ยอดหญิงสกุลเสิ่น 168.2-169.2
ตอนที่ 168-2 ฉาฮวา
ไม่รู้เหมือนกันว่าเสิ่นเสวี่ยพูดอะไรกับเหล่าไท่จวิน หู่พั่วสาวใช้ใหญ่ข้างกายเหล่าไท่จวินก็มาที่เรืองเฟิงหวา บอกว่าเหล่าไท่จวินขอพบฉาฮวา
เถาจือกับเหอฮวาที่อยู่เฝ้าเรือนก็ตกใจ เหล่าไท่จวินรู้จักฉาฮวาเด็กคนนี้ได้อย่างไร นางอยากพบฉาฮวาทำไม ในใจทั้งสองไม่สบายใจอย่างถึงที่สุด
“พี่หู่พั่ว ฉาฮวาเป็นเพียงแค่เด็กแปดขวบคนหนึ่ง เหล่าไท่จวินมีอะไรหรือ” เถาจือจับมือของหู่พั่วไต่ถาม
ทว่าหู่พั่วกลับไม่หลุดปากแม้แต่คำเดียว เพียงแค่ยิ้มน้อยๆ “ความคิดของนายท่าน บ่าวเช่นพวกเราไหนเลยจะรู้ได้ ไปแล้วก็รู้เองมิใช่หรือ ฉาฮวาเล่า เหล่าไท่จวินยังรออยู่เลย”
เถาจือกับเหอฮวาหมดหนทาง ทำได้เพียงเรียกฉาฮวามา ฉาฮวาเองก็ตกใจทั้งใบหน้า ตั้งแต่ที่เข้ามาในจวนโหว นางก็ออกจากเรือนน้อยอย่างยิ่งมาโดยตลอด เหล่าไท่จวินรู้จักนางได้อย่างไร อย่างไรเสียนางก็ยังอายุน้อย คุณหนูกับเถาฮวาก็ไม่อยู่ทั้งคู่ นางหวาดกลัวขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“ฉาฮวา ไม่เป็นไร เหล่าไท่จวินเพียงแค่อยากพบเจ้า เหล่าไท่จวินเมตตา เจ้าอย่าได้กลัวไป” เหอฮวาจับมือของฉาฮวาเพื่อปลอบ จากนั้นจึงหันหน้ายิ้มกล่าวกับหู่พั่ว “พี่หู่พั่ว ฉาฮวาขี้กลัว ให้ข้าไปเป็นเพื่อนนางด้วยเถอะ หากเหล่าไท่จวินถาม ฉาฮวาตอบไม่หมดข้าจะได้ช่วยเพิ่มเติมเล็กๆ น้อยๆ”
หู่พั่วลูบกระเป๋าเงินใบเล็กที่ส่งเข้ามาใต้แขนเสื้อ คิดครู่หนึ่งก็รู้สึกว่าไม่น่าเป็นอะไรจึงตอบรับ “เช่นนั้นก็ไปด้วยกันเถอะ”
“ขอบคุณพี่หู่พั่วยิ่งนัก พี่หู่พั่วจิตใจดีจริงๆ” เหอฮวาถอนหายใจอย่างผ่อนคลาย พูดจาดีไม่สู้เงินที่โยนออกไป
หลังเหอฮวากับฉาฮวาไปแล้ว เถาจือก็ไปหาคุณชายห้านอกเรือนทันที แม้ว่านางจะไม่รู้ว่าเหล่าไท่จวินจะมีเจตนาใด แต่เมื่อครู่เหอฮวาก็บอกเป็นนัยกับนางแล้ว นางรู้สึกว่าเรื่องนี้จะต้องมีเรื่องที่นางไม่รู้แน่นอน ตั้งแต่เข้าเรือนเฟิงหวามานางก็สังเกตเห็นบางอย่างได้เล็กน้อย ฉาฮวาเด็กคนนั้นแม้ว่าจะเป็นเด็ก แต่คนทุกระดับชั้นในเรือนเฟิงหงวาก็ไม่มีใครเรียกใช้งานนางเลย ซ้ำคุณหนูยังสอนหนังสือนางด้วยตัวเองอีกด้วย
ตลอดทางเด็กสาวทั้งสองต่างก็ไม่สบายใจอย่างยิ่ง เหอฮวายังดีหน่อย แต่ฉาฮวากลับตกใจจนเดินไม่เป็นแล้ว ยังคงเป็นเหอฮวาที่ปลอบไม่หยุดนางจึงดีขึ้นเล็กน้อย
“บ่าวถวายความเคารพเหล่าไท่จวินเจ้าค่ะ” เหอฮวากับฉาฮวาทำความเคารพอย่างนบนอบ
เหล่าไท่จวินส่งแก้วชาให้สาวใช้ข้างกายช้าๆ กล่าว “ลุกขึ้นเถอะ” นางมองประเมินสาวใช้สองคนนี้ข้างล่าง คนหนึ่งโตกว่าหน่อย ท่าทางอายุสิบสี่สิบห้าปี หน้าตาสะสวย อีกคนหนึ่งอายุเพียงแปดเก้าปี ใบหน้าเล็กๆ นั้นราวกับภาพวาด เมื่อมองดูก็รู้ว่าภายหน้าจะต้องเป็นหญิงงาม มิน่าเล่าเสิ่นเสวี่ยถึงถูกใจ
“คนไหนคือฉาฮวา” เหล่าไท่จวินกล่าวถาม
ฉาฮวารีบก้าวไปข้างหน้าเล็กๆ หนึ่งก้าว “บ่าว…เจ้าค่ะเหล่าไท่จวิน บ่าว…บ่าวคือฉาฮวา” ในเสียงของนางมีความสั่นเครือ เห็นได้ชัดว่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง
เหล่าไท่จวินพยักหน้า “เป็นเด็กซื่อสัตย์ดี” ขี้กลัวก็ดีแล้ว จะได้จัดการง่ายมิใช่หรือ ครั้งนี้เสวี่ยเจี่ยเอ๋อร์กลับตาดีนัก
ศีรษะของฉาฮวาก้มต่ำยิ่งกว่าเดิม ใกล้จะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว
“เจ้าเป็นเด็กดี พรุ่งนี้ก็ไปรับใช้ที่เรือนเพียวเสวี่ยของคุณหนูห้าเสีย คุณหนูห้าใกล้จะออกเรือนแล้ว คนไม่พอ นางถูกใจอยากให้เจ้าเป็นสาวใช้ตามนายออกเรือน นี่เป็นวาสนาของเจ้า เจ้าคงจะยินดีใช่หรือไม่” เหล่าไท่จวินกล่าวอย่างเฉื่อยชา
ปากก็ถาม แต่เจตนานั้นกลับไม่ยอมให้ปฏิเสธ
ไปรับใช้คุณหนูห้าหรือ นางไม่เอาหรอก สีหน้าฉาฮวาหวาดกลัวจนขาวซีดแล้ว “เหล่าไท่จวิน ข้า เอ่อไม่ บ่าว…บ่าว…คุณหนูของพวกเรา” นางรีบร้อนจนพูดไม่ออกแล้ว
นางไม่อยากไปเรือนของคุณหนูห้า ยิ่งไม่อยากไปเป็นสาวใช้ตามนายออกเรือนอะไรนั่น ทุกระดับชั้นทั่วทั้งจวนมีใครที่ยังไม่รู้บ้างว่าคุณหนูห้ากับคุณหนูของพวกนางไม่ลงรอยกัน ตอนที่ท่านพี่ไปก็บอกให้นางรักษาตัวอยู่ข้างกายคุณหนู เขาจะกลับมารับนาง นางไม่อยากจากคุณหนู นางยังต้องรอพี่ชายนาง
เหอฮวาเองก็ตกใจ เพิ่งจะเข้าใจว่าเหตุใดคุณหนูห้าถึงอยู่ด้วย คุณหนูห้าหมายความว่าอย่างไร ฉวยโอกาสตอนที่คุณหนูไม่อยู่แย่งชิงคนของคุณหนูงั้นหรือ แต่จะเป็นฉาฮวาไม่ได้ ฉาฮวาไม่เหมือนพวกนาง ฉาฮวาไม่ใช่บ่าวไพร่อย่างสิ้นเชิง คุณหนูเลี้ยงนางเหมือนกับน้องสาว
“คงไม่ใช่ว่าเจ้าไม่ยินดีหรอกนะ” เหล่าไท่จวินก้มหน้าลง
คราวนี้ฉาฮวาตกใจจนจะร้องแล้วจริงๆ ทำอย่างไรดี คุณหนูไม่อยู่ ใครก็ได้มาช่วยนางที
เหอฮวารีบกล่าว “เหล่าไท่จวิน ใช่เข้าใจผิดหรือไม่เจ้าคะ ฉาฮวาอายุยังน้อย กฎระเบียบก็ยังศึกษาไม่ครบ ทำอะไรก็ไม่ค่อยเป็น ไหนเลยจะแบ่งเบาภาระคุณหนูห้าได้”
“บังอาจ! เจตจำนงของนาย บ่าวเช่นเจ้าคิดแทนได้หรือ นี่เป็นกฎของเรือนเฟิงหวาหรือ” เสิ่นเสวี่ยกล่าว “ท่านย่า ข้าถูกใจเด็กคนนี้” นางออดอ้อนเหล่าไท่จวินต่อ
ตั้งแต่ที่เห็นฉาฮวาเด็กคนนี้ในใจนางก็ตัดสินใจแล้ว นางไม่อยากแต่งอนุภรรยาให้พี่จิ่นอวี้ ดังนั้นฉาฮวาเป็นบ่าวตามนายออกเรือนดีที่สุด นางสวย ที่สำคัญก็คือนางอายุยังน้อย แม้จะยกนางให้พี่จิ่นอวี้ นางเองก็ต้องรออีกหลายปีกว่าจะรับใช้ได้ ถึงตอนนั้นตนก็มั่นคงนานแล้ว จัดการเด็กสาวก็ยังเป็นเรื่องง่ายดายมิใช่หรือ
อีกทั้งสาวใช้คนนี้ยังเป็นคนของเรือนเฟิงหวา นางก็ยิ่งอยากได้นาง นางอยากเห็นสีหน้าเดือดดาลนั้นของเสิ่นเวย
เหอฮวาหวาดกลัวอย่างยิ่ง แต่กลับพยายามสงบไว้ “เหล่าไท่จวิน คุณหนูห้า เรื่องนี้คุณหนูของข้าทราบหรือไม่ ตอนที่คุณหนูไปขอพรให้ท่านเสิ่นโหวที่วัดต้าเจวี๋ยก็ยกเรือนเฟิงหวาให้บ่าวดูแล หากคุณหนูกลับมาแล้วเห็นว่าฉาฮวาไม่อยู่ จะตีบ่าวตายได้ เหล่าไท่จวินได้โปรดเห็นใจ มอบทางรอดให้บ่าวด้วยเถิดเจ้าค่ะ” เหอฮวาคุกเข่าลงโขกศีรษะอย่างน่าสงสาร
ฉาฮวาเองก็คุกเข่าร้องขอ “บ่าวเป็นคนของคุณหนู บ่าวไม่แยกจากคุณหนู” นางทำได้เพียงพูดสองประโยคนี้ซ้ำไปซ้ำมา
เหล่าไท่จวินได้ยินสาวใช้สองคนนี้เอ่ยถึงหลานสาวหาญกล้าผู้นั้นแล้ว คิ้วก็ขมวดมุ่น ด้วยนิสัยชอบก่อกรรมเช่นนั้นก็คงจะกล้าทำเรื่องแบบนั้นจริงๆ แต่เป็นแค่สาวใช้คนหนึ่ง คงไม่จำเป็นต้องสร้างบาปถึงเพียงนั้นหรอกกระมัง
นางมองเสิ่นเสวี่ย เจตนานั้นชัดเจนอย่างยิ่ง ในเมื่อไม่ยินดีก็ช่างเถอะ คนที่สามารถเลือกได้ในจวน ไม่ได้มีแค่นางเพียงคนเดียวเสียหน่อย
ทว่าเสิ่นเสวี่ยกลับไม่ยอม นางลุกพรวดขึ้นมา ยิ้มเยาะกล่าว “ทำไมเล่า มีแต่คุณหนูพวกเจ้าเป็นนาย แล้วข้าไม่ใช่หรือไร แม้แต่เหล่าไท่จวินยังเรียกใช้บ่าวเพียงคนเดียวไม่ได้งั้นหรือ หากเรื่องแพร่ออกไปคงขายหน้าคนตายชัก”
ดูสิ นี่มันใส่สีตีไข่ชัดๆ เหล่าไท่จวินฟังแล้ว ในใจก็ไม่สบายใจ นางเป็นผู้อาวุโสที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ของจวนโหว เรื่องใดในจวนบ้างที่นางไม่ได้เป็นใหญ่ เพียงแค่หลานสาวต้องการสาวใช้คนหนึ่ง ก็ทำไม่ได้งั้นหรือ
“เสวี่ยเจี่ยเอ๋อร์พูดถูก เพียงแค่เปลี่ยนสาวใช้ เวยเจี่ยเอ๋อร์จะอกตัญญูต่อข้าเชียวหรือ” เหล่าไท่จวินกล่าว “ไม่ต้องรอถึงพรุ่งนี้แล้ว ตอนนี้เจ้าตามคุณหนูห้าไปเถอะ”
หัวใจของเหอฮวาดิ่งลง แม้ว่านางจะเป็นบ่าว คัดค้านเหล่าไท่จวินไม่ได้ แต่นางก็ไม่อาจปล่อยให้ฉาฮวาตามคุณหนูไปได้จริงๆ “เหล่าไท่จวิน ไม่ใช่พวกบ่าวเสียมารยาท คุณหนูห้าอยากได้ฉาฮวาเองก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้ แต่ก็ต้องให้คุณหนูของพวกเรายินยอมด้วยนะเจ้าคะ”
“หุบปาก ไหนเลยจะมีที่ให้บ่าวเช่นเจ้าพูด ยังไม่ลากออกไปตบหน้าอีก” เสิ่นเสวี่ยตะโกนดัง
ทันใดนั้นก็มีหญิงรับใช้ชราเข้ามาจะลากตัวเหอฮวาไป ในตอนนี้เองเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “ช้าก่อน” แม่นมเฉินพูดแล้ว “คุณหนูห้าอย่าเพิ่งใจร้อน ที่เด็กคนนี้พูดก็ไม่ผิดนะเจ้าคะ ท่านต้องการเด็กรับใช้ของคุณหนู ก็ต้องให้เจ้านายอนุญาตก่อนมิใช่หรือ” เจ้านายไม่อนุญาต เช่นนั้นก็ถือเป็นการแย่งชิง
เสิ่นเสวี่ยถูกฉีกหน้าก็อับอายจนพาลโมโห “เรื่องของนายบ่าวเช่นเจ้าสอดปากเข้ามาทำไม” จากนั้นก็ตะโกนเรียกซ้ายขวา “ยังไม่รีบตบปากอีก ไม่ได้ยินเจ้านายสั่งหรือไร”
แม่นมเร่งรีบเข้ามาลากเหอฮวากำลังจะง้างมือขึ้น จู่ๆ ก็รู้สึกว่าแขนเจ็บแปลบ มือร่วงลงไปทันที
“ใครมันกล้าบังอาจ ขอข้าดูหน่อยสิว่าใครบังอาจตบสาวใช้ท่านพี่ข้า” คุณชายห้าเสิ่นเจวี๋ยวิ่งเข้ามา ของที่ฟาดใส่แม่นมผู้นั้นคือจี้หยกหนึ่งชิ้นบนเอวเขา ตอนนี้หยกชิ้นนั้นกำลังร่วงลงบนพื้น
ตอนที่ 169-1 ศึกใหญ่มาแล้ว
“เจวี๋ยเกอเอ๋อร์ เจ้าไม่ไปเรียนหนังสือที่สำนักศึกษาแต่วิ่งมาเรือนหลังทำไม” เสิ่นเสวี่ยชิงหาเรื่องก่อน นอกจากจะแตะเสิ่นเวยหญิงชั่วผู้นั้นไม่ได้แล้ว ยังแตะเด็กโง่อายุสิบขวบคนนี้ไม่ได้อีกหรือ
สีหน้าเสิ่นเจวี๋ยเหยียดหยามทั้งใบหน้า ก้าวเท้าเข้ามาช้าๆ ทำความเคารพเหล่าไท่จวินที่นั่งอยู่ข้างบนก่อน “ท่านย่า หลานคารวะท่านย่า ถือโอกาสแจ้งท่านย่าให้ทราบว่า วันนี้จู่ๆ อาจารย์เกิ่งก็รู้สึกไม่สบาย ในคาบเรียนจึงเลิกเรียนก่อนเวลา ไม่ใช่ว่าหลานหนีเรียน”
หลังจากนั้นจึงหันหน้ามาหาเสิ่นเสวี่ย “ท่านพี่ห้าช่างน่าเกรงขามยิ่งนัก ไม่ทราบว่าสาวใช้สองคนนี้ทำอะไรผิดจึงต้องรบกวนให้ท่านพี่ห้าสั่งสอนหรือ”
ในใจเขารู้สึกโชคดีที่วันนี้กลับมาก่อนเวลา มิเช่นนั้นสาวใช้สองคนนี้ในเรือนท่านพี่คงแย่แน่ ในใจเขาโมโหอย่างถึงที่สุด ท่านพี่เพิ่งจะไปได้ไม่นานพี่ห้าก็รบเร้าขอคนในเรือนของท่านพี่กับท่านย่าเสียแล้ว ท่านพี่สู้รบอยู่ที่ซีเจียง แต่พวกนางกลับใช้ลูกไม้อยู่ที่เรือนหลัง ช่างชวนให้คนผิดหวังเกินไปแล้ว
“เจวี๋ยเกอเอ๋อร์ก็เห็นกับตาแล้วมิใช่หรือ สาวใช้ผู้นี้เถียงนาย เพื่อกฎระเบียบในจวน ข้าเองก็ทำได้เพียงลงมือสั่งสอนสักหน่อย” เสิ่นเสวี่ยเชิดหน้ากล่าว
“คุณชาย บ่าวไม่ได้เถียงนายเจ้าค่ะ คุณหนูห้าต้องการตัวฉาฮวา บ่าวบอกว่าต้องให้คุณหนูอนุญาตก่อนจึงจะได้ บ่าวไม่ได้เถียงนายนะเจ้าค่ะ” เหอฮวาตะโกนขึ้นอย่างอดไม่ได้
“บังอาจ! นายพูดอยู่ไหนเลยจะมีที่ให้บ่าวเช่นเจ้าพูดแทรก” เสิ่นเสวี่ยโมโหจะตายแล้ว เมื่อไหร่กันที่แม้แต่บ่าวยังกล้าพูดจาเถียงนาง “เจวี๋ยเกอเอ๋อร์ดูสิ สาวใช้ที่ไม่รู้กฎเช่นนี้ไม่ควรตีหรือไร” นางถลึงตาโต ท่าทางโมโหเดือดพล่าน
ทว่าเสิ่นเจวี๋ยกลับนิ่งผิดปกติ “กระทั่งพูดบ่าวก็ยังพูดไม่ได้งั้นหรือ หรือว่าจะต้องนั่งมองนายกลับดำเป็นขาวเฉยๆ ท่านพี่ห้าในเมื่อท่านมีเหตุผลแล้วไยจะต้องกลัวคำพูดของบ่าวคนหนึ่งด้วยเล่า” ในแววตาของเสิ่นเจวี๋ยเต็มไปด้วยความเสียดสี พี่ห้าผู้นี้ของเขาเคยชินกับการเถียงข้างๆ คูๆ ทั้งยังหยิ่งผยองทะนงตน เมื่อก่อนไม่เคยหาเรื่องเขาเขาจึงทำเป็นมองไม่เห็น แต่ตอนนี้คาดไม่ถึงว่านางกล้าคิดที่จะตีคนของท่านพี่ เช่นนั้นก็อย่าหาว่าเขาไม่เกรงใจแล้วกัน
“เจวี๋ยเกอเอ๋อร์เจ้า” เสิ่นเสวี่ยโมโหจนอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรวดเร็ว “เพื่อบ่าวคนหนึ่งเจ้าถึงกับพูดว่าข้ากลับดำเป็นขาวงั้นหรือ เจ้า เจ้า” เบ้าตาของนางแดงขึ้นฉับพลัน ราวกับว่าเสียใจอย่างยิ่ง
เหล่าไท่จวินเองก็ตำหนิเล็กน้อย กล่าวว่าเสิ่นเจวี๋ย “เจวี๋ยเกอเอ๋อร์พูดอะไร มีน้องชายที่ไหนพูดจากับพี่สาวตนเช่นนี้ รีบขอโทษพี่เจ้าเสีย”
เสิ่นเจวี๋ยกลับเชื่อฟังอย่างยิ่ง เอ่ยปากกล่าว “ท่านพี่อย่าได้ตำหนิ น้องบอกว่านายบางคนกลับดำเป็นขาว ไม่ได้หมายถึงท่าน ท่านอย่าได้เป็นเช่นนั้นเด็ดขาดเชียว”
ไม่ขอโทษเสียยังดีกว่า เสิ่นเสวี่ยโมโหจนใบหน้าที่งดงามแดงก่ำ ในดวงตาสาดยิงสายตาที่เดือดดาลออกมา ประหนึ่งสามารถกลืนกินเสิ่นเจวี๋ยได้
เสิ่นเจวี๋ยทำเป็นมองไม่เห็น ไต่ถามด้วยความสงสัยไม่หยุด “ท่านพี่ห้าอยากได้ฉาฮวาหรือ ทำไมเล่า ในจวนท่านพี่ห้าขาดคนเรียกใช้หรือ เหตุใดถึงไม่ไปบอกท่านป้าสะใภ้ใหญ่เล่า หากท่านพี่ห้าเกรงใจ น้องทำแทนให้ก็ได้”
เสิ่นเสวี่ยอัดอั้น นางพูดได้หรือว่าเพียงแค่อยากได้ฉาฮวาคนเดียวเท่านั้น นางพูดได้หรือว่านางจะฉวยโอกาสแย่งคนในเรือนเสิ่นเวยมาไว้ที่ตัวเองตอนที่หญิงชั่วผู้นั้นไม่อยู่
เหล่าไท่จวินเอ่ยปากแล้ว “เจวี๋ยเกอเอ๋อร์ เพียงแค่เด็กรับใช้คนหนึ่ง ในเมื่อพี่ห้าของเจ้าชอบ เช่นนั้นก็ให้นางไปเถอะ เวยเจี่ยเอ๋อร์เป็นพี่ ให้เด็กรับใช้น้องสาวคนหนึ่งไม่ใช่เรื่องสมควรหรือ” เหล่าไท่จวินหงุดหงิดในใจ เพียงแค่เด็กรับใช้คนหนึ่ง ควรค่าให้เจวี๋ยเกอเอ๋อร์ต้องวิ่งมาถึงเรือนหลังเพื่อโต้เถียงแทนพี่สาวตนเชียวหรือ
ทว่าเสิ่นเจวี๋ยที่ใจร้อนฉุนเฉียวเพียงเรื่องเล็กน้อยก็โมโหในภาพความทรงจำกลับสงบนิ่งอย่างยิ่ง ดวงตาที่หลุบลงมีความเหยียดหยามวาบผ่าน “ท่านย่าพูดถูก ท่านพี่ห้าอยากได้สาวใช้ของท่านพี่ นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ท่านพี่ข้าใจกว้าง นางเป็นบุตรสาวคนโตในเรือนสามของพวกเรา ให้สาวใช้น้องสาวคนหนึ่งกลับไม่เป็นไร แต่สิ่งสำคัญคือตอนนี้พี่สาวข้าไม่อยู่ในจวน เอาไปโดยไม่ถามนั่นก็คือการขโมย นี่ไม่ใช่ว่าน้องกลัวท่านพี่ห้าจะมีชื่อเสียงที่ไม่ดีหรอกหรือไร”
สีหน้าบนใบหน้าเสิ่นเจวี๋ยจริงจัง วางท่าทางว่าข้าล้วนแต่หวังดีต่อท่าน
เหล่าไท่จวินพยักหน้าช้าๆ รู้สึกว่าหลานชายพูดมีเหตุผลอย่างยิ่งจึงมองเสิ่นเสวี่ยแล้วกล่าว “เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้ารออีกหน่อยได้หรือไม่ ให้พี่เจ้ากลับมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
รอนางกลับมาแล้วตนจะได้เมื่อไร ใครจะรู้บ้างว่าหญิงชั่วผู้นั้นจะกลับมาตอนไหน ขอพร ขอพร มีแต่แผนชั่วน่ะสิไม่ว่า ราวกับว่าหลานสาวทั้งจวนมีแต่นางที่ทำได้
“แต่ว่าท่านย่า หลานชอบฉาฮวาเด็กคนนี้ อยากได้เด็กคนนี้ เดือนหน้าหลานก็ต้องออกเรือนแล้ว ทำให้ความปรารถนาเล็กๆ นี้ของหลานสมหวังไม่ได้หรือเจ้าคะ” เสิ่นเสวี่ยเงยหน้าท่าทางเศร้าโศกอย่างถึงที่สุด น้ำตาใสๆ สองสายไหลออกมาจากดวงตาของนาง หากเสิ่นเวยอยู่จะต้องปรบมือชื่นชมฝีมือการแสดงที่ยอดเยี่ยมของนางแน่นอน
เหล่าไท่จวินเห็นท่าทางเสียใจอย่างยิ่งของหลานสาว ในใจก็ทนไม่ได้เล็กน้อย อดมองเสิ่นเจวี๋ยไม่ได้ “เจวี๋ยเกอเอ๋อร์เจ้าดูสิ ให้สาวใช้คนนี้แก่พี่ห้าของเจ้าไปเถอะ เจ้าตัดสินใจก็เหมือนเวยเจี่ยเอ๋อร์ตัดสินใจมิใช่หรือ”
แต่เสิ่นเจวี๋ยกลับยิ้มเยาะ “ท่านย่าพูดผิดแล้ว สุภาษิตว่าไว้ ต่อให้เป็นพี่น้องก็ต้องคำนวณบัญชีให้ละเอียด หลานยังอายุไม่ถึงยี่สิบปี จะเป็นคนตัดสินใจแทนท่านพี่ได้อย่างไร ท่านพี่ห้ารอก่อนดีกว่า” เขาหยุดครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวต่อ “รบกวนเวลาท่านย่ามากแล้ว หลานควรกลับไปทำการบ้านได้แล้ว สาวใช้สองคนนี้หลานจะพากลับไปด้วยเลย เหอฮวา ฉาฮวายังไม่ตามข้าไปอีก จะอยู่ที่นี่ให้ขวางหูขวางตาหรือไร”
ตั้งแต่ต้นจนจบ เสิ่นเจวี๋ยแสดงท่าทางสุภาพเรียบร้อยโตเป็นผู้ใหญ่ ไหนเลยจะยังเป็นอันธพาลน้อยเหมือนก่อนหน้านี้อีก เหล่าไท่จวินมองแผ่นหลังที่ยืนตรงอย่างยิ่งนั้น ในดวงตาก็มีความคลุมเครือแวบผ่าน
“เสวี่ยเจี่ยเอ๋อร์ก็เห็นแล้ว ไม่ใช่ว่าย่าไม่ช่วยเจ้า แต่เรื่องนี้เจ้าก็ไม่มีเหตุผลจริงๆ เพียงแค่เด็กรับใช้หนึ่งคน ช่างมันเถอะ” เหล่าไท่จวินมองเสิ่นเสวี่ยที่ก้มหน้าร้องไห้อยู่แล้วกล่าว
เสิ่นเสวี่ยกัดริมฝีปาก ในดวงตามีความไม่ยินยอมแวบผ่าน สะอื้นกล่าว “ท่านย่า หลานทราบ หลานเพียงแค่อยากได้สาวใช้สวยๆ ใครจะรู้ว่าเจวี๋ยเกอเอ๋อร์จะไม่เห็นพี่สาวเช่นข้าอยู่ในสายตาเช่นนี้” นางยังพยายามจะใส่ร้ายต่อ “ไม่ไว้หน้าหลานไม่สำคัญ แต่เจวี๋ยเกอเอ๋อร์ไม่ควรไม่ไว้หน้าแม้แต่ท่านย่าเช่นนี้”
เหล่าไท่จวินคิดดูแล้วก็เป็นเช่นนี้จริงๆ ในใจไม่สบายใจอย่างมาก บนใบหน้ามีสีหน้าขุ่นเคือง “ข้าแก่แล้ว ทำอะไรไม่ได้ เดือนหน้าเจ้าก็จะออกเรือนแล้ว กลับไปปักสินสมรสให้เรียบร้อยเถอะ”
เสิ่นเสวี่ยสับเท้ากลับไปถึงห้องของตน ยกมือกวาดของทั้งหมดบนโต๊ะลงพื้น แต่ก็ยังคงระบายความโกรธไม่ได้ ยกขาออกแรงกระแทกพื้น “ข้าจะเหยียบเจ้าให้ตาย เหยียบเจ้าให้ตาย เหยียบเจ้าให้ตาย!” สาวใช้ใหญ่ตกใจจนหดตัวอยู่ที่มุมห้อง ไม่มีใครกล้าเข้ามาโน้มน้าวแม้แต่คนเดียว
เสิ่นเสวี่ยระบายอารมณ์เสร็จแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ยอมไม่ได้ เจ้าไม่ให้งั้นหรือ แต่ข้าจะต้องเอาตัวฉาฮวามาให้ได้
“อี่ชุ่ย ไปดูที่ห้องหนังสือด้านนอกว่าพ่อข้าอยู่หรือไม่” เสิ่นเสวี่ยสั่งด้วยใบหน้านิ่งขรึม
เสิ่นเจวี๋ยส่งเหอฮวากับฉาฮวาถึงเรืองเฟิงหวา บ่าวทั้งเรือนเห็นคนทั้งสองกลับมาอย่างปลอดภัยต่างก็ถอนหายใจหนึ่งครา เสิ่นเจวี๋ยเห็นเด็กน้อยสองคนนี้ยังคงตกใจอยู่ก็ปลอบขวัญ “หลังจากนี้เจ้าสองคนก็ออกจากเรือนให้น้อย มีเรื่องอะไรก็ให้เถาจือไปแทน อย่ากลัว ท่านพี่ไม่อยู่ข้าเองก็สามารถปกป้องพวกเจ้าได้เหมือนกัน”
ตอนนี้เขาไม่ใช่คนไร้ประโยชน์ที่ไม่มีสมองผู้นั้นอย่างก่อนหน้านี้แล้ว ตอนที่ท่านพี่ไปก็มอบเรือนให้เขาดูแล เช่นนั้นใครก็อย่าได้คิดจะแตะสิ่งของใดๆ ก็ตามของพวกเขาสองพี่น้อง ใครกล้ายื่นมือมา เช่นนั้นก็อย่าโกรธที่เขาจะสับมือนั้นทิ้งเสีย
ยามโหย่ว[1] ตอนที่พ่อบ้านหลี่ข้างกายนายท่านสามเสิ่นหงเซวียนมาเชิญเสิ่นเจวี๋ย มุมปากเขาก็กระตุกยิ้มเยาะอย่างอดไม่ได้ ถอนหายใจในใจ เมื่อก่อนเป็นเพราะตนไร้เดียงสาเกินไป ท่านพี่ยังคงพูดถูก บิดาผู้นี้ของพวกเขาเป็นคนที่พึ่งไม่ได้ หรือจะพูดว่าสำหรับพวกเขาพี่น้องแล้วพึ่งไม่ได้
“เช่นนั้นก็ไปเถอะ” เสิ่นเจวี๋ยวางหนังสือในมือลงอย่างไม่รีบไม่ร้อน เดินออกไปข้างนอกด้วยสีหน้าเรียบเฉย
พ่อบ้านหลี่มองคุณชายห้าที่เปลี่ยนไปมากอย่างยิ่งผู้นี้เบื้องลึกในใจก็ยิ่งงุนงง ทำได้เพียงเคารพมากยิ่งขึ้น แต่ในใจกลับคิดว่า นายท่านนะนายท่าน เหตุใดท่านถึงทำเรื่องเลอะเทอะเช่นนี้ เขาได้ยินว่าข้างนอกต่างก็รู้กันว่าคุณหนูห้าไม่มีเหตุผล ท่านยังจะเรียกคุณชายห้าไปถามอีกทำไม
ทว่าเสิ่นหงเซวียนกลับไม่คิดเช่นนี้ เขามองลูกชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าราวกับไผ่อ่อนผู้นี้ ในใจโล่งอกอย่างยิ่ง ไม่ตีก็ไม่เป็นผู้เป็นคน ดูสิ เจวี๋ยเกอเอ๋อร์พัฒนาแล้วมิใช่หรือ ลืมเรื่องที่เขาเกือบตีลูกชายคนนี้ตายไปนานแล้ว
[1] ยามโหย่ว ช่วงเวลาประมาณห้าโมงเย็นถึงหนึ่งทุ่ม
ตอนที่ 169-2 ศึกใหญ่มาแล้ว
“เจวี๋ยเกอเอ๋อร์ช่วงนี้เรียนเป็นอย่างไรบ้าง การบ้านตามทันหรือไม่” เสิ่นหงเซวียนถามลูกชายด้วยสีหน้าอ่อนโยน
เสิ่นเจวี๋ยตอบเรียบง่ายอย่างถึงที่สุด “ดีขอรับ ตามทัน ฟู่ชิน[1]เรียกลูกมามีเรื่องอันใดหรือ”
นี่เองก็เป็นเรื่องจริง เขาพบว่าตั้งแต่ที่ตนตั้งสมาธิเรียนหนังสือ การบ้านเหล่านั้นก็ค่อนข้างง่ายจริงๆ เพื่อนร่วมเรียนในสำนักศึกษาที่มาหาเรื่องเขา เขาเองก็ไม่ให้ความสนใจเป็นส่วนใหญ่ ท่านพี่พูดถูก ‘เจ้าไม่สนใจ นานวันเข้าเขาก็จะรู้สึกเบื่อ ไม่มาหาเรื่องเจ้าอีกแน่นอน’ แต่หากมีคนที่ทำเกินไปเช่นนั้น เขาก็ไม่หวาดกลัว ลงมือจัดการได้ ขอเพียงแค่ตนมีเหตุผล อาจารย์ก็ไม่มีทางบอกว่าเขาผิด
เดิมเสิ่นหงเซวียนยังคิดจะถามไถ่สารทุกข์สุขดิบลูกชายอีกสักหน่อย แต่ถูกลูกชายพูดเช่นนี้ กลับพูดต่อไม่ได้แล้ว เขามองลูกชายที่ยืนอยู่ด้วยความเคารพผู้นี้ตรงหน้า ในใจก็มักจะมีความรู้สึกไม่สบอารมณ์บางอย่าง ลูกชายเชื่อฟังแล้ว เข้าใจกฎระเบียบแล้ว พัฒนาแล้ว แต่เขากลับรู้สึกไม่ชิน
โดยเฉพาะที่เจวี๋ยเกอเอ๋อร์ไม่เรียกเขาว่าเตียเตีย[2]อีก เสิ่นหงเซวียนถอนหายใจในใจหนึ่งครา เจวี๋ยเกอเอ๋อร์กำลังแค้นเคืองเขาอยู่
อันที่จริงเสิ่นหงเซวียนคิดมากไปแล้วจริงๆ เสิ่นเจวี๋ยขี้เกียจจะแค้นเคืองเขาแล้ว สิ่งที่เขาต้องเรียนทุกวันมีมากมาย ไหนเลยจะมีเวลาไปแค้นเขา เพียงแค่คนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องเท่าไรนัก มีอะไรให้แค้นเคือง
“เจวี๋ยเกอเอ๋อร์ ฟังว่าวันนี้เจ้าทะเลาะกับพี่ห้าของเจ้าหรือ” เสิ่นหงเซวียนเค้นรอยยิ้มถาม
“ข่าวท่านพ่อไวอย่างยิ่ง พี่ห้ามาฟ้องท่านหรือ” เสิ่นเจวี๋ยหัวเราะในใจ “จะบอกว่าทะเลาะก็ไม่เชิง เพียงแค่พี่ห้าอยากได้สาวใช้ของพี่สี่ ข้าไม่อนุญาตก็เท่านั้นเอง”
เสิ่นเจวี๋ยมองบิดาของเขานิ่งๆ ในใจคาดไม่ถึงว่าไม่มีความรู้สึกลำบากใจแม้แต่นิดเดียว
เสิ่นเจวี๋ยตรงไปตรงมาเช่นนี้ เสิ่นหงเซวียนกลับตำหนิไม่ออกแล้ว เขาไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าว “เจวี๋ยเกอเอ๋อร์ ก็แค่สาวใช้ เสวี่ยเจี่ยเอ๋อร์อยากได้ก็ให้นางไปเถอะ คนในเรือนเวยเจี่ยเอ๋อร์เยอะแยะ เป็นพี่น้องกันแท้ๆ จะทะเลาะกันไปทำไม”
เสิ่นเจวี๋ยได้ยินแล้วสายตาก็นิ่งงัน น้ำเสียงเย็นเยียบขึ้น “เพราะว่าสินสมรสของแม่ข้ามีมากมาย ดังนั้นท่านจึงปล่อยให้ฮูหยินหลิวเอาไปใช้ได้งั้นหรือ ถือสิทธิ์อะไร ต่อให้คนในเรือนท่านพี่ข้าจะเยอะก็ไม่ได้ใช้เงินในจวนเลยสักนิดเดียวแล้วนางมีสิทธิ์อะไรมาขอตามอำเภอใจ ช่างหน้าใหญ่นัก เหตุใดนางถึงไม่ไปขอกับท่านปู่เสียเลยเล่า ขอเพียงแค่ข้าอยู่ ไม่ว่าใครก็อย่าได้คิดจะแตะต้องเรือนของพี่ข้า อย่าว่าแต่คน แม้แต่ดอกไม้ใบหญ้าก็ไม่ได้ทั้งสิ้น”
เสิ่นเจวี๋ยพูดเสียงดังกังวาน เขาไม่เข้าใจจริงๆ ท่านพ่อสมองกลับเหมือนท่านย่าเขาได้อย่างไร อยากได้ก็ต้องให้นางงั้นหรือ ฝันไปเสียเถอะ
เสิ่นหงเซวียนถูกลูกชายพูดเช่นนี้ สีหน้าก็ไม่ดีเล็กน้อยแล้ว “เจวี๋ยเกอเอ๋อร์ เสวี่ยเจี่ยเอ๋อร์เองก็เป็นพี่สาวของเจ้านะ” พี่น้องควรรักและเคารพซึ่งกันและกัน เหตุใดเด็กคนนี้ถึงได้ดื้อรั้นเช่นนี้เล่า
เสิ่นเจวี๋ยมองปราดเดียวก็เห็นความคิดของบิดาเขาแล้ว ความเหยียดหยันในดวงตายิ่งเพิ่มขึ้น “ลูกเองก็ไม่ได้บอกว่านางไม่ใช่พี่สาวข้านี่ หากนางไม่ใช่พี่สาวข้า ข้าคงจะตบนางไปนานแล้ว คนอะไร เดือนหน้าก็จะออกเรือนแล้ว ไม่ปักสินสมรสอยู่ในห้องอย่างตั้งใจ แต่กลับคิดแต่วิธีเล่นเล่ห์อุบาย”
คิ้วของเสิ่นหงเซวียนขมวดมุ่น “ก็แค่สาวใช้” ต้องทำขนาดนี้เลยหรือ ต้องทะเลาะกันจนย่ำแย่เช่นนี้เลยหรือ ครอบครัวที่ปรองดองต่างหากจึงจะเจริญรุ่งเรือง
“ใช่แล้ว ก็แค่สาวใช้หนึ่งคน ถือสิทธิ์อะไรต้องให้นาง นางเป็นใครกัน อยากได้สาวใช้ไปหาท่านป้าสะใภ้ใหญ่ก็ได้แล้ว ตั้งใจมาถึงเรือนของพี่ข้า หมายความว่าอย่างไร ไม่ใช่เห็นว่าพี่ข้าไม่อยู่หรือ สาวใช้ในเรือนนางเองนางตีนางดุด่าก็พอแล้ว อย่าคิดจะยื่นมือเข้ามาในเรือนพี่ข้าเลย”
“ท่านพ่อ ท่านคิดว่าลูกสาวคนนี้ของท่านสุภาพอ่อนโยน งดงามใจกว้างใช่หรือไม่ เหตุใดท่านถึงไม่ลองถามคนใช้ในจวนดูเล่าว่าคุณหนูห้ามีนิสัยอย่างไร ทำลายข้าวของ เฆี่ยนตีดุด่าสาวใช้ เอาปิ่นปักผมแทงร่างสาวใช้ ลูกสาวท่านร้ายกาจยิ่งนัก ไม่จำเป็นต้องให้ท่านออกหน้าแทนนางหรอก”
เสิ่นเจวี๋ยไม่สนใจว่าคนผู้นี้ตรงหน้าจะเป็นบิดาเขา เจ้าทำให้ข้าไม่มีความสุข เช่นนั้นเจ้าก็อย่าได้คิดจะเป็นสุขเลย
“เจวี๋ยเกอเอ๋อร์!” เสิ่นหงเซวียนร้องตะโกนดังหนึ่งครา สีหน้าเจ็บปวด “เจ้า เจ้าใส่ร้ายป้ายสีพี่สาวตัวเองเช่นนี้ได้อย่างไร” เด็กคนนี้เปลี่ยนไปพูดจาเกินเลยเช่นนี้ได้อย่างไร
เสิ่นเจวี๋ยหัวเราะเบาๆ หนึ่งครา “ใส่ร้ายงั้นหรือ ฮ่าๆ ในสายตาท่านพ่อลูกก็คือคนเช่นนี้เองหรือ” อันที่จริงเสิ่นเจวี๋ยเองก็ลำบากใจอย่างยิ่งเช่นกัน อย่างไรเสียนี่ก็คือบิดาของเขา บิดาที่เขาเรียกว่าท่านพ่อมาสิบกว่าปี เขาเคยปรารถนาความใส่ใจและความรักจากเขาเช่นนั้น แต่ตอนนี้เมื่อกระโดดออกจากกรอบมายืนอยู่ข้างนอกเขาจึงพบว่าท่านพี่พูดถูก พ่อเขาเป็นคนตาบอด ทั้งยังเก่งในการหลอกตัวเองอีกด้วย
“ไม่เชื่อตอนนี้ท่านก็ไปดูพี่ห้าในห้องสิ ในห้องนางจะต้องเปลี่ยนเครื่องใช้ใหม่แล้วเป็นแน่ ท่านไปดูอี่หงอี่ชุ่ยข้างกายนางด้วย ดูบาดแผลบนร่างพวกนางเสียด้วย”
สายตาที่เสิ่นหงเซวียนมองลูกชายเหลือเชื่อยิ่งขึ้นเรื่อยๆ “เจวี๋ยเกอเอ๋อร์ เจ้า เจ้าเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร” วาจาบาดลึกเสียดแทง ไหนเลยจะยังมีมาดคุณชายตระกูลใหญ่เหลืออยู่
ทว่าเสิ่นเจวี๋ยกลับสบสายตาของบิดา “ข้าเป็นเช่นนี้ไม่ดีหรือไร การเรียนก้าวหน้าไม่สร้างเรื่องสร้างปัญหา ดีกว่าคนโง่ที่เอาแต่ต่อยตีถูกเลี้ยงจนเสียคนอย่างเช่นเมื่อก่อนมิใช่หรือ ตอนนี้มีใครบ้างไม่ชมว่าข้าเป็นคนไม่เอาถ่านที่กลับตัว ท่านพ่อ นี่ต้องขอบคุณที่ท่านสั่งสอนเป็นอย่างยิ่ง” หากไม่มีไม้โบยของท่านที่ตีให้ข้าตื่น ตอนนี้ข้าก็อาจจะยังโง่เขลาเบาปัญญาอยู่ก็ได้
“เจวี๋ยเกอเอ๋อร์ เจ้าโกรธแค้นพ่อ” มีแต่สวรรค์ที่รู้ว่าเสิ่นหงเซวียนพูดประโยคนี้ออกมาด้วยความยากลำบากเพียงใด ดวงตาของเขามีประกายคลุมเครือแวบผ่าน ไม่อยากยอมรับความจริงนี้เป็นอย่างยิ่ง
“ไม่ถึงเพียงนั้น ลูกจะโกรธแค้นท่านพ่อได้อย่างไร” เพียงแค่ไม่ได้สนใจก็เท่านั้นเอง เสิ่นเจวี๋ยเสริมหนึ่งประโยคในใจ “ลูกเพียงแค่อยากจะบอกท่านว่า ฉาฮวาสาวใช้คนนี้ข้าไม่อาจอนุญาตให้พี่ห้าได้ ท่านบอกนางให้หยุดเถอะ อีกไม่ช้าก็จะออกเรือนแล้ว และลองคิดดูด้วยว่าการสมรสนั้นมาได้อย่างไร อย่าได้หาเรื่องพวกข้าพี่น้องอีก ถึงตอนนั้นคนที่เสียหน้ายังไม่แน่ว่าจะเป็นใคร”
เห็นบิดายังอยากจะพูดต่อ เสิ่นเจวี๋ยก็หรี่ตาลง ในดวงตามีประกายอันตรายกะพริบผ่าน กดเสียงต่ำกล่าว “ท่านพ่อ รู้หรือไม่ว่าพี่สาวข้าอยู่ที่ใด ลูกจะบอกท่านให้ นางไม่ได้อยู่ที่วัดต้าเจวี๋ย นางอยู่เมืองชายแดนซีเจียง ท่านปู่สั่งให้นางไปเอง บุรุษทั้งจวนยังมีประโยชน์ไม่เท่าสตรีผู้หนึ่ง ท่านไม่คิดว่าน่าอับอายหรอกหรือ นางสู้รบเอาเป็นเอาตายอยู่ในสนามรบ ในจวนยังมีคนคิดแผนร้ายในเรือนนาง น่าเป็นเกียรติยิ่งนักว่าหรือไม่ อ้อยังมี เรื่องนี้อย่าได้พูดออกไปเชียวเล่า มิเช่นนั้นท่านเชื่อหรือไม่ว่าท่านปู่สามารถตีขาท่านหักได้”
เห็นสีหน้าเหลือเชื่อบนใบหน้าบิดาแล้ว ในใจเสิ่นเจวี๋ยก็สบายใจยิ่งนัก “ท่านพ่อ ท่านพักเถอะ ลูกขอตัวก่อน”
เห็นแผ่นหลังที่ออกไปช้าๆ ของลูกชาย เสิ่นหงเซวียนก็ยื่นมือคิดจะเรียกเขา แต่ก็รู้สึกว่าลำคอถูกอะไรบางอย่างอุดไว้ ไม่ว่าอย่างไรก็ส่งเสียงไม่ออก ครู่ใหญ่ มือของเขาก็ตกลงอย่างไร้เรี่ยวแรง ร่างทั้งร่างนั่งลงบนเก้าอี้ ใบหน้าคล้ายเศร้าโศกคล้ายตกใจ ปากส่งเสียงคล้ายหัวเราะคล้ายร้องไห้
เวยเจี่ยเอ๋อร์สู้รบอยู่ที่ซีเจียง อีกทั้งท่านปู่ยังเป็นคนเรียกให้นางไปอีกด้วย ข่าวสองข่าวนี้ปะทุออกมาจนเขาดึงสติกลับมาไม่ได้ ตอนนี้ในสมองเขาขาวโพลน ในใจมีความรู้สึกต่างๆ ผสมปนเปไปหมด
ในที่สุดศึกใหญ่ที่ซีเจียงก็มาถึงแล้ว
ฝุ่นละอองตลบ ม้าศึกร้องดัง ธงรบโบกสะบัด
กองทัพซีเหลียงบุกเข้ามาอย่างโหดเ**้ยม เลื่องชื่อว่ากองทัพยิ่งใหญ่เกรียงไกร กำลังจะโจมตีเมืองชายแดน
เสิ่นเวยยืนอยู่บนกำแพงเมือง นางเองก็ไม่แน่ใจว่ากองทัพใหญ่ซีเหลียงแท้จริงแล้วมีกี่คน เพียงแค่มองเห็นพวกเขาวิ่งบุกเข้ามาที่เมืองชายแดนราวกับเมฆดำ ต่อให้สวีโย่วจะปลอบใจนางว่ากองทัพ
ซีเหลียงมีอย่างมากที่สุดห้าหมื่นนาย หัวใจของนางก็ยังจมดิ่งลงอย่างอดไม่ได้
ขอเพียงแค่มีสงครามก็จะต้องมีคนตาย แม้ว่าก่อนหน้านี้จะทำการป้องกันนับไม่ถ้วนแล้ว แต่ก็ยังคงต้องมีคนตายอย่างเลี่ยงไม่ได้ ตอนนี้คนที่ยังยืนพูดคุยหัวเราะอยู่ข้างกายนาง หลังจากสงครามครั้งนี้อาจจะไม่อยู่แล้วก็เป็นได้
นี่ก็คือเหตุผลหลักที่เสิ่นเวยเกลียดสงคราม นางไม่ชอบให้มีคนตาย นางหวังว่าทหารและประชาชนทั้งหมดในเมืองชายแดนจะมีชีวิตอยู่อย่างสงบสุข แต่ว่านี่คือสงคราม สงครามที่โหดร้ายอย่างยิ่ง…เสิ่นเวยกำหมัดแน่น แววตาเย็นเยียบ
ท่านเสิ่นโหวเองก็อยู่บนยอดกำแพงเมือง ดวงตาทั้งคู่ของเขาราวกับสายฟ้า ประหนึ่งต้นสนอายุยืนที่ทรงพลังต้นหนึ่ง เขามองกองทัพใหญ่ซีเหลียงที่ทะลักเข้ามา ในใจสงบนิ่ง ก่อนหน้านี้เขาได้รับข่าวแล้ว ตอนนี้กองทัพใหญ่ซีเหลียงไม่ได้มีองค์ชายใหญ่หลี่หยวนเผิงเป็นแม่ทัพ เดิมคิดว่าเป็นเรื่องเท็จ แต่ตอนนี้เห็นขบวนของกองทัพใหญ่ซีเหลียง กลับมั่นใจได้เจ็ดส่วน ทว่าเขารอบคอบจนเคยชินแล้ว ยังคงไม่กล้าชะล่าใจ
“คุณชายใหญ่ อันตรายอยู่รอบด้าน ท่านกลับจวนโหวไปก่อนเถอะ” ท่านเสิ่นโหวโน้มน้าวอีกครั้ง แม้เขาจะรู้ว่าเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างหลานสาวตนผู้นี้จะเป็นวรยุทธ์ แต่เขาก็ยังหวังว่าเขาจะกลับจวนโหว อีกประเดี๋ยวกองทัพใหญ่ซีเหลียงโจมตีเมืองแล้วใครจะรู้ว่าจะได้รับบาดเจ็บหรือไม่ ทางองค์จักรพรรดิไหนเลยจะชี้แจงได้ง่ายเพียงนั้น
“ท่านโหววางใจ มีน้องสี่อยู่ ข้าไม่เป็นอะไรหรอก” สวีโย่วกล่าวอีกครั้ง
คนทั้งหมดที่ได้ยินประโยคนี้ รวมถึงเสิ่นเวยต่างก็กระตุกมุมปาก โดยเฉพาะท่านเสิ่นโหว ใครจะสนว่าเจ้าจะเป็นอะไรหรือไม่ ผู้ชรากลัวเจ้าจะเป็นภาระเจ้าสี่ต่างหากเล่า
กองทัพใหญ่ซีเหลียงเข้ามาใกล้แล้ว ใกล้กว่าเดิมแล้ว ในตอนที่กำลังจะเข้าสู่รัศมีการยิงพวกเขากลับหยุดลง พยุงเครื่องยิงหินขึ้นเตรียมถล่มเมือง
เสิ่นเวยโมโหจะแย่แล้ว นางยังคิดจะใช้ธนูเปิดฉากสังหารก่อนอยู่เลย เหอะ มีแค่พวกเจ้าที่มีเครื่องยิงหินหรือไร ฝั่งข้าก็มีเหมือนกัน ฝั่งข้ารับรองว่าชั้นสูงกว่าพวกเจ้าแน่นอน ข้าอยู่ที่สูง สะดวกกว่าพวกเจ้าเยอะ
เครื่องยิงหินของซีเหลียงเพิ่งจะตั้งเสร็จดี เครื่องยิงหินของต้ายงก็ยิงออกมาแล้ว ที่ส่งออกมาไม่ใช่หินก้อนใหญ่ แต่เป็นลูกไฟลูกเล็กๆ นี่คือแนวคิดที่เสิ่นเวยขบคิดออกมาใหม่กับคนอื่นๆ ‘ห่อเศษผ้าเศษฝ้ายบนหินก้อนใหญ่ แล้วราดน้ำมันข้างบนอีกที’
ฤดูหนาว อากาศแห้งสิ่งของก็แห้ง ลูกไฟตกลงกลางกองทัพใหญ่ซีเหลียง ชั่วขณะไฟก็ลามทั่ว ไม่ถูกทับตาย ก็ถูกไฟเผาตาย กองทัพใหญ่ซีเหลียงสับสนอลหม่านในชั่วพริบตา ดับไฟอย่างสุดชีวิต เสียงร้องโอดครวญดังออกมาไม่หยุด
เหล่าทหารต้ายงบนยอดกำแพงเมืองมองเห็นแล้ว พากันหัวเราะร่าฮ่าๆ ศึกแรกประสบความสำเร็จจะไม่ดีใจได้อย่างไร
“เร็วเข้าๆ ให้สุนัขซีเหลียงกินลูกไฟอีกหลายๆ ลูก ให้พวกมันได้เห็นความร้ายกาจของพวกเรา” หวังต้าชวนตะโกนเสียงดัง
ลูกไฟบนยอดกำแพงเมืองขว้างไปยังกองทัพใหญ่ซีเหลียงแต่ละลูกๆ บนร่างทหารซีเหลียงจำนวนมากติดไฟ “ถอยๆ รีบถอย!” ผู้บังคับบัญชาซีเหลียงเห็นสถานการณ์ไม่ดีก็ออกคำสั่งทันที
บนยอดกำแพงมีเสียงโห่ร้องยินดีสั่นสะเทือนฟ้าดังออกมา “สุนัขซีเหลียงถอยแล้ว สุนัขซีเหลียงหวาดกลัวแล้ว!”
ประโยคนี้ทำให้องค์ชายรองในกองทัพซีเหลียงโมโหเดือดดาล “ห้ามถอย บุกเข้าไป บุกเข้าไปเดี๋ยวนี้!” แค่เครื่องยิงหินไม่กี่เครื่องเช่นนั้นจะไปทำอะไรได้ พวกเขามีคนเยอะ ไม่เชื่อว่าบุกเข้าไปไม่ได้
ในใจแม่ทัพซีเหลียงไม่ยินยอม แต่ก็ไม่อาจคัดค้านคำสั่งขององค์ชายรองได้ ทำได้เพียงบัญชาการกองทัพใหญ่ให้บุกขึ้นไปข้างหน้าต่อ
ลูกไฟฝั่งต้ายงอย่างไรเสียก็มีจำกัด ขัดขวางกองทัพใหญ่ซีเหลียงได้พักหนึ่ง ท้ายที่สุดก็ยังมีทหารซีเหลียงไม่น้อยบุกข้ามเขตปิดล้อมได้แล้ว ยกบันไดโจมตีเมืองมาข้างล่างกำแพงเมือง
ในที่สุดมือธนูก็ลงสนาม ลูกธนูที่แน่นขนัดราวกับห่าฝนบินไปยังทหารซีเหลียง แต่ละคนยิงห้าดอก ยิงเสร็จแล้วก็เปลี่ยนคนทันที ผ่านไปหนึ่งรอบทหารซีเหลียงล่างกำแพงเมืองก็บาดเจ็บล้มตายไปหนึ่งกลุ่ม
ตอนนี้ เครื่องยิงหินของซีเหลียงตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้ว ยังมีทหารซีเหลียงส่วนหนึ่งมาถึงประตูกำแพงเมืองแล้ว ทหารชายแดนบนยอดกำแพงเมืองเริ่มมีคนบาดเจ็บล้มตาย สงครามที่ดุเดือดครั้งนี้กำลังเปิดฉากอย่างเป็นทางการ
[1] ฟู่ชิน (父亲) แปลว่าบิดา พ่อ เป็นคำเรียกที่แสดงถึงความเคารพ
[2] เตียเตีย (爹爹) แปลว่าพ่อ เป็นคำเรียกที่ค่อนข้างสนิทสนมเป็นกันเองมากกว่าคำว่า ฟู่ชิน (父亲) ทั้งนี้สองคำนี้แปลว่าพ่อทั้งคู่ แต่ฟู่ชินจะค่อนข้างเป็นทางการมากกว่า ในที่นี้จึงจะขอแทนคำเรียกที่เสิ่นเจวี๋ยใช้เรียกเสิ่นหงเซียนว่า ‘ท่านพ่อ’ เพื่อให้เข้าใจง่ายและไม่สับสน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น