คัมภีร์วิถีเซียน 1686-1687
ตอนที่ 1686 ไล่สังหาร
แค่ชั่วครู่อสูรลับระดับราชาตัวหนึ่งก็กระโจนไปหาอสูรลับสามตาตัวหนึ่งด้านหลัง และเปล่งเสียงร้องคำรามต่ำๆ ด้วยความโกรธแค้นออกมา
อสูรลับสามตาตัวนั้นได้สติกลับมาพลางร้องคำรามสองสามครั้งทันที และถอยออกไปสองสามก้าวด้วยความนอบน้อม เคลื่อนไหวร่างกาย พุ่งไปยังทางที่มา หลังจากกะพริบวาบๆ ก็จมหายเข้าสู่ความมืดมิดอย่างไร้ร่องรอย
เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้อสูรลับระดับราชาถึงได้หันหน้ามาแล้วกระโจนไปด้านหน้าต่อ
สำหรับมันแล้วมันเกลียดคนนอกที่บุกเข้ามาในป่าลับเป็นอย่างยิ่ง แต่เทียบกับเป้าหมายที่กำลังไล่ล่าในยามนี้ กลับดูเหมือนไม่สำคัญเลยสักนิด
ดังนั้นแม้ว่าจะสัมผัสได้ว่าอสูรลับตาสีเงินสองสามตัวนั้นเพลี่ยงพล้ำ อสูรตัวนี้ก็ยังคงถ่ายทอดคำสั่งให้ทำอีกอย่าง ส่วนตนเองก็ไม่มีเจตนาจะหันกลับไปเลยสักนิด
อสูรลับสามตาที่เหลือย่อมไล่ตามอสูรลับสีทองมาติดๆ
ในป่าบริเวณใกล้เคียงมีเสียง “ซ่าๆ” ดังขึ้น ไม่รู้ว่ามีอสูรลับไล่ตามมาติดๆ เช่นกันอีกเท่าไหร่
ทว่าหากฟังดีๆ ก็จะพบว่า เสียง “ซ่าๆ” นี้กลับค่อยๆ หายลับไป ดูเหมือนว่าจะมีอสูรลับจำนวนไม่น้อยที่มุ่งไปยังทิศทางอื่น
……
หานลี่กลับกอดอกลอยอยู่กลางอากาศ ใต้ร่างของเขามีซากอสูรยักษ์สี่หัวพลันแยกออกเป็นสองส่วน และยิ่งไปกว่านั้นผิวของซากศพก็กลายเป็นดวงแสงสีดำแล้วแตกละเอียดออก
หลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนล้วนมองหานลี่ด้วยความตกตะลึง แม้ว่าจะฝืนรักษาสีหน้าให้สงบนิ่งเอาไว้ แต่แววตาก็เปล่งประกายแฝงไว้ด้วยความหวาดกลัวนิดๆ
เมื่อครู่เป็นเพราะพลังของเคล็ดวิชาผสานการโจมตีและลำแสงสีเงินของอสูรยักษ์สี่หัวปะทะกันจนเกิดเป็นเสียงระเบิดดังสนั่น ประกอบเมื่อครู่หานลี่เคลื่อนย้ายกายรวดเร็วเกินไป
พวกเขาจึงไม่ทันได้มองเห็นว่าหานลี่สังหารอสูรยักษ์อย่างไร แค่มองเห็นรางๆ ด้านล่างมีลำแสงสีทองสายหนึ่งเปล่งแสงเจิดจ้าแล้วหายวับไป
จากนั้นอสูรยักษ์รวมทั้งม่านลำแสงสีดำที่ห่อหุ้มร่าง ก็แตกออกเป็นสองส่วนอย่างไม่อาจต้านทานได้เลยสักนิด แล้วเพลี่ยงพล้ำไปท่ามกลางลำแสงสีทอง
กลิ่นอายของอสูรยักษ์แทบจะไม่ด้อยไปกว่าระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ขั้นต้น คาดไม่ถึงว่าจะถูกสังหารไปเช่นนี้ มันจะน่าเหลือเชื่อไปหน่อยกระมัง!
และยิ่งไปกว่านั้นชั่วพริบตาที่ลำแสงสีทองเปล่งแสงสว่างวาบเมื่อครู่ ทั้งสองก็สัมผัสได้ถึงพลังปราณฟ้าดินในบริเวณรอบ ดูเหมือนว่าจะถูกพลังมหาศาลอันใดสักอย่างฉีกขาด แล้วทะลักออกมาหาลำแสงสีทองในชั่วพริบตานั้น จากนั้นลำแสงสีทองก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นกัน
นี่จึงยิ่งทำให้ทั้งสองรู้สึกตกตะลึง
ควบคุมพลังปราณฟ้าดินได้ แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่เรื่องหายาก
แต่หากสิ่งมีชีวิตระดับพวกเขาควบคุมพลังปราณฟ้าดิน ก็ต้องร่ายคาถาอยู่นาน ถึงจะฝืนทำเรื่องนี้ได้ แม้กระทั่งมีโอกาสจะล้มเหลว จะทำได้อย่างง่ายดายราวกับกินข้าวดื่มน้ำเหมือนกับอีกฝ่ายได้อย่างไร
หรือว่าอิทธิฤทธิ์ของอีกฝ่ายจะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับท่านอาจารย์ของพวกเขาแล้ว
หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็จะมหัศจรรย์เกินไปหน่อยกระมัง
หลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนต่างขบคิดเช่นนั้น สายตาที่มองมายังหานลี่อดที่จะเผยท่าทีไม่เป็นธรรมชาติออกมาไม่ได้
หานลี่กลับมีสีหน้าราบเรียบ ไม่ได้เผยสีหน้าใดๆ ออกมา
เมื่อครู่เขาควบคุมเทวรูปมารเที่ยงแท้ ใช้ใบมีดชำรุดสวรรค์ทมิฬสังหารอสูรยักษ์ตัวนี้ในเวลาเดียวกัน แล้วเก็บเทวรูปกลับมาอย่างรวดเร็ว ทำให้หลิวสุ่ยเอ๋อร์และพวกทั้งสองมองเห็นไม่ชัด
สาเหตุที่หานลี่ใช้ใบมีดชำรุดสวรรค์ทมิฬอย่างไม่เสียดายพลังของเทวรูปอีกครั้งนั้น แน่นอนว่าเพราะอยากทดสอบสิ่งที่เพิ่งฝึกฝนมาใหม่ของเทวรูปพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์ ว่าจะมีอานุภาพในการควบคุมใบมีดชำรุดสวรรค์ทมิฬอย่างไร
ไม่รู้ว่าการทำลายตนเองของใบมีดชำรุดสวรรค์ทมิฬเหนือกว่าที่ตนคิดไว้มาก หรือเป็นเพราะการผนึกเทวรูปพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์ต้องเสียพลังในการควบคุมพลังของเทวรูปอยู่แล้ว เมื่อดูดซับพลังปราณฟ้าดินเข้าไปแล้วทำการสังหารอสูรยักษ์ ไม่เพียงขั้นตอนจะรวดเร็วกว่าก่อนหน้าหลายเท่า ความเสียหายก็ไม่ถึงหนึ่งในสามส่วนของก่อนหน้าเท่านั้น
แม้ว่าระหว่างขั้นตอนนั้นจะจงใจลดพลานุภาพของใบมีดชำรุดสวรรค์ทมิฬลงครึ่งหนึ่ง แต่ผลลัพธ์ย่อมทำให้หานลี่รู้สึกพึงพอใจมาก
ทว่าในเมื่อเป็นเช่นนี้การใช้ผลสวรรค์ทมิฬในเทือกเขามารสีทองครั้งที่แล้ว ก็ทำให้สูญเสียพลังเทวรูปของเขาไปไม่น้อย
หากไม่ใช่เพราะช่วงสองสามปีที่ผ่านมาเขาฝึกบำเพ็ญเพียรอย่างหนักอยู่ในเมืองเมฆาจนได้กลับคืนมาไม่น้อย เมื่อครู่คงไม่กล้าเอาออกมาใช้บุ่มบ่ามเช่นนี้
หานลี่ขบคิดอย่างรวดเร็ว ฝ่ามือสีดำสนิทราวกับน้ำหมึกตะปบไปทางซากของอสูรยักษ์ด้านล่าง
ชั่วขณะนั้นหมอกลำแสงสีเทาพลันม้วนวนออกมา กวาดซากศพที่กลายเป็นลำแสงสีดำไปจนเกลี้ยง ที่เดิมกลับเหลือเอาไว้เพียงดวงแสงกลมๆ ขนาดเท่าหัวแม่มือเปล่งแสงสีเงินระยิบระยับสี่ดวง
นั่นก็คือแก่นดวงจิตของอสูรลับสามตา!
หานลี่พลันเลิกคิ้ว ยามที่คิดจะขยับนิ้วเก็บแก่นดวงจิตมานั้น ฉับพลันนั้นในแขนเสื้อก็มีเสียงคำรามต่ำๆ ด้วยความตื่นเต้นดีใจดังขึ้น
เขาพลันตกตะลึงไปชั่วครู่ แต่เมื่อขบคิดเล็กน้อย ก็สะบัดแขนเสื้อทันที
เงาสีเทากลุ่มหนึ่งกลายเป็นเงาสองสามสายบินออกมาจากแขนเสื้อ แต่เมื่อเปล่งแสงสว่างวาบก็รวมตัวกัน กลายเป็นอสูรน้อยที่ผิวมีอักขระสีทองตัวหนึ่ง
นั่นก็คืออสูรมิคาทน!
หลังจากที่อสูรตัวนี้พัฒนาจนมาอยู่ระดับเทพแปลง ก็เอาแต่ฝึกบำเพ็ญเพียรอย่างหนักอยู่ในกำไลอสูรวิญญาณของหานลี่ และกินยาลูกกลอนสมุนไพรต่างๆ ของหานลี่ลง กลับพัฒนาจนมาอยู่ในระดับเทพแปลงขั้นกลางตั้งนานแล้ว แม้กระทั่งใกล้จะอยู่ในระดับขั้นปลายแล้ว
ทว่าถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น จากพลังยุทธ์ของอสูรตัวนี้สำหรับหานลี่ที่พลังยุทธ์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วแล้ว ก็ช่วยเหลือได้ไม่มากนัก
ระหว่างการต่อสู้ก่อนหน้า เขาก็ไม่ได้เรียกอสูรตัวนี้ออกมา
ฉับพลันนั้นอสูรตัวนี้ก็รู้สึกตื่นเต้นดีใจอยู่ในกำไลอสูรวิญญาณ หานลี่จึงปล่อยมันออกมาพร้อมกับใจที่เต้นระรัว
เมื่ออสูรมิคาทนปรากฏตัว ก็กระโจนออกมาทันที เห็นเพียงเงาปรากฏขึ้นอีกครั้ง กลืนแก่นดวงจิตของอสูรลับสี่ดวงลงในคำเดียว จากนั้นก็หมุนตัวแล้วบินกลับมา ร่อนลงบนไหล่ของหานลี่ ใช้ศีรษะที่มีขนปุกปุยดันคอของหานลี่สองสามครั้ง และส่งเสียงครืดๆ เผยท่าทีสนิทสนมกับหานลี่เป็นอย่างยิ่งออกมา
หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็หน้าเปลี่ยนสี พลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง ลำแสงสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบ ในมือมีไข่มุกกลมที่เหมือนกันทุกระเบียบนิ้วปรากฏขึ้นสามเม็ด
ชั่วขณะนั้นดวงตาเล็กๆ ของอสูรน้อยพลันเปล่งประกาย แทบจะพลิ้วหายโดยไม่ต้องขบคิด กลายเป็นเงาล่องหนสายหนึ่งกระโจนออกมาอีกครั้ง กลืนแก่นดวงจิตทั้งสามดวงลงไป จากนั้นก็ลอยอยู่บนฝ่ามือของหานลี่พลางก้มหน้าคำรามต่ำๆ ไม่หยุด ดูเหมือนว่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง
หานลี่พลันหัวเราะน้อยๆ ออกมา
แม้จะไม่รู้ว่าเหตุใดอสูรตัวนี้ตัวนี้ถึงให้ความสำคัญกับแก่นดวงจิตของอสูรลับตาสีเงินขนาดนี้ การไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อแก่นดวงจิตอสูรลับธรรมดาๆ ก่อนหน้า แต่กลับกลืนแก่นดวงจิตอสูรลับตาสีเงินจำนวนมากลงไปในคราเดียว แน่นอนว่าย่อมมีประโยชน์กับอสูรมิคาทน
หานลี่เองก็ไม่ได้พูดอันใด สะบัดแขนเสื้ออีกครั้ง ชั่วขณะนั้นหมอกลำแสงสีเขียวก็บินออกมา ม้วนอสูรน้อยเข้ามาข้างใน
ร่างของอสูรน้อยพลิ้วไหว สลายหายไปท่ามกลางลำแสงสีเขียว แล้วถูกเก็บกลับมาในกำไลอสูรวิญญาณอีกครั้ง
ส่วนแก่นดวงจิตเหล่านั้นมีประโยชน์อันใดกับอสูรมิคาทนกันแน่ ย่อมต้องรอให้อสูรตัวนี้หลอมให้เสร็จสิ้นก่อนถึงจะรู้ได้
และในยามนี้หลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนกำลังเห็นฉากที่อสูรมิคาทนกลืนแก่นดวงจิตเข้าไป ก็มองสบตากันแวบหนึ่ง สุดท้ายก็บินมาทางหานลี่และเมื่ออยู่ห่างจากหานลี่ไปสองสามจั้ง ร่างกายก็หยุดชะงัก
หญิงสาวสวมงอบเผยรอยยิ้มออกมาจากผ่านแววตาพลางเอ่ยว่า
“ต้องขอบคุณพี่หานที่ลงมือในครั้งนี้! มิเช่นนั้นอสูรลับสามตาที่จัดการได้ยากและยังรวมร่างกันได้เหล่านี้ เกรงว่าข้าและสหายสือคุนคงเพลี่ยงพล้ำอยู่ที่นี่”
“ใช่แล้ว พี่หานมีอิทธิฤทธิ์มากนัก ช่างทำให้พวกเราสองคนรู้สึกละอายใจจริงๆ หากไม่ใช่เพราะแดนนี้ไม่ยอมให้ระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ขึ้นไปเข้ามา ผู้แซ่สือคงสงสัยว่าสหายเป็นอาวุโสที่แปลงกายมาที่นี่หรือไม่” สือคุนเองก็หัวเราะอย่างขมขื่นออกมา
ไม่ว่าหลิวสุ่ยเอ๋อร์หรือว่าสือคุนล้วนมีท่าทีคำพูดนอบน้อมขึ้นส่วนหนึ่ง
หานลี่เห็นเช่นนั้น กลับกวาดตามองทั้งสองด้วยรอยยิ้ม
“เหตุใดสหายทั้งสองถึงต้องถ่อมตัวเพียงนั้น หากไม่ใช่เพราะทั้งสองดึงความสนใจของอสูรลับเหล่านั้นเอาไว้ ผู้แซ่หานจะสังหารมันได้ง่ายดายได้อย่างไร ทว่าแม้ว่าพวกมันจะตายหมดแล้ว ก็ไม่สมควรอยู่ที่นี่นาน คิดดูแล้วด้านหลังคงมีอสูรลับตนอื่นๆ ไล่ตามมาแน่ พวกเรารีบไปกันเถิด”
“พี่หานพูดถูก รีบไปจะดีกว่า!” หลิวสุ่ยเอ๋อร์ได้ยินพลันหน้าเปลี่ยนสี แต่ก็เอ่ยอย่างเห็นด้วยทันที
สือคุนย่อมไม่มีความคิดเห็นอื่น จึงพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้นทั้งสามคนจึงปรึกษากันอีกครั้งแล้วกลายเป็นสายรุ้งสามสายพุ่งแหวกอากาศไป
……
ห้าหกวันต่อมาท่ามกลางเหล่าอสูรลับ หานลี่ใช้มือหนึ่งร่ายอาคมด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ข้างกายมีกระบี่บินสีเขียวยี่สิบสามสิบเล่ม กลายเป็นดอกบัวสีเขียวดอกหนึ่งร่อนลงมาเหนือศีรษะของอสูรลับสามตาฝั่งตรงข้าม
กระบี่ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วพริบตาก็สับอสูรตัวนี้ออกเป็นชิ้นๆ
ด้านหลังของเขา ‘หวาหวา’ ที่มือถือพัดหยกสีฟ้ากำลังโบกสะบัดพัดไปทางอสูรลับธรรมดาอีกตัวหนึ่ง
ด้านหน้าพัดมีหมอกลำแสงสีฟ้าพวยพุ่งออกมา แค่กะพริบวาบก็แช่แข็งอสูรลับรวมทั้งเงาสีดำสองสายที่แยกออกมากลายเป็นภูเขาน้ำแข็งสีฟ้าสูบสิบจั้งเศษ และไม่อาจขยับตัวได้เลยสักนิด
ไกลออกไปเองก็มีเสียงอึกทึกดังมาไม่หยุดเช่นกัน ลำแสงวิญญาณพลันระเบิดออก
ทางนั้นหลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนเองก็สำแดงอิทธิฤทธิ์สังหารอสูรลับสองสามตัวเช่นกัน
หลังจากที่พวกเขาออกจากใจกลางแล้ว ก็พบกับพวกมาขวางทางอยู่เจ็ดกลุ่ม ทุกกลุ่มน้อยหน่อยก็มีห้าหกตัว มากหน่อยก็มีเจ็ดแปดตัว
โชคดีที่ในบรรดาเหล่านั้นไม่มีอสูรลับตาสีเงิน มากสุดก็มีอสูรลับสามตาเป็นผู้นำ จึงไม่ได้หลอมรวมแปลงร่าง
เช่นนั้นย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหานลี่ ทยอยกันถูกสังหารไปจนเกลี้ยง
ทว่าด้วยเหตุนี้ความเร็วของหานลี่และพวกจึงถูกทำให้ล่าช้าไปไม่น้อย
ยามนี้กลับไม่เหมือนเดิม คาดไม่ถึงว่าอสูรลับที่ปรากฏตัวจะมีสิบกว่าตัว หากไม่ใช่เพราะหานลี่และพวกทยอยกันใช้อิทธิฤทธิ์ของกล่องแรงดัน เกรงว่าคงไม่อาจชนะได้ง่ายๆ
หานลี่กวักมือข้างหนึ่ง ดอกบัวลำแสงสีเขียวเปล่งเสียงหึ่งๆ กลายเป็นเส้นไหมสีเขียวยี่สิบสามสิบเล่มพุ่งออกมา แค่กะพริบวาบ ก็ทะลวงผ่านอสูรลับที่กลายเป็นภูเขาน้ำแข็งสีฟ้าอีกด้านจนเป็นรูพรุน
จากนั้นเขาพลันเลื่อนสายตาไป มองไปยังสงครามการต่อสู้ของหลิวสุ่ยเอ๋อร์
เสียงแหวกอากาศดัง “ฟิ้วๆ” ดังขึ้น เส้นไหมสีเขียวพุ่งออกมาอย่างหนาแน่นอีกครั้ง
……
สิบวันต่อมาตรงชายป่าอสูรลับ เงาร่างทั้งสามคนพลันปรากฏขึ้นกลางอากาศ มองไปที่ป่าตรงข้ามนิ่ง
ตรงนั้นคาดไม่ถึงว่าจะมีอสูรลับสามสิบกว่าตนรวมตัวกันอยู่ หนึ่งในนั้นมีอสูรลับสามตาอยู่เกือบครึ่ง
หลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนล้วนมีสีหน้าเคร่งขรึม หานลี่พลันขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อย
ตอนที่ 1687 พบกันโดยบังเอิญ
อสูรลับจำนวนมากขนาดนี้ ทุกตัวแทบจะมีอิทธิฤทธิ์อันน่ากลัวไม่ด้อยไปกว่าระดับหลอมสุญตา มารวมตัวกันในเวลาชั่วครู่ ต่อให้หานลี่และพวกทั้งสามไม่ใช่สิ่งมีชีวิตธรรมดาๆ ก็ยังรู้สึกจิตใจหนักอึ้ง
หานลี่ยังพอว่ายังมีไพ่ตายอยู่อีกจำนวนมาก หากยอมจ่ายในราคาที่แน่นอนล่ะก็ ไม่ว่าฝูงแมลงกลืนทองหรือผลสวรรค์ทมิฬ ก็สังหารอสูรลับกลุ่มนี้ได้อย่างไม่เป็นปัญหา
แน่นอนว่าย่อมเยือกเย็นเป็นอย่างมาก
หลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนเห็นอสูรลับจำนวนมากเช่นนี้ ก็รู้ตัวเองว่าทั้งสองไม่อาจต่อกรได้
มิเช่นนั้นแม้ว่าจะเอาชนะได้ ก็รู้ว่าไม่อาจกลับไปอย่างครบสามสิบสองประการได้ หากสูญเสียพลังปราณแท้มากเกินไป นั่นก็เพียงพอจะทำให้เส้นทางในอนาคตของพวกเขาลำบากยากเข็ญ จะไปพูดถึงซากปรักหักพังการทำลายเขตอาคมอันใดนั้นได้อย่างไร
โชคดีที่แม้ว่าอสูรลับเหล่านี้จะมาขวางหานลี่และพวกเอาไว้ แต่เป็นเพราะรู้จุดจบของสหายกลุ่มก่อนๆ แล้ว ภายใต้ความตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยวจึงไม่ได้มีเจตนาจะลงมือ ราวกับเพียงเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ
จึงคิดแค่ว่าจะขวางพวกเขาเอาไว้ชั่วคราว เพื่อรอให้อสูรลับมาที่นี่มากขึ้น
หลิวสุ่ยเอ๋อร์ขบคิดเล็กน้อย คิ้วดำขลับเลิกขึ้นน้อยๆ ริมฝีปากขยับเบาๆ
ชั่วขณะนั้นข้างหูของหานลี่และสือคุนมีเสียงของหญิงสาวผู้นี้ดังขึ้น
“สหายทั้งสองยามนี้พวกเราอยู่ห่างจากปากทางเข้าของป่าอสูรลับไม่ไกลแล้ว อสูรลับจำนวนมากขนาดนี้ไม่อาจฝ่าออกไปได้ พวกเราแยกกันชั่วคราวเถิด รอจนถึงนอกป่าแล้วค่อยมารวมตัวกันอีกครั้ง”
“ตกลง เอาตามที่เซียนว่า” สือคุนเองก็คิดเช่นนั้นเช่นกัน จึงเอ่ยปากเห็นด้วยอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
แววตาของหานลี่เปล่งประกายสว่างวาบ แล้วพยักหน้าอย่างราบเรียบ
ดูเหมือนว่าจะมองท่าทีของหลิวสุ่ยเอ๋อร์และพวกทั้งสามออก ปีศาจอสูรสามตาหัวหน้าที่มีขนาดตัวใหญ่กว่าพวกเดียวกันร้องคำรามต่ำๆ ออกมา
อสูรลับตนอื่นๆ เปล่งเสียงอื้ออึง ฉับพลันนั้นก็อ้าปากพร้อมกันอย่างดุดัน เสาลำแสงสีดำยี่สิบสามสิบสายพุ่งออกมา กรงเล็บลำแสงจำนวนมากปรากฏขึ้นกลางอากาศในชั่วพริบตา ห่อหุ้มร่างของหานลี่และพวกทั้งสามเอาไว้
อสูรลับยี่สิบสามสิบตัวร่วมมือกันโจมตีออกมาพร้อมกัน แน่นอนว่าท่าทางย่อมน่าตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง!
แต่หานลี่และพวกทั้งสามนั้นเคยสังหารอสูรลับไปจำนวนมากแล้ว จึงมั่นใจกับการรับมือกับการโจมตีนี้ได้หลายส่วน
ผิวของทั้งสามเปล่งแสงสว่างวาบ ทยอยกันสำแดงลำแสงหลีกหนีออกมา
หานลี่ใช้มือหนึ่งร่ายอาคม แผ่นหลังมีปีกขนนกแวววาวคู่หนึ่งปรากฏขึ้น
แค่กระพือเบาๆ!
เขาพลันกลายเป็นเส้นไหมบางสีเขียวขาวสายหนึ่งพุ่งออกไป และยิ่งไปกว่านั้นยังกะพริบวาบๆ ระหว่างทาง เส้นไหมลำแสงบิดเบี้ยว แล้วเปล่งแสงสว่างวาบผ่านเสาลำแสงและกรงเล็บลำแสงไป ปรากฏตัวอยู่เหนือแผ่นหลังของฝูงอสูร จมหายไปกลางอากาศอย่างเงียบเชียบ
หลิวสุ่ยเอ๋อร์นั้นง่ายดายกว่ามาก อ้าปากออกพ่นดวงแสงผลึกสีฟ้าออกไป ในเวลาเดียวกันลำแสงสีขาวก็เปล่งแสงสว่างวาบใต้ฝ่าเท้า หนูหยกสีแวววาวตัวนั้นปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ทั้งสองเปล่งแสงออกมาพร้อมกัน หญิงสาวผู้นี้กลายเป็นลำแสงสีฟ้าขาวพุ่งออกไป
เสาลำแสงสีดำเหล่านั้นโจมตีไปบนดวงลำแสง คาดไม่ถึงว่าจมหายไปราวกับโคลนที่จมลงสู่มหาสมุทร
จากนั้นเสียงแหวกอากาศ “ฟิ้ว” ก็ดังขึ้น ลำแสงสีฟ้าขาวแค่เลือนรางไป แล้วพุ่งออกไปร้อยจั้งเศษ หนีไปยังขอบฟ้าอีกด้าน
ส่วนอิทธิฤทธิ์ของสือคุนนั้นก็บ้าคลั่งกว่ามาก
เขาแค่แค่นเสียงหึด้วยความเย็นชา เกราะสงครามบนร่างพลันเปล่งแสงเจิดจ้า สองมือโจมตีไปที่ทรวงอก
หลังจากเสียงอึกทึกดังขึ้น ร่างของเขาก็มีดวงลำแสงสีเหลืองปรากฏขึ้นรอบด้าน
จากนั้นดวงลำแสงก็ขยายใหญ่ขึ้นแล้วรวมตัวกัน กลายเป็นม่านลำแสงประหลาดชั้นหนึ่ง ห่อหุ้มชายร่างใหญ่เอาไว้
สาเหตุที่ม่านลำแสงนี้แปลกประหลาด ก็เพราะว่าผิวของม่านลำแสงมีอักขระเป็นเกลียวปรากฏขึ้นเต็มไปหมด เมื่อเสาลำแสงสีดำเหล่านั้นโจมตีไปบนม่านลำแสง คาดไม่ถึงว่าจะเปล่งเสียงอึกทึกออกมา จากนั้นอักขระก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วถูกดีดออก
สือคุนถือโอกาสนี้บิดร่างกาย ลำแสงสีเหลืองห่อหุ้มเขาเอาไว้พลางจมหายลงไปใต้ดิน และหนีออกไปใต้ดินสิบกว่าจั้ง ดูเหมือนว่าความเร็วจะจะไม่ต่างกับหลิวสุ่ยเอ๋อร์เท่าใดนัก
อสูรลับเหล่านั้นย่อมไม่อาจปล่อยให้ทั้งสามหนีไปได้ง่ายๆ
อสูรลับสามตาที่เป็นหัวหน้าร้องคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวออกมา ฝูงอสูรแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม แยกกันไล่ตามกลิ่นอายของหานลี่และพวกทั้งสามไป
จากความเร็วเต็มอัตราและไม่สนใจสิ่งใดของหานลี่ แน่นอนว่าอสูรลับด้านหลังย่อมไม่อาจไล่ตามได้
แค่เวลาหนึ่งมื้ออาหาร เขาที่กลายเป็นเส้นไหมลำแสงก็สลัดพวกที่ไล่ล่าหลุดได้
แต่เป็นเพราะลำแสงหลีกหนีของเขาค่อนข้างสะดุดตาเมื่ออยู่กลางอากาศ ระหว่างทางจึงมีอสูรลับตนอื่นๆ ที่อยู่ในป่ากระโจนออกมา คิดจะทำการโจมตีเขา
แต่หานลี่แค่สะบัดแขนเสื้อ ลำแสงสีเขียวยี่สิบสามสิบสายพลันพุ่งออกมาราวกับพายุฝนระเบิด
ภายใต้อานุภาพที่แท้จริงของกระบี่ไผ่เขียวตัวต่อเมฆา อสูรลับที่ขวางทางอยู่ทั้งหมดพลันถูกสับออกเป็นชิ้นๆ ในชั่วพริบตา
แม้ว่าจะมีอสูรลับตัวสองตัวที่มีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็วสะบัดกรงเล็บปล่อยกรงเล็บลำแสงออกมาหมายจะต้านทาน
แต่กระบี่บินสีเขียวกลับเหมือนกับสิ่งที่ไร้รูปร่าง แค่กะพริบวาบก็ทะลวงผ่านกรงเล็บลำแสงไปราวกับมองไม่เห็น สับไปบนร่างของอสูรลับ ทำให้พวกมันสิ้นชีพในพริบตา
ดังนั้นระหว่างทางหานลี่จึงบินอย่างต่อเนื่องไม่หยุดชนิดที่ว่าไม่เสียดายพลังปราณ จนในที่สุดก็ทะลวงผ่านป่าไม้อันมืดมนออกมาได้หลังจากบินมาได้ค่อนวัน บินออกจากป่าอสูรลับได้แล้ว
ตรงหน้าพลันเปล่งแสงเจิดจ้า ทุ่งหญ้าสีเขียวขจีกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาพลันปรากฏขึ้น
แม้ว่ายามนี้จะเป็นเวลากลางคืน แต่กลิ่นอายของต้นไม้ใบหญ้าก็โชยเข้ามา
แต่ลำแสงหลีกหนีของหานลี่ก็ยังคงไม่มีเจตนาจะหยุดพัก เส้นไหมลำแสงสีเขียวขาวเปล่งแสงสว่างวาบ พุ่งตรงไปด้านหน้าต่อ
หลังจากบินมาอย่างต่อเนื่องได้เกือบแสนลี้ ตรงหน้าก็มีเนินเขาสูงยี่สิบสามสิบจั้งปรากฏขึ้น ในที่สุดลำแสงสีเขียวขาวก็หมุนตัวแล้วร่อนลงมา
ลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ หานลี่ปรากฏตัวขึ้นด้วยสีหน้าราบเรียบ
แววตาของเขาเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ กวาดมองไปทั้งซ้ายและขวา
สภาพภูมิประเทศที่ว่างเปล่าเช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมสามารถกระตุ้นอิทธิฤทธิ์เนตรวิญญาณได้จนถึงขีดสุด
ชั่วพริบตานั้นทุกอย่างในรัศมีร้อยลี้ก็ปรากฏขึ้นในหัวของหานลี่
ห่างออกไป แม้จะมองเห็นอยู่บ้าง แต่ก็เลือนราง
ไม่พบสิ่งมีชีวิตที่คุกคามใดๆ หานลี่พ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ถึงได้ปล่อยจิตสัมผัสออกไปอีกครั้ง กวาดผ่านในบริเวณนี้ แล้วดึงกลับมาทันที
หลังจากเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น ปีกขนนกที่แผ่นหลังพลันหายวับไป
จากนั้นเขาพลันหันกาย สองตาหรี่มองทางป่าอสูรลับสองสามแวบ
ระยะห่างเช่นนี้ แม้ว่าอสูรลับเหล่านั้นจะโกรธแค้นเป็นอย่างมาก แต่ก็คงไม่ไล่สังหารเขามาไกลขนาดนี้
ทว่าหากพวกมันกล้าทำเช่นนั้นจริงๆ หานลี่ก็คงจะกำจัดอสูรลับสิบกว่าตัวนั้นทิ้งอย่างไม่ถือสา
สาเหตุที่ระหว่างทางก่อนหน้าไม่ยอมพัวพันกับพวกมัน แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะเขาหวาดกลัวอสูรลับเหล่านั้น แต่แค่หวาดกลัวว่าจะถูกอสูรลับจำนวนมากไล่ตาม แล้วถูกล้อมเท่านั้น
หานลี่เอามือไพล่หลังพลางยืนอยู่บนยอดเขานิ่ง พายุพัดผ่านร่างกายไปเป็นระลอกๆ ทำให้อาภรณ์ของเขาปลิวไสวไปตามแรงลม ราวกับเทพเซียนก็ไม่ปาน
ฉับพลันนั้นเขาก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง ในมือมีจานอาคมสีแดงโลหิตปรากฏขึ้น ด้านบนมีเส้นไหมสีเงินกะพริบวาบไม่หยุด
แววตาของหานลี่เปล่งประกายขณะมองจานอาคมในมือชั่วครู่แล้วพลันขมวดคิ้ว
“ในเมื่อทั้งสองคนมารวมตัวกันแล้ว ก็คงอยู่ห่างกันไม่มาก เหตุใดถึงไม่มาในทันที หรือว่าพบความยุ่งยากอันใด?” หานลี่เอ่ยพึมพำ แล้วพลิ้วกายอีกครั้ง ของในมือสลายหายไป จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น มองไปยังทิศทางหนึ่ง
ฉับพลันนั้นผิวก็เปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวพวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ แค่หมุนวนในบริเวณรอบรอบหนึ่ง ก็พุ่งตรงไปยังทางที่มอง
แม้ว่าความเร็วจะไม่น่าตกตะลึงราวกับเคลื่อนย้ายกายก่อนหน้า แต่ความเร็วก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หานลี่ก็บินออกมาได้สองสามหมื่นลี้ มาถึงทุ่งหญ้าอีกแห่งหนึ่ง
หานลี่ที่อยู่ท่ามกลางลำแสงหลีกหนี แววตาเปล่งประกายสีฟ้าสว่างวาบ ใบหน้าเผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมา
หลังจากสายรุ้งสีเขียวหม่นแสงลง หานลี่ก็ปรากฏตัวขึ้นด้านนอกห่างออกไปร้อยลี้ หลังจากปรากฏกายขึ้น ก็มองไปตรงหน้าด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
ห่างจากเขาไปร้อยกว่าจั้ง มีคนสองกลุ่มกำลังประจันหน้ากัน
กลุ่มหนึ่งคือสือคุนและหลิวสุ่ยเอ๋อร์
หลิวสุ่ยเอ๋อร์ผู้สวมงอบแววตาเปล่งประกายไม่หยุด ท่าทางรอบคอบ
สือคุนกลับมีสีหน้าที่แฝงไปด้วยรอยยิ้มเย็นชา สองมือกำหมัด เกราะสงครามบนร่างกะพริบวาบๆ ราวกับพร้อมรบอย่างไรอย่างนั้น
ตรงข้ามของทั้งสอง กลับมีบุรุษและหญิงสาวยืนเคียงไหล่กัน
บุรุษมีเครางอๆ กายท่อนบนสวมเกราะเกล็ดสีเงิน สะพายใบมีดยักษ์ที่มีรูปร่างเหมือนสามง่ามชิ้นหนึ่ง ท่าทางคล้ายกับวีรบุรุษ
ส่วนหญิงสาวนั้นมีคิ้วและดวงตาดำขลับ ผิวขาวละเอียด สวมชุดหนังสีเขียว ปกปิดร่างกายอวบอั๋นที่ทำให้ผู้คนตกตะลึงเอาไว้
แต่สิ่งที่แปลกประหลาดก็คือกายท่อนล่างของทั้งสองกลับถูกไอสีขาวปกคลุมเอาไว้ และมีเสียงกังวานราวกับน้ำไหลดังออกมา
“เผ่าราชามหาสมุทร!”
หานลี่รู้จักประวัติความเป็นมาของบุรุษและสตรีที่ปรากฏตัวขึ้นใหม่แทบจะในพริบตาเดียว เอ่ยพึมพำด้วยสีหน้าเปลี่ยนสี
แม้ว่าเผ่าราชามหาสมุทรจะไม่ได้อยู่ติดกับเมืองเมฆาสวรรค์ แต่ทุกคนต่างรู้ว่าเผ่านี้เป็นพันธมิตรกับเผ่าแมลงมีเขา
มิน่าล่ะเมื่อทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน จึงตกอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดเช่นนี้
ทั้งสองเห็นหานลี่บินมาถึงตรงนี้ แน่นอนว่าย่อมรู้สึกไม่เหมือนกัน
แววตางดงามของหลิวสุ่ยเอ๋อร์ฉายแววยินดี ชั่วขณะนั้นพลันตัดสินใจ
ไม่รู้ว่าสือคุนกำลังคิดอันใดอยู่ แต่พลันเบะปากฉีกยิ้มมาทางหานลี่ ร้องทักอย่างมีมารยาท
บุรุษและสตรีเผ่าราชามหาสมุทรที่อยู่ฝั่งตรงข้าม กลับมีแววตาเย็นชา ใช้สายตาไม่เป็นมิตรมองพิจารณาหานลี่ขึ้นๆ ลงๆ
แต่เห็นหานลี่มีพลังยุทธ์แค่ระดับเผ่าเบื้องบนขั้นที่เจ็ด ทั้งสองก็อดที่จะมองสบตากันแวบหนึ่งด้วยความประหลาดใจไม่ได้ ล้วนมองเห็นความฉงนจากแววตาของอีกฝ่าย
“นายท่านเป็นคนของเมฆาสวรรค์!” บุรุษคนนั้นเบิกตาทั้งสองข้างพลางเอ่ยปาก น้ำเสียงก้องกังวาน
“ปัจจุบันนั้นช่างมันเถิด สหายทั้งสองอยู่ที่นี่ หรืออยากให้ข้าน้อยลงมือกับสหายร่วมวิถี?” หานลี่มีสีหน้าราบเรียบ และเอ่ยถามย้อนกลับ
“ลงมือกับพวกเขา? หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ เขาสองคนจะยืนอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร!” บุรุษเผ่าราชามหาสมุทรหัวเราะอย่างเย็นชาออกมา แล้วเอ่ยถากถาง
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร? โอหังนัก! หึๆ ผู้แซ่สือโง่เขลา อยากขอลิ้มลองอิทธิฤทธิ์ของเผ่าท่านที่เลื่องชื่อว่าเป็นสามเผ่าวารีที่ยิ่งใหญ่สักหน่อย” สือคุนได้ยินกลับไม่โกรธแต่หัวเราะร่า ร่างกายพลิ้วไหวสาวเท้ามาอยู่ตรงหน้า แล้วเอ่ยอย่างทะมึนทึบ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น