พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1689-1696

 บทที่ 1689 คนกลัวแม้กระทั่งเสียงลมเสี...

 

เขากำลังถามทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ


ผังก้วน : ลูกชายคนรองของข้านำกำลังพลไป หลังจากตามกำลังพลของตระกูลฮ่าวไปน้ำพุวังเวง จนกระทั่งตอนนี้ทุกคนก็ขาดการติดต่อไปแล้ว เบื้องบนไม่ได้ให้คำอธิบายอะไรด้วย ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นถึงได้ถามเจ้า ฟังจากน้ำเสียงเจ้าแล้ว เหมือนเจ้าจะรู้อะไรมาบ้างใช่มั้ย?


เหมียวอี้ : ข้ารู้อะไรมาบ้างจริงๆ แต่เหมือนจะเหนือความคาดหมายของข้า ตอนนี้ข้าก็เลอะเลือนเช่นกัน ไม่มีทางบอกสิ่งที่ถูกต้องกับเทพประจำดาวได้


ผังก้วน : เจ้ายังมีอะไรที่ไม่สะดวกจะพูดอีกเหรอ?


เหมียวอี้ : ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายเรื่องนี้กับเทพประจำดาวยังไง เทพประจำดาวลองไปสืบจากขุนนางใหญ่คนอื่นๆ ของตำหนักสวรรค์ดูก็ได้


ผังก้วน : ไม่ต้องให้เจ้าบอกหรอก ข้าไปหามาแล้ว ไม่มีใครรู้ทั้งนั้นว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่มาถามเจ้าหรอก…


หลังจากสื่อสารกันได้สักพัก เหมียวอี้ก็ตกตะลึง มองไปรอบห้องด้วยความงุนงง เขาไม่ค่อยกล้าเชื่อเท่าไร ในที่เกิดเหตุต่อสู้กันนานขนาดนั้น ต่อสู้กันดุเดือดขนาดนั้น กำลังพลของสี่อ๋องสวรรค์ไม่รู้เลยเหรอว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เด็กดีเอ๋ย สงสัยเล่นกันตั้งนานขนาดนั้น แต่สี่อ๋องสวรรค์ปิดข่าวไม่ให้กำลังพลเบื้องล่างสินะ คนเบื้องล่างไม่รู้เรื่องนี้!


ลองคิดไปคิดมาก็กระจ่างในฉับพลัน เหมือนจะเข้าใจอะไรแล้วนิดหน่อย


“หึหึ…” เหมียวอี้อดขำไม่ได้ นึกไม่ถึงว่าจะปิดบังเรื่องนี้กับลูกน้องทุกคนแล้ว แต่ทุกคนล้วนไม่ธรรมดา เพราะเกี่ยวโยงถึงกำลังพลและลูกหลานของเทพประจำดาว เทพประจำดาวจำนวนมาก เขาเริ่มระบายความโกรธกับสี่อ๋องสวรรค์แล้ว ควรจะอธิบายกับเบื้องล่างอย่างไรดีล่ะ! ต่อให้สืบชัดเจนแล้ว แต่ก็คงไม่สะดวกจะพูดออกมาอยู่ดี!


ผังก้วนยังซักไซ้ : เจ้ารู้มากแค่ไหน?


เหมียวอี้ : เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับข้า ไม่รู้จะอธิบายกับเจ้ายังไงดี


ผังก้วน : เกี่ยวกับเจ้าเหรอ? เจ้ารู้มากแค่ไหนกันแน่?


เหมียวอี้ : เทพประจำดาว ก็อย่างที่ข้าบอก เรื่องนี้เหนือความคาดหมายข้าไกลมาก ตอนนี้ข้าก็กำลังเลอะเลือนเหมือนกัน ให้ข้าสืบให้ชัดเจนก่อนว่าเรื่องอะไรกันแน่ ถ้าข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะให้คำอธิบายกับเจ้า


พูดมาขั้นนี้แล้ว ผังก้วนก็ไม่กระจ่างเช่นกันว่าเรื่องอะไรกันแน่ ไม่อย่างนั้นจะต้องกดดันถามแน่นอน ตอนนี้ทำได้เพียงพุดด้วยดีๆ มีคำอธิบายก็ยังดีกว่าไม่มีคำอธิบาย กล่าวคำไหนคำนั้นว่า : ได้! ข้าจะรอฟังข่าวจากเจ้า


ในที่สุดก็รับมือกับผังก้วนได้แล้ว เหมียวอี้ที่รู้สึกผ่อนคลายเก็บระฆังดารา แล้วก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะหึหึ เลิกคิ้วเหล่ตาด้วยสีหน้าชั่วร้าย ปากพึมพำว่า : “เหนือความคาดหมาย เรื่องนี้ยิ่งนับวันยิ่งน่าสนใจ…”


หลังจากครุ่นคิดพักหนึ่ง เขาก็ออกจากห้องของตัวเอง เรียกสวีถังหรานออกจากประตูด้วยกัน ก่อนก้าวออกจากประตูยังถ่ายทอดเสียงชมสวีถังหรานด้วยว่า “ทำงานได้ไม่เลว!”


สวีถังหรานหรี่ตายิ้มทันที แล้วกล่าวอย่างนอบน้อม “ทั้งหมดล้วนเป็นแผนอันชาญฉลาดของนายท่าน หากนายท่านไม่ได้คาดเดาไว้ล่วงหน้า ข้าน้อยคงตกหลุมพรางผู้หญิงคนนั้นไปนานแล้ว จะได้สร้างผลงานเสียที่ไหนกัน”


“ข้าบอกเจ้าได้เลย ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสำนักหลัวช่าเข้ามาแทรกแซงในอาณาเขตตำหนักสวรรค์ เจ้าเองก็คงรู้ว่าไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ยอมกลืนเรื่องนี้ให้ย่อยลงท้อง ดีกว่าหลุดปากพูดแม้แต่คำเดียว ไม่อย่างนั้นข้าก็ช่วยชีวิตเจ้าไม่ได้หรอกนะ” เหมียวอี้กล่าว


“เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว” สวีถังหรานเอ่ยรับซ้ำๆ


ทว่าตอนออกประตูมากลับเจอเหตุการณ์ไม่คาดคิด มีแม่ทัพเกราะม่วงสี่คนตามมาแล้ว ตามหลังทั้งสองอย่างเงียบๆ


“ไม่ต้องตามแล้ว” เหมียวอี้โบกมือ คนของตึกศาลาสัตยพรตรออยู่ข้างนอก มีคนของตึกศาลาสัตยพรตปกป้อง ก็น่าจะไม่เกิดเรื่องอะไรที่ตลาดผี


ทว่าคำพูดของเขาในวันนี้เหมือนจะไม่ได้ผลเหมือนวันก่อนๆ แล้ว สี่คนนั้นยังตามอยู่เงียบๆ ทำให้เหมียวอี้ต้องหยุดเดินแล้วหันมามองช้าๆ มองสี่คนนี้เงียบๆ


สวีถังหรานเหล่ตามอง แล้วชี้หน้าตะคอกทั้งสี่ทันที “พวกเจ้าทำอะไรกัน? ไม่ได้ยินที่นายท่านบอกเหรอ?”


แม่ทัพหนึ่งในนั้นกุมหมัดคารวะ “เบื้องบนบอกว่าช่วงนี้เหตุการณ์ไม่ค่อยสงบ ให้พวกเราติดตามนายท่าน คอยปกป้องนายท่านทุกเมื่อ”


แม้แต่สวีถังหรานเองก็รู้ว่า ‘เบื้องบน’ ที่พวกเขาบอกไม่ได้หมายถึงตำหนักนารีสวรรค์แน่นอน แต่หมายถึงตระกูลโค่ว พอได้ยินว่าเป็นประสงค์ของตระกูลโค่ว เขาก็หุบปากทันที ไม่รู้ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร


เหมียวอี้ฟังแล้วเข้าใจเช่นกัน เกรงว่าปกป้องตนคงเป็นเรื่องโกหก จับตาดูตนอย่างเป็นทางการต่างหากที่เป็นความจริง


ไม่น่าเชื่อว่าลูกน้องตัวเองจะจับตาดูตัวเองอย่างใจกล้าเปิดเผย เหมียวอี้เริ่มฉายแววดุร้าย จ้องทั้งสี่อย่างเย็นเยียบ


ส่วนทั้งสี่ก็ก้มหน้าเล็กน้อย รู้ว่าทำอย่างนี้ไม่เหมาะสม แต่ก็ช่วยไม่ได้ เพราะตระกูลโค่วออกคำสั่งแล้ว


“ไปกันเถอะ!” สุดท้ายเหมียวอี้ก็ไม่ได้ทำให้สี่คนนี้ลำบากใจ หันตัวเดินต่อไป


เขารู้ว่าทำให้สี่คนนี้ลำบากใจก็ไม่มีประโยชน์อะไร ตัวเองไม่กล้าต่อต้านตระกูลโค่วอย่างโจ่งแจ้งเช่นกัน นับประสากับพวกเขา ถ้าจะพูดชัดก็คือรากฐานของเขาที่พิภพใหญ่ยังตื้นเขินเกินไป ไม่มีกำลังพลของตัวเองให้ใช้งาน เลยต้องอาศัยกำลังคนของตระกูลโค่ว กำลังพลของหกลัทธิแดนอเวจีก็นำออกมาใช้งานอย่างเปิดเผยไม่ได้


ความจริงก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า ตราบใดที่ถูกควบคุมอยู่ภายใต้ตำหนักสวรรค์ของพิภพใหญ่ ไม่ว่าจะย้ายไปทางไหนก็ไม่มีทางรอดจากการควบคุมของอำนาจแต่ละใหญ่ฝ่ายได้เลย ตัวเองผงาดขึ้นเร็วเกินไป ทั้งยังย้ายไปทั่ว ไม่มีเวลาฝึกเลี้ยงกำลังพลของตัวเองเลย มีแค่ลูกน้องคนสนิทข้างกายไม่กี่คนเท่านั้น


“เกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว?”


ขณะเดินอยู่บนถนนในตลาดผี จู่ๆ เหมียวอี้ก็พบว่าตลาดผีวันนี้เหมือนแปลกไป ถนนของตลาดผีที่เคยมีกลุ่มคนสัญจรไปมาอย่างเงียบเงียบมาตลอด นึกไม่ถึงว่าตอนนี้จะดูค่อนข้างจ้อกแจ้กจอแจ มีคนไม่น้อยเหมือนกำลังเร่งเดินหนีไป เขาสงสัยนิดหน่อยว่าเกี่ยวข้องกับน้ำพุวังเวงหรือเปล่า จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม


“ข้าน้อยมิทราบ” สวีถังหรานมองไปรอบด้านอย่างงุนงง ต่อให้เป็นคนของตึกศาลาสัตยพรตที่ตั้งใจมาต้อนรับก็มองไปรอบๆ อย่างแปลกใจเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าไม่รู้เรื่องรู้ราว


เหมียวอี้รีบเดินไปข้างหน้าด้วยความสงสัย กลัวว่าจะเกิดเหตุไม่คาดคิด กลัวมีคนโผล่มาสู้กับตน


ราบรื่นปลอดภัยตลอดทาง มาถึงตึกศาลาสัตยพรตแล้ว ชีเจวี๋ยมาต้อนรับด้วยตัวเอง แล้วนำทางขึ้นไปบนตึกอย่างสุภาพ


ข้างหลังมีคนตามมาด้วยห้าคนรวมทั้งสวีถังหราน ต่อให้อยากจะตามอีกแต่ก็ทำไม่ได้แล้ว ถูกคนของตึกศาลาสัตยพรตกันไว้ไม่ให้เข้าไป ปล่อยเหมียวอี้เข้าไปคนเดียวเท่านั้น


ยังคงเป็นห้องส่วนตัวที่ใช้รับแขก เฉาหม่านยังคงจิบน้ำชาอย่างสบายใจ เมื่อเห็นเหมียวอี้เข้ามาข้างใน ก็ยิ้มบางๆ พร้อมยื่นมือเชิญให้นั่ง


ยังคงไม่ยืมมือใครอื่น เฉาหม่านรินน้ำชาให้แขกด้วยตัวเอง


หลังจากยกถ้วยน้ำชาจิบให้ชุ่มปาก เหมียวอี้ก็วางถ้วยน้ำชาลงแล้วถามว่า “ไม่ทราบว่าเถ้าแก่เชิญมาด้วยธุระอะไร?”


เฉาหม่านเป่าน้ำชา เหลือบตาขึ้นเล็กน้อย แล้วเอ่ยว่า “ได้ยินว่าการออกล่าที่น้ำพุวังเวงเกิดเรื่องนิดหน่อย ไม่ทราบว่าท่านแม่ทัพภาคเคยได้ยินมาบ้างหรือเปล่า?”


“เกิดเรื่องขึ้นเหรอ? จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้?” เหมียวอี้ถามเหมือนแปลกใจ


“เหอะๆ!” เฉาหม่านเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “ออกล่าที่น้ำพุวังเวง ตระกูลอิ๋งมีจุดประสงค์อีกอย่าง วางกับดักหมายจะเชิญท่านลงโอ่ง[1] ผลปรากฏว่าขโมยไก่ไม่ได้ เสียข้าวสารอีกกำมือ มีคนเชิญยอดฝีมือของสำนักพุทธมาลอบโจมตี เกิดศึกดุเดือด เรื่องเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ของตำหนักสวรรค์และแดนพุทธ กำลังพลออกล่าของสี่อ๋องสวรรค์ก็เหมือนพี่น้องท้องเดียวกัน พากันไปช่วยเหลือ แต่ใครจะคิดว่าตั๊กแตนไล่จับตั๊กแตน นกขมิ้นอยู่ข้างหลัง ตอนหลังมีกำลังพลกลุ่มใหญ่โผล่มาล้อมปราบ ฆ่ากำลังพลออกล่าหมดเกลี้ยง แม่ทัพภาคเป็นขุนนางระดับสูงสุดบริเวณแดนรัตติกาล ไม่ทราบว่านายท่านรู้มั้ยว่ากำลังพลกลุ่มสุดท้ายที่ปรากฏตัวคือใคร?”


นึกว่าตระกูลเซี่ยโห้วรู้ทุกอย่างจริงๆ เสียอีก พอเหมียวอี้ได้ยินว่า ‘เชิญยอดฝีมือของสำนักพุทธมาลอบโจมตี’ ก็รู้แล้วว่าเจ้าหมอนี่กำลังหยั่งเชิงตน ตัวเอง ‘เชิญ’ กำลังพลของสำนักพุทธเสียที่ไหนกันล่ะ เกรงว่าต่อให้อยากเชิญก็คงเชิญไม่ไหว ไม่มีทางที่อีกฝ่ายยอมรับปากช่วยตนลอบโจมตี


เขาเดาะลิ้นเหมือนตกตะลึง “มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ?”


“นายท่านไม่รู้จริงเหรอ?” เฉาหม่านเหล่ตา


“ไม่รู้จริงๆ” เหมียวอี้ยักไหล่สองข้าง


ให้ตายอย่างไรเขาก็ไม่ยอมรับ เฉาหม่านก็ไม่ได้กดดันเขาเช่นกัน ต่อมาทั้งสองก็พูดคุยสัพเพเหระ จากนั้นเหมียวอี้ก็เอ่ยขอตัวลา เฉาหม่านเองก็ไม่ได้รั้งไว้


เพียงแต่ตอนที่ลุกขึ้นเดินออกไป เหมียวอี้ก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ หยุดเดินแล้วขมวดคิ้วถาม “เถ้าแก่ ข้าเห็นตลาดผีเหมือนจะวุ่นวายนิดหน่อยนะ เกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วหรือเปล่า?”


เฉาหม่านลุกขึ้นยืนเช่นกัน เดินมาทอดสายตามองตรงหน้าต่าง หันหลังให้เขาพลางกล่าวอย่างเนิบนาบผ่อนคลาย “ยังจะมีเรื่องอะไรได้อีกล่ะ ไม่พ้นเกี่ยวกับเรื่องออกล่าที่น้ำพุวังเวงอยู่แล้ว คนที่กล้าล้อมโจมตีกำลังพลออกล่าของสี่อ๋องสวรรค์มีไม่เยอะหรอก คนที่กล้าลงมือกับสี่ตระกูลนี้มีน้อยจนนับนิ้วได้ แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสำนักพุทธ ทำให้คนอดคาดเดาไม่ได้ สี่อ๋องสวรรค์กลัวว่าท่านนั้นของวังสวรรค์จะลงมือกับพวกเขา กำลังเตรียมโจมตีกลับล่วงหน้า พอสี่อ๋องออกคำสั่ง ทัพใหญ่ในใต้หล้าก็เคลื่อนไหวพร้อมกัน มีแนวโน้มน่าตกใจ ไม่ใช่แค่ตลาดผี เกรงว่าเกิดปฏิกิริยาทางตลาดสวรรค์เยอะมากเหมือนกัน…”


เขาไม่ได้ปิดบังเหมียวอี้ กลับเปิดเผยทุกอย่าง ทำให้เหมียวอี้ได้รู้ท่าทีและทิศทางการเคลื่อนไหวของบุคคลระดับสูงของตำหนักสวรรค์


ก็เป็นอย่างที่เขาบอก พอสี่อ๋องสวรรค์ออกคำสั่ง ทัพตะวันออก ทัพใต้ ทัพตะวันตก ทัพเหนือก็เริ่มเคลื่อนไหวเร็วมากอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน มีประสิทธิภาพกว่าบัญชาจากวังสวรรค์เสียอีก จะเห็นได้ว่ายามปกติเวลาทำงานไม่ราบรื่นเป็นอย่างไร ชั่วขณะนั้นทำให้ทั้งใต้หล้าเหมือนเกิดกระแสคลื่นซัดสาด คนกลัวแม้กระทั่งเสียงลมเสียงนกร้อง!


ความเคลื่อนไหวนี้เป็นเค้าลางที่ไม่ดีเลย ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทุกคนตกอยู่ในอันตราย แต่ลำนักรีบเรียกลูกศิษย์ตัวเองกลับสำนัก ต่อให้เป็นนักพรตอิสระที่ได้ยินข่าวก็รีบกลับรังเช่นกัน หรือไม่ก็ข้าที่ซ่อนตัว


สถานที่ที่เกิดปฏิกิริยาตรงไปตรงมาที่สุดก็คือตลาดสวรรค์ ลูกค้าที่สัญจรไปมาหายไปเร็วมาก ร้านค้ามากมายที่ไม่รู้สถานการณ์ปิดร้านแล้ว ใช้เวลาไม่นานก็ทำให้ตลาดสวรรค์ที่เจริญรุ่งเรืองกลายเป็นตลาดเงียบเหงาซบเซา


สิ่งนี้ล้วนเกิดขึ้นทีหลัง


ส่วนที่วังสวรรค์ตอนนี้ ในตำหนักดาราจักร ประมุขชิงกำลังนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะยาวด้วยสีหน้าดำมืด สองมือวางจับข้างโต๊ะยาวไม่ขยับไปไหน จ้องไปนอกตำหนักด้วยสายตาเย็นเยียบ


ซ่างกวนชิงรอฟังคำสั่งอยู่ข้างกายด้วยสีหน้าตึงเครียด โดยซือหม่าเวิ่นเทียนและเกาก้วนยืนอยู่เบื้องล่าง


สภาพของทั้งสามไม่ค่อยดีสักเท่าไร ซ่างกวนชิงเสื้อผ้ายับไม่เรียบร้อย ซือหม่าเวิ่นเทียนยกแขนเสื้อเช็ดเหงื่อที่หน้าผากเป็นระยะ ส่วนเกาก้วนยังดีหน่อย แต่ก็เม้มปากแน่นด้วยสีหน้าเครียดขรึม


ในตำหนักเงียบจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มตกพื้น บางครั้งก็ได้ยินเสียงประมุขชิงสูดหายใจลึก สายตาของประมุขชิงเหมือนต้องการจะกินคนได้


สี่อ๋องสวรรค์เคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้ จะไม่ให้วังสวรรค์รู้ก็คงยาก กำลังพลกลุ่มใหญ่ขนาดนี้เคลื่อนไหวเองโดยไม่ผ่านคำสั่งวังสวรรค์ ทั้งยังเฝ้าหรือรักษาการณ์จุดยุทธศาสตร์เตรียมโจมตีไม่หยุด ชั่วพริบตาเดียวก็ทำให้ทั้งวังสวรรค์ตึงเครียดแล้ว


นี่คิดจะทำอะไรกัน? คิดจะก่อกบฏเหรอ?


ฝั่งวังสวรรค์ถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น สี่อ๋องสวรรค์ล้วนตอบเหมือนกัน กำลังฝึกกำลังพล!


ฝึกกำลังพลบ้าบออะไรล่ะ ประมุขชิงเชื่อได้ก็แปลกแล้ว ดูแล้วเหมือนทหารก่อกบฏมากกว่า!


ผ่านไปไม่นาน ความเงียบในตำหนักดาราจักรก็ถูกทำลาย ด้านนอกมีเสียงเกราะรบเคลื่อนไหว


ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้ายโพ่จวิน ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ขวาอู๋ฉวี่มาพร้อมก้น ก้าวเข้ามาในตำหนักด้วยกัน


ทั้งสองมีสีหน้าจริงจัง เปลี่ยนใส่เกราะรบสีสว่างสดใสอย่างที่พบเห็นได้ยาก ผ้าคลุมบ่าปลิวตามแรงลม


ข้างหลังทั้งสองมีคนเดินตามเข้ามาสองแถว ผู้ตรวจการใหญ่สิบแปดคนจากยี่สิบคนของหน่วยองครักษ์ซ้ายขวา นอกจากอีกสองคนที่ติดเฝ้าเวรยามอยู่ ที่เหลือก็มากันหมดแล้ว ก้าวตามหลังผู้บัญชาการองครักษ์ทั้งสองเข้ามาเยี่ยงมังกรราชสีห์ แต่ละคนมีท่าทางดุร้ายน่ากลัว!


…………………………


[1] เชิญท่านลงโอ่ง  请君入瓮 หมายถึงติดกับดักตัวเอง

 

 

 


บทที่ 1690 อย่าบีบให้ข้าทำ

 

พวกเขาหยุดยืนในตำหนัก แล้วกุมหมัดคารวะพร้อมกันโดยมีโพ่จวินและอู๋ฉวี่เป็นผู้นำ “คารวะฝ่าบาท!”


“อืม!” ประมุขชิงขานรับเสียงต่ำ แล้วกวาดสายตาเย็นเยียบมองทุกคนข้างล่าง “มั่นคงปลอดภัยมาหลายปีขนาดนี้ มีคนเหมือนระงับอารมณ์ไม่ไหว พวกเจ้าเองก็ไม่เคยผ่านศึกใหญ่มานานแล้ว ข้าอยากจะถามพวกเจ้าสักคำ หากใต้หล้ามีการเปลี่ยนแปลง กองทัพองครักษ์ของข้ายังทำศึกได้หรือไม่?” เสียงที่ทุ้มต่ำเยือกเย็นดังก้องอยู่ในตำหนัก


ตุ้บ! นักรบสวมเกราะยี่สิบคนในตำหนักคุกเข่าข้างเดียวพร้อมกัน รวมทั้งโพ่จวินและอู๋ฉวี่ พวกเขากล่าวเสียงดังอย่างพร้อมเพรียง “คมดาบของฝ่าบาทชี้ไปทางใด กองทัพองครักษ์มุ่งหน้ามิหวั่นเกรง!”


“ดี!” ประมุขชิงแสยะยิ้ม แล้วลุกขึ้นยืน “ตอนนี้สถานการณ์ของกำลังพลแต่ละหน่วยเป็นอย่างไร?”


โพ่จวินตอบว่า “กำลังพลหกหน่วยมาถึงแล้ว วางกำลังพลตามอาณาเขตดาวรอบๆ แล้ว กำลังพลหน่วยอื่นๆ กำลังเร่งถอนกำลัง กำลังพลที่กำลังค้นหาทางน่านฟ้าเถาะติงก็ถอนกลับมาแล้วเช่นกัน คาดว่าภายในสามวันทัพใหญ่ทั้งหมดจะเข้าประจำที่ เพื่อรับมือเหตุไม่คาดคิดต่างๆ!”


“ซ่างกวน!” ประมุขชิงเอ่ยเรียก


“ขอรับ!” ซ่างกวนชิงรีบหันมาโค้งตัวรับคำสั่ง


ประมุขชิงกล่าวเสียงเย็น “สั่งให้คนแต่ละตำหนักอยู่ในเขตกำแพงตำแหนักตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นใคร ห้ามถือวิสาสะออกมาเดินข้างนอก ส่งกำลังพลกองทัพองครักษ์เพิ่มหนึ่งกองเข้าไปคุมเข้มในวัง สั่งให้หน่วยองครักษ์เงาคอยดักซุ่ม ถ้ามีคนก่อกบฎ ไม่ว่าจะเป็นใคร ฆ่าไม่ละเว้น!”


“ขอรับ!” ซ่างกวนชิงเอ่ยรับคำสั่ง


“ให้สมาคมวีรชนเริ่มเคลื่อนไหว” ประมุขชิงกล่าว


“รับทราบ!” ซ่างกวนชิงโค้งตัวเอ่ยรับคำสั่งอีกครั้ง


“แล้วก็เจ้าด้วย!” ประมุขชิงโบกมือชี้ซือหม่าเวิ่นเทียนที่ยืนอยู่เบื้องล่าง “เจ้ามัวไปทำอะไรกิน! เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้แล้ว นึกไม่ถึงว่าหน่วยตรวจการซ้ายจะไม่ได้ยินข่าวล่วงหน้าเลยสักนิด คมดาบของอีกฝ่ายจะมาถึงคอข้าอยู่แล้ว หรือจะรอให้มีคนบุกเข้าวังสวรรค์มาตัดหัวข้าก่อน แล้วหน่วยตรวจการขวาค่อยเผากระดาษรายงานให้วิญญาณข้ารับรู้?”


“เป็นข้าน้อยที่ไร้ความสามารถ” ซือหม่าเวิ่นเทียนถูกตำหนิจนเหงื่อกาฬแตก เขาคุกเข่าเสียงดังตุ้บ “ข้าน้อยจะรีบตรวจสอบความจริงให้เร็วที่สุด”


เรื่องราวในครั้งนี้เรียกได้ว่าเขาดวงซวยที่สุด เพราะเขาคือผู้รับผิดชอบหลักด้านข่าวสาร ดังนั้นความรับผิดชอบของเขาจึงเยอะที่สุด


ประมุขชิงชี้ไปที่เขาอีกครั้ง “ให้เวลาเจ้าภายในสิบวัน ถ้าภายในสิบวันนี้ให้คำตอบข้าไม่ได้ ข้าก็จตัดหัวเจ้าซะ เปลี่ยนหัวไปรับช่วงดูแลหน่วยตรวจการซ้าย!”


“ขอรับ!” ซือหม่าเวิ่นเทียนหมอบพื้นรับคำสั่ง ไม่ว่าจะทำได้หรือทำไม่ได้ เขาก็ต้องรับปากไว้ก่อน


ประมุขชิงชี้ไปที่เกาก้วนอีก “เริ่มเคลื่อนไหวจารชนลับของหน่วยตรวจการขวาด้วย”


“รับทราบ!” เกาก้วนกุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง


พอประมุขชิงโบกแขนเสื้อ ผู้ที่คุกเข่าก็ลุกขึ้นยืน ทุกคนเดินออกไป ต่างคนต่างกลับไปประจำที่ตำแหน่งตัวเอง


ออกจากตำหนักดาราจักรมาได้ไม่นาน ซือหม่าเวิ่นเทียนที่ดูเหมือนหวั่นเกรงตอนอยู่ในตำหนักก็กลับมาทำวีหน้าปกติแล้ว คนข้างนอกมองไม่ออกเลยว่าก่อนหน้านี้เขาตัวสั่นหวาดกลัวขนาดไหน เขาตามเกาก้วนไป ขณะที่เดินเคียงกันอยู่นั้น ก็ถ่ายทอดเสียงคุยด้วยเงียบๆ “เกาก้วน ถ้าหน่วยตรวจการขวามีอะไรเกิดขึ้น ได้โปรดบอกข้าล่วงหน้านะ”


เกาก้วนขมวดคิ้วมองเขาแวบหนึ่ง เข้าใจความกดดันของเขาเช่นกัน ถ้าหน่วยตรวจการขวาสืบเจอเบาะแสอะไรบางอย่าง แต่หน่วยตรวจการซ้ายที่รับผิดชอบด้านข่าวกรองโดยเฉพาะกลับตกข่าว เช่นนั้นจะยังมีทูตตรวจการซ้ายอย่างเขาไว้ทำอะไรล่ะ? เกรงว่าคงนั่งตำแหน่งทูตตรวจการซ้ายไม่ได้แล้ว คนที่นั่งตำแหน่งนี้รู้ความลับเยอะเกินไป ถ้าถูกถอดจากตำแหน่งเมื่อไร เกรงว่าคงเป็นเวลาที่ศีรษะจะร่วงลงพื้น


ท่ามกลางสายตาที่เฝ้าคอยของเขา เกาก้วนพยักหน้าเงียบๆ บอกใบ้ว่ารู้แล้ว


ซือหม่าเวิ่นเทียนรีบมองไปรอบๆ จากนั้นสองมือก็แนบหน้าอก กุมหมัดคารวะเกาก้วนเงียบๆ “ไม่ว่าตอนสุดจะเป็นยังไง พี่เกาตอบตกลงได้ ข้าจะจดจำน้ำใจวันนี้ไว้”


เกาก้วนสีหน้าเย็นชา มองไม่ออกว่าอยู่ในอารมณ์ไหน เพียงทิ้งเขาไว้แล้วเร่งฝีเท้าเดินจากไป


ซือหม่าเวิ่นเทียนเองก็คุ้นชินกับใบหน้านิ่งของเขาแล้วเช่นกัน ไม่เป็นสาเหตุให้ไม่พอใจ แต่กลับโล่งอก ขอเพียงหน่วยตรวจการขวาไม่ชิงตัดหน้า เขาก็ลดความเสี่ยงได้ส่วนหนึ่งแล้ว


เขาหันกลับมาอีกรอบ แต่ยังไม่รีบออกจากวัง เพราะยังมีอีกคนที่ต้องจัดการ


หลังจากน้อมส่งประมุขชิงออกจากตำหนักนารีสวรรค์แล้ว ซ่างกวนชิงก็รีบหันมา เขายังต้องปฏิบัติตามบัญชาของประมุขชิง เตรียมใช้กฎอัยการศึกกับวังสวรรค์


ทว่าระหว่างทางกลับเจอซือหม่าเวิ่นเทียนที่รออยู่ เมื่อทั้งสองเจอกัน ซือหม่าเวิ่นเทียนก็พูดเหมือนเดิม “ถ้าทางสมาคมวีรชนพบอะไร หวังว่าผู้การใหญ่จะบอกข้าก่อน ผู้การใหญ่คงเข้าใจความลำบากของข้า”


“เฮ้อ!” ซ่างกวนชิงถอนหายใจ เพราะเข้าใจความลำบากของเขาจริงๆ มิหนำซ้ำจะไม่ตอบตกลงก็ไม่ได้อีก เพราะครั้งก่อนติดหนี้น้ำใจอีกฝ่ายแล้ว แสดงละครหลอกลวงประมุขชิงด้วยกันไปแล้ว ถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับอีกฝ่ายแล้วอีกฝ่ายกัดซี้ซั้ว ตัวเองก็จะซวยไปด้วยเช่นกัน จึงพยักหน้าเบาๆ “ขอเพียงเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ต่อฝ่าบาท ถ้าได้ข่าวมาไม่ว่าใครจะเป็นคนสืบก็เหมือนกัน เจ้าวางใจเถอะ ฝั่งข้าไม่ทำให้เจ้าลำบากหรอก แต่ฝั่งเกาก้วนนี่สิ เจ้าต้องหาวิธียืดหยุ่นสักหน่อย ถึงแม้เจ้าหมอนั่นจะหน้านิ่ง แต่ฝีมือการทำงานของเขากลับว่าไม่ได้เลย ถ้าทำให้เขาหลีกทางให้ได้ก่อน ก็ไม่ต้องให้ข้าพูดถึงผลที่ตามมาแล้ว”


“ขอบคุณมากๆ ฝั่งเกาก้วนข้าย่อมมีวิธีการอยู่แล้ว” ซือหม่าเวิ่นเทียนรีบกุมหมัดขอบคุณ แต่กลับไม่ได้บอกว่าเกาก้วนรับปากแล้ว


เมื่อจัดการทั้งสองฝ่ายได้ ซือหม่าเวิ่นเทียนถึงได้ออกจากวังสวรรค์ไปอย่างวางใจ


ผ่านไปไม่นาน กองทัพองครักษ์กลุ่มใหญ่ก็บุกเข้ามาในวังสวรรค์ ไม่ว่าผู้หญิงในวังสวรรค์จะมีฐานะอะไร ก็ถูกเร่งให้กลับเข้าไปในเรือนของตัวเองทั้งหมด


“วันนี้ร่างกายของเฉิงอวี่เป็นอย่างไรบ้าง?”


“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่เป็นห่วง ร่างกายหม่อมฉันไม่มีปัญหาเพคะ เพียงรู้สึกตึงท้องนิดหน่อย”


“เหอะๆ! เพราะท้องใหญ่แล้วไง ทำให้เจ้าเหน็ดเหนื่อยเพราะข้าแล้ว”


ในตำหนักนารีสวรรค์ ประมุขชิงดูผ่อนคลายมาก ท่าทีไม่เลวเลย คงรอยยิ้มที่สนิทสนมเอาไว้ตลอด แสดงความห่วงใยต่อเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เต็มที่


หลังจากคุยกระหนุงกระหนิงกันสักพัก ประมุขชิงก็เอ่ยถามเหมือนไม่ตั้งใจ “ท่านปู่สวรรค์ไม่ได้เข้าวังมาเยี่ยมราชินีสวรรค์นานแล้วใช่มั้ย? เอาอย่างนี้แล้วกัน ราชินีสวรรค์ให้คนส่งข่าวสักหน่อย เชิญท่านปู่สวรรค์เข้าวังสักหน่อย ครอบครัวเราจะได้รวมตัวกัน”


“เอ่อ…” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่งงไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าทำไมวันนี้ประมุขชิงถึงมีอารมณ์สนใจทำแบบนี้ แต่ในเมื่อประมุขชิงเอ่ยปากแล้ว นางก็ยากที่จะปฏิเสธได้ ย่อมตะโกนเรียกเอ๋อเหมยให้เข้ามา แล้วกำชับให้ทำตาม เชิญให้ท่านปู่สวรรค์เซี่ยโห้วเข้าวังมาสักรอบ


นางมีบางอย่างที่ไม่รู้ การที่จู่ๆ สี่อ๋องสวรรค์เคลื่อนไหวแบบนี้ ทำให้ประมุขชิงมิอาจไม่ระวังตัวได้ ประมุขชิงไม่ได้กลัวสี่อ๋องสวรรค์หรอก ที่เขากังวลจริงๆ คือฝั่งตระกูลเซี่ยโห้ว ถ้ากองทัพองครักษ์สู้กับสี่อ๋องสวรรค์ขึ้นมาจริงๆ ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ก็จะเสียหายอย่างหนักอยู่ดี ทำศึกใหญ่จะไม่ให้บาดเจ็บล้มตายเลยคงเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นไม่ว่าก่อนทำศึกหรือหลังทำศึก ก็ล้วนต้องปลอบโยนตระกูลเซี่ยโห้วให้ดีก่อน พยายามอย่าให้ตระกูลเซี่ยโห้วเข้ามาเกี่ยวข้องเรื่องนี้


ถ้าก่อนทำศึกตระกูลเซี่ยโห้วปลุกปั่นอำนาจแต่ละฝ่ายให้มาช่วยสี่อ๋องสวรรค์ เช่นนั้นเขาก็จะลำบากแล้ว เกรงว่าแม้แต่แดนพุทธะก็จะถูกลากเข้ามาเกี่ยวด้วย ดีไม่ดีอาจจะกลายเป็นเขาที่นำกองทัพองครักษ์ต้านทานใต้กล้าฝ่ายเดียว หลังจากเสร็จศึกแล้วต่อให้เขาจะชนะ แต่เมื่อยู่ภายใต้สถานการณ์ที่เสียหายอย่างหนักแล้วยังถูกตระกูลเซี่ยโห้วโจมตีอีก เช่นนั้นเขาก็ยากที่จะรับผลที่ตามมาไหว ถึงตอนนั้นต่อให้เขาจะรอดชีวิตได้ แต่กำลังพลในมือก็ถูกำจัดหมดแล้ว เบื้องล่างไม่มีคน ต่อให้เขาคนเดียวจะต่อสู้เก่ง แต่แล้วจะทำอะไรได้ล่ะ? ตัวคนเดียวจะปกครองใต้หล้าได้เหรอ เกรงว่าเรื่องแรกที่ประมุขพุทธะจะทำก็คือสั่งให้กำลังพลกำจัดเขา เพราะเขาไม่มีคุณสมบัติที่จะร่วมงานกับประมุขพุทธะแล้ว ประมุขพุทธะยังจำเป็นต้องเสพสุขใต้หล้าด้วยกันกับเขาอีกหรือ? แบบนั้นแปลว่าสมองมีปัญหาแล้ว


ถ้าเดินไปถึงขั้นนั้นจริงๆ เขายังคิดจะลืมตาอ้าปากอีกครั้ง ให้ใต้หล้าส่งมอบผลประโยชน์ให้เขาอีกเหรอ นั่นช่างเป็นเรื่องเพ้อฝัน


ดังนั้นเขาจำเป็นต้องยืนยันท่าทีของตระกูลเซี่ยโห้ว หรือไม่ก็ทดสอบสักหน่อยว่าตระกูลเซี่ยโห้วเข้าร่วมกับสี่อ๋องสวรรค์หรือไม่ ถ้าเซี่ยโห้วท่าไม่ยอมเข้าวัง เช่นนั้นก็เกิดปัญหาแล้ว นี่คือสิ่งที่เขากังวลที่สุด ไม่อย่างนั้นจู่ๆ จะมาเอาใจเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ทำไม


พอเซี่ยโห้วท่ามาแล้ว ไม่ว่าเซี่ยโห้วท่าจะมองออกหรือไม่ว่าเขากำลังเสแสร้ง แต่เขาก็ต้องแสดงความรักใคร่เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ต่อหน้าเซี่ยโห้วท่าอยู่ดี


ถ้าไม่ใช่เพราะหมดหนทางจริงๆ เขาคงถอดเซี่ยโห้วเฉิงอวี่แล้วแต่งตั้งจ้านหรูอี้ที่ตัวเองชอบเป็นราชินีไปนานแล้ว ทว่าถ้าอยากนั่งครองใต้หล้าอย่างมั่นคง ก็ไม่ใช่สิ่งที่กำลังของคนคนเดียวจะตัดสินใจได้ ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ มีพระปีศาจหนานโปคนเดียวก็พอแล้ว คนรุ่นหลังยังจะเกี่ยวข้องอีกเหรอ


“พี่ใหญ่มาแล้ว!”


ในแม่ทัพภาคตลาดผี โค่วเจิงนำคนมาด้วยตัวเองสิบกว่าคน ตั้งแต่ออกเดินทางจนมาถึงที่นี่ ใช้เวลารวดเร็วมาก มียอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์คุ้มกันส่ง จะไม่ให้มาเร็วก็คงยาก


เพียงแต่ครั้งนี้ไม่ได้โผล่หน้ามาอย่างเปิดเผย ปิดบังใบหน้าแล้ว หลังจากเข้าจวนแม่ทัพภาคก็ถอดหน้ากากออก เหมียวอี้ออกมาต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม


พอเจอหน้ากัน โค่วเจิงก็จ้องหน้าเหมียวอี้เงียบๆ


“พี่ใหญ่ เป็นอะไรไป?” เหมียวอี้มองตัวเอง แต่โค่วเจิงไม่ได้พูดอะไร เดินเฉียดร่างกายเขาไป


พักดื่มชาอะไรก็ไม่ต้องทำแล้ว โค่วเจิงเดินตรงไปที่ห้องขอเหมียวอี้ด้วยความชำนาญ


หลังจากในห้องเหลือสองคน โค่วเจิงก็ไม่เปลืองคำพูด ถามตรงๆ เลยว่า “โหย่วเต๋อ คาดว่าเจ้าคงรู้ว่าข้ามาทำไม”


เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน “เพราะเรื่องออกล่าที่น้ำพุวังเวงไม่ใช่เหรอ? พี่ใหญ่ ท่านก็เห็นสถานการณ์ที่ตลาดผีแล้ว ข้ารู้สึกรางๆ ว่าเหมือนข้าจะก่อเรื่องใหญ่แล้ว ก็อย่างที่ข้าบอก เรื่องนี้ข้าจะรับผิดชอบเองคนเดียว ไม่ทำให้ตระกูลโค่วลำบากหรอก ส่วนอวิ๋นจือชิว หวังว่าตระกูลโค่วจะดูแลแทนในฐานะลูกสาว บุญคุณอันใหญ่หลวงนี้หนิวจะตอบแทนชาติหน้า!”


เมื่อได้ยินคำพูดนี้ โค่วเจิงก็อยากพ่นไฟใส่ ลูกชายข้าเป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่รู้ แต่เจ้าดันฝากฝังเรื่องหลังความตายแล้ว ถ้าเจ้าอยากจะตายก็บอกเรื่องราวให้ชัดเจนก่อนสิ เขาถามด้วยสีหน้าเครียดขรึม “อะไรที่เรียกว่าเจ้าก่อเรื่องใหญ่แล้ว มีเรื่องอะไรกันแน่?”


เหมียวอี้ส่ายหน้า “พี่ใหญ่ ข้าบอกไปแล้วไง เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับแดนพุทธะ ดังนั้นตระกูลโค่วแสร้งทำเป็นไม่รู้ก็พอ อีกประเดี๋ยวข้าจะส่งพี่ใหย่ออกไปทางลับ ทางที่ดีอย่าให้คนรู้ว่าพี่ใหญ่มาที่นี่”


โค่วเจิงเกกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะแทงเขาสักสองสามที แสยะยิ้มบอกว่า  “ทำเป็นไม่รู้งั้นเหรอ? เหวินไป๋ไปเข้าร่วมออกล่า ตอนนี้เป็นตายยังไม่รู้ เจ้าจะให้ข้าแสร้งทำเป็นไม่รู้ได้ยังไง?”


“เหวินไป๋เป็นตายยังไงก็ยังไม่รู้เหรอ?” เหมียวอี้ทำหน้างง แล้วกล่าวเหมือนแปลกใจ  “ไม่น่าจะใช่นะ ข้าพุ่งเป้าไปที่ตระกูลอิ๋ง เหวินไป๋เข้าไปเกี่ยวข้องได้ยังไง ว่ากันว่าตระกูลพวกนั้นมีความสัมพันธ์แบบแข่งขันกัน คงไม่ร่วมมือกันออกล่าหรอกมั้ง?”


จะให้โค่วเจิงอธิบายอย่างไรล่ะ? เรื่องนี้เดิมทีตระกูลโค่วก็เสียเปรียบด้านเหตุผลอยู่แล้ว


“ครั้งนี้ท่านพ่อสั่งให้ข้ามา ท่านพ่อบอกไว้ก่อนแล้ว ว่าไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเจ้า แต่เจ้าก็เป็นลูกเขยของตระกูลโค่ว จะให้ตระกูลโค่วนิ่งดูดายไม่ได้ ที่เจ้าบอกว่าไม่เกี่ยวกับตระกูลโค่ว เป็นคำพูดเหลวไหลทั้งเพ! มีใครไม่รู้บ้างว่าเจ้าเป็นลูกเขยของตระกูลโค่ว ถ้าเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ ตระกูลโค่วจะพ้นความเกี่ยวข้องเหรอ? ดังนั้นท่านพ่อจึงพูดไว้ชัดเจนแล้ว ถ้าพูดดีๆ แล้วไม่ได้ผล ก็ทำได้เพียงใช้วิธีบีบถามบีบถาม เจ้าไตร่ตรองเอาเอง อย่าบีบให้ข้าทำอย่างนี้ ไม่อย่างนั้นข้าก็กลับไปอธิบายกับท่านพ่อไม่ได้!” โค่วเจิงกล่าวด้วยสีหน้าดุร้าย


เหมียวอี้ก้าวถอยหลังอย่างห่อเหี่ยว ถอยไปหย่อนก้นนั่งลงบนโต๊ะ แล้วก้มหน้าตอบอย่างหดหู่ “ก่อนที่พี่ใหญ่จะมา คนของตึกศาลาสัตยพรตก็ให้ข้าไปหา ถามข้าเรื่องออกล่าเหมือนกัน ข้าไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น แต่เฉาหม่านกลับเปิดเผยต่อข้านิดหน่อย ข้าเลยพอจะรู้แล้วว่าเรื่องที่น้ำพุวังเวงลุกลามใหญ่โต ข้าเองก็เคยติดต่อแดนพุทธะเช่นกัน อยากถามว่าเหวินไป๋ตกอยู่ในมือพวกเขาหรือแปล่า บางทีอาจจะขอตัวเหวินไป๋กลับมาได้ แต่ที่แปลกก็คือติดต่อทางนั้นไม่ได้เหมือนกัน”

 

 

 


บทที่ 1691 เหมียวอี้งงเป็นไก่ตาแตก

 

“ติดต่อใคร?” พอโค่วเจิงโบกมือ พลังอิทธิฤทธิ์ก็ลากเก้าอี้ตัวหนึ่งเข้ามา นั่งตรงข้ามเหมียวอี้พอดี แล้วถามหยั่งเชิงว่า “สำนักหลัวช่า?”


“พี่ใหญ่รู้ได้ยังไง?” เหมียวอี้เงยหน้าถามอย่างประหลาดใจ


จะไม่รู้ได้เหรอ? ต่อสู้กันจนเผยโฉมหน้าที่แท้จริง ใช้ร่างทิพย์แล้ว! โค่วเจิงแอบกัดฟัน “เจ้าไม่ต้องยุ่งหรอกว่าข้ารู้ได้ยังไง ถ้าเจ้าอยากให้ข้าหาเหวินไป๋เจอ ก็เล่าทุกอย่างมาใหเละเอียด จะได้ไม่เสียความรู้สึกคนบ้านเดียวกัน”


เหมียวอี้ก้มหน้าอีกครั้ง “ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเหวินไป๋ ข้ากลัวว่าตัวเองยากที่จะพ้นผิดได้”


โค่วเจิงจึงกล่าวเสียงต่ำ “ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาเอาเรื่องกัน แต่ต้องหาทางทำให้ตระกูลโค่วของข้าพ้นความรับผิดชอบ เรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้ อาศัยบ่าเจ้าคนเดียวแบกความรับผิดชอบนี้ไม่ไหวหรอก บอกมา! เจ้าเรียกสำนักหลัวช่าให้มาสู้กับตระกูลอิ๋งได้ยังไง?”


เหมียวอี้ลังเลครู่หนึ่ง โค่วเจิงจึงตะคอก “ถึงตอนนี้แล้วยังคิดจะปิดบังอยู่อีกเหรอ?  เจ้าปิดบังได้เหรอ? หรือจะให้คนอื่นมาง้างปากเจ้าให้ได้ จึ้งจะยอม? คนอื่นไม่ได้เกรงใจเหมือนข้าหรอกนะ! ถ้าตระกูลโค่วไม่รู้สถานการณ์ แล้วช่วยเจ้าต้านทานได้ยังไง?”


เหมียวอี้ถอนหายใจเบาๆ “แปลกประหลาดจริงๆ ทำไมถึงกลายเป็นอย่างนี้ไปได้? พี่ใหญ่ ที่จริงข้าก็ไม่ได้ต้องการสู้กับตระกูลอิ๋งหรอก ตัวข้าเองมีความสามารถเท่าไร ข้ายังไม่รู้ชัดอีกเหรอ จะไปรับมือกับตระกูลอิ๋งได้ยังไง ข้าแค่อยากเอาชีวิตอิ๋งหยางคนเดียวเท่านั้น เรื่องนี้ข้าบอกท่านพ่อบุญธรรมไปแล้ว นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าจะทำให้เรื่องลุกลามใหญ่โตขนาดนี้”


“สำนักหลัวช่า!” โค่วเจิงตบตรงที่วางมือบนเก้าอี้ “พูดจุดสำคัญ เจ้าควบคุมให้สำนักหลัวช่าช่วยเจ้าทำเรื่องนี้ได้ยังไง?”


“พูดถึงเรื่องเรียกใช้สำนักหลัวช่า ข้าเองก็ประหลาดใจนิดหน่อย พี่ใหญ่ยังจำเรื่องที่ข้าเจอกับเม่ยจีที่แดนสุขาวดีได้ใช่มั้ย?” เหมียวอี้ถาม


โค่วเจิงพยักหน้า รู้ว่ากำลังเข้าประเด็นแล้ว เขาเริ่มรวบรวมสมาธิ “จำได้อยู่แล้ว ทำไมพูดโยงไปถึงนางอีก?”


เหมียวอี้ส่ายหน้า “ผีที่ไหนจะไปอยากเกี่ยวข้องกับนางล่ะ เป็นนางที่ไม่ยอมปล่อยข้าเอง หลังจากเกิดเรื่องที่แดนสุขาวดี ข้ากลับมาตลาดผีแล้ว ก็ไปสืบสถานการณ์ที่วัดพระกษิติครรภ์บ่อยๆ อยากจะถามว่าเรื่องที่แดนพุทธะจับกุมพระอรหันต์ตัวลี่ไปถึงไหนแล้ว ถึงยังไงการที่พระอรหันต์ตัวลี่มีจุดจบอย่างนั้นก็ทำให้ข้ากังวลว่าอีกฝ่ายจะมาล้างแค้นข้า แต่ใครจะคิดล่ะ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่พระอาจารย์จี้คงทำตัวลับๆ ล่อๆ นำข้าขึ้นไปในอุโบสถชั้นบนของวัดพระกษิติครรภ์ หลังจากข้าขึ้นไปแล้วพบความไม่ชอบมาพากล ข้าก็หนีไม่ทันซะแล้ว มารดามันเถอะ เม่ยจีนั่นนำคนกลุ่มหนึ่งรอข้าอยู่ในอุโบสถนั่นแล้ว”


โค่วเจิงตาเป็นประกาย “มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ เช่นนั้นเม่ยจีก็อาจจะใจกล้าเกินไปหรือเปล่า ถึงยังไงเจ้าก็เป็นลูกเขยตระกูลโค่ว นางจะกล้าทำซี้ซั้วกับเจ้าเหรอ?”


เหมียวอี้ถอนหายใจ “แน่นอนว่ามีเรื่องแบบนี้ ถ้าพี่ใหญ่ไม่เชื่อ ก็ไปยืนยันกับจี้คงที่วัดพระกษิติครรภ์ได้ เป็นเจ้าโล้นนั่นที่หลอกข้า”


“แล้วตอนหลังทำไมเจ้าไม่บอกคนในบ้านให้ช่วยออกหน้าให้?” โค่วเจิงถาม


เหมียวอี้ถอนหายใจอีก “ก็ย่อมมีเหตุผลอยู่แล้ว ข้าก็ไม่รู้ว่าเม่ยจีนั่นเป็นอะไรไป จะยืนยันให้ได้ว่าข้าเคยเข้าไปในดาวพิษ บอกว่าซากสำนักหนานอู๋เคยถูกแตะต้อง ทั้งยังแน่ใจด้วยว่าข้าเป็นคนทำ ข้าอธิบายยังไงก็ไม่มีประโยชน์ ที่จริงตอนนั้นนางก็ไม่ได้ทำอะไรข้า แค่ซักไซ้ข้าว่าเกี่ยวข้องอะไรกับสำนักหนานอู๋ อีกฝ่ายถามข้าสั้นๆ เท่านั้นเอง ข้าจะไปฟ้องที่บ้านให้ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา? ข้ากลัวว่าไปหาที่บ้านแล้วจะไม่มีประโยชน์ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ยังต้องรบกวนที่บ้าน ข้าต้องทำขนาดนั้นเลยเหรอ”


“สำนักหนานอู๋?” ตอนนี้ถึงคราวที่โค่วเจิงจะแปลกใจแล้ว เขาครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วถามอย่างฉงน “สำนักหนานอู๋ที่ดาวพิษ ที่ถูกฆ่าล้างสำนักไปนานแล้วน่ะเหรอ?”


“เกี่ยวข้องกับดาวพิษ น่าจะใช่ละมั้ง หรือว่าจะมีสำนักหนานอู๋หลายแห่งเชียวเหรอ?” เหมียวอี้ถามกลับ


“เรื่องที่มีเงื่อนงำแบบนี้ เจ้าน่าจะรายงานที่บ้านเร็วๆ หน่อย” โค่วเจิงระแวงสงสัย


เหมียวอี้จึงบอกว่า “รายงานหรือไม่รายงานนั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง ยังมีเรื่องที่มีเงื่อนงำกว่านี้อีก ตอนนั้นที่ข้ากำลังเดินออกประตูพระอุโบสถ จู่ๆ เม่ยจีก็พูดบางอย่าง นางบอกว่าข้าจะฮุบสมบัติของสำนักหนานอู๋ไว้คนเดียว บอกว่าข้าได้ไปแล้วก็ไม่มีประโยชน์ บอกข้าว่าอย่าเพ้อฝัน พูดจนข้าประหลาดใจมาก”


“สมบัติของสำนักหนานอู๋เหรอ?” โค่วเจิงงุนงง แล้วถามด้วยสีหน้าระแวงอีกครั้ง “สำนักหนานอู๋ซ่อนสมบัติอะไรไว้?”


“พี่ใหญ่ ข้าจะไปรู้ได้ยังไงว่าสำนักหนานอู๋นั่นซ่อนสมบัติอะไรไว้!” เหมียวอี้ยักไหล่สองข้างพร้อมยิ้มเจื่อน แล้วพูดต่อว่า “แน่นอน สิ่งนี้ไม่สำคัญสำหรับข้า ที่สำคัญคือเม่ยจีนั่นบอกสิ่งที่สอดคล้องความจริงกับข้า บอกว่าขอเพียงข้าบอกจุดซ่อนสมบัติของสำนักหนานอู๋ เงื่อนไขอะไรก็คุยง่ายทั้งนั้น ให้ข้าไปคิดให้ดีๆ จากนั้นข้าเลยครุ่นคิดเรื่องสมบัติที่ซ่อนในสำนักหนานอู๋ ใครจะคิดว่าตอนหลังพี่ใหญ่จะส่งข่าวให้ข้าอีก บอกว่าอิ๋งหยางจะไปออกล่าที่น้ำพุวังเวง พอดีเลย ข้าเข้าใจว่าอิ๋งหยางไปออกล่าที่น้ำพุวังเวง ข้างกายจะต้องมีคนไม่น้อยแน่ ดีไม่ดีอาจจะมียอดฝีมือมาคุ้มกันก็ได้ แล้วเม่ยจีก็เสนอเงื่อนไขมาพอดีไม่ใช่เหรอ? ข้าก็เลยนำเรื่องนี้มาเป็นเงื่อนไข ขอเพียงนางเอาชีวิตอิ๋งหยางให้ข้าได้ ข้าก็จะบอกจุดซ่อนสมบัติของสำนักหนานอู๋กับนาง สองฝ่ายเข้ากันได้ดี จึงเจรจากันได้ง่าย”


“…” โค่วเจิงอ้าปากข้าง มิน่าล่ะทั้งตระกูลโค่วจึงคิดไม่ตกว่าเจ้าหมอนี่เรียกใช้สำนักหลัวช่าได้อย่างไร สงสัยเบื้องหลังจะซ่อนเรื่องนี้เอาไว้ เจ้าเวรนี่ช่างเรียกสำนักหลัวช่ามาสู้กับกำลังพลของตระกูลอิ๋งได้จริงๆ เขาทั้งตกใจทั้งโมโห “เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ก็ไม่บอกที่บ้านสักคำ เจ้าเคยคิดบ้างหรือเปล่า ถ้าไปมีความเกี่ยวข้องกับแดนพุทธะแบบนี้ ก็เท่ากับจุดอ่อนของเจ้าตกอยู่ในมืออีกฝ่ายไปแล้ว! ถ้าตอนหลังเจ้ามอบจุดซ่อนสมบัติให้อีกฝ่ายไม่ได้ แล้วจะทำยังไง?”


เหมียวอี้ยักไหล่ แล้วกล่าวอย่างไม่แยแส “พี่ใหญ่คิดมากไปแล้ว ข้าจะกลัวอะไรล่ะ? ข้าต้องกลัวด้วยเหรอ? ถ้าจุดอ่อนข้าตกอยู่ในมือพวกเขา จุดอ่อนพวกเขาก็ตกอยู่ในมือข้าเหมือนกัน การลงมือกับตระกูลอิ๋งไม่ใช่เรื่องเล็ก เอาเรื่องนี้มาขู่ข้าไม่มีประโยชน์เลย ถ้าข้าไม่บอกจุดซ่อนสมบัติแล้วยังไงล่ะ? ข้าก็แค่บอกว่าข้าให้ไม่ได้แล้ว สำนักหลัวช่าจะทำอะไรข้าได้? มีตระกูลโค่วหนุนหลัง สำนักหลัวช่าก็ไม่กล้าทำอะไรข้าโจ่งแจ้งหรอก จะแอบลงมือกับข้าเหรอ? ข้าเหมือนคนเหาเยอะที่ไม่กลัวคัน คนที่แอบลงมือกับข้ามีตั้งเยอะ แค่มีสำนักหลัวช่าเพิ่มขึ้นมาข้าจะแยแสเหรอ?”


โค่วเจิงทำสีหน้าไม่ถูก เจ้าหนุ่มนี่ใช้วิธีการไร้สัจจะแล้ว แต่จะว่าไปก็เป็นอย่างนี้จริงๆ


วางเรื่องนี้ไว้ก่อนชั่วคราว แล้วถามต่อว่า “สำนักหลัวช่าไปช่วยเจ้าจัดการเรื่องนี้ที่น้ำพุวังเวงกี่คน?”


เหมียวอี้ตอบว่า “ข้าไม่รู้ ข้าจะรู้หรือไม่รู้ก็ไม่เกี่ยวกันหรอก ข้าแค่จะเอาชีวิตอิ๋งหยาง เรื่องอื่นข้าไม่สนใจ พวกเราแค่นัดเวลาส่งงานกันไว้ นัดบนดาวเคราะห์ดวงหนึ่งนอกน้ำพุวังเวง”


“เจ้าไม่เห็นฉากตอนที่พวกเขาต่อสู้กันเหรอ? ไม่เห็นเหรอว่าพวกเขามีกันกี่คน?” โค่วเจิงถาม


“ข้าไม่ได้เข้าไปในน้ำพุวังเวงเลย จะไปเห็นได้ยังไง? ข้าแค่รออยู่ข้างนอก แล้วตอนหลัง ก็มีคนส่งอิ๋งหยางมาให้ข้า ข้าก็เลยกลับมาแล้ว” เหมียวอี้ตอบ


โค่วเจิงหรี่ตาจ้องเขา “ในเมื่อนัดจบงานกันแล้ว เจ้าไม่บอกจุดซ่อนสมบัติให้พวกเขารู้ แล้วพวกเขาจะส่งอิ๋งหยางให้เจ้าเหรอ?”


เหมียวอี้เอามือลูบคางพร้อมกล่าวอย่างสงสัย “นี่ก็คือจุดที่ข้าแปลกใจเหมือนกัน บอกตามตรงนะ ข้าเตรียมแผนที่ซ่อนสมบัติปลอมเอาไว้รับมือกับพวกเขาฉบับหนึ่ง ใครจะคิดว่าจะมีคนปิดบังใบหน้าโผล่มา ข้าก็ไม่รู้ชัดว่าเป็นใคร เขาส่งอิ๋งหยางให้ข้าแล้วก็ไปแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่ทวงจุดซ่อนสมบัติจากข้าเลย ตอนนั้นข้าก็แปลกใจแล้ว แต่พอมานึกดูอีกที เรื่องนี้ก็โทษข้าไม่ได้นะ ข้าเอาตัวอิ๋งหยางแล้วก็กลับมาเลย ก่อนหน้านี้ข้าก็ไม่รู้ว่าที่น้ำพุวังเวงเกิดเรื่องอะไรขึ้น จนกระทั่งพี่ใหญ่ส่งข่าวมาถามบอกข้าเรื่องเข่นฆ่าอะไรนั่น ทั้งยังถามข้าอีกว่าพวกเหวินไป๋อยู่ที่ไหน ข้าถึงตระหนักได้แล้วว่าปัญหาเกิดขึ้นตรงไหน แถมตลาดผีเกิดความผิดปกติอีก ทางตึกศาลาสัตยพรตก็เรียกข้าไปบอกสถานการณ์บางอย่าง ข้าถึงได้เข้าใจว่าอาจจะก่อเรื่องใหญ่แล้ว จนกระทั่งพี่ใหญ่มาโผล่อยู่ที่นี่ ข้าก็ยังเลอะเลือนอยู่เลย ทางสำนักหลัวช่าก็ไม่ได้มาหาข้าอีกเช่นกัน”


ในห้องตกอยู่ในความเงียบ โค่วเจิงแววตาวูบไหวไม่หยุด เหมียวอี้กำลังแอบสังเกตปฏิกิริยาของเขา


สุดท้ายโค่วเจิงก็ทำลายความเงียบ “ตามที่ตระกูลอิ๋งบอก พวกเขายังติดต่ออิ๋งหยางได้ เจ้ายังไม่ได้ฆ่าเขาเหรอ?”


“เปล่าหรอก ข้าเก็บไว้ยังใช้ประโยชน์ได้ จะให้เขาไปสบายได้ยังไงล่ะ” เหมียวอี้ตอบ


“ข้าดูหน่อย” โค่วเจิงกล่าว


เหมียวอี้ลุกขึ้นยืนแล้วตอบว่า “พี่ใหญ่คงไม่คิดจะส่งเขากลับไปให้ตระกูลอิ๋งหรอกใช่มั้ย? ข้าไม่ตกลง!”


โค่วเจิงคิดจะทำอย่างนี้เสียที่ไหนกัน แค่อยากพิสูจน์คำพูดเหมียวอี้นิดหน่อยเท่านั้นเอง เขาลุกขึ้นยืนเช่นกัน “ท่านพ่อบอกไว้แล้ว ถ้าเจ้าเอาชีวิตเขาได้ก็ถือเป็นความสามารถของเจ้า ข้าแค่อยากจะถามอะไรจากเขาก็เท่านั้นเอง”


“เกรงว่าจะถามไม่ได้ความอะไรหรอก” เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะ


เหมียวอี้โยนคนคนหนึ่งไว้บนพื้น คนคนนั้นนอนลืมตาน้ำลายไหลอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าเลื่อนลอย ต่อให้ซ้อมจนเจ็บก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไร เป็นอิ๋งหยางนั่นเอง


โค่วเจิงนั่งยองๆ ลงข้างกัน หลังจากร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจอาการ ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วเงยหน้าถามว่า “เจ้าใช้วิชาอะไรดึงจิตวิญญาณของเขาไป?”


เหมียวอี้ยักไหล่ “ตอนที่อีกฝ่ายส่งตัวมาให้ข้าก็มีสภาพเป็นอย่างนี้แล้ว ข้ายังคิดจะถามอะไรบางอย่างจากเขาอยู่เลย แต่ก็ถามไม่ได้แล้ว”


โค่วเจิงกวาดสายตามองเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งบนตัวอิ๋งหยาง พอดึงคอเสื้อของเขาออก ก็เห็นบนตัวเขามีรอยเหมือนถูกตัวอะไรกัดเยอะมาก จึงพึมพำว่า “ค้างคาวกลืนวิญญาณ!” จากนั้นก็ลุกขึ้นช้าๆ มองอิ๋งหยางพลางส่ายหน้า ไม่น่าเชื่อว่าหลานชายของอ๋องสวรรค์ผู้สง่าผ่าเผยจะมีจุดจบเช่นนี้ ตอนนี้ต่อให้เขาตั้งใจจะส่งอิ๋งหยางกลับไปให้ตระกูลอิ๋งก็ไม่มีประโยชน์แล้ว เพราะกลายเป็นคนตายไปแล้ส จิตวิญญาณแตกซ่าน แม้แต่โอกาสจะกลับชาติมาเกิดใหม่ก็ไม่มีแล้ว


เหมียวอี้แอบตกตะลึงในสายตาของโค่วเจิง นึกไม่ถึงว่าจะมองออกว่าเป็นฝีมือค้างคาวกลืนวิญญาณ ไม่ผิดหรอก เขานำอิ๋งหยางมาทดสอบความสามารถของค้างคาวกลืนวิญญาณเองกับมือ


ในขณะนี้เอง จู่ๆ โค่วเจิงก็หยิบระฆังดาราออกมา แล้วหันตัวไปด้านข้าง เหมียวอี้เหลือบมองเขาสองที ไม่รู้ว่ากำลังติดต่อกับใคร


สรุปก็คือโค่วเจิงติดต่อกับทางนั้นพักใหญ่ หลังจากระฆังดารามาแล้ว จู่ๆ ก็หันตัวมาจ้องเขา “เรื่องสมบัติที่ซ่อนในสำนักหนานอู๋ เจ้าห้ามไปบอกใครอีก ถ้าคนของสำนักหลัวช่ามาหาเจ้าอีก เจ้าก็ผลักเรื่องทุกอย่างไปให้ตระกูลโค่ว ให้สำนักหลัวช่าไปหาตระกูลโค่วเอง จำไว้นะ เรื่องที่น้ำพุวังเวง เจ้าต้องทำเป็นไม่รู้อะไรทั้งนั้น ใครถามเจ้าก็บอกว่าไม่รู้ ต่อไปตระกูลจะช่วยเตรียมคำปฏิเสธให้เจ้า จะหาพยานที่อยู่ให้เจ้า เจ้าไม่เคยเข้าร่วมเรื่องนี้มาก่อน” พูดจบก็โบกมือกวาด พลังอิทธิฤทธิ์กลุ่มหนึ่งพัดม้วนเข้ามา จนกระทั่งร่างของอิ๋งหยางบนพื้นถูกบดกลายเป็นเลือดเหลว


เหมียวอี้กำลังครุ่นคิดว่าคำพูดของเขาหมายความว่าอะไร นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ เขาจะลงมือแบบนี้ เพราะถ้าเก็บอิ๋งหยางไว้ เขายังใช้ประโยชน์ได้อีก


ไฟโกรธกำลังลุกพรึ่บในใจเหมียวอี้ ทว่าโค่วเจิงก็พูดอีกอย่างหนึ่งแล้ว “ความแค้นระหว่างเจ้ากับขุนนางใหญ่พวกนั้นจองตำหนักสวรรค์จบลงแล้วตั้งแต่นี้ มันผ่านไปแล้ว…” เหมียวอี้เพิ่งจะอ้าปาก แต่เขายกมือตัดบท “อย่าถามว่าเพราะอะไร เอาเป็นว่าตระกูลโค่วจะช่วยเจ้าแก้ไขความแค้นทุกอย่างที่ผูกเอาไว้กับพวกเขา ต่อไปพวกเขาจะไม่เป็นฝ่ายมาหาเรื่องเจ้าอีก ในจุดนี้ข้ารับประกันกับเจ้าได้ ส่วนเจ้าก็อย่าเป็นฝ่ายไปหาเรื่องใครก่อนอีก เข้าใจมั้ย?”


หมายความว่าอะไร? เหมียวอี้งงเป็นไก่ตาแตก หลังจากอึ้งไปครู่หนึ่งก็ถามว่า “เหวินไป๋เป็นหรือตายก็ยังไม่รู้เลย ข้าจะลองดูว่าสามารถ…”


“ไม่ต้องแล้ว!” โค่วเจิงยกมือห้ามอีกครั้ง บนใบหน้าฉายแววเศร้าสลด เจือด้วยความอับจนหนทางหลานส่วน “คิดเสียว่าเขาตายไปแล้วก็แล้วกัน เจ้าไม่ต้องเข้าไปยุ่งซี้ซั้วอีก เข้าใจแล้วใช่มั้ย?” ประโยคสุดท้ายกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักหน่วงมาก

 

 

 


บทที่ 1692 เจ้าทำอย่างนี้จะไม่มีเพื่อ...

 

จะไม่ให้กดดันทางจิตใจก็คงยาก อย่างไรเสียโค่วเหวินไป๋ก็เป็นลูกชายของเขา อีกทั้งเขายังมีลูดชายเพียงคนเดียว เมื่อเทียบกันแล้ว ลูกชายของเขาคนนี้นับว่ามีความสามารถโดดเด่นในตระกูลโค่ เมื่อกล่าวคำพูดที่สื่อความหมายว่าจะทิ้งลูกชายออกมา เขาเองก็รู้สึกเศร้าโศกเช่นกันกัน


ถ้าจะถามว่าแค้นหรือไม่แค้นเหมียวอี้ เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะเหมียวอี้ จะมีเหตุผลให้ไม่แค้นได้อย่างไร ต่อให้ตระกูลโค่วหาเรื่องใส่ตัวเอง แต่ในด้านความรู้สึกก็ต้องหาตัวการสักคน แต่คนที่เดินมาอยู่ในระดับอย่างเขา ล้วนต้องใช้สติปัญญาข่มอารมณ์เอาไว้ จะเผชิญหน้ากับความเป็นจริงได้ง่ายขึ้น


เหมียวอี้เองก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ พอใช้ระฆังดาราติดต่อกับใครบางคนแล้ว ก็ทำให้โค่วเจิงพูดจาแบบนี้ออกมา


โค่วเจิงเหมือนจะไม่อยากอยู่ที่นี่นานแม้แต่วินาทีเดียว หลังจากสั่งไว้ชัดเจนแล้วก็หันตัวจากไป


ทว่าชั่วพริบตาที่ออกมาจากห้อง ก็เห็นบนเสาขื่อของห้องระเบียงโดนขุดจนน่าหวาดเสียว ที่จริงเขากได้รับข่าวมาก่อนหน้านี้แล้วว่าที่นี่มีสภาพอย่างนี้ ตระกูลโค่วก็กำลังกลุ้มใจเรื่องนี้เช่นกัน ไม่รู้ว่าเหมียวอี้ต้องการจะทำอะไร ตอนนี้จึงอดไม่ได้ที่จะสืบถาม “โหย่วเต๋อ เจ้าทำให้จวนแม่ทัพภาคกลายสภาพเป็นอย่างนี้หมายความว่าอะไร?”


เหมียวอี้มองไปรอบๆ แล้วปวดประสาท แผนการเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง สงสัยจะใช้งานสิ่งที่เตรียมไว้ไม่ได้แล้ว เขายิ้มเจื่อนพร้อมตอบว่า “เอาไว้หลีกภัย”


“หลีกภัยเหรอ?” โค่วเจิงมองไปรอบๆ อีกครั้งอย่างไม่ค่อยเข้าใจ “ทำจนกลายเป็นอย่างนี้แล้ว ยังจะหลีกภัยได้อีกเหรอ? ไม่อยากให้ความลับรั่วไหลเหรอ?”


“มีอะไรที่รั่วไหลไม่ได้ล่ะ” เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวเย้ยตัวเองนิดหน่อย “มีคนต้องการจะเล่นงานข้าให้ถึงตายไม่ใช่เหรอ ข้ากังวลว่าจะมีคนใช้วิธีการที่แข็งกร้าวกับข้า อยู่ที่นี่ไม่ปลอดภัย เตรียมจะถล่มจวนแม่ทัพภาค จากนั้นก็ไปอยู่ที่วัดพระกษิติครรภ์ชั่วคราว คาดว่าพวกตำหนักสวรรค์คงไม่ถึงขั้นบุกมาฆ่าข้าในวัดพระกษิติครรภ์หรอก”


นี่มันหลักการอะไรกัน? โค่วเจิงถามอย่างไม่เข้าใจ “ทำไมวัดพระกษิติครรภ์ต้องให้เจ้าพักอยู่ชั่วคราวด้วยล่ะ?”


“แค่กๆ พระอรหันต์ตัวลี่จะมาล้างแค้นข้าไง ถ้าไม่ระวังถล่มจวนแม่ทัพภาคข้าพังล่ะ” เหมียวอี้ไอนิดหน่อยๆ แล้วเตือนให้รู้เล็กน้อย ตราบใดที่อีกฝ่ายไม่ใช่คนโง่ ก็คงเข้าใจว่าหมายความว่าอะไร


ตอนแรกโค่วเจิงงงนิดหน่อย จากนั้นก็เริ่มทำสีหน้าแปลกๆ เขาเข้าใจแล้ว ว่าพระอรหันต์ตัวลี่ย่อมไม่ถ่อมาโจมตีจวนแม่ทัพภาคหรอก ทำแบบนี้เพราะต้องการจะยัดหลักฐานปลอมให้พระอรหันต์ตัวลี่ คนฝั่งแดนพุทธะก่อความวุ่นวาย แล้วแดนพุทธะก็จับตัวคนไม่ได้ แดนพุทธะเล่นงานจนหนิวโหย่วเต๋อไม่มีที่อยู่ในตลาดผี การจะไปพักที่วัดพระกษิติครรภ์ชั่วคราวก็นับว่าสมเหตุสมผล ไม่ใช่เรื่องดีจริงๆ ที่ฝั่งแดนพุทธะจะไล่หนิวโหย่วเต๋อออกจากวัดพระกษิติครรภ์


ก่อนหน้านี้คนของตระกูลโค่วครุ่นคิดไม่หยุดว่าหนิวโหย่วเต๋อขุดจวนแม่ทัพภาคหมายความว่าอะไร ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ สงสัยจะเป็นเพราะเหตุผลพิลึกนี้


โค่วเจิงมองเหมียวอี้ศีรษะจดเท้า นับว่ายอมแพ้เขาแล้ว เพื่อที่จะปกป้องชีวิตตัวเอง ก็ทำทุกอย่างโดยไม่สนวิธีการเลยจริงๆ เริ่มตั้งแต่ที่ตลาดสวรรค์แล้ว ก่อเรื่องตั้งมากมายแต่รอดชีวิตมาถึงวันนี้ได้ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล


หารู้ไม่ว่านี่ไม่ใช่ความคิดของเหมียวอี้ แต่เป็นความคิดของหยางชิ่งต่างหาก ตอนแรกที่หยางชิ่งเดาออกว่าตระกูลโค่วกำลังจะทิ้งเหมียวอี้ ก็เริ่มกังวลความปลอดภัยของเหมียวอี้แล้ว หยางชิ่งจึงเตือนเขาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ว่าตลาดผียังมีวัดพระกษิติครรภ์ที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ อย่าให้วัดพระกษิติครรภ์พ้นความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้ จึงวางแผนนิดหน่อย ให้เหมียวอี้ไปหลีกภัยที่วัดพระกษิติครรภ์


ส่วนเหมียวอี้พอได้รับคำเตือนจากหยางชิ่ง เวลาว่างๆ ก็ไปที่วัดพระกษิติครรภ์ทันที ไปถามทุกสามวันสองวันว่าจับพระอรหันต์ตัวลี่ได้หรือยัง เตรียมจะเข้าไปพักในวัดพระกษิติครรภ์แล้ว ส่วนตอนหลังที่มีสำนักหลัวช่าเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความตั้งใจของเหมียวอี้เช่นกัน เป็นอย่างที่หยางชิ่งบอก ฝ่ายที่ไม่น่ากลัวที่สุดก็คือสำนักหลัวช่า


ตอนนี้หลังจากอธิบายให้โค่วเจิงฟัง กลับทำให้เหมียวอี้ปวดประสาท ถ้าตระกูลโค่วสามารถเปลี่ยนความคิดของพวกขุนนางใหญ่ตำหนักสวรรค์ได้จริงๆ เช่นนั้นการที่เขาขุดจวนแม่ทัพภาคจนกลายเป็นแบบนี้ก็เท่ากับทุ่มหินใส่เท้าตัวเอง อยู่ดีๆ ใครจะอยากไปอาศัยอยู่ใต้ชายตาคนอื่นให้วัดพระกษิติครรภ์จับตาดูล่ะ


สรุปก็คือโค่วเจิงแอบทอดถอนใจ มิน่าล่ะท่านพ่อถึงโปรดปรานและให้ความสำคัญกับเจ้าเวรนี่มาตลอด ถ้าไม่ใช่เพราะหมดทางเลือกก็คงทำใจทอดทิ้งไม่ลง นึกไม่ถึงว่าจะคิดหาวิธีการประหลาดในการปกป้องตัวเองอย่างเช่นรื้อจวนแม่ทัพภาคแล้วไปอยู่วัดพระกษิติครรภ์ได้ ลูกหลานตระกูลโค่วเน้นทฤษฎีแต่ไม่ปฏิบัติจริง มีบางจุดที่สู้เขาไม่ได้


“เจ้าจัดการให้ดีแล้วกัน” โค่วเจิงถอนหายใจ แล้วหันตัวเดินออกไป


ทางนี้เหมียวอี้เพิ่งจะส่งโค่วเจิงไป แล้วเรียกหยางเจาชิงเข้ามาปรึกษางาน เมื่อครู่นี้เพิ่งคุยกับโค่วเจิงเรื่องวัดพระกษิติครรภ์อยู่เลย ตอนนี้วัดพระกษิติครรภ์ส่งข่าวมาแล้ว


พระอาจารย์จี้คงจากวัดพระกษิติครรภ์ส่งข่าวนี้มา บอกว่าได้เบาะแสเรื่องพระอรหันต์ตัวลี่แล้ว จึงเชิญเหมียวอี้ให้ไปที่วัดสักหน่อย หรือจะให้เขามาหาก็ได้


เมื่อเห็นเหมียวอี้ถือระฆังดาราขมวดคิ้ว หยางเจาชิงจึงถามหยั่งเชิง “นายท่านเป็นอะไรไปขอรับ?”


เหมียวอี้แสยะยิ้ม ได้เบาะแสเรื่องพระอรหันต์ตัวลี่งั้นเหรอ? เขาเดาว่าไม่มีเบาะแสเรื่องพระอรหันต์ตัวลี่หรอก แต่คนของสำนักหลัวช่าจะคิดบัญชีกับเขามากกว่า ถ้าเขาไม่ไป จี้คงก็ต้องมา แต่ใครจะไปรู้ว่าจี้คงจะแอบพกใครมาด้วย


เหมียวอี้ใช้ระฆังดาราตอบกลับ : พระอาจารย์รอสักครู่ กำลังจะถึงแล้ว


พอเก็บระฆังดารา เขาก็กำชับหยางเจาชิงอีก “ข้าไปวัดพระกษิติครรภ์ครั้งนี้ ถ้าไม่ได้กลับมาภายในครึ่งวัน เจ้าก็ติดต่อฮูหยินทันที ให้ฮูหยินติดต่อตระกูลโค่ว พร้อมทั้งบอกตึกศาลาสัตยพรตด้วย แล้วกระพือข่าวที่ตลาดผีด้วย บอกว่าคนของสำนักหลัวช่าจับตัวข้าไป”


หยางเจาชิงตกใจมาก “นายท่านจะกระโจนเข้าไปเสี่ยงอันตรายง่ายๆ ไม่ได้ขอรับ พวกเราเพิ่งจะฆ่าคนของสำนักหลัวช่าไป ยังไม่รู้เลยว่าพวกเขาจะทำเรื่องอะไรไม่ดีกับนายท่าน”


เหมียวอี้จึงบอกว่า “อาศัยพลังของอีกฝ่าย ถ้าคิดจะมาหาข้า ข้าก็หลบไม่พ้นหรอก เจ้าไม่ต้องห่วง ไม่ตายหรอก”


“หากนายท่านดึงดันจะไป ก็พาคนไปด้วยสักหน่อยก็ได้” หยางเจาชิงกล่าว


“ถ้าอีกฝ่ายมีเจตนาไม่ซื่อจริงๆ เกรงว่าต่อให้เอาคนทั้งจวนแม่ทัพภาคไปก็ไม่มีประโยชน์ ไม่ต้องพูดแล้ว ข้าไปคนเดียวก็พอ” เหมียวอี้บอก


ห้ามไม่ไหวแล้ว หลังจากตามไปส่งเขาตรงปากทางลับ หยางเจาชิงก็ว้าวุ่นใจมาก เขาพบว่าช่วงนี้นายท่านเปลี่ยนไปนิดหน่อย เวลาจะทำอะไรไม่ควบคุมตัวเองเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ดูอาจหาญขึ้นมาก ลักษณะตอนอยู่ที่พิภพเล็กปีแรกๆ กลับมาแล้ว แต่ก็ไม่หัดดูเสียบ้างว่ากำลังสู้อยู่กับใคร


หลังจากลังเลอยู่หลายครั้ง เขาก็ใช้ระฆังดาราติดต่อไปหาหยางชิ่ง หวังว่าหยางชิ่งจะเกลี้ยกล่อมเหมียวอี้ได้


ทว่าหบังจากหยางชิ่งถามอะไรเล็กน้อย ก็ตอบว่า : วางใจเถอะ อาศัยความสามารถของนายท่าน รับมือไหวอยู่แล้ว ไม่เกิดเรื่องอะไรหรอก ทำตามที่นายท่านั่งก็พอ


หยางเจาชิงได้ยินแล้วอึ้งมาก แม้แต่คนที่ระมัดระวังตัวมาตลอดอย่างหยางชิ่งยังบอกว่าไม่เป็นอะไร เขาจึงวางใจแล้วไม่น้อย


มาถึงวัดพระกษิติครรภ์ผ่านเส้นทางน้ำ ตอนที่เหมียวอี้มาโผล่ตรงประตู พระอาจารย์จี้คงก็โผล่หน้าออกมาจากด้านหลังประตูแล้วเช่นกัน ทั้งสองพบหน้ากันแล้วดีใจเหมือนได้พบสหาย พอเห็นเหมียวอี้ต่างจากปกติ ไม่น่าเชื่อว่าจะไร้ผู้ติดตาม พระอาจารย์จี้คงก็แอบแปลกใจนิดหน่อย


ทั้งสองเดินเข้ามาข้างใน แล้วเหมียวอี้ก็ถามตรงๆ เลยว่า “ได้เบาะแสเรื่องพระอรหันต์ตัวลี่แล้วจริงเหรอ?”


พระอาจารย์จี้คงนำเขาขึ้นไปชั้นบนอีก แล้วยื่นมือเชิญ “มีคนสามารถให้คำตอบนายท่านได้”


“เล่นลูกไม้นี้กับข้าอีกแล้ว” เหมียวอี้ทำเสียงฮึดฮัด แล้วหันตัวไปทันที แต่ข้างหลังกลับมีคนชุดดำโผล่มาสองคน ปิดบังใบหน้าและศีรษะ มาข้างตรงหน้าเขาเอาไว้


“สงสัยข้าจะไม่ขึ้นไปคงไม่ได้แล้ว” เหมียวอี้มองซ้ายมองขวา แล้วสายตาก็ไปหยุดอยู่บนใบหน้าที่แสดงอาการลำบากใจของพระอาจารย์จี้คง “พระอาจารย์ ท่านทำกับข้าอย่างนี้บ่อยๆ ไม่รู้สึกผิดต่อข้าบ้างเหรอ? ข้าคบกับท่านด้วยความจริงใจ แต่ท่านกลับทำแต่เรื่องไร้ยางอายเหมือนสุนัขกับแมลงวัน ท่านทำแบบนี้จะไม่มีเพื่อนคบนะ”


“อามิตาพุทธ” พระอาจารย์จี้คงสีหน้าขมขื่น “เหตุใดนายท่านต้องทำให้ข้าลำบากใจ คนข้างบนบอกว่าในเมื่อนายท่านตอบตกลงแล้ว ก็แสดงว่ารู้ว่าพระอรหันต์ตัวลี่เป็นเพียงข้ออ้าง จะรู้ว่ามีอักคนอยากพบท่าน”


เหมียวอี้จึงบอกว่า “ถ้าจะให้ข้าขึ้นไปก็ได้ ถ้าท่านไม่อยากทำลายมิตรภาพ ก็รับปากข้าเงื่อนไหขหนึ่งสิ ไม่อย่างนั้นสักวันหนึ่งข้าจะมารื้อวัดพระกษิติครรภ์ของท่าน อย่าคิดว่าข้าล้อเล่นเชียวนะ ข้าพูดจริงทำจริง”


พระอาจารย์จี้คงอึ้งทันที แล้วถามหยั่งเชิงว่า “อาตมามีความสามารถจำกัด ไม่ทราบว่ามีเงื่อนไขอะไร?”


เหมียวอี้เหลียวซ้ายแลขวา “ข้าอยู่ที่จวนแม่ทัพภาคจนเบื่อแล้ว รู้สึกว่าสภาพแวดล้อมที่นี่ไม่เลวเลย ไม่ทราบว่าวัดพระกษิติครรภ์กับจวนแม่ทัพภาคแลกอาณาเขตกันดีมั้ย? จวนแม่ทัพภาคย้ายมาที่วัดพระกษิติครรภ์ แล้วพวกท่านก็ย้ายไปจวนแม่ทัพภาค ถึงอย่างไรทั้งสองฝ่ายก็ใหญ่พอๆ กัน เป็นยังไง?”


“หา!” จี้คงตกตะลึงอ้าปากค้าง ยังนึกว่าเงื่อนไขอะไรเสียอีก ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเรื่องนี้? จากนั้นก็ตอบอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ไม่ใช่ว่าอาตมาไม่ยอมตอบตกลง เพียงแต่เรื่องบางเรื่องอาตมาไม่มีอำนาจตัดสินใจ!”


เหมียวอี้จึงบุ้ยปากไปด้านบน “แล้วคนข้างบนตัดสินใจได้หรือเปล่า?”


จี้คงประนมมือ “อามิตาพุทธ อาตมาไม่ทราบ นายท่านลองไปถามเอาเองก็ได้”


“วันนี้ข้านับว่าเข้าใจแล้ว ว่าคนหัวโล้นอย่างเจ้าไม่ใช่คนดีอะไร” เหมียวอี้ชี้ศีรษะล้านของเขา แล้วสะบัดแขนเสื้อเดินขึ้นบันไดไปเอง


จี้คงส่ายหน้ายิ้มเจื่อน แล้วเดินตามหลังไป คนชุดดำสองคนนั้นหายไปอีกแล้ว


ยังเป็นประตูพระอุโบสถบานเดิม เหมียวอี้เหลือบมองจี้คงด้วยสายตาเย็นเยียบแวบหนึ่ง จี้คงแสร้งทำเป็นไม่เห็น ผลักประตูบานใหญ่ออกแล้ว


ไม่เหมือนกับครั้งก่อน ตอนนี้แสงไฟข้างในสว่างทั่วถึง สตรีวัยกลางคนหน้าตางามหยดย้อยแต่งตัวโป๊เปลือยยืนอยู่ตรงกลาง มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นคนของสำนักหลัวช่า กำลังสบตากับเหมียวอี้ที่อยู่ข้างนอกอย่างเย็นชา


เหมียวอี้เอียงหน้ามองจี้คงด้วยแววตาซักถาม จี้คงที่ทำหน้าที่เรียบร้อยแล้วก้มหน้าเล็กน้อยขณะจากไป บอกไว้ว่ามีคนกำลังอยากพบเจ้า


เหมือนกับครั้งก่อน พอเหมียวอี้เดินเข้ามาในตำหนัก ประตูสองบานใหญ่ข้างหลังก็ปิดทันที


พอยืนไปถึงผู้หญิงคนนั้นก็หยุดอยู่ตรงหน้านาง เหมียวอี้มองศีรษะจดเท้าพร้อมถามว่า “ไม่ทราบว่าเป็นท่านเทพจากไหน เรียกหนิวมาด้วยธุระอะไร?”


ใครจะคิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะไม่พูดอะไร หันตัวลอยจากไป ไปแล้ว


เหมียวอี้มองไปรอบๆ ในตำหนักว่างเปล่า มีเพียงเขาคนเดียว ขระกำลังแปลกใจว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไร จู่ๆ ก็สัมผัสได้ว่าข้างหลังมีคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์เบาบาง พอหันขวับกลับไปก็ตกใจทันที สาวน้อยที่สวมชุดกระโปรงสีขาวดุจหิมะคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา หน้าตาสวยบริสุทธิ์ไร้ที่เปรียบ แต่เมื่อนางปรากฎอยู่ในสายตา ก็ทำให้คนอดไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกเอ็นดู เพียงแต่แววตาที่ล้ำลึกคู่นั้นกำลังจ้องเขาอย่างเงียบงัน  ไม่รู้ว่าโผล่จากไหนมาปรากฏตัวอยู่ข้างหลังเขา


เมื่อเห็นการแต่งตัวของอีกฝ่าย ก็ดูไม่เหมือนคนของสำนักหลัวช่า เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะถามว่า “เจ้าเป็นใคร?”


“เจ้าเองเหรอหนิวโหย่วเต๋อ?” สาวน้อยถามด้วยน้ำเสียงเย็นสบาย


เหมียวอี้ยิ้ม “ของแท้แน่นอน แม่นาง…”


สาวน้อยไม่รอให้เขาพูดจบ พูดตัดบทอีกแล้วว่า “ได้ยินว่าเจ้ามาคนเดียว แม้แต่ผู้ติดตามก็ไม่พามาสักคน”


เหมียวอี้ตอบกลั้วหัวเราะ “เจ้ากับข้าไม่รู้จักกัน เป็นห่วงข้ามากเกินไปหรือเปล่า?”


“งั้นเหรอ?” สาวน้อยแสยะยิ้ม เงาฝ่ามือแวบผ่าน กดบ่าเหมียวอี้เอาไว้ แล้วไม่พูดพร่ำทำเพลง ค้นตัวเหมียวอี้เสียเลย


เหมียวอี้ตกใจ เพราะอีกฝ่ายลงมือเร็วมาก เร็วจนเขายังไม่ทันตอบสนองอะไรด้วยซ้ำ ชั่วพริบตาเดียวก็ถูกอีกฝ่ายควบคุมจนกระดิกกระเดี้ยไม่ได้แล้ว ได้แต่มองดูอีกฝ่ายค้นร่างกายตัวเอง โชคดีที่เขาเดาได้ถึงความไม่ชอบมาพากล จึงนำของที่ไม่ควรพกไว้บนตัววางไว้ที่อื่นก่อนล่วงหน้าแล้ว

 

 

 


บทที่ 1693 อวี้หลัวช่ามาด้วยตัวเอง

 

แต่ไม่นานก็พบว่าอีกฝ่ายเหมือนไม่ได้ต้องการค้นหาอะไรจากร่างกายตัวเอง นางไม่ได้ตั้งใจพลิกดูทรัพย์สินบนร่างกายตนสักเท่าไรเลย เพียงรีบร่ายอิทธิฤทธิ์กวาดดูในที่เก็บของบางชิ้นของเขารอบเดียวเท่านั้น


หลังจากตรวจสอบเล็กน้อย สาวน้อยก็ถือโอกาสผลักหนึ่งที ผลักจนเหมียวอี้โซเซไปข้างหลังหลายก้าวกว่าจะหยุด


รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายใช้พลังอิทธิฤทธิ์เรียบง่ายหยอกล้อตนราวกับเป็นเด็ก เหมียวอี้จึงจ้องตรงหว่างคิ้วของอีกฝ่าย แต่ตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่ได้เผยสัญลักษณ์พลังอิทธิฤทธิ์ตรงหว่างคิ้วเลย เห็นได้ชัดว่าปิดบังไว้แล้ว เขาจึงถามอย่างระแวงว่า “เจ้าเป็นใคร?”


สาวน้อยพ่นเสียงทางจมูก ทว่าตอนที่กวาดตามองเหมียวอี้ ในดวงตานางฉายแววประหลาดใจนิดหน่อย “ไม่ได้พาผู้ช่วยมาสักคนเลยจริงๆ ด้วย พอจะมีความกล้าหาญอยู่บ้าง มิน่าล่ะถึงกล้าก่อเรื่องในพิธีรับสนมของประมุขชิง”


“เจ้าเป็นใคร?” คำถามนี้เหมียวอี้ถามเป็นครั้งที่สามแล้ว


“ถ้าบริสุทธิ์ใจ ก็ไม่ต้องกลัวคนมาหาเรื่อง เจ้าอย่าบอกข้าเชียวนะว่าเจ้าไม่รู้ว่าข้ามาคิดบัญชีกับเจ้า?” สาวน้อยถาม


“เจ้าพูดไม่ผิด ถ้าบริสุทธิ์ใจ ก็ไม่ต้องกลัวคนมาหาเรื่อง ดังนั้นข้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใคร?” เหมียวอี้ถาม


สาวน้อยเงียบไปครู่หนึ่ง จ้องเหมียวอี้แล้วถามช้าๆ “สาวกในใต้หล้าเรียกข้าว่าพุทธะหน้าหยก เจ้าว่าข้าเป็นใครล่ะ?”


ไม่ผิดหรอก ผู้ที่มาก็คือพุทธะหน้าหยก เจ้าสำนักของสำนักหลัวช่าคนปัจจุบัน ก่อนมาได้เตรียมโต้เถียงกับตำหนักสวรรค์ไว้แล้ว แต่ก่อนหน้านั้นนางตัดสินใจจะง้างปากเหมียวอี้เพื่อถามหาสิ่งที่นางต้องการก่อน ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดเหตุเปลี่ยนแปลงขึ้นในตอนหลัง ไม่ว่าใครก็พูดได้ไม่ชัดเจน ไม่ว่าจะอย่างไรนางก็ไม่มีวันปล่อยของสิ่งนั้นไปแน่ แต่สิ่งที่นางนึกไม่ถึงก็คือ ไม่น่าเชื่อว่าฝั่งสี่อ๋องสวรรค์จะชักช้าไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย แต่กลับได้ข่าวมาว่า ประมุขชิงกับสี่อ๋องสวรรค์ล้วนกำลังพัวพันอยู่กับการระดมทัพใหญ่ วางท่าเหมือนจะเปิดศึกกัน ทำเอานางประหลาดใจหาคำตอบไม่ได้


เหมียวอี้ตกใจมาก “เจ้าก็คืออวี้หลัวช่าเหรอ?” ในดวงตาเขาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ รีบมองประเมินอีกฝ่ายศีรษะจดเท้า ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็รู้สึกว่าไม่ถูก นางไม่ใช่พวกนักพรตปีศาจเสียหน่อย ด้วยวรยุทธ์ของพุทธะหน้าหยกซึ่งมีอยู่น้อยมากในใต้หล้า ต่อให้วรยุทธ์ของนางจะก้าวหน้าเร็วกว่านี้ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะรักษาความเป็นสาวน้อยวัยเยาว์ไว้ได้ วรยุทธ์สูงขึ้นก็มีแต่จะยืดอายุความชราเท่านั้น ไม่มีทางที่จะควบคุมการเติบโตพื้นฐานของคนได้


ทว่ามีอยู่จุดหนึ่งที่ทำให้เข้าตระหนักได้เร็วมาก วรยุทธ์ของอีกฝ่ายที่ลงมือกับตนเมื่อครู่นี้สูงจนน่ากลัว ไม่ใช่พลังที่สาวน้อยคนหนึ่งจะมีได้เลย อย่าบอกนะว่าพุทธะหน้าหยกมาด้วยตัวเองจริงๆ? ถ้าคนคนนี้เป็นพุทธะหน้าหยกจริง ก็หมายความว่าพุทธะหน้าหยกมาหาถึงที่ด้วยตัวเองแล้ว เช่นนั้นเมื่อครู่นี้ทำไมจี้คงถึงบอกใบ้ให้สตรีวัยกลางคนงามเย้ายวนผู้นั้นมาหาตน ตัวเองมาที่นี่ก็จะได้เจอกันแล้ว จี้คงไม่มีเหตุผลที่จะหลอกตน


ชั่วพริบตาเดียวเขาก็เข้าใจอีกแล้ว ว่าจี้คงไม่รู้เลยว่าพุทธะหน้าหยกมาที่นี่ พุทธะหน้าหยกมีฐานะไม่ธรรมดา ถ้าถูกเปิดโปงว่ามาที่นี่ก็จะไม่ใช่เรื่องเล็ก นางจงใจปิดบังจี้คง สตรีวัยกลางคนสวยหยาดเยิ้มคนก่อนหน้านี้มาเพื่อบังหน้าเท่านั้นเอง


“เจ้าจะเอาอะไรมาพิสูจน์ว่าเจ้าคือพุทธะหน้าหยก?” เหมียวอี้ไม่กล้าเชื่อ


“ข้าจำเป็นต้องพิสูจน์ให้เจ้ารู้ด้วยเหรอ?” อวี้หลัวช่าพูดเหยียด แล้วจู่ๆ สายตาก็เปลี่ยนเป็นมีพลังอำนาจน่าเกรงขาม “บอกมา! ของที่สำนักหนานอู๋อยู่ที่ไหน?”


“ของสำนักหนานอู๋อะไร?” เหมียวอี้แกล้งโง่


พรึ่บ! ชั่วพริบตาเดียวอวี้หลัวช่าก็มาอยู่ตรงหน้าเหมียวอี้แล้ว เหมียวอี้ตกใจจนถอยหลัง อีกฝ่ายจีบนิ้วเป็นเงามายาเหมือนดอกกล้วยไม้ พอชี้มาที่หัวใจเขา พลังกลุ่มหนึ่งก็ทะลุผ่านหน้าอกของเขา ราวกับมีคมมีดเด้งมาที่หัวใจ “เจ้าจงใจปล่อยข่าวสำนักหนานอู๋เพื่อล่อให้สำนักหลัวช่าไปติดกับดัก ยังหล้ามาแกล้งโง่อีกเหรอ?”


เหมียวอี้ไม่กล้าขยับตัว เหงื่อกาฬเริ่มไหลแล้ว ทุกครั้งที่ใจเต้นราวกับเต้นไปชนคมมีด ถ้าขยับซี้ซั้วก็จะอันตรายถึงชีวิต น่าตกใจทีเดียว ทว่ายังคงปากแข็ง  “ในเมื่อข้ากล้ามาแล้ว ก็ย่อมรู้ถึงผลที่จะตามมา เตรียมตัวไว้ล่วงหน้าแล้ว ต่อให้เจ้าเป็นพุทธะหน้าหยกแล้วยังไงล่ะ ถ้าข้ากลับไปไม่ได้ สำนักหลัวช่าของเจ้าก็เลิกคิดไปได้เลยว่าจะรอด”


“อ้อ! งั้นเหรอ? ตราบใดที่สามารถได้ของสิ่งนั้นมา ข้าจะไม่เป็นพุทธะหน้าหยกแล้วยังไงล่ะ?” พออวี้หลัวช่าบิดนิ้วที่จ่ออยู่บนหน้าอก ชั่วพริบตาเดียวในอกเหมียวอี้ก็ราวกับถูกพลังมีดกระจายครอบคลุมทั่วหัวใจ แล้วก็หดลงกะทันหัน เหมือนมีมือข้างหนึ่งกุมหัวใจเหมียวอี้ไว้แล้วออกแรงบีบ ทำให้เหมียวอี้เจ็บปวดจนเหงื่อกาฬไหลทันที


สิ่งที่เรียกว่าเจ็บปวดเหมือนดโดนบีบหัวใจ วันนี้นับว่าเหมียวอี้ได้รับบทเรียนแล้ว


“หยุดนะ!” เหมียวอี้กัดฟันร้องขอให้นางหยุด “เจ้าปล่อยข้าก่อน มีอะไรคุยกันดีๆ ไม่ได้เหรอ?” ไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนที่ยอมแพ้ง่าย แต่การถูกทรมานกายเนื้อแบบนี้ไม่คุ้มค่า มิหนำซ้ำยังไม่ใช่กายเนื้อ แต่เป็นหัวใจ!


“ตอนนี้เจ้ายอมพูดดีๆ แล้วเหรอ?” ใบหน้าที่ไร้อารมณ์ดุจหยกสลักของอวี้หลัวช่าฉายแววถากถาง


“อืม!” เหมียวอี้พยักหน้า


พออวี้หลัวช่างอนิ้ว พลังนั้นก็ถูกเก็บไว้ แล้วก็ถือโอกาสใช้ฝ่ามือผลักเหมียวอี้จนโซเซอีก “ของอยู่ที่ไหน?”


แรงกดดันมหาศาลในใจหายไปแล้ว หลังจากเหมียวอี้ที่โซเซถอยหลังติดกันหลายครั้งหยุดยืนอย่างมั่นคงได้ ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ที่จริงข้าไม่รู้ว่าของของสำนักหนานอู๋ที่เจ้าบอกคืออะไร”


อวี้หลัวช่าเดินเข้ามาประชิดทันที “ช่างน่าขัน ถ้าเจ้าไม่รู้ว่าของของสำนักหนานอู๋คืออะไร แล้วจะกล้าวางกับดักได้ยังไง? ถ้าเจ้าไม่รู้ว่าของนั้นสำคัญยังไง เจ้าอาศัยอะไรมาตัดสินว่าข้าจะติดกับดักใหญ่ขนาดนั้นได้? คิดว่าข้าเป็นเด็กสามขวบเหรอ? ดูท่าแล้วถ้าไม่ทำให้เข้าทรมานสักหน่อย เจ้าคงจะไม่ซื่อสัตย์สินะ”


พอเห็นนางกำลังจะเล่นบทโหด เหมียวอี้ก็ยกมือห้าม ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ก็แค่สมบัติลับที่สำนักหนานอู๋ทิ้งไว้เอง”


สาวน้อยอวี้หลัวช่าเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้ม “ไม่ผิด! สงสัยข้าจะตัดสินไม่ผิด เจ้ารู้จริงๆ ด้วย” นางแอบดีใจอย่างบ้าคลั่ง สงสัยสมบัติลับในตำนานจะมีอยู่จริง ไม่อย่างนั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่หนิวโหย่วเต๋อจะพูดคำว่า ‘สมบัติลับ’ ออกมา


เหมียวอี้ส่ายหน้า เอามือนวดตรงหัวใจที่โดนนิ้วทิ่มเมื่อครู่นี้ แล้วเดินก้าวยาวไปข้างหน้า เดินอ้อมผ่านตัวอวี้หลัวช่าไป เดินตรงไปหาแท่นบันไดใต้พระพุทธรูปสูงใหญ่ตรงหน้า


อวี้หลัวช่าหันกลับมามอง ไม่รู้ว่าเขากำลังเล่นลูกไม้อะไร


ต่อหน้านาง เหมียวอี้ไม่ถึงขั้นเล่นลูกไม้อะไรหรอก แต่กลับอาศัยโอกาสนี้รีบครุ่นคิดหาวิธีการรับมือ


เขาพบว่าครั้งนี้หยางชิ่งวางแผนพลาดอีกครั้งแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าอีกฝ่ายถึงขนาดยอมเลิกเป็นพุทธะหน้าหยกเพื่อที่ซ่อนสมบัตินั่น สถานการณ์โดยรวมระหว่างแดนพุทธกับตำหนักสวรรค์อะไรนั่นก็ใช้ไม่ได้ผลกับอีกฝ่ายเลย แต่พอคิดไปคิดมา ก็จะโทษหยางชิ่งไม่ได้เช่นกัน เพราะการวิเคราะห์ของหยางชิ่งนั้นไม่ได้ผิด ที่สำคัญคือมีเรื่องบางอย่างที่หยางชิ่งไม่รู้เลย ยกตัวอย่างเช่นคลังสมบัติที่สำนักหนานอู๋ทิ้งไว้ หยางชิ่งขาดข้อมูลไงล่ะ พอเกิดเรื่องขึ้นแล้วก็มีแต่ต้องโทษที่ตัวเองปิดบังหยางชิ่ง


พอพูดถึงสมบัติลับ เหมียวอี้ก็ค้นพบเช่นกันว่าเหมือนตัวเองจะคาดการณ์อะไรผิดไป มูลค่าของสมบัติลับนั่นสูงจนน่าตกใจ ควรค่าที่จะให้พุทธะหน้าหยกยอมแลกจริงๆ แต่จะว่าไปแล้ว คนที่อยู่ในระดับพุทธะหน้าหยก เหมือนว่าเงินทองจะไม่สำคัญเท่าไรแล้ว ตราบใดที่ครองตำแหน่งพุทธะนั่น อีกฝ่ายก็น่าจะไม่ขาดทรัพยากรฝึกตน ตอนนี้อีกฝ่ายบอกแล้วว่าถึงขั้นยอมเลิกเป็นพุทธะหน้าหยกเพื่อแลกกับสมบัติลับนั่น จะมีสิ่งใดที่สำคัญกว่าตำแหน่งพุทธะหน้าหยกล่ะ? ถ้ามองสูงขึ้นไปกว่านั้นก็มีแต่ตำแหน่งประมุขพุทธะแล้ว หรือว่าสมบัติลับนั่นยังซ่อนอะไรที่สามารถทำให้แทนที่ประมุขพุทธะได้อีก?


เหมียวอี้คิดไปคิดมาแล้วรู้สึกตกใจ พอนึกถึงคำพูดที่ผู้ซ่อนสมบัติทิ้งไว้ในคลังสมบัติ ก็พบว่าลึกลับซับซ้อนจริงๆ


เหมียวอี้เดินมาตรงหน้าแท่นบันไดแล้วเงยหน้ามองรูปปั้นประมุขพุทธะ จากนั้นหันตัวช้าๆ หย่อนก้นนั่งบนแท่นบันได แล้วตบแท่นบันไดที่อยู่ข้างๆ พร้อมบอกว่า “มีเรื่องอะไรค่อยๆ นั่งลงคุยกันก็ได้”


อวี้หลัวช่าไม่สนใจจะไปนั่งเสมอกับเขา นางเดินไปตรงหน้าเขา แล้วมองต่ำพร้อมบอกว่า “บอกมาแต่โดยดีเถอะ”


เหมียวอี้เงยหน้ามองนาง แล้วถามหยั่งเชิงว่า “ในสมบัติลับนั่นซ่อนของอะไรไว้กันแน่?”


อวี้หลัวช่ารู้สึกเหมือนโดนปั่นหัว ชั่วพริบตาเดียวเผยสีหน้าเดือดดาล


เหมียวอี้รีบอธิบาย “ข้ารู้ว่ามีสมบัติลับอยู่จริง แต่ไม่รู้ว่าในสมบัติลับมีอะไรกันแน่”


อวี้หลัวช่าสีหน้าอ่อนลง “เรื่องนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ เจ้าแค่บอกมาก็พอว่าจุดซ่อนสมบัติอยู่ตรงไหน”


มารดาเจ้าเถอะ ดูจากท่าทางของเจ้าแล้ว ถ้าข้าบอกเจ้าไป ข้าจะยังมีชีวิตรอดอยู่เหรอ? เหมียวอี้พึมพำในใจ แต่ภายนอกกลับยิ้มเจื่อน “ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าที่ซ่อนสมบัติอยู่ไหน…” เมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังจะเกิดโทสะอีก ก็รีบพูดเสริมว่า “แต่ข้าพบแผนที่ซ่อนสมบัติฉบับหนึ่งจากซากสำนักหนานอู๋ เพียงแต่จนกระทั่งตอนนี้ ข้ายังไม่มีโอกาสไปที่จุดซ่อนสมบัติก็เท่านั้นเอง”


“เจ้าพบแผนที่ซ่อนสมบัติจากซากสำนักหนานอู๋เหรอ?” อวี้หลัวช่าหรี่ดวงตางาม ถามเหมือนเคลือบแคลงว่า “เจ้ารู้ได้ยังไงว่าซากสำนักหนานอู๋มีแผนที่ซ่อนสมบัติ?”


เหมียวอี้ถอนหายใจ “ข้าค้นพบจากของที่อสุราอัคนีอาจารย์ข้าทิ้งไว้ให้ ที่จริงแผนที่ซ่อนสมบัติของสำนักหนานอู๋มีสองส่วน ส่วนหนึ่งคือสูตรหาสมบัติ อีกสูตรหนึ่งคือแผนที่ซ่อนสมบัติ สองส่วนนี้ขาดไม่ได้ ถ้ามีแค่สูตรแผนที่ซ่อนสมบัติอย่างเดียวก็ไม่มีประโยชน์ ถ้ามีแค่แผนที่ซ่อนสมบัติอย่างเดียวโดยไม่มีสูตรก็ไม่มีประโยชน์เช่นกัน จะต้องมีสองอย่างนี้ถึงจะหาจุดซ่อนสมบัติพบ ในขอที่อสุราอัคนีทิ้งไว้ให้มีสูตรนี้ ทำเครื่องหมายไว้ว่าในซากสำนักหนานอู๋มีที่ซ่อนสมบัติ ครั้งก่อนที่งานวันเกิดพระโพธิสัตว์หลันเย่ ข้ามีโอกาสไปที่ดาวพิษ ข้าก็เลยถือโอกาสนำแผนที่ซ่อนสมบัติออกมา เรื่องมันก็ง่ายๆ แค่นี้”


ฟังดูแล้วรู้สึกไม่ธรรมดา แบบนี้สิถึงจะสอดคล้องกับตำแหน่งของสมบัตินั้น ไม่อย่างนั้นทำไมแม้แต่พระปีศาจหนานโปก็ยังหาไม่เจอ? อีกทั้งตอนที่อสุราอัคนีวางอำนาจบาตรใหญ่ในใต้หล้า ก็มีโอกาสที่จะได้สิ่งนี้ไปจริงๆ! อวี้หลัวช่าฟังจนแววตาวูบไหวร้อนรน นางยื่นมือออกมา “ส่งแผนที่ซ่อนสมบัติมาให้ข้า?”


เหมียวอี้ก็ให้ความร่วมมือมากจริงๆ เพียงแต่ภายนอกทำท่าลังเลนิดหน่อย แล้วก็โยนลูกกลมโลหะสีแดงให้นาง


บนตัวเขาไม่มีแผนที่ซ่อนสมบัติ


แต่เขาพกแผนที่ไปสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปติดตัวไว้ตลอดเวลา


ที่สำคัญคือของสิ่งนี้ ต่อให้คนอื่นเห็นแต่ก็อ่านไม่เข้าใจ ดังนั้นพกติดตัวเอาไว้ก็ไม่เป็นไร เพราะแผนที่ดาวบนนั้นไม่ใช่แผนที่ดาวแบบปกติ ครั้งแรกที่พวกอวิ๋นจือชิวได้แผนที่ประตูดวงดาวทางเข้าแดนอเวจีไป ก็มองไม่เข้าใจมาตลอด ถ้าไม่ใช่เพราะพวกอวิ๋นอ้าวเทียนปล้นอยู่ข้างนอกจนเผยประตูดวงดาวอีกแห่งมากำหนดจุดไว้ชัดเจน จนได้วิธีการทำความเข้าใจแผนที่ดาว ก็เกรงว่าเขาคงจะไม่มีวันรู้วิธีคลายปริศนาแผนที่เลยตลอดไป


เขาเองก็รู้สึกยอมแพ้ผู้ซ่อนสมบัติคนนั้นแล้วจริงๆ แผนที่ที่ทิ้งไว้ไม่มีฉบับไหนเลยที่ใช้วิธีการหาแบบปกติ ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ ขอเพียงไม่ใช่คนที่ผู้ซ่อนสมบัติเลือก ต่อให้ได้แผนที่มาก็เปล่าประโยชน์ เขาไม่เชื่อหรอกว่าอวี้หลัวช่าจะอ่านแผนที่ดาวที่ไร้ระเบียบฉบับนั้นออก และต่อให้มอบแผนที่ดาวฉบับนี้ให้อวี้หลัวช่าก็ไม่เป็นอะไร เพราะอวิ๋นจือชิวฮูหยินของเขาทำสำเนาไว้หลายฉบับแล้ว


เมื่อของมาถึงมือแล้ว อวี้หลัวช่าก็มองเหมียวอี้อย่างสงสัยแวบหนึ่ง เคลือบแคลงในว่าเจ้าหมอนี่ให้ความร่วมมือเกินไปหรือเปล่า แต่ดูจากร่องรอยภายนอกของสิ่งของที่อยู่ในมือ ก็ดูผ่านวันเวลามาเนิ่นนานแล้วจริงๆ สิ่งนี้ยากที่จะปลอมแปลงได้ โดยเฉพาะคนที่มีชีวิตอยู่มานานอย่างนาง เห็นของเก่าแก่มาเยอะเกินไป แค่มองของในมือปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นของเก่า

 

 

 


บทที่ 1694 โลหิตมารสวรรค์

 

ไม่ว่าจะเป็นของจริงหรือของปลอม ก็จะต้องดูสักหน่อยแน่นอน นางกรอกพลังอิทธิฤทธิ์เข้าไปตรวจดู สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาคือแผนที่ดาว มีจุดแสงจุดหนึ่งกะพริบอยู่ท่ามกลางทะเลดาวอันกว้างใหญ่ไพศาล พอเข้าไปดูใกล้ๆ ด้านบนของดาวเคราะห์ดวงหนึ่งก็มีเครื่องหมายวัดแห่งหนึ่ง ในวัดมีภาพเงาคนที่คลุมเครือ


เหมียวอี้กำลังคิดว่าในสมบัติลับคงไม่ได้มีของอะไรที่ทำให้แทนที่ประมุขพุทธะได้จริงๆ หรอกมั้ง จึงถามหยั่งเชิง “อวี้หลัวช่า ในแผนที่นี้มีวัดแห่งหนึ่ง เงาคนเลือนรางในวัดหมายความว่าอะไร? อย่าบอกนะว่าพอเข้าวัดนี้แล้วจะกลายเป็นพุทธะ?”


เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ก็ทำให้อวี้หลัวช่าหัวใจเต้นรัว นางก็กำลังแปลกใจเช่นกันว่าเงาคนเลือนรางในวัดหมายความว่าอะไร คำพูดของเหมียวอี้ทำให้นางเห็นแสงสว่างทันที นางเก็บพลังอิทธิฤทธิ์กลับมาจากลูกกลมโลหะ “ข้าก็คือพุทธะอยู่แล้ว ยังต้องกลายเป็นพุทธะอีกเหรอ?”


ยิ่งปกปิดก็ยิ่งเห็นได้ชัด เหมียวอี้พึมพำในใจ ถ้าอีกฝ่ายไม่ตั้งใจอธิบายอย่างนี้ เขาก็จะครุ่นคิดไม่หยุด ทว่าตอนนี้ทำให้เขาแน่ใจการคาดเดาของตัวเองแล้ว แต่เขาก็สงสัยมากกว่าว่าผู้ซ่อนสมบัติมีเจตนาอะไร ถ้าที่ซ่อนสมบัติมีของดีจริงๆ แล้วทำไมต้องมอบให้คนอื่น?


เขาไม่มีเวลามาคิดมาก อวี้หลัวช่าเหมือนจะตระหนักอะไรบางอย่างได้ “เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ?”


“อวี้หลัวช่า…”


“อวี้หลัวช่าใช่ชื่อที่เจ้าจะเรียกได้เหรอ?”


“ข้าเห็นเจ้าสาวเจ้าสวยขนาดนี้ ชื่อเรียกโบราณสูงวัยน่ะข้าเรียกไม่ไหวหรอก” พอพูดจบ ขนาดเหมียวอี้เองก็ยังรู้สึกสะอิดสะเอียนนิดหน่อย จู่ๆ ก็นึกถึงสวีถังหราน พบว่าที่จริงแล้วตัวเองกับสวีถังหรานก็ไม่ได้ต่างกันสักเท่าไร มองเห็นแต่สวีถังหรานประจบสอพลอ ตัวเองก็เป็นอย่างนี้เหมือนกันไม่ใช่หรือ


“เชอะ!” อวี้หลัวช่าทำเสียงฮึดฮัด ไม่รู้ว่าได้ยินคำประจบสอพลอแล้วสบายใจ หรือรู้สึกว่าตอนนี้ไม่จำเป็นต้องถือสาเหมียวอี้เรื่องนี้ นางใช้ฝ่ามือรองลูกกลมโลหะ “ข้าจะรู้ได้ยังไงว่าแผนที่ซ่อนสมบัติเป็นของจริงหรือเปล่า?”


เหมียวอี้ถอนหายใจ “ข้ายังพิสูจน์ไม่ได้ว่ามันเป็นของจริงหรือเปล่า ที่สำคัญคือต่อให้ข้ามอบแผนที่ซ่อนสมบัติให้เจ้าร้อยฉบับ เจ้าก็ยังสงสัยอยู่ดีว่าเป็นของจริงหรือเปล่า ลองตรวจสอบผลลัพธ์ว่าจริงหรือปลอม ดูว่าจะหาจุดซ่อนสมบัติเจอรู้เปล่า แค่นั้นก็รู้แล้ว”


ยังไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของ ไม่รู้เหมือนกันว่าจริงหรือปลอม อวี้หลัวช่าเก็บลูกกลมโลหะไว้เสียเลย แล้วทวงของอีก “สูตร มอบสูตรหาสมบัติมาให้ข้า”


“ตอนนี้ต่อให้มอบสูตรให้เจ้า เจ้าก็หาสมบัติลับไม่เจออยู่ดี ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องรอให้เจ้ามาหาข้าหรอก ข้าคงไปขุดสมบัติลับออกมาตั้งนานแล้ว” เหมียวอี้กล่าว


“เพราะอะไร?” อวี้หลัวช่าถาม


เหมียวอี้ตอบว่า “จากสูตรสมบัติลับ อาณาเขตดาวที่ตั้งของจุดซ่อนสมบัติอยู่ท่ามกลางวงโคจร ทุกๆ หนึ่งพันปีถึงจะกลับเข้าที่หนึ่งครั้ง หรือพูดได้อีกอย่างว่าแผนที่ซ่อนสมบัตินี้จะแสดงประโยชน์เฉพาะในช่วงเวลาที่กำหนดเท่านั้น ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางเทียบสถานที่เป้าหมายเจอได้เลย จากที่คำนวณ ยังเหลือเวลาอีกเก้าร้อยปีกว่าจะถึงเวลาค้นหาสมบัติครั้งต่อไป”


“พูดมากเป็นชุด อยากจะถ่วงเวลาสินะ?” อวี้หลัวช่าถามเสียงเย็น


เหมียวอี้ตอบว่า “ข้าไม่จำเป็นต้องถ่วงเวลา จะว่าไปแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ตอนนี้ข้าก็ไม่มีทางมอบให้เจ้าหรอก ถ้าให้เจ้าตอนนี้ ข้าจะรอดชีวิตได้เหรอ? เจ้าไม่ต้องมองข้าอย่างนี้ ถ้าข้าปกป้องไม่ได้แม้แต่ชีวิตตัวเอง ต่อให้เจ้าจะทรมานข้ายังไงก็ไม่มีประโยชน์ ถึงแม้หนิวจะกลัวตาย แต่ก็ต้องดูสถานการณ์เหมือนกัน เวลาจะต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดก็ไม่เคยเลอะเลือน ก็เหมือนที่เจ้าบอก ขนาดพิธีรับสนมของราชันสวรรค์ข้ายังกล้าก่อเรื่องเลย เรื่องตัดหัวประหารข้าก็ไม่ได้ทำแค่ครั้งสองครั้ง เจ้าขู่ข้าไม่ได้ผลหรอก ถ้าอยากได้สมบัติลับ ก็รออีกเก้าร้อยปีหลังจากนี้สิ พวกเราไปด้วยกันสักรอบ ทุกอย่างย่อมกระจ่างว่าจริงหรือปลอม ข้าถ้าหลอกเจ้า ถึงตอนนั้นเจ้าค่อยสังหารข้าก็ยังไม่สาย แค่หนึ่งร้อยปีเอง แค่ดีดนิ้วก็ผ่านไปแล้ว ไม่ถึงขั้นรอไม่ไหวหรอกมั้ง?”


อวี้หลัวช่าบอกว่า “เรื่องน้ำพุวังเวงใหญ่ขนาดนั้น ข้ากลัวว่าจะรอได้ไม่ถึงเก้าร้อยปีแล้ว” ในดวงตาฉายแววดุร้าย


“นี่เป็นเรื่องของเจ้า ระดับของพวกเจ้าสูงเกินไป ข้าเอื้อมมือไปสอดไม่ไหว ช่วยเจ้าไม่ได้หรอก แต่ข้ามีเรื่องเรื่องหนึ่งที่ต้องให้เจ้าช่วย” เหมียวอี้กล่าว


“ลองว่ามา” อวี้หลัวช่ากล่าว


เหมียวอี้บอกว่า “ข้าไม่อยากให้คนรู้ว่าเรื่องที่น้ำพุวังเวงเกี่ยวข้องกับข้า แต่ตระกูลโค่วรู้แล้วว่าข้ากับสำนักหลัวช่าติดต่อกัน ก่อนที่ข้าจะมาที่นี่ โค่วเจิงก็เพิ่งออกจากจวนแม่ทัพภาคตลาดผี เพื่อที่จะปกป้องตัวเอง ข้าเลยจำเป็นต้องพูดเรื่องสมบัติลับสำนักหนานอู๋ แต่เจ้าวางใจได้ ข้ายังไม่ได้บอกใครเรื่องที่ข้าพูดเมื่อครู่นี้…” หลังจากพูดข้ามบทสนทนาทั้งหมดระหว่างตัวเองกับโค่วเจิง เหมียวอี้ก็บอกว่า “นี่ก็เป็นเหตุผลที่ข้ามาที่นี่ แม้จะรู้แจ่มแจ้งว่าคนของสำนักหลัวช่าจะมาหาข้า แต่ข้าก็ยังมาคนเดียว เพราะอยากจะรบกวนให้สำนักหลัวช่าให้ความร่วมมือสักหน่อย อย่าให้คนร่าเรื่องที่น้ำพุวังเวงเกิดขึ้นเพราะข้า ไม่อย่างนั้นตำหนักสวรรค์ไม่มีทางปล่อยข้าไปแน่”


อวี้หลัวช่าแววตาวูบไหว “ในเมื่อหวาดกลัวขนาดนี้ เหตุใดจึงต้องพัวพันอยู่ที่นี่ แค่หายตัวไปก็สิ้นเรื่องแล้ว เก้าร้อยปีข้าสามารถรอได้ เจ้าแค่ไปกับข้าก็พอ”


เหมียวอี้ตอบว่า “ฮูหยินของข้าอยู่ในมือตระกูลโค่ว ถูกกักบริเวณอยู่ในจวนอ๋องสวรรค์ ถ้าเจ้ามีความสามารถ ก็ช่วยฮูหยินของข้าออกมาจากมือตระกูลโค่วเพื่อรับประกันความปลอดภัยของนางสิ แล้วข้าจะไปกับเจ้าทันที ถ้าเจ้าทำไม่ได้ ก็อย่าพูดอย่างอื่นที่ไร้ประโยชน์ ข้าไม่มีทางตามเจ้าไปหรอก”


อวี้หลัวช่าแสยะยิ้ม “ก็แค่ผู้หญิงคนเดียวเองไม่ใช่เหรอ ไปกับข้า ไม่ว่าเจ้าจะอยากได้ผู้หญิงแบบไหน ข้าก็หาให้เจ้าได้ทั้งนั้น รับรองว่าแต่ละคนสวยกว่าฮูหยินของเจ้าแน่ มีให้เจ้าเล่นทุกวันไม่ซ้ำแบบ รสชาติศิษย์สำนักหลัวช่าของข้า รับรองว่าเจ้าจะติดใจไม่รู้ลืม”


“ศิษย์สำนักหลัวช่าแล้วยังไงล่ะ ต่อให้เจ้าสำนักมาปรนนิบัติด้วยตัวเอง ก็เทียบฮูหยินของข้าไม่ติดหรอก” เหมียวอี้กล่าว


คำพูดดูหมิ่นแบบนี้ไม่ได้ทำให้อวี้หลัวช่าขุ่นเคืองใจ เรื่องระหว่างชายหญิงไม่ได้สำคัญสำหรับนาง ถ้าทำให้นางโมโหได้ก็แปลกแล้ว นางได้ยินแล้วเงียบนิดหน่อย นางย่อมเคยได้ยินเรื่องที่น่านฟ้าระกาติงมาก่อน เพื่อผู้หญิงคนเดียว ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าเวรนี่จะกล้าทำกำลังพลครึ่งธงพยัคฆ์ไปสู้กับทัพใหญ่หนึ่งล้าน ช่างไม่กลัวตายจริงๆ ความรักความห่วงใยแบบนี้สำหรับผู้หญิง ตอนที่นางได้ยินครั้งแรกก็ซาบซึ้งอยู่บ้างเหมือนกัน


แต่ถ้าจะให้นางพาตัวออกมาตอนนี้ เจ้าคิดว่าจวนอ๋องสวรรค์โค่วที่น่าเกรงขามนั่นตั้งไว้ประดับเฉยๆ เหรอ? ถ้ารอตอนหลังแล้วค่อยๆ วางแผน ตรงหน้านางมีด่านที่ต้องข้ามผ่านไปให้ได้


“แล้วข้าจะรู้ได้ยังไงว่าที่เจ้าพูดเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า?” อวี้หลัวช่ากล่าวเสียงเรียบ ทว่าในดวงตามีสง่าราศีเป็นพิเศษ


“เจ้าจะให้ข้าพิสูจน์ยังไงล่ะ? เจ้าไม่เชื่อ…” เสียงพูดของเหมียวอี้ช้าลง มองนางอย่างตะลึงงัน ลมหายใจเริ่มปั่นป่วน


บนใบหน้างามเย็นชาดุจหยกสลักของอวี้หลัวช่าเริ่มเผยรอยยิ้ม เป็นยิ้มเดียวสะท้านใจอย่างแท้จริง นางแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปากเบาๆ นิ้วเรียวลูบไล้บนใบหน้าตัวเองอย่างช้าๆ ลงมาแหวกคอเสื้อออกบางส่วน เผยให้เห็นกระดูกไหปลาร้าขาวเนียนหมดจด บางครั้งริมฝีปากก็พึมพำบางสิ่งที่กระตุ้นให้คนใจสั่น


นางหยุดเพียงเท่านี้ ไม่ได้ทำอะไรเกินกว่านี้อีก แต่กลับทำให้เหมียวอี้รู้สึกแตกต่างออกไป ไม่น่าเชื่อว่าจะยั่วราคะและความเย้ายวนยิ่งกว่าเม่ยจีและบรรดาศิษย์ของสำนักหลัวช่าเสียอีก เหมือนกับอยู่ริมน้ำตกในป่าแล้วเห็นสาวน้อยที่งามเลิศในปฐพีคนหนึ่งกำลังถอดเสื้อผ้าเตรียมอาบน้ำ ความบริสุทธิ์ของฉากนั้นทำให้คนหวั่นไหวเช่นนี้ ราวกับชั่วพริบตาเดียวก็เข้ามาประทับในใจคนได้แล้ว และยิ่งกระตุ้นให้คนรู้สึกปรารถนาอยากครอบครองทำให้อดใจไม่ไหวอยากจะดึงเข้ามาไว้ในอ้อมกอด


เหมียวอี้ลุกขึ้นยืนโดยจิตใตสำนึก ในดวงตามีเพียงอวี้หลัวช่า และในขณะที่เขารู้สึกร้อนบริเวณท้องน้อยและกลืนน้ำลายอย่างกระหาย ความรู้สึกเย็นซาบซ่านก็แผ่จากแผ่นหลังเข้ามาในสมอง ตอนที่กล้วยไม้สำรวมใจที่กินไว้ล่วงหน้าเพิ่งออกฤทธิ์ เคล็ดวิชาอัคนีดาราในร่างกายกลับสัมผัสได้ก่อนแล้วหนึ่งก้าว เคล็ดวิชาโคจรด้วยตัวเอง สงบจิตสำรวมใจ ช่วยให้เขากลับมามีสติก่อนแล้ว


ชั่วพริบตานี้ เหมียวอี้ที่ได้สติกลับมาแอบตกใจ ตระหนักได้ทันทีว่าตัวเองตกหลุมพรางแล้ว พบว่าป้องกันไม่ชนะจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงคนนี้จะไม่ต้องแต่งตัวเปิดเผยหรือเต้นระบำมารสวรรค์ยั่ว แค่ใช้สายตากับลีลานิดหน่อยก็ยั่วให้คนเหม่อลอยได้แล้ว พลังระดับนี้ตกใจจริงๆ เกรงว่าคงน่ากลัวว่าท่วงท่าระยำเย้ายวนใจเสียอีก ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมผู้หญิงคนนี้จึงไม่แต่งตัวเปิดเผยเหมือนลูกศิษย์ในสำนัก


เพียงแต่เหมียวอี้ได้สติกลับมาเพียงชั่วครู่เท่านั้น จากนั้นก็เข้าไปใกล้อวี้หลัวช่าอย่างช้าๆ ด้วยสีหน้ากระหายอยากครอบครอง


อวี้หลัวช่าทำท่ายั่วยวนเล็กน้อย หลังจากเหลือบไปเห็นในดวงตาเหมียวอี้ฉายแววตื่นตัว แววตาออดอ้อนของนางก็ค่อยๆ เย็นเยียบลง รอยยิ้มบนใบหน้าเริ่มหายไปทีละนิด หยุดทำท่ายั่วยวนแล้วเช่นกัน


ทั้งสองอยู่ไม่ห่างกันมาก ในที่สุดเหมียวอี้ก็เข้ามาใกล้แล้ว กางแขนสองข้างโน้มกอดอวี้หลัวช่า สูดดมคอที่ขาวหมดจดของนางราวกับหมูดุนอาหาร มือสองข้างก็ยิ่งลูบไล้ทั้งข้างล่างข้างบน หน้าอกและก้นย่อมไม่ปล่อยผ่าน เขาไม่เกรงใจ ออกแรงบีบนวดเต็มที่ เพราะไม่ต้องเสียเงินแลกมา สุดท้ายก็แหวกคอเสื้อของอวี้หลัวช่าลงมาเสียเลย


ใครจะคิดว่าตอนที่เพิ่งแหวกคอเสื้ออวี้หลัวช่าลงมาถึงหน้าอก ไหล่งามและหน้าอกขาวเพิ่งโผล่ออกมาได้ครึ่งเดียว ก็ถูกพลังบางอย่างสะเทือนออกมาแล้ว จากนั้นก็ตามติดด้วยเงาฝ่ามือ


เพี้ยะ! เสียงตบบ้องหูดังสนั่นหวั่นไหว ตามด้วยแสยะยิ้มของอวี้หลัวช่า “เล่นละครได้เนียนเชียวนะ!”


เหมียวอี้ที่โดนตบจนหน้าแดงเอามือปิดหน้า จู่ๆ ได้ยินนางพูดแบบนี้ เขารู้สึกอึ้งนิดหน่อย ตัวเองแสดงละครไม่เนียน โดนจับได้แล้ว เอามือลูบใบหน้าที่ร้อนผ่าวแล้วหัวเราะแห้งๆ “เหอะๆ! ระบำมารสวรรค์ร้ายกาจจริงๆ ข้าเกือบจะเอาไม่อยู่แล้ว โชคดีที่กินกล้วยไม้สำรวมใจล่วงหน้า เจ้ามองออกได้ยังไง?”


อวี้หลัวช่าดึงคอเสื้อขึ้นมา จัดเสื้อผ้าใหม่ให้เรียบร้อย “ยังต้องมองออกอีกเหรอ? แค่อยากจะทดสอบว่าเจ้าซื่อสัตย์หรือเปล่า ขนาดระบำมารสวรรค์ยังควบคุมเจ้าไม่ได้เลย แล้วยังจะควบคุมอะไรเจ้าได้? ตอนนี้พิสูจน์แล้วว่าเจ้าไม่น่าเชื่อถือจริงๆ ด้วย!”


มือยังติดกลิ่นหอม มือที่เหมียวอี้เคยลูบไล้มาก่อนค่อนข้างน่าอาย ขนาดตัวเองคิดแล้วยังอาย ไม่น่าเชื่อว่าจะได้ลวนลามพุทธะหน้าหยกแล้ว


แต่ไม่นานก็รู้สึกว่าตัวเองคิดมากไป สำหรับอีกฝ่าย บางทีอาจไม่นับเป็นเรื่องสำคัญอะไรเลย นึกถึงบทสนทนาระหว่างตานฉิงกับเสวี่ยอวี้ที่น้ำพุวังเวงชั้นห้า แขกที่เข้ามาใช้บริการอวี้หลัวช่าเหมือนมีเยอะจนนับไม่ถ้วน “เหอะๆ ถ้าปกป้องชีวิตตัวเองได้ก็ย่อมต้องระมัดระวังหน่อย”


“หึหึ!” อวี้หลัวช่าจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วแสยะยิ้ม แล้วจู่ๆ ก็จีบนิ้วรูปดอกกล้วยไม้ตรงหน้าอก พลังอิทธิฤทธิ์ซัดกระเพื่อมพักหนึ่ง


เหมียวอี้ทำสีหน้าระแวดระวังทันที ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ต้องการจะทำอะไร


จู่ๆ นิ้วที่จีบเป็นรูปดอกกล้วยไม้ก็กลายเป็นเงานิ้วแบบต่างๆ จีบนิ้วเป็นมุทราหลากหลายแบบจนคนตาลาย แล้วอวี้หลัวช่าก็อ้าปาก แลบลิ้นอ่อนสีแดงสดออกมา เงานิ้วหยุดชะงัก ปลายเล็บของนิ้วชี้วาดผ่านปลายลิ้นสีแดง วาดจนบาดลิ้น มีหยดเลือดสีแดงสดซึมออกมาเล็กน้อย


นิ้วชี้ตั้งตรงหน้าอก บนปลายนิ้วมีไข่มุกเลือดเปล่งแสงสีแดงอ่อนๆ ลิ้นที่ถูกเล็บบาดถูกเก็บกลับเข้าไปในปาก อวี้หลัวช่าจ้องเหมียวอี้อย่างเย็นเยียบ


เหมียวอี้ถอยหลัง แล้วกล่าวเสียงต่ำ “เจ้าอย่านึกนะว่าได้แผนที่ไปแล้วจะสามารถหาสมบัติลับเจอ”


พรึ่บ! เงาร่างของอวี้หลัวช่าแฉลบเข้ามาแล้วทะยานขึ้นฟ้า โบยบินราวกับดอกบัวขาว ฝ่ามือข้างหนึ่งกดลงมาจากฟ้า พลังอิทธิฤทธิ์ที่เรียบง่ายกดจนเหมียวอี้ราวกับแบกภูเขาใหญ่ไว้ กระดิกกระเดี้ยไม่ได้เลย


อวี้หลัวช่าที่เหาะถอยหลังลงจากฟ้ามีหยดเลือดอยู่บนปลายนิ้ว โจมตีโดนยอดศีรษะของเหมียวอี้อย่างรวดเร็ว แสงสีขาวสายหนึ่งกะพริบอยู่ระหว่างปลายนิ้วกับยอดศีรษะเหมียวอี้


เหมียวอี้ที่เจ็บลึกถึงกระดูกตัวสั่นทันที


หลังจากไข่มุกเลือดเข้าไปในกะโหลกเหมียวอี้แล้ว ลำแสงก็จางหายไป อวี้หลัวช่าถอนมือกลับมา แล้วหมุนตัวเหาะไปเหยียบลงพื้น


เหมียวอี้ทุเลาจากความเจ็บปวดมหาศาล ยกมือขึ้นลูบศีรษะ มือเต็มไปด้วยเลือด พอร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจภายใน ก็พบว่าเส้นเลือดฝอยในสมองเปล่งแสงสีแดงอ่อนๆ แต่แสงสีแดงก็หายไปเร็วมาก เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะหันกลับมามองอย่างโกรธแค้น “เจ้าทำอะไรกับข้า?”


อวี้หลัวช่าเอียงหน้ามองอย่างเย็นเยียบ “เจ้าจะให้ข้ารอเก้าร้อยปีไม่ใช่เหรอ? โลหิตมารสวรรค์หยดเดียวของข้า ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้มันไปหรอกนะ”

 

 

 


บทที่ 1695 แก้ไขได้อย่างง่ายดาย

 

โลหิตมารสวรรค์? ของผีบ้าอะไร? เหมียวอี้เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก ทั้งตกใจทั้งโมโห โมโหที่สู้ไม่ชนะอีกฝ่าย เขาร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบในสมองตัวเองอีกครั้ง สัมผัสได้ถึงวัตถุรูปตาข่ายที่ครอบหัวสมองตัวเองอยู่ รวมเป็นหนึ่งเดียวกับหัวสมองแล้ว แต่ไม่ได้รู้สึกว่ามีตรงไหนทุกข์ทรมานเป็นพิเศษ และไม่ส่งผลกระทบต่อความคิดด้วย


อวี้หลัวช่ามองออกว่าเขากำลังตรวจอาการภายในของตัวเอง “ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าคิดกำจัดออกเลย นี่คือวิชาลับ ไม่ใช่ยาไม่ใช่พิษ ในใต้หล้านี้ไม่มียาถอน เจ้าไปหาโค่วหลิงซวีก็ไม่มีประโยชน์ ต่อให้ขอให้ประมุขชิงลงมือแต่ก็กำจัดออกไม่ได้ง่ายๆ อย่านึกนะว่าเจ้าฝึกเคล็ดวิชาธาตุไฟของอสุราอัคนีแล้วจะทำอะไรได้ เมื่อปลูกโลหิตมารสวรรค์ลงในสมองเจ้าแล้วก็จะแนบติดกับจิตใจเจ้า ดันทุรังร่ายอิทธิฤทธิ์กำจัดก็มีแต่จะทำให้เจ้ากลายเป็นคนโง่ เว้นเสียแต่ว่าเจ้าจะบริสุทธิ์จนไร้จิตมาร เช่นนั้นโลหิตมารสวรรค์ที่ปลูกลงในกายเจ้าก็จะเป็นเพียงความว่างเปล่า มันจะไม่มีวันกำเริบ แต่ถ้าจะบอกว่าเจ้าบริสุทธิ์ เกรงว่าแม้แต่ตัวเจ้าเองก็ยังไม่เชื่อเลย สิ่งที่เรียกว่าจิตมารก็คือเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา โลหิตมารสวรรค์ถูกเจ็ดอารมณ์หกปรารถนากัดกร่อนจนถึงในระดับหนึ่งแล้วถึงจะปะทุ ถ้าปะทุแล้วก็จะไม่มียาอะไรช่วยได้ ส่วนผลที่ตามมาน่ะเหรอ เจ้าไม่ถึงกับตายหรอก เพียงแต่จะกลายเป็นคนปัญญาอ่อนก็เท่านั้นเอง ทั้งยังเป็นคนปัญญาอ่อนที่เป็นบ้าบ่อยๆ ด้วย ไม่ต่างอะไรกับตายไปแล้ว ภายใต้สถานการณ์ปกติ ผ่านไปสิบปีกว่าโลหิตมารสวรรค์จะปะทุสักครั้ง มีเพียงโลหิตสกัดของข้าเท่านั้นถึงจะควบคุมมันได้ แต่บางครั้งก็มีปะทุล่วงหน้าเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่นตอนโดนอาวุธที่ทำจากเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาโจมตี หรือไม่ก็ตอนใช้พลังปรารถนาฝึกตนแล้วไม่ระวังจนสะสมเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาในกายมากเกินไป”


“เจ้าหมายความว่าอะไร?” เหมียวอี้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันถาม


อวี้หลัวช่าตอบว่า “ไม่ได้หมายความว่าอะไรหรอก เจ้าต้องรอข้าเก้าร้อยปี คนอย่างข้าน่ะคุยง่ายมาก ต่อให้คนจัญไรอย่างเจ้าจะกลับกลอก ข้าก็ยินดีจะเชื่อเจ้าสักครั้ง ข้าจะรอเจ้าเก้าร้อยปี แต่ถ้าหลังจากเก้าร้อยปีนี้เจ้าไม่ทำตามสัญญา หึหึ” นางหัวเราะเย้ยผลที่ตามมา


เหมียวอี้เรียกได้ว่าแค้นใจ แบบนี้เรียกว่าคุยง่ายมากเสียที่ไหนกัน เห็นได้ชัดว่าลงสิ่งแปลกปลอมลงในร่างกายตน เมื่อมีต้นทุนในการควบคุมตนแล้ว ต่อให้เป็นเก้าร้อยปีหลังจากนี้ ยังจะหวังให้เจ้ากำจัดให้ข้าอีกเหรอ? เขาถามอย่างเคียดแค้น “เจ้าไม่กลัวเหรอว่าระหว่างนั้นข้าจะเป็นอะไรไปก่อน? สมมติโดนอาวุธจากเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาโจมตีเหมือนที่เจ้าบอกล่ะ”


อวี้หลัวช่าพลิกมือแล้วคว้าบางอย่างเอาไว้ ดวงจิตน้ำแข็งดวงหนึ่งถูกคีบอยู่ระหว่างนิ้ว นางใช้สองนิ้วบีบจนมีเสียงแตก บนดวงจิตน้ำแข็งระเบิดเป็นรูโหว่ อ้าปากแลบลิ้นสีแดงสด แล้วมีไข่มุกโลหิตถูกบีบออกมาอีกเม็ด เพียงแต่ครั้งนี้ไข่มุกโลหิตไม่ได้เปล่งแสงสีแดงอีกแล้ว


ไข่มุกโลหิตลอยเข้าไปในรูโหว่ของของดวงจิตน้ำแข็งโดยตรง ชั่วพริบตาเดียวก็ถูกความเย็นของดวงจิตน้ำแข็งผนึกไว้ในนั้นแล้ว อวี้หลัวช่าใช้นิ้วดีดดวงจิตน้ำแข็งใส่เหมียวอี้


เหมียวอี้คว้ามาตรวจดูในมือเงียบๆ อวี้หลัวช่าบอกว่า “นี่ก็คือโลหิตสกัดของข้าหยดหนึ่ง ถ้าโลหิตมารสวรรค์กำเริบขึ้นมา ก็จะช่วยให้เจ้าควบคุมยามฉุกเฉินได้ แต่อย่าใช้งานซี้ซั้วเชียวนะ ถ้าในมือไม่มีของเอาไว้รับมือฉุกเฉิน อีกทั้งเจ้ากับข้ายังอยู่ห่างไกลกัน ถ้ามันกำเริบอีก ก็ไม่มีใครช่วยเจ้าได้แล้ว”


“เจ้าเองก็รู้ว่าจะเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นอีก ให้เพิ่มอีกสักหยดเถอะ ถึงยังไงเจ้าก็ไม่ขาดแคลน” เหมียวอี้เก็บดวงจิตน้ำแข็งในมือแล้วทวงขออีกครั้ง


“หึหึ!” อวี้หลัวช่าแสยะยิ้ม แต่ก็ไม่แยแส “ทุกๆ สิบปี ข้าจะให้คนส่งโลหิตสกัดหนึ่งหยดไปให้เจ้าควบคุมการกำเริบของโลหิตมารสวรรค์ รอจนกระทั่งเจ้าทำตามสัญญาแล้ว ข้าถึงจะขจัดให้เจ้าจนหมด!”


เรื่องมาจนป่านนี้แล้ว เหมียวอี้ก็รู้เช่นกัน ว่าพูดอะไรไปอีกก็ไม่มีประโยชน์ จึงกล่าวอย่างหงุดหงิดนิดหน่อย “ช่วยอะไรข้าสักอย่าง”


“ว่ามา” อวี้หลัวช่าเอ่ยอย่างไม่ทุกข์ร้อน


เหมียวอี้บอกว่า “สลับที่พักในจวนแม่ทัพภาคกับวัดพระกษิติครรภ์ให้สักหน่อย ที่นั่นตัวอยู่ท่ามกลางคนพลุกพล่าน คนที่อยากสู้กับข้ามีเยอะเกินไป จะถูกคนเข้าถึงตัวได้ง่าย ข้าอยู่ที่นั่นไม่ปลอดภัย ถ้าเจ้าอยากให้ข้ามีชีวิตยืนยาวอีกสักหน่อยเพื่อช่วยเจ้าหาสมบัติลับ ก็ช่วยคิดหาทางสลับให้ข้าด้วย”


เรื่องนี้…อวี้หลัวช่าครุ่นคิดเล็กน้อย “นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าอยากจะสลับก็สลับได้ แต่ถ้าฝั่งตำหนักสวรรค์มีคนเอ่ยปากกับแดนพุทธ ทางข้าก็จะช่วยคุยให้เจ้าได้ แล้วอีกอย่าง พวกเสวี่ยอวี้และศิษย์ของข้าที่น้ำพุวังเวงเป็นอะไรกันแน่ ต่อให้ถูกหลายตระกูลร่วมมือกันโจมตี แต่ก็ไม่ถึงขั้นตัดขาดการติดต่อไปกะทันหันหรอกใช่มั้ย?”


สำหรับนางแล้ว นางยังหวังให้เสวี่ยอวี้มีชีวิตอยู่ ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองไม่ธรรมดา เสวี่ยอวี้เป็นลูกสมุนที่นางไว้ใจที่สุด การที่เสวี่ยอวี้หายไปทำให้นางปวดใจมาก ถ้าไม่ใช่เพราะสมบัติลับ นางคงฉีกร่างเหมียวอี้ให้แหลกเป็นชิ้นๆ ไปแล้ว


เหมียวอี้ตอบว่า “ข้าไม่ได้เข้าไปในน้ำพุวังเวงเลย อยู่ด้านนอกน้ำพุวังเวงตลอด ไม่ค่อยรู้ชัดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ไม่ใช่แค่คนของเจ้าที่ขาดการติดต่อไปกะทันหัน กำลังพลออกล่าของสี่อ๋องสวรรค์ก็ขาดการติดต่อไปเหมือนกัน ตอนนี้พวกเขากำลังสืบเรื่องนี้อยู่”


“อ้อ!” อวี้หลัวช่าทำสีหน้าระแวง ยังนึกว่าคนของตัวเองถูกสี่อ๋องสวรรค์กำจัดไปเสียแล้ว นางส่งคนไปสำรวจที่น้ำพุวังเวงแล้ว นึกไม่ถึงว่าแม้แต่คนของสี่อ๋องสวรรค์ก็ถูกกำจัดหมดเช่นกัน ชั่วพริบตาเดียวก็ทำให้นางนึกถึงข่าวกระหึ่มใต้หล้าที่สี่อ๋องสวรรค์กับประมุขชิงกำลังระดมทัพใหญ่คุมเชิงกัน อดไม่ได้ที่ทำสีหน้าครุ่นคิด พลางพึมพำว่า “หรือว่าประมุขชิงเป็นคนทำ?”


คนเราเมื่ออยู่สูงถึงระดับหนึ่งแล้ว ระดับของเป้าหมายก็ค่อนข้างคล้ายกัน


เหมียวอี้ย่อมไม่บอกความจริงว่าใครทำ หลังจากออกจากวัดพระกษิติครรภ์แล้ว ก็กลับมาที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีพร้อมไฟโกรธสุมทรวง ตัวเองอยากจะเล่นลูกไม้ แต่ผลก็คือเท้าตัวเองไปสะดุดเตะแผ่นเหล็กเสียเอง ดีใจได้ก็แปลกแล้ว


เมื่อเห็นเหมียวอี้กลับมาอย่างปลอดภัย หยางเจาชิงก็โล่งอก ส่วนเหมียวอี้กลับพูดกระแทกกระทั้น “ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากข้า ไม่ว่าใครก็ห้ามมารบกวน”


“ขอรับ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับคำสั่งอย่างงุนงง มองออกแล้วว่าเหมียวอี้อารมณ์ไม่ดี


เดินไปเดินมาอยู่ในห้องไม่กี่รอบ หลังจากอารมณ์เริ่มสงบลงทีละนิด เหมียวอี้ก็นั่งขัดสมาธิลงบนเตียง แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูอาการในหัวสมองอีกครั้ง วัตถุคล้ายตาข่ายที่แทรกเข้ามาในสมองทำให้คนหวาดกลัว ถ้าทำอะไรหุนหันพลันแล่นก็ส่งผลกระทบต่อสติปัญญาได้จริงๆ ถ้าทำให้สมองบาดเจ็บแล้ว ก็จะกลายเป็นคนปัญหาอ่อน


แต่มีหรือที่เหมียวอี้จะทำใจยอมให้คนอื่นบงการได้อย่างนี้ ประสิทธิภาพอันน่าทึ่งของเคล็ดวิชาอัคนีดาราในร่างกายมี จะไม่ลองสักหน่อยได้อย่างไรล่ะ?


เขารวบรวมสมาธิ เพลิงจิตเริ่มลอยขึ้นในร่างกายอย่างรวดเร็วตามใจนึก พอถึงมาถึงส่วนหัวก็เริ่มใช้วิชาระมัดระวัง เมื่อหามุมของวัตถุที่กระจายตัวเหมือนตาข่ายเจอแล้ว เพลิงจิตก็ทดลองสัมผัสเล็กน้อย หนวดสัมผัสรูปตาข่ายกลายเป็นควันในชั่วพริบตาเดียว เผาทำลายไปมุมหนึ่งแล้ว


เพลิงจิตหดกลับมาอีกครั้ง เหมียวอี้ตรวจสภาพร่างกายอย่างละเอียด หลังจากแน่ใจแล้วว่าสติปัญญาไม่ได้รับผลกระทบ ถึงได้ควบคุมเพลิงจิตให้ขจัดสิ่งแปลกปลอมตามลำดับ เริ่มจากมุมที่ถูกเผานั่นก่อน จากนั้นก็เผาขึ้นไปตลอดทาง ขณะเดียวกันก็กำจัดออกทางลมหายใจ อ้ากพ่นควันออกมาอย่างช้าๆ


กำจัดออกไปทีละนิด กำจัดทีละพื้นที่ พูดเหมือนเร็ว แต่ที่จริงแล้วขั้นตอนช้ามาก หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่เป็นอะไร เหมียวอี้ก็พลันโคจรเคล็ดวิชาอัคนีดาราอย่างเต็มที่ เพลิงจิตกรอกขึ้นที่สมองโดยตรง ชั่วพริบตาเดียวก็กวาดสิ่งแปลกปลอมในสมองจนหมดเกลี้ยงในรวดเดียว


“ฮู่ว!” หลังจากเหมียวอี้พ่นควันออกมายาวๆ ก็หยุดใช้วิชาแล้วลืมตาขึ้น ในดวงตาฉายแววเหลือเชื่อ รู้สึกไม่ค่อยกล้าเชื่อว่าของที่อวี้หลัวช่ามั่นอกมั่นใจขนาดนี้จะถูกตนกำจัดทิ้งอย่างง่ายดาย อวี้หลัวช่าบอกว่าเคล็ดวิชาธาตุไฟของตนใช้ไม่ได้ผลไม่ใช่เหรอ?


แต่หลังจากร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูซ้ำอีก ก็พบว่ากำจัดโลหิตมารสวรรค์ได้แล้วจริงๆ


พลิกมือหยิบดวงจิตน้ำแข็งผนึกโลหิตสกัดที่อวี้หลัวช่าให้ออกมา ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีอาการกำเริบภายหลังอย่างที่อีกฝ่ายบอกหรือเปล่า


พอเก็บดวงจิตน้ำแข็ง ก็พลิกฝ่ามือแล้วมีไข่มุกพลังปรารถนาลอยวนรอบกาย เขากลั่นกรองตอนนี้เสียเลย ไม่กันเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาที่อยู่ข้างในด้วย ใช้ลูกแก้วพลังปรารถนาฝึกตนเสียเลย


หลังจากนั้นหนึ่งวัน เหมียวอี้ก็หย่อนเท้าสองข้างลงจากเตียง จากนั้นหยิบดวงจิตน้ำแข็งดวงนั้นมาโยนเล่นในมืออีก มุมปากแสยะยิ้มเล็กน้อย “โลหิตมารสวรรค์อะไรกัน มันก็แค่นี้เอง เคล็ดวิชาอสุราอัคนีรับมือไม่ไหว แต่ไม่ได้แปลว่าพ่อรับมือไม่ไหวนะ ยังคิดจะหาสมบัติอีกเหรอ? ต่อไปข้าจะพาเจ้าไปเล่นตรง ‘ที่ซ่อนสมบัติ’ ให้สนุกเลย บัญชีนี้เรามาคิดกันช้าๆ!” ในดวงตาฉายแววเย็นเยียบดุร้าย


เขารู้อย่างลึกซึ่งว่าแก้ไขเรื่องโลหิตมารสวรรค์แล้วก็ยังไม่จบ เพื่อสมบัติลับนั่น ตัวเองกับว่าถูกอวี้หลัวช่าพัวพันแล้ว ถ้าไม่กำจัดผู้หญิงคนนั้นทิ้ง อีกฝ่ายก็ไม่ปล่อยตนไปเหมือนกัน ถูกลิขิตไว้แล้วว่าถ้าไม่ตายก็ไม่เลิก…


ในคฤหาสน์หลังใหญ่โอ่อ่าป่าในโบราณกลางภูเขาลึกแห่งหนึ่ง ในเรือนด้านใน โค่วเจิงที่กลับมาแล้วรีบเดินเข้าไปในลานบ้านด้านหลัง โค่วหลิงซวีกับถังเฮ่อเหนียนก็อยู่ด้วย กำลังรอเขาอยู่


คนของจวนอ๋องสวรรค์โค่วออกจากดาวหยกงามไปแล้ว ส่วนใหญ่ย้ายมาที่นี่ เหลือเพียงคนส่วนน้อยเอาไว้เฝ้าบ้านเท่านั้น อวิ๋นจือชิวก็อยู่ที่นี่เช่นกัน ตอนที่เคลื่อนกำลังพลทัพเหนือก็แอบย้ายออกมาเงียบๆ แล้ว เป็นเพราะไม่มีทางเลือก ดาวหยกงามอยู่ใกล้วังสวรรค์เกินไป ถ้าเปิดศึกกันเมื่อไรจะต้องประสบหายนะแน่ ไม่ใช่แค่ตระกูลโค่วเท่านั้น แต่สี่อ๋องสวรรค์ล้วนย้ายบ้านหมดแล้ว


หลังจากทำความเคารพแล้ว โค่วเจิงก็รายงานสถานการณ์ที่รู้มาจากเหมียวอี้โดยละเอียดอีกครั้ง ถึงแม้ก่อนหน้านี้ตอนอยู่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีจะใช้ระฆังดาราบอกแล้ว แต่คำพูดบางอย่างไม่อาจะใช้ระฆังดาราพูดอย่างละเอียดได้ ไม่สู้รายงานต่อหน้า


หลังจากถามตอบละเอียดแล้ว โค่วหลิงซวีเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมา พลางพึมพำซ้ำๆ ว่า “สมบัติลับที่สำนักหนานอู๋ทิ้งไว้ สมบัติลับที่สำนักหนานอู๋ทิ้งไว้…” จู่ๆ ก็หยุดเดินแล้วหันกลับมาถาม “ผู้เฒ่าถัง เจ้ารู้สึกว่าคำพูดนี้มีความน่าเชื่อถือแค่ไหน?”


ผู้เฒ่าถังเอามือขยี้เครา “ไม่เคยได้ยินมาก่อน เรื่องนี้มีความเป็นไปได้สองอย่าง อย่างแรกคือประมุขชิงกับแดนพุทธร่วมมือกันวางแผน ความเป็นไปได้อีกอย่างก็คือหนิวโหย่วเต๋อพูดจริง ไม่อย่างนั้นก็ไม่สำคัญพอให้สำนักหลัวช่าเคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้เลย อย่างน้อยก็มีจุดหนึ่งที่สามารถแน่ใจได้ นั่นก็คืออวี้หลัวช่าอาจจะมาจากสำนักหนานอู๋จริงๆ จะรู้ความลับบางอย่างของสำนักหนานอู๋ก็ไม่แปลก ยังมีอีกจุดหนึ่ง ถ้าหนิวโหย่วเต๋อพูดอย่างนี้ ก่อนหน้านี้บ่าวก็คิดมานานแล้ว คิดเชื่อมโยงกับเรื่องเรื่องหนึ่ง”


“อ้อ!” โค่วหลิงซวีรู้ว่าเขาต้องไม่ยิงธนูโดยไร้เป้าแน่นอน ถึงถามอย่างจริงจังว่า “มีเรื่องอะไร?”


ผู้เฒ่าถังกล่าวอย่างลังเล “ดาวพิษ ก็คือดาวหนานอู๋เหมือนกัน พระปีศาจหนานโปทำจนดาวพิษกลายเป็นอย่างนั้น ก่อนหน้านี้นึกว่าเพื่อระบายความโกรธ ตอนนี้พอเชื่อมโยงกับสิ่งที่หนิวโหย่วเต๋อบอก ทำไมบ่าวรู้สึกว่าการที่พระปีศาจหนานโปโจมตีดาวหนานอู๋จนเป็นรูพรุนอย่างนั้นก็เพื่อจะหาอะไรบางอย่าง?”


“หาของเหรอ?” โค่วหลิงซวีหรี่ตาทันที จากนั้นก็พยักหน้าช้าๆ “พอเจ้าพูดอย่างนี้ ข้าก็ว่าเหมือนกำลังหาของจริงๆ พระปีศาจหนานโปมองว่าตัวเองสูงส่งมาก ทำลายสำนักหนานอู๋ไปแล้ว ทั้งยังทำลายพื้นที่เพื่อระบายความโกรธอีก พอมานึกดูตอนนี้ก็รู้สึกว่าไม่สมเหตุสมผล ด้วยพลังของเขาถ้าคิดจะระบายความโกรธจริงๆ ก็สามารถระเบิดทั้งดาวหนานอู๋ได้เลย ไม่จำเป็นต้องโจมตีซ้ำไปซ้ำมาอย่างนั้น เรื่องนี้มีเงื่อนงำจริงๆ”


ผู้เฒ่าถังถามว่า “ที่ดาวหนานอู๋จะหาของอะไรได้? ก็แค่สมบัติของสำนักหนานอู๋ที่เหลือไว้ที่มีมูลค่ามากหน่อย ถ้าสิ่งที่คาดเดาสอดคล้องกับความจริง เช่นนั้นจะมีของอะไรได้? ของที่ทำให้พระปีศาจหนานโปอยากได้ขนาดนี้ ทั้งยังทำให้อวี้หลัวช่ายอมเสี่ยงทำเรื่องที่ทั้งใต้หล้าคิดว่าผิด เกรงว่าของสิ่งนี้จะไม่ธรรมดา!”


ดวงตาโค่วหลิงซวีเผยแววคมกริบ พยักหน้าบอกว่า “น่าเสียดายที่เวลาผ่านไปนานเกินไป ตอนนั้นข้าเพิ่งก้าวเข้าสู่แดนฝึกตน ยังเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ยังรู้อะไรไม่เยอะ ไม่มีทางยืนยันอะไรได้ อวี้หลัวช่าจะต้องไม่ยอมคายความจริงให้พวกเรารู้แน่นอน”

 

 

 


บทที่ 1696 ประนีประนอม

 

“หรือไม่อย่างนั้น!” ถังเฮ่อเหนียนครุ่นคิดพลางชี้แนะ “แม้อวี้หลัวช่าจะไม่คายความจริง แต่พวกเราก็พิสูจน์จากอีกด้านหนึ่งได้ ถ้าไม่ใช่ประมุขชิงกับแดนพุทธะร่วมมือกันก่อเรื่องนี้ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าพวกเราเป็นฝ่ายติดต่อไปก่อนว่าต้องการสงบเรื่องนี้ อวี้หลัวช่าก็ย่อมไม่พูดอะไรให้เรื่องราวลุกลามใหญ่โตอีก แบบนี้เรียกว่ากินปูนร้อนท้อง นางเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แล้ว ถ้าเรื่องราวลุกลามใหญ่โตก็จะเกิดปัญหากับนางเช่นกัน แอบใช้ยอดฝีมือจำนวนมากที่ฝั่งนี้เพราะคิดจะทำอะไรล่ะ? ประมุขพุทธะไม่มีทางปล่อยไปง่ายๆ ถ้าประมุขชิงกับทางนั้นร่วมมือกัน ใต้สังกัดนางสูญเสียยอดฝีมือไปมากขนาดนั้น อีทั้งยังไม่มีอะไรให้ห่วงหน้าพะวงหลัง นางจะต้องทวงความยุติธรรมแน่นอน อย่างน้อยก็”


“อืม!” โค่วหลิงซวีคิดตามคำพูดเขาพลางพยักหน้าเห็นด้วย “หรือพูดได้อีกอย่างว่า ถ้าอวี้หลัวช่าโวยวาย ก็แสดงว่าไม่มีเรื่องสมบัติลับ แต่ถ้าไม่โวยวายก็แสดงว่าในใจมีความผิด เรื่องสมบัติลับอาจจะเป็นเรื่องจริง”


“สามารถพิสูจน์จากมุมนี้ว่าหนิวโหย่วเต๋อหลอกพวกเราหรือไม่” ถังเฮ่อเหนียนพูดเสริม


โค่วหลิงซวีพยักหน้าช้าๆ


โค่วเจิงที่อยู่ข้างๆ กลับแอบร้อนใจ ตรงหน้ามีเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ทำไมถึงเริ่มถกกันเรื่องสมบัติลับแล้วล่ะ ต่อไปค่อยคุยกันไม่ได้เหรอ?


แน่นอน เขาเองก็ยอมรับว่าผู้อาวุโสสองท่านนี้พูดถูก ถ้าเป็นสมบัติลับที่มีแม้แต่พระปีศาจหนานโปยังอยากได้ ก็จะต้องเป็นของดีอะไรแน่นอน แต่ตอนนี้ลูกชายเขาเป็นตายอย่างไรก็ไม่รู้ชัด เขาคาดหวังให้เรื่องตรงหน้ากระจ่างไวๆ มากกว่า


อดทนได้พักใหญ่ แต่สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “ท่านพ่อ ท่านให้ข้าบอกหนิวโหย่วเต๋อว่าจะช่วยเขาไกล่เกลี่ยความแค้นระหว่างเขากับพวกขุนนางใหญ่ตำหนักสวรรค์ ข้าไม่ค่อยเข้าใจ ถ้าแก้ไขได้ง่ายขนาดนั้น เหตุใดต้องรอจนถึงตอนนี้?”


โค่วหลิงซวีเข้าใจความรู้สึกของเขา อย่างไรเสียก็ยังไม่รู้ว่าโค่วเหวินไป๋เป็นหรือตาย เขาไม่สะดวกจะพูดอะไรที่สื่อว่าไม่สนใจความเป็นความตายของหลานชาย จึงส่งสายตาให้ถังเฮ่อเหนียน บอกใบให้อธิบายแทน


ถังเฮ่อเหนียนถอนหายใจแล้วบอกว่า “คุณชายใหญ่ คนที่พวกเราส่งไปตรวจสอบที่น้ำพุวังเวงพบพยานคนหนึ่งในที่เกิดเหตุที่น้ำพุวังเวง รู้มาจากปากเขาว่า ในที่เกิดเหตุมีกำลังพลตำหนักสวรรค์จำนวนมากปรากฏตัว”


โค่วเจิงอึ้งเล็กน้อย แล้วถามอย่างตกใจ “กำลังพลตำหนักสวรรค์ปราบปรามคนของตระกูลพวกเราเหรอ?”


ถังเฮ่อเหนียนพยักหน้า “เกรงว่าจะเป็นอย่างนี้ ดูจากสถานการณ์ที่ตรวจสอบได้ตอนเกิดเหตุ ในที่เกิดเหตุมีร่องรอยผ่านการโจมตีจากธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จำนวนมาก เยอะจนน่าตกใจ มีความเป็นไปได้สองอย่าง อย่างแรกคือกำลังพลฝ่ายพวกเราใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์โจมตีหลายครั้งตอนสู้กัน แต่จากข่าวที่ส่งกลับมาตอนสู้กัน ก็ไม่ได้ใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ซ้ำหลายครั้ง เช่นนั้นก็เหลือความเป็นไปได้อีกอย่าง นั่นก็คือกำลังพลกลุ่มใหญ่ของตำหนักสวรรค์ใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จำนวนมากโจมตี กำจัดกำลังพลของพวกเราในรวดเดียว กำลังพลของสี่อ๋องถึงได้ขาดการติดต่อไปพร้อมกัน”


โค่วเจิงเริ่มเบิกตากว้าง “กองทัพองครักษ์”


“เกรงว่าจะมีความเป็นไปได้” ถังเฮ่อเหนียนพยักหน้า “ตอนที่ได้ข่าวจากคุณชายใหญ่ ท่านอ๋องกับอีกสามอ๋องก็กำลังประชุมกันอยู่ พร้อมทั้งเรียกรวมจอมพลกับเทพประจำดาวที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มาด้วย ให้พยานที่ได้ตัวมาให้การต่อหน้าทุกคน”


โค่วเจิงตกใจอีกครั้ง “เช่นนั้นจอมพลกับเทพประจำดาวใต้สังกัดจะไม่รู้กันหมดเหรอว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”


ถังเฮ่อเหนียนถอนหายใจ “สี่อ๋องสวรรค์ร่วมกันยอมรับผิดขออภัยต่อจอมพลและเทพประจำดาวทุกคน แต่พอรู้ความจริงก็จัดการได้แล้ว อย่างน้อยก็เข้าใจแล้ว ว่าความผิดไม่ได้อยู่ที่สี่อ๋องสวรรค์ แต่ประมุขชิงจงใจจะใช้วิธีการโหดร้าย อย่างไรเสียผู้ที่ลงมือล้อมโจมตีตอนสุดท้ายก็คือกองทัพองครักษ์ ถ้าไม่มีคำสั่งจากประมุขชิง กองทัพองครักษ์จะกล้าทำอย่างนี้ได้ยังไง!”


โค่วเจิงกล่าวอย่างเดือดดาล “ทำไมประมุขชิงต้องทำอย่างนี้?” กองทัพองครักษ์ลงมือแล้ว เขาเดาว่าลูกชายตัวเองอาจจะไมรอดแล้ว กองทัพองครักษ์ไม่กลัวภูมิหลังตระกูลโค่วของเขา ความโกรธนี้ไม่รู้จะเอาไประบายที่ไหน


ถังเฮ่อเหนียนตอบว่า “ไม่อาจแน่ใจจุดประสงค์ที่ประมุขชิงทำอย่างนี้ แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่แน่ใจได้ นั่นก็คือเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะหนิวโหย่วเต๋อ ในเมื่อประมุขชิงใช้หนิวโหย่วเต๋อเป็นเป็นตัวนำเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ประการต่อมาก็กำลังช่วยหนิวโหย่วเต๋อเช่นกัน เพียงเพราะไม่อยากให้ตระกูลอิ๋งวางกับดักสำเร็จ ทั้งยังเก็บหนิวโหย่วเต๋อเอาไว้ควบคุมท่านอ๋องต่อได้ด้วย ขอเพียงหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้ สามารถกดให้อยู่ที่ตลาดผีต่อไปได้ ตระกูลอื่นๆ ก็จะต้องทรมานต่อไป มีประมุขชิงวางแผนอยู่เบื้องหลัง เกรงว่าสี่อ๋องล้วนไม่ได้อยู่อย่างสงบ”


“แล้วตอนนี้จะทำยังไง ปล่อยไปอย่างนี้น่ะเหรอ?” โค่วเจิงยกมือถาม


ถังเฮ่อเหนียนกล่าวช้าๆ “ประมุขชิงถ่ายทอดคำสั่งให้สี่อ๋องสวรรค์โดยตรงแล้ว บอกว่าสี่อ๋องสวรรค์ทำให้ใต้หล้าวุ่นวายมาก สั่งให้สี่อ๋องสวรรค์หยุดฝึกกำลังพลเดี๋ยวนี้ ผู้ที่ฝ่าฝืนถือว่าเป็นปฏิปักษ์ จะสั่งให้กองทัพองครักษ์ล้างเลือดปราบปราม ประหารเก้าชั่วโคตร! เป็นไปได้สูงว่าประมุขชิงจะได้รับการสนับสนุนจากตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว ไม่มีความพะว้าพะวงจากศึกใหญ่แล้ว ไม่อย่างนั้นจะใช้วิธีที่แข็งกร้าวอย่างนี้เหรอ!”


โค่วเจิงอยากจะเคลื่อนทัพใหญ่ยกธงก่อกบฏเสียเลย ในเมื่อประมุขชิงไม่อยากให้ทุกคนอยู่กันดีๆ เช่นนั้นก็อย่าได้คิดจะครองใต้หล้าเลย แต่เขาก็รู้ว่าแบบนี้เป็นเรื่องเพ้อฝัน ถ้าไม่เดินไปจนถึงขั้นสุดท้าย ก็ไม่มีใครอยากดึงตระกูลที่ยิ่งใหญ่และเกียรติยศความร่ำรวยที่ใช้ไม่หมดไปสู้กันจนตายไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย


แต่ความโกรธแค้นในใจเขายากจะหายไป ยังอดไม่ได้ที่จะกุมหมัดคารวะโค่วหลิงซวีเพื่อถามสิ่งที่ตัวเองเดาคำตอบได้แล้ว “ไม่ทราบว่าท่านพ่อมีความคิดเห็นอย่างไร?”


โค่วหลิงซวีก้มหน้าก้มตา


ถังเฮ่อเหนียนรีบตอบแทน “ประมุขชิงถ่ายทอดคำสั่งอย่างเปิดเผย ตระกูลเซี่ยโห้วก็แอบบอกบางอย่างที่แสดงท่าทีของประมุขชิงอีก ถ้าสี่ทัพถอนกำลังตอนนี้ ประมุขชิงก็จะปล่อยผ่านเรื่องที่แล้วมา จะทำเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แม้จอมพลและเทพประจำดาวสายต่างๆ เบื้องล่างจะแสดงท่าทีว่าฟังคำสั่งเพียงสี่อ๋องสวรรค์เท่านั้น แต่สี่อ๋องสวรรค์ล้วนดูออก ว่าทุกคนไม่ได้ยินดีจะสละชีวิตทำศึก อย่างไรเสียกองทัพองครักษ์ก็มีอาวุธที่และกำลังรบที่ได้เปรียบ สี่อ๋องร่วมมือกันถึงแม้จะมีกำลังเยอะกว่า แต่ต่อให้ชนะก็เป็นการชนะที่ย่อยยับ ไม่มีความก้าวหน้าอะไรอีก ผลสุดท้ายก็คือทั้งฝ่ายเราและประมุขชิงจะสู้กันจนเจ็บตัวทั้งสองฝ่าย มีแต่จะให้คนอื่นมาชุบมือเปิบตักตวง ผลประโยชน์ ทางฝั่งประมุขพุทธะไม่มีทางนิ่งดูดาย แต่ประมุขชิงก็แอบยื่นบันไดให้ทุกคนลงแล้ว ให้กำลังพลเบื้องล่างยอมรับความเสียหายจากการออกล่าที่น้ำพุวังเวง หลังจากชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสีย สี่อ๋องสวรรค์ทำได้เพียงตอบกลับว่ายินดีน้อมรับบัญชาประมุขชิง!”


โค่วเจิงส่ายหน้าช้าๆ บนใบหน้าเผยรอยยิ้มฝืนทน กล่าวว่า “ครั้งนี้ประมุขชิงลงมือกับลูกหลานของตระกูลต่างๆ แล้ว แสดงเขี้ยวเล็บออกมาบ้างแล้ว คำพูดของเขายังเชื่อได้อีกเหรอ?”


ถังเฮ่อเหนียนบอกว่า “ดังนั้นย่อมต้องแอบมีเงื่อนไขในการถอนกำลัง ตั้งแต่วันนี้ไป เกรงว่าท่านอ๋องคงจะไม่ไปเข้าร่วมประชุมราชสำนักที่วังสรรค์อีกแล้ว ต้องให้คุณชายใหญ่เข้าประชุมแทน”


“หา!” โค่วเจิงหลุดออกมาจากความโกรธทันที ยังนึกว่าตัวเองฟังผิดไป ถามอย่างทำใจเชื่อได้ยากว่า “ให้ข้าเข้าประชุมราชสำนัก? แล้วท่านพ่อล่ะ?”


ถังเฮ่อเหนียนอธิบายว่า “นี่เป็นสิ่งที่ตระกูลเซี่ยโห้วแอบบอกเป็นการส่วนตัว ส่วนจอมพลและเทพประจำดาวใต้สังกัดก็กลัวแล้วเช่นกัน กังวลว่าจะเกิดสภาพมังกรไร้หัว ทยอยกันขอให้สี่อ๋องสวรรค์รักษากำลังทหารไว้ให้มั่นคง เพราะฉีกหน้ากันไปแล้วรอบหนึ่ง จึงอย่าไปเสี่ยงอันตรายที่วังสรรค์เลย เจตนาของฝูงชนยากจะฝ่าฝืน ดังนั้นตั้งแต่นี้ไป สี่อ๋องสวรรค์จะหาทำเลอื่นสร้างจวนอ๋องสวรรค์ใหม่ในอาณาเขตของสี่ทัพ ออกจากวังสรรค์เพื่อป้องกันเหตุล่วงหน้า ขณะเดียวกันก็เลือกทายาทสักคนให้เป็นตัวแทนเข้าประชุมราชสำนัก ตระกูลโค่วก็ย่อมเป็นคุณชายใหญ่อยู่แล้ว”


“ประมุขชิงจะตอบตกลงเหรอ?” โค่วเจิงปละหลาดใจ


ถังเฮ่อเหนียนตอบว่า “ตอบตกลงแล้ว ในเมื่อตระกูลเซี่ยโห้วแอบบอกมาอย่างนี้ เกรงว่าคงจะมีตระกูลเซี่ยโห้วแอบกดดันวังสรรค์อยู่ เรื่องราววุ่นวายถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าตระกูลเซี่ยโห้วยืนฝั่งสี่อ๋องสวรรค์ ประมุขชิงอาศัยแค่กองทัพองครักษ์ในมือก็นับว่ามีโอกาสชนะมากนัก ดังนั้นเขาจึงต้องตอบตกลง และเมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ข้างบนข้างล่างยากจะกลมเกลียวเป็นหนึ่งเดียวกัน ก็สอดคล้องกับผลประโยชน์ของตระกูลเซี่ยโห้วที่สุด ไม่อย่างนั้นตระกูลเซี่ยโห้วจะออกแรงช่วยขนาดนี้ทำไม จิ้งจอกเฒ่าเซี่ยโห้วท่านั่นนั่งอยู่ในที่มืดไม่พูดอะไร ครั้งนี้นับเป็นโอกาสให้ตักตวง แน่นอน สี่อ๋องสวรรค์ก็ไม่พลาดโอกาสลงมือเช่นกัน ต่างคนต่างทวงขอธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์สองล้านคันจากวังสรรค์”


“ประมุขชิงตอบตกลงแล้วเหรอ?” โค่วเจิงถาม


ถังเฮ่อเหนียนพยักหน้า “ตอบตกลงว่าจะจัดสรรให้แล้ว การอยากปกครองใต้หล้าก็คือจุดอ่อนใหญ่ที่สุดของประมุขชิง ทว่าในเมื่ออยากจะครองใต้หล้า จะไม่เด็ดขนสักเส้นเลยได้อย่างไรล่ะ? มิหนำซ้ำก็ต้องชดเชยให้พวกจอมพลกับเทพประจำดาวที่สูญเสียที่น้ำพุวังเวง ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนั้นย่อมเป็นของดีที่สุดในการปลอบประโลมใจคน”


โค่วเจิงถอนหาใจเบาๆ “ถ้ารู้อย่างนี้ตั้งแต่แรก ประมุขชิงทำไมต้องทำให้วุ่นวายอย่างนี้”


ถังเฮ่อเหนียนบอกว่า “พวกท่านอ๋องเดาว่า ประมุขชิงลงมือแบบนี้เพราะอยากจะทดสอบท่าทีของพวกท่านอ๋อง นี่ก็คือลักษณะการทำงานของเขา ถ้าพวกท่านอ๋องยอมถอย เขาก็จะยอมถอยเช่นกัน พวกท่านอ๋องจึงแข็งใจปล่อยวาง ถึงอย่างไรเขาก็ไม่สูญเสียอะไร เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าครั้งนี้สี่อ๋องสวรรค์จะมีปฏิกิริยารุนแรงขนาดนี้”


โค่วเจิงพยักหน้าเงียบๆ จากนั้นก็สงสัยอีก “แล้วนี่เกี่ยวอะไรกับการแกไขความแค้นระหว่างหนิวโหย่วเต๋อกับทุกคน?”


ถังเฮ่อเหนียนเอามือขยี้เครา “จะว่าไปแล้วก็ได้วิธีการนี้ก็มาเพราะความบังเอิญ มีการเคลื่อนย้ายกำลังพลในใต้หล้า ทางวังสรรค์คงอยากสอดแนมกองทัพ ฝั่งพวกเราจับตัวสายลับของหน่วยตรวจการขวาได้คนหนึ่ง สายลับคนนั้นจะเป็นจะตายก็ไม่ยอมสารภาพอะไร ในเวลาแบบนี้บ่าวก็ไม่กล้าประมาท เตรียมจะไปดูด้วยตัวเองว่าอะไรเป็นอะไรแล้วค่อยตัดสินชี้ขาด แต่พอไปถึงประตูคุกกลับได้ยินสายลับนั่นพูดจาถากถางโดยไม่ได้ตั้งใจ ถึงแม้จะเป็นคำพูดถากถางหยอกล้อท่านอ๋อง แต่กลับต้องยอมรับว่าคำพูดไม่กี่ประโยคนั่นแทงใจดำ”


พอพูดถึงตรงนี้ เขาก็กุมหมัดขออภัยโค่วหลิงซวี แล้วพูดต่อไปว่า “หลังจากบ่าวกลับมาบอกท่านอ๋อง ท่านอ๋องก็เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง จึงถือโอกาสคุยกับอีกสี่อ๋องพอดี เป้าหมายที่ประมุขชิงกดหนิวโหย่วเต๋อไว้ที่ตลาดผี ทุกคนต่างรู้กันหมดแล้ว ตอนหลังก็ยิ่งเกิดเป็นผลลัพธ์ที่เลวร้ายอย่างที่เห็น จากเรื่องนี้จะเห็นได้ชัดเจนว่าประมุขชิงช่วยเหลืออยู่เบื้องหลังหนิวโหย่วเต๋อ ต่อให้ลงมือยังไงแต่ก็ยากที่จะทำอะไรหนิวโหย่วเต๋อได้ ยังจะคิดไม่ได้เชียวเหรอ ยังจะปล่อยให้ประมุขชิงปั่นเล่นอยู่เบื้องหลังอีกเหรอ? ที่จริงพวกเราตกอยู่ในวงจรอุบาทว์แล้วยากจะถอนตัว ดังนั้นตั้งแต่นี้ไปทุกคนก็ไม่ต้องสนใจหนิวโหย่วเต๋อแล้ว ให้เขารับผลกรรมเอาเอง และอย่าไปหาเรื่องเขาด้วย ให้เขาอยู่ที่ตลาดผีตลอดไปเลยก็แล้วกัน ให้ประมุขชิงเล่นไปคนเดียว ทุกคนไม่ต้องสนใจเขา เป็นไปไม่ได้ที่ประมุขชิงจะย้ายหนิวโหย่วเต๋อกลับมากองทัพองครักษ์อีก ถ้าเขายินดีจะย้ายกลับไป อยากจะขึ้นหรืออยากจะลงก็ตามใจเขา หนิวโหย่วเต๋อเคยทรยศประมุขชิงมาก่อน ผ่านเรื่องนั้นจนมีช่องโหว่มาแล้ว อีกทั้งประมุขชิงยังขี้ระแวง เป็นไปไม่ได้ที่คิดจะเลี้ยงหนิวโหย่วเต๋อไว้เป็นลูกน้องคนสนิทอีก


ทุกคนไม่ต้องกังวลแล้วว่าหนิวโหย่วเต๋อจะเติบโตไปมากกว่านี้ จะย้ายหนิวโหย่วเต๋อกลับมาตักตวงผลประโยชน์ที่ตลาดสวรรค์อีกน่ะเหรอ? แบบนั้นจะไม่ทำให้หนิวโหย่วเต๋อได้ประโยชน์หรือไง? ไม่สู้โยนหนิวโหย่วเต๋อไว้ที่ตลาดผีต่อไปดีกว่า ดังนั้นขอเพียงทุกคนวางมือ ชาตินี้หนิวโหย่วเต๋อคงจะต้องเป็นแม่ทัพภาคที่ตลาดผีไปทั้งชีวิตแล้ว พอเป็นแบบนี้ก็จะได้ชื่อว่าสมปรารถนาท่านอ๋องเช่นกัน ทุกคนล้วนได้หลุดพ้นแล้ว ไม่อย่างนั้นถ้าลงมืออีกก็จะเป็นการสู้กับประมุขชิง มีตระกูลอิ๋งเป็นบทเรียนให้เห็นแล้วนี่ ถ้าไม่กลัวเกิดปัญหาก็ลองอีกได้ เหตุผลก็อธิบายไว้ชัดเจนแล้ว เมื่อลองชั่งน้ำหนักดูทุกคนก็ย่อมตอบตกลง แน่นอน นี่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าท่านอ๋องรับประกันกับอีกสามอ๋องว่าจะไม่เลี้ยงหนิวโหย่วเต๋ออีก ถ้าหากทรยศ อีกสามอ๋องก็จะร่วมมือกันบีบให้ตระกูลโค่วต้องจ่าย! เฮ้อ ในที่สุดก็แก้ไขเรื่องหนิวโหย่วเต๋อได้แล้ว!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)