คัมภีร์วิถีเซียน 1688-1691

ตอนที่ 1688 ศาสตรายุทธ์สวรรค์ทมิฬศักด...

 

บุรุษของเผ่าราชามหาสมุทรเห็นสือคุนเคลื่อนไหว ก็มีสีหน้าโหดเหี้ยม มือหนึ่งตะปบไปเบื้องหน้า ชั่วขณะนั้นลำแสงสีฟ้าพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ง้าวสามง่ามที่แต่เดิมสะพายอยู่ที่หลัง พลันปรากฏขึ้นในมือของเขา


จากนั้นเสียงฟ้าผ่าก็ดังขึ้น ประจุไฟฟ้าสีเงินขาวปรากฏขึ้นตรงหน้าใบมีดนี้เป็นสายๆ แผ่กลิ่นอายน่าตกตะลึงออกมา


“ช้าก่อน!”


“พี่สือ หยุดก่อน!”


แทบจะอุทานออกมาพร้อมกัน หญิงสาวน่าเย้ายวนของเผ่าราชามหาสมุทรและหลิวสุ่ยเอ๋อร์อุทานออกมาพร้อมกัน


จากนั้นข้างหูของบุรุษของเผ่าราชามหาสมุทรพลันมีเสียงถ่ายทอดเสียงก้องกังวานของสหายร่วมวิถีดังขึ้น


“ท่านพี่ ท่านลืมเป้าหมายของพวกเราไปแล้วหรือ ยามนี้ไม่ใช่เวลามาต่อสู้กัน พวกเรายังมีภารกิจสำคัญ”


“ขอแค่ปล่อยวาฬศักดิ์สิทธิ์เก้าเนตรออกมาได้ สามคนนี้ก็ไม่ต้องพูดถึง” แม้ว่าร่างกายของบุรุษเผ่าราชามหาสมุทรจะหยุดชะงักอยู่ที่เดิมตามคำพูด แต่ริมฝีปากก็ขยับน้อยๆ ถ่ายทอดเสียงกลับไปเช่นกัน ท่าทางไม่เห็นสือคุนและพวกทั้งสามอยู่ในสายตา


“แม้ว่าข้าจะชักชวนวาฬศักดิ์สิทธิ์เก้าเนตรได้ แต่หากไม่ถึงคราวจำเป็นก็อย่าปล่อยมันออกมา มิเช่นนั้นหากปล่อยให้มันลงมือ ก็อาจจะทำให้มันโกรธเกรี้ยวได้ ถึงอย่างไรเสียโลหิตเผ่าราชาในตัวของน้องหญิงก็ไม่นับว่าเข้มข้นนัก ทำได้เพียงฝืนติดต่อกับวาฬศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น และยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าเผ่าของข้าและเผ่าแมลงมีเขาจะเป็นพันธมิตรกัน แต่ก็ไม่มีได้ความสัมพันธ์ได้เปรียบเสียเปรียบกับเมฆาสวรรค์ ไม่จำเป็นต้องทำให้เสียเรื่องเพราะเขา” หญิงสาวเผ่าราชามหาสมุทรเอ่ยชักจูง


“เช่นนั้นหรือ…” บุรุษเผ่าราชามหาสมุทรได้ยินก็ลังเลตัดสินใจไม่ได้


แทบจะในเวลาเดียวกันนั้น ข้างหูของสือคุนก็มีเสียงของหลิวสุ่ยเอ๋อร์ดังขึ้น


“พี่สือ พวกเราเพิ่งจะสลัดอสูรลับหลุด สูญเสียพลังปราณในร่างไปไม่น้อย เผ่าราชามหาสมุทรสองคนนี้ก็ไม่ใช่คนธรรมดา แม้ว่ายามนี้จะมีพี่หานคอยช่วยเหลือ แต่หากต่อกรกับพวกเขาก็ต้องเสียหายไม่น้อย เป้าหมายหลักในการเดินทางครั้งนี้ของพวกเราคือการทลายเขตอาคม อย่าเสียเวลาเลยจะดีกว่า”


“ต่อให้พวกเราไม่ยอมลงมือ ก็ต้องให้อีกฝ่ายตอบรับถึงจะถูก” สือคุนกลับมีสีหน้าเคร่งขรึม แค่นเสียงหึด้วยความเย็นชา


“เรื่องนี้วางใจได้ ให้น้องหญิงไปต่อรองกับอีกฝ่าย หากอีกฝ่ายมีเจตนาไม่ดีจริงๆ จะลงมือให้ได้ล่ะก็ เราสองคนร่วมมือกับสหายหาน ย่อมไม่มีทางหวาดกลัวพวกเขา” เสียงของหลิวสุ่ยเอ๋อร์เย็นเยียบ


จากนั้นนางพลันถ่ายทอดเสียงให้หานลี่เบาๆ


หานลี่ได้ฟัง แววตาพลันเปล่งประกายสว่างวาบ แล้วพยักหน้าน้อยๆ


ดังนั้นหลิวสุ่ยเอ๋อร์จึงรู้สึกผ่อนคลายลง ส่งยิ้มบางๆ ให้ฝั่งตรงข้าม แล้วเอ่ยด้วยเสียงไพเราะว่า “สิบสามเผ่าเมฆาสวรรค์ของพวกเราดูเหมือนจะไม่ได้ความขัดแย้งกับเผ่าท่าน พวกเราต้องสู้กันให้ตายไปข้างจริงๆ หรือ ข้าว่าสหายทั้งสองน่าจะไม่มั่นใจว่าจะสังหารพวกเราทั้งสามได้ หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็ ไม่สู้ทำเป็นมองไม่เห็นกันและกัน พวกเราก็ทำธุระของตนเองเป็นอย่างไร?”


“พี่หญิงพูดถูก พวกเราพี่น้องไม่ใช่คนของเผ่าแมลงมีเขา แน่นอนว่าย่อมไม่จำเป็นต้องพบหน้าแล้วทำการต่อสู้ ในเมื่อพี่หญิงกล่าวเช่นนี้ พี่น้องอย่างพวกเราก็ขอตัวก่อน” หญิงสาวเผ่าราชามหาสมุทรได้ยินหลิวสุ่ยเอ๋อร์กล่าวเช่นนี้ ใบหน้าก็คลี่ยิ้มเบิกบาน และเอ่ยอย่างเห็นด้วย


จากนั้นนางก็ส่งสายตาให้บุรุษเผ่าราชามหาสมุทร ไอสีขาวที่กลายท่อนล่างแผ่ขยายออกไปแล้วหมุนวน ชั่วครู่ก็ม้วนบุรุษเอาไว้ข้างใน


บุรุษเผ่าราชามหาสมุทรลังเลเล็กน้อย ไม่ได้มีท่าทีขัดแย้งใดๆ


ดังนั้นไอสีขาวใต้ร่างของทั้งสองพลันผสมรวมกัน กลายเป็นลำแสงสีขาวพุ่งแหวกอากาศไป แค่กะพริบวาบสองสามคราก็ไปอยู่ไกลลิบ สุดท้ายลำแสงก็หม่นแสงลงแล้วสลายหายไป


หานลี่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม แต่จ้องเขม็งไปยังทิศทางที่อีกฝ่ายหายวับไป หัวคิ้วขมวดมุ่น


ไม่รู้เพราะเหตุใดในร่างของหญิงสาวเผ่าราชามหาสมุทรถึงมีพลังสองกลุ่มที่ไม่เหมือนกัน แต่ก็ทำให้เขารู้สึกไม่ปลอดภัย ทำให้เขารู้สึกหวาดหวั่น


ดูแล้วไม่ใช่เพราะหญิงสาวผู้นั้นฝึกฝนอิทธิฤทธิ์ที่ร้ายกาจอันใด ก็ต้องมีสมบัติที่น่ากลัวแน่


หานลี่อดจะคิดเช่นนั้นไม่ได้ ยามนั้นจึงคิดถึงพวกอสูรวิญญาณ


ถึงอย่างไรเสียปกติแล้ว นอกจากเผ่าที่ควบคุมอสูรวิญญาณแมลงวิญญาณโดยเฉพาะแล้ว อสูรวิญญาณปกติมักมีอิทธิฤทธิ์ต่ำกว่าเจ้าของอยู่ไม่น้อย เป็นได้เพียงเครื่องมือช่วยเหลือในยามต่อสู้เท่านั้น


แต่พวกเขาทั้งสามคนล้วนไม่ได้รอคอยอยู่ที่เดิม หลังจากปรึกษากันเล็กน้อยก็ทยอยกันขับเคลื่อนลำแสงหลีกหนี พุ่งตรงไปอีกด้าน


……


ในเวลาเดียวกันบุรุษและหญิงสาวเผ่าราชามหาสมุทรในลำแสงสีขาวที่หนีมาได้หมื่นลี้ก็กำลังพูดคุยกันด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“อันใดนะ เจ้าผู้ที่อยู่ในระดับเผ่าเบื้องบนขั้นที่เจ็ดอันตรายยิ่งกว่าสองคนแรก?” บุรุษมีสีหน้าตกตะลึงระคนสงสัย


“ใช่แล้ว นี่เป็นอีกสาเหตุที่เมื่อครู่ข้าห้ามไม่ให้สู้รบกัน แค่เมื่อครู่ไม่มีจังหวะ ข้าจึงไม่สะดวกจะอธิบายกับท่านพี่” หญิงสาวเผ่าราชามหาสมุทรลูบไล้เส้นผมสีดำสนิทตรงหัวไหล่ แล้วเอ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจ


“เจ้ากล่าวเช่นนี้ จะต้องมีหลักฐานแน่ ไหนลองบอกให้ข้าฟังซิ” บุรุษเผ่าราชามหาสมุทรเก็บสีหน้าตกตะลึง แต่แววตากลับฉายแวววาวโรจน์พลางเอ่ยซักถาม


“ศาสตรายุทธ์สวรรค์ทมิฬศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นของลอกเลียนแบบจากสมบัติสวรรค์ทมิฬในตัวข้ามีปฏิกิริยาตอบสนอง” หญิงสาวเงียบขรึมไปเล็กน้อย แต่ก็เอ่ยออกมา


“อันใดนะ ศาสตรายุทธ์สวรรค์ทมิฬศักดิ์สิทธิ์มีปฏิกิริยาตอบสนอง! หรือว่าเจ้านั้นเองก็มีศาสตรายุทธ์สวรรค์ทมิฬศักดิ์สิทธิ์?” บุรุษเผ่าราชามหาสมุทรเกือบจะกระโดดขึ้นมาจากลำแสงสีขาว ใบหน้าเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา


“อาจจะใช่ แต่ก็ไม่แน่ ศาสตรายุทธ์ในร่างกายของข้ามีปฏิกิริยาตอบสนองรุนแรงมาก ดูเหมือนจะไม่ได้อยู่ในระดับที่เคยพบคนอื่นๆ ที่มีศาสตรายุทธ์ศักดิ์สิทธิ์เหมือนในเผ่า” หญิงสาวเอ่ยอย่างเนิบช้า


“ไม่ใช่ศาสตรายุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ เช่นนั้นก็คือสมบัติสวรรค์ทมิฬ! เป็นไปไม่ได้สมบัติระดับนั้นจะมาอยู่กับระดับเผ่าเบื้องบนขั้นที่เจ็ดได้อย่างไร ฮ่าๆ น้องหญิงอาจจะเข้าใจผิด” หางตาของบุรุษเผ่าราชามหาสมุทรกระตุกสองสามครั้ง แต่กลับหัวเราะร่า


อานุภาพของสมบัติสวรรค์ทมิฬ ในฐานะของสมาชิกที่มีโลหิตของเผ่าราชาของเผ่าราชามหาสมุทร จะไม่รู้จักมันได้อย่างไร


“อาจจะเป็นเพราะข้ายังไม่คุ้นเคยกับการควบคุมศาสตรายุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ จึงรู้สึกผิดไป ถึงอย่างไรเสียเหล่าอาวุโสก็มอบศาสตรายุทธ์สวรรค์ทมิฬศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้สำรวจโดยเฉพาะให้เพราะการเดินทางครั้งนี้ แต่แม้ว่าจะมีโอกาสแค่หนึ่งในสิบส่วน หากอีกฝ่ายมีสมบัติสวรรค์ทมิฬจริง ผลที่มาจากการที่ข้าและคนอื่นๆ เพลี่ยงพล้ำคืออันใด ท่านพี่ก็น่าจะรู้ดี” หญิงสาวเผ่าราชามหาสมุทรกลับถอนหายใจออกมาเบาๆ


“ศาสตรายุทธ์สวรรค์ทมิฬศักดิ์สิทธิ์และสมบัติสวรรค์ทมิฬแตกต่างกันเป็นอย่างมาก แม้ว่าจะมีวาฬศักดิ์สิทธิ์เก้าเนตรช่วยเหลือ พวกเราก็ไม่อาจเอาชนะได้ เช่นนั้นเมื่อครู่กลับเป็นพวกเราที่รอดชีวิตมาได้” บุรุษเผ่าราชามหาสมุทรอดที่จะหัวเราะอย่างขมขื่นไม่ได้


“นั่นก็ไม่แน่ มีสมบัติสวรรค์กับควบคุมสมบัตินี้ได้นั้นมันคนล่ะเรื่อง โดยปกติแล้วผู้ที่อยู่ในระดับเผ่าเบื้องบนนั้นไม่อาจกระตุ้นสมบัติสวรรค์ทมิฬได้ ทว่าในโลกนี้มีเคล็ดวิชาลับที่หายากอยู่สองสามชนิด ที่ทำให้ระดับนี้พอจะกระตุ้นอานุภาพของสมบัติสวรรค์ทมิฬได้นิดหน่อย ทว่าข้ากลับรู้สึกว่าในร่างของอีกฝ่ายไม่ใช่สมบัติสวรรค์ทมิฬ แต่เป็นของลอกเลียนแบบขั้นสุดยอดอีกชิ้นอย่างศาสตรายุทธ์สวรรค์ทมิฬศักดิ์สิทธิ์ระดับสุดยอด นั่นอาจจะมีโอกาสมากกว่าสมบัติสวรรค์ทมิฬหลายส่วน หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็ สู้รบกับคนผู้นี้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ชาญฉลาดนัก” หญิงสาวลังเลเล็กน้อย กลับเอ่ยเช่นนี้ออกมา


“ใช่แล้ว แปดเก้าส่วนน่าจะอย่างสุดท้าย” บุรุษเผ่าราชามหาสมุทรได้ยินก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วยระรัว


“ไม่ว่าอย่างไรเจ้านี้ก็ไม่ได้มีจุดประสงค์เดียวกันกับพวกเราแน่ คงไม่ได้พบกับพวกเขาอีก เราสองคนเองก็ไม่ต้องคิดมาก ขอแค่ทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายมาให้สำเร็จ ก็นับว่าได้ความดีความชอบใหญ่แล้ว กลับไปคงได้รางวัลใหญ่ จะว่าไปแล้วก็นับว่าพวกเราโชคดี ต้องขอบคุณการทำงานหนักของบรรพบุรุษที่เข้ามาในแดนกว้างเย็นก่อนหน้า เราสองคนถึงได้มีโอกาสได้รางวัลใหญ่นี้” หญิงสาวฉีกยิ้มเบิกบานให้กับท่านพี่


“ก็ใช่ ต่อให้คนผู้นั้นอันตรายขนาดไหน ก็ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา พวกเรารีบทำธุระเถิด ใช่แล้ว จะว่าไปแล้วสองสามวันก่อนที่บังเอิญพบคนของเผ่าแมลงมีเขานั้นมีท่าทีลับๆ ล่อๆ ดูเหมือนว่าจะมีแผนการอันใดสักอย่าง ก่อนที่พวกเขาจะเข้ามา ก็ดูเหมือนว่าจะบินไปทางเดียวกันกับคนของเผ่าเมฆาสวรรค์ คงไม่บังเอิญพบกันจริงๆ หรอกกระมัง” บุรุษเผ่าราชามหาสมุทรขบคิดเล็กน้อย ฉับพลันนั้นก็เอ่ยด้วยสีหน้าแปลกประหลาด


“เรื่องนี้ผู้ใดจะรู้ล่ะ ทว่าแดนกว้างเย็นกลางใหญ่ถึงเพียงนี้ อัตราที่ทั้งสองเผ่าจะบังเอิญมาพบกันก็มีไม่มากนัก แต่หากพบกันก็คงไม่แยกทางกันเหมือนพวกเรา แน่นอนว่าต้องสู้กันจนตายไปข้าง หากอยู่ที่นั่นไม่แน่ว่าอาจจะรู้ว่าสมบัติในร่างของคนผู้นั้นคือสมบัติอันใดก็เป็นได้” หญิงสาวเผ่าราชามหาสมุทรกระตุกมุมปาก ดวงตาทั้งสองข้างเปล่งประกาย


“หึๆ พวกเราไม่มีทางชมเรื่องนี้กับตาตัวเองได้ ไปกันเถิด อีกเดือนกว่าน่าจะถึงเป้าหมายแล้ว” บุรุษเผ่าราชามหาสมุทรหัวเราะหึๆ ออกมา ไม่รอให้หญิงสาวตอบกลับอันใด ก็กระตุ้นลำแสงหลีกหนี


ชั่วขณะนั้นลำแสงสีขาวพลันเพิ่มความเร็วขึ้นกว่าเดิมสามส่วน พุ่งตรงไป


หญิงสาวเผ่าราชามหาสมุทรย่อมไม่มีความคิดเห็น ลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบ แล้วกระตุ้นความเร็วลำแสงหลีกหนีเช่นกัน


……


หานลี่ย่อมไม่รู้ว่าที่บังเอิญพบกับคนของเผ่าราชามหาสมุทรในวันนี้ คาดไม่ถึงว่าจะมองความลับของเขาออกหลายส่วน


ทันใดนั้นแม้ว่าหญิงสาวเผ่าราชามหาสมุทรเองก็ไม่รู้ว่า ยามนั้นที่เผชิญหน้ากับหานลี่แล้วสัมผัสสมบัติได้นั้น คาดไม่ถึงว่าจะเป็นแค่ใบมีดชำรุดสวรรค์ทมิฬที่หานลี่ซ่อนไว้เท่านั้น ส่วนผลสวรรค์ทมิฬที่ผนึกอยู่ในแขนของเขา กลับไม่ใช่สิ่งที่ศาสตรายุทธ์สวรรค์ทมิฬศักดิ์สิทธิ์ในร่างของหญิงสาวผู้นี้สัมผัสได้


เขาในยามนี้ค่อยๆ บินอยู่เหนือทุ่งหญ้าพร้อมกับอีกสองคน


“ความหมายของพี่หานคือให้พักผ่อนที่นี่สักสองสามวัน จากนั้นค่อยเดินทางต่อ ไม่จำเป็นกระมัง แม้ว่าตอนที่อยู่ในป่าลับข้าและสหายสือจะสูญเสียพลังปราณไปมาก แต่ขอแค่ลดความเร็ว แล้วค่อยๆ ดูดซับพลังจากหินวิญญาณอย่างช้าๆ ก็สามารถฟื้นฟูได้แล้ว” หลิวสุ่ยเอ๋อร์เอ่ยกับหานลี่อย่างประหลาดใจเล็กน้อย


“แม้เซียนหลิวจะพูดไม่ผิด แต่อันตรายในแดนกว้างเย็นก็ดูเหมือนจะมากกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ แค่ป่าอสูรลับก็ยุ่งยากเพียงนี้ ระยะทางต่อจากนี้เกรงว่าอันตรายคงไม่ต่างกันเท่าใดแน่ หากได้ฟื้นฟูพลังปราณสักวัน ก็ควรจะรีบฟื้นฟู และยิ่งไปกว่านั้นเซียนยังไม่ใช่แค่สูญเสียพลังปราณไม่หยุด! เกรงว่าก็สูญเสียปราณแท้ไปไม่น้อยเช่นกันสินะ” หลังจากที่หานลี่หัวเราะน้อยๆ  ออกมา กลับเอ่ยอย่างมีเลศนัย


“พี่หานช่างดวงตาเฉียบแหลมนัก! แต่หากเสียเวลาเพราะเหตุนี้…” หลิวสุ่ยเอ๋อร์กลับลังเลเล็กน้อย


“เซียนหลิว พี่หานพูดมีเหตุผล หากไม่ฟื้นฟูพลังปราณแล้วเดินทางต่อ นั่นไม่ใช่การกระทำที่ชาญฉลาดนัก ผู้แซ่สือเองก็ต้องพักผ่อนสักสองสามวันเช่นกัน ไม่สู้หาที่ปลอดภัยแถวๆ นี้ นั่งสมาธิสักสองสามวันเถิด” สือคุนเองก็เอ่ยปากขึ้น



 

 

 


ตอนที่ 1689 อันตราย

 

ได้ยินสือคุนเองก็กล่าวเช่นนี้ หลิวสุ่ยเอ๋อร์เองก็ขมวดคิ้วดำขลับอยู่ชั่วครู่ ในที่สุดก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วเอ่ยเห็นด้วย


ทว่ายามนี้อยู่ห่างจากจุดที่แยกกับเผ่าราชามหาสมุทรไม่ไกลนัก แน่นอนว่าย่อมไม่อาจนั่งพักผ่อนอยู่ที่นี่ได้


มิเช่นนั้นหากทั้งสองคนนั้นเปลี่ยนใจ หรือพาอสูรโหดเหี้ยมและเผ่าคนอื่นๆ มา หานลี่และพวกทั้งสามก็จะตกอยู่ในอันตรายทันที


ดังนั้นหานลี่และพวกทั้งสามจึงบินต่อไปอีกครึ่งวัน ในที่สุดก็มองเห็นภูเขาสีเขียวอ่อนอยู่ไกลๆ ด้านในมีไอวิญญาณหนาแน่นมาก


เพื่อความปลอดภัย ทั้งสามจึงใช้จิตสัมผัสกวาดมองบนภูเขาขึ้นๆ ลงสองสามรอบ


ผลคือทั้งสามล้วนรู้สึกปลอดภัยขึ้น


แม้ว่าภูเขานี้จะไม่สูงนัก แต่ในภูเขาก็มีอสูรหมาป่าสีเทาตั้งรกรากอยู่กลุ่มหนึ่ง แต่พลังยุทธ์ก็ต่ำต้อยเป็นอย่างมาก ตัวที่ร้ายกาจที่สุดนั้นมีพลังยุทธ์อยู่ในระดับสร้างปราณเท่านั้น


เช่นนั้นลำแสงหลีกหนีของทั้งสามคนจึงร่อนลงมา แน่นอนว่าย่อมถือโอกาสสังหารมันไปจนเกลี้ยง


ถ้ำบนสันเขาอสูรหมาป่าฝูงนี้เองก็ไม่เลวนัก ไอวิญญาณหนาแน่นมาก และมีกลิ่นประหลาดๆ แต่หลังจากถูกหลิวสุ่ยเอ๋อร์ใช้เคล็ดวิชาธาตุน้ำทำความสะอาดรอบหนึ่งแล้ว ก็กลับมาสะอาดเป็นอย่างมาก


ทั้งสามคนล้วนยึดครองถ้ำนั้น แล้วนั่งสมาธิอยู่คนละมุม


สามวันผ่านไปในพริบตา


เมื่อหานลี่โคจรพลังปราณในร่างเสร็จสิ้น ก็ดูเหมือนว่าจะสัมผัสอันใดได้ จึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นแล้ว กวาดมองไป


หญิงสาวสวมงอบนั่งสมาธิอยู่อีกด้าน พลันลืมตางดงามขึ้นพอดี และประสานสายตาเข้ากับหานลี่พอดี


หญิงสาวผู้นี้แววตาเปล่งประกายสว่างวาบ เห็นได้ชัดว่าฟื้นฟูพลังปราณเสร็จแล้ว


“ยินดีกับท่านเซียนที่ฟื้นฟูพลังปราณได้เหมือนเดิมแล้ว” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ


“น้องหญิงละอายใจนัก ที่ต้องเป็นภาระของพี่หาน” หลิวสุ่ยเอ๋อร์กลับถอนหายใจออกมาเบาๆ


“หึๆ ที่อยู่ในป่าลับก่อนหน้านี้หากไม่ใช่เพราะท่านเซียนหลิวดึงความสนใจของอสูรลับระดับสูงสี่คนเอาไว้ ข้าและสหายสือจะออกมาได้อย่างปลอดภัยได้อย่างไร” หานลี่กลับเอ่ยอย่างราบเรียบ


“ฮ่าๆ พี่หานกล่าวเช่นนี้ ผู้แซ่สือก็ไม่กล้าเห็นด้วย จากพลังยุทธ์ที่ลึกล้ำยากจะคาดเดาของพี่หาน บางทีอาจจะไม่อาจสังหารอสูรลับเหล่านั้นเพียงลำพังได้ทั้งหมด แต่การฝ่าวงล้อมออกมานั้น เกรงว่าคงทำได้สบายๆ ข้าและเซียนหลิวแค่เสียงพลังปราณไปเล็กน้อยเท่านั้น ก็สามารถทะลวงผ่านอันตรายจากป่าอสูรลับมาได้ เป็นผลดีที่คาดไม่ถึงจริงๆ” สือคุนที่อยู่อีกมุมของถ้ำเองพลันลืมตาขึ้นอย่างคาดไม่ถึง และเอ่ยปากแทรกขึ้นพร้อมกับหัวเราะร่า


“สหายทั้งสองเองก็มองผู้แซ่หานสูงเกินไป ข้าน้อยมีอิทธิฤทธิ์อยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นการโจมตีเท่านั้น หากถูกอสูรลับจำนวนมากล้อมเอาไว้ จะรักษาชีวิตเอาไว้ได้หรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่พูดยากแล้ว หึๆ กลับเป็นสหายสือที่มีกายเนื้อแข็งแกร่ง ขอแค่ไม่ปะทะตรงๆ ก็สามารถฝ่าวงล้อมไปได้สบายๆ” หานลี่ลูบใต้คาง แล้วเผยท่าทีอมยิ้มออกมาให้สือคุน


“ก็อาจจะกระมัง ในเมื่อเซียนหลิวฟื้นฟูพลังปราณกลับมาแล้ว พวกเราก็ออกเดินทางกันเถิด รีบหาเขตอาคมซากปรักหักพังดีกว่าจะได้หมดห่วง” สือคุนเองก็หัวเราะออกมาเบาๆ  แล้วพลันยืนขึ้น


หานลี่และหลิวสุ่ยเอ๋อร์พลันมองสบตากันแวบหนึ่ง กลับไม่มีข้อโต้แย้งอันใด


หลังจากผ่านไปชั่วครู่ตรงสันเขาก็มีสายรุ้งหลากสีสันพุ่งออกมาสามสาย หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง  ก็ทยอยกันพุ่งแหวกอากาศไป


……


หกเจ็ดวันต่อมาหานลี่และพวกทั้งสามก็ถูกฝูงวิหคประหลาดมีปีกสี่ปีกที่แผ่นหลัง พ่นใบมีดพายุออกมาล้อมเป็นกลุ่มๆ


หานลี่และพวกทั้งสามกระตุ้นสมบัติ เปล่งแสงนับหมื่นสาย พายุโลหิตโปรยปรายลงมา สังหารวิหคประหลาดเหล่านั้นจนเกลี้ยงภายในเวลาหนึ่งถ้วยน้ำชา


…..


หลังจากผ่านไปครึ่งเดือน ตรงริมทะเลสาบที่กว้างใหญ่จนสุดลูกหูลูกตาในทุ่งหญ้าแห่งหนึ่ง หานลี่และพวกทั้งสามกลับกลั้นหายใจ ทำให้ลำแสงหลีกหนีล่องหน ค่อยๆ บินขึ้นสูงไปอย่างเงียบเชียบ ไม่กล้าแผ่กลิ่นอายออกมาเลยสักนิด


บนทะเลสาบด้านล่างสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่ดูคล้ายอาชาแต่ก็ไม่ใช่ คล้ายมัจฉาแต่ก็ไม่เชิง กลับกำลังลอยอยู่บนผิวน้ำ


ปากของสัตว์ประหลาดเหล่านี้มีขนาดราวกับภูเขาขนาดย่อม พ่นเสาน้ำหนาๆ ราวกับถังน้ำออกมาหยอกล้อเล่นกัน โจมตีไปบนร่างของกันและกัน แต่กลับเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ แล้วสลายหายไป


บางครั้งที่เสาน้ำถูกสัตว์ประหลาดเหล่านั้นหลบหลีกจนโจมตีไปโดนพื้นดินนั้น ชั่วขณะนั้นพลันเปล่งเสียง “ตูมๆ” ดังขึ้น หลุมยักษ์เส้นผ่าศูนย์กลางยี่สิบสามสิบจั้งปรากฏขึ้นตรงริมฝั่งทันที ทำให้ผู้ที่ได้ยินเสียงตกตะลึง


โชคดีที่หานลี่และพวกล้วนมีเคล็ดวิชาอำพรางกายที่แข็งแกร่ง และอสูรยักษ์เหล่านี้ล้วนกำลังหยอกล้อเล่นกัน ไม่ได้รู้สึกว่าเหนือหัวมีสิ่งมีชีวิตที่เปรียบดั่งมดสำหรับพวกมันสามตนบินผ่านไป


ในที่สุดก็ทำให้ทั้งสามคนบินผ่านทะเลสาบนี้ไปได้อย่างปลอดภัย


……


หนึ่งเดือนต่อมาบนท้องฟ้ากลางที่รกร้างแห่งหนึ่ง หานลี่และพวกทั้งสามกำลังต่อสู้กับชนต่างเผ่าที่มีไอสีดำปกคลุมเรือนร่างตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่


รอบกายของหานลี่มีกระบี่ลำแสงสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนวนโคจรอยู่ คาดไม่ถึงว่าจะคุ้มกันร่างกายได้อย่างแน่นหนา และฟันสมบัติที่ดูเหมือนเชือกสีดำซึ่งชนต่างเผ่าสองคนที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามปล่อยออกมาเป็นชิ้นๆ


แต่ภายใต้การร่ายอาคมกระตุ้นของชนต่างเผ่าทั้งสอง คาดไม่ถึงว่าจะเปล่งแสงสว่างวาบแล้วกลับมาเป็นดังเดิมทันที และกลายเป็นเงาลวงตาโถมเข้ามาโจมตีหานลี่


ส่วนหลิวสุ่ยเอ๋อร์ที่มีลำแสงสีฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบรอบกายซึ่งอยู่อีกด้าน ก็ถูกของเหลวลึกลับห่อหุ้มร่างกายเอาไว้ แต่มือพลันกระตุ้นกระสวยสีเงิน ดวงดาวลำแสงห่อหุ้มชนต่างเผ่าฝั่งตรงข้ามอีกคนหนึ่งเอาไว้ข้างใน


แต่คู่ต่อสู้ของหญิงสาวผู้นี้ดูเหมือนว่ามีอิทธิฤทธิ์ไม่น้อย เรือนกายซ่อนอยู่ในไอสีดำ เบื้องหน้ามีวิหคประหลาดเปลวเพลิงสีดำบินวนล้อมกาย เมื่อปะทะเข้ากับกระสวยสีเงินเหล่านั้น คาดไม่ถึงว่าจะไม่ตกเป็นรองเลยสักนิด


ส่วนสือคุนนั้นในยามนี้เรือนร่างมีลำแสงสีเหลืองล้อมกาย คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นมนุษย์ยักษ์สูงสิบจั้ง ผิวหนังมีลำแสงสีเทาขาวห่อหุ้มอยู่ และมีหนามแหลมๆ ยาวสองสามฉื่องอกออกมา สองมือกำหมัดโบกสะบัด กรวยหินพุ่งออกมาราวกับลูกธนูยักษ์ และระเบิดออกโดยอัตโนมัติ บีบให้ชนต่างเผ่าที่อยู่หลังสุดคนหนึ่งล่าถอยไป


แต่แม้ว่าชนต่างเผ่าผู้นั้นจะตกเป็นรอง แต่สองมือก็ยังโบกสะบัดไม่หยุด ไอสีดำกลายเป็นโล่ขนาดยักษ์ต้านทานอยู่เบื้องหน้าอย่างต่อเนื่อง จนพอจะรักษาชีวิตตนเองได้


“พี่หาน สหายสือ รีบลงมือ หากตกเย็นชนต่างเผ่าราตรีเหล่านี้ก็เหมือนกับอสูรลับ พละกำลังจะเพิ่มขึ้นไม่น้อย” หลิวสุ่ยเอ๋อร์เห็นว่ายามนี้ไม่อาจจัดการอีกฝ่ายได้ก็รู้สึกร้อนใจ ร้องตะโกนไปทางหานลี่และพวก


หานลี่ได้ฟังก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย เหลือบตามองไปบนท้องฟ้าแวบหนึ่ง


เห็นเพียงท้องฟ้าในแดนนี้ค่อยๆ มืดหม่นลง ความมืดมนจะย่างกรายเข้ามาในอีกไม่ช้า


“ฮิๆ เพิ่งจะคิดได้ในยามนี้ ไม่คิดว่าสายไปแล้วหรือ? อีกเดี๋ยวตาเฒ่าต้องเตรียมต้อนรับเผ่าเมฆาสวรรค์อย่าพวกเจ้าแล้ว!” ชนต่างเผ่าที่อยู่ตำแหน่งตรงกลางฝั่งตรงข้ามของหานลี่พลันเปล่งเสียงหัวเราะที่น่ารังเกียจออกมาท่าทางโหดเหี้ยม


“อีกเดี๋ยว? ไม่จำเป็นต้องรอนานขนาดนั้น พวกเจ้าจะต้องหายไปจากโลกนี้แล้ว” หานลี่กลับเอ่ยอย่างราบเรียบ จากนั้นมือสีดำสนิทข้างหนึ่งก็ยื่นออกมาจากแขนเสื้อ โบกสะบัดเบาๆ ชั่วขณะนั้นหมอกสีเทาก็เปล่งแสงเจิดจ้า


แทบจะในเวลาเดียวกันนั้นสองมือของหลิวสุ่ยเอ๋อร์ก็ร่ายอาคม กรงล้อลำแสงสีเทาปรากฏขึ้น


ร่างของสือคุนหยุดชะงัก เงยหน้าขึ้นเปล่งเสียงร้องยาวๆ นิ้วทั้งสิบร่ายอาคมไปมาอย่างต่อเนื่อง


หลังจากผ่านไปชั่วครู่มองจากไกลๆ ตรงจุดที่หานลี่และพวกต่อสู้กับชนต่างเผ่านั้นพลันมีดวงแสงขนาดยักษ์อย่างหาที่เปรียบปรากฏขึ้น เปล่งแสงสีเทาสว่างวาบ มีอักขระจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น


ทันใดนั้นดวงแสงสีเทาก็ระเบิดออก อักขระจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งลงมาด้านล่างราวกับพายุฝนระเบิด ห่อหุ้มทุกอย่างในรัศมีสองสามลี้เอาไว้


ภายใต้ความตกตะลึงของชนต่างเผ่าทั้งสี่คน ก็ทยอยกันสำแดงอิทธิฤทธิ์ต่างๆ ออกมาต้านทานแต่อักขระเหล่านั้นต่างมีอานุภาพมากกว่าที่คิดเอาไว้


ชั่วขณะนั้นภายใต้เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ชนต่างเผ่าสี่คนพลันสลายหายไปกลางหมู่เมฆ


หานลี่และพวกทั้งสามถึงได้เก็บลำแสงเทวะดูดปราณ แล้วส่งยิ้มให้กัน


……


สามเดือนต่อมา กลางอากาศเหนือเทือกเขาแห่งหนึ่ง หานลี่และพวกทั้งสามกลายเป็นสายรุ้งสามสายปะปนอยู่ในฝูงอสูรปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วน พยายามบินไปด้านหน้า


ด้านหลังของเขาห่างออกไปสองสามลี้ หมอกเมฆาสีเงินผืนนั้นม้วนวนเข้ามาราวกับระลอกคลื่น ทุกแห่งที่กวาดผ่านไปไม่ว่าต้นไม้บนพื้นดินหรือว่าอสูรต่างๆ ที่หลบซ่อนอยู่ล้วนถูกระลอกคลื่นสีเงินม้วนวนกลืนกินเข้าไปจนเกลี้ยง ไม่เหลือแม้กระทั่งต้นหญ้า


หลังจากผ่านไปอีกชั่วครู่กลางเทือกเขาก็มีวิหคอสูรโหดเหี้ยมชนิดต่างๆ บินหนีมากยิ่งขึ้น มองปราดเดียวก็เห็นอยู่เนืองแน่น ปกคลุมทั่วทั้งท้องฟ้า แต่ล้วนมีบินหนีสะเปะสะปะอย่างทำอันใดไม่ถูก


“ทำอย่างไรดี หากเป็นเช่นนี้ต่อไปพวกเราคงถูกแมลงคลื่นสีเงินไล่ตามทัน แมลงนี้เป็นแมลงโหดเหี้ยมโบราณที่ไม่ด้อยไปกว่าแมลงกลืนทองในตำนาน หากเลือกเป้าหมายแล้วก็จะไล่ตามอย่างไม่ยอมหยุดพัก คิดไม่ถึงว่าจะมีอยู่ชุกชุมในแดนนี้” สือคุนที่อยู่ในลำแสงหลีกหนีมีสีหน้าดูไม่ได้ขณะถ่ายทอดเสียงไปหาหานลี่และพวกทั้งสอง


“ใช่แล้วว่ากันว่าแมลงคลื่นสีเงินมีกำลังที่น่าตกตะลึง เกรงว่าคงไล่ตามพวกเราไปสองสามเดือนได้โดยไม่มีปัญหา ต่อให้เป็นอสูรโหดเหี้ยมโบราณเผชิญหน้ากับคลื่นสีเงินนี้ก็ยังต้องถอยไป” เสียงของหลิวสุ่ยเอ๋อร์เองก็ไม่อาจปกปิดความตื่นตระหนกทำอันใดไม่ถูกเอาไว้ได้


มิน่าล่ะทั้งสองถึงได้มีท่าทีเช่นนี้!


ไม่ว่าผู้ใดถูกแมลงโหดเหี้ยมที่น่ากลัวนับร้อยนับหมื่นตัวไล่ตามมาสามวันสามคืน สูญเสียพลังปราณในร่างไปกว่าครึ่ง ก็ต้องลนลานอยู่แล้ว


“มีอยู่วิธีเดียว หวังว่าจากนี้จะพบอสูรโหดเหี้ยมโบราณสักสองสามตัว ถึงจะดึงดูดความสนใจของแมลงเหล่านี้ได้” หานลี่มีสีหน้าเขียวคล้ำเช่นกัน แต่ก็เอ่ยอย่างเคร่งขรึม


“แต่ตามในบันทึก แดนอสูรโหดเหี้ยมที่อยู่ใกล้กับพวกเราที่สุด ก็ต้องใช้เวลาอีกสองสามเดือน ตอนแรกเพื่อเป็นการป้องกัน พวกเราจึงจงใจเลือกเส้นทางที่มีอสูรโหดเหี้ยมโบราณเคลื่อนไหวน้อยที่สุด” สือคุนตอบกลับด้วยรอยยิ้มขมขื่น


หานลี่ได้ยินคำนี้พลันหมดคำพูด อดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้


แต่ในยามนั้นเอง ขอบฟ้าอีกด้านพลันมีเสียงร้องดังขึ้น จากนั้นขอบฟ้าพลันเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะมีหมอกเมฆาสีเขียวปรากฏขึ้นอย่างหนาแน่นนับร้อยๆ ก้อน พลางพุ่งตรงมาหาหานลี่และพวกอย่างรวดเร็ว


หานลี่เห็นเช่นนั้นพลันตกตะลึง แต่แววตาพลันเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ ก็มองเห็นหน้าตาของเมฆาสีเขียวที่อยู่ไกลออกไปได้อย่างชัดเจน


คาดไม่ถึงว่าจะเป็นผีเสื้อประหลาดขนาดเท่ากำปั้น รอบกายมีผงสีเขียวเปล่งแสงเรืองๆ ท่าทางดุดันเป็นอย่างมาก



 

 

 


ตอนที่ 1690 สู้กับแมลงเหี้ยม

 

“ผีเสื้อแปลงโลหิต! พวกเรามีโอกาสแล้ว”


หานลี่ไม่ใช่ผู้ที่ไม่รู้อะไรเหมือนตอนที่เข้ามาในแดนวิญญาณคราแรก เมื่อมองเห็นรูปร่างของผีเสื้อสีเขียวเหล่านั้นก็ร้องอุทานออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง แล้วเผยสีหน้าดีใจอย่างบ้าคลั่งออกมา


“เป็นผีเสื้อเหี้ยมจริงๆ! เยี่ยมมากผีเสื้อชนิดนี้เป็นศัตรูโดยธรรมชาติกับแมลงคลื่นสีเงิน แค่เห็นก็ต่อสู้กันให้ตายไปข้างแล้ว” หลิวสุ่ยเอ๋อร์เองก็สำแดงเคล็ดวิชาลับเห็นหน้าตาที่แท้จริงของผีเสื้อสีเขียวเหล่านี้ก็รู้สึกดีอกดีใจเช่นกัน


“มีโอกาสหนีแล้ว แต่ต้องระวังอย่าถูกดึงเข้าไปในวงต่อสู้ มิเช่นนั้นก็คงไม่อาจรักษาชีวิตน้อยๆ เอาไว้ได้” สือคุนเองก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้น


“ในยามนี้พวกเราสามคนไม่ควรมารวมตัวกัน มิเช่นนั้นเป้าหมายจะใหญ่เกินไปอาจจะถูกแมลงทั้งสองชนิดจับตามองพร้อมกัน ถึงอย่างไรเสียยามนี้ก็อยู่ห่างจากเขตอาคมซากปรักหักพังอีกครึ่งทางแล้ว พวกเราก็รู้แผนที่ มิสู้แยกกันหนีจะดีกว่า สองเดือนต่อจากนี้พวกเราค่อยไปรวมตัวที่ซากปรักหักพังเถอะ” หานลี่เอ่ยออกมาอย่างเยือกเย็น


เมื่อได้ยินหานลี่กล่าวเช่นนี้คนที่เหลือทั้งสองก็อดที่จะตกตะลึงไม่ได้


แต่ทันใดนั้นสือคุนก็ได้ปฏิกิริยาตอบสนองขึ้นมาก่อน จึงเอ่ยอย่างเห็นด้วย “สหายหานพูดมีเหตุผล ยามนี้เป้าหมายยิ่งเล็กเท่าไหร่ก็ยิ่งหนีรอดได้เท่านั้น เอาตามนี้ก็แล้วกัน พวกเราต่างคนต่างหนีเอาชีวิตรอดก่อนแล้วค่อยว่ากัน”


หลิวสุ่ยเอ๋อร์อดที่จะลังเลเล็กน้อยไม่ได้ แต่หลังจากขบคิดซ้ำไปซ้ำมาสองสามรอบในที่สุดก็กัดฟันพยักหน้า


ดังนั้นทั้งสามคนจึงแค่ถ่ายทอดเสียงหากันสองสามครั้งแล้วพากันแยกย้ายออกไป


ยามนี้เมฆสีเขียวที่อยู่ไกลออกไปพลันบินเข้ามาใกล้ภายในพริบตา แม้ว่าจะไม่ใช้อิทธิฤทธิ์ แค่ตาเนื้อก็สามารถมองเห็นรูปร่างของผีเสื้อสีเขียวทั่วท้องฟ้าได้อย่างชัดเจน


ผีเสื้อเหล่านี้ส่งเสียงหึ่งๆ โดยไม่ปริปาก เมฆาสีเขียวแปดเก้าส่วนพุ่งเข้ามาหาคลื่นสีเงินด้านหลัง อีกสองสามส่วนกลับไล่ตามหานลี่และอสูรอื่นๆ ไป


คลื่นสีเงินที่อยู่ด้านหลังเห็นเช่นนั้นก็ไม่ยอมแสดงความอ่อนแอ คาดไม่ถึงว่าจะแบ่งออกเป็นสองกลุ่มเช่นกัน คลื่นสีเงินส่วนใหญ่พุ่งไปหาเมฆสีเขียว มีเพียงส่วนเล็กๆ ที่ยังคงไล่ตามอสูรตรงหน้าไป


เหล่าอสูรที่หนีเอาชีวิตรอดอย่างวุ่นวายเหมือนกับพวกของหานลี่ อสูรที่มีสติปัญญาไม่น้อยกลับรู้ว่าโอกาสในการเอาชีวิตรอดมาถึงแล้ว


ทันใดนั้นภายใต้เสียงคำรามของอสูรประหลาดที่มีพลังยุทธ์สูงที่สุดสองสามตัว เหล่าอสูรทั้งหมดก็แตกฮือออก บ้างก็กลายเป็นพายุหมุนหายวับไป บ้างก็กลายเป็นไอปีศาจหมุนวนหนีเอาชีวิตรอดทั้งสี่ทิศแปดด้าน


“ไป”


หานลี่เองก็ร้องคำรามออกมาเบาๆ อย่างไม่ลังเลเลยสักนิด แผ่นหลังมีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น ปีกวายุอัสนีปรากฏขึ้น


แค่กระพือปีกก็กลายเป็นลำแสงสีเขียวขาวพุ่งออกไป


ในเวลาเดียวกันที่ได้ยินคำพูดของหานลี่ หลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนก็เพิ่มความเร็วของลำแสงหลีกหนีโดยไม่เปล่งคำพูดใดๆ พุ่งหนีออกไปคนละทาง


จากระดับความเร็วที่น่ากลัวของปีกวายุอัสนีเต็มอัตราของหานลี่ แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางอสูรประหลาดนับพันหมื่นตัวก็เพียงพอจะทำให้ติดหนึ่งในสามอันดับแรก แค่กะพริบวาบๆ ก็ดึงระยะห่างออกจากอสูรตัวอื่นๆ ออกมาจากทิศทางเดียวกัน ชั่วพริบตาก็ไปถึงขอบฟ้าแล้วถึงได้หยุดชะงักลำแสงหลีกหนีหันกลับมามองด้านหลังแวบหนึ่ง


ผลคือสิ่งที่เข้ามาในครรลองสายตานั้นทำให้เขาอดที่จะใจหายวาบไม่ได้


เห็นเพียงอสูรนับร้อยนับพันตัวที่บินมาด้วยเจตนาที่ไม่เป็นมิตรด้านหลังถูกม้วนเข้าไปในกองทัพแมลงโหดเหี้ยมสองชนิดเพราะเคลื่อนไหวค่อนข้างช้า


เห็นเพียงเมฆสีเขียวและคลื่นสีเงินทะลักออกมาพร้อมกัน อสูรเหล่านี้ถูกกลืนกินเข้าไปโดยไม่ทันแม้แต่จะเปล่งเสียงร้อง แล้วหายวับไปจากกลางอากาศ แม้แต่ซากศพก็ไม่เหลือเอาไว้


ส่วนเมฆสีเขียวและคลื่นสีเงินที่ปะทะกันนั้น ผีเสื้อสีเขียวพลันชะงักอยู่กลางอากาศ จากนั้นปีกทั้งสองก็กระพือไปฝั่งตรงข้าม


ชั่วขณะนั้นพายุสีเขียวก็ม้วนออกมาจากฝูงผีเสื้อเป็นกลุ่มๆ พุ่งเข้าหาคลื่นสีเงินอย่างดุดัน


เสียง “จี๊ดๆ” ประหลาดๆ ดังขึ้น


แมลงติดปีกเปล่งแสงสีเงินวาบๆ จำนวนไม่น้อยที่มีขนาดไม่ถึงสองสามชุ่นทยอยกันร่วงลงมาจากคลื่นสีเงิน


กลุ่มเมฆสีเขียวพุ่งออกมา ม้วนวนคาดไม่ถึงว่าจะกลืนแมลงสีเงินที่ร่วงลงมาไปจนหมด แล้วกระจายตัวออก แมลงสีเงินที่ร่วงลงมาเหล่านั้นพลันหายวับไป


แววตาของหานลี่พลันฉายแสงสีฟ้าสว่างวาบ แต่กลับมองเห็นอย่างชัดเจน


ท่ามกลางฝูงผีเสื้อที่กลืนกินแมลงสีเงินเหล่านั้น มีจำนวนไม่น้อยที่มีลายจุดสีโลหิต


ทว่าแม้ว่าผีเสื้อแปลงโลหิตจะแผ่วายุพิษที่โหดเหี้ยมออกมา แต่แมลงสีเงินนั้นมีมากเกินไปและยิ่งไปกว่านั้นแมลงที่แข็งแกร่งจำนวนไม่น้อยก็มีพลังต้านทานพิษชนิดนี้


ผลคือหลังจากพายุพิษพัดผ่านไปยังคงมีแมลงสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าไปในฝูงผีเสื้อ ยามแรกแมลงคลื่นสีเงินย่อมเข้าไปโดยไม่มีวันหวนคืนแต่ยิ่งจำนวนแมลงสีเงินที่กระโจนเข้าไปในเมฆสีเขียวมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายคลื่นสีเงินและเมฆสีเขียวก็ปะทะเข้าด้วยกันเต็มแรง


เสียงหึ่งๆ และ จี๊ดๆ ดังขึ้นพร้อมกัน ผีเสื้อสีเขียวและแมลงสีเงินร่อนลงมาจากกลางอากาศราวกับพายุฝน จากนั้นก็ถูกเมฆสีเขียวและคลื่นสีเงินด้านหลังกลืนกินเข้าไปจนเกลี้ยง


เห็นได้ชัดว่าแมลงสีเงินมีพลังกลืนกินมากกว่าผีเสื้อสีเขียวเป็นอย่างมาก แต่ตัวของผีเสื้อเหล่านี้มีพิษแผงอยู่ เมื่อกระพือปีกสองสามครั้งก็ทำให้คู่ต่อสู้มึนหัวไร้ซึ่งพลังต้านทาน


แต่ทั้งสองล้วนโหดเหี้ยมอย่างหาที่เปรียบ ไม่สนใจชีวิตของตนเองเลยสักนิด ยามนั้นต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน


ส่วนแมลงสองชนิดที่แยกกันไล่ตามอสูรประหลาด เมื่อเห็นฝูงอสูรแตกฮือออกคาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นกลุ่มเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วนกระจายตัวออกไล่ตามไปเช่นกัน


ทั้งสองชนิดนี้ดูเหมือนจะมีสัญญาลับต่อกัน ยามนั้นต่างไม่ไล่ตามอสูรตัวเดียวกัน


อสูรประหลาดจำนวนไม่น้อยหนีไปได้ไม่ไกลนักก็ทยอยกันถูกฝูงแมลงสองชนิดนี้ไล่ตามทัน จำใจต้องต่อสู้อย่างสุดชีวิต


ยามนั้นเสียงอสูรคำรามพลันดังขึ้นสลับกับเสียงวิหคเพรียก แต่ไม่ใช่เสียงระเบิด


หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง มองเห็นหลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนเองก็บินออกไปไกลลิบ แต่ด้านหลังต่างมีคลื่นสีเงินและเมฆสีเขียวกลุ่มเล็กๆ ไล่ตามไป


ทว่าเขาก็มองเห็นเพียงเท่านั้น เพราะว่าเมื่อเขาเหลือบสายตาไปก็พบว่าแมลงคลื่นสีเงินกลุ่มหนึ่งกำลังพุ่งมาทางนี้อย่างไม่ซักถามอสูรตนอื่นๆ


แมลงสีเงินกลุ่มนี้มีประมาณหนึ่งพันตัว


หานลี่สูดลมหายใจลึกๆ เข้าเฮือกหนึ่ง ปีกที่แผ่นหลังกระพืออีกครั้งแล้วกลายเป็นเส้นไหมลำแสงพุ่งออกไปอีกครั้ง


ครั้งนี้หานลี่บินไปครึ่งชั่วยามในรวดเดียวแล้วถึงได้หันกลับมามองแวบหนึ่ง


เห็นเพียงด้านหลังนั้นว่างเปล่าไม่มีเงาแมลงใดๆ อีก


แต่สีหน้าของเขาก็ไม่ได้มีความดีอกดีใจใดๆ กลับขมวดคิ้วมุ่น


สองสามวันก่อนยามที่เขา หลิวสุ่ยเอ๋อร์และพวกกำลังหนีนั้น ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยสำแดงความเร็วสูงสุดในการสลัดแมลงเหล่านี้แต่แมลงเหล่านี้มีอิทธิฤทธิ์ประหลาดอันใดก็ไม่อาจรู้ ขอแค่พวกเขาลดความเร็วลงไม่นานก็จะไล่ตามมาอีกครั้ง


ไม่ว่าสือคุนและพวกจะใช้เคล็ดวิชาลับอำพรางกายใดๆ ก็ไร้ผล


หานลี่มีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใสอยู่ชั่วครู่ ฉับพลันนั้นก็แค่นเสียงด้วยความเย็นชาร่างกายเปล่งแสงสีดำสว่างวาบ ผ้าไหมสีดำปรากฏขึ้น เงาร่างหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย


หลังจากอำพรางกายแล้วเขาจึงได้บินไปข้างหน้าอย่างไม่รีบร้อน


แต่หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยามขณะที่หานลี่กำลังบินอย่างเชื่องช้าอยู่นั้น ฉับพลันนั้นก็สัมผัสอันใดได้ จึงหันกลับไปมองด้วยใบหน้าที่เปลี่ยนสี


ผลคือหลังจากผ่านไปชั่วครู่ขอบฟ้าก็มีเสียงหึ่งๆ ดังขึ้น


แมลงยักษ์สีเงินขนาดสองสามจั้งตัวหนึ่งปรากฏขึ้นตรงนั้น


แมลงยักษ์ตัวนี้แค่กระพือปีกก็พุ่งตรงมายังจุดที่หานลี่อำพรางกายอยู่


หานลี่พลันหน้าเปลี่ยนสีกลับใช้เนตรวิญญาณวารีกระจ่างมองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของแมลงตัวนี้


เป็นแมลงสีเงินที่รวมตัวกันนับพันตัว ถึงได้มีรูปร่างใหญ่โตมโหฬารเช่นนี้


แม้จะไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดผ้าไหมสีดำอันเป็นสมบัติอำพรางกายที่ล้ำเลิศถึงไม่อาจบดบังแมลงเหล่านี้ได้ และถูกพวกมันไล่ตามมาถึงที่นี่ได้ แต่หานลี่ในยามนี้ก็เข้าใจแล้ว ไม่สังหารแมลงกลุ่มนี้ ก็อย่าคิดจะหนีไปได้อย่างปลอดภัยเลย


ทว่าสาเหตุที่แมลงคลื่นสีเงินน่ากลัวเช่นนี้ นอกจากจำนวนจะทำให้ผู้คนขนลุกซู่แล้ว ขนาดตัวก็ยากจะสลัดอีกด้วย


ร่างของพวกมันไม่เพียงจะแข็งแกร่ง สามารถต้านทานการโจมตีสมบัติธรรมดาๆ ได้ เขี้ยวที่สามารถกัดทองคำได้รวมทั้งขาหน้าที่สามารถฉีกสมบัติต้านทานได้อย่างง่ายดาย ก็ยิ่งน่ากลัวมาก ทำให้ผู้คนได้ยินแล้วหน้าเปลี่ยนสี


หากเอาสมบัติธรรมดาๆ ไปต่อกรกับแมลงสีเงินเหล่านี้ ก็มีประโยชน์ไม่มากนัก


เมื่อขบคิดเช่นนั้น ก็เห็นแมลงยักษ์มาอยู่ตรงหน้าในทันที แววตาของหานลี่ฉายแววเย็นเยียบ ฉับพลันนั้นพลันสะบัดแขนเสื้อไปกลางอากาศ


ชั่วขณะนั้นเสียงหึ่งๆ คล้ายๆ กันก็ดังขึ้น ฉับพลันนั้นดอกสีทองร้อยกว่าดอกก็บินออกมาจากแขนเสื้อ หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง ลำแสงสีทองพลันเปล่งแสงสว่างวาบแล้วขยายใหญ่ขึ้น กลายเป็นแมลงเกราะยักษ์ขนาดครึ่งฉื่อ


ลำแสงสีทองรอบกายเปล่งแสงเรืองๆ นั่นคือแมลงกลืนทองโตเต็มวัย


“ไป”


หานลี่แทบจะร้องตะโกนออกมาเบาๆ อย่างไม่ต้องคิด สะบัดแขนเสื้อไปทางแมลงยักษ์สีเงินฝั่งตรงข้ามอย่างรวดเร็ว


ชั่วขณะนั้นแมลงกลืนทองนับร้อยตัวพลันเปล่งเสียง “หึ่งๆ” แล้วกระโจนเข้าไปหาแมลงยักษ์ฝั่งตรงข้าม


แมลงยักษ์สีเงินที่เดิมมีท่าทีโหดเหี้ยมเห็นแมลงกลืนทองโตเต็มวัย ร่างกายกลับสั่นเทา ทันใดนั้นก็เปล่งเสียงร้องแหลมๆ ออกมา ฉับพลันนั้นพลันหันหัวหนีไปอย่างร้อนรน


แต่ในเมื่อหานลี่ยอมปล่อยแมลงกลืนทองจำนวนมากออกมาในครั้งเดียว แน่นอนว่าย่อมมีความคิดจะตัดสินแพ้ชนะอย่างรวดเร็ว


แทบจะในเวลาเดียวกัน แผ่นหลังพลันมีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น คนพลันสลายหายไปท่ามกลางประจุไฟฟ้าสีเขียวขาว


ครู่ต่อมาแมลงยักษ์สีเงินกลางอากาศพลันมีสายฟ้าสีเขียวขาวเปล่งแสงสว่างวาบ เงาร่างของหานลี่ปรากฏออกมา พลิกฝ่ามือข้างหนึ่งโดยไม่พูดอันใด


ภูเขาสีดำขยายใหญ่ขึ้นแล้วบินออกมา กลายเป็นยอดเขาสูงสิบจั้งกว่าร่อนลงมา


สมบัติชิ้นนี้แค่หมุนติ้วๆ ชั่วขณะนั้นหมอกลำแสงสีเทาพลันม้วนวนออกมาจากตีนเขา ชั่วครู่ก็ห่อหุ้มลงมาที่แมลงสีเงินเหล่านั้น


แมลงยักษ์เพิ่งจะกระพือ ชั่วขณะนั้นพลันสั่นเทา ร่างกายเปลี่ยนเป็นเชื่องช้า ถูกลำแสงเทวะดูดปราณกักเอาไว้


เสียงร้องแหลมๆ ด้วยความโมโหดังขึ้น ร่างกายอันใหญ่โตเปล่งแสงสีเงินออกมา พลิ้วไหวแล้วแตกออกเป็นเสี่ยงๆ


แค่ชั่วลมหายใจแมลงยักษ์ตัวนี้ก็ยังเป็นแมลงสีเงินนับพันตัวเช่นเดิม จากนั้นก็กรูกันเข้าไปยังทิศทางเดียวกัน และกลืนกินหมอกลำแสงที่ต้านทานอยู่รอบด้านเข้าไป


ลำแสงเทวะดูดปราณรอบด้านพลันเบาบางลงด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ


แต่หานลี่ที่อยู่กลางอากาศ พลันทำเหมือนมองไม่เห็นสิ่งเหล่านี้ ใบหน้าไร้ซึ่งความกังวลใจ


เพราะว่าการขัดขวางนี้ แมลงกลืนทองนับร้อยตัวด้านหลังพลันพุ่งเข้ามา แล้วมาถึงยอดเขาสีดำด้านล่างเช่นกัน



 

 

 


ตอนที่ 1691 หุ่นเชิดวิหคอัสนี

 

เห็นลำแสงสีทองเปล่งแสงสว่างวาบ แมลงกลืนทองกระโจนเข้าไปในหมอกลำแสงตรงหน้าราวกับมองไม่เห็น ครู่ต่อมาก็กัดทิ้งกับแมลงสีเงินพันตัว


จำนวนแมลงกลืนทองแค่หนึ่งในสิบส่วนของแมลงสีเงินเท่านั้น แต่ขนาดกลับใหญ่กว่าอีกฝ่ายสองสามเท่า และยิ่งไปกว่านั้นไม่ว่าความแข็งแกร่งของร่างกายหรือว่าพลังการกลืนกิน ล้วนเหนือกว่าคู่ต่อสู้


ไม่ว่าขาหน้าของแมลงสีเงิน หรือว่าเขี้ยวก็กัดไปบนกระดองของแมลงสีทองอย่างแน่น แต่กลับไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้เลยสักนิด


ส่วนแมลงเกราะสีทองฉีกทึ้งไปสองสามครั้งก็ฉีกคู่ต่อสู้ออกเป็นชิ้นๆ ได้อย่างง่ายดาย และกลืนลงท้องไปจนเกลี้ยง


แทบจะในเวลาเดียวกันที่แมลงสีเงินสองสามตัวโจมตีแมลงกลืนทองตัวหนึ่ง ชั่วพริบตานั้นแมลงสีเงินกว่าครึ่งพลันสลายหายไป


ในที่สุดแมลงกลืนสีเงินที่ร่อยหรอก็หันกายกระโดดไปอีกครั้ง แต่ภายใต้ลำแสงเทวะดูดปราณที่ห่อหุ้มลงมา จะหนีไปไหนได้ ต่างทยอยกันถูกแมลงกลืนทองไล่ตาม แล้วกลืนกินไปจนเกลี้ยง


ยามที่ถึงแมลงสีเงินตัวสุดท้าย แมลงตัวนั้นพลันเปล่งแสงเจิดจ้า แล้วระเบิดออกโดยอัตโนมัติ


เห็นเพียงลำแสงสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบ เงาลวงตารางๆ เปล่งแสงสว่างวาบแล้วพุ่งออกไป พลางบินหายไปอย่างเงียบเชียบ


หากเป็นสิ่งมีชีวิตธรรมดาๆ กว่าครึ่งล้วนไม่อาจพบร่องรอยของเงาลวงตาประหลาดเช่นนี้ได้


แต่ในแววตาของหานลี่เปล่งประกายสีฟ้าสว่างวาบ จึงยื่นมือมือหนึ่งออกไปด้านล่างอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด


นิ้วทั้งห้าที่เป็นสีขาวบริสุทธิ์ราวกับหยกกางออก เปลวเพลิงเย็นเยียบห้าสีพุ่งลงมา ม้วนวนอย่างรวดเร็ว ห่อหุ้มเงาลวงตาที่หนีออกไปสิบกว่าจั้งเอาไว้


ร่างของเงาลวงตาสั่นเทา ชั่วขณะนั้นพลันปรากฏตัวขึ้นที่เดิม แต่ไม่อาจขยับตัวได้ในเปลวเพลิงเย็นเยียบ


คาดไม่ถึงว่าจะเป็นแมลงหน้าคนที่มีเงาสีเงินอ่อนจางๆ พยายามดิ้นรนอยู่ในเปลวเพลิงเย็นเยียบสุดชีวิต ท่าทางโหดเหี้ยมเป็นพิเศษ


หานลี่เห็นฉากนี้ พลันมีสีหน้าเคร่งขรึม นิ้วทั้งห้าเหมือนจะหงิกงอไปตามอำเภอใจ


ชั่วขณะนั้นเปลวเพลิงเย็นเยียบด้านล่างก็กลายเป็นเส้นไหมลำแสงห้าสีจำนวนนับไม่ถ้วน พุ่งไปยังใจกลาง


เงาแมลงหน้าคนตัวนั้นไม่อาจขยับตัวได้ ชั่วพริบตาก็ถูกเส้นไหมลำแสงม้วนวนเข้าไปข้างใน


จากนั้นเส้นไหมลำแสงเหล่านั้นก็ตึงเปรี๊ยะ เปล่งแสงเจิดจ้า คาดไม่ถึงว่าจะห่อหุ้มเงาแมลงที่เป็นชิ้นๆ เอาไว้ข้างใน


หานลี่ถึงได้มีสีหน้าผ่อนคลายลง แล้วสะบัดแขนข้างหนึ่ง


เส้นไหมลำแสงห้าสีเปล่งแสงสว่างวาบแล้วทยอยกันสลายหายไป


จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่ฝูงแมลงกลืนทองด้านล่างอย่างรวดเร็ว


ชั่วขณะนั้นแมลงเกราะสีทองก็กลายเป็นลูกไฟสีทองนับร้อยดวง แล้วพุ่งมาหาเขา


หลังจากกะพริบวาบสองสามครา พวกมันก็ทยอยกันจมหายเข้าไปในแขนเสื้อของเขาแล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย


หานลี่ใช้มือหนึ่งตะปบไปด้านล่าง ยอดเขาสีดำหดเล็กลงแล้วบินเข้าไปด้านใน ถึงได้ผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง


ตั้งแต่ที่ปล่อยแมลงกลืนทอง จนถึงตอนที่กลืนแมลงเหี้ยมไปจนเกลี้ยงแล้วเก็บกลับมาทันทีนั้นเกิดขึ้นแค่ชั่วพริบตาเท่านั้น


ดังนั้นแม้ว่าการปล่อยแมลงกลืนทองออกมาครั้งนี้จะมีจำนวนไม่น้อย แต่ก็เสียจิตสัมผัสไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบอันใดต่อหานลี่


แน่นอนว่าในเวลาเดียวกันที่ปล่อยแมลงกลืนทองออกมานั้น เขาพลันตัดสินใจได้ตั้งนานแล้ว หากไม่อาจสังหารแมลงเหล่านี้ได้ในระยะเวลาสั้นๆ แน่นอนว่าย่อมไม่อาจเอาพวกมันกลับมาได้ ไม่อาจปล่อยให้จิตสัมผัสเสียหายไปมากนักได้


มิเช่นนั้นก็ได้ไม่คุ้มเสีย


ทว่าเหมือนกับที่คาดเดาไว้ก่อนหน้า แมลงกลืนทองเป็นอาวุธในการต่อกรกับแมลงเหี้ยมที่ยอดเยี่ยมที่สุด ชั่วพริบตาก็สังหารทั้งหมดได้จนเกลี้ยง


หากใช้สมบัติอื่นๆ ล่ะก็ อาจจะไม่มั่นใจว่าจะกำจัดได้จนเกลี้ยงเช่นนี้


หานลี่เงยหน้าขึ้นมองไปทางการต่อสู้ของแมลงสองชนิดแวบหนึ่ง ผิวเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพุ่งแหวกอากาศออกไป


หลังจากกะพริบวาบๆ สองสามครั้ง ก็หายวับไปที่ขอบฟ้า


แทบจะในเวลาเดียวกันนั้น ตรงใจกลางคลื่นสีเงินที่ห่างออกไปแสนลี้ แมลงยักษ์ตัวใหญ่กว่าแมลงสีเงินธรรมดาๆ ตัวหนึ่งพลันก้มหน้าลงแล้วเงยขึ้น  มองไปทางตำแหน่งที่หานลี่ยืนอยู่แวบหนึ่ง


ภายใต้ลำแสงสีเงินอ่อนนั้น เหนือหัวของแมลงสีเงินมีบุรุษหน้าตาแก่ชราคนหนึ่ง


เขาขมวดคิ้วมุ่น ใบหน้าเผยสีหน้าตกตะลึงระคนสงสัยออกมา


ใบหน้าของบุรุษจ้องเขม็งไปยังตำแหน่งที่หานลี่อยู่ชั่วครู่ แล้วเลื่อนสายตาไปยังคลื่นสีเงินตรงหน้า


ห่างออกไปสองสามลี้ แมลงสีเงินจำนวนมากที่ก่อตัวกันจนเป็นคลื่นน้ำพลันหมุนวนสลับตัดกันไปมากับไอสีเขียว ยามนั้นย่อมไม่อาจแยกออกได้ว่าใครเป็นผู้แพ้ผู้ชนะ


หลังจากที่แมลงสีเงินหน้าคนลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็ส่งเสียงร้องแหลมๆ ยาวๆ ออกมา


ชั่วขณะนั้นแมลงสีเงินรอบๆ ก็เปล่งเสียงร้องแหลมๆ อย่างบ้าคลั่งออกมาแล้วหมุนวนกระโจนเข้ามา ชั่วพริบตานั้นก็รวมตัวกันกลายเป็นแมลงยักษ์สีเงินโดยมีแมลงตัวนี้เป็นจุดศูนย์กลาง


หลังจากผ่านไปชั่วครู่ก็กวาดแมลงสีเงินในระยะสองสามลี้ไปจนเกลี้ยง แมลงยักษ์ขนาดเกินร้อยจั้งตัวหนึ่งพลันปรากฏขึ้น


แมลงยักษ์ตัวนี้กระพือปีกครั้งหนึ่ง ชั่วขณะนั้นพายุหมุนสองกลุ่มใต้ร่างก็เปล่งเสียงหวีดร้องออกมา ร่างกายอันใหญ่โตของมันม้วนวนพุ่งไปกลางอากาศ แล้วบินไปตรงหน้า


……


แม้ว่าหานลี่จะไม่รู้ว่าจิตวิญญาณดั้งเดิมที่สังหารไปนั้นมีที่มาอย่างไร แต่แน่นอนว่าย่อมรู้ว่าเกิดเรื่องนี้ขึ้นได้ย่อมไม่ใช่เรื่องดี


หลังจากออกจากที่นี่ ทันใดนั้นเขาก็เปลี่ยนทิศทางไปหลายครั้งระหว่างที่อยู่ในลำแสงหลีกหนี และใช้ยันต์ชำระพิสุทธิ์อำพรางกายอยู่ระยะหนึ่ง แล้วถึงได้เดินทางต่ออย่างวางใจ


แม้ในยามนี้จะเหลือหานลี่เพียงคนเดียว แต่ก็มั่นใจว่าต่อให้เป็นสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้นในยามนี้ ก็มีแรงสู้ ไม่ได้หวาดกลัวอันใดนัก


ลำแสงหลีกหนีเลือกเส้นทางอีกครั้ง แล้วบินไปยังแดนกว้างเย็นต่อ


……


สองเดือนต่อมาทุกแห่งในแดนกว้างเย็นล้วนเต็มไปด้วยฝุ่นทรายสีเหลืองลอยฟุ้งทั่วอากาศ ฉับพลันนั้นลำแสงพลันเปล่งแสงสว่างวาบ รถศึกสีเขียวรูปทรงแปลกประหลาดสามคัน ตามมาด้วยประจุไฟฟ้าสีเขียวเป็นสายๆ พุ่งออกมาจากจุดที่ไกลออกไป


หลังจากที่กะพริบวาบสองสามครั้ง รถศึกสีเขียวสามคันก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วมาอยู่ตรงหน้า และหยุดอยู่สูงเหนือพายุทรายไปร้อยจั้งเศษ


ยามนี้ถึงได้มองเห็นรูปร่างของรถศึกเหล่านั้นอย่างชัดเจน


เห็นเพียงรถศึกสามคันนั้นมีรูปทรงโบราณ แต่ลวดลายวิจิตรงดงาม และยิ่งไปกว่านั้นยังเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ อักขระสีเขียวจำนวนน้อยใหญ่ไม่เท่ากันเปล่งแสงสว่างวาบบนผิวรถศึกไม่หยุด


ตรงหน้ารถศึกมีอสูรประหลาดคล้ายควายสวมชุดเกราะสีเขียวสองตัว ดวงตาขนาดใหญ่ เป็นสีแดงสดราวกับโลหิต และยิ่งไปกว่านั้นบางครั้งยังพ่นควันสีเขียวออกมาเป็นกลุ่มๆ


หลังจากควันสีเขียวแผ่ออกไป คาดไม่ถึงว่าจะทำให้อุณหภูมิของบรรยากาศโดยรอบเพิ่มขึ้นทันที คาดไม่ถึงว่าจะให้ความรู้สึกร้อนฉ่า


บนรถศึกสามคันกลับมีเงาร่างคนเตี้ยๆ สองสายและหุ่นเชิดร่างกายสูงใหญ่ที่มีเกราะสงครามสีเขียวปกคลุมอยู่เช่นกันยืนอยู่


หุ่นเชิดตัวนี้สูงกว่าสองจั้ง เหน็บดาบไว้ที่บั้นเอว แผ่นหลังมีทวนสั้นเปล่งแสงสีเงินระยิบระยับสองเล่ม สองมือจับเชือกที่เชื่อมกับอสูรรูปร่างคล้ายควายเอาไว้ ดวงตาโผล่ออกมาจากหน้ากากสีเขียว เปล่งแสงสีแดงสว่างวาบ


ส่วนเงาร่างคนแคระบนรถก็สวมชุดเกราะสงครามเช่นกัน ต่างแบกกรงล้อยักษ์เปล่งแสงเย็นยะเยือกเอาไว้ แต่ใบหน้าพลันมีลวดลายสีเทา ปากมีเขี้ยวเผยออกมา ท่าทางอัปลักษณ์


ยามนี้เงาร่างคนแคระหกคนในรถพลันหยุดอยู่ตรงนี้ พลางกวาดตามองพายุทรายด้านล่างไม่หยุด และบางครั้งก็ส่งเสียงปรึกษาอะไรกันเบาๆ ออกมา


หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ดูเหมือนว่าทุกคนจะปรึกษากันเสร็จแล้ว หนึ่งในนั้นพลันยกมือขึ้น ฉับพลันนั้นพลันมีกระจกสัมฤทธิ์ปรากฏขึ้น และโยนไปยังทะเลทรายด้านล่าง


ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของพายุทราย กระจกสัมฤทธิ์พลันหมุนติ้วๆ ลำแสงสีเขียวปรากฏขึ้นบนกระจก และแผ่ออกไปทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้านอย่างรวดเร็ว


ด้านล่างดูเหมือนจะเป็นพายุทรายที่บ้าระห่ำ หลังจากลำแสงสีเขียวกวาดผ่านไป คาดไม่ถึงว่าฝุ่นทรายจะหยุดลงในทันที เผยภาพวาดที่ชัดเจนออกมา


ในภาพวาดมีซากปรักหักพังของวิหารขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น เมื่อมองปราดไปก็ไม่อาจมองเห็นปลายทางของซากปรักหักพังได้


เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ชนต่างเผ่าร่างกายแคระแกร็นสองสามคนก็เผยสีหน้าดีอกดีใจออกมา ร้องทักทายพร้อมกัน ทันใดนั้นก็กระตุ้นรถศึกใต้ฝ่าเท้าพุ่งลงไป


แต่ในยามนั้นเองฉับพลันนั้นอีกด้านหนึ่งของขอบฟ้า ก็มีเสียงฟ้าร้องดังมา


จากนั้นเสียงฟ้าผ่าพลันดังสนั่นขึ้น ดวงแสงอัสนีสีเขียวกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นที่ขอบฟ้า จากนั้นดวงแสงอัสนีพลันดีดตัวออกมา แค่ส่งเสียงอึกทึก ลำแสงสีเขียวพลันเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นกลางอากาศ คาดไม่ถึงว่าจะอยู่ห่างออกไปสองสามร้อยจั้ง ก็มาถึงข้างรถศึกสามคัน


ชนต่างเผ่าร่างกายแคระแกร็นหกคนพลันตกตะลึง แต่ก็มองเห็นของที่อยู่ในแววตาสีเขียวทันที


คาดไม่ถึงว่าจะเป็นหุ่นเชิดวิหคยักษ์ขนสีเขียวหัวสีเงินตัวสีทองความยาวมากกว่ายี่สิบจั้ง ดูจากท่าทางแล้ว กลับเป็นวิหคอัสนีที่มีชื่อเสียงเช่นกัน!


แต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนตกตะลึงก็คือผิวของหุ่นเชิดตัวนี้มีรอยบาก ขนหายไปกว่าครึ่ง แม้กระทั่งกรงเล็บทั้งสองก็ยังหายไปข้างหนึ่ง


แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นผิวของวิหคตัวนี้ก็ยังมีประจุไฟฟ้าสีเขียวเจิดจ้าชั้นหนึ่ง ยังคงทำให้ผู้คนเห็นแล้วรู้สึกตกตะลึง ไม่กล้าดูแคลนได้เลยสักนิด


ชนต่างเผ่าร่างกายแคระแกร็นทั้งหกย่อมรู้สึกใจหายวาบเช่นกัน


ทันใดนั้นหลังจากที่คนหนึ่งเปล่งเสียงร้องยาวๆ ออกมา ชั่วขณะนั้นรถศึกสามคันก็เปล่งเสียงร้องคำราม กลายเป็นลำแสงสีเขียวสามสายพร้อมกัน แล้วพุ่งตรงไปหาหุ่นเชิดยักษ์


ยังไม่รอให้สัมผัสกับวิหคอัสนีจริงๆ หุ่นเชิดเกราะสีเขียวสูงใหญ่สามตัวก็สะบัดเชือกในมือพร้อมกัน


อสูรประหลาดรูปร่างคล้ายควายหกตัว ร้องคำรามออกมาพร้อมกัน อ้าปากออกพ่นเปลวเพลิงสีเขียวออกมา กลายเป็นทะเลเพลิงหมุนวนไป


แทบจะในเวลาเดียวกันนั้น ชนต่างเผ่าร่างกายแคระแกร็นหกคนพลันร้องตะโกนด้วยเสียงทุ้มต่ำออกมา สะบัดหัวไหล่ แผ่นหลังมีกรงล้อสีเงินบินออกมา


สมบัติเหล่านี้ถูกร่ายอาคมอีกครั้ง มันจึงขยายขนาดขึ้น กลายเป็นจันทร์ทรงกลดหกดวง สับลงมาที่หุ่นเชิดวิหคอัสนีกลางอากาศ ราวกับว่าไร้เทียมทานอย่างไรอย่างนั้น


หุ่นเชิดวิหคอัสนีเห็นเช่นนั้น แววตาทั้งสองพลันเปล่งแสงสีเงินสว่างวาบ ประจุไฟฟ้าสีเขียวบนร่างพลันขยายใหญ่ขึ้นสองสามเท่า กรงเล็บยักษ์ข้างหนึ่งที่ยังสมบูรณ์แบบของมันตะปบไปกลางอากาศ


เงาลวงตากรงเล็บยักษ์สีเขียวข้างหนึ่ง ปรากฏขึ้นกลางอากาศราวกับสายฟ้า และตะปบลงมาที่รถม้าสัมฤทธิ์ทั้งสามคัน


คาดไม่ถึงว่าหุ่นเชิดจะทำท่าเหมือนมองไม่เห็นจันทร์ทรงกลมสีเงินและทะเลเพลิงสีเขียวที่ม้วนวนมาอย่างไรอย่างนั้น


ครานี้ทำให้ชนต่างเผ่าร่างกายแคระแกร็นทั้งหกพลันตกตะลึง แล้วทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย


โชคดีหกคนร่วมมือกันจนคุ้นเคยแล้ว จึงประสานกันได้ภายในพริบตา คนหนึ่งร้องตะโกนออกมาด้วยความตกตะลึงระคนโกรธขึ้ง หกคนร่ายอาคมอย่างร้อนรน และชี้ไปอย่างกลางอากาศอย่างต่อเนื่อง


ชั่วขณะนั้นจันทร์ทรงกลดหกดวงก็เปล่งเสียงร้องหึ่งๆ ในเวลาเดียวกันนั้นก็ตรงไปที่กรงเล็บยักษ์สีเขียว คาดไม่ถึงว่าจะรวมร่างกันในพริบตา กลายเป็นจานกลมๆ ยักษ์เส้นผ่าศูนย์กลางสิบกว่าจั้ง แล้วโจมตีไปกลางอากาศอย่างไม่เผยท่าทีอ่อนแอออกมาเลยสักนิด


เสียง “ปัง” ดังสนั่นขึ้น!


เงากรงเล็บยักษ์ลวงตาและจานทรงกลมปะทะเข้าด้วยกัน และระเบิดออกเป็นลำแสงสีเขียว เงินเจิดจ้าจนแสบตา


ยามนี้เปลวเพลิงสีเขียวพลันม้วนวนออกมา ห่อหุ้มหุ่นเชิดวิหคอัสนีเอาไว้ข้างใน และตัดสลับกันไปมากับประจุไฟฟ้าอัสนีที่ห่อหุ้มร่าง บางครั้งก็มีเสียงฟ้าร้องต่ำๆ ดังออกมา

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)