อัจฉริยะสมองเพชร 1688-1691

 ตอนที่ 1688 ปรับปรุงทางเดินพลังปราณ

ตอนนี้ ระดับวรยุทธของพลังปราณของจางเซวียนเข้าถึงขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 1-การพักฟื้นภายใน โลกจารึก เขาได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับภูมิปัญญาของเหล่าบรรพบุรุษที่เกี่ยวข้องกับการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งจากตระกูลจางและตระกูลหลัวแล้ว แต่เส้นทางของนักรบแต่ละคนมีความแตกต่างกัน ดังนั้น กรรมวิธีที่แต่ละคนใช้ในการฝ่าด่านวรยุทธจึงต่างกันไปด้วย


เขาอาจใช้ภูมิปัญญาของนักรบเหล่านั้นเป็นข้อมูลอ้างอิงเพื่อหาแนวทางได้ แต่ไม่อาจเลียนแบบได้ทุกขั้นตอน


ด้วยเหตุนี้ แม้จางเซวียนจะได้อ่านหนังสือมาแล้วมากมาย แต่ก็ยังค้นหากรรมวิธีที่เหมาะสมในการยกระดับวรยุทธไม่ได้


เพราะได้สังหารนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานไปแล้วหลายสิบตัว เขาจึงมีหนังสือเทคนิควรยุทธและหนังสือเกี่ยวกับภูมิปัญญาที่พวกมันใช้ในการฝ่าด่านวรยุทธอยู่มากมาย ถึงเทคนิควรยุทธและกรรมวิธีการฝ่าด่านวรยุทธของเผ่าพันธุ์ปีศาจจะต่างจากมนุษย์มาก แต่เพราะการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่นั้นมีผลให้เครือข่ายทางเดินพลังปราณของจางเซวียนคล้ายคลึงกับเผ่าพันธุ์ปีศาจ ดังนั้นจึงมีโอกาสเป็นไปได้ที่เทคนิควรยุทธของพวกมันจะใช้กับเขาได้เช่นกัน


เพราะถึงอย่างไร เผ่าพันธุ์ปีศาจก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีประสิทธิภาพมากกว่ามนุษย์ การใช้เทคนิควรยุทธของพวกมันจึงอาจเกิดประโยชน์


จางเซวียนนำหนังสือทั้งหมดใส่เข้าไปในแหวนเก็บสมบัติ ซึ่งรวมแล้วก็หลายพันเล่ม เขากวาดตาดูอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ถ่ายโอนพวกมันเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้า


“ประมวล!”


จางเซวียนรวบรวมหนังสือเหล่านี้เข้ากับหนังสือที่เขาถ่ายโอนมาจากตระกูลเจียง ตระกูลหลัว และที่อื่นๆ


วิ้ง!


หนังสือเล่มใหม่เอี่ยมปรากฏขึ้นในหอสมุดเทียบฟ้า


จางเซวียนแตะมัน แล้วความรู้ที่อยู่ในหนังสือก็ลอยเข้าสู่สมองของเขา เขาค่อยๆหลับตาลง


กรรมวิธีการฝ่าด่านวรยุทธของเผ่าพันธุ์ปีศาจขั้นร่างอันทรงเกียรตินั้นซับซ้อนกว่าของมนุษย์มาก พวกมันจะต้องเข้าถึงพลังของดวงจันทร์สีเลือดเพื่อเพิ่มพลังปราณสังหารและบ่มเพาะร่างกาย ซึ่งแน่นอนว่าเป็นกรรมวิธีที่มนุษย์ไม่อาจใช้ได้ เทคนิควรยุทธที่เขาประมวลขึ้นมาจึงไม่มีประโยชน์


หรือพูดอีกอย่างก็คือ ข้อสันนิษฐานก่อนหน้านี้ของเขาไม่ถูกต้อง


แต่ถึงจะไม่อาจประมวลเคล็ดวิชาเทียบฟ้า แต่มันก็ให้แรงบันดาลใจเขามากพอที่จะยกระดับวรยุทธต่อไป


“ด้วยการชำระสายเลือด เผ่าพันธุ์อสูรสามารถยกระดับวรยุทธของพวกมันได้ หลังจากที่มนุษย์ฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ทางเดินพลังปราณของพวกเขาจะเริ่มพัฒนาจนมีความคล้ายคลึงกับทางเดินพลังปราณของเผ่าพันธุ์ปีศาจ…การยกระดับวรยุทธก็คือการยกระดับประสิทธิภาพของร่างกายของผู้นั้น”


“กายเนื้อของเราได้รับการบ่มเพาะจากเปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุดแล้ว ทำให้แข็งแกร่งกว่านักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติโดยทั่วไป ดังนั้น ด่านคอขวดจึงไม่ได้อยู่ที่กายเนื้อของเรา แต่อยู่ในทางเดินพลังปราณ ขอแค่เราปรับปรุงทางเดินพลังปราณได้สักเล็กน้อย ก็น่าจะฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ!” จางเซวียนพึมพำด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย


ทั้งกายเนื้อและจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาได้รับการบ่มเพาะจากเปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุด จึงแข็งแกร่งไร้เทียมทานกว่านักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติโดยทั่วไป ในเมื่อเป็นอย่างนั้น จางเซวียนจึงไม่มีความจำเป็นต้องปรับปรุงกายเนื้อหรือจิตวิญญาณต้นกำเนิดมากนัก


พูดอีกอย่างก็คือ ขอแค่เขาพัฒนาเครือข่ายทางเดินพลังปราณและยกระดับประสิทธิภาพของร่างกายได้ ก็จะก้าวเข้าสู่วรยุทธขั้นที่สูงขึ้นได้อย่างง่ายดาย


เขาไม่จำเป็นต้องใช้เทคนิควรยุทธใดๆเลย!


ขอลองดูหน่อยเถอะ! จางเซวียนคิดขณะทรุดตัวลงนั่งกับพื้น


เขาซึมซับพลังจิตวิญญาณจากทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธที่ได้มา จากนั้นก็ปล่อยพลังปราณให้หมุนเวียนทั่วร่าง 3 รอบ และยกระดับสภาวะร่างกายจนแข็งแกร่งถึงขีดสุด


ในครั้งนั้น เพื่อสร้างทางเดินพลังปราณใหม่ให้จ้าวหย่า เขาได้ปรับเปลี่ยนเครือข่ายทางเดินพลังปราณของเธอใหม่หมด จางเซวียนรีบค้นหาเครือข่ายทางเดินพลังปราณรูปแบบใหม่ที่อยู่ในหัว และเริ่มปรับปรุงทางเดินพลังปราณภายในร่างกายของเขาให้เป็นไปตามนั้น


ทางเดินพลังปราณเป็นรากฐานของนักรบทุกคน เขาไม่กล้าปรับปรุงทางเดินพลังปราณส่วนที่เชื่อมต่อกับจุดตันเถียนและอวัยวะต่างๆ เพราะเกรงจะเกิดความผิดพลาด จางเซวียนเริ่มต้นปรับปรุงทางเดินพลังปราณส่วนที่เชื่อมโยงกับแขนขาก่อน


แม้นักรบทั่วไปจะรู้ว่าการปรับปรุงทางเดินพลังปราณจะช่วยยกระดับวรยุทธให้พวกเขาได้ แต่ก็ไม่อาจทำแบบนั้นได้จริง นั่นก็เพราะทางเดินพลังปราณเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย ซึ่งกระบวนการการปรับปรุงทางเดินพลังปราณอาจนำไปสู่ความซับซ้อนยุ่งยากที่คาดเดาไม่ได้


แต่เพราะจางเซวียนได้ฝึกฝนกรรมวิธีการฝ่าด่านวรยุทธขั้นสูงของปรมาจารย์ขง ร่างกายของเขาจึงได้รับการบ่มเพาะจากเปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุด ทำให้มีความแข็งแกร่งทนทานกว่านักรบขั้นเดียวกัน สิ่งนี้ทำให้เขาสามารถต้านทานแรงกดดันที่เกิดจากการเคลื่อนย้ายทางเดินพลังปราณได้


จางเซวียนใช้กระบวนการแบบเดิม เขาค่อยๆย้ายทางเดินพลังปราณอย่างช้าๆ


…..


เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง…


ฟิ้วววว!


เจตนาสังหารระเบิดออกจากส่วนลึกของร่างกายของเขา ในตอนนั้น ดูเหมือนจางเซวียนได้กลายร่างเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจไปแล้ว


ปรากฏการณ์นี้เหมือนกับที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่เขาเปลี่ยนทางเดินพลังปราณใหม่ให้จ้าวหย่า เขาไม่ได้จงใจปรับเปลี่ยนองค์ประกอบของพลังปราณของจ้าวหย่า แต่การที่ร่างกายแผ่เจตนาสังหารของเผ่าพันธุ์ปีศาจออกมานั้นดูจะเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการพัฒนา


ในเวลานี้ ต่อให้ไม่ใช้เครื่องรางแห่งการปลอมตัว อู๋ชู่กับคนอื่นๆก็ไม่มีทางแยกจางเซวียนออกจากเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวอื่นได้


มันได้ผล…


หากจะเปรียบเทียบทางเดินพลังปราณเป็นแหล่งน้ำ ตอนนี้เขาก็เป็นแค่ลำธารธรรมดาสายหนึ่ง ถ้าเขาอยากจะกลายเป็นแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวกราก ก็ต้องเพิ่มความลึกและความกว้าง อีกทั้งความคดเคี้ยวของลำน้ำก็จะต้องลดลง มีแต่การทำแบบนี้เท่านั้นที่น้ำจะไหลผ่านไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ยิ่งจางเซวียนปรับปรุงทางเดินพลังปราณของเขามากขึ้น ความแข็งแกร่งในร่างกายก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย รังสีของเขาเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ


ก่อนหน้านี้ วรยุทธขั้นร่างอันทรงเกียรติยังดูเหมือนไกลเกินเอื้อม แต่ตอนนี้ถือว่าไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป


ไม่ช้า จางเซวียนก็เสร็จสิ้นการปรับปรุงทางเดินพลังปราณที่นำไปสู่แขนขา


หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการ จางเซวียนก็ยังไม่รีบร้อนเดินหน้าสู่ขั้นต่อไป เขานั่งพักเพื่อฟื้นฟูพลังปราณที่สูญเสียไปและปรับสภาวะร่างกายของตัวเองให้กลับสู่ความแข็งแกร่งสูงสุดก่อนจะดำเนินการต่อ


ตอนนี้ ทางเดินพลังปราณของเขากว้างขึ้น ทำให้พลังปราณไหลเวียนได้โดยปราศจากสิ่งกีดขวาง ถ้าจางเซวียนตั้งใจปล่อยพลังปราณด้วยพละกำลังเต็มพิกัด ก็จะก่อเกิดเป็นกระแสอันเชี่ยวกรากราวกับการเข้าโจมตีของกองกำลังที่มีจำนวนหลายพัน


ทางเดินพลังปราณที่นำไปสู่แขนขานั้นส่วนใหญ่เป็นทางเดินพลังปราณขั้นรอง การปรับปรุงจึงง่ายกว่า แต่มันจะไม่ง่ายแบบนั้นสำหรับทางเดินพลังปราณที่อยู่รอบจุดตันเถียนและอวัยวะภายใน พวกมันเชื่อมโยงกันด้วยความซับซ้อนอย่างมาก และความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้เกิดการตีกลับของพลังปราณ ส่งผลให้เป็นอัมพาตหรืออาจถึงขั้นวรยุทธถูกธาตุไฟเข้าแทรกเลยทีเดียว


จางเซวียนไม่กล้ารีบร้อน จึงค่อยๆเคลื่อนย้ายทางเดินพลังปราณทีละนิดด้วยความระมัดระวังอย่างมาก


ขณะที่เขากำลังพยายามฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นร่างอันทรงเกียรติ ที่ทวีปแห่งปรมาจารย์, สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ก็ได้ต้อนรับแขกกลุ่มหนึ่ง


พวกเขาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหลัวกั้นเจินกับเจียงฟังโหย่ว


หลังจากเข้าสู่ห้องโถงใหญ่ ทุกคนก็รีบหาที่นั่ง


“เหตุผลที่พวกคุณมาที่นี่นั้นเกี่ยวข้องกับวิกฤตการณ์ในอาณาจักรใต้ดินหรือเปล่า?” เหรินชิงหยวนมองหน้าแขกทั้งสองและตรงเข้าประเด็นทันที


“ใช่แล้ว ดูเหมือนสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ก็รู้เหมือนกันนี่ว่ามีบางอย่างผิดปกติ ปรมาจารย์เหริน, ผมอยากขอให้คุณแบ่งปันรายละเอียดที่คุณรู้กับผม เพื่อจะได้เปรียบเทียบกับข้อมูลที่ทางเราได้รับมา” เจียงฟังโหย่วประสานมือ


“ได้!” เหรินชิงหยวนพยักหน้า “เมื่อวันก่อน เผ่าพันธุ์ปีศาจที่อยู่ในอาณาจักรใต้ดินของสภาปรมาจารย์ของเรายังคงเกรี้ยวกราดอย่างสุดประมาณ ดูเหมือนพวกมันจะไม่หยุดยั้งจนกว่าจะฝ่าด่านการตรึงกำลังของเราเข้ามาได้ แต่เมื่อบ่ายนี้ กองกำลังทหารส่วนใหญ่ได้ล่าถอย เหลือไว้เพียงกองหน้าจำนวนหนึ่งเพื่อคอยอารักขาพื้นที่ ผมเกรงว่านั่นจะเป็นการรอเวลาเพื่อบุกเข้าโจมตี พวกเราจึงตรึงกำลังไว้และรอเวลาเช่นกัน แต่หลังจากเวลาผ่านไปนาน พวกมันก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหว เมื่อเราส่งกองสอดแนมเข้าไปดูลาดเลา ก็พบว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจส่วนใหญ่ล่าถอยกลับเข้าไปอยู่ด้านหลังฉนวนแล้ว เหตุการณ์แบบเดียวกันนี้เกิดขึ้นในอาณาจักรใต้ดินที่ต่างๆที่พวกคุณอารักขาอยู่หรือเปล่า?”


“ใช่เลย! พวกเราพบความผิดปกติแบบเดียวกันนี้ในอาณาจักรใต้ดินที่ต่างๆที่เราตรึงกำลังอยู่ เผ่าพันธุ์ปีศาจล่าถอยกลับสู่สนามรบของพวกมันอย่างกะทันหัน ผมไม่แน่ใจว่าตอนนี้พวกมันคิดอะไรอยู่ แต่รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ” หลัวกั้นเจินพูดอย่างเคร่งเครียด “น้องฟังโหย่ว ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด เหตุผลที่คุณรีบร้อนเรียกพวกเรามารวมตัวกันก็เพราะคุณรู้บางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ใช่ไหม?”


เหตุผลที่พวกเขามารวมตัวกันที่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ในช่วงเวลาคับขันแบบนี้ก็เป็นเพราะคำขอของเจียงฟังโหย่ว


“ผมรู้อะไรมาบางอย่าง และเหตุผลที่ผมเรียกพวกคุณมารวมตัวกันอย่างเร่งด่วนก็เพื่อหารือ”


ขณะที่พูด เจียงฟังโหย่วก็กวาดสายตาไปโดยรอบ เมื่อเห็นฉนวนหลายชั้นที่ติดตั้งอยู่รอบสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ซึ่งสามารถป้องกันข้อมูลลับสุดยอดไม่ให้รั่วไหลออกไปได้ เขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก


เห็นทีท่าระแวดระวังสุดขีดของเจียงฟังโหย่ว ปรมาจารย์เหรินกับคนอื่นๆมีสีหน้าเคร่งเครียดเช่นกัน


“ผมเชื่อว่าสภาปรมาจารย์คงรู้แล้วว่าหลังจากการล่มสลายของฮ่องเต้เผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีความแข็งแกร่งถึงขนาดโจมตีปรมาจารย์ขงได้ เผ่าพันธุ์ปีศาจก็อยู่ภายใต้การควบคุมของผู้เชี่ยวชาญสามตัว” เจียงฟังโหย่วพูด


“ใช่ พวกมันคืออำมาตย์เฉินหย่ง อำมาตย์เฉินชิง และอำมาตย์เฉินหลิง ใช่ไหม? เฉินหย่งรับหน้าที่ผู้นำ ขณะที่อำมาตย์เฉินชิงกับอำมาตย์เฉินหลิงดูเหมือนจะเป็นกำลังเสริม…แต่ทั้งสามไม่ได้มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันนัก แถมยังหวาดระแวงซึ่งกันและกันด้วย เพราะความไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จึงทำให้พวกมันไม่เคยเปิดการโจมตีเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้อย่างเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ต่อให้สภาปรมาจารย์ก็คงต้องเหน็ดเหนื่อยในการขับไล่พวกมันออกไป” ปรมาจารย์เหรินพยักหน้า


เรื่องนี้เป็นข้อมูลลับสุดยอด แต่ก็ไม่มีทางที่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่จะไม่รู้


“ใช่แล้ว อำมาตย์ทั้งสามจับตาดูซึ่งกันและกันตลอดเวลา แต่เมื่อบ่ายนี้เอง ผมได้ข่าวว่าอำมาตย์เฉินชิงกับอำมาตย์เฉินหลิงประกาศความสัมพันธ์เป็นพันธมิตรกันอย่างเป็นทางการแล้ว!” เจียงฟังโหย่วหน้าดำคร่ำเครียด



ตอนที่ 1689 ความตกตะลึงของเหรินชิงหยวนกับคนอื่นๆ

“พันธมิตร?” เหรินชิงหยวนถึงกับอึ้งเมื่อได้รู้ข่าว


“ตามที่ผมได้ยินมา ดูเหมือนสองอำมาตย์จะมีกองกำลังที่แข็งแกร่งรวมกันกว่าแสนตัว ถ้าพวกมันเป็นพันธมิตรกันจริงๆล่ะก็ พวกเราคงต้องเผชิญกับการบุกรุกครั้งใหญ่เร็วๆนี้ ถ้าข่าวที่ผมได้มาเป็นความจริง จุดที่พวกมันจะเข้าโจมตีก็คืออาณาจักรใต้ดินของสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่!” เจียงฟังโหย่วพูดอย่างเคร่งเครียด


“ผู้อาวุโสสูงสุดที่เป็นนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานเกือบทั้งหมดของสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ได้เดินทางไปยังวิหารแห่งขงจื๊อ และเหล่าปรมาจารย์ของเราก็กระจายกำลังกันไปอยู่ตามอาณาจักรใต้ดินที่ต่างๆทั่วทั้งทวีปแห่งปรมาจารย์ ต่อให้เรียกรวมพลพวกเขาตอนนี้ ก็น่าจะกลับมาไม่ทันเวลา เราอาจใช้ค่ายกลทะลุมิติเพื่อนำกองกำลังส่วนหนึ่งกลับมาได้ แต่ส่วนใหญ่ก็อ่อนแอเกินกว่าที่จะสามารถต้านทานคลื่นรบกวนแห่งมิติ” เหรินชิงหยวนพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว


ถ้าข้อมูลของเจียงฟังโหย่วเป็นความจริง เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็กำลังตกอยู่ในอันตรายครั้งใหญ่


แม้แต่ตัวเขาก็ไม่อาจหาวิธีการเหมาะๆที่จะแก้ไขปัญหาในตอนนี้ได้


“ผมรู้ดีว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความอยู่รอดของมวลมนุษย์ ดังนั้น พี่หลัวกับผมจึงได้เรียกรวมพลบุคลากรชั้นสูงของตระกูลเจียงและตระกูลหลัวเพื่อมาช่วยสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ในการปกป้องอาณาจักรใต้ดิน” เจียงฟังโหย่วพูด


“ขอให้ผมได้แสดงความขอบคุณแทนมวลมนุษย์ด้วย, พี่เจียง ในเมื่อการโจมตีอย่างเต็มพิกัดของกองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจมาจ่ออยู่ตรงหน้าพวกเราแล้ว เราก็ไม่มีเวลาจะเสีย รีบเดินทางไปยังอาณาจักรใต้ดินและหารือเรื่องแผนการต่อสู้ระหว่างทางก็แล้วกัน ผมเกรงว่าพวกมันจะเปิดการโจมตีก่อนที่พวกเราจะทันได้ทำอะไร…”


เหรินชิงหยวนกับคนอื่นๆรีบรุดหน้าไปยังอาณาจักรใต้ดินที่อยู่ใต้สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่โดยไม่ลังเล


ก็เหมือนกับอาณาจักรใต้ดินแห่งภูเขาพยัคฆ์มังกรของตระกูลจาง มีป้อมปราการขนาดใหญ่อยู่เบื้องหลังฉนวนแห่งมิติ เพื่อเป็นมาตรการรักษาความปลอดภัยจากเผ่าพันธุ์ปีศาจ


เผ่าพันธุ์ปีศาจไม่มีทางย่างเท้าเข้าสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์ได้ เว้นเสียแต่พวกมันจะทำลายป้อมปราการนั้น


“สถานการณ์อีกด้านหนึ่งเป็นอย่างไรบ้าง?” เหรินชิงหยวนรีบร่อนลงสู่เป้าหมาย และตั้งคำถามกับปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวคนหนึ่งที่รักษาการณ์อยู่บริเวณนั้น


“กองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจไม่มีการเคลื่อนไหวมาสักพักหนึ่งแล้ว พวกเราเพิ่งได้ข่าวจากกองสอดแนมว่าเหล่าพลทหารล่าถอยเข้าไปอยู่หลังฉนวนแห่งมิติ ดูเหมือนกำลังวางแผนอะไรสักอย่าง และเพราะเจตนาสังหารอบอวลไปทั่วสนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจ พวกเขาจึงไม่กล้าเข้าไปใกล้กว่านี้ ดังนั้น พวกเราจึงไม่แน่ใจว่าสถานการณ์ที่แท้จริงเป็นอย่างไร” ปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวรายงาน


“ผมเข้าใจแล้ว” เหรินชิงหยวนพยักหน้า


ดวงจันทร์สีเลือดลอยเด่นอยู่เหนือสนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจขณะที่กองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจยังคงตรึงกำลังอยู่ ทำให้เจตนาสังหารเข้มข้นอบอวลอยู่ในพื้นที่ หากปรมาจารย์ระดับธรรมดาสามัญเข้าสู่สนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจอย่างไม่ระมัดระวัง ไม่ช้า ความรู้ผิดชอบชั่วดีของเขาก็จะถูกเจตนาสังหารกัดกร่อนจนกลายเป็นเครื่องจักรที่ไม่รู้จักอะไรอื่นนอกจากการสังหาร


ก็เพราะเหตุผลนี้ที่ทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ยังคงรักษามาตรการป้องกันเผ่าพันธุ์ปีศาจเอาไว้ตลอดหลายหมื่นปีที่ผ่านมา ไม่ใช่เพราะไม่อยากกำจัดเผ่าพันธุ์ปีศาจ แต่เป็นเพราะไม่สามารถทำได้


ไม่อย่างนั้น ด้วยจำนวนผู้เชี่ยวชาญที่มีมากมายนับไม่ถ้วนในสภาปรมาจารย์ตลอดหลายหมื่นปีที่ผ่านมา ก็ไม่มีเหตุผลที่พวกเขาจะปล่อยให้เผ่าพันธุ์ปีศาจยังมีโอกาสหายใจ และปล่อยให้พวกมันฟื้นตัวจากความสูญเสียครั้งใหญ่ที่ได้รับในยุคสมัยของปรมาจารย์ขง


เจียงฟังโหย่วครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “การที่เราจะมัวรออยู่ที่นี่ก็ไม่ใช่ทางออกเช่นกัน ผมจะมุ่งหน้าไปที่นั่นเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ด้วยตัวเอง เราต้องการข้อมูลมากกว่านี้เพื่อเตรียมการรับมือกับสิ่งที่กำลังจะเกิด เผ่าพันธุ์ปีศาจมักละเลยการตรึงกำลังบริเวณฉนวนแห่งมิติอยู่เสมอ ดังนั้นผมน่าจะลอบเข้าไปได้โดยไม่ทำให้พวกมันรู้ตัว”


“น้องเจียง ให้ผมไปกับคุณนะ” หลัวกั้นเจินก้าวออกมา “ผมเพิ่งพัฒนาความเข้าใจเรื่องมิติขึ้นได้อีกมาก ตราบใดที่ข้าศึกมีวรยุทธไม่สูงกว่าผม ผมก็สามารถอำพรางพวกเราจากสายตาของเผ่าพันธุ์ปีศาจได้สบาย!”


“เอ่อ…” เหรินชิงหยวนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันไปสั่งการกับปรมาจารย์ระดับ 9 ดาว “เรียกรวมพลกองกำลังของเราและสั่งการให้พวกเขาเตรียมพร้อมรับการต่อสู้ทุกเมื่อ ผมจะมุ่งหน้าไปยังสนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจเพื่อตรวจสอบสถานการณ์กับพี่เจียงและพี่หลัว”


ในเมื่อกองกำลังสอดแนมไม่อาจบุกเข้าไปในสนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจได้ ข้อมูลที่พวกเขาได้รับจึงมีจำกัด น่าจะดีกว่าถ้าเขาจะเข้าไปสำรวจด้วยตัวเอง


“ท่านรองประธาน คุณต้องไม่ทำแบบนั้นนะ!”


“มันอันตรายเกินไป!”


ปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวหลายคนพยายามยับยั้งเหรินชิงหยวนไว้


“อย่าห่วงน่ะ ผมไปดูลาดเลาเท่านั้น มีพี่หลัวและพี่เจียงอยู่ด้วย พวกเราไม่เผชิญปัญหามากมายนักหรอก” เหรินชิงหยวนปลอบใจคนอื่นๆที่เหลือ


เห็นเหรินชิงหยวนตัดสินใจแน่วแน่ ปรมาจารย์คนอื่นๆรู้ดีว่าพยายามหว่านล้อมให้อีกฝ่ายเปลี่ยนใจก็ไร้ประโยชน์ จึงได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่และเงียบไป


ในเมื่อเรื่องนี้เป็นความเร่งด่วนสูงสุด ทั้งสามจึงรีบอำพรางตัวและรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว


ไม่ช้าก็มาถึงฉนวนแห่งมิติ


เป็นอย่างที่ปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวคนเมื่อครู่นี้บอกไว้ กองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจไม่ได้วางกำลังคุ้มกันไว้มากนัก เหล่าพลทหารที่รักษาพื้นที่นั้นก็อยู่ในระดับที่เรียกว่าไม่แข็งแกร่ง ทั้งสามจึงสามารถผ่านพวกมันไปได้อย่างง่ายดาย


ทันทีที่เข้าถึงสนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจ ก็รู้สึกได้ถึงคลื่นเจตนาสังหารเข้มข้นที่พวยพุ่งเข้าใส่ แม้ด้วยวรยุทธระดับพวกเขา ก็ยังไม่อาจป้องกันเจตนาสังหารเข้มข้นนั้นไม่ให้ซึมซาบเข้าสู่ร่างกาย จึงได้แต่รีบรุดหน้าต่อไป


“ผมรู้สึกได้ถึงคลื่นรบกวนขนาดหนักของกระแสพลังจิตวิญญาณจากบริเวณนั้น รีบไปดูกันเถอะ!”


หลังจากบินไปได้ครู่หนึ่ง ทั้งสามก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่อาจเรียกได้ว่าเป็นพายุพลังจิตวิญญาณที่กำลังโหมกระหน่ำอย่างเกรี้ยวกราดพัดมาจากทิศทางหนึ่ง พวกเขาสบตากันแล้วรีบบินตรงไป


ก่อนจะเข้าถึงพื้นที่นั้น ทุกคนก็อำพรางตัวไว้และเข้าไปด้วยความระมัดระวังสูงสุด เกรงว่าแรงสั่นสะเทือนเพียงเล็กน้อยที่พวกเขาทำให้เกิดขึ้นในบริเวณโดยรอบอาจทำให้ศัตรูรู้ตัว


ไม่ง่ายเลยที่จะเข้าสู่อาณาเขตของคลื่นรบกวนนั้น เหรินชิงหยวนยืนอยู่บนยอดเขาและมองลงไปยังหุบเขาที่อยู่ตรงหน้า จากนั้นร่างของเขาก็กระตุกด้วยความประหลาดใจ


เห็นทีท่าของเหรินชิงหยวน เจียงฟังโหย่วขมวดคิ้ว “มีอะไร?”


“คุณมาดูเองเถอะ” เหรินชิงหยวนตอบด้วยริมฝีปากสั่นเทา


หลัวกั้นเจินกับเจียงฟังโหย่วต่างงงงัน พวกเขารีบมองลงไป ในชั่วพริบตา นัยน์ตาของทั้งคู่ก็เบิกโพลง ปากอ้าค้าง


“เผ่าพันธุ์ปีศาจพวกนี้…ตายหมดแล้ว?”


หุบเขาที่อยู่ตรงหน้ามีศพเผ่าพันธุ์ปีศาจมากมายนับไม่ถ้วนเรียงรายอยู่เกลื่อนกลาด บางส่วนกองทับกันพะเนินเทินทึกจนเหมือนเนินเขาขนาดย่อม เกิดเป็นภาพอันน่าสยดสยอง เรียกได้ว่าเป็น ‘ทะเลศพ’ เลยทีเดียว


พวกเขายังกังวลเรื่องการที่กองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจจะบุกรุก และเตรียมมาตรการหลายอย่างไว้ด้วยความพรั่นพรึงที่จะต้องรับมือกับพวกมัน แต่ยังไม่ทันที่เผ่าพันธุ์ปีศาจเหล่านี้จะก้าวพ้นฉนวนแห่งมิติไป พวกมันก็ถูกสังหารหมดแล้ว มันเกิดอะไรขึ้น?


“ไปดูกันเถอะ!”


ในเมื่อเผ่าพันธุ์ปีศาจตายหมด ก็ไม่มีอะไรให้ต้องหวาดกลัว พวกเขาจึงรุดหน้าต่อไป


ทั้งสามบินลงไปยังหุบเขาและตรวจสอบศพเหล่านั้น


หลังจากวิเคราะห์ร่องรอยที่อยู่โดยรอบ เจียงฟังโหย่วตั้งข้อสังเกตด้วยความประหลาดใจ “ที่นี่ควรจะเป็นฐานที่ตั้งของกองกำลังพันธมิตรระหว่างฝ่ายอำมาตย์เฉินชิงกับอำมาตย์เฉินหลิง แต่เท่าที่เห็น…ดูเหมือนพวกมันจะตายเพราะสู้กันเอง!”


เหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณที่แฝงตัวอยู่ในหมู่เผ่าพันธุ์ปีศาจได้แอบส่งข้อความมาบอกเขาเรื่องการประกาศตัวเป็นพันธมิตรกันระหว่างกองกำลังของ 2 อำมาตย์ เพราะฉะนั้น ก็แน่นอนว่าความเป็นพันธมิตรนี้จะต้องเป็นภัยครั้งใหญ่ต่อมวลมนุษย์ การเตรียมการเพื่อรับมือล่วงหน้าจึงเป็นเรื่องสำคัญสูงสุด


ซึ่งหลังจากได้รู้ข่าว เจียงฟังโหย่วก็เกิดความหวั่นวิตกอย่างมาก เขาตัวสั่นเมื่อคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากเผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่อาจรับมือกับเผ่าพันธุ์ปีศาจได้ แต่ยังไม่ทันที่ข้าศึกจะปรากฏตัว พวกมันก็ถูกฆ่าตายหมดแล้ว


ให้นรกกินเถอะ! มันเกิดอะไรขึ้นที่นี่?


ใครอธิบายให้เราฟังได้บ้าง?


“เป็นไปได้หรือไม่ว่าสองอำมาตย์อาจเกิดความขัดแย้งกัน และบานปลายกลายเป็นการต่อสู้ ทำให้ ทั้งกองทัพถูกกวาดล้าง?” หลัวกั้นเจินถาม


มันเป็นเหตุผลที่ฟังดูเหลวไหลมาก แต่เขาก็มองไม่เห็นเหตุผลอื่นที่จะอธิบายเรื่องนี้


“ถึงสองอำมาตย์จะไม่ถูกกัน นำมาซึ่งการต่อสู้ระหว่างสองฝ่าย แต่ก็ไม่มีทางที่ทั้งกองทัพจะถูกกวาดล้างจนสิ้นซากแบบนี้ ใครสักคนจะต้องสังหารเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่ยังรอดชีวิต อีกอย่าง พวกคุณรู้สึกไหมว่าพวกมันดูจะเสียชีวิตในรูปแบบเหมือนๆกัน? เผ่าพันธุ์ปีศาจกว่าพันตัวที่อยู่ตรงนี้ถูกทับจนบี้แบนด้วยพละกำลังมหาศาลบางอย่าง ส่วนเผ่าพันธุ์ปีศาจอีกพันตัวที่อยู่ทางนั้นก็ถูกแทงหัวใจ และเผ่าพันธุ์ปีศาจอีกพันตัวที่อยู่ทางโน้นถูกตัดหัว…” เหรินชิงหยวนส่ายหน้าและทักท้วงข้อสันนิษฐานของหลัวกั้นเจิน


ในฐานะปรมาจารย์ระดับ 9 ดาว การวิเคราะห์และสังเกตของเขามีความเฉียบคมมาก จากร่องรอยที่หลงเหลืออยู่ เขาบอกได้ว่าไม่มีเผ่าพันธุ์ปีศาจในกองทัพที่มีกว่าแสนตัวนี้รอดชีวิตแม้แต่ตัวเดียว


เพราะกองกำลังของทั้งสองฝ่ายมีประสิทธิภาพพอๆกัน จึงมีความเป็นไปได้ที่การทำสงครามจะลงเอยด้วยความตายมากมายขนาดนี้ แต่หากไม่มีคนนอกเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่พวกมันจะตายเรียบไม่มีเหลือ


“รองประธานเหรินพูดถูก ไม่เพียงเท่านั้น อาวุธยุทโธปกรณ์และทรัพยากรของเผ่าพันธุ์ปีศาจก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยด้วย ผมไม่เห็นแหวนเก็บสมบัติสักวง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะต้องมีใครคนหนึ่งปล้นสะดมพวกมัน” เจียงฟังโหย่วเสริม


ได้ยินคำนั้น หลัวกั้นเจินรีบกวาดสายตาไปทั่วศพเผ่าพันธุ์ปีศาจที่เรียงรายอยู่ และเห็นนิ้วของพวกมันว่างเปล่า ไม่มีแหวนเก็บสมบัติให้เห็นแม้แต่วงเดียว ยิ่งไปกว่านั้น เต็นท์ส่วนใหญ่ก็ถูกเผาจนมอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน ไม่มีอาวุธยุทโธปกรณ์ทางการทหารหลงเหลือเลย


กองกำลังใหญ่โตขนาดนี้จะไม่มีอุปกรณ์ทางการทหารได้อย่างไร?


มีคำอธิบายเพียงข้อเดียวสำหรับภาพที่เห็น คือมีบุคคลที่สามอยู่ด้วย มีโอกาสที่การสังหารหมู่ที่เกิดขึ้นนี้จะเป็นฝีมือของบุคคลที่สาม


แต่ว่า…


ใครกันที่จะสามารถเล่นงานกองทัพเผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีนับแสนตัวได้ภายในเวลาไม่ถึง 1 วัน?


วิ้วววว!


ในตอนนั้น เสียงลมหวีดหวิวก็ดังมาจากที่ไกลๆ จากนั้น ร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวเหนือหุบเขาที่ทั้งสามยืนอยู่



ตอนที่ 1690 ก็แค่สนุกๆ

เพื่อตอบโต้ผู้ที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหัน เหรินชิงหยวนกับคนอื่นๆรีบชักอาวุธออกมาเตรียมพร้อมทันที แต่ขณะที่กำลังจะเข้าโจมตี ก็เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายได้ถนัด


เหรินชิงหยวนตาโตด้วยความประหลาดใจและอุทานว่า “ปรมาจารย์หลัวนี่เอง!”


เจียงฟังโหย่วกับหลัวกั้นเจินก็จดจำร่างนั้นได้


พวกเขาเคยเห็นหลัวลั่วชิงเมื่อครั้งงานหมั้น ด้วยรูปร่างหน้าตาและบุคลิกโดดเด่นของเธอ ไม่มีทางที่พวกเขาจะจำเธอสลับกับคนอื่น


เพียงแต่…ทำไมจู่ๆเธอถึงปรากฏตัวที่นี่?


เธอไม่ได้อยู่กับจางเซวียนที่ตระกูลจางเพื่อดูแลอาณาจักรใต้ดินแห่งภูเขาพยัคฆ์มังกรหรอกหรือ?


“เป็นไปได้ไหมว่าเธอจะเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจ?” หลัวกั้นเจินเลิกคิ้วขณะปล่อยรังสีของความเป็นปฏิปักษ์ออกมา


แม้เขาจะยอมรับจางเซวียนในฐานะหัวหน้าตระกูลหลัวคนใหม่ แต่ก็ไม่อาจทำใจยกโทษให้หลัวลั่วชิงได้สำหรับการที่เธอบุกรุกงานหมั้น แถมยังทำร้ายเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลหลัวจนได้รับบาดเจ็บ


เขาเคยพยายามสืบเสาะภูมิหลังของหลัวลั่วชิง แต่ดูเหมือนเธอจะโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ แม้แต่เครือข่ายข้อมูลข่าวสารอันกว้างขวางของตระกูลหลัวก็ไม่อาจรวบรวมข้อมูลของเธอได้


การที่นักรบผู้ทรงพลังอย่างหลัวลั่วชิงปรากฏตัวอย่างปุบปับโดยไม่มีสัญญาณล่วงหน้า ก็ยากที่เขาจะทำใจไม่ให้สงสัยตัวตนของเธอ!


ได้ยินคำนั้น อีกสองคนที่เหลือก็หันไปมองหลัวลั่วชิง สีหน้าของเธอไม่มีอะไรผิดปกติขณะมองศพที่เรียงรายก่ายกองอยู่ทั่ว แต่เธอกลับกวาดสายตาไปรอบๆ ดูเหมือนกำลังพยายามค้นหาอะไรบางอย่าง


“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง” เหรินชิงหยวนตั้งข้อสังเกตพร้อมกับขมวดคิ้ว “ผมก็ยังสงสัยอยู่ว่าเธอจะวางท่าสงบเยือกเย็นอยู่แบบนี้ได้หรือหลังจากที่เห็นคนของตัวเองต้องตายไปมากมาย…”


บริเวณนี้มีเผ่าพันธุ์ปีศาจนอนตายนับแสนตัว ซึ่งความตายของพวกมันก็ใหญ่โตพอที่จะสั่นคลอนรากฐานของกองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจแล้ว!


ถ้าหลัวลั่วชิงเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นจริงๆ ก็น่าจะมีปฏิกิริยาบ้างกับการสังหารที่เกิดขึ้น การที่เธอยังคงสุขุมเยือกเย็นอยู่ได้ทั้งๆที่เห็นความพินาศวอดวายอยู่ตรงหน้า ก็บ่งบอกว่าเธอไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับเผ่าพันธุ์ปีศาจ


“ปรมาจารย์เหริน, หัวหน้าหลัว, หัวหน้าเจียง พวกคุณเห็นจางเซวียนบ้างไหม?”


“จางเซวียน? ปรมาจารย์จางก็อยู่ที่นี่หรือ?” เหรินชิงหยวนชะงักกับคำถามนั้น


หลังจากที่แยกจากกันเมื่อวันก่อน จางเซวียนก็รีบร้อนกลับตระกูลจางทันที ดูน่าประหลาดที่หลัวลั่วชิงจะมาตามหาเขาในสนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจแห่งนี้


“ใช่แล้ว เมื่อวานนี้ ปรมาจารย์จางได้แก้ไขวิกฤตการณ์ที่อาณาจักรใต้ดินแห่งภูเขาพยัคฆ์มังกรจนเสร็จสิ้น ก่อนจะเข้าสู่สนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจ ฉันค้นหาอยู่พักหนึ่งก่อนจะแกะรอยตามเขามาที่นี่” หลัวลั่วชิงอธิบาย


“ผมได้ยินเรื่องสถานการณ์ที่อาณาจักรใต้ดินแห่งภูเขาพยัคฆ์มังกรเหมือนกัน ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด มีกองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจราวหมื่นตัวประจำการอยู่ที่นั่นใช่ไหม? นี่คุณหมายความว่า…ปรมาจารย์จางเพียงคนเดียวจัดการปัญหาทั้งหมดเรียบร้อยแล้วหรือ?” เจียงฟังโหย่วถามด้วยความสงสัย


เหล่าสมาชิกตระกูลเจียงถูกกระจายกองกำลังออกไปเพื่อเป็นกองหนุนในการดูแลอาณาจักรใต้ดินแห่งภูเขาพยัคฆ์มังกรของตระกูลจางและอาณาจักรใต้ดินกลุ่มดาวของตระกูลหลัว


ในฐานะหนึ่งในอาณาจักรใต้ดินที่ใหญ่ที่สุดของทวีปแห่งปรมาจารย์ อาณาจักรใต้ดินแห่งภูเขาพยัคฆ์มังกรถือเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของเผ่าพันธุ์ปีศาจ ด้วยความอลังการของการบุกรุกครั้งนี้ แน่นอนว่าความมั่นคงปลอดภัยของมันจะต้องสั่นคลอน ต่อให้ได้รับการอารักขาจากตระกูลจางก็เถอะ แต่จางเซวียนคลี่คลายสถานการณ์ทั้งหมดได้ด้วยตัวเขาเอง…มันเป็นแบบนั้นไปได้อย่างไร?


“ใช่ มีกองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจกว่าหมื่นตัวอยู่ที่นั่น เมื่อวานนี้ จางเซวียนบอกว่าจะไปสอดแนมดูลาดเลา แต่ลงท้ายก็สังหารพวกมันจนหมด กว่าพวกเราจะรู้ เขาก็มุ่งหน้าไปยังสนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจแล้ว” หลัวลั่วชิงอธิบาย


“เขาสังหารเผ่าพันธุ์ปีศาจทั้งหมื่นตัวระหว่างที่เข้าไปสอดแนมดูลาดเลา?”


“คุณไม่ได้ล้อพวกเราเล่นใช่ไหม?”


ทั้งสามถึงกับขนลุกขนชัน


เพราะเคยปะทะกับกองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจมาหลายครั้ง พวกเขาจึงรู้ซึ้งถึงประสิทธิภาพการต่อสู้และความสามารถของพวกมันเป็นอย่างดี ต่อให้นักปราชญ์โบราณทั่วไปก็ยังรับมือกับกองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีถึงหมื่นตัวได้ยาก แต่จางเซวียนกวาดล้างทั้งกองทัพได้ระหว่างที่เข้าไปสอดแนม


นี่เป็นเรื่องจริงหรือ?


“ก็จริงน่ะสิ อันที่จริง กองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจนับแสนตัวที่นี่ก็น่าจะถูกจางเซวียนสังหาร ว่าแต่…เขาอยู่ไหนล่ะ? ตอนที่คุณทั้งสามมาถึง รู้สึกอะไรบ้างหรือเปล่า?” หลัวลั่วชิงตั้งคำถาม


เธออยู่กับจางเซวียนตลอดสองสามวันที่ผ่านมา จึงรู้ดีว่าเขามีวิธีการอันน่าทึ่งอย่างไรบ้าง เธอได้เห็นศพที่เหรินชิงหยวนชี้นิ้วไปก่อนหน้านี้แล้ว และรู้ทันทีว่านั่นเป็นผลงานของหม้อต้นกำเนิดทองคำกับหอกสวรรค์กระดูกมังกร


ปัญหาเดียวตอนนี้ก็คือหาจางเซวียนไม่เจอ ในเมื่อทั้งสามคนมาถึงก่อนหน้าเธอ พวกเขาจะพบอะไรบ้างหรือเปล่า?


“คุณกำลังบอกพวกเราว่าจางเซวียน…ตัวเขาเพียงคนเดียวกวาดล้างกองทัพเผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีกำลังนับแสนตัวนี่นะ?”


“ไม่สิ ไม่ใช่ ถ้าเรานับเผ่าพันธุ์ปีศาจที่อยู่บริเวณอาณาจักรใต้ดินแห่งภูเขาพยัคฆ์มังกรด้วย ก็จะรวมเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจถึง 110000 ตัว!”


“พูดอีกอย่างก็คือ เขาจัดการภัยคุกคามครั้งใหญ่ที่กำลังจะเข้าสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์จนราบคาบแล้ว ใช่ไหม?”


ทั้งสามหัวหมุนติ้ว สิ่งที่พวกเขาเพิ่งได้ยินช่างเหลือเชื่อเสียจนทำลายความเชื่อเดิมที่พวกเขาเคยมีไปเกือบหมด


เอาจริงๆสิ?


เผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีวรยุทธระดับเซียนขั้น 3 ขึ้นไปกว่า 110000 ตัว…นั่นเป็นกองกำลังที่แม้แต่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ก็ยังรับมือได้ยาก! ต่อให้สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่เรียกรวมพลปรมาจารย์ทั้งหมดได้สำเร็จ ก็คงจะเอาชนะได้ยากเต็มที


แต่อีกฝ่ายแก้ไขวิกฤตการณ์ครั้งนี้ได้ด้วยตัวเอง


เขาทำได้อย่างไรกัน?


ต่อให้ปรมาจารย์ขงก็ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่านี้ในยุคสมัยของเขา!


เหรินชิงหยวนสูดหายใจลึกและพยายามระงับความตกตะลึง ก่อนจะตอบคำถามของหลัวลั่วชิง “ปรมาจารย์หลัว พวกเรามาถึงก่อนคุณเมื่อสักครู่นี้เอง และไม่เห็นปรมาจารย์จางเลย…”


ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ บรรยากาศด้านบนก็ปั่นป่วนขึ้นทันที เขารีบเงยหน้าขึ้น และเห็นหมู่เมฆดำกลุ่มใหญ่รวมตัวกันอย่างรวดเร็ว


“มันคือการทดสอบวรยุทธ” เหรินชิงหยวนอุทานด้วยความประหลาดใจ


จากนั้น ร่างหนึ่งก็โผล่พรวดขึ้นสู่กลางอากาศและลอยตัวเงียบๆอยู่ใต้หมู่เมฆดำที่กำลังรวมตัวกัน


เปลวเพลิงสีดำสนิทแผดเผาหมู่เมฆที่อยู่เหนือร่างของเขา ทำให้บรรยากาศโดยรอบแห้งผาก อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นจนดูเหมือนท้องฟ้าจะหลอมละลายได้


“มันคือการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์…”


หลัวกั้นเจินกับเจียงฟังโหย่วกลืนน้ำลาย


เมื่อวันก่อน ตอนที่พวกเขาพบปรมาจารย์จาง อีกฝ่ายยังเป็นแค่นักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุด แต่ภายในระยะเวลาอันสั้น ไม่เพียงแต่เขาจะฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 1-การพักฟื้นภายในได้สำเร็จ ยังพุ่งพรวดอย่างรวดเร็วเข้าสู่วรยุทธขั้นร่างอันทรงเกียรติด้วย


เขาทำอย่างไรจึงฝึกฝนวรยุทธได้รวดเร็วขนาดนี้?


นักรบทั่วไปจะต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจนานหลายปีกว่าจะฝ่าด่านวรยุทธครั้งใหญ่ได้ แต่สำหรับชายหนุ่มที่อยู่กลางอากาศ ทุกอย่างง่ายดายไม่ต่างอะไรกับของเด็กเล่น


ยิ่งไปกว่านั้น เขายังได้สังหารเผ่าพันธุ์ปีศาจกว่า 110000 ตัว พร้อมกับแม่ทัพที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานอีกมากมาย


“พวกคุณอยู่ที่นี่เอง!”


ขณะที่ฝูงชนกำลังอึ้งตะลึง จางเซวียนก็เห็นพวกเขาและส่งยิ้มให้ “ขอเวลาแป๊บนึงนะ ให้ผมผ่านการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์ก่อน แล้วค่อยคุยกัน!”


เมื่อพูดจบ จางเซวียนก็ดำดิ่งเข้าสู่เมฆดำที่รวมตัวกันเป็นก้อนใหญ่


“เขาจะใช้วิธีเดิมกับการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์หรือ?” หลัวกั้นเจินถึงกับซวนเซเล็กน้อยเมื่อเห็นภาพนั้น


เขาเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับการเอาชนะการทดสอบสายฟ้าของจางเซวียน แต่การทดสอบสายฟ้ากับการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์นั้นแตกต่างกันมาก ดำดิ่งเข้าไปในเปลวเพลิงอย่างนั้น…เขาไม่กลัวว่าจะมอดไหม้เป็นเถ้าถ่านหรือไง?


และที่หนักข้อยิ่งกว่าก็คือ ไอ้สีหน้าผ่อนคลายสุดๆนั่นน่ะ มันคืออะไร?


คุณมั่นใจว่าคุณจะผ่านการทดสอบอันทรงพลังไปได้อย่างปลอดภัยใช่ไหม?


“เอ่อ…” เห็นความประหลาดใจของหลัวกั้นเจิน เหรินชิงหยวนส่ายหน้าและอธิบาย “ปรมาจารย์จางไม่เป็นอะไรหรอก เขาเพิ่งผ่านการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์ที่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ไปเมื่อวานนี้เอง”


“เขาผ่านการทดสอบแล้ว?” หลัวกั้นเจินอุทานด้วยความงงงัน “นักรบแต่ละคนจะเผชิญกับการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์เพียงครั้งเดียวเท่านั้นในชีวิต ใช่ไหม? แล้วทำไมเขาถึงได้เผชิญหน้ากับมันเป็นครั้งที่สองล่ะ?”


การทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์เป็นการทดสอบวรยุทธที่นักรบผู้หนึ่งจะต้องผ่านไปให้ได้เมื่อฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นร่างอันทรงเกียรติ นักรบที่มีวรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แต่ละคนจะเผชิญหน้ากับมันเพียง 1 ครั้งเท่านั้น ไม่นึกเลยว่าจะมีใครที่ได้เจอกับการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์เป็นครั้งที่ 2!


“ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เรื่องจริงก็คือเขาเพิ่งผ่านการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์ที่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ไปเมื่อวันก่อนนี่เอง และเขาก็เอาตัวรอดได้โดยการดำดิ่งเข้าสู่หมู่เมฆ ผมจึงไม่คิดว่าครั้งนี้เขาจะมีปัญหาอะไร” เหรินชิงหยวนตอบ


“ไม่ใช่นะ ปรมาจารย์เหริน, เมื่อ 2 วันก่อน ปรมาจารย์จางไปที่ตระกูลเจียงของเราและผ่านการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์ที่นั่นเหมือนกัน…แต่คุณบอกว่าเขาเผชิญหน้ากับการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์ที่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ด้วยนี่ ใช่ไหม?” เจียงฟังโหย่วถามงงๆ


“สรุปก็คือ พวกคุณกำลังบอกผมว่านี่เป็นครั้งที่ 3 ที่เขาเผชิญหน้ากับการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์?” หลัวกั้นเจินแทบลมจับ


นี่มันการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์นะ เป็นพละกำลังที่นักรบทุกคนแสนจะหวาดกลัว!


แต่จางเซวียนเผชิญหน้ากับมันครั้งแล้วครั้งเล่า…ราวกับการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์เป็นเพื่อนเล่นที่เขาจะท้าดวลเมื่อไรก็ได้ตามใจ!



ตอนที่ 1691 สองอำมาตย์จังงัง

นักรบคนอื่นจะต้องหาเวลาเขียนพินัยกรรมหรือคำสั่งเสียไว้ก่อนจะเผชิญหน้ากับการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์ เพราะรู้ว่ามีโอกาสที่พวกเขาอาจเสียชีวิตในการทดสอบวรยุทธ แต่หมอนั่นดำดิ่งเข้าสู่หมู่เมฆครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับกำลังเริงร่ากับน้ำพุร้อน ทั้งในวันก่อนเมื่อวานนี้, เมื่อวานนี้ แล้วยังวันนี้อีก…


ล้อเล่นกับพละกำลังของสวรรค์แบบนี้มันถูกต้องแล้วหรือ?


นักรบคนอื่นๆต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อเอาตัวรอดจากการทดสอบวรยุทธ แต่จางเซวียนกลับทำราวกับกำลังเดินทางไปพักผ่อน


อันที่จริง ผู้ที่ประหลาดใจไม่ได้มีแค่หลัวกั้นเจินกับพรรคพวก แม้แต่เปลวเพลิงสวรรค์ที่อยู่กลางอากาศก็ยังอึ้งตะลึง


(เวรละ เจ้าหมอนี่!)


ให้นรกกินเถอะ เราต้องเจอกับหมอนี่อีกแล้ว!


พระเจ้าช่วย ทำไมต้องเป็นเขา?


พี่ชาย คุณไม่คิดจะให้ผมพักผ่อนสักวันหรือ! บังคับผมให้ทำงานหามรุ่งหามค่ำวันแล้ววันเล่า จะเห็นใจกันบ้างไม่ได้หรือไง?


ผมหนีมายังสนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจเพราะไม่อยากเจอคุณ แต่คุณก็ไล่ตามผมมาจนได้…


…..


ฝูงชนต่างไม่เข้าใจว่าทำไมจางเซวียนถึงท้าทายการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์ได้ถึงสามครั้ง แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าทำไมมันถึงเป็นเปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุดทุกรอบ ลงท้ายพวกเขาจึงล้มเลิกความพยายามที่จะขบคิดถึงปรากฏการณ์อันเหลือเชื่อนี้ และหันไปสนใจกับการทดสอบวรยุทธแทน


เปลวเพลิงสีดำลุกโพลงอย่างเกรี้ยวกราดอยู่ในหมู่เมฆ พวกมันคำรามกร้าว ราวกับพร้อมจะกวาดล้างทั้งโลก


แต่พอจางเซวียนดำดิ่งเข้าไป หมู่เมฆดำนั้นก็เริ่มสั่นสะท้านและบิดเบี้ยวไปมา แม้แต่เสียงคำรามกร้าวก็ดูจะเปลี่ยนเป็นเสียงครางอย่างสิ้นหวัง


ผ่านไปราว 10 นาที การทดสอบก็แผ่วลงและหนีไป เหลือไว้แต่จางเซวียนที่กำลังลอยตัวอยู่กลางอากาศอย่างสดชื่นและมีสีหน้าพออกพอใจ


การปรับปรุงจุดตันเถียนและเครือข่ายทางเดินพลังปราณของเขาต้องใช้เวลาอยู่สักหน่อย เกือบหนึ่งวันเต็มทีเดียว แต่ผลของมันก็น่าพอใจมาก ไม่อย่างนั้น เขาคงไม่สามารถฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นร่างอันทรงเกียรติได้อย่างรวดเร็วแบบนี้


เพราะเคยเผชิญหน้ากับการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์มาแล้ว 2 ครั้ง จางเซวียนจึงเปิดจุดชีพจรทั้งหมดของเขาและซึมซับเปลวเพลิงโดยปราศจากความลังเล เมื่อผนวกเข้ากับทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธที่เขามีอีกมากมาย จางเซวียนก็สามารถยกระดับวรยุทธไปสู่ขั้นร่างอันทรงเกียรติโลกจารึกได้ภายในระยะเวลาเพียง 10 นาที!


เขาขับเคลื่อนพลังปราณ ประกายสีทองโอบล้อมร่างของเขาไว้ ดูราวกับพระพุทธเจ้ากลับชาติมาเกิดที่กำลังลงมาสู่พื้นโลก


หลังจากผ่านการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์แล้ว จางเซวียนร่อนลงมายังบริเวณที่ฝูงชนยืนอยู่และถามว่า “พวกคุณมาที่นี่ทำไม?”


อันที่จริง ทั้งหลัวกั้นเจิน เจียงฟังโหย่ว เหรินชิงหยวน และหลัวลั่วชิงควรจะอยู่ในอาณาจักรใต้ดินที่ต่างๆเพื่อป้องกันการบุกรุกของเผ่าพันธุ์ปีศาจ แล้วทำไมทุกคนจึงมารวมตัวกันที่สนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจเพื่อเฝ้าดูการทดสอบวรยุทธของเขา?


“พวกเรารู้สึกได้ถึงความเคลื่อนไหวอย่างผิดปกติของกองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจ จึงมาตรวจสอบสถานการณ์ คุณคือ…ผู้สังหารเผ่าพันธุ์ปีศาจพวกนี้ใช่ไหม?”


แม้เหรินชิงหยวนจะคาดเดาเรื่องราวไว้แล้ว แต่ก็แทบไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นความจริง จึงชี้ไปที่กองซากศพที่กลาดเกลื่อนอยู่โดยรอบ


“อ๋อ ตอนที่ผมมาถึงน่ะ ไอ้สารเลวพวกนี้กำลังวางแผนจะเข้าโจมตีทวีปแห่งปรมาจารย์ขั้นเด็ดขาด เพื่อยับยั้งพวกมัน ผมจึงทำให้ทั้งสองฝ่ายเกิดความขัดแย้งกันจนบานปลายกลายเป็นสองกองทัพต่อสู้กันเอง โชคดีนะที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน” จางเซวียนพูด


ความกระเหี้ยนกระหือรือในการสังหารนั้นเรียกได้ว่าฝังลึกอยู่ในยีนของเผ่าพันธุ์ปีศาจ หากพวกมันเข้าสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์ได้ มนุษย์ผู้บริสุทธิ์มากมายจะต้องถูกสังหารเพราะความโหดเหี้ยมของพวกมัน จางเซวียนเองก็หนักใจที่จะต้องคร่าชีวิตของพวกมันอย่างโหดร้าย แต่เขาก็รู้สึกว่านั่นคือความจำเป็น


ในการทำสงคราม หากใช้ความปรานีกับคู่ต่อสู้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการทำร้ายพันธมิตรของตัวเอง


“คุณทำให้กองกำลังสองฝ่ายสู้รบกันเองหรือ?”


เหรินชิงหยวนกับคนอื่นๆปากค้างเมื่อได้ฟังเรื่องเล่าของจางเซวียน


แม้อีกฝ่ายจะพูดถึงราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าการจะทำแบบนั้นได้ย่อมยากมาก


เพราะเผ่าพันธุ์ปีศาจไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่ไร้สมอง พวกมันเจ้าเล่ห์เจ้ากล ทำให้รับมือด้วยได้ยาก ไม่อย่างนั้น สภาปรมาจารย์คงไม่ต้องลำบากลำบนแบบนี้


“คุณคงเหน็ดเหนื่อยไม่น้อยเลยกว่าจะทำให้พวกมันต่อสู้กันเองได้…” เหรินชิงหยวนตั้งข้อสังเกต


“ใช่ ผมใช้เวลา 1 ชั่วโมงเต็มเลยนะกว่าจะทำสำเร็จ ตอนนี้ผมเหนื่อยมาก” จางเซวียนพยักหน้า


เขาต้องปลอมตัวกลับไปกลับมาครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย แม้ด้วยพละกำลังของเขา ก็ยังอดรู้สึกหมดแรงไม่ได้กว่าทุกอย่างจะจบสิ้น


ถือเป็นความเหนื่อยยากไม่เบาทีเดียวสำหรับจางเซวียน


“1 ชั่วโมง?”


เหรินชิงหยวนกับคนอื่นๆถึงกับไปต่อไม่ถูก


หากพวกเขาต้องทำหน้าที่ของจางเซวียน คงต้องใช้ความพยายามอย่างหนักกว่าจะสร้างความขัดแย้งระหว่างกองกำลังทั้งสองฝ่ายและทำให้พวกมันสู้กันเองได้ อย่างน้อยที่สุด พวกเขาคงต้องใช้เวลาหลายปีในการเตรียมการอย่างถี่ถ้วน


แต่ชายหนุ่มคนนี้ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง…


ยิ่งคุยกับจางเซวียนมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกช้ำใจขึ้นเรื่อยๆ


(คุณจะถนอมน้ำใจพวกเราหน่อยไม่ได้หรือไง?)


“ในกองทัพที่มีเผ่าพันธุ์ปีศาจนับแสนตัว จะต้องมีแม่ทัพที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานอยู่หลายสิบตัวด้วย ใช่ไหม? คุณฆ่าพวกมันด้วยหรือเปล่า?” เจียงฟังโหย่วถาม


“ฆ่าสิ ต้องใช้เวลาระยะหนึ่งนะ แต่ผมก็สังหารพวกมันเรียบ” จางเซวียนพยักหน้าอย่างจริงจัง “ชุดเกราะของผมเปื้อนเลือดไปหมดเลย…”


เพื่อให้การปลอมตัวของเขาแนบเนียน จางเซวียนต้องทำความสะอาดชุดเกราะที่สกปรกครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ตอนนี้ชุดเกราะของเขาก็ชุ่มโชกไปด้วยเลือด จนถึงขนาดที่เช็ดเท่าไหร่ก็ไม่ออก


“….”


เจียงฟังโหย่วจังงัง


แม้แต่ปรมาจารย์หยางก็ยังต้องหนีเอาตัวรอดเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานจำนวนหลายสิบตัว แต่คุณสังหารพวกมันจนสิ้นซากโดยไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย แถมยังบ่นว่าพวกมันทำให้เสื้อเกราะของคุณเปื้อน…


เจียงฟังโหย่วอดไม่ได้ที่จะแอบสงสารเผ่าพันธุ์ปีศาจที่ต้องตายด้วยน้ำมือของจางเซวียน


…..


พระราชวังสูงตระหง่านและงามสง่าหลังหนึ่งตั้งอยู่ในส่วนลึกของสนามรบเผ่าพันธุ์ปีศาจ ไกลจากบริเวณที่จางเซวียนกับพรรคพวกยืนอยู่


เผ่าพันธุ์ปีศาจวัยกลางคนสองตัวนั่งหันหน้าเข้าหากันพร้อมกับถือแก้วไวน์ในมือ


เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่นั่งอยู่ทางซ้ายสวมเสื้อคลุมพริ้วไหวสีทอง มันหัวเราะลั่นขณะยกแก้วไวน์ขึ้นและพูดว่า “ดื่มให้กับความเป็นพันธมิตรของเรา! ขอให้เหล่าทหารยึดครองดินแดนที่ควรจะเป็นของพวกเราได้สำเร็จ!”


มันคือ 1 ใน 3 อำมาตย์ใหญ่ของกองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจ, อำมาตย์เฉินหลิง!


ที่นั่งอยู่ตรงข้ามมันคือเผ่าพันธุ์ปีศาจวัยกลางคนซึ่งสวมเสื้อคลุมตัวยาวสีม่วง, อำมาตย์เฉินชิง!


“ขอให้เป็นไปตามนั้น!” อำมาตย์เฉินชิงพยักหน้าด้วยทีท่าสง่างาม ก่อนจะจิบไวน์และละเลียดกลิ่นหอมอบอวลของมัน


ต้องยอมรับว่าไวน์ที่อำมาตย์เฉินหลิงจัดหามานั้นมีรสชาติเยี่ยมยอด แม้เขาจะเป็นหนึ่งในสามอำมาตย์ใหญ่ แต่ก็ไม่มีโอกาสลิ้มรสไวน์แบบนี้บ่อยนัก


“วางใจเถอะ ไม่มีมนุษย์หน้าไหนต้านทานกองกำลังพันธมิตรของเราได้หรอก เมื่อเรื่องนี้จบลง เผ่าพันธุ์มนุษย์จะไม่เป็นอันตรายกับเราอีกต่อไป พวกเราจะกลับสู่ดินแดนของเราได้อย่างสง่างามและนำพาเผ่าพันธุ์ปีศาจไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้ง!” อำมาตย์เฉินหลิงคำรามอย่างลำพองใจ


แต่ในชั่วพริบตาหลังจากนั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป เขาขมวดคิ้ว จากนั้นก็พุ่งพรวดออกจากห้องไปทันที


เห็นท่าทีประหลาดของอำมาตย์เฉินหลิง อำมาตย์เฉินชิงรู้ว่าต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่ จึงรีบออกจากห้องและตามอำมาตย์เฉินหลิงไปติดๆ


ไม่ช้าทั้งคู่ก็มาถึงแท่นขนาดใหญ่


ตราหยกมากมายนับไม่ถ้วนลอยอยู่กลางอากาศเหนือแท่นขนาดใหญ่นั้น


มันเป็นธรรมเนียมของเผ่าพันธุ์ปีศาจที่จะถ่ายทอดเจตจำนงส่วนหนึ่งของเหล่าพลทหารและหลอมรวมมันเข้ากับตราหยกก่อนที่ทุกตัวจะออกไปสู่สนามรบ ตราหยกเหล่านี้เป็นเครื่องแสดงสภาวะของเผ่าพันธุ์ปีศาจแต่ละตัว หากตราหยกแตกสลาย ก็หมายความว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวนั้นหมดลมหายใจสุดท้าย


สิ่งนี้เป็นเครื่องมืออันมีประสิทธิภาพสำหรับเหล่าอำมาตย์ที่จะได้ประเมินสภาวะของกองกำลังของตัวเอง และเพื่อให้เหล่าสมาชิกของครอบครัวพลทหารได้มาดูว่าพลทหารเหล่านั้นเป็นอย่างไรบ้าง


เมื่อไรก็ตามที่เกิดการสู้รบครั้งใหญ่ขึ้น ตราหยกจะแตกละเอียดอันแล้วอันเล่า ซึ่งนั่นหมายความว่าเหล่าทหารกล้าได้พลีทั้งร่างกายและจิตวิญญาณเพื่อรักษาเผ่าพันธุ์ของตัวเองให้ยืนยาวต่อไป


เผ่าพันธุ์ปีศาจเหล่านี้จะได้รับการยกย่องให้เป็นวีรบุรุษ มีเกียรติและศักดิ์ศรีจากความเสียสละ วีรกรรมของพวกเขาจะถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ และป้ายชื่อของพวกเขาก็จะถูกตั้งไว้บนแท่นเทพเจ้า


ตอนที่สองอำมาตย์มาถึงแท่น ตราหยกก็เริ่มแตกสลายอันแล้วอันเล่า ในฐานะผู้กุมอำนาจสูงสุดของกองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจ ทั้งคู่ได้เห็นความตายมามาก ถ้าเป็นแค่การสู้รบธรรมดา ลำพังแค่การแตกสลายของตราหยกคงไม่ทำให้พวกมันรู้สึกอะไร แต่ตอนนี้….


เคร้งงงง เคร้งงงง เคร้งงงง!


ตราหยกแหลกละเอียดด้วยจังหวะจะโคนอันไพเราะราวกับการแสดงของวงดนตรี ออกจะประหลาดสักหน่อยที่จะคิดแบบนี้ แต่มีความไพเราะอย่างน่าทึ่งอยู่ในเสียงนั้น เมื่อเวลาผ่านไปจนกระทั่งเสียงดนตรีนั้นถึงขีดสุด ก็จะมีตัวโน้ตอันทรงพลังเป็นพิเศษที่แล่นเข้าสู่หัวใจของผู้ฟัง


ในเวลาเพียงไม่กี่นาที ตราหยกที่ลอยอยู่เหนือแท่นนับแสนอันก็แหลกสลายกลายเป็นฝุ่นผงอยู่กับพื้น ไม่เหลืออะไรให้เห็นเลย


“กำลังพลนับแสนของเรา…”


อำมาตย์เฉินหลิงซวนเซไปเล็กน้อยขณะมือไม้อ่อนแรงจนปล่อยแก้วไวน์ให้ร่วงลงกับพื้น ใบหน้าของเขาซีดเผือดด้วยความไม่อยากเชื่อ เขาสะบัดหน้าอย่างมึนงง


กองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีนับแสนตัวน่าจะเกินพอที่จะบุกเข้าสู่อาณาจักรใต้ดินและสร้างความปั่นป่วนให้กับทวีปแห่งปรมาจารย์ได้ เขารู้ว่าการบุกรุกครั้งนี้จะสร้างความสูญเสียไม่น้อย แต่ก็มั่นใจว่าสุดท้ายเผ่าพันธุ์ปีศาจจะต้องเป็นฝ่ายชนะ แต่หลังจากประกาศตัวเป็นพันธมิตรกันได้ไม่นาน ยังไม่ทันที่กองทัพของทั้งสองฝ่ายจะออกเดินหน้าเข้าสู่อาณาจักรใต้ดิน ก็มาถูกกวาดล้างจนสิ้นซากเสียแล้ว


ตราหยกแตกสลายอันแล้วอันเล่าอย่างไม่หยุดหย่อน…


มันเกิดอะไรขึ้น?


สองอำมาตย์ต่างจังงังจนพูดไม่ออก

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)