหม้อหุงข้าววางอยู่บนโต๊ะตัวหนึ่ง ส่วนโต๊ะอีกตัวก็มีเครื่องปรุงและกล่องใส่ของต่างๆ นอกจากนี้ยังมีกล่องกระดาษลังตั้งอยู่อีกหนึ่งกล่อง และบนกล่องนั้นก็เขียนข้อความเป็นภาษาจีนและภาษาอังกฤษว่า ‘เกี๊ยวน้ำสูตรต้นตำรับจากประเทศจีน อร่อยไม่แพง’
ฉินสือโอวจอดรถอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามแล้วมองมายังเด็ก ๆ
บนถนนนั้นไม่มีคนแม้แต่คนเดียว และยิ่งไม่ต้องพูดถึงลูกค้าในร้านอาหารด้วยเช่นกัน เมื่อผ่านไปสักพักคุณลุงฮิคสันก็เปิดประตูร้านออกมาแล้วพูดกับเด็กทั้งสี่คน “รีบเข้ามาข้างในเร็ว เด็ก ๆ ตอนนี้ไม่มีลูกค้าคนไหนออกมากินข้าวหรอก รอให้ถึงช่วงเย็นก่อนพวกหนูค่อยมาขายต่อดีไหม?”
พาวลิสหันมาพูดกับอีกสามคนที่เหลือ “พวกนายเข้าไปเถอะ ถ้ามีลูกค้าฉันจะเรียกพวกนายเอง”
กอร์ดอนพยักหน้าพร้อมเดินออกไป แต่เชอร์ลี่ย์ที่กอดกล่องเงินสดอยู่กลับหันมามองเขาด้วยความโมโหแล้วพูดออกมา “กอร์ดอน คนทรยศ! อดทนแค่นี้ก็ทำไม่ได้หรือไง?”
มิเชลก็ตะโกนขึ้นมาด้วยเช่นกัน “นายน่ะเทียบกับหู่จือและเป้าจือไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! กอร์ดอน ฉันมองนายผิดไปจริงๆ”
เมื่อได้ยินดังนั้นใบหน้าของกอร์ดอนก็แดงก่ำขึ้นมา เขาเดินคอตกไปอยู่ด้านหลังสุดแล้วใช้เสื้อเช็ดเหงื่อที่อยู่บนใบหน้า หู่จือกับเป้าจือแลบลิ้นออกมาพลางหายใจเข้าลึก แล้วหันไปมองกอร์ดอนด้วยท่าทางราวกับกำลังดูถูกเขาสุดๆ
เชอร์ลี่ย์เดินไปหาคุณลุงฮิคสันแล้วพูดออกมาเสียงหวาน “คุณลุงคะ ขอบคุณที่เชิญนะคะ พวกเราไม่เหนื่อยแล้วก็ไม่ร้อนเลยค่ะ พวกเราจะรออยู่ข้างนอกค่ะ บางทีอาจจะมีคนต้องการทานอาหารตอนนี้ก็ได้? คุณลุงรู้ใช่ไหมคะว่าอากาศร้อนแบบนี้ บางคนก็อาจจะไม่ได้ทานอาหารกลางวันก็ได้”
ฉินสือโอวมองภาพเหตุการณ์ตรงหน้าเงียบๆ คุณลุงฮิคสันเอ่ยชวนพวกเขาอีกครู่หนึ่งแต่ก็ไม่ได้ผล เขาจึงทำได้เพียงส่ายหัวแล้วเดินกลับเข้าไปในร้านอาหาร เด็กดื้อทั้งสี่คนยังคงยืนอยู่ข้างนอก แน่นอนว่ายังมีสุนัขแลบราดอร์แสนดื้ออีกสองตัวอยู่ด้วย
“เด็กสี่คนนี้นี่มันแน่จริงๆ” เหมาเหว่ยหลงพูดขึ้น “แน่กว่าหลานชายคนโตของฉันเยอะเลย!”
ฉินสือโอวตบบ่าของเหมาเหว่ยหลงแล้วถามออกมา “แล้วนายล่ะแน่ไหม?”
เหมาเหว่ยหลงพูดขึ้นอย่างภูมิใจทันที “นายว่าไงล่ะ? พวกคนเมืองน่ะไม่ใช่แค่แน่มากเท่านั้นนะ แต่ยังแน่ในหลายๆเรื่องด้วย…”
“ดีมาก” ฉินสือโอวยิ้มอย่างยินดี เขาพาเหมาเหว่ยหลงลงจากรถแล้วเดินไปหาเด็กๆก่อนจะพูดกับเชอร์ลี่ย์ “ทำเกี๊ยวน้ำให้ฉันสี่ลูกหน่อยสิ ไส้ปลาซ่งสองลูก อีกสองลูกก็เอาไส้ผักกับกุ้ง”
เมื่อเห็นฉินสือโอว หู่จือกับเป้าจือก็กระดิกหูและกระโดดไปมาอย่างมีความสุขจนทำให้ต้องแลบลิ้นยาวออกมาพร้อมหายใจหอบอย่างรุนแรงยิ่งขึ้นหลังจากที่กระโดดจนพอใจ
เชอร์ลี่ย์และคนที่เหลือก็ส่งเสียงออกมาอย่างดีใจเช่นกัน จากนั้นพาวลิสก็ถามขึ้นมา “ฉิน คุณยังไม่ได้ทานข้าวเหรอคะ? คุณยังหิวอยู่ไหม? ”
เวรกรรม ก่อนที่ฉินสือโอวและเหมาเหว่ยหลงจะออกไปยิงปลา พวกเขาเป็นห่วงเรื่องภาวะขาดน้ำของร่างกายทำให้พวกเขาดื่มน้ำผลไม้และน้ำเย็นก่อนออกมาจากบ้าน
เพราะเหตุนี้ฉินสือโอวจึงได้แต่ลูบท้องป่องๆของตัวเองไปมาแล้วพูดขึ้น “ใช่แล้วล่ะ อาหารที่เซนต์จอห์นไม่ค่อยอร่อยเท่าไร ตอนกลับมาพวกเราก็เลยยังไม่ได้ทานข้าวเลย ใช่ไหม ลุงเหมาคนแน่?”
เขาเน้นเสียงประโยคสุดท้ายเป็นพิเศษ
เหมาเหว่ยหลงพึ่งรู้ว่าตัวเองโดนเล่นงานเข้าแล้วก็เผยรอยยิ้มน่าเกลียดยิ่งกว่าเวลาร้องไห้ออกมา เขาพยักหน้าแล้วพูดตามน้ำ “ใช่ หิวมากเลย ฉันอยากกินสองลูกเลย!”
“เวลาที่นายหิวนายกินได้ถึงสามลูกเลยนี่นา” ฉินสือโอวมองไปยังเหมาเหว่ยหลงด้วยแววตาประหลาดใจ “ลุงเหมา รสชาติเกี๊ยวที่พวกเขาทำไม่ถูกปากนายงั้นเหรอ นายเลยกินได้แค่สองลูก?”
ดวงตากลมโตของเชอร์ลี่ย์มองไปที่เขาด้วยความประหม่า เหมาเหว่ยหลงกลืนน้ำลายอย่างยากลำบากแล้วพูดออกมา “ไม่ใช่แน่นอน อ่า ฉันแค่อยากจะอุ่นเครื่องก่อนสองลูกเท่านั้นเอง เอาแบบนี้นะ สามลูก เกี๊ยวของเชอร์ลี่ย์ กอร์ดอนกับมิเชล ต้องอร่อยแน่นอนอยู่แล้ว!”
ด้วยเหตุนี้พาวลิสจึงวิ่งเข้าไปในร้านอาหารอย่างมีความสุข เกี๊ยวน้ำของพวกเขาอยู่ในตู้เย็นของคุณลุงฮิคสันนั่นเอง
ไม่นานเกี๊ยวห้าลูกก็ถูกนำมาเสิร์ฟอย่างรวดเร็ว เหมาเหว่ยหลงกับฉินสือโอวนั่งอยู่ข้างในร้านอาหารพลางมองไปยังเกี๊ยวน้ำอย่างเหม่อลอย
ในวันที่อากาศร้อนกับเกี๊ยวน้ำร้อนๆ และความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนในท้องอีก เรื่องพวกนี้สามารถฆ่าคนได้เลยนะ
เชอร์ลี่ย์และคนอื่นๆ มองมายังฉินสือโอวและเหมาเหว่ยหลงอย่างรอคอยพลางถามออกมาเสียงเบา “ทำไมพวกคุณไม่กินล่ะคะ?”
“มันร้อนเกินไปน่ะสิ” ฉินสือโอวยิ้ม เชอร์ลี่ย์ใช้ซ้อมจิ้มเกี๊ยวขึ้นมาหนึ่งลูกแล้วเอาไปเป่า หลังจากนั้นก็ยื่นไปที่ปากของฉินสือโอว
ฉินสือโอวกินเกี๊ยวลงไปในคำเดียว เขาเอื้อมมือไปลูบหัวเชอร์ลี่ย์พลางเคี้ยวไปด้วยแล้วพูดออกมาอย่างคลุมเครือ “เป็นเด็กดีจริงๆ เชอร์ลี่ย์ อือ อร่อย รสชาติดีมากจริง ๆ”
คุณลุงฮิคสันนั่งกลืนน้ำลายมองดูอยู่ข้างๆ และในท้ายที่สุดเขาก็หมุนตัวหันไปยังห้องครัวอย่างอดไม่ได้พร้อมพึมพำออกมา “โชคดีที่ชีวิตนี้ฉันไม่แต่งงานแล้วก็ไม่มีลูก น่ากลัวจริงๆ”
ฉินสือโอวกินไม่ลงแล้ว ในวันที่อากาศร้อนแบบนี้ เดิมทีเขาก็กินอาหารไม่ลงอยู่แล้ว นอกจากนี่พวกเขายังดื่มเครื่องดื่มจากเซนต์จอห์นมาจนอิ่มแล้วด้วย
ในเมื่อตัวเองกินไม่ลงแล้วเขาจึงเริ่มเบี่ยงเบนความสนใจของเด็กๆ เขามองไปยังเหมาเหว่ยหลง อืม ตอนนี้ลุงคนนี้แย่กว่าเขาเสียอีก ที่ด้านหน้าเหมาเหว่ยหลงมีเกี๊ยวอยู่สามลูก ถ้าไม่จุกตายก่อนก็คงจะดี หลังจากนั้นเขาก็หันไปมองหู่จือกับเป้าจือ
ตอนนี้สุนัขแลบราดอร์ที่เชื่องมาตลอดได้หายไปแล้ว เมื่อมันทั้งสองตัวได้พบกับเครื่องปรับอากาศพวกมันก็ไปนอนแผ่อยู่ข้างหน้าเครื่องนั้นทันที เมื่อเห็นว่าฉินสือโอวหันมามอง พวกเขาก็ราวกับใจตรงกันขึ้นมา มันพลิกตัวหนึ่งครั้งและเผยให้เห็นหน้าท้องของพวกมันที่กลมป่องออกมา
“ในเวลาสำคัญแบบนี้ไม่เคยพึ่งได้เลย” ฉินสือโอวพึมพำเบาๆ เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง อือ คิดออกแล้ว
“พาวลิส เอาเกี๊ยวของพวกฉันใส่กล่องซะ พวกเราจะไปยิงปลาที่ริมทะเลสาบ เราจะยิงปลาพร้อมกินเกี๊ยวไปด้วย ตอนกลางวันแบบนี้เหมาะที่จะยิงปลามากที่สุดเลย” ฉินสือโอวพูด “เชอร์ลี่ย์ มา เก็บเงินสิ เกี๊ยวห้าลูกเท่าไรเหรอ?”
กอร์ดอนพูดขึ้นมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ตอนนี้อากาศร้อนมาก ฉิน คุณจะไปยิงปลาได้ยังไง? พวกคุณอาจจะเป็นลมแดดได้นะ”
ฉินสือโอวนิ่งไปครู่หนึ่ง อันที่จริงแล้วจะมีปลาที่ไหนให้ยิงในตอนที่พระอาทิตย์ดวงใหญ่อยู่กลางหัวกัน?
เหมาเหว่ยหลงกลั้นขำแล้วพูดขึ้นมา “ลุงเหมาลดน้ำหนักอยู่น่ะ ดังนั้นเลยต้องไปยิงปลาตอนกลางวัน เหงื่อจะได้ออกเยอะๆ”
เด็กๆ พยักหน้าอย่างเข้าใจในทันที จากนั้นฉินสือโอวก็ค่อยๆ แอบยกนิ้วให้เหมาเหว่ยหลงแล้วพูดออกมา “ทำไมนายถึงได้ฉลาดแบบนี้นะ? ยกนิ้วให้ความฉลาดของนายเลย”
เชอร์ลี่ย์ไม่คิดเงิน ฉินสือโอวจึงยิ้มแล้วพูดออกมา “พวกเรากินเกี๊ยวน้ำของพวกหนูก็ต้องให้เงินพวกหนูสิ เพราะว่านี่คือธุรกิจ…ครอบครัวก็คือครอบครัว ธุรกิจก็คือธุรกิจ”
คุณลุงฮิคสันก็พยักหน้าแล้วพูดขึ้น “ใช่แล้ว เด็กๆ ต้องจำประโยคนี้ไว้นะ ธุรกิจก็คือธุรกิจ อย่าเอาเรื่องอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย”
ฉินสือโอวให้เงินเชอร์ลี่ย์สิบดอลลาร์ เกี๊ยวหนึ่งลูกราคาสองดอลลาร์แคนาดา ช่างถูกเหลือเกิน
……………………………………………………….
บทที่ 176 สุดยอดนักยิงธนู
โดย
Ink Stone_Fantasy
ทั้งสองเอาเกี๊ยวไปที่ทะเลสาบด้วย หู่จือและเป้าจือเดินตามมาลิ้นห้อย ดูเหมือนว่าพวกมันชักจะหมดความอดทนแล้ว เมื่อครู่นี้คุณลุงฮิคสันกระซิบกับฉินสือโอวว่าพอไม่มีแขกเด็กสี่คนก็จะจับคู่แสดงความรัก โดยการยัดเยียดเกี๊ยวน้ำให้เจ้าสุนัขทั้งสองกินจนพวกมันพะอืดพะอม
เกี๊ยวจะไม่ถูกทิ้งให้เสียของ เมื่อถึงริมทะเลสาบเขาก็ยื่นเกี๊ยวให้กับอีวิลสันที่กำลังงีบหลับอยู่ใต้ร่มไม้
ชายหนุ่มรูปร่างกำยำเปิดกล่องอาหารเทเข้าในปากของเขาโดยไม่จิ้มน้ำส้มสายชูเลยสักนิด จากนั้นเสียงเคี้ยว ‘แจ๊บๆๆ’ ก็ดังขึ้น และเพียงไม่กี่คำเกี๊ยวก็ถูกกินจนหมดกล่อง
การยิงปลาไม่ควรทำในตอนเที่ยงวันอย่างยิ่งเพราะมีอากาศร้อนเกินไป อีกทั้งแสงแดดที่ตกกระทบบนผิวน้ำทะเลสาบก็ทำให้แสบตา หนำซ้ำยังเป็นอันตรายต่อดวงตาด้วย
สภาพอากาศแบบนี้เหมาะสำหรับการตกปลา โดยเฉพาะบริเวณริมทะเลสาบเฉินเป่าที่มีต้นไม้ประเภทต้นหลิวและต้นเมเปิลมากมายจนทำให้มีเงาไม้ร่มรื่น
เห็นได้ชัดว่าชาร์คคงคาดเดาเอาไว้แล้วเขาจึงนำเก้าอี้เอนที่ฉินสือโอวชอบใช้มาด้วย แต่เสียดายที่พอฉินสือโอวกางออกก็ถูกเหมาเหว่ยหลงแย่งไปนั่งทันที
อีวิลสันถอดเสื้อผ้าของเขาแล้วให้ฉินสือโอวรองนั่ง เขายิ้มแล้วชี้ไปที่เสื้อนั้น ส่วนเขากลับไปนั่งเปลือยกายอันอ้วนท้วนอยู่ใต้ต้นไม้
ฉินสือโอวไม่ปฏิเสธ หลังจากนั่งลงเขาก็พยักหน้าให้อีวิลสันและยกนิ้วให้อีวิลสันที่กำลังยกยิ้มยินดีอย่างโง่งม
เขานั่งลงแล้วเอาเบ็ดตกปลาออกมา แต่เขายังขาดเหยื่อที่จะใช้อยู่
ฉินสือโอวจึงเป่านกหวีดขึ้นมา หู่จือและเป้าจือวิ่งไปหา เขาชี้ไปยังเบ็ดตกปลา จากนั้นหู่จือและเป้าจือก็รีบวิ่งไปคนละทิศละทางเพื่อหาที่เปียกชื้นแล้วใช้เล็บตะกุยพืชน้ำผลัดใบออกก่อนจะขุดไส้เดือนขึ้นมา
เหมาเหว่ยหลงนอนมองจากบนเก้าอี้เอน เขาตะลึงไปกับความฉลาดแสนรู้ของหู่จือและเป้าจือ แม้ว่าตั้งแต่ที่เขามาถึงฟาร์มปลา เขาจะได้เห็นไอคิวสูงลิ่วของเจ้าสองตัวนี้มาแล้วครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ทุกครั้งมันก็ยังทำให้เขารู้สึกตะลึงงันได้อยู่ดี
เมื่อเขาเห็นหู่จือคาบไส้เดือนมาวางไว้บนมือของฉินสือโอว เขาก็อดพูดออกมาไม่ได้ “ฉินโซ่ว ถ้าสุนัขของนายสองตัวนี้คลอดลูกเมื่อไร นายจะต้องเอามาให้ฉันตัวหนึ่งนะ มันฉลาดแสนรู้จริงๆเลย”
ฉินสือโอวลูบหูของหู่จือด้วยความรักและทะนุถนอมแล้วพูดขึ้น “บ้านนายสิเลี้ยงสุนัขสองตัว หู่จือและเป้าจือเป็นลูกชายของฉันต่างหาก นายเข้าใจไหม?”
เหมาเหว่ยหลงฉีกมุมปากเย้ยหยัน แต่ปรากฏว่าหู่จือและเป้าจือกลับเงยหน้าขึ้นพร้อมแยกเขี้ยวใส่เขาจนเผยให้เห็นคมเขี้ยวแหลมคม เหมาเหว่ยหลงรีบยกมือขึ้นเป็นสัญญาณว่ายอมแพ้ จากนั้นเขาไม่พูดอะไรอีกเลยจนทำให้ฉินสือโอวมีความสุขขึ้นมา
ชาร์คเตรียมน้ำมันกานพลูเอาไว้ ฉินสือโอวป้ายน้ำมันลงไปบนลำตัวของไส้เดือนและหย่อนตะขอลงไปในน้ำ หลังจากนั้นไม่นานสายเบ็ดของเขาก็ตึง ปลาติดเบ็ดแล้ว
ฉินสือโอวหมุนรอกเบ็ดกลับ เขาทดสอบแรงดึงแล้วพบว่าแรงดึงไม่น้อยเลยเขาจึงพูดขึ้นมา “นายอยากยิงปลาหรือเปล่า? มาสิ ฉันจะลากปลาตัวนี้ขึ้นฝั่ง เดี๋ยวนายเห็นปลาเหนือน้ำแล้วนายก็ยิงได้เลย”
เหมาเหว่ยหลงพูดออกมาอย่างผิดหวัง “หา นี่คือการยิงปลาเหรอ”
ฉินสือโอวกลอกตามองเขาและพูดขึ้น “ไม่ใช่อยู่แล้ว ปัญหาคือทักษะการยิงของนายดีพอหรือยัง ถ้าตอนนี้นายไม่ฝึกเลย อีกเดี๋ยวไปยิงปลาในทะเลสาบ นายจะยิงโดนไหม?”
เหมาเหว่ยหลงพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ “เรื่องนั้นยังต้องพูดอีกเหรอ ก็แค่การยิงธนู นายคิดว่าพี่ชายไม่เคยยิงมาก่อนหรือไง?”
ปลาในทะเลสาบมีขนาดใหญ่มาก หากมีปลาติดเบ็ดติดต่อกันก็คงเดาได้ว่ามันต้องเป็นปลาคาร์ฟเอเชียแน่
ตอนนี้ปลาคาร์ฟเอเชียกำลังกระจัดกระจายอยู่ในทะเลสาบเฉินเป่า ตั้งแต่ใจกลางทะเลสาบจรดริมทะเลสาบ แทบทุกพื้นที่ในทะเลสาบมีแต่ปลาคาร์ฟอยู่เต็มไปหมด
หู่จือและเป้าจือไล่จับปลาอย่างเมามัน พอเห็นสายเบ็ดตึงก็กระโดดลงน้ำทันที ฉินสือโอวผิวปากเพื่อเอาใจช่วยคู่หูทั้งสอง เขาลากปลาตัวใหญ่มาเกือบถึงผิวน้ำจนครีบสีดำของมันโผล่พ้นน้ำขึ้นมา
เหมาเหว่ยหลงยืนอยู่ข้างๆ เขาใส่ลูกธนูแล้วง้างสายเล็งออกไป ฉินสือโอวดึงคันเบ็ดขึ้น เขาก็ง้างธนูแล้วปล่อยลูกธนูอันแหลมคมพุ่งออกไปถูกปลาตัวนั้นดัง ‘ฟุบ’ อย่างแม่นยำ
ลูกธนูสมัยนี้ล้วนแต่เป็นแบบหัวธนูล่าสัตว์สามใบมีด หลังจากยิงโดนปลาตัวนั้นแล้ว มันดิ้นไปมาไม่กี่วินาทีก็หมดแรง
ฉินสือโอวยกมันขึ้นมาแล้วพบว่ามันเป็นปลาเฉาฮื้อตัวใหญ่ยาวครึ่งเมตร
เหมาเหว่ยหลงถาม “กินได้ไหม?”
ฉินสือโอวพยักหน้าแล้วพูดขึ้น “กินได้แน่นอน ปลาเฉาฮื้อตัวนี้เอามาทำปลาย่างเสฉวนได้ นายเองก็เอาผงปรุงปลาย่างสำเร็จมาด้วยนี่”
เหมาเหว่ยหลงกล่าว “เหมือนฉันจะได้ยินมาว่าปลาคาร์ฟเอเชียพวกนี้มีปริมาณจุลธาตุและโลหะหนักเกินกว่าปกตินี่นา”
หลังจากได้ยินสิ่งที่เขาพูด ฉินสือโอวหัวเราะแล้วพูดขึ้น “นายไปฟังใครเขาพูดมา พูดจาไร้สาระน่า ปลาพวกนี้กินแต่สาหร่ายและพืชน้ำ สภาพแวดล้อมสะอาดแค่ไหนนายดูเอาก็รู้แล้ว กินอาหารธรรมชาติ อยู่ในสภาวะปลอดสารพิษ แล้วพวกมันจะมีโลหะหนักเกินมาตรฐานได้ยังไง?”
อีวิลสันดึงปลาออกจากตะขอเบ็ดอย่างมีความสุข มือข้างหนึ่งจับปลาเพื่อตัดหัวและสับหางก่อนจะเอาตัวปลาใส่ในถังเก็บอุณหภูมิขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งบด
เมื่อครู่นี้ขณะที่ปลาตัวนั้นกำลังดิ้นรน มันก็ทำให้ปลาในน่านน้ำรอบๆแตกตื่นตกใจว่ายหนีไปเช่นกัน ดังนั้นเมื่อฉินสือโอววางเบ็ดลงอีกครั้งจึงไม่มีปลากินเบ็ดเป็นเวลานานพอสมควร
เมื่อเหมาเหว่ยหลงตกปลาไม่ได้เลย เขาก็รู้สึกง่วงและงีบหลับไป
ฉินสือโอวเองก็หมดอารมณ์เช่นกัน เขาจึงเสียบเบ็ดไว้ริมน้ำและงีบหลับไป เมื่อหู่จือและเป้าจือเลียริมฝีปากพลางมองดูเจ้านายหลับไปอยู่สักพัก เจ้าสองตัวนี้ก็กระโดดลงไปในทะเลสาบแล้วเริ่มเล่นน้ำทันที
หลังจากนอนหลับไปครู่หนึ่ง จู่ๆ หู่จือและเป้าจือก็เห่าขึ้นมาเสียงดัง ฉินสือโอวรีบลืมตาขึ้นและพบว่าคันเบ็ดของเขาหายไป หู่จือและเป้าจือเห่าอยู่ใต้น้ำ เขาจึงสันนิษฐานว่าน่าจะถูกปลาลากออกไป
หายไปก็ไม่เป็นไร ฉินสือโอวไม่ได้รู้สึกเสียดายสักนิดเพราะที่บ้านยังมีเบ็ดอยู่หลายคัน
ตอนนี้ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำลงแล้ว อากาศจึงไม่ร้อนเท่าไร และตอนนี้พวกเขาก็สามารถยิงปลาได้แล้ว
ฉินสือโอวพาเหมาเหว่ยหลงขึ้นเรือสตาร์ทเครื่อง เนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนระอุรวมกับเสียงดังก้องของเครื่องยนต์ท้ายเรือจึงทำให้ปลาคาร์ฟเอเชียแตกตื่นและกระโดดพ้นเหนือพื้นน้ำ
ปลาคาร์ฟตัวใหญ่กว่าเจ็ดสิบเซนติเมตรกระโดดไปมาที่หัวเรือ ฉินสือโอวเลิกคิ้ว เหมาเหว่ยหลงไม่ทันสังเกตเห็นท่าทีของเขาแต่สัมผัสได้ถึงสายตาเย็นชาที่อยู่ตรงหน้า ลูกธนูอันแหลมคมจึงพุ่งออกไปปักเข้าที่หัวของปลาคาร์ฟดัง ‘ฟุ่บ’
ปลาคาร์ฟตัวใหญ่ยังคงดึงดันดิ้นรนสุดกำลังอยู่ใต้น้ำ ขณะที่ฉินสือโอวกำลังจะดึงสายเบ็ด อีวิลสันที่นั่งอยู่ท้ายเรือก็รีบพุ่งเข้ามาคว้าสายเบ็ดและยกมันขึ้นมาบนเรือ จากนั้นมือของเขาก็ยกมีดขึ้นตัดฉับจนหัวปลาถูกตัดออกไปทันที!
“หมอนี่มันนิสัยรุนแรงจริงๆ นายจัดการเขาได้ไหม” เหมาเหว่ยหลงถาม
ฉินสือโอวชี้ไปยังปลาตัวใหญ่ที่กำลังสะบัดตัวดิ้นไปมา แล้วพูดอย่างเกียจคร้าน “พอเถอะ นายรีบยิงปลาของนายไปคนของฉัน ฉันจัดการเองได้”
อีวิลสันเอาน้ำแข็งบดกลบปลาอย่างระมัดระวังและตั้งหน้าตั้งตารอ อืม มันคงเป็นมื้อที่อิ่มหนำสำราญอีกมื้อ
เมื่อครู่นี้ตอนที่เหมาเหว่ยหลงยิงปลาเฉาฮื้อบนฝั่ง เขาทำได้ดีมาก ท่าการถือธนู ความแข็งแกร่งในการง้างคันธนู และมุมเล็ง ท่าทางพวกนั้นต่างไม่เลว ดังนั้นฉินสือโอวจึงไร้ความกังวลใดๆ
เขารู้ว่าเหมาเหว่ยหลงเป็นคุณชายผู้หลงใหลเกี่ยวกับการทหาร แม้ไม่เคยยิงปืนมาก่อน แต่เขาจะต้องเคยใช้อาวุธเย็นประเภทหน้าไม้มาไม่น้อย
แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากที่เหมาเหว่ยหลงขึ้นเรือมาแล้วเขากลับก็จนปัญญา เพราะการยิงธนูบนเรือที่โคลงเคลงกับการยิงธนูบนฝั่งแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง การยิงเป้าเคลื่อนที่และยิงเป้านิ่งก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเช่นกัน…
หลังจากที่ปลาคาร์ฟเอเชียเหล่านี้ตื่นตกใจไปแล้วมันก็กระโดดน้ำขึ้นลงอย่างรวดเร็วจนน้ำสาดกระเซ็นยากต่อการเล็งเป้า แม้ว่าเหมาเหว่ยหลงจะเล็งไปยังปลาตัวหนึ่งอย่างแม่นยำ แต่พอเรือประมงโครงเครงเขาก็หมดอารมณ์
ในการยิงปลาต้องอาศัยความหนักแน่น ความแม่นยำ และต้องไร้ความปรานี สามสิ่งนี้สำคัญมาก หากขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปก็จะไม่สามารถยิงปลาได้
ปัญหาของเหมาเหว่ยหลงก็คือไม่หนักแน่น ไม่แม่นยำ และมีความปรานี…
ตรงหน้าของฉินสือโอวมีซองใส่ลูกธนูวางเรียงกันอยู่เหมือนฉากกั้น ลูกธนูแหลมคมพุ่งออกไป ‘ฟุบฟุบ’ จนเกือบจะเรียกได้ว่าเป็นสุดยอดนักยิงธนูได้เลยล่ะ และปลาคาร์ฟที่เขาหมายตาไว้ก็ไม่มีตัวไหนหนีรอดไปได้สักตัว
หลังจากนั้นนกฟริเกตนิมิตส์บินวนบนอากาศสองรอบแล้วมันจึงบินลงมา
นี่เป็นมุมมองที่โหดร้าย นกขนาดใหญ่มักล่านกชนิดอื่นตลอดทั้งปี มันมีดวงตาสีทองดุจเปลวเพลิงและปากเหล็กแหลมคม มันบินว่อนอยู่เหนือเรือประมง และเมื่อเห็นปลาใหญ่ปลาเล็กขนาด 20 เซนติเมตรกระโดดขึ้นมา มันก็จะโฉบลงมาแล้วอ้าปากคาบปลาไปทันที จากนั้นมันก็โยนลงมาที่เรือประมง
ฉินสือโอวใช้มีดตัดบางส่วนแล้วโยนมันให้กับนิมิตส์เพื่อเป็นรางวัล จากนั้นเขาก็เอ่ยปากชมไม่หยุด “สมกับที่เป็นผู้บัญชาการกองทัพเรือที่แข็งแกร่งที่สุดของสหรัฐฯ ทำได้ดีมาก ที่รัก ต้องจับปลาเล็กแบบนี้สิ ทำให้ดีๆ นะ กลับไปฉันจะแต่งตั้งให้นายเป็นจอมพลเรือ!”
อืม ไม่เลวจริงๆ ทีแรกเขาก็ไม่รู้ว่าจะเลี้ยงนิมิตส์ไว้ทำไม แต่ดูเหมือนตอนนี้เขาจะรู้แล้วว่ามันสามารถทำอะไรได้ตั้งมากมาย
เหมาเหว่ยหลงรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมานิดหน่อย จากนั้นเขาก็ยกข้อความอันโด่งดังของโรเบิร์ตคัปปาซึ่งเป็นนักข่าวภาคสนามขึ้นมา “ถ้าคุณยิงได้ไม่แม่นยำ นั่นเป็นเพราะคุณไม่ได้อยู่ใกล้พอ”
หลังจากที่ปลอบใจตัวเองแล้วเขาก็ขึ้นไปยืนบนหัวเรือ ฉินสือโอวเองก็ตะลึงพลางพูดขึ้น “อย่าทำอะไรแปลกๆนะ กลับมา ระวังปลาจะสะบัดให้ตกเรือ!”
ตอนที่เขามาทะเลสาบครั้งแรก เขาถูกปลาคาร์ฟสะบัดตกลงไปในน้ำ ด้วยเหตุนี้นี่เองที่ทำให้เขาได้รับนิ้วทองจิตสำนึกโพไซดอน
ฉินสือโอวถูกปลาคาร์ฟสะบัดตกน้ำครั้งล่าสุดจนทำให้ชะตาชีวิตของเขาเปลี่ยนไป แต่เขาไม่คิดว่าถ้าเหมาเหว่ยหลงถูกสะบัดตกน้ำ ชะตาชีวิตของหมอนั่นก็จะเปลี่ยนไปเช่นกัน
……………………………………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น