พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1683-1688

 บทที่ 1683 ศึกใหญ่จบแล้ว

 

และการล้อมกวาดล้างในตอนนี้ก็เข้าใกล้ตอนจบแล้ว ในป่าเหล็กเหลือเพียงพื้นที่เล็กๆ ตรงกลางเท่านั้น


“ชายหนุ่มที่ควงค้อนกล้าสู้ตายตัวต่อตัวกับข้ามั้ย!” เสียงตะโกนแหลมเล็กดังขึ้น


ขณะเผชิญหน้ากับกลุ่มธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่กำลังจะยิงโจมตี เสวี่ยอวี้ที่หลบจนถึงตอนสุดท้ายก็เปล่งเสียงแล้ว รู้แล้วเช่นกันว่าหลบต่อไปไม่ไหว


“หยุดมือ!” ตานฉิงที่อยู่บนฟ้าเหลือบมองแวบหนึ่งแล้วตะโกนหยุดด้านล่าง ก่อนจะถือค้อนใหญ่ถลันตัวลงไป


เสวี่ยอวี้โผล่ออกมาจากดงเสาเหล็กแล้ว เผชิญหน้ากับธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์โดยรอบด้วยมือเปล่า แสดงออกว่าไม่ขัดขืน ถ้าจะฆ่าก็ฆ่าเลย


พอเดินมาตรงหน้าตานฉิง นางก็เงยหน้ายืดอก จงใจกล่าวยั่วยุ “เป็นผู้ชายก็ไม่ต้องอาศัยคนเยอะกว่า ถ้าเก่งนักก็มาสู้กับข้าตัวต่อตัว ถ้าเจ้าชนะก็ปล่อยข้าไป ถ้าข้าแพ้ก็จะยอมให้เจ้าฆ่าแกงตามอำเภอใจ?” นี่ก็คือข้อได้เปรียบของผู้หญิง และเป็นโอกาสสุดท้ายของนางเช่นกัน ไม่ว่าจะอย่างไรนางก็ต้องลองดูสักหน่อย


ที่สำคัญคือเมื่อครู่นางเพิ่งเห็นการต่อสู้บนท้องฟ้า พบว่าผู้ชายคนนี้สมกับเป็นลูกผู้ชายเกินไปแล้ว นางผ่านผู้ชายมาเยอะเกินไป รู้จักผู้ชายประเภทนี้อย่างลึกซึ้งและจับจุดอ่อนได้ว่าทักจะทนการการท้าทายไม่ไหว ทั้งยังมองออกด้วยว่าผู้ชายคนนี้มีตำแหน่งสูงในทัพใหญ่ เป็นคนที่พูดจำคำไหนคำนั้น


“เหอะๆ! ทำไมจะไม่กล้าล่ะ?” ตานฉิงเงยหน้าหัวเราะลั่น


เหมียวอี้ที่มองดูการต่อสู้สีหน้าดำมืดลงทันที


เสวี่ยอวี้ดีใจมาก รีบถามว่า “เจ้าพูดคำไหนคำนั้นนะ?”


“แน่นอน…” ตานฉิงยังพูดไม่ทันจบ ก็กวาดค้อนเข้าแล้วหนึ่งที เกิดเสียงดังปั้ง ทุบให้เสวี่ยอวี้กระเด็นออกไป


แกร๊ง! เสวี่ยอวี้ที่กระแทกกับเสาเหล็กออกแรงเยอะมากกว่าจะยืนให้มั่นคงได้ ในปากกระอักเลือดไม่หยุด เบิกตากว้างมองตานฉิงอย่างทำใจเชื่อได้ยาก นึกไม่ถึงว่าไอ้สารเลวนี่จะปากพูดดีแต่กลับลอบโจมตี นางพึมพำอย่างยากลำบากพร้อมฟองเลือดในปาก “เจ้าไม่ใช่ลูกผู้ชาย…”


เหมียวอี้ที่กำลังจ้องทางนี้พูดไม่ออกอีกครั้ง หักมุมพอสมควร


“นางหนูเอ๊ย ถ้าจะเล่นลูกไม้นี้กับพ่อ เจ้ายังอ่อนหัดไปหน่อย” ตานฉิงหัวเราะลั่น แล้วถลันตัวมาข้างหน้า ปักค้อนคู่ลงบนพื้น บีบคอเสวี่ยอวี้เอาไว้ แล้วสะบัดใบหน้าเล็กน้อย หนังปลอมบนใบหน้ากระเด็นออกไป เผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา อ้าปากเผยฟันขาว หัวเราะหึหึอย่างด้วยน้ำเสียงพึลึก “ในปีนั้นตอนนี้ข้าสนุกกับอาจารย์เจ้า เจ้าก็เหมือนจะคอยปรนนิบัติอยู่ข้างๆ นะ เพียงแต่อาจารย์เจ้ามีผู้ชายเยอะเกินไป ไม่รู้ว่าเจ้าจะยังจำข้าได้หรือเปล่า?”


“เจ้า…เจ้า…” เสวี่ยอวี้เบิกตากว้าง ใบดวงตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ ตกตะลึงพรึงเพริด ตกตะลึงไร้ที่เปรียบ “ตาน…ตานฉิง…”


“เจ้าสงสัยหรือเปล่าว่าข้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? ง่ายมากเลย ข้าจะตอบเจ้า! ฮ่าๆๆ…” หลังจากตานฉิงเงยหน้าหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ทันใดนั้นก็ประกบริมฝีปากเสวี่ยอวี้ ดูดดื่มอย่างป่าเถื่อน แล้วจู่ๆ ก็เห็นไอมารจากปากกรอกเข้าปากเสวี่ยอวี้อีก ไอมารสีดำที่อบอวลออกมาจากร่างกายกรอกเข้าทวารทั้งเจ็ดของเสวี่ยอวี้ ร่างเสวี่ยอวี้ชักกระตุก ในขณะที่บาดเจ็บสาหัส นางอยากจะผลักเขาอย่างไรก็ผลักไม่พ้น


หลังจากดูดเป็นเวลานาน ปากสองปากก็แยกออกจากกัน ตานฉิงสูดหายใจลึก ไอหมอกสีดำแดงที่ปนกลิ่นคาวเลือดไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ดของเสวี่ยอวี้ จากนั้นถูกตานฉิงดูดลงท้อง ทำให้บาดแผลตรงท้องของตานฉิงสมานตัวอย่างรวดเร็วอย่างที่ตาเปล่าสังเกตเห็นได้


เสวี่ยอวี้ที่ตัวสั่นอย่างรุนแรงกลับเหี่ยวแห้งลงเร็วมากจนสังเกตเห็นได้ ใบหน้าและดวงตาเป็นหลุมลึก เมื่อครู่ยังเป็นผู้หญิงที่สวยหยดย้อยอยู่เลย ชั่วพริบตาเดียวกลับกลายเป็นศพแห้งกรังร่างหนึ่ง สุดท้ายก็แน่นิ่งไม่ขยับตัวแล้ว


คนที่ได้เห็นฉากนี้ขนลุกขนชัน!


ตานฉิงแลบลิ้นเลียปากราวกับกินดื่มอิ่มแล้ว จากนั้นปล่อยร่างแห้งทิ้ง หัวเราะหึหึ มองมือถือค้อนใหญ่หมุนตัว


ศพแห้งของเสวี่ยอวี้ที่พิงบนเสาเอียงล้มอย่างช้าๆ ใครจะคิดว่าตานฉิงจะไม่ชายตามองเลยสักนิด ควงมือทุบค้อนใหญ่ไปข้างหลัง แกร๊ง! เป็นเกราะรบบนร่างเสวี่ยอวี้ที่โดนทุบ แต่กลับทำให้ศพแห้งในเกราะสะเทือนจนกลายเป็นผงปลิวออกมา เกราะรบอ่อนยวบตกลงกองบนพื้น คนเป็นคนหนึ่งเมื่อครู่นี้กลายเป็นควันสลายหายไปหมดสิ้นแล้ว


“วิปริต!” ไป๋เฟิ่งหวงกลอกตามองบน อดไม่ได้ที่จะพึมพำด่า


ศึกใหญ่จบแล้ว!


สำหรับกำลังพลของหกลัทธิ ศึกนี้ไม่ได้น่าหวาดเสียวเท่าไรนัก ไม่ได้ตระหนกตกใจอะไร ถึงขั้นไม่ได้บาดเจ็บอะไรด้วย


แน่นอน บาดแผลเล็กน้อยของตานฉิงก็ถูกเยียวยารักษาเองโดยการกระทำที่วิปริตของเขาแล้ว จะโทษคนอื่นไม่ได้ ยังมีตอนที่โดนธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ครั้งสุดท้ายของเยี่ยนฉงโจมตี มีคนตายไปหลายสิบคน แต่สำหรับทัพใหญ่ทัพใหญ่หนึ่งล้าน ความเสียหายเล็กน้อยแค่นี้แทบจะสามารถมองข้ามไปได้เลย


ที่จริงนี่ก็คือผลลัพธ์ที่เหมียวอี้ต้องการ ต้องรีบแก้ไขปัญหา ถ้าลงมือแล้ว ก็ไม่อาจอยู่ที่นี่นานได้ นี่ก็คือความมั่นใจตั้งแต่ก่อนจะลงใอ


ที่จริงทัพใหญ่ทัพนี้ ไม่ว่าจะสู้กับกำลังพลกลุ่มไหนของตำหนักสวรรค์และแดนพุทธะก็ล้วนมีศักยภาพที่จะตัดสินแพ้ชนะได้ รับมือกับคนพวกนี้ง่ายราวกับหั่นผัก จะบอกว่าใช้มีดฆ่าวัวมาฆ่าไก่ก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินไป


ศึกใหญ่ถูกแก้ไขปัญหาไปอย่างนี้แล้ว อาศัยประโยชน์จากธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ เรียกได้ว่าควบคุมสถาการณ์ได้ทุกด้านจริงๆ โจมตีขณะยับยั้ง โจมตีจนอีกหลายฝ่ายไม่มีกำลังโต้ตอบ


แทบจะไม่ต้องเก็บกวาดอะไรบนสนามรบ เพราะกวาดล้างมาแล้วตลอดทาง แม้แต่ศพก็ไม่ให้เหลือ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงของอย่างอื่นเลย


แต่พอตรวจค้นแล้วก็ยังพบอะไรนิดหน่อย ยังมีคนที่ยังไม่ตาย อิ๋งหยาง ฮ่าวอวิ๋นเทียน ก่วงเซิ่ง โค่วเหวินไป๋ พอถึงด่านสุดท้ายพวกเขาล้วนถูกปกป้องโดยลูกน้องคนสนิทของบรรดาอ๋องสวรรค์  คนพวกนั้นทำตัวสมกับเป็นลูกน้องคนสนิทของสี่อ๋องสวรรค์จริงๆ


เหมียวอี้ต้องการอิ๋งหยาง คนของหกลัทธิไม่รู้ว่าอิ๋งหยางเป็นใคร หลังจากสี่คนนี้ถูกหาพบจึงถูกควบคุมตัวเข้ามา


“ข้าเคยบอกแล้ว ถ้าไม่หมดหนทางจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยฝีมือของตัวเอง ใครใช้ให้เจ้าโอ้อวด? ต่อสู้เก่งนักใช่มั้ย? เก่งนักทำไมเสียใต้หล้าไปล่ะ? แล้วอีกอย่าง เมื่อครู่นี้เจ้าเพิ่งเผยโฉมหน้าที่แท้จริงไป ถ้าคนอื่นเห็นขึ้นมาจะทำยังไง?” เหมียวอี้เผชิญหน้ากับตานฉิง เอ่ยถามเสียงเย็น “คำสั่งข้าใช้ไม่ได้ผลแล้วใช่มั้ย?”


กุยอู๋ เหลิ่งจัวฉุน จ่างหง เมิ่งหรู อ๋าวเถี่ย ห้าคนนี้ดูเอาสนุกด้วยสีหน้าล้อเลียน


“สนใจแต่ความสะใจชั่วครู่ ขัดคำสั่งทหาร คนประเภทนี้จะทิ้งปัญหาให้ตามมาไม่รู้จักจบจักสิ้น ไปสู้ประหารไปเสียเลย” จ่างหงกล่าวอะไรแปลกๆ


“ใช่แล้วๆ”


“ประหารก็ดี”


“อื้ม ตบรางวัลและลงโทษให้ชัดเจนสิ”


“อามิตตาพุทธ เพื่อให้ถูกต้องตามกฎทหาร!”


อีกสี่คนได้ทีขี่แพะไล่ เหมือนกลัวว่าใต้หล้าจะไม่วุ่นวาย


ตานฉิงถลึงตามองพวกเขา แล้วสุดท้ายก็กุมหมัดขออภัยเหมียวอี้ “มีคนเป็นฝ่ายท้าทายก่อน ข้าน้อยหัวร้อนไปชั่วขระ รอบข้างถูกเก็บกวาดหมดแล้ว ไม่มีใครเห็นข้าด้วย…เอาเป็นว่าข้าน้อยผิดไปแล้ว ราชาปราชญ์ได้โปรดระงับโทสะ ต่อไปไม่บังอาจผิดกฎแน่นอน!” ที่เขาเผยโฉมหน้าแท้จริงให้เสวี่ยอวี้เห็น ก็เป็นการระบายอารมณ์อย่างหนึ่งเหมือนกัน เป็นการแสดงออกอย่างหนึ่งหลังจากเก็บกดมานาน อยากจะให้คนรู้ว่าเขากลับมาแล้ว แดนอเวจีขังให้เขาตายไม่ได้หรอก


ราชาปราชญ์? เยี่ยนเป่ยหงกับไป๋เฟิ่งหวงที่ยืนอยู่ทางซ้ายและขวาของเหมียวอี้มองหน้ากันเลิกลั่ก ราชาปราชญ์อะไรกัน? นี่มันเรื่องอะไร?


เหมียวอี้อยากจะประหารตานฉิงทิ้งจริงๆ แต่ก็รู้ว่าการประหารขุนพลใหญ่ในตอนนี้ไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง จึงกัดฟันบอกว่า “จะปล่อยเจ้าไปครึ่งหนึ่ง ถ้ามีครั้งหน้านี้ ข้าไม่ให้อภัยแน่นอน!”


“ขอรับ! ขอบพระคุณราชาปราชญ์!” ตานฉิงค้อมกายขอบคุณซ้ำๆ อย่างว่านอนสอนง่าย


เหมียวอี้รู้ว่าเจ้าหมอนี่กำลังเสแสร้ง เมื่อครู่นี้ตอนหลอกเสวี่ยอวี้เขาก็เห็นชัดเจนแล้ว


“หึหึ…” ขุนพลใหญ่ที่เหลือแสยะหัวเราะ


“ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นเจ็ดล่ะ?” จู่ๆ เหมียวอี้ก็ยื่นมือไปหาพวกเขา


พวกเขาหัวเราะหัวเราะไม่ออกทันที ไม่ค่อยอยากจะเอาออกมาให้สักเท่าไร เดิมทีเตรียมจะกลับไปแล้วปรึกษากันอีกทีว่าจะแบ่งกันอย่างไร


ตานฉิงพึมพำ “ที่จริงก็ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้แล้ว พลังงานที่ใช้ได้ก็ถูกสองพี่น้องแซ่เยี่ยนใช้ไปหมดแล้ว ถ้าจะใช้อีกยังต้องเติมพลังงานใหม่ นั่นยังต้องใช้เงินอีกไม่ใช่น้อยๆ ถึงจะเติมพลังงานได้”


เหมียวอี้ไม่ได้กังวลเรื่องนี้เลย ถึงอย่างไรตอนนี้เขาก็ใช้ไม่ได้อยู่แล้ว รอให้ในภายหลังเขานำไข่มุกวิญญาณจำนวนมากออกมาจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ยังกลัวจะเติมพลังงานไม่ไหวอีกเหรอ ถึงตอนนั้นเมื่อบวกอานุภาพของไข่มุกวิญญาณไปด้วย มันถึงจะดุร้ายอย่างแท้จริง ยิ่งไปกว่านั้นในมือเขาก็ยังมียาเจี๋ยตันขั้นเจ็ดอยู่เม็ดหนึ่ง ถึงแม้ไม่อาจเติมพลังงานจนเต็มได้ แต่อานุภาพยามยิงลูกธนูไม่กี่ดอกก็ยังมีอยู่


“ราชาปราชญ์ ท่านบอกว่าของที่ได้จากการรบครั้งนี้จะให้หกลัทธิแบ่งกันไม่ใช่เหรอ?” เมิ่งหรูก็สงสัยเช่นกัน


“นอกจากธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์” เหมียวอี้ไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย


พวกเขาไม่มีทางเลือก สุดท้ายก็นำของออกมาแต่โดยดี บางคนนำลูกธนูออกมา บางคนนำคันธนูออกมา


เหลิ่งจัวฉุนที่ยื่นคันธนูถอนหายใจแล้วบอกว่า “ที่จริงศึกนี้ถ้าได้จับเป็นจะดีขนาดไหน สามารถหลอมยาเจี๋ยตันขั้นเจ็ดได้ไม่น้อยเลย น่าเสียดายแล้ว”


“ถ้าข่าวหลุดออกไป ถ้าปกป้องชีวิตตัวเองไม่ได้ แล้วจะเอาของมากกว่านี้ไปใช้ทำประโยชน์บ้าอะไรได้? ตราบใดที่ยังรักษาพลังไว้ได้ ในภายหลังยังจะไม่มีโอกาสรวยเชียวเหรอ?” เหมียวอี้ทำเสียงฮึดฮัด เขาย่อมรู้ว่าจับเป็นดีกว่า แต่การจับเป็นเปลืองแรงเกินไป แบบนั้นต้องสู้ไปจนถึงเมื่อไรกัน


ถ้าเปลี่ยนเป็นเขาในเมื่อก่อน เป็นพวกที่มีวรยุทธ์บงกชขาวขั้นสามแต่กล้าไปแสวงหาความร่ำรวยที่ทะเลดาวนักษัตร แต่เขาในตอนนี้มีความคิดที่ต่างออกไปแล้ว ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือสถานภาพไม่เหมือนกันแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เขาก็ไม่ขาดแคลนเงินทอง ตราบใดที่ไม่ฟุ่มเฟือย ช่องทางรายได้ของหกลัทธิที่อยู่ข้างนอกก็เลี้ยงเขาได้อย่างไม่มีปัญหา


ในตอนนี้ อิ๋งหยาง ฮ่าวอวิ๋นเทียน ก่วงเซิ่ง โค่วเหวินไป๋ที่โดนค้นตัวจนเกลี้ยงถูกคุมตัวเข้ามาแล้ว ถูกกดให้นั่งคุกเข่าโดยมีดาบจ่อคอ


“พวกตานฉิงยืนแยกกัน หลีกทางให้เหมียวอี้”


อิ๋งหยางถามอย่างตกใจ “พวกเจ้าเป็นใครกันแน่? พวกเจ้ารู้มั้ยว่าพวกเราเป็นใคร? ฝ่าบาททำกับพวกเราแบบนี้ได้ยังไง!”


เหมียวอี้ยืนอยู่ตรงหน้าคนพวกนี้ ไม่สนใจอิ๋งหยาง สายตาจ้องไปที่โค่วเหวินไป๋


โค่วเหวินไป๋ก็เป็นเหมือนชื่อ ใบหน้าซีดขาว ไม่เคยนึกมาก่อนว่าตัวเองจะตกต่ำถึงขั้นนี้


หลังจากสบตากับเหมียวอี้พักหนึ่ง ถึงแม้เหมียวอี้จะสวมหนังปลอมบนใบหน้า แต่เมื่อมองไปเรื่อยๆ โค่วเหวินไป๋ก็รู้สึกได้รางๆ ว่าคุ้นเคยกับดวงตาของเหมียวอี้มาก พอมองรูปร่างของเหมียวอี้อีกครั้ง แล้วนึกเชื่อมโยงกับใครบางคนที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางครั้งนี้ จู่ๆ เขาก็ตระหนักอะไรบางอย่างได้ ดวงตาสองข้างพลันเบิกกว้าง ดิ้นรนร่างกายพร้อมอุทานว่า “เป็นเจ้าเหรอ หนิว…”


ผลปรากฏว่าถูกคนข้างหลังกดไว้ ภายใต้การควบคุมของพลังอิทธิฤทธิ์ เขาเปล่งเสียงไม่ออกสักคำแล้ว แต่สายตาที่มองเหมียวอี้กับเต็มไปด้วยไฟโกรธ ขณะเดียวกันก็มีความเคลือบแคลงสงสัยมากมาย สรุปก็คือสีหน้าเหมือนคนใกล้จะเป็นบ้าประสาทเสีย


เหลิ่งจัวฉุนชี้อิ๋งหยาง “คนนี้เก็บไว้ ที่เหลือประหารให้หมด” ตอนที่จับตาดูอยู่ก่อนหน้านี้ เขาก็เคยเห็นอิ๋งหยางมาแล้ว รู้เช่นกันว่าเหมียวอี้ต้องการตัวคนนี้


ขณะอีกสามคนกำลังจะลากอีกสามคนไปประหาร ใครจะคิดว่าเหมียวอี้กลับยกมือห้าม “ช่างเถอะ! เก็บไว้ก่อน บางทีตอนหลังอาจจะใช้ประโยชน์ได้” ยังไม่ต้องพูดถึงประโยชน์อย่างอื่น อย่างไรเสียอวิ๋นจือชิวก็ยังอยู่ที่จวนตระกูลโค่ว ถ้าตระกูลโค่วสังเกตได้ว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วเอาอวิ๋นจือชิวมาบีบ อย่างน้อยในมือเขาก็ยังมีไพ่อยู่ใบหนึ่ง


เป็นเพราะมีเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นเหนือแผนการ เขานึกไม่ถึงว่าการใช้สำนักหลัวช่าล่อไพ่ลับของตระกูลอิ๋งจะทำให้อีกสามบ้านมาช่วยตระกูลอิ๋งด้วย จึงฆ่ากำลังพลของตระกูลโค่วไปแล้วโดยไรทางเลือก ทว่าการปะทะกับตระกูลโค่วอาจจะคุกคามความปลอดภัยของอวิ๋นจือชิว


ทั้งสี่คนถูกเก็บเอาไว้อย่างนี้แล้ว ทัพใหญ่หกลัทธิก็เริ่มรวมตัวกลับที่เดิมเช่นกัน


สำหรับกำลังพลทัพใหญ่หกลัทธิที่ได้ออกมา ภารกิจครั้งนี้นับว่าเสร็จสิ้นแล้ว แต่สำหรับเหมียวอี้ที่ยังถือระฆังดาราติดต่อกับฝั่งตลาดผีตลอด เขารู้อย่างลึกซึ้งว่านี่เป็นเพียงการเริ่มต้น การใช้กำลังพลของหกลัทธิจำนวนมากมาทำเรื่องในครั้งนี้ ที่จริงก็ไม่ได้อันตรายเท่าไรนัก เพราะอันตรายกับละครเด็ดที่แท้จริงเพิ่งจะเริ่มต้น

 

 

 


บทที่ 1684 อยู่ดีๆ ก็หายไป

 

ต้องทราบไว้ว่าครั้งนี้ไม่เพียงแค่กำจัดกำลังพลของสี่อ๋องสวรรค์และสำนักหลัวช่าเท่านั้น ถึงแม้กำลังพลของสิบสองจอมพลและสามสิบหกเทพประจำดาวจะมีไม่เยอะ เพียงเลือกคนมาประกอบฉากนิดหน่อยเท่านั้น แต่ถึงอย่างไรก็ล้วนส่งลูกหลานมา ผลปรากฏว่าถูกเหมียวอี้กำจัดทิ้งไปหมดแล้ว


แม้แต่ลูกชายคนรองของเทพประจำดาวฟ้าเถาะ ก็สิ้นชีพอยู่ในจำนวนนั้นด้วยเช่นกัน


ถึงแม้เหมียวอี้จะไม่รู้จักลูกชายคนรองของเทพประจำดาวฟ้าเถาะ แต่ก็สามารถตัดสินได้จากกำลังพลของแต่ละฝ่ายที่มาเข้าร่วม พอจะเดาได้คร่าวๆ แล้ว แต่เขาก็ไม่ได้นำตัวออกมา กำจัดไปพร้อมกันอย่างเลือดเย็นไร้น้ำใจเสียเลย


แทบจะฆ่าลูกหลานบุคคลระดับสูงของตำหนักสวรรค์หมดแล้ว ถามหน่อยว่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวงกว้างขนาดนี้ ถ้าวุ่นวายขึ้นมาจะไม่เกิดละครฉากเด็ดหรอกเหรอ?


นี่คือเรื่องนอกเหนือแผนการที่คาดคิดไม่ถึง ต่อให้เป็นหยางชิ่งก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่าพอสำนักหลัวช่าแตะต้องตระกูลอิ๋ง แล้วจะทำให้สี่อ๋องสวรรค์ร่วมมือกัน


เรื่องนี้ลุกลามใหญ่โตแล้วจริงๆ ไม่อาจอยู่ที่นี่นานได้ หลังจากเตรียมตัวเสร็จแล้ว คนกลุ่มนี้ก็ออกจากน้ำพุวังเวงอย่างรวดเร็ว


ตลาดผี โรงเตี๊ยม เสียงเคาะประตูดังขึ้น


หรูเสวี่ยที่เปิดประตูออกตกใจนิดหน่อย นึกไม่ถึงว่าสวีถังหรานจะมาอีกแล้ว


สวีถังหรานเบียดเข้ามา พอปิดประตู ก็กอดจูบลูบคลำแล้วดึงกระโปรงนางออก โถมทับลงบนเตียงเสียเลย ทำท่าทางเหมือนลิงร้อนรน


หรูเสวี่ยที่ถูกผลักขึ้นเตียงใช้สองมือผลักเขา ในท่ที่สุดปากก็ว่างให้ถามแล้ว นางถามอย่างประหลาดใจมาก “นายท่าน ทำไมมาอีกแล้วล่ะ?” ปกติมาทุกสามวันห้าวัน แต่ครั้งนี้มาล่วงหน้าแล้ว


“ทำไมล่ะ? ข้ามาไม่ได้รึไง?” สวีถังหรานแกล้งโกรธ


“ไม่ใช่ๆ ข้าแค่แปลกใจนิดหน่อยค่ะ ทำไมวันนี้นายท่านถึงมาล่วงหน้าล่ะ?” หรูเสวี่ยรีบถาม


“หึหึ! ท่านแม่ทัพภาคไม่อยู่ เห็นช่องโหว่ก็เลยแอบอู้งาน…” พูดจบก็ไม่สนสี่สนแปดอะไรแล้ว ไม่ทันไรก็ถอดเสื้อผ้าหรูเสวี่ยออกหมด


หลังจากฟ้าฝนคะนองไปหนึ่งยก สวีถังหรานก็ลุกขึ้นนั่ง หันหลังให้คนที่นอนอยู่บนเตียง สวมใส่เสื้อผ้าอย่างเนิบนาบสบายใจ


หรูเสวี่ยนอนเปลือยอยู่เตียง แต่กลับเอามือกุมหน้าอกเพราะหายใจติดขัด อยากจะลุกก็ลุกไม่ไหว เริ่มมีเลือดซึมออกจากากและจมูก สีหน้าเริ่มเขียวคล้ำ นางเริ่มเคลื่อนไหวน้อยลงเรื่อยๆ แขนที่สั่นเทิ้มไปที่สวีถังหราน “เจ้า…เจ้า…”


“เฮ้อ เจ้ามีวรยุทธ์สูงกว่าข้า เพื่อคำนึงถึงความปลอดภัย ข้าเลยทำได้เพียงใช้แผนนี้” สวีถังหรานที่หันหลังจัดเสื้อผ้าพูดแล้วถอนหายใจ เขาทำท่าราวกับว่าตัวเองไม่ได้ทำเรื่องไร้ยางอายมาก่อน


หลังจากสวมหน้ากากเรียบร้อยแล้ว ก็หยิบน้ำเต้าหยกเล็กอันหนึ่งออกมา หยดของเหลวใสกลิ่นหอมใส่บนผ้าเช็ดหน้าในมือเล็กน้อย หลังจากชุ่มชื่นแล้วก็เดินไปเช็ดปากอย่างระมัดระวังตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง หางตาชำเลืองผู้หญิงของตัวเองผ่านกระจก “ช่างเป็นหญิงงามเย้ายวนราคะจริงๆ! ข้าก็ตัดใจทิ้งไม่ลงเหมือนกัน แต่ก็ช่วยไม่ได้ นายท่านต้องการให้เจ้าตายในยามสาม ข้าเลยไม่กล้าเก็บเจ้าไว้ถึงยามห้า ข้าต้องเอาหัวเจ้าไปรายงานผลงาน เดิมทีข้ามาเพื่อทำเรื่องนี้ แต่ทำแบบนี้ก็นับว่าตายอย่างคุ้มค่าเช่นกัน ความอ่อนโยนบนเตียงครั้งสุดท้าย สวีก็นับว่ามีคุณธรรมน้ำมิตรไม่เอาเปรียบเจ้า เจ้าว่ามั้ยล่ะ?”


หลังจากเช็ดริมฝีปากเสร็จแล้ว เขาก็หันตัวเดินไปข้างเตียง จ้องร่างเปลือยที่ส่ายหน้าโดยไร้เสียง หยิบมีดสั้นออกมาด้ามหนึ่ง แล้วยกมีดขึ้นแทงหัวใจหรูเสวี่ยอย่างไม่ปรานีเลยสักนิด พอชักมีดออกมาก็มีแสงเย็นวับวาบอีกที ตัดศีรษะหรูเสวี่ยแล้ว


สวีถังหรานเก็บกวาดสถานที่ เก็บม้วนไปทั้งตัวทั้งหัว เสร็จแล้วถึงได้ออกจากโรงเตี๊ยม จัดการงานสำเร็จอย่างคล่องแคล่วแล้ว


ส่วนเหมียวอี้ที่กำลังอยู่ระหว่างทางก็กำลังติดต่อกับหยางชิ่งแล้ว ก่อนหน้านี้ถึงแม้หยางชิ่งจะไม่ได้ติดต่อกับทางนี้ แต่ก็เดาได้แล้วว่าแผนนี้มีช่องโหว่ เดาออกว่าตระกูลโค่วลงมือแล้ว


สาเหตุก็เรียบง่ายมาก เพราะประโยคคลุมเครือที่เหมียวอี้บอกกับอวิ๋นจือชิวนั้น ทำให้อวิ๋นจือชิวเดาออกทันทีว่าแผนอาจจะมีเหตุไม่คาดคิด อดไม่ได้ที่จะถามยืนยันกับหยางชิ่ง ส่วนหยางชิ่งเองหลังจากได้รู้ว่าเหมียวอี้พูดกับอวิ๋นจือชิวอย่างนั้น ก็เดาได้ทันทีว่าตระกูลโค่วลงมือแล้ว หมายความว่าตระกูลโค่วเข้าไปอยู่ในร่างแหนั้นด้วย เป็นไปได้ว่าแผนการของตระกูลโค่วจะยั่วโมโหเหมียวอี้แล้ว และเหมียวอี้ก็เตรียมจะกำจัดกำลังพลของตระกูลโค่วไปด้วยกันเลย ถึงได้พูดอย่างนั้นกับอวิ๋นจือชิว


ตอนต่อสู้เขาไม่ได้รบกวนเหมียวอี้ การสอดมือเข้าไปยุ่งจนผู้บัญชาการรบกังวลก่อนลงสนามเป็นข้อห้ามที่รุนแรงมากของทหาร เขาเองก็เชื่อว่าเหมียวอี้รับมือสถานการณ์เฉพาะหน้าได้เก่ง เขารู้ว่าในจุดนี้เหมียวอี้เก่งกว่าเขา ดังนั้นจนกระทั่งจินม่านได้ข่าวจากอ๋าวเถี่ยว่าภารกิจเสร็จสิ้น เขาถึงได้ติดต่อเหมียวอี้ไปยืนยันสถานการณ์


ในตึกศาลาที่สงบสวยงาม หยางชิ่งที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างไม่มีกะจิตกะใจมาชมทิวทัศน์ทะเล ตอนนี้มีสีหน้าวิตกกังวล หลังจากเก็บระฆังดาราแล้วส่ายหน้าถอนหายใจเบาๆ


“ผู้ช่วยใหญ่ถอนหายใจทำไมเหรอ?” หลังจากจินม่านเดินมาข้างหลังเขา ก็ยืนค่อนข้างใกล้กัน สามารถได้กลิ่นกายหอมของกันและกัน “หรือกังวลว่าจะดึงอีกหลายตระกูลเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย?”


“เรื่องราวใหญ่โตแล้ว…เป็นความผิดของข้า!” หยางชิ่งถอนหายใจยาวอย่างรู้สึกผิด


จากเรื่องนี้ เขาก็ได้เห็นความสัมพันธ์ที่สมดุลระหว่างสี่อ๋องสวรรค์ ประมุขชิงและประมุขพุทธะ ชัดเจนแล้ว เขาจำต้องยอมรับว่าสถานภาพของตัวเองมีจำกัด ไม่มีข้อมูลความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลระดับสูงของตำหนักสวรรค์มากพอ ขณะเดียวกันก็ยอมรับว่าบางครั้งวิธีการแก้ปัญหาที่เด็ดขาดฉับไวของเหมียวอี้ก็อาจจะไม่ใช่กลยุทธ์ชั้นต่ำเสมอไป ถ้าไม่ใช่เพราะเขาดึงสำนักหลัวช่าเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ก็คงไม่ทำให้อีกสามตระกูลโผล่มา ถ้าเหมียวอี้กำจัดตระกูลอิ๋งเสียเลยอย่างไม่ลังเล ก็คงไม่ทำให้เรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้ กลับเป็นความห่วงหน้าพะวงหลังของเขาที่ทำให้เรื่องพัง


จินม่านกลับปลงได้ พูดปลอบใจว่า “กำจัดตระกูลเดียวก็ถือว่าทำ กำจัดสี่ตระกูลก็ถือว่าทำเหมือนกัน ในเมื่อวิ่งมาหาคมดาบแล้ว ก็ไม่มีอะไรน่าเกรงใจ ไม่เกี่ยวกับผู้ช่วยใหญ่”


หยางชิ่งส่ายหน้า แล้วหันตัวมาบอกว่า “ข้าเพิ่งติดต่อราชาปราชญ์ เกรงว่าต้องเปลี่ยนแผนตอนหลัง”


“ในเมื่อผู้ช่วยใหญ่พูดแล้ว จินม่านก็จะตั้งใจฟัง” จินม่านตอบพร้อมรอยยิ้ม


หลังจากแยกย้ายกับหกขุนพลใหญ่แล้ว เหมียวอี้ก็ก็ไปพบกับเหยียนซิวได้ที่รับข่าวให้มาเจออย่างเร่งด่วน


เมื่อเกิดเหตุไม่คาดคิดกับแผนการ เรื่องบางเรื่องก็จำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่เช่นกัน ตอนนี้ยังไม่สะดวกจะส่งทัพใหญ่หนึ่งล้านกลับแดนอเวจี เขาไม่สะดวกจะออกจากตลาดผีนานเกินไป จึงสั่งให้เหยียนซิวนำทัพใหญ่หนึ่งล้านที่เก็บไว้แล้วรีบไปยังพิภพเล็ก ให้นำคนไปปล่อยพักไว้ที่พิภพเล็กก่อน


นี่ก็เป็นเรื่องที่ทำตามใจไม่ได้เช่นกัน เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะพกคนพวกนี้ไว้ข้างกาย ซ่อนเอาไว้ในช่องมิตินานก็ไม่ได้ ถ้าถูกตรวจค้นขึ้นมาจะทำอย่างไรล่ะ?


ส่วนจะจัดให้อยู่ที่พิภพเล็กอย่างไร ก็ย่อมมีหยางชิ่งช่วยคิดให้แล้ว หยางชิ่งจะติดต่อกับฉินเวยเวยจะบอกนางว่าควรทำอย่างไร ตอนนี้เขาต้องเก็บพลังความคิดทั้งหมดไว้ใช้รับมือกับทางตำหนักสวรรค์


น้ำพุวังเวงชั้นสิบสาม แดนไร้ตะวัน


เป็นแดนที่มีแต่ความมืดล้วนๆ บนท้องฟ้าและใต้ดินไม่มีแสงสว่างเลยแม้แต่น้อย จมอยู่ในความมืดมิดตลอดกาล ยื่นมือแล้วมองไม่เห็นนิ้วทั้งห้าจริงๆ


แต่กลับมีสัตว์ที่คุ้นชินกับความมืดของที่นี่แล้ว คุ้นเคยกับการดำรงชีวิตในที่มืดมิด หน้าตาเหมือนคนมีปีก มีร่างกายเป็นมนุษย์ แต่มีฟันคมและกรงเล็บแหลม บนตัวมีเกล็ดแข็งแรงทนทาน ด้านหลังมีปีกค้างคาว ไปมาในโลกอันมืดมิดนี้ได้อย่างอิสระ พวกมันถูกเรียกว่าภูตมาร


เวลาส่วนใหญ่ของพวกมัน ถ้าไม่นั่งยองๆ รับลมอยู่บนหน้าผาสูง ก็นั่งยองๆ หลับตาอยู่บนที่ราบกว้างโล่ง เก็บปีกข้างหลังแล้วยืนนิ่งราวกับเป็นรูปปั้น แต่หลังจากกางปีกก็จะไปมาได้อย่างอิสระดุจสายลม ทั้งตัวเป็นสีดำ รวมเป็นหนึ่งเดียวกับโลกใบนี้ ดังนั้นพวกมันจึงเกลียดชังแสงสว่างมาก ถ้าเห็นแสงสว่างเมื่อไร ก็จะพรั่งพรูเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง รุกโจมตีอย่างบ้าระห่ำทันที


พวกมันดันมีข้อได้เปรียบเหมือนค้างคาว สามารถไปมาอย่างอิสระท่ามกลางความมืด ไม่กลัวชนพวกหน้าผาเลยสักนิด


“ดับไฟ!”


เปลวเพลิงกองหนึ่งดึงดูดให้ภูตมารฝูงใหญ่รุกโจมตี ผู้ที่อาศัยโอกาสมาออกล่าก็คือกำลังพลของตระกูลเซี่ยโห้ว ในจำนวนนั้นเซี่ยโห้วเจิ้งยางที่ได้รับการปกป้องตะโกนเสียงดังที


เปลวเพลิงเดือดถูกดับลงในชั่วพริบตาเดียว รอบข้างยังมีภูตมารพุ่งเข้ามาสู้ตายไม่ขาดสาย คนของตระกูลเซี่ยโห้วทำได้เพียงอาศัยพลังอิทธิฤทธิ์สำรวจและโจมตีโต้ตอบ


เซี่ยโห้วเจิ้งยางที่กำลังถือระฆังดารามีสีหน้าคร่ำเครียด ตระกูลเซี่ยโห้วย่อมส่งสายลับไปจับตาดูตระกูลที่เหลือ สถานที่ตั้งค่ายอีกสามตระกูลไม่มีการเคลื่อนไหว เขาก็ได้รับข่าวจากสายลับแล้ว ว่ากำลังพลของตระกูลอิ๋งถูกโจมตี ตอนที่ถูกสำนักหลัวช่าโจมตีเขาก็ได้รับข่าวจากสายลับเช่นกัน ตอนที่อีกสามตระกูลเข้าเป็นกำลังหนุน เขาก็ได้รับข่าวแล้ว


ขณะเดียวกันเขาก็ส่งข่าวกลับไปให้ตระกูลเซี่ยโห้ว ทว่าเจตนาของคนในบ้านก็ชัดเจนมาก นั่นก็คือให้เขาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ให้จับตาดูเอาไว้ อย่าสอดมือเข้าไปยุ่ง ให้ตั้งใจทำเรื่องของตัวเองต่อไป ล่าสัตว์!


ทว่าจู่ๆ สายลับที่ตระกูลเซี่ยโห้วส่งไปก็ขาดการติดต่อแล้ว เขาจึงรีบติดต่อคนของสี่ตระกูลที่เหลืออีก แต่ทั้งหมดก็ขาดการติดต่อไปแล้วเช่นกัน


หลังจากรายงานสถานการณ์ขึ้นไป ที่บ้านถึงได้มีปฏิกิริยาที่แตกต่างออกไป สั่งให้เขาถอนกำลังออกมา ให้นำคนไปดูยังที่เกิดเหตุทันทีว่าเกิดเรื่องอะไรกันแน่


หลังจากภูตมารตัวสุดท้ายที่โผอยู่บนฟ้าถูกฟันร่วงแล้ว รอบข้างก็ตกอยู่ในความมืดมิดและเงียบสงบไร้ที่สิ้นสุดอีกแล้ว เงียบจนทำให้คนรู้สึกใกล้จะเป็นบ้า


หลังจากนับกำลังพลให้มารวมตัวกันแล้ว ก็รีบทะยานฟ้าท่ามกลางความมืด จู่ๆ ก็เห็นแสงไฟหลายสายส่องสว่างท้องฟ้า ทำให้ภูตมารที่อยู่ไกลๆ เห็นแสงไฟแล้วกรูกันพุ่งขึ้นฟ้าราวกับกระแสน้ำ แต่กำลังพลที่อาศัยแสงสว่างมองตาน้ำพุบนท้องฟ้าก็หนีหายไปอย่างรวดเร็ว


หลังจากข้ามผ่านตาน้ำพุชั้นแล้วชั้นเล่า ในที่สุดก็มาถึงน้ำพุวังเวงชั้นห้า ตัดสินตำแหน่งจากข่าวที่สายลับบอกก่อนหน้านี้ สุดท้ายก็ค้นหาจนพบสถานที่ที่เคยเกิดศึกใหญ่แล้ว ทุกที่มีแต่รอยเลือด แต่กลับไม่เห็นคนที่มีสภาพสมบูรณ์เลย ไม่เห็นศพด้วย มีเพียงรอยอนาถที่ศึกใหญ่ทิ้งไว้บนป่าเหล็ก


บนแท่งเหล็กที่อยู่บริเวณนี้มีรอยจุดและหลุมเว้าเต็มไปหมด เมื่อมายืนตรงหน้าแท่งเหล็กต้นหนึ่งที่ถูกโจมตีจนงอ เซี่ยโห้วเจิ้งยางก็มองไปรอบๆ


“ส่วนใหญ่เป็นรอยหลังถูกธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์โจมตี หรือไม่ก็เป็นรอยที่เกิดจากการใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดหนึ่งโจมตีซ้ำไปซ้ำมา หรือไม่ก็ถูกธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จำนวนมากโจมตีพร้อมกัน” ชายชราคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างกายเขาชี้ไปรอบๆ พลางอธิบาย แล้วก็ชี้แท่งเหล็กงอตรงหน้าอีก “อานุภาพการโจมตีของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นเจ็ด!”


ผ่านไปไม่นาน ลูกน้องก็มารายงาน “นายน้อยยาง ไม่พบผู้รอดชีวิตสักคน ถึงขั้นหาศพไม่พบด้วยซ้ำ อย่างมากก็เป็นเศษเนื้อบางส่วน สถานที่นี้ถูกเก็บกวาดแล้วแน่นอน กำลังพลของสี่อ๋องหายไปหมดแล้ว”


เซี่ยโห้วเจิ้งยางมองไปรอบๆ อีกครั้งด้วยสีหน้าขรึมเครียด สู้กันอยู่ดีๆ แต่ทำไมหายไปหมดแล้ว ถึงขนาดว่าสายลับของตระกูลเซี่ยโห้วก็หายไปด้วยแล้ว ทั้งยังหายไปโดนสิ้นเชิงด้วย แม้แต่ศพก็หาไม่พบ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?


เขารีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับตระกูล


ส่วนชายชราข้างกายเขาก็ออกคำสั่งอีกครั้ง “ปล่อยกำลังคนออกไป ดูว่าสามารถหาพยานพบหรือไม่”


“ขอรับ!” ลูกน้องเอ่ยรับแล้วจากไป จากนั้นกำลังพลของตระกูลเซี่ยโห้วก็แยกย้ายกันไปค้นหาโดยรอบ


จวนท่านปู่สรรค์เซี่ยโห้ว ในจวนต้องห้าม เซี่ยโห้วท่าเอามือไขว้หลังยืนอยู่ใต้ต้นไม้โบราณ หลังจากได้ยินข่าวก็ตกใจมาก หันขวับมาถามว่า “หายไปมดแล้ว? แม้แต่ศพก็หาไม่เจองั้นเหรอ? มันเรื่องอะไรกัน?”


เว่ยซูเขย่าระฆังดาราในมือ “นายน้อยยางก็ไม่ทราบเช่นกันว่าเรื่องอะไรกันแน่ ตอนนี้กำลังตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ ข้าแจ้งให้คุณชายสามทางตึกศาลาสัตยพรตส่งคนไปสำรวจที่เกิดเหตุแล้ว รออีกประเดี๋ยวอาจจะได้ข่าวอะไรบ้างขอรับ”

 

 

 


บทที่ 1685 เจ้าคิดว่าเจ้ารองเป็นอย่างไร

 

“หลังจากศึกใหญ่จบแล้ว กำลังพลของสี่อ๋องถอนกำลังไปแล้วหรือเปล่า?” เซี่ยโห้วท่าถามอย่างคิดไปเองฝ่ายเดียว


อาการแบบนี้เกิดขึ้นเฉพาะตอนที่เขาไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุเท่านั้น


ตอนแรกตระกูลเซี่ยโห้วไม่รู้จริงๆ ว่าการออกล่าที่น้ำพุวังเวงเป็นกับดักที่ตระกูลอิ๋งวางไว้ เนื่องจากการออกล่าที่น้ำพุวังเวงเป็นเรื่องปกติมาก คนที่เข้าร่วมการล่าถ้าไม่รวยก็ฐานะสูงส่ง โดยทั่วไปจะมีกำลังพลติดตามจำนวนมาก ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะใช้กำลังปะทะแบบนี้? ที่สำคัญคือไม่รู้ว่าเหมียวอี้จะเล่นงานอิ๋งหยางให้ตาย กอปรกับฝั่งสี่อ๋องสวรรค์จงใจปิดบังข่าวจากภายนอก คนนอกย่อมนึกไม่ถึงว่าจะมีกับดักอะไร แล้วตระกูลเซี่ยโห้วก็ไม่ได้ล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าทุกอย่างด้วย


จนกระทั่งกำลังพลสี่อ๋องสวรรค์เคลื่อนไหวผิดปกติที่น้ำพุวังเวง ท่าทางไม่เหมือนคนไปออกล่าเลย ถึงทำให้ตระกูลเซี่ยโห้วสงสัย แต่ตอนนั้นตระกูลเซี่ยโห้วยังไม่นึกเชื่อมไปถึงเหมียวอี้ จนกระทั่งเรื่องเปิดโปงว่าผู้ที่โจมตีคือคนของสำนักหลัวช่า ถึงได้นึกโยงไปเรื่องที่เม่ยจีมาวัดพระกษิติครรภ์ แล้วนึกเชื่อมโยงไปถึงเหมียวอี้อีกที


ถึงแม้ก่อนหน้านี้คนของตึกศาลาสัตยพรตจะสังเกตเห็นแล้วว่าที่วัดพระกษิติครรภ์อาจจะมีคนของสำนักหลัวช่าออกมาแล้ว แต่เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ไม่รู้ทิศทางไปของพวกเม่ยจี จึงไม่สะดวกจะสะกดรอยตาม เพราะแบบนั้นจะถูกพบง่ายมาก ไม่เหมือนเหมียวอี้ที่รู้ทิศทางเคลื่อนไหวของสำนักหลัวช่าล่วงหน้า ถึงได้จับตาดูล่วงหน้าจนรู้ทิศทางของพวกนาง


สำนักหลัวช่ารุกโจมตีตระกูลอิ๋ง แล้วตระกูลอิ๋งก็มีแผนสำรองดักซุ่มโจมตี กอปรกับนึกเชื่อมโยงได้ว่าการออกล่าที่น้ำพุวังเวงเกิดขึ้นตอนที่ความร่วมมือระหว่างตระกูลเซี่ยโห้วกับตระกูลโค่วสิ้นสุดลงพอดี ตอนนี้ถึงได้ทำให้ตระกูลเซี่ยโห้วเข้าใจกระจ่างในฉับพลัน ที่แท้ก็วางกับดักหนิวโหย่วเต๋อนี่เอง


เช่นนั้นเรื่องราวก็ลุกลามไปถึงเรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อโดนลอบโจมตีที่แดนสุขาวดี อิ๋งหยางก็มีส่วนด้วย เข้าใจแล้วเช่นกันว่าอิ๋งหยางเป็นเหยื่อล่อ เซี่ยโห้วท่าถึงได้เข้าใจว่าสี่อ๋องสวรรค์น่าจะรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าหนิวโหย่วเต๋อต้องการจะลงมือกับอิ๋งหยาง เกรงว่าในนั้นจะมีผลงานของตระกูลโค่วด้วย หลายตระกูลต่างกำลังร่วมมือกันเล่นละครจัดการออกล่าที่น้ำพุวังเวง เป้าหมายก็คือล่อให้หนิวโหย่วเต๋อมาติดเบ็ด


ทว่าสิ่งที่ทำให้เซี่ยโห้วท่าแปลกใจก็คือ หนิวโหย่วเต๋อมีความสามารถอะไรถึงทำให้สำนักหลัวช่ายอมสละยอดฝีมือมากมายขนาดนี้มาลงมือกับตระกูลอิ๋ง?


เซี่ยโห้วท่าระงับกำลังพลออกล่าของตัวเองเอาไว้ ไม่ให้ไปเข้าร่วมเรื่องนี้ เพราะเซี่ยโห้วท่าเข้าใจดีว่าระหว่างสี่อ๋องสวรรค์เป็นความสัมพันธ์แบบทั้งแข่งขันทั้งร่วมมือกัน แดนสุขาวดีกินอิ่มแล้วว่างงานจึงเข้ามาประสมโรง เขารู้ว่าจะต้องทำให้อีกสามตระกูลมาเป็นกำลังหนุนแน่นอน ต่อให้ไม่มาเป็นกำลังหนุน แต่กำลังพลออกล่าของตระกูลอิ๋งโดนตายเกือบหมดแล้วเกี่ยวอะไรกับตระกูลเซี่ยโห้วด้วยล่ะ? แค่มาดูอาสนุกเฉยๆ ก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร


อีกสามตระกูลโผล่ออกมาเป็นกำลังหนุนให้ตระกูลอิ๋งจริงๆ ด้วย ถึงแม้เซี่ยโห้วท่าจะไม่อยากเห็นหนิวโหย่วเต๋อกลายเห็นง้าวหักจมทรายที่ตัดขาดเบาะแสเร็วขนาดนี้ แต่ก็ยังสั่งให้กำลังพลที่ออกล่าของตัวเองอย่าทำอะไรบุ่มบ่าม ให้แสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรต่อไป เขาไม่คิดว่าหนิวโหย่วเต๋อจะเป็นอะไรไปได้


สาเหตุก็ไม่ซับซ้อน เพราะเขามีข้อมูลที่คนอื่นไม่มี เบื้องหลังหนิวโหย่วเต๋อซ่อนกำลังอันแข็งแกร่งที่ให้ใครรู้ไม่ได้เอาไว้ ในเมื่อหนิวโหย่วเต๋อกล้าเคลื่อนไหว ก็แสดงว่าไม่น่าจะหักทิ้งได้ง่ายขนาดนั้น ไม่แน่ว่าอาจจะสอดแนมเจอมือมืดลึกลับที่อยู่เบื้องหลังหนิวโหย่วเต๋อก็ได้ เขาค่อนข้างเฝ้าคอย


ใครจะคิดว่าสถานการณ์จะเหนือความคาดหมายเกินไป จู่ๆ สถานการณ์ทุกอย่างก็ถูกตัดจบไปอย่างนั้น ไม่รู้แม้กระทั่งว่าใครแพ้ใครชนะ ทำเอาเซี่ยโห้วท่าที่นั่งตกปลาอยู่บนแท่นท่ามกลางคลื่นลมเพื่อรอดูเอาสนุกงงเป็นไก่ตาแตกไปแล้ว นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?


เว่ยซูยิ้มเจื่อน “ถ้ากำลังพลของสี่อ๋องออกไปแล้ว ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยให้นายน้อยยางออกล่าต่ออยู่ที่นั่นคนเดียว อย่างนอกก็ต้องบอกสักหน่อย ต่อให้สี่อ๋องจะชนะแล้ว แต่การรีบเก็บกวาดสถานที่ขนสะอาดขนาดนั้นหมายความว่ายังไงขอรับ? อย่าบอกนะว่าขนาดสี่อ๋องจับจุดอ่อนของแดนสุขาวดีได้แล้ว ยังจะกลัวว่าเรื่องจะลุกลามใหญ่โตอีก? เกรงว่าพวกเขาคงอยากจะหาโอกาสทวงคำอธิบายจากแดนสุขาวดี”


“หรือว่าฝั่งสำนักหลัวช่าชนะแล้ว จึงเก็บกวาดเพื่อลบร่องรอยที่ตัวเองเข้ามาแทรกแซงฝั่งตำหนักสวรรค์?” เซี่ยโห้วท่าถามอย่างระแวง


เว่ยซูส่ายหน้า “ดูจากสถานการณ์ที่รายงานก่อนหน้านี้ เข่นฆ่ากันถึงขั้นนั้นแล้ว ถ้าสำนักหลัวช่าไม่มีแผนสำรอง ต่อให้ชนะแต่ก็ไม่น่าจะเร็วขนาดนั้น แล้วอีกอย่าง ถ้ามีความมั่นใจขนาดนี้ ทั้งยังต้องการจะลบร่องรอย เช่นนั้นก่อนหน้านี้ก็คงไม่ถูกบีบจนต้องเผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา ต่อให้เกิดเรื่องแบบนั้น แต่สายลับของพวกเราก็น่าจะรายงานทันเวลาสิถึงจะถูก แต่สุดที่แปลกที่สุดอยู่ตรงนี้ มีความเป็นไปได้เก้าในสิบว่าสายลับของพวกเขาจะถูกกำจัดไปด้วยแล้ว มีคนไม่อยากให้เรื่องในที่เกิดเหตุเล็ดรอดสู่ภายนอก”


เซี่ยโห้วท่าเอามือขยี้เคราพลางหรี่ตา การวิเคราะห์อย่างใจเย็นของเว่ยซูได้โน้มนำให้อาการเลอะเลือนของเขากลับสู่ลู่ทางที่ถูกต้อง เขากล่าวช้าๆ ว่า “ไม่รู้ว่าตาแก่อีกสี่ตระกูลนั่นจะรู้สถานการณ์อะไรบ้างหรือเปล่า”


“ต้องถามสักหน่อยหรือไม่ขอรับ? อย่างไรเสียฝ่ายพวกเราก็เข้าร่วมการออกล่าด้วย มีเหตุผลที่จะถามได้” เว่ยซูถาม


เซี่ยโห้วท่าโบกมือ “เรื่องนี้แปลกมาก ตอนที่ยังไม่รู้สถานการณ์ชัดเจน อย่าบุ่มบ่ามเข้าไปเกี่ยวข้องดีกว่า ยิ่งแปลกใจก็ยิ่งต้องข่มใจไว้ ไม่อย่างนั้นอาจจะตกหลุมพรางโดยไม่รู้ตัว ใครจะไปรู้ว่ามีคนกำลังร่วมมือกันขุดกับดักฝังตระกูลเซี่ยโห้วหรือเปล่า? เรื่องใหญ่ขนาดนี้ย่อมมีปฏิกิริยาตามมาอยู่แล้ว ตราบใดที่พวกเราทำตัวเป็นคนนอก ก็จะไม่ถูกดึงลงน้ำไปด้วย จะได้เห็นเร็วหน่อยหรือช้าหน่อยก็ไม่แตกต่างอะไรนัก จะไปเข้าร่วมเมื่อไร อำนาจการตัดสินใจก็ยังอยู่ในมือพวกเราเสมอ”


“ถ้าสี่ตระกูลนั้นก็ไม่รู้สถานการณ์เหมือนพวกเราละขอรับ?” เว่ยซูลองถามความเป็นไปได้อีกอย่าง


“เป็นไปได้เหรอ?” เซี่ยโห้วท่าพึมพำ เอามือไขว้หลังก้มหน้า หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ก็กล่าวอย่างเนิบนาบ “ด้วยสภาพพื้นที่ของน้ำพุวังเวงชั้นห้า…ผู้ที่สามารถทำให้สายลับของพวกเราที่ซ่อนตัวอยู่ไม่เปิดเผยฉากสุดท้ายให้ภายนอกรู้ เป็นคนของพวกเราเองที่เปิดเผยเบาะแสจนถูกใครสักคนลงมือได้อย่างแม่นยำเหรอ? เกรงว่าจะไม่แน่กระมัง! ขอบเขตที่กว้างใหญ่ขนาดนั้น เสียงการต่อสู้ที่ดังขนาดนั้น เกรงว่าต่อให้ไม่อยากดึงดูดสายตาคนอื่นให้มองก็คงยาก ถ้าอยากจะปิดบังฉากสุดท้ายจริงๆ พวกที่โดนอาจจะไม่ได้มีแค่สายลับของพวกเรา มีความเป็นไปได้สูงว่าจะกวาดล้างรอบด้าน และถ้าอยากจะกวาดล้างเป็นบริเวณกว้างขนาดนั้น เกรงว่าคนจำนวนเล็กน้อยคงทำไม่ไหว ต้องใช้กำลังคนเยอะมาก…ถ้าใช้คนเยอะขนาดนั้น การตัดขาดไม่ให้คนในเขตการรบใช้ระฆังติดต่อกับภายนอกก็ไม่ใช่ปัญหาเลย พอเป็นแบบนี้ สี่ตระกูลนั้นก็อาจจะไม่รู้สถานการณ์เบื้องลึกจริงๆ”


“ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ ใครมันช่างกล้ารวบรวมกำลังพลกลุ่มใหญ่ขนาดนั้นมาลงมือกับคนของสี่อ๋องโดยตรง?” เว่ยซูถามอย่างตกใจ


เซี่ยโห้วท่าหัวเราะหึหึ “หวังว่าจะไม่ใช่เจ้าเด็กนั่น ไม่อย่างนั้น…นับวันก็ยิ่งน่าสนใจขึ้นเรื่อยๆ แล้ว คอยดูไปเถอะ พวกเราแค่ไม่ต้องไปยุ่ง ถ้าสี่ตระกูลนั้นไม่รู้เรื่องจริงๆ อีกไม่นานก็จะติดต่อมาหาพวกเราเอง แต่ถ้าไม่ติดต่อก็แสดงว่าพวกเขารู้เรื่องแล้ว ภายในหนึ่งชั่วยามนี้ก็จะรู้คำตอบเอง ไม่ต้องรีบร้อน”


เว่ยซูพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ยังเป็นนายท่านที่ปราดเปรื่อง ไม่ให้นายน้อยยางทำอะไรบุ่มบ่าม ถ้าไม่อย่างนั้นถ้ามีคนกวาดล้างที่เกิดเหตุจริง เกรงว่านายน้อยยางก็ยากจะรอดเช่นกัน


เซี่ยโห้วท่าพลันทำท่าทางเหมือนแก่หง่อม เงยหน้ามองฟ้าพลางถอนหายใจ “ตระกูลเซี่ยโห้วเดินมาถึงทุกวันนี้ ตราบใดที่ตัวเองไม่สะเพร่าก็จะไม่ล้ม ต้องข่มอารมณ์เอาไว้!” ในน้ำเสียงเหมือนทั้งสะเทือนใจทั้งกังวล แล้วจู่ๆ ก็หันหน้ากลับมาเอ่ยถาม “เจ้ารู้สึกว่าเจ้ารองเป็นอย่างไร?”


“…” เว่ยซูอึ้งทันที นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ นายท่านจะเปลี่ยนประเด็นมาพูดด้านนี้ ผู้ที่ถูกเรียกว่าเจ้ารองก็ย่อมหมายถึงคุณชายรองเซี่ยโห้วลิ่งอยู่แล้ว


และความหมายแฝงของคำถามนี้ก็ทำให้เว่ยซูรู้สึกเสียวสันหลังวาบ พอจะเดาได้คร่าวๆ ว่านายท่านกำลังถามถึงเรื่องราวหลังจากตัวเองล่วงลับ อย่างไรเสียนายท่านก็อายุมากแล้ว ถึงเวลาที่จะไม่คำนึงถึงเรื่องนี้ไม่ได้ คำถามนี้แฝงการประเมินผลงานว่าใครจะมารับช่วงต่อในการดูแลตระกูลเซี่ยโห้ว แล้วจะให้ข้ารับใช้อย่างเขาตอบว่าอย่างไรดีล่ะ?


เขาจำสิ่งที่บิดากำชับไว้ก่อนตายได้ ว่าอย่าไปยืนอยู่ระหว่างฝ่ายไหนท่ามกลางพวกคุณชายตระกูลเซี่ยโห้ว ยืนติดอยู่ข้างกายนายท่านไว้เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว นายท่านมีความคิดละเอียดรอบคอบ สิ่งที่ควรเตรียมการไว้ก็ย่อมเตรียมการไว้แล้ว มีข้อมูลในใจแล้วว่าใครสามารถสืบทอดตระกูลได้ ถ้าเว่ยซูแสดงออกว่ามีรสนิยมตรงกัน นั่นก็แปลว่าควบคุมไม่ได้แล้ว ตระกูลเซี่ยโห้วเดินมาถึงขั้นนี้  ไม่กลัวปัญหาภายนอก กลัวก็แต่ปัญหาภายใน นายท่านไม่มีทางปล่อยให้คนนอกที่สามารถเข้าถึงความลับแกนกลางได้มีความคิดไม่ซื่อสัตย์ ขอเพียงมีเค้ารางแสดงให้เห็น เช่นนั้นก็ถึงเวลาตายของเว่ยซูแล้ว


“เจ้าก็รู้ว่าข้ากำลังถามอะไร เป็นอะไรไปล่ะ? ไม่สะดวกตอบเหรอ?” เซี่ยโห้วท่ากล่าวกลั้วหัวเราะ “พูดมาเถอะ เรื่องบางเรื่องถ้ายืนอยู่คนละมุมเจ้าอาจจะเห็นปัญหาบางอย่างที่ข้ามองไม่เห็นก็ได้”


ประโยคที่ฟังดูเรียบง่าย แต่ชั่วพริบตาเดียวก็เหมือนกดดันให้เว่ยซูเดินอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบาง แต่จะไม่ตอบก็ไม่ได้ จึงกล่าวอย่างเชื่อฟังว่า “คุณชายรองมีจิตใจที่ล้ำลึก แต่กลับวางตัวตรงไปตรงมา ไม่ว่าจัดการเรื่องใดก็ปราดเปรื่องเด็ดขาด ราวกับเป็นหงส์มังกรท่ามกลางมนุษย์” เขาทำได้เพียงพูดตามมุมมองที่เห็นได้โดยทั่วกัน ไม่เอนเอียงไปทางใด ไม่ปะปนความรู้สึกส่วนตัว


“เหอะๆ วิจารณ์ได้เป็นกลางมาก” เซี่ยโห้วท่ากล่าวชม แล้วส่ายหน้าถอนหายใจอีก “สามารถวิจารณ์ได้อย่างเป็นกลางขนาดนี้ ก็แสดงว่าเจ้ามองเห็นแจ่มแจ้ง ในเมื่อเจ้ามองเห็นแจ่มแจ้งแล้ว ข้าก็ไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะมองไม่เห็นด้านที่ ‘มั่นใจในตัวเอง’ และ ‘เด็ดขาด’ บนตัวเจ้ารอง”


ในเมื่อท่านรู้ชัดอยู่แล้ว เหตุใดจึงต้องกดดันให้ข้าพูดล่ะ เว่ยซูยิ้มเจื่อน “นายท่านมาตรฐานสูงเกินไปแล้ว ในบรรดารุ่นที่สองของตระกูลอื่น ถ้าพูดถึงความสามารถก็ไม่มีใครเทียบคุณชายรองได้แล้วขอรับ” ยังคงไม่เทียบเซี่ยโห้วลิ่งกับคนอื่นในตระกูลเซี่ยโห้ว


“ข้าจำเป็นต้องเทียบเขากับตระกูลอื่นด้วยเหรอ?” เซี่ยโห้วท่าพูดเหยียดหยาม หันตัวไปมองต้นไม้ใหญ่ที่สูงระฟ้า แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจ “สมองและความสามารถของเจ้ารองนั้นไม่ต้องพูดถึงเลยจริงๆ ตามหลักแล้วการมี ‘ความมั่นใจ’ กับ ‘ความเด็ดขาด’ ก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร มีคุณสมบัติด้านที่ผู้ชายควรจะมีก็เป็นเรื่องดีอยู่แล้ว ถ้าเปลี่ยนให้เจ้ารองไปอยู่ตระกูลอื่น ก็ล้วนเป็นความหวังที่จะสร้างความรุ่งเรืองของตระกูลทั้งนั้น แต่ ‘ความมั่นใจ’ กับ ‘ความเด็ดขาด’ ส่วนนี้ ถ้าอยู่ที่ตระกูลเซี่ยโห้วกลับไม่ใช่เรื่องดี เจ้ารู้มั้ยว่าเพราะอะไร?”


เว่ยซูแกล้งโง่ “ไม่ทราบขอรับ” ที่จริงบิดาเคยบอกเขาไว้นานแล้ว


เพียงท่าทีของเขาที่ดูเหมือนไม่อยากเข้ามาเกี่ยวข้องกลับทำให้เซี่ยโห้วท่ายิ้มบางๆ เรียกได้ว่าค่อนข้างพอใจ ไม่ว่าจะแกล้งโง่หรือไม่ แต่อย่างน้อยเว่ยซูก็เข้าใจว่าเรื่องอะไรที่ไม่ควรสอดมือเข้ามายุ่ง ทำแบบนี้ถูกต้องแล้ว คำถามนี้เป็นการทดสอบและสั่งสอนเว่ยซู


“ตระกูลเซี่ยโห้วของข้าไม่มีความสามารถที่จะครองใต้หล้างั้นหรือ? ตระกูลเซี่ยโห้วปลุกปั้นประมุขมาหลายยุค ไม่มีความสามารถที่จะครองใต้หล้าเหรอ? ที่จริงพ่อเจ้าเริ่มติดตามรับใช้พ่อข้า แล้วค่อยติดตามข้าอีกที ในใจข้าเข้าใจดี ว่าอาศัยศักยภาพของตระกูลเซี่ยโห้วนั้นทำได้แน่นอน เพียงแค่ไม่อยากทำเท่านั้นเอง เหตุใดจึงไม่อยากครองใต้หล้าน่ะเหรอ? เพราะถ้าไปอยู่ในตำแหน่งนั้นจริงๆ ทุกอย่างก็จะถูกแสดงอยู่ในที่แจ้ง แล้วพวกเบื้องล่างที่กุมอำนาจไว้ในมือจะยอมก้มหน้าไม่เห็นแสงตะวันได้เหรอ? พวกเขาจะรู้สึกว่าลำบากทำงานมาหลายปี ก็ควรถึงเวลาได้รับรางวัลตามผลงานได้แล้ว ถ้าเจ้าทำให้พวกเขาพอใจไม่ได้ ในใจพวกเขาก็จะคับแค้น ไม่ว่าใครก็อยากเดินขึ้นไปแสดงตัวอยู่หน้าเวทีให้มีหน้ามีตากันทั้งนั้น หวังจะบีบบังคับ ถึงตอนนั้นใจคนก็จะวุ่นวายแล้ว ถ้ามีเป้าหมายโจมตีอยู่ในที่แจ้ง ใครจะยอมใครได้ล่ะ? แถมรากฐานที่ตั้งมั่นมายาวนานของตระกูลเซี่ยโห้วก็จะปั่นป่วนด้วย” พอพูดถึงตรงนี้ เซี่ยโห้วท่าก็เงยหน้าถอนหายใจยาวอีก แล้วหันตัวมาบอกเว่ยซูด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะเล่านิทานเรื่องหนึ่งให้เจ้าฟังแล้วกัน”

 

 

 


บทที่ 1686 เขาบอกว่าเขาไม่รู้

 

นิทาน? เว่ยซูงงทันที ในดวงตาสื่อแววสงสัย


พอเห็นเขาออกอาการอย่างนั้น เซี่ยโห้วท่าก็กล่าวกลั้วหัวเราะ “นิทานเรื่องนี้แม้แต่บิดาของเจ้าก็ไม่เคยได้ยิน แต่กลับเปลี่ยนแปลงชะตาของตระกูลเซี่ยโห้วไปแล้ว ลิขิตให้ข้านำพาตระกูลเซี่ยโห้วเดินมาตามทิศทางเหมือนอย่างทุกวันนี้”


ยังมีเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่และสำคัญขนาดนี้อยู่ด้วยเหรอ? เว่ยซูทำตัวเคารพนอบน้อมทันที โค้งตัวเล็กน้อย แสดงออกว่าจะตั้งใจฟัง


เซี่ยโห้วท่าเดินมาตรงหน้าต้นไม้แล้วลูบไล้กิ่งไม้หยาบ ทำสีหน้านึกย้อนถึงอดีต พร้อมกล่าวช้าๆ “ตอนนั้นที่บิดาผู้ล่วงลับยังอยู่ ข้าต้องใช้เวลาว่างท่องเที่ยงหาประสบการณ์ในใต้หล้า หาประสบการณ์ที่โลกมนุษย์อันแสนอนิจจังโดยใช้ฐานะมนุษย์ธรรมดา บังเอิญเจอหลายแคว้นกำลังทำศึกกัน รู้สึกว่าน่าสนใจ ก็เลยใช้ฐานะที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์ไปเป็นนายทหารผู้ช่วยในกองบัญชาการให้แคว้นนั้น ตอนนั้นแคว้นที่ข้าเข้าไปมีสถานการณ์อ่อนแอ ถูกทัพใหญ่ของแคว้นที่แข็งแกร่งบุกประชิดพรมแดน ทุกคนของแคว้นอ่อนแอหวาดหวั่นไม่สงบใจ เนื่องจากไม่มีโอกาสชนะ ยามเจอภัยคุกคามถึงชีวิตและครอบครัว ขุนนางส่วนใหญ่ในราชสำนักล้วนแนะนำให้กษัตริย์ยอมแพ้ ทว่ามีคนหนึ่งที่โน้มน้าวให้กษัตริย์ต่อต้านจนถึงที่สุด เขาบอกว่า หากขุนนางของพวกเรายอมแพ้ก็ยังสามารถกลายเป็นขุนนางของคนอื่นได้ สามารถอาศัยความสามารถเพื่อรับตำแหน่งขุนนางที่อื่น ยังมีโอกาสเลื่อนขั้นกลับมาเป็นขุนนางใหญ่ได้อีกครั้ง แต่ถ้ากษัตริย์ยอมแพ้ ก็จะถูกแต่งตั้งให้เป็นแค่โหว ทั้งยังเป็นแต่ในนาม ได้เกี้ยวหลังเดียว ได้ม้าตัวเดียว องครักษ์มีเพียงไม่กี่คน ทั้งยังไม่ยั่งยืน! ขุนนางล้วนยอมแพ้ได้ เพราะสามารถรักษาเกียรติยศความร่ำรวยไว้ได้ แต่กษัตริย์ที่ละทิ้งบ้านเมืองจะมีจุดจบเป็นอย่างไรล่ะ? เมื่อได้ยินคำถามนี้ กษัตริย์องค์นั้นถึงได้ตั้งปณิธานต่อต้านจนถึงที่สุด!” พอพูดถึงตรงนี้ เขาก็หยุดแล้ว


เว่ยซูที่ตั้งใจฟังเงยหน้าขณะกำลังครุ่นคิด ถามว่า “สุดท้ายจุดจบของแคว้นอ่อนแอเป็นยังไงขอรับ?”


“สำคัญด้วยเหรอ? ที่สำคัญคือคำพูดโน้มน้าวของขุนนางนั่นมีเหตุผล ทำให้ข้าตื่นรู้ในฉับพลันเช่นกัน ผู้ที่ยืนอยู่ในจุดสูงสุด มักจะเป็นคนแรกที่แบกรับลมฝน ขุนเขาที่สูงใหญ่ หากรากฐานถล่มลงแล้ว ยอดเขาก็จะถล่มตามลงมาด้วย แต่ถ้ายอดเขาถล่มลงมา ฐานอาจจะไม่ได้ล้มด้วยเสมอไป จากนั้นตระกูลเซี่ยโห้วเดินในเส้นทางไหน เจ้าเองก็รู้ พระปีศาจหนานโปล้มแล้ว เด็กชายหกลัทธิขึ้นจุดสูงสุด หลังจากเด็กชายหกลัทธิล้มลง ชิง พุทธะ ไป๋ ก็เป็นประมุข เมื่อไป๋แตกสลาย ชิงกับพุทธะก็ครองใต้หล้าร่วมกัน ประมุขแต่ละยุคผ่านความรุ่งเรืองตกต่ำ ถึงแม้ตระกูลเซี่ยโห้วจะอยู่ใต้คนอื่นมาตลอด แต่มีเพียงตระกูลเซี่ยโห้วที่รุ่งเรืองยาวนาน!” เซี่ยโห้วท่าทำสีหน้าภูมิใจอยู่หลายส่วน แล้วก็ถามเองตอบเองอีก “หากมีวันใดที่ชิงกับพุทธะล้มลงล่ะ? ในมือตระกูลเซี่ยโห้วบีบผลประโยชน์ที่แท้จริงเอาไว้ จำเป็นต้องไปเป็นไม้ขื่อที่ผุก่อนด้วยหรือ ต้องอยู่ในเส้นทางเหมือนที่เคยเป็นมา ถึงจะคงอยู่อย่างยาวนาน!”


เว่ยซูพยักหน้าเบาๆ แล้วก็กล่าวอย่างไม่ค่อยเข้าใจว่า “แล้วเหตุใดเรื่องราชินีสวรรค์มีทายาท นายท่านถึง…” พอพูดไปได้เครึ่งหนึ่งก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสม จึงเงียบไว้


เซี่ยโห้วท่ากลับหัวเราะเบาๆ แล้วช่วยพูดแทนเขา “เหตุใดจึงตั้งใจขนาดนี้ใช่มั้ย?”


เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ถือสา เว่ยซูจึงพยักหน้าอีกครั้ง “อย่างน้อยในสายตาคนนอกที่มองมา ตระกูลเซี่ยโห้วก็อยากจะสนับสนุนหลานนอกในอนาคต เพื่อให้สะดวก…” เขาลังเลนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็พูดออกมา “เพื่อให้สะดวกต่อการถือไพ่เหนือใต้หล้า!”


เซี่ยโห้วท่าโบกมือ “ผิดแล้ว! ครั้งก่อนเจ้าถามว่าทำไมเจ้ารองไม่ให้ผู้หญิงฉลาดของตระกูลเซี่ยโห้วเข้าวังไปเป็นราชินี เจ้ารองบอกว่าจะได้ควบคุมได้ง่ายๆ หึหึ!”


“หรือว่าคุณชายรองพูดผิดไปขอรับ?” เว่ยซูแปลกใจ


เซี่ยโห้วท่าส่ายหน้าเบาๆ “ผิดน่ะไม่ผิดหรอก เพียงแต่เป็นมุมมองด้านเดียวของตัวเอง ที่จริงเรื่องสำคัญกว่านั้นก็คือไม่อยากให้ประมุขชิงได้แต่งงานกับภรรยาที่ฉลาด คนที่ยืนอยู่ในจุดสูงสุดนั้นถูกบังตาได้ง่ายที่สุด คนในใต้หล้าล้วนกลัวเขา ดังนั้นใต้หล้าล้วนหลอกลวงเขาเช่นกัน หากประมุขชิงได้ภรรยาฉลาด หากข้างกายมีราชินีสวรรค์ที่ฐานะเทียบเท่ากับเขา ทั้งยังแยกแยะถูกผิดได้ชัดเจน พูดอะไรก็ทำให้เขาเชื่อฟังได้ ถึงขนาดน่ากลัวว่ากองทัพองครักษ์ในมือเขาด้วยซ้ำ สำหรับตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว นั่นไม่ใช่เรื่องดีอะไร ดังนั้นตอนแรกที่ตำหนักสวรรค์ก่อตั้งขึ้น ตระกูลเซี่ยโห้วก็ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะเอาตำแหน่งนั้นมาให้ได้ ที่ช่วยให้เฉิงอวี่นั่งตำแหน่งราชินีได้อย่างมั่นคงก็เพราะสาเหตุนี้เช่นกัน ส่วนเรื่องมีทายาท หึหึ ตระกูลเซี่ยโห้วคิดจะอาศัยการควบคุมหลานนอกเพื่อมาควบคุมใต้หล้างั้นเหรอ?


ประมุขชิงไม่ได้โง่ เพียงตกอยู่ในความสับสนวุ่นวายแล้วถูกเบื้องล่างทำให้เลอะเลือนก็เท่านั้นเอง เจ้าคิดว่าประมุขชิงโง่จริงเหรอ คิดว่าไม่เตรียมพร้อมป้องกันเหรอ? นี่เป็นเพียงอุปสรรคทางสายตาที่ตระกูลเซี่ยโห้วหลอกลวงประมุขชิงกับคนในใต้หล้าก็เท่านั้นเอง เป็นวิธีการรุกสองก้าวถอยหนึ่งก้าว ถึงตอนนั้นตระกูลเซี่ยโห้วยอมถอยและเลิกควบคุมหลานนอก แต่เปลี่ยนไปเลือกผู้หญิงมาเป็นภรรยาในนามให้หลานนอกแทน ไม่ว่าจะเป็นประมุขชิง หลานนอกคนนั้น เฉิงอวี่หรือขุนนางในราชสำนัก เจ้าคิดว่าพวกเขาจะตอบตกลงหรือไม่ล่ะ? ทุกคนล้วนตกลงและเห็นด้วยกับผู้ที่ถูกเลือกมา เช่นนั้นก็จะได้รับตำแหน่งราชินีสวรรค์คนต่อไปอย่างชอบธรรม เหตุผลที่เลือกภรรยาให้หลานนอกคนนั้น ก็เหมือนกับเหตุผลที่ส่งเฉิงอวี่เข้าวัง ถึงแม้ตระกูลเซี่ยโห้วจะไม่อยากออกหน้า แต่ก็ต้องรักษาตำแหน่งนี้เอาไว้ แล้วจะไม่วางแผนระยะยาวได้อย่างไรล่ะ? ผู้ที่ไม่วางแผนรอบด้าน มิอาจปกครองดินแดน ผู้ที่ไม่ได้ผ่านมาหลายยุค มิอาจวางแผนเรื่องตรงหน้าได้”


เว่ยซูฟังจนทอดถอนใจด้วยความตกตะลึง ในใจกำลังคิดว่า ไม่แปลกใจที่นายท่านสามารถนำตระกูลเซี่ยโห้วเดินมาถึงทุกวันนี้ได้


“ที่พูดเรื่องพวกนี้กับเจ้า ก็เพราะหวังว่าตอนที่เจ้าสนับสนุนหัวหน้าตระกูลคนใหม่ในอนาคต…” พอพูดถึงตรงนี้ เซี่ยโห้วท่าก็ชะงักอีก แล้วโบกมืออย่างโศกเศร้าเล็กน้อย ไม่ได้พูดต่ออีก จากนั้นหันตัวมาหาเขา “นี่ก็คือจุดที่ทำให้ข้ากังวลในความ ‘ความมั่นใจ’ กับ ‘ความเด็ดขาด’ ของเจ้ารอง เขาอาจจะไม่อดทนวางแผนรออะไรนานๆ ได้ หากในอนาคตเขารับช่วงต่อตระกูลเซี่ยโห้ว เข้าใจเส้นสนกลในของตระกูลเซี่ยโห้วอย่างถึงแก่น มีกำลังอยู่ในมือ ข้ากังวลว่าเขาจะยังจะควบคุมตัวเองให้ทำใจยอมตามหลังคนอื่นได้หรือเปล่า”


เว่ยซูเงียบงันไม่พูดอะไร แต่แอบถามในใจว่า กังวลแล้วจะมีประโยชน์อะไรล่ะ ท่านก็ต้องเลือกไม่ใช่เหรอ? ถ้าเปลี่ยนให้คนความสามารถพื้นๆ มาดูแลยักษ์ใหญ่อย่างตระกูลเซี่ยโห้ว เกรงว่าท่านคงจะกังวลยิ่งกว่า


เซี่ยโห้วท่าจ้องเขาครู่หนึ่ง “ข้าเพิ่งเล่านิทานให้เจ้าฟัง วันหลังเจ้าลองเปลี่ยนวิธีการเล่าให้เจ้ารองฟังสักหน่อย หวังว่าเขาจะเข้าใจมากกว่านี้”


“เหตุใดนายท่านไม่เล่าให้คุณชายรองฟังต่อหน้าขอรับ?” เว่ยซูถามอย่างลังเล


เซี่ยโห้วท่าส่ายหน้า “ไม่ใช่เด็กสามขวบเสียหน่อย ปีกกล้าขาแข็งแล้ว มาสั่งสอนตอนนี้อีกก็สายไปแล้ว คนเราบางครั้งก็แปลกอย่างนี้ หลักการของครอบครัวอาจจะไม่เชื่อฟัง บางทีอาจฟังคำพูดของคนนอกยิ่งกว่า เจ้าลองดูก็แล้วกัน”


“ขอรับ!” เว่ยซูเอ่ยรับ แล้วอยู่เป็นเพื่อเซี่ยโห้วท่าเงียบๆ อีกสักพัก


ในตอนนี้ จู่ๆ ก็มีระฆังดาราส่งข่าวมา ไม่ได้มาจากตระกูลเดียวเท่านั้น สองบ้านแทบจะส่งข่าวมาพร้อมกัน รอจนรับมือเสร็จไปบ้านหนึ่ง ก็มีส่งข่าวมาอีกสองบ้าน


หลังจากรับมือเสร็จหมดแล้ว เว่ยซูก็กล่าวอย่างเคารพ “ถังเฮ่อเหนียน จั่วเอ๋อร์ ซูอวิ้น โกวเยว่ พวกเขาส่งข้อความมาถามถึงสถานการณ์ของกำลังพลของพวกเราที่ไปน้ำพุวังเวง!”


“เหอะๆ!” เซี่ยโห้วท่ารู้สึกบันเทิง หรี่ตาพูดหยอกล้อว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะรู้สถานการณ์อย่างอื่นล่วงหน้านิดหน่อย…แม้แต่พวกเราเองก็แทบจะถูกปิดบังไปด้วยแล้ว มีความเป็นไปได้สูงว่าทางประมุขชิงจะยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องขึ้น เรื่องนี้น่าสนใจแล้ว แต่ละคนช่างเลอะเลือน”


เขาหันกลับมากำชับอีกว่า “ต่อให้กวาดล้างแต่ก็ไม่มีทางกวาดล้างได้หมดทั้งน้ำพุวังเวงชั้นห้า น่าจะกวาดล้างแค่เขตการต่อสู้ มีคนปรากฏตัวมากขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้ที่ข้างนอกจะไม่มีคนเห็นเลย ส่งคนไปตรวจสอบ ดูว่าจะหาพยานได้หรือไม่ อย่างน้อยก็ทำความเข้าใจกับสภาพของคนกลุ่มสุดท้ายที่ปรากฏตัวได้”


“ขอรับ!” เว่ยซูหยิบระฆังดารออกมาจัดการทันที


จวนอ๋องสรรค์โค่ว ในเขตลับด้านใน โค่วเจิงกับถังเฮ่อเหนียนยังคงถือระฆังดาราติดต่อกับภายนอก ส่วนโค่วหลิงซวีเอามือไขว้หลังมองไปนอกประตู สีหน้าขรึมเครียด


หลังจากถังเฮ่อเหนียนวางระฆังดาราแล้ว ก็ถามเสียงต่ำว่า “ทางตระกูลเซี่ยโห้วก็บอกว่าไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึกเช่นกัน แต่ตอนที่คนของพวกเขาพบว่าเกิดเรื่องขึ้น ก็เป็นตอนที่ไปถึงที่เกิดเหตุแล้ว ตอนนี้กำลังตรวจสอบที่เกิดเหตุ ตระกูลเซี่ยโห้วยังถามพวกเราด้วยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”


หลังจากโค่วเจิงวางระฆังดาราในมือ โค่วหลิงซวีก็หันกลับมาถามอีก “ยังติดต่อไม่ได้อีกเหรอ?”


โค่วเจิงเม้มริมฝีปากแน่น แล้วตอบว่า “เหวินไป๋ขาดการติดต่อไปแล้ว เป็นตายไม่รู้ ให้ลูกน้องติดต่อกำลังพลที่ออกล่าซ้ำหลายครั้ง พบว่าโค่วหู่กับคนอื่นๆ ก็เป็นเหมือนกัน ถูกตัดขาดการติดต่อไปแล้ว ทุกคนเป็นตายไม่ทราบแน่ชัด!”


ถังเฮ่อเหนียนหยิบระฆังดาราออกมาถามตอบอีกหลายครั้ง ไม่ง่ายเลยกว่ามือจะว่าง แล้วตอบอย่างกังวลนิดหน่อยว่า “บรรดาจอมพลและเทพประจำดาวก็กำลังไล่ถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น”


โค่วหลิงซวีทำสีหน้าเรียบเฉยอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็กล่าวอย่างไม่ลังเล “ติดต่อหนิวโหย่วเต๋อ ถามให้ชัดเจน!”


ก่อนหน้านี้ไม่ยอมติดต่อเหมียวอี้เลย อยากจะแกล้งโง่ แต่ตอนนี้ในที่สุดก็ทนไม่ไหวแล้ว


เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว โค่วเจิงก็รีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้ ในใจกระวนกระวายมาก ไม่ให้ร้อนใจไม่ได้หรอก อาจจะเกิดเรื่องกับลูกชายเพียงคนเดียวของเขาแล้วก็ได้


ผลปรากฏว่าตอนที่โค่วเจิงกำลังติดต่อ สีหน้าก็แปลกประหลาดมาก เดี๋ยวโมโห เดี๋ยวงุนงง เด๋วเหม่อลอย แสดงปฏิกิริยาต่างๆ ออกมาทีละอย่าง


โค่วหลิวซวีกับถังเฮ่อเหนียนจ้องปฏิกิริยาของเขาไม่ละสายตา ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาถามได้คำตอบอะไร อย่างไรเสียนี่ก็เป็นสีหน้าที่ซับซ้อนมาก


ไม่ง่ายเลยกว่าจะรอให้โค่วเจิงติดต่อเสร็จ ท่ามกลางสายตาที่เฝ้าคอยของทั้งสอง โค่วเจิงตอบด้วยสีหน้าทบทวน “หนิวโหย่วเต๋อบอกว่าเขาก็ไม่เข้าใจชัดเจนว่าเรื่องเป็นยังไง”


“อะไรที่เรียกว่าไม่เข้าใจชัดเจน? เป็นเขาที่เลอะเลือนหรือเป็นเจ้าที่เลอะเลือน?” โค่วหลิงซวีโมโหแล้ว


“เขาบอกว่าไม่รู้ว่าที่น้ำพุวังเวงชั้นห้ามีการเข่นฆ่ากันอย่างดุเดือด ข้าถามเขาว่ารู้ที่อยู่ของพวกเหวินไป๋หรือเปล่า เขากลับถามข้าว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น” โค่วเจิงตอบ


โค่วหลิงซวีรู้สึกบันเทิงแล้ว โมโหจนหัวเราะประชด “เขาคิดว่าคนของตระกูลโค่วที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีโง่กันหมดหรือไง เขากล้าพูดมั้ยว่าเขาไม่ได้ไปน้ำพุวังเวง?”


โค่วเจิงตอบว่า “เขาบอกว่าเขาไปแล้ว แต่ไม่ได้เข้าน้ำพุวังเวง แค่รออยู่นอกน้ำพุวังเวงเท่านั้น หลังจากจับอิ๋งหยางได้แล้ว ก็กลับทันที ตอนนี้อยู่ระหว่างทางกลับจวนแม่ทัพภาคตลาดผี”


“ช่างน่าขัน! เขาไม่ได้ไปน้ำพุวังเวงชั้นห้า แล้วจับตัวอิ๋งหยางได้ยังไง?” ถังเฮ่อเหนียนถาม


โค่วเจิงตอบว่า “เขาบอกว่าเจ้าไม่ได้จับเอง เขาทำข้อตกลงกับคนไว้นิดหน่อย มีคนช่วยจับให้เขา เขาแค่รออยู่นอกน้ำพุวังเวง หลังจากมีคนส่งอิ๋งหยางมาให้เขาแล้ว เขาก็กลับตลาดผีทันที ส่วนเรื่องที่น้ำพุวังเวงชั้นห้าอะไรนั่น เขาก็ไม่รู้เรื่องเลย กลับถามข้าด้วยซ้ำว่าทำไมข้าถึงถามที่อยู่ของพวกเหวินไป๋”


โค่วหลิงซวีกับถังเฮ่อเหนียนสบตากันแวบหนึ่ง ในที่สุดก็ทำสีหน้าเหมือนจับเบาะแสได้แล้ว ถังเฮ่อเหนียนซักไซ้ “เป็นใครกันที่จับอิ๋งหยางมาให้เขา?”


โค่วเจิงตอบว่า “เขาอิดออดไม่ยอมบอก ข้ากดดันถามเขาซ้ำๆ เขาถึงได้ยอมคายออกมาว่าร่วมมือกับคนฝั่งแดนพุทธ เป็นคนฝั่งแดนพุทธที่ช่วยจับให้เขา พอข้าถามว่าเป็นใครของฝั่งแดนพุทธ เขาก็บอกว่าถ้าเกิดเรื่องอะไรก็จะรับไว้คนเดียว ไม่ทำให้ตระกูลโค่วลำบากไปด้วยแน่นอน จะเป็นจะตายก็ไม่ยอมบอก ไม่น่าเชื่อว่าจะตัดสายข้าไปแล้ว”


หลังจากถามอยู่นานจนได้คำตอบพวกนี้ โค่วหลิงซวีกับถังเฮ่อเหนียนก็แทบประสาทเสีย ถึงแม้เกือบจะเดาออกแล้วว่าคนที่เหมียวอี้ร่วมงานด้วยคือสำนักหลัวช่า แต่ถ้าจะบอกว่าสำนักหลัวช่าสามารถโผล่มาตอนสุดท้ายแล้วตัดขาดการติดต่อของสถานที่เกิดเหตุได้ในรวดเดียว รายละเอียดบางอย่างก็ทำให้คนอดสงสัยไม่ได้จริงๆ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าแน่ใจได้


“หึหึ!” โค่วหลิงซวีแสยะยิ้ม “เฒ่าถัง เจ้าคิดว่าคำพูดของเจ้าเด็กนั่นเชื่อถือได้กี่ส่วน?”


ถังเฮ่อเหนียนไตร่ตรองเล็กน้อย ก่อนจะตอบว่า “เกรงว่าอาจจะจริง ก่อนหน้านี้พวกเราเดากันว่าเขามีที่พึ่งอะไรถึงกล้าลงมือกับกำลังพลของตระกูลอิ๋ง กังวลว่าเขาจะยืมมือคนอื่นมาช่วยให้บรรลุเป้าหมาย มีความเป็นไปได้สูงว่าหลบอยู่นอกน้ำพุวังเวง อีกทั้งในที่เกิดเหตุก็ต่อสู้กันดุเดือดขนาดนั้น ด้วยวรยุทธ์อย่างเขาไม่น่าจะลงสนามเองได้ ถ้าไม่ได้ดูอยู่ข้างๆ ก็อาจจะไม่ได้เข้าไปในน้ำพุวังเวง เมื่อดูจากเบาะแสต่างๆ เขาเองก็แอบสมคบกับคนของสำนักพุทธจริง ลองคิดในทางกลับกัน ในเมื่อมียอดฝีมือออกหน้าแก้ไขปัญหาให้แล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องเข้าไปเสี่ยงในน้ำพุวังเวง โดยเฉพาะการโผล่หน้าพร้อมกับคนสำนักพุทธ ก็ยังต้องกังวลผลกระทบอยู่บ้าง ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงว่าเขาไม่ได้เข้าน้ำพุวังเวงขอรับ!”

 

 

 


บทที่ 1687 แปลกเกินไปแล้ว

 

ถึงแม้จะกล่าวอย่างนี้ โค่วหลิงซวีก็พยักหน้าเห็นด้วยแล้ว แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยให้เหมียวอี้หลอกตบตาจนเลอะเลือน เขาหันกลับมากำชับโค่วเจิง “เจ้าไปที่ตลาดผีด้วยตัวเองสักรอบ ไปถามเขาต่อหน้าให้รู้เรื่อง ต้องทำให้เขาคายความจริงออกมาให้ได้”


“ขอรับ!” โค่วเจิงกุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง แล้วหันตัวเดินออกไป


เมื่อออกจากสวนมาแล้ว เขากลับไม่ได้รีบจากไปทันที แต่มารออยู่ในตึกศาลาที่อยู่ไม่ไกลนอกเรือนอวิ๋นเซวียน


หลังจากรอได้ครู่หนึ่ง สุยฉูฉู่กับอวิ๋นจือชิวพูดคุยยิ้มแย้มพลางเดินออกมาจากเรือนอวิ๋นเซวียน เห็นได้ชัดว่าอวิ๋นจือชิวเดินออกนอกประตูมาส่งแขก


หลังจากแยกกัน สุยฉูฉู่ก็เดินกลับไป แต่ถูกคนดักไว้กลางทาง เชิญให้เข้าไปในศาลาหลังนั้น


พอสองสามีภรรยาเจอหน้ากัน ยังไม่ทันได้ทักทาย โค่วเจิงก็ถามทันทีว่า “สังเกตเห็นความผิดปกติอะไรจากเจ้าเจ็ดมั้ย?”


สุยฉูฉู่ยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นกับลูกชายตัวเองแล้ว เดิมทีก็มีเรื่องมากมายที่ตระกูลโค่วปิดบังผู้หญิง นางเองก็ได้รับข่าวจากโค่วเจิง ถึงได้มาหยั่งเชิงอวิ๋นจือชิว นางส่ายหน้า แล้วขมวดคิ้วตอบว่า “เป็นเรื่องปกติมาก ไม่ต่างอะไรจากปกติเลย ทั้งยังมอบเครื่องประดับชุดใหม่ให้ข้าด้วย ทำไมเหรอ เจ้าเจ็ดมีปัญหาอะไรเหรอ?”


“ไม่มีอะไร ข้ามีธุระต้องออกไปข้างนอก อยู่เป็นเพื่อนเจ้าไม่ได้แล้ว” โค่วเจิงยิ้มกลบเกลื่อน ยังคงปิดบังเรื่องลูกชาย


สุยฉูฉู่ก็กล่าวอำลาเช่นกัน ปกตินางไม่เข้ามาแทรกแซงงานในตระกูลโค่วอยู่แล้ว


รอจนกระทั่งนางเดินออกไปไกล โค่วเจิงก็จ้องเรือนอวิ๋นเซวียนครู่พักหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ตั้งแต่นี้ไป ไม่ว่าใครจะออกจากเรือนอวิ๋นเซวียนก็ต้องรายงานให้พ่อบ้านถังรู้ จับตาดูไว้ให้ดี!”


“ขอรับ!”ลูกน้องข้างหลังเอ่ยรับคำสั่ง


จวนอ๋องสวรรค์ฮ่าว ฮ่าวเต๋อฟางที่อยู่ระหว่างตึกศาลามีสีหน้าจริงจัง กำลังยืนพิงรั้วอยู่คนเดียว


ซูอวิ้นกำลังสั่งงานด่วนกับกลุ่มลูกน้องอยู่ชั้นล่าง หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็ขึ้นมา นางเดินมาข้างหลังฮ่าวเต๋อฟางแล้วรายงานว่า “ตระกูลเซี่ยโห้วก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกันค่ะ แต่กำลังพลออกล่าที่ได้ข่าวรีบไปตรวจสอบที่เกิดเหตุแล้ว”


เพี้ยะ! ฮ่าวเต๋อฟางใช้ฝ่ามือตีระเบียง แล้วกล่าวอย่างแข็งกร้าว “ข้าไม่เชื่อหรอกว่ารอบๆ สถานที่เกิดเหตุจะไม่มีพยานเลยสักคน ส่งคนไปหา”


“ส่งคนไปแล้วค่ะ” ซูอวิ้นตอบ


ฮ่าวเต๋อฟางบอกว่า “สำนักหลัวช่ามีเจตนาอะไรกับตระกูลอิ๋งกันแน่? ตอนนี้ข้าอยากรู้ว่าว่าการลงมือครั้งนี้หนิวโหย่วเต๋อกับสำนักหลัวช่าเกี่ยวข้องกันหรือไม่? ถ้าเกี่ยวข้อง ทำไมไปรวมกันอยู่ได้? รวมกันเละเทะเป็นก้อนกาก กลายเป็นอย่างนี้โดยไม่รู้สาเหตุ เล่นบ้าอะไรกันอยู่?” ในคำพูดเจือด้วยไฟโกรธหลายส่วน เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจเป็นอย่างมากต่อเรื่องในครั้งนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะคนตรงหน้าเป็นซูอวิ้น คาดว่าเขาคงตำหนิไปแล้วว่าเจ้าทำงานอย่างไร


ซูอวิ้นเข้าใจความรู้สึกเขา แดนพุทธเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แล้ว แต่กลับไม่รู้ชัดว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรกันแน่ แปลกประหลาดจริงๆ นางพยายามพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ส่งคนไปตรวจสอบแล้วค่ะ จะให้ติดต่อไปถามสำนักหลัวช่าโดยตรงเลยมั้ย?”


ฮ่าวเต๋อฟางเหมือนจะตระหนักได้ว่าตัวเองเสียอาการ จึงหันตัวมา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “ตอนนี้เรื่องราวเป็นยังไงก็ยังไม่รู้ จะให้ถามอะไรล่ะ? ถามสำนักหลัวช่าเหรอว่าสู้กับตระกูลอิ๋งทำไม? หรือจะบอกอีกฝ่ายว่าพวกเรากับตระกูลอิ๋งร่วมมือกันสู้กับสำนักหลัวช่า? มิหนำซ้ำถ้าจะพาพวกไปเอาเรื่อง ก็ต้องให้สี่ตระกูลทำร่วมกัน ถ้ายังปรึกษากันไม่เรียบร้อย การให้ตระกูลฮ่าวของข้าออกหน้าสำรวจทางฝ่ายเดียวนั้นไม่เหมาะสม!”


จวนอ๋องสวรรค์ก่วง ในป่าภูเขาที่งดงามมีระดับ ก่วงลิ่งกงกันหวังเฟยเม่ยเหนียงไว้ชั่วคราว แล้วคุยกับพวกโกวเยว่ด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก


เม่ยเหนียงหลบไปยืนอยู่ไม่ไกล ก่อนหน้านี้นางได้ยินสถานการณ์คร่าวๆ แล้ว ส่วนขั้นต่อไปจะแก้ไขปัญหาและดำเนินการอย่างไร ก่วงลิ่งกงกลับให้นางหลบไปก่อน


แต่สิ่งที่ได้ยินก่อนหน้านี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เม่ยเหนียงชื่นมื่นในความทุกข์ของคนอื่นแล้ว นางพอจะฟังเข้าใจความหมายคร่าวๆ ว่ากำลังพลที่ออกล่าสัตว์จบเห่แล้ว ตอนนี้ติดต่อไม่ได้แล้ว แม้แต่ก่วงเซิ่งก็ยังไม่รู้ชัดว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน เป็นไปได้ก้าวในสิบว่าจะมีเคราะห์มากกว่ามีโชค


ผู้ชายกลุ่มนี้กำลังปรึกษาอะไรกันอยู่ นางไม่มีสิทธิ์เข้าไปแทรกแซง นางสะบัดแขนเสื้อเบาๆ เดินลากกระโปรงยาวเนิบนาบ เรือนนางอ่อนช้อยเย้ายวน เดินมาถึงไหล่เขาแล้วชื่นชมทิวทัศน์งดงามที่อยู่ไกลๆ ด้วยสีหน้าผ่อนคลาย แต่ในใจกลับยิ้มเย้ย นางเหม็นขี้หน้าเจ้าก่วงเซิ่งนั่นมาตั้งนานแล้ว อาศัยว่าตัวเองเป็นลูกชายคนโต จึงไม่เห็นหัวนางกับลูกสาวเลยสักนิด ถึงแม้การกระทำภายนอกจะไม่มีเจตนาร้าย แต่สายตาเหยียดหยามที่มองพวกนางสองแม่ลูกกลับปิดบังไม่ได้เลยสักนิด


ถ้าให้ก่วงเซิ่งรับตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลก่วงจริงๆ ถึงตอนนั้นก็ไม่รู้เลยว่าในอนาคตพวกนางสองแม่ลูกจะมีสภาพเป็นอย่างไร คิดไปคิดมาก็รู้สึกกระวนกระวายใจ


ตอนนี้ดีแล้ว ดีไม่ดีอาจจะเอาชีวิตไม่รอดด้วยซ้ำ! เม่ยเหนียงเงยหน้ามองเมฆขาวบนท้องฟ้า มุมปากโค้งยิ้มเล็กน้อย วันนี้อากาศดีจริงๆ!


จวนอ๋องสวรรค์อิ๋ง ในตำหนักหลักของสวนด้านหลัง อิงอู๋หม่านได้แต่มองอิ๋งจิ่วกวงที่เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมา


ตรงตีนบันไดนอกตำหนัก หลังจากจั่วเอ๋อร์คุยกับคนกลุ่มหนึ่งได้สักพัก ก็รีบกลับเข้ามาในตำหนัก รายงานว่า “ท่านอ๋อง ตระกูลเซี่ยโห้วก็ไม่รู้สถานการณ์แน่ชัดเหมือนกัน กำลังพลออกล่าของเขากำลังตรวจสอบที่เกิดเหตุ คนของพวกเรารีบตามไปแล้วค่ะ”


อิ๋งจิ่วกวงหยุดเดิน แล้วมองมาด้วยสายตาคมกริบ “ตระกูลอื่นก็ติดต่อไม่ได้สักคนเลยเหรอ?”


จั่วเอ๋อร์พยักหน้า “ใช่แล้วค่ะ ตอนนี้ทุกคนของอีกสามตระกูลไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดียังไง มีเพียงนายน้อยหยางฝั่งพวกเราที่ติดต่อได้ แต่ยังไม่มีการตอบกลับ”


อิงอู๋หม่านกัลบแอบรู้สึกโชคดี พูดสอดว่า “ท่านพ่อ ถ้าเป็นแบบนี้ ลูกหยางโชคดีพ้นเคราะห์ ยังไม่ตาย ขอเพียงนำตัวลูกหยางกลับมาได้ ก็น่าจะรู้ความจริงในที่เกิดเหตุแล้ว” เขาหวังจะอาศัยอำนาจมหาศาลของตระกูลอิ๋งช่วยชีวิตลูกชายกลับมา


“พ้นเคราะห์บ้าอะไรล่ะ! ยอดฝีมือเยอะขนาดนั้นยังหนีไม่พ้น อย่าลูกชายเจ้าน่ะเหรอจะหนีพ้น?” อิ๋งจิ่วกวงกล่าวอย่างหยาบคาย เห็นได้ชัดว่าระบายไฟโกรธในใจ “เดิมทีข้าก็ยังสงสัยว่าหนิวโหย่วเต๋อดึงคนของสำนักหลัวช่าให้ลงมือได้ยังไง สงสัยว่าเข้าใจผิดไปหรือเปล่า ตอนนี้พอเห็นว่าเหลืออิ๋งหยางคนเดียวที่ไม่เป็นอะไร แสดงว่าเป้าหมายชัดเจนแล้ว ไม่ใช่ว่าพุ่งเป้ามาที่อิ๋งหยางหรอกเหรอ เรื่องนี้ไม่พ้นต้องเกี่ยวข้องกับหนิวโหย่วเต๋อนั่นจริงๆ ถ้าอิ๋งหยางตกอยู่ในมือหนิวโหย่วเต๋อแล้ว เจ้าคิดว่าหนิวโหย่วเต๋อจะปล่อยเขาไปได้เหรอ?”


บนใบหน้าอิงอู๋หม่านฉายแววดุร้าย กัดฟันบอกว่า “ข้าจะไปเอาตัวลูกกับหนิวโหย่วเต๋อที่ตลาดผีด้วยตัวเอง!”


“ช้าก่อน!” จั่วเอ๋อร์ยื่นมือขวาง บอกใบ้ว่าอย่ามะทะลุ แล้วถามกลับว่า “จะเป็นไปได้ยังไงที่สำนักหลัวช่าจะช่วยหนิวโหย่วเต๋อกำจัดอิ๋งหยาง? แล้วอีกอย่าง ถ้าหนิวโหย่วเต๋อต้องการจะฆ่าอิ๋งหยาง ทำไมถึงเก็บอิ๋งหยางไว้คนเดียวล่ะ? ไร้เหตุผลเกินไปจริงๆ! คุณชายใหญ่ไม่รู้สึกว่ามีเงื่อนงำหรือคะ?”


อิงอู๋หม่านทำสีหน้าไม่เข้าใจทันที เรื่องที่คนมากมายขนาดนั้นยังไม่เข้าใจ แล้วเขาจะรู้ได้อย่างไร


อิ๋งจิ่วกวงก็ปวดหัวเช่นกัน คิดจนหัวจะแตกแล้วแต่ก็ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรกันแน่ เรื่องที่เกิดขึ้นในการออกล่าที่น้ำพุวังเวงแปลกประหลาดจริงๆ วางกับดักไว้แล้วหนิวโหย่วเต๋อติดกับดักหรือไม่ก็ไม่รู้ ถึงอย่างไรก็ทำให้ตระกูลอิ๋งติดกับดักเองแล้ว ตอนนี้พวกจอมพล เทพประจำดาวที่อยู่ใต้สังกัดเขาล้วนรอฟังคำอธิบายจากเขา แต่ตอนนี้เขากำลังเลอะเลือน จะเอาอะไรไปอธิบายล่ะ?


เขาอยากจะส่งคนไปจับตัวหนิวโหย่วเต๋อที่ตลาดผีเสียเลย แต่นึกไม่ถึงว่าสำนักหลัวช่าจะใจกล้าคับฟ้าลงมือกับตระกูลอิ๋งในอาณาเขตตำหนักสวรรค์ เรื่องราวเกิดขึ้นกะทันหัน ไม่มีเค้าลางเลยแม้แต่น้อย ผิดปกติจริงๆ ไม่มีใครรู้ชัดถึงความหมายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง กอปรกับคนมากมายขนาดนั้นขาดการติดต่อไป ก็ยิ่งไม่ใช่เรื่องธรรมดา ไม่รู้ว่าได้รับอนุญาตอย่างลับๆ จากท่านนั้นของวังสวรรค์หรือเปล่า ถ้าหากใช่ แล้วท่านนั้นของวังสวรรค์คิดจะทำอะไรล่ะ? เมื่อตกอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ดวงตาดำมืดตัดสินอะไรไม่ได้ เขาก็ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามจริงๆ เพราะดีไม่ดีอาจจะกำลังสู้กับท่านนั้นของวังสวรรค์อยู่ก็ได้ ประมาทไม่ได้เด็ดขาด!


ถ้ากำลังสู้อยู่กับท่านนั้นของวังสวรรค์จริงๆ ถ้าแพ้ขึ้นมาก็อาจจะเกิดเหตุการณ์ต้นไม้ล้มลิงกระเจิงได้[1] เกียรติยศความร่ำรวยทุกอย่างก็จะหายไปหมดสิ้น ถ้าเปรียบเทียบกับสิ่งนี้ ชีวิตของอิ๋งหยางหรือชีวิตของกำลังพลพวกนั้น หรือแม้กระทั่งหนิวโหย่วเต๋อ ก็ล้วนไม่สำคัญเลย


ไม่ใช่แค่เขา ตระกูลอื่นๆ ก็ล้วนเป็นเช่นนี้ ตอนนี้ล้วนกำลังกดดันไปที่ตระกูลโค่ว หวังจะอาศัยความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลโค่วกับหนิวโหย่วเต๋อ ดูว่าจะสืบได้หรือไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรกันแน่


ตระกูลโค่วย่อมส่งโค่วเจิงไปทำความเข้าใจสถานการณ์ด้วยตัวเองแล้ว เรื่องนี้หนิวโหย่วเต๋อไม่มีสิทธิ์อธิบายอย่างไม่ซื่อสัตย์


ถึงแม้จะเป็นเช่นกัน แต่สี่อ๋องก็ไม่กล้าหย่อนยาน รีบสั่งให้กำลังพลแต่ละกลุ่มของตัวเองเตรียมพร้อมเฝ้าระวัง เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด ชั่วขณะนั้นทุกที่ของใต้หล้าล้วนเคลื่อนไหวกำลังพล กำลังพลจำนวนมากกำลังรวมตัวกัน หรือไม่ก็ยึดครองจุดยุทธศาสตร์ เตรียมพร้อมโจมตีได้ทุกเมื่อ!


แดนสุขาวดี วัดพุทธะหยก ในตำหนักใหญ่บนยอดเขา ศิษย์สำนักหลัวช่ากลุ่มหนึ่งกำลังถือระฆังดาราติดต่อกับภายนอกอย่างเร่งด่วน


อวี้หลัวช่า พุทธะหน้าหยกที่สวมชุดขาวดุจหิมะและดูบริสุทธิ์เหมือนสาวน้อย นากำลังยืนอยู่ต่อหน้าบรรดาศิษย์ด้วยสีหน้ามืดครึ้ม นิ่งเงียบไม่พูดจา


นางได้รับรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นที่น้ำพุวังเวงชั้นห้าแล้ว รู้แล้วว่าถูกตระกูลอิ๋งโจมตี แล้วตอนหลังก็ถูกกำลังพลของสี่อ๋องสวรรค์ร่วมมือกันโจมตีด้วย ฝั่งนางกำลังครุ่นคิดที่จะผลักความผิดไปให้ฝั่งตำหนักสวรรค์ แต่ใครจะคิดว่าจู่ๆ พวกเสวี่ยอวี้กลับขาดการติดต่อไป ตัดขาดอย่างกะทันหันมาก เรียกได้ว่าทำให้ฉุกละหุกทำอะไรไม่ถูก


นางเดาว่ากำลังคนของตัวเองตายหมดแล้ว นางเตรียมตัวที่จะตีฝีปากกับฝั่งตำหนักสวรรค์แล้ว


หลังจากบรรดาศิษย์ทยอยกันหยุดใช้ระฆังดาราในมือ อวี้หลัวช่าก็กล่าวเสียงเรียบว่า “ติดต่อไม่ได้สักคนเลยเหรอ?”


ศิษย์ทุกคนล้วนส่ายหน้า พวกนางต่างรู้สึกประหลาดใจ ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น


หลังจากอวี้หลัวช่าเงียบไปครู่หนึ่ง ก็ถามว่า “เม่ยจีศิษย์ของเสวี่ยอวี้นำลูกศิษย์ใหม่ระดับบงกชรุ้งติดตามข้างกายคนหนึ่ง นางชื่อว่าชางหง ถามข้างล่างดูหน่อยว่าใครสามารถติดต่อนางได้บ้าง?”


บรรดาศิษย์ไม่รู้ว่าทำไมนางถึงเอ่ยถามถึงลูกศิษย์บงกชรุ้งคนหนึ่งได้ แต่ก็ยังปฏิบัติตาม ใช้ระฆังดาราถามลูกศิษย์ระดับล่างทันที


มีชื่อมีแซ่แล้ว เวลาจะสืบขึ้นมาก็ไม่ยาก ผ่านไปไม่นาน ลูกศิษย์คนหนึ่งก็ให้คำตอบแล้วว่า “พุทธะหยก ข้างล่างติดต่อกับอาจารย์ของชางหงแล้ว หลังจากอาจารย์นางติดต่อไป ก็พบว่าติดต่อนางไม่ได้แล้ว ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”


“ขาดการติดต่อเหรอ?” อวี้หลัวช่าถามซักไซ้อย่างตระหนก


ศิษย์คนนั้นไม่รู้ว่าทำไมนางถึงมีปฏิกิริยามากขนาดนี้ พยักหน้าบอกว่า “ใช่ค่ะ ตอบมาแบบนี้”


บหน้างดงามสุภาพที่เดิมทียังไม่สะทกสะท้านของอวี้หลัวช่า ในตอนนี้บิดเบี้ยวเล็กน้อย ถ้าจำไม่ผิด ชางหงแอบไปเกลือกกลั้วกับลูกน้องคนสนิทของหนิวโหย่วเต๋อเพื่อสืบข่าวแล้ว เรื่องที่น้ำพุวังเวงครั้งนี้ ชางหงก็เป็นคนให้ข่าวมา แต่ชางหงไม่ได้ไปน้ำพุวังเวงเลย ทำไมถึงขาดการติดต่อตามไปด้วยล่ะ?


ชั่วพริบตานี้ ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าทำไมพวกเสวี่ยอวี้ถึงโดนโจมตีกะทันหัน นี่เป็นกับดัก! นางรู้ตัวแล้วว่ามีคนขุดหลุมให้นางกระโดดลงไปในนั้น!


“เจ้านั่งเฝ้าอยู่ที่นี่ก่อน” อวี้หลัวช่าชี้ไปยังลูกศิษย์คนหนึ่งที่อยู่ตรงหน้า จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ “คนที่เหลือตามข้ามา!”


ผ่านไปไม่นาน ในวัดพุทธะหยก คนกลุ่มหนึ่งก็เร่งเหาะขึ้นฟ้าไปแล้ว หายไปบนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่


…………………………


[1] ต้นไม้ล้มลิงกระเจิง 树倒猢狲散 หมายถึง เมื่อฐานะตกต่ำ บรรดาลูกน้องก็จะตีจากและซ้ำเติม

 

 

 


บทที่ 1688 แปลกจัง

 

“ประมุขปราชญ์จิน ข้าต้องเข้าไปอยู่ในสวนตะวันตกสักระยะ ถ้าหกลัทธิมีเรื่องอะไรก็ให้มาหาข้าที่สวนตะวันตกได้”


หลังจากติดต่อกับเหมียวอี้เสร็จอีกครั้ง หยางชิ่งที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างในตึกศาลาก็บอกที่ไปของตัวเองให้จินม่านรู้ล่วงหน้า


สวนตะวันตกก็คือส่วนแห่งหนึ่งที่อยู่ทางฝั่งตะวันตกที่ตั้งใจทำให้ว่างโดยเฉพาะ เนื่องจากเรื่องของเหมียวอี้ในครั้งนี้ จึงสร้างศูนย์ข่าวของหกลัทธิขึ้นชั่วคราว ขอเพียงคนของหกลัทธิด้านนอกได้ข่าวข่าวของภายนอกรวมทั้งตลาดผี ก็ล้วนส่งข่าวต่อมาที่นี่


จินม่านได้ฟังแล้วเข้าใจทันที ทำแบบนี้เพื่อจะจัดการข่าวสารจากช่องทางต่างๆ นางมองหยางชิ่งที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าทว่าดวงตาเป็นประกาย พร้อมขมวดคิ้วถาม “ท่านไม่ได้พักผ่อนมานานแค่ไหนแล้ว? เรื่องจัดการข่าวสารส่งต่อให้ลูกน้องฟังก็ได้ ท่านไม่จำเป็นต้องลงมือเอง หากท่านไม่วางใจ ข้าจะช่วยเร่งให้อีก ไม่ทำให้เรื่องนี้ชักช้าแน่นอน”


เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ชิงจวี๋ที่ขึ้นมาเก็บของบนตึกศาลาก็หยุดงานในมือโดยจิตใต้สำนึก แล้วมองสองคนที่อยู่ทางนี้ด้วยแววตาแปลกๆ โดยเน้นมองจินม่านที่เรือนร่างอ่อนช้อยงดงามสวมชุดกระโปรงยาวสีทอง สังเกตการเปลี่ยนแปลงบนสีหน้านาง


“นักพรตระดับข้าถ้าไม่พักผ่อนแล้วจะตายเชียวเหรอ?” หยางชิ่งกล่าวกลั้วหัวเราะ


“ท่าน…” บนใบหน้าจินม่านฉายแววขุ่นเคือง อยากจะบอกเขามากว่า ถ้าเจ้าอดหลับอดนอนอย่างนี้ต่อไปก็จะกลายเป็นคนชราน่าเกลียดนะ ตอนมาใหม่ๆ ยังเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างกำยำอยู่เลย นี่เพิ่งผ่านไปไม่นาน ก็กลายสภาพเป็นชายซึมเซาที่มีผมขาวแซมเสียแล้ว ขนาดคนนอกเห็นแล้วยังทนมองต่อไปไม่ไหว เหมียวอี้ให้อะไรเจ้ากันแน่ เจ้าถึงทุ่มเททำงานให้ขนาดนี้?


ทว่าไม่สะดวกจะกล่าวคำพูดพวกนี้ออกมา ในที่สุดก็กลืนคำพูดลงคอไปแล้ว


“เอาอย่างนี้แล้วกัน” หยางชิ่งโบกมือพลางหัวเราะ บอกใบ้ว่าไม่ต้องโน้มน้าวแล้ว


เขาเองก็ไม่อยากหาเรื่องใส่ตัว แต่ต่อไปเหมียวอี้ที่อยู่ทางตลาดผีจะต้องรับมือกับเหตุการณ์เฉพาะหน้า ถึงตอนนั้นจะเกิดอะไรขึ้นบ้างทางนี้ก็ไม่อาจคาดเดาได้ หยางชิ่งไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วยจึงช่วยเหลือได้จำกัด จะให้เสียเวลามาปรึกษากับทางนี้ก่อนทุกเรื่องแล้วค่อยตัดสินใจก็ไม่ได้ ต่อไปล้วนต้องให้เหมียวอี้รับมือเอง ส่วนงานที่ทางนี้ทำได้ก็คือรวบรวมข่าวทั้งหมดของหกลัทธิแล้วสรุปส่งไปให้เหมียวอี้ เมื่อมีข้อมูลของสถานการณ์บางอย่าง เหมียวอี้จะได้ตัดสินได้อย่างเหมาะสม


ส่วนทางนี้ก็ไม่อาจนำข่าวสะเปะสะปะทั้งหมดยัดไปให้เหมียวอี้ เพราะเหมียวอี้ไม่ได้มีเวลามากมายไปจำแนกแยกแยะข่าวที่สลับซับซ้อนพวกนั้น แต่ถ้าจะส่งต่อให้คนของหกลัทธิจัดการ หยางชิ่งก็ไม่วางใจอีก จึงทำได้เพียงจัดการข่าวสารบางส่วนด้วยตัวเอง ข่าวที่ไร้ประโยชน์ก็ตัดทิ้ง ส่วนข่าวไหนที่เขาคิดว่ามีประโยชน์ ก็จะจัดระเบียบข้อมูลไปให้เหมียวอี้อีกที จะได้สะดวกให้เหมียวอี้รู้สถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว หวังว่าในบางครั้งจะช่วยเหมียวอี้ได้อีกแรง


ตัวยังเดินมาไม่ถึงสวนตะวันตก ชิงจวี๋ก็ตามมาแล้ว นางพูดอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยว่า “เกรงว่าจะต้องยินดีกับนายท่านแล้ว”


“หืม!” หยางชิ่งเดินไปพลางถามไปพลาง “มีอะไรน่ายินดี?”


ชิงจวี๋อมยิ้มในขณะที่มองปฏิกิริยาของเขา “บ่าวเห็นว่าประมุขปราชญ์จินม่านเหมือนจะหวั่นไหวกับนายท่านแล้วค่ะ”


หยางชิ่งอึ้งทันที หยุดเดินแล้วหันมองนางอย่างงุนงง จากนั้นขมวดคิ้วถาม “เจ้าไปเรียนรู้วิธีการพูดยั่วยุมาตั้งแต่เมื่อไร?”


ชิงจวี๋ตอบว่า “นายท่านเป็นผู้ชาย บางทีอาจไม่ได้ใส่ใจ แต่บ่าวเป็นผู้หญิงค่ะ ผู้หญิงย่อมเข้าใจกันดี บ่าวเห็นว่าจินม่านนั่นสนใจนายท่านแล้ว แถมช่วงนี้ข้ายังรู้สึกว่านางทำตัวแปลกๆ ไม่ว่าจะมีธุระหรือไม่มีธุระก็มักมาคุยกับนายท่านล่วงหน้า”


“เหลวไหล นางจะมาชอบข้าได้ยังไง?” หยางชิ่งพูดเย้ยตัวเอง แล้วถลึงตาเตือนว่า “ต่อไปเจ้าอย่ามาพูดซี้ซั้วนะ ถ้ามีใครได้ยินจะไม่ดี” จากนั้นก็ส่ายหน้า แล้วชี้ชิงจวี๋อีก เสร็จแล้วถึงได้เดินไปข้างหน้าต่อ เขาพอจะรู้จักจินม่านอยู่บ้าง เป็นผู้หญิงที่หยิ่งยโสรสนิยมสูง วรยุทธ์สูงส่ง มียศถาบรรดาศักดิ์ ผ่านลมฝนคาวเลือดและความเปลี่ยนแปลงมามากมาย หน้าตาก็จัดว่าสวยระดับยอดหญิงงาม ได้ยินว่าผู้ชายที่เคยตามรักตามจีบนางมีจำนวนนับไม่ถ้วน แต่ผลปรากฏว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ชายตาแลเลยสักคน แล้วจะมาชอบหยางชิ่งได้อย่างไร ในสายตาเขา ไม่ว่าจะอิงตามเหตุผลหรืออารมณ์ นางก็ไม่มีทางชอบหยางชิ่งได้เลย…เขาเป็นคนมีปัญญาวิเคราะห์ปัญหามาตลอด


ขณะมองเงาหลังเขาเดินก้าวยาวจากไป ชิงจวี๋ก็ถอนหายใจอย่างจนปัญหา แอบพึมพำกับตัวเองว่า “หวังว่าข้าจะมองผิดไปก็แล้วกัน”


หลังจากติดต่อกับหยางชิ่งเสร็จแล้ว เหมียวอี้ก็เดินไปมองภาพที่สวีถังหรานเคยวาดให้ ในหัวกลับครุ่นคิดถึงบทสนทนาที่เพิ่งคุยกับหยางชิ่ง


หยางชิ่งเป็นฝ่ายขอรับโทษจากเขาเอง บอกว่าเรื่องนี้ล้วนเป็นเพราะเขาคาดการณ์ผิดพลาด ไม่เข้าใจความสัมพันธ์กึ่งแข่งขันกึ่งร่วมมือระหว่างสี่อ๋องสวรรค์ ถึงได้ทำให้เรื่องราวลุกลามใหญ่โตขนาดนี้ ทำให้เหมียวอี้เผชิญกับความเสี่ยงใหญ่หลวง หลังจากกล่าวอภัยซ้ำๆ แล้ว ในขณะเดียวกันความสัมพันธ์กึ่งแข่งขันกึ่งร่วมมือของสี่อ๋องสวรรค์ก็ทำให้เขาเข้าใจสถานภาพฝั่งตำหนักสวรรค์และแดนพุทธบ้างแล้วเช่นกัน จึงแนะนำอีกนิดหน่อย หวังว่าเหมียวอี้จะสามารถนำสามสิ่งนี้ไปใช้ประโยชน์ได้


ประการแรก กำลังพลหกลัทธิที่อยู่ทางตลาดผีนับว่าทำงานได้ตามมาตรฐาน น่าจะไม่ได้เปิดเผยตัวตน ตราบใดที่เหมียวอี้ไม่ยอมเปิดปาก ไม่ว่าฝั่งไหนอยากจะตรวจสอบก็ไม่มีทางตรวจสอบให้กระจ่างได้ง่ายๆ ความเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนั้นทำให้คนเชื่อยากว่าเหมียวอี้สามารถทำได้ มีแต่จะทำให้อำนาจใหญ่แต่ละฝ่ายสงสัยกันเอง และนี่ก็คือโอกาส เป็นโอกาสที่เหมียวอี้จะสามารถหลุดพ้นจากน้ำวนนี้ได้ ถึงแม้เหมียวอี้จะเป็นคนกวนน้ำวนนี้ขึ้นมาเอง แต่เหมียวอี้ก็เล็กน้อยต่ำต้อยเกินไปในสายตาอำนาจใหญ่ฝ่ายต่างๆ มีความเป็นไปได้สูงว่าสามารถวางตัวเองให้พ้นเรื่องนี้ได้ คอยกวนน้ำให้ขุ่นต่อไป ให้อำนาจแต่ละฝ่ายไปวุ่นวายกันต่อเอาเอง ส่วนเหมียวอี้ก็ต่ำต้อยมากในสายตาพวกเขา เมื่ออยู่ในน้ำวนแบบนี้กลับถูกมองข้ามได้ง่ายด้วยซ้ำ กอปรกับมีตระกูลโค่วหนุนหลัง จึงไม่มีใครกล้าแตะต้องเหมียวอี้อย่างโจ่งแจ้งเช่นกัน


ประการต่อมา มีความเป็นไปได้สูงว่าทางตระกูลเซี่ยโห้วจะรู้แล้วว่าเขามีหกลัทธิอยู่เบื้องหลัง เรื่องที่คนอื่นไม่รู้ชัด ตระกูลเซี่ยโห้วอาจจะมีภาพคร่าวๆ ในใจแล้ว มั่นใจในตัวเหมียวอี้แล้ว เพียงเห็นได้ชัดว่าตระกูลเซี่ยโห้วเป็นพวกเหยียบเรือหลายแคม แล้วก็มีคุณสมบัติและความสามารถที่จะเหยียบเรือหลายแคมด้วย ดังนั้นหลังจากได้รู้ว่าเหมียวอี้มีกำลังมากเท่าไร พวกเขากลับรู้สึกว่ามีประโยชน์ให้ใช้งานมากเท่านั้น ใช้ประโยชน์หกปราชญ์ให้ล้มพระปีศาจหนานโป ใช้ประโยชน์ชิง พุทธะ ไป๋ให้มาแทนที่เด็กชายหกลัทธิ ตัวอย่างก็มีให้เห็นกันอยู่ ยิ่งเจ้ามีศักยภาพแข็งแกร่ง ก็ยิ่งทำให้พวกเขา ‘ให้ความสำคัญ’ กับเจ้ามากขึ้น มีแต่จะทำให้พวกเขาปกปิดเยอะกว่าเดิม ไม่ต้องกังวลว่าพวกเขาจะเปิดโปงเจ้า ถ้าหากจำเป็น ลองใช้ประโยชน์จากตระกูลเซี่ยโห้วสักหน่อยก็ได้


ประการต่อมา สำนักหลัวช่าคงจะรู้แล้วว่าตัวเองติดกับดักนายท่าน จะต้องมาคิดบัญชีกับนายท่านแน่นอน ทว่าในจุดนี้ การคาดเดาก่อนหน้านี้น่าจะไม่ผิดพลาด เบื้องหลังของนายท่านมีตระกูลโค่วอยู่ สำนักหลัวช่าไม่กล้าทำอะไรนายท่านโจ่งแจ้ง อย่างมากก็แค่ขู่นายท่าน สำนักหลัวช่าเองก็ไม่กล้าเปิดเผยความจริงเช่นกัน ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นเรื่องใหญ่ระหว่างตำหนักสวรรค์กับแดนสุขาวดีแล้ว ถ้าเป็นฝ่ายทำลายกฏเอง สำนักหลัวช่าก็ไม่มีทางหนีทีไล่แล้วเช่นกัน เป็นสำนักหลัวช่าสำคัญกว่าหรือชีวิตนายท่านสำคัญกว่าล่ะ สำนักหลัวช่าย่อมเลือกทางที่ชาญฉลาดอยู่แล้ว ดังนั้นนายท่านไม่จำเป็นต้องกลัวสำนักหลัวช่า จะต้องคุมอยู่แน่นอน


เรื่องราวมากมายที่เคยกังวลก่อนหน้านี้ ภายใต้การชี้แนะของหยางชิ่ง ทำให้เหมียวอี้รู้สึกเบิกบานราวได้แหวกม่านหมอกแห่งความคลุมเครือไปเจอฟ้าใส ความหนักหน่วงใจลดลงไม่น้อย เมื่อความซับซ้อนวุ่นวายต่างๆ กลายเป็นชัดเจนขึ้น ก็ทำให้เขามีความมั่นใจแล้ว


จะว่าไปก็น่าขำเหมือนกัน เหมียวอี้พบว่าหยางชิ่งที่วางแผนได้แม่นยำมาตลอด แต่ในที่สุดก็ถึงเวลาผิดพลาดแล้ว อย่างไรเสียก็ทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าไม่ได้ สุดท้ายก็มีช่องโหว่ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเรียนรู้ที่จะเชื่อฟังแล้วหรือเปล่า ครั้งนี้เพียงให้คำแนะนำไม่กี่ข้อเท่านั้น ไม่ได้บอกขั้นตอนละเอียดเหมือนก่อนหน้านี้


พอพูดถึงตระกูลเซี่ยโห้ว ระหว่างทางที่กลับมา ตึกศาลาสัตยพรตก็ติดต่อเขามาแล้ว เชิญให้เขาไปนั่งที่ตึกศาลาสัตยพรตสักหน่อย ถ้าไม่สะดวก จะให้คนทางตึกศาลาสัตยพรตมาหาที่จวนแม่ทัพภาคก็ได้ เหมียวอี้รู้ว่ามีความเป็นไปได้สูงว่าตึกศาลาสัตยพรตจะกำลังทดสอบว่าเขาอยู่ที่จวนแม่ทัพภาคหรือไม่


เพิ่งจะจัดระเบียบความคิดได้ เขาก็เดินออกจากภาพวาด เตรียมตัวจะไปตามนัดที่ตึกศาลาสัตยพรต แต่กลับมีสหายเก่าส่งข่าวมา ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเทพประจำดาวฟ้าเถาะนั่นเอง


เหมียวอี้ที่เดินไปเดินมาอยู่ในห้องครู่หนึ่งรู้สึกปวดหัวนิดหน่อย ก่อนหน้านี้เขาเดาออกแล้ว ว่าในบรรดาคนที่ถูกกำจัดที่น้ำพุวังเวงอาจจะมีลูกหลานเทพประจำดาวฟ้าเถาะ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นคนไหน ตอนนี้จู่ๆ ก็ส่งข่าวมา เกรงว่าคงจะมาขอคำอธิบายจากตน


หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็หยิบระฆังดาราขึ้นมาตอบ : ไม่ทราบว่าเทพประจำดาวมีอะไรจะกำชับ?


จวนเทพประจำดาวฟ้าเถาะ ในหอสง่างามน้อย ผังก้วนกับพ่อบ้านเฉินหวยจิ่วสีหน้าไม่ค่อยดีนัก แม้แต่แสงอาทิตย์สดใสด้านนอกยากที่จะกำจัดเมฆครึ้มในใจของทั้งสองได้


ผังก้วนเป็นแม่ทัพใหญ่ทัพใต้ในสังกัดของฮ่าวเต๋อฟาง อ๋องสวรรค์ส่งบัตรเชิญให้ไปออกล่าที่น้ำพุวังเวง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกเช่นกัน ก่อนหน้านี้ไม่ได้เห็นเป็นเรื่องใหญ่อะไร จึงให้ลูกชายคนรองนำกำลังพลไปสมทบจำนวน จนกระทั่งกำลังพลออกล่าของตระกูลฮ่าวและตระกูลก่วงน้ำพุวังเวงไม่มีการเคลื่อนไหว ถึงขนาดว่ากำลังพลตายหมด ฝั่งนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น


สาเหตุก็เรียบง่ายมาก เพราะสี่อ๋องสวรรค์ไม่ได้บอกสาเหตุที่แท้จริงของการออกล่าที่น้ำพุวังเวงให้ภายนอกรู้ ต่อให้เป็นกำลังพลที่สี่อ๋องสวรรค์ก็ยังไม่รู้เลย เพื่อที่จะปิดเป็นความลับ อ๋องสวรรค์ฮ่าวและอ๋องสวรรค์ก่วงจึงห้ามไม่ให้สมาชิกที่ออกล่าเปิดเผยทิศทางการเคลื่อนไหวใดๆ ต่อภายนอก ควคุมการใช้ระฆังดาราอย่างเข้มงวด ควบคุมแม้กระทั่งตอนสู้รบ


ที่จริงสี่อ๋องสวรรค์ก็ไม่คิดว่าเรื่องในครั้งนี้จะผิดแผน คิดว่าหลังจากจบเรื่องทุกคนก็ย่อมรู้เอง ถึงตอนนั้นทุกคนย่อมเข้าใจสาเหตุที่ให้เป็นความลับ แต่ใครจะคิดว่าจะผิดแผนแล้ว พ่ายแพ้ยับเยิน ครั้งนี้เรื่องใหญ่แล้วจริงๆ


ถ้าบอกให้พวกลูกน้องรู้สถานการณ์ชัดเจนจนกระทั่งสู้รบพ่ายแพ้ แบบนั้นก็ไม่มีใครว่าอะไรได้ เพราะการแพ้ชนะบนสนามรบเป็นเรื่องปกติมาก แต่เจ้าดันใช้อุบายหลอกให้ลูกหลานและกำลังพลของลูกน้องไปตายหมดแล้ว แบบนี้มันใช่เรื่องเสียที่ไหน? แต่พวกเขาล้วนไม่ใช่คนธรรมดา ล้วนเป็นขุนนางใหญ่ในราชสำนัก จะอธิบายอย่างไรล่ะ?


ทางนี้ขอคำอธิบายจากเบื้องบน แต่เบื้องบนตอบอย่างคลุมเครือ  แต่กลับมีการเคลื่อนไหวกำลังพลขนาดใหญ่ ระหว่างเพื่อนร่วมงานสืบถามกันเอง แต่ก็ยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ที่สำคัญคือใครจะคิดว่าการออกล่าที่น้ำพุวังเวงจัดขึ้นเพื่อรับมือกับหนิวโหย่วเต๋อต่ำต้อยคนเดียว ล้อเล่นหรือเปล่า!


ยังเป็นเฉินหวยจิ่วที่เสนอ ว่าหนิวโหย่วเต๋ออยู่ในตลาดผีซึ่งตั้งอยู่ที่แดนรัตติกาล ทั้งยังเป็นเขยในนามของโค่วอ๋องสวรรค์ ไม่แน่ว่าหนิวโหย่วเต๋ออาจจะมีช่องทางติดต่อกับโค่วเหวินไป๋ก็ได้ ลองถามหนิวโหย่วเต๋อสักหน่อยว่ารู้อะไรหรือเปล่า


ตอนนี้ผังก้วนถึงได้ติดต่อมาทางระฆังดารา ที่จริงฝั่งนี้ก็ปิดบังมาตลอดจนกระทั่งตอนนี้ แต่กลับทำให้เหมียวอี้ปวดประสาท ถึงอย่างไรทั้งสองฝั่งก็ร่วมมือกัน แต่กลับกำจัดลูกหลานของอีกฝ่ายทิ้งแล้ว จะบอกอย่างไรดีล่ะ? ทำได้เพียงหลอกลวง!


“ติดต่อได้แล้ว” ผังก้วนตอบเฉินหวยจิ่ว แล้วตอบเหมียวอี้ทันที : ไม่นับว่าชี้แนะ แค่อยากจะถามเจ้าสักหน่อย โค่วเหวินไป๋จากตระกูลโค่วไปเข้าร่วมการออกล่าที่น้ำพุวังเวง เจ้ารู้เรื่องนี้หรือเปล่า?


ถามเรื่องนี้จริงๆ ด้วย เหมียวอี้ครุ่นคิดพร้อมตอบอย่างระมัดระวัง : รู้!


ผังก้วน : ที่น้ำพุวังเวงเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย เจ้าเคยติดต่อกับโค่วเหวินไป๋หรือเปล่า รู้หรือเปล่าว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?


แปลกจัง นี่กำลังทดสอบหรือว่าไม่รู้จริงๆ เรื่องเกิดขึ้นนานขนาดนี้แล้ว ไม่น่าเชื่อว่าท่านนี้จะยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น? ในขณะที่เหมียวอี้แปลกใจ ในใจก็เกิดความระแวดระวัง ใคร่ครวญพร้อมตอบว่า : เกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อยจริงๆ บ้านเจ้าก็ส่งคนไปออกล่าด้วยเหรอ?

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)