กระบี่จงมา 168.2-168.3

 บทที่ 168.2 บิดาทุกคนในโลกล้วนเป็นวีรบุรุษ

โดย

ProjectZyphon

สตรีแต่งงานแล้วร้องอ้อหนึ่งที ถามยิ้มๆ “แล้วเฉินผิงอันที่เจ้าเรียกล่ะเป็นใคร? ที่บ้านเขามีเงินมากกว่าหรือเปล่า? คงไม่ใช่พี่เขยที่เจ้าช่วยเลือกไว้ให้พี่สาวหรอกกระมัง?”


หลี่ไหวส่ายหน้า “เฉินผิงอันน่ะหรือ เขาคือหนึ่งในสหายที่ดีที่สุดของข้า เหมือนกับอาเหลียง แต่เขาไม่ใช่พี่เขยของข้า อันที่จริงอายุของเขากำลังนี้ แต่หลี่หลิ่วไม่คู่ควรกับเขา”


สตรีแต่งงานแล้วตบอีกป้าบ “อะไรคือหลี่หลิ่วไม่คู่ควรกับเขา ใครเขาพูดถึงพี่สาวแบบเจ้าบ้าง? พี่สาวเจ้ามีตรงไหนที่ไม่ดี หน้าตาก็งดงาม นิสัยหรือก็ไม่เลว แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นภรรยาที่ช่วยเหลือสามีอบรมสั่งสอนบุตร เห็นชัดๆ ว่าแต่งให้ใคร คนนั้นย่อมไม่ขาดทุน”


ชายฉกรรจ์นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม สีหน้าเหยเก


หลี่ไหวพูดจาเหลวไหลด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าพูดเรื่องจริงนี่นา ท่านดูพี่สาวข้าสิ หน้าตาก็…พอดูได้ แต่หากเป็นชาติกำเนิด เฮ้อ พูดถึงเรื่องนี้แล้วข้าก็เศร้าใจนัก”


กล่าวมาถึงตรงนี้ เด็กชายก็คลี่ยิ้ม “แต่พวกเราเลือกไม่ได้ว่าพ่อแม่ควรเป็นใคร อีกอย่างครอบครัวเราอาจจะยากจนไปสักหน่อย แต่ท่านพ่อท่านแม่ต่างก็ดีมาก มีครั้งหนึ่งเฉินผิงอันไปอึกับข้าบนภูเขา พวกเราสองคนพูดคุยกันเรื่อยเปื่อย เฉินผิงอันบอกว่าพ่อแม่ของเขาจากไปเร็ว บอกให้ข้าเห็นความดีของพวกท่านให้มาก ตอนแรกข้าก็ไม่ได้คิดอะไรเยอะ นึกแค่ว่าเขาคงอึไม่ออกเลยหาเรื่องชวนข้าคุย ภายหลังเดินทางมาพร้อมกับเฉินผิงอันถึงได้รู้ว่าเขาพูดจากใจจริง จะบอกอะไรให้นะ ข้ากับเฉินผิงอันสนิทกันนักล่ะ พวกท่านเองก็รู้ว่าข้ากลัวผีที่สุด ตอนกลางคืนมักจะทนไม่ไหว ต้องลากเฉินผิงอันมานอนด้วย เขาไม่เคยบ่นรำคาญข้า จริงๆ นะ ไม่แม้แต่จะคิดในใจว่าข้าน่ารำคาญเลยด้วยซ้ำ คนแบบนี้ พี่สาวข้าไม่คู่ควรหรอก”


สตรีแต่งงานแล้วแค่นเสียงพูด “ไปฉี่ไปอึเป็นเพื่อนเจ้าก็เป็นคนดีมากแล้วรึ”


หลี่ไหวเริ่มนับนิ้ว “นอกจากเรื่องนี้ เฉินผิงอันยังทำหีบหนังสือใบเล็ก ถักรองเท้าสาน ทำกับข้าวซักผ้าให้ข้า ช่วยข้าเลี้ยงลา เวลาข้าไม่สบาย กลางดึกค่อนคืนเขาก็ยังวิ่งไปบนภูเขาหลายสิบลี้เพื่อเก็บสมุนไพรมาต้มยาให้ข้า จ่ายเงินซื้อหนังสือ ซื้อปิ่นหยกให้ข้า สอนวิชาหมัด บอกข้าว่าวันหน้าต้องกตัญญูต่อพ่อแม่ เวลาเกิดเรื่องไม่เคยด่าข้า กลับกันยังช่วยเหลือข้า คอยขวางอยู่เบื้องหน้า อัดพวกสารเลวพวกนั้นจนน่วม…นับไม่ถ้วนเลยล่ะ ข้าเองก็อยากได้เขามาเป็นพี่เขย ขนาดฝันยังอยากเลย”


สตรีแต่งงานแล้วอึ้งค้าง


ชายฉกรรจ์มองบุตรชายที่ท่าทางสดใสมีชีวิตชีวาจนไม่คุ้นตาก็ถอนหายใจอย่างปลงอนิจจัง แต่ที่มากกว่านั้นกลับเป็นความยินดี


สตรีแต่งงานแล้วยิ้มพลางหยิบรองเท้าผ้าคู่หนึ่งออกมา “รองเท้าคู่นี้พี่สาวเจ้าเป็นคนเย็บให้ ต้องใส่สบายกว่ารองเท้าสานแน่นอน”


หลี่ไหวถอนหายใจ


สตรีแต่งงานแล้วถามอย่างฉงน “เป็นอะไร?”


หลี่ไหวมองมารดาด้วยสายตากลัดกลุ้ม “ทำไมพวกท่านไม่คลอดพี่สาวให้มากสักหน่อย เอาที่หน้าตาดีกว่านี้ ข้าจะได้มอบให้เฉินผิงอัน ถ้าเป็นอย่างนั้นวันหน้าข้าคิดจะเรียกเขาว่าพี่เขยหรืออาจารย์อาน้อยก็ได้หมด”


สตรีแต่งงานแล้วบิดหูลูกชาย “มีใครเขาเหยียดหยามพี่สาวตัวเองอย่างเจ้าบ้าง ข้าโมโหจะตายอยู่แล้วนะ!”


เด็กสาวยิ้มจนดวงตาหยีเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว


นางรักใคร่เอ็นดูน้องชายที่นิสัยเกเรไร้กฎเกณฑ์ผู้นี้มาตั้งแต่เด็กจากใจจริง


อีกอย่างนางเองก็รู้ว่า ไม่ว่าน้องชายจอมดื้อของนางคนนี้จะพูดจาไม่ดีต่อตนอย่างไร แต่หลี่ไหวก็ดีกับนางมากๆ เพียงแต่คนนอกไม่รู้ก็เท่านั้น


“เด็กสองคนในบ้านเจ้า ลูกสาวมีพรสวรรค์ ลูกชายมีโชควาสนายิ่งใหญ่”


นี่ก็คือถ้อยคำที่หยางเหล่าโถวพูดออกมาด้วยตัวเองเมื่อครั้งที่บิดาของนางทำงานอยู่ในร้านยาตระกูลหยาง แน่นอนว่ายังมีอีกครึ่งประโยคที่เด็กสาวฟังแล้วก็ลืมทันที “ยังมีภรรยาปากร้ายที่ด่าฟ้าด่าดินด่ายมบาลอีกคนหนึ่ง ซึ่งนับเป็นความโชคร้ายของเจ้าหลี่เอ้อร์”


เสียงฝีเท้าดังมาจากหน้าประตู


เด็กชายบุคลิกเย็นชาแต่หน้าตาหล่อเหลาปรากฏกายอยู่ตรงหน้าประตู เขายืนอึ้งค้าง จากนั้นก็หน้าแดงก่ำอย่างที่ไม่ค่อยเป็นบ่อยนัก


หลี่ไหวกลัวว่าเรื่องจะไม่ยุ่งมากพอ จึงมองหลินโส่วอีแล้วชี้มาที่พี่สาวตัวเองพลางหัวเราะร่าเสียงดัง “หลี่หลิ่วพี่สาวข้า นางมาเยือนถึงบ้านด้วยตัวเองเพื่อเตรียมตัวเป็นภรรยาให้เจ้า”


สตรีแต่งงานแล้วมองหลินโส่วอีอย่างถูกชะตา ท่าทางทรงภูมิมีความรู้ ไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่เพราะเป็นลูกของขุนนางตระกูลร่ำรวย บางครั้งที่เขามาเยือนที่บ้าน แม้ว่าจะพูดไม่มาก แต่ก็เคารพนอบน้อมต่อนาง แล้วก็ไม่รังเกียจที่บ้านของพวกเขายากจน อีกทั้งสตรีแต่งงานแล้วยังมีความรู้สึกอันดีต่อคนเรียนหนังสือมาโดยตลอด มักรู้สึกว่าวันหน้าหากลูกสาวจะแต่งงาน ต้องให้แต่งกับตระกูลบัณฑิตผู้มีความรู้ ต่อให้บ้านของลูกเขยไม่มีเงินก็ไม่เป็นไร


หลี่ไหวยืนอยู่บนม้านั่งตัวยาว พูดจาหยอกเย้า “หลินโส่วอี เจ้ามานั่งข้างพี่สาวข้าสิ จะอย่างไรซะวันหน้าก็ต้องเป็นคนครอบครัวเดียวกันอยู่แล้ว”


สตรีแต่งงานแล้วบิดเนื้อลูกชาย “ห้ามพูดเหลวไหลนะ”


หลินโส่วอีสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง แน่นอนว่าเขาไม่กล้าไปนั่งข้างกายเด็กสาว หลังจากทักทายพ่อแม่ของหลี่ไหวอย่างมีมารยาทแล้วก็นั่งลงตรงข้ามเด็กสาวทั้งที่ยังอุ้มตำราไว้ในอ้อมอก


เป็นเด็กนักเรียนในโรงเรียนที่ชื่นชอบบุตรสาวของตนเหมือนกัน แต่เมื่อเปรียบเทียบกับหลินโส่วอีแล้ว อันที่จริงชายฉกรรจ์ชื่นชอบต่งสุ่ยจิงมากกว่า แต่ชายฉกรรจ์ก็รู้สึกว่าหลินโส่วอีเองก็ไม่เลว แค่ไม่มีนิสัยที่เข้ากันได้กับตนเหมือนต่งสุ่ยจิงก็เท่านั้น ในครอบครัวนี้ เรื่องที่หลี่หลิ่วจะออกเรือนในวันหน้า คำพูดของเขาไม่มีน้ำหนักมากที่สุด นับเป็นชนชั้นล่าง ภรรยาของเขาพยักหน้าตอบรับ หลี่ไหวเห็นด้วย หลี่หลิ่วชื่นชอบ สุดท้ายถึงเป็นเขาหลี่เอ้อร์


หลังจากนั้นก็พูดคุยกันถึงเรื่องสำนักศึกษาและภูเขาตงหัว รู้ว่าพ่อแม่ของหลี่ไหวทั้งสามคนจะพักอยู่ที่นี่หลายวัน หลินโส่วอีจึงเสนอว่าจะพาพวกเขาออกไปเดินเล่น


หลี่ไหวแอบขำ “โอ้ ทำตัวเป็นลูกเขยตั้งแต่ตอนนี้เลยหรือนี่”


เลยถูกพี่สาวของเขาบิดเนื้อตรงแขนเบาๆ หนึ่งที รวมไปถึงรับมะเหงกจากมารดาไปเต็มๆ


ทัศนียภาพของภูเขาตงหัวยอดเยี่ยมอย่างมาก เดินเล่นครั้งนี้ใช้เวลาไปเกือบหนึ่งชั่วยาม อีกทั้งยังเดินเล่นได้แค่ครึ่งภูเขาเท่านั้น เมื่อกินข้าวกลางวันกันแล้ว อาจารย์สองท่านของสำนักศึกษาก็มาเยือนถึงหอพักของหลินโส่วอีด้วยตัวเอง พวกเขายังคงความสุภาพเกรงอกเกรงใจ ทำให้สตรีแต่งงานแล้วที่หัวใจที่แขวนค้างเติ่งวางใจลงได้ จะอย่างไรซะในสายตาของนาง ฉีจิ้งชุนก็เป็นแค่อาจารย์สอนหนังสือผู้ยากจนในสถานที่เล็กๆ แห่งหนึ่ง ตัวคนนิสัยดีก็จริง แต่ตอนนี้เมื่อมาอยู่ที่เมืองหลวงต้าสุย บัณฑิตที่มีสถานะอย่างแท้จริงจะไม่มีนิสัยร้ายกาจเลยสักนิดได้อย่างไร? ลูกชายของตนนิสัยแบบไหน นางที่เป็นแม่รู้ชัดเจนยิ่งกว่าใคร นางกลัวจริงๆ ว่าพวกอาจารย์จะมองเขาเป็นเข็มทิ่มนัยน์ตาซึ่งไม่ได้เรื่องในการเรียนมากที่สุด ทุกวันนอกจากจะตวาดใส่แล้วยังมีหวดด้วยไม้เรียว ถ้าเป็นแบบนั้นหลี่ไหวจะทนไหวได้อย่างไร?


ขณะที่ครอบครัวสี่ชีวิตพูดคุยอยู่กับอาจารย์สองท่าน หลินโส่วอีที่เป็นคนนอกก็นั่งอยู่ด้านข้างเงียบๆ


หลังจากผ่านมรสุมที่ใหญ่โตยิ่งกว่าแผ่นฟ้าครั้งนี้มา นิสัยของหลี่ไหวก็เปลี่ยนไปมาก สุขุมและรู้ความขึ้นเยอะ


ส่วนเด็กสาวคนนั้นกลับมีนิสัยอ่อนโยนเยือกเย็นราวกับว่าต่อให้ผ่านไปอีกหนึ่งพันหนึ่งหมื่นปีก็ไม่มีทางแปรเปลี่ยน นางมีดวงตาคู่ที่งดงามมากเป็นพิเศษ หลินโส่วอีมองเป็นร้อยรอบก็ไม่เบื่อ แน่นอนว่าเป็นการแอบมอง


มารดาของหลี่ไหวไม่โหวกเหวกเสียงดังอย่างที่เคยเป็นอีกแล้ว นางพูดเสียงเล็กแผ่วเบา แตกต่างจากตอนที่อยู่ในเมืองเล็กอย่างสิ้นเชิง และยังดูกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด ถึงขั้นสู้ความใจกว้างของบุตรสาวนางไม่ได้ด้วยซ้ำ และนี่ก็เป็นสาเหตุที่หลินโส่วอีชอบเด็กสาว เด็กสาวหลี่หลิ่วไม่เคยเรียนหนังสือ แต่มักจะไปรับหลี่ไหวตอนเลิกเรียนเป็นประจำ ต่อให้เจอกับอาจารย์ฉิ้งชุน เด็กสาวก็ยังคงไม่มีท่าทางต่ำต้อยและไม่เย่อหยิ่ง รู้จักวางตัวเป็นอย่างนี้ เผยให้เห็นถึงความงดงามและฉลาดเฉลียวที่มีตามธรรมชาติ ไม่ว่ากับใครเด็กสาวก็ล้วนมีมารยาทและเกรงใจ ให้ความรู้สึกประหลาดแก่หลินโส่วอีประมาณว่านางอยู่ใกล้เจ้ามาก แต่กลับห่างไกลมาก ขณะเดียวกันต่อให้นางอยู่ห่างจากเจ้าไปไกลมาก ไกลจนมองไม่เห็น แต่กลับเหมือนว่านางกำลังยืนอยู่ในหัวใจของเขาใกล้ๆ นี้เอง


ดังนั้นหลินโส่วอีจึงชอบนางมาก


ต่อให้ได้แค่แอบมองนางอยู่อย่างนี้ อารมณ์ของหลินโส่วอีก็ยังคงสงบและมีความสุขอย่างมาก


ได้เห็นภูเขาและสายน้ำที่งดงามมามากมาย แต่ขอแค่นางไม่อยู่ตรงนั้น ที่นั่นก็ล้วนไม่ใช่ทัศนียภาพที่ดีที่สุด


ส่วนบิดาของหลี่ไหว ชายฉกรรจ์ทึ่มทื่อคนนั้นเกรงใจอาจารย์ทั้งสองท่านอย่างถึงที่สุด หากเป็นไปได้คงจะลุกขึ้นมารินน้ำชายกน้ำให้คนทั้งสองด้วยตัวเอง เวลาพูดก็ค้อมเอวอยู่ตลอดเวลา เรือนกายที่เดิมทีก็ไม่สูงใหญ่จึงยิ่งดูเล็กเตี้ยม้อต่อเข้าไปอีก ยังสู้ภรรยาที่นั่งยุกยิกไม่อยู่สุขไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เอาแต่โน้มน้าวให้พวกอาจารย์ของหลี่ไหวทานของว่าง แต่ปัญหาก็อยู่ที่ว่าถึงแม้อาจารย์ทั้งสองท่านมีฐานะธรรมดาในสำนักศึกษา แต่อาจารย์ที่สามารถสอนหนังสือในสำนักศึกษาได้ มีใครบ้างที่ไม่ได้เรื่องไม่ได้ราว? คำสอนของอริยะกล่าวไว้ว่า ไม่กินอาหารที่ไม่สด สะอาด ใหม่ จึงไม่แน่เสมอไปว่าคนเขาจะยอมกินอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะเหล่านั้น กินเล็กๆ น้อยๆ พอเป็นพิธีคงได้อยู่ แต่ไหนเลยจะถึงขั้นกินจนตัวเองอิ่มหนำ


หากเปลี่ยนมาเป็นเมื่อก่อน หลี่ไหวเห็นท่าทางเช่นนี้ของบิดาตนย่อมรู้สึกขายหน้า แต่คราวนี้หลี่ไหวกลับไม่คิดอย่างนั้น


บิดาเขาไม่มีความสามารถใด แต่สิ่งใดที่ชั่วชีวิตนี้บิดาเขาหามาได้ก็ล้วนยกให้เขาหลี่ไหวหมดแล้ว


ตอนนี้หลี่ไหวรู้สึกว่าไม่ว่าบิดาจะทำอะไร ก็ล้วนไม่น่าอาย


เฉินผิงอันที่ไม่ค่อยเต็มใจจะพูดเล่นเรื่อยเปื่อยกับเขาและหลินโส่วอีเคยสอนหลักการทำนองเดียวกันนี้แก่หลี่ไหว อีกทั้งเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น ทำให้หลี่ไหวที่รับฟังอย่างไม่เห็นเป็นสำคัญพอจะเข้าใจอยู่ในใจได้คร่าวๆ อาเหลียงเองก็เคยพูดกับหลี่ไหวโดยไม่ได้ตั้งใจว่า คนมีเงินให้เงินเจ้าหนึ่งพันตำลึงเงิน กับเฉินผิงอันที่ให้เงินเจ้าสิบตำลึงเงิน ใครที่หวังดีกับเจ้ามากกว่ากัน จงตรองดูเอาเอง หากเจ้าเกิดความซาบซึ้งใจในบุญคุณของฝ่ายแรกมากกว่า ย่อมได้ นั่นเป็นเพราะเจ้ายังเด็ก ความรู้มีไม่มาก จึงไม่เป็นปัญหาเท่าไหร่ แต่หากเจ้าทำเมินมองไม่เห็นฝ่ายหลัง นั่นก็แสดงว่าเจ้าไร้น้ำใจ เจ้าโง่


มองชายที่ยุ่งวุ่นวายกับการรับรองแขกด้วยรอยยิ้มเซ่อซ่า หลี่ไหวก็พลันรู้สึกเจ็บแปลบในใจ จึงเปิดปากบอกให้เขาพักผ่อนสักครู่


แรกเริ่มชายฉกรรจ์คิดว่าเป็นเพราะตนทำอะไรไม่พิถีพิถันมากพอ แต่พอเห็นสายตาของบุตรชาย รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้หมายความเช่นนั้น ก็ยิ้มแล้วไปยืนอยู่ข้างๆ อยากจะนั่งยองลงกับพื้นก็รู้สึกอีกว่าทำอย่างนั้นออกจะหยาบกระด้างเกินไป ย่อตัวลงไปได้ครึ่งหนึ่งจึงรีบลุกขึ้นยืนอีกครั้ง เห็นบุตรชายหันหลังให้อาจารย์ทั้งสองทำหน้าทะเล้นใส่ตน ชายฉกรรจ์จึงยิ้มซื่อๆ ส่งกลับ ถูมือตัวเองไปมา เดิมทีเขายังตื่นเต้นกับการรับรองอาจารย์ของบุตรชายตัวเองอยู่บ้างจริงๆ แต่ตอนนี้ดีขึ้นเยอะแล้ว


พูดคุยกันจบ อาจารย์สองท่านก็จากไป เพราะตอนบ่ายยังมีสอน หนึ่งครอบครัวสี่คนกับหลินโส่วอีอีกหนึ่งคนพากันเดินไปส่งถึงนอกประตู


ตอนบ่ายหลี่ไหวมีเรียน แต่เด็กชายบอกว่าวันนี้จะอยู่เป็นเพื่อนพ่อกับแม่ เขารับรองว่าพรุ่งนี้จะเริ่มเรียนหนังสืออย่างตั้งใจและขยันมากกว่าเดิม หนังสือไม่มีขาให้เดินหนี ความรู้ในท้องของพวกอาจารย์ก็หายไปไหนไม่ได้ ขอแค่ตั้งใจอ่านหนังสือต้องตามทันแน่นอน ทว่าพ่อแม่อยู่ในสำนักศึกษาแค่ไม่กี่วัน ต้องอยู่เป็นเพื่อนให้มากหน่อย


ถ้อยคำรู้ความว่าง่ายนี้ทำให้สตรีแต่งงานแล้วฟังอย่างเหม่อลอย มองเด็กชายที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความจริงจังแล้วนางก็ร้องไห้โฮทันที จากนั้นก็หันไปเตะต่อยทุบตีชายฉกรรจ์อุตลุด ตำหนิที่เขาต้องเดินทางไปไกลถึงขนาดนั้น ทิ้งบุตรชายให้ลำบากอยู่ที่นี่คนเดียว


แน่นอนว่าชายฉกรรจ์ยอมรับหายนะที่บินมาหากะทันหันครั้งนี้ไว้เงียบๆ อย่างเต็มใจ


หลินโส่วอีปลุกความกล้าตัวเองถามหลี่หลิ่วเสียงเบาว่าอยากไปดูหอหนังสือด้วยกันหรือไม่ บอกว่าหนังสือที่เก็บไว้ในสำนักศึกษาแห่งนี้มีเยอะที่สุดในราชวงศ์ต้าสุย


เด็กสาวส่ายหน้ายิ้มๆ บอกว่านางอยากอยู่กับน้องชายมากกว่า


 —–


บทที่ 168.3 บิดาทุกคนในโลกล้วนเป็นวีรบุรุษ

โดย

ProjectZyphon

ช่วงบ่ายที่เหลือ หลี่ไหวเล่นสนุกอยู่ในที่พักของพ่อแม่ ไม่ลืมที่จะแบกหีบหนังสือใบเล็กใบนั้นมาด้วย เขาควักเขาหุ่นไม้หลากสีสันออกมาด้วยท่าทางลึกลับ บอกว่านี่คือสมบัติที่เขาเก็บรักษามาไว้นานแล้ว จากนั้นก็จงใจทำสีหน้าเจ็บปวดส่งมอบมันให้พี่สาว หลี่หลิ่วยอมไม่กล้ารับไว้ แค่เอามาถือเล่นในมือครู่หนึ่งแล้วส่งคืนให้หลี่ไหว หลี่ไหวถามนางว่าไม่ต้องการจริงๆ หรือ หลี่หลิ่วพยักหน้า หลี่ไหวหงุดหงิดเล็กน้อย บอกว่านางผมยาวความรู้สั้น ไม่รู้จักของดี


เด็กสาวลูบศีรษะของน้องชาย


หลินโส่วอีหน้าไม่หนาพอให้ดึงดันอยู่ต่อ จึงไปอ่านหนังสือที่หอหนังสือ เพียงแต่ไม่ว่าจะอ่านอย่างไรก็ไม่เข้าหัว จึงวางหนังสือลงแล้วมายืนอยู่ตรงหน้าต่างอย่างอ้างว้าง สายตามองจ้องรอให้ดวงตะวันตกดิน


ใกล้ยามสนธยา หลี่ไหวพลันเอ่ยว่าต้องการคุยอะไรบางอย่างกับบิดา สตรีแต่งงานแล้วถามว่ามีเรื่องอะไรถึงพูดคุยต่อหน้านางไม่ได้ คงไม่ใช่ว่าเขาหาพี่เขยให้กับหลี่หลิ่วแล้วเลยถือโอกาสหาแม่เลี้ยงให้กับตัวเองไปด้วยกันเลยหรอกนะ? หลี่ไหวพูดยิ้มๆ ว่าบิดาของเขาหล่นลงไปในหลุม ชั่วชีวิตนี้ไม่มีทางปีนขึ้นมาได้อีกแล้ว สตรีแต่งงานแล้วหัวเราะพลางยกมือทำท่าจะตี มองเงาร่างของหนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่ที่พากันเดินไปทางประตู เมื่อในห้องไม่มีผู้ชายอยู่แล้ว สตรีแต่งงานแล้วถึงได้ถอนหายใจ หลั่งน้ำตาเงียบๆ แม้ว่าเด็กสาวจะเป็นคนอ่อนโยนอ่อนหวาน แต่กลับไม่มีนิสัยอ่อนไหวเป็นทุกข์ง่าย ทว่าพอเห็นมารดาของตนเป็นเช่นนี้ หลี่หลิ่วก็อดเสียใจไม่ได้


พวกนางต่างก็ไม่โง่ หากไม่ได้รับความยากลำบากที่แท้จริงมาก่อน หลี่ไหวก็ไม่มีเติบโตขึ้นภายในค่ำคืนเดียวเช่นนี้ เพียงแค่เด็กชายที่รู้ความแล้วไม่อยากพูดเรื่องที่ทำให้ไม่มีความสุขก็เท่านั้น


หลี่ไหวพาชายฉกรรจ์เดินออกมานอกประตู ห่างจากนอกประตูไปไม่ไกลมีทะเลสาบขนาดเล็กอยู่แห่งหนึ่ง คนทั้งสองเดินเลียบทะเลสาบอย่างเชื่องช้า หลี่ไหวเอ่ยถาม “ท่านพ่อ ภูเขาตงหัวลูกนี้ใหญ่เท่าพวกภูเขาที่บ้านเกิดที่ท่านเคยไปเยือนได้หรือไม่?”


ชายฉกรรจ์ตอบยิ้มๆ “ใหญ่กว่าภูเขาบางลูก แต่ก็เล็กกว่าบางลูก”


คำตอบจืดชืดน่าเบื่อหน่ายพอๆ กับตัวของชายฉกรรจ์เอง


หลี่ไหวกลอกตามองบน นั่งยองอยู่ข้างทะเลสาบ หยิบหินก้อนหนึ่งโยนไปในน้ำ “ท่านพ่อ แค่ที่ท่านดีต่อท่านแม่ของข้าก็ดีมากแล้ว”


ชายฉกรรจ์พูดไม่เก่ง จึงไม่รู้ว่าควรตอบกลับอย่างไร


หลี่ไหวพลันลดเสียงลงต่ำ “แล้วท่านพ่อก็ดีกับข้ามาก เรื่องในอดีต ข้าขอโทษนะ”


ชายฉกรรจ์นั่งยองลง เอ่ยเสียงเบา “มีลูกที่ไหนพูดขอโทษพ่อบ้างเล่า ไม่จำเป็นหรอก”


แล้วไม่นานชายฉกรรจ์ก็พูดด้วยสีหน้าขมขื่น “เจ้าพูดแบบนี้ พ่อใจไม่ดีเลย”


หลี่ไหวยิ้มกว้าง หันหน้ากลับไปมองบุรุษที่เคยทำให้ตนถูกเพื่อนในโรงเรียนดูถูกผู้นี้แล้วเอ่ยเบาๆ “ท่านพ่อ ข้าขี้ขลาด นิสัยนี้เหมือนท่านหรือเหมือนท่านแม่ล่ะ ตามหลักแล้วท่านยังกล้าขึ้นเขาไปคนเดียว แต่ข้าไม่กล้า เมื่อก่อนตอนอยู่กับเฉินผิงอันก็ไม่รู้สึกอะไร อยู่ในบ้านมาจนชินแล้วจึงรู้สึกว่าการที่คนอื่นดีต่อข้าก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกหลักฟ้าดินแล้วหรอกหรือ? ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าไม่ได้เป็นอย่างที่ข้าคิดเลย ข้างนอกมีคนชั่วร้ายอยู่มากมาย แม้ว่าเฉินผิงอันจะไม่ชอบพูด นิสัยพอๆ กับท่านพ่อ หากดีกับใครก็แทบจะเอาของทั้งหมดที่มีอยู่ในกายมอบให้คนๆ นั้น ปากเขาไม่เคยพูดอะไร เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงาน…”


หลี่ไหวกล่าวมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย “เพียงครั้งเดียวที่เฉินผิงอันดีกับตัวเองมากหน่อย ก็คือครั้งที่รับปากว่าจะเข้ามาในสถานศึกษาพร้อมกับพวกเรา เขาสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ เปลี่ยนมาสวมรองเท้าคู่ใหม่ไม่ใช่รองเท้าแตะ น่าเสียดายที่สุดท้ายแล้วเขาไม่ได้เผยตัว แอบจากไปเงียบๆ ข้าคิดถึงเขายิ่งนัก”


ชายฉกรรจ์ยื่นมือหนาใหญ่ออกมาวางเบาๆ บนศีรษะของเด็กชาย “โตแล้วนะ”


หลี่ไหวปัดมือของชายฉกรรจ์ทิ้ง กล่าวเสียงขุ่น “เปล่าสักหน่อย ตอนออกจากบ้านอายุเจ็ดขวบ นี่ยังไม่ทันปีใหม่เลย ดังนั้นข้าก็ยังเจ็ดขวบเหมือนเดิม”


ชายฉกรรจ์วางสองมือทับซ้อนกันไว้ตรงหน้าท้อง นั่งยองมองน้ำในทะเลสาบแล้วเริ่มเหม่อลอย สุดท้ายกล่าวอย่างละอายใจว่า “ชั่วชีวิตนี้พ่อไม่มีความสามารถอะไร ไม่อาจทำให้พวกเจ้าสามคนมีชีวิตที่สุขสบายได้แม้แค่ครึ่งวัน แถมยังทำให้เจ้าถูกคนดูหมิ่น เรียนหนังสือไม่มีความสุข ในใจของพ่อ…”


หลี่ไหวโบกมือตัดบทคำพูดของชายฉกรรจ์ พูดเหมือนคนแก่ “ข้าไม่ได้ตำหนิท่านหรอกนะ แต่ท่านอายุปูนนี้แล้วยังพูดเรื่องไร้สาระพวกนี้อีก”


เด็กชายเงียบไปครู่หนึ่งก็ทำไหล่ลู่คอตก “ท่านพ่อ อันที่จริงตอนที่เห็นท่าทางของท่านตอนอยู่ต่อหน้าอาจารย์ ข้ารู้สึกไม่ดีเลย”


คำพูดที่มาจากใจจริงของบุตรชาย ทำให้ชายผู้เงียบขรึมขยี้ซีกแก้มของตัวเองอย่างแรง มักจะรู้สึกว่าตัวเองผิดต่อเด็กชายที่รู้ประสาผู้นี้จริงๆ


สุดท้ายหลี่ไหวลุกขึ้นยืน เอ่ยยิ้มๆ “ท่านพ่อ สองวันนี้พาท่านแม่กับพี่สาวไปเดินเที่ยวเมืองหลวงของต้าสุยให้สนุกเถอะ ต่อให้เป็นของดีที่ซื้อไม่ไหว ได้มองก็ยังดี วันหน้ารอข้าเรียนหนังสือจนได้ดิบได้ดีแล้ว จะซื้อให้พวกท่านเอง! ไปเถอะๆ ท่านแม่ขี้กลัว ไม่มีพวกเราอยู่ข้างกายต้องเป็นกังวลอีกแน่”


หลี่ไหวกล่าวอย่างจริงจังมาก “ท่านพ่อ วันหน้าท่านต้องดีกับท่านแม่ให้มากๆ นางก็นิสัยอย่างนั้นเอง พูดจาไม่น่าฟัง แต่ท่านเป็นผู้ชายก็ควรจะใจกว้างกับนางให้มากหน่อย ว่าไหม?”


ชายฉกรรจ์พยักหน้ารับอย่างแรง ลุกขึ้นยืนแต่กลับบอกว่าเขาขออยู่ดูทัศนียภาพคนเดียวสักครู่


หลี่ไหววิ่งเหยาะๆ กลับไป เด็กชายกระโดดโลดเต้น ไร้ทุกข์ไร้กังวล แถมยังฝึกท่าหมัดมั่วซั่วไปด้วย


ชายฉกรรจ์พลันตะโกนเรียกบุตรชายของตน


หลี่ไหวที่วิ่งไปไกลแล้วหันกลับมาถามอย่างไม่เข้าใจ “ท่านพ่อ มีอะไร? อยากเข้าห้องน้ำหรือ?”


ชายฉกรรจ์ชูนิ้วโป้งให้เขา “เก่งมาก!”


“ยังต้องให้ท่านบอกหรือไง?!”


เด็กชายค้อนขวักใส่บิดาแล้ววิ่งกลับไป


……


เห็นหลี่ไหวจากไปแล้ว ชายฉกรรจ์จึงสะบัดข้อมือ กวาดตามองไปรอบด้านแล้วเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “เจ้าคนแซ่ชุย ออกมา!”


เด็กหนุ่มชุดขาวเรือนกายสะโอดสะองเดินออกมาจากด้านหลังต้นไม้ใหญ่ช้าๆ พลางยิ้มขออภัย “นายท่านใหญ่หลี่เอ้อร์มาแล้วหรือ ยินดีที่ได้พบๆ บอกให้รู้ไว้ก่อนว่าตอนนี้ข้าไม่ใช่ราชครูต้าหลีอะไรแล้ว แต่เป็นชุยตงซานแล้ว นับว่าเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนักกับหลี่ไหวบุตรชายของเจ้าครึ่งตัว เจ้าห้ามซ้อมคนอื่นมั่วซั่วเด็ดขาด”


ชายฉกรรจ์ที่ชื่อว่าหลี่เอ้อร์สีหน้าไร้อารมณ์ “เจ้าเล่ามาว่าเกิดอะไรขึ้น! หนึ่ง ทุกรายละเอียดทุกขั้นตอน ห้ามตัดทอนหรือใส่เสริมเติมแต่งเด็ดขาด สอง ข้าไม่รับรองว่าจะไม่ซ้อมเจ้าจนตาย”


เด็กหนุ่มชุยฉานหรือเรียกอีกชื่อว่าชุยตงซานมองประเมินชายฉกรรจ์อย่างละเอียด มองผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่ต่อสู้กับซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าแคว้นโดยอีกฝ่ายเกือบตายทั้งเป็น อารมณ์ของเด็กหนุ่มซับซ้อนอย่างถึงที่สุด นอกจากนี้ยังปลงอนิจจังเล็กน้อย จึงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ให้ข้าได้เล่าให้ฟังเถอะ”


ศึกสุดยอดขอบเขตเก้าที่สะท้านฟ้าดินผีร่ำไห้เทพตะลึงในถ้ำสวรรค์หลีจูครั้งนั้น หลังจบเรื่องซ่งจ่างจิ้งฝ่าขอบเขตได้สำเร็จ เลื่อนขั้นกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบในตำนาน กลายมาเป็นปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตปลายทางตัวจริงเสียงจริงท่านที่สองของบุรพแจกันสมบัติทวีป ประเด็นสำคัญคือซ่งจ่างจิ้งยังหนุ่มขนาดนี้ ใช้คำว่า “ประหนึ่งดวงตะวันกลางนภา” มาบรรยายก็ยังไม่มากเกินไป แต่ซ่งจ่างจิ้งสามารถฝ่าคอขวดของขอบเขตไปได้สำเร็จในช่วงอายุสี่สิบปีไปด้วยสาเหตุใด โลกภายนอกกลับไม่มีใครรู้


การฝ่าขอบเขตหลังขอบเขตที่เจ็ดของผู้ฝึกยุทธ์ ทุกครั้งล้วนเกี่ยวพันกับความเป็นความตายที่หากต้องตายก็คือตายจริงๆ และแทบจะเป็นการฝ่าทะลุขอบเขตท่ามกลางสถานการณ์ที่สิ้นหวังคาบเกี่ยวระหว่างความเป็นความตายทั้งสิ้น นี่คือความรู้ทั่วไปของวิถีการฝึกยุทธ์ใต้หล้า และนี่ก็หมายความว่าหินลับมีดก้อนนั้น คู่ต่อสู้คนนั้น อย่างเลวร้ายที่สุดก็ต้องเป็นสุดยอดผู้แข็งแกร่งที่มีฝีมือเท่าเทียมกัน


เหตุใดซ่งจ่างจิ้งได้เลื่อนเป็นขอบเขตที่สิบ แต่หลี่เอ้อร์ที่เป็นฝ่ายได้เปรียบถึงไม่ได้เลื่อนขั้น? ทำไมหยางเหล่าโถวถึงคิดว่าสามารถทำการค้ากับซ่งจ่างจิ้งได้ตั้งแต่แรก? ต้องรู้ว่าเมื่อใดที่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวซึ่งมีขอบเขตเก้าขั้นสูงสุดทั้งสองคนประมือกัน ต้องเป็นสถานการณ์ที่พลิกฟ้าพลิกดิน สู้กันถึงท้ายที่สุดก็ไม่ใช่ว่าใครคิดจะหยุดมือก็หยุดมือได้ดังใจปรารถนา ด้วยนิสัยไม่เจอกระต่ายไม่เรียกเหยี่ยวกลับของหยางเหล่าโถว เหตุใดถึงยอมเสี่ยงให้หลี่เอ้อร์เล่นงานซ่งจ่างจิ้งจนตาย กลายมาเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับคนทั้งราชวงศ์ต้าหลี แต่อย่างไรก็ต้องบีบให้ซ่งจ่างจิ้งยอมรับวาสนาในการฝ่าทะลุขอบเขตครั้งนี้ไว้ให้ได้?


สำหรับเรื่องนี้ชุยตงซานสงสัยใคร่รู้มาโดยตลอด


จนกระทั่งตอนนี้ที่ได้เห็นตัวจริงของหลี่เอ้อร์ซึ่งเปิดเผยพลังอำนาจสู่ภายนอกในระยะประชิด ชุยตงซานถึงพอจะกระจ่างแจ้งได้บ้าง


เพราะรากฐานขอบเขตที่เก้าของหลี่เอ้อร์ส่งเสริมให้ตบะซ่งจ่างจิ้งแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม ลึกล้ำยิ่งกว่าเดิม!


ดังนั้นหากหลี่เอ้อร์คิดจะเลื่อนสู่ขอบเขตสิบก็จำเป็นต้องผ่านขัดเกลาที่มากกว่า หากทำได้สำเร็จ เป็นขอบเขตสิบเหมือนกัน ไม่ว่าซ่งจ่างจิ้งจะมีพรสวรรค์โดดเด่นแค่ไหน ศึกตัดสินเป็นตายครั้งต่อไป แปดถึงเก้าในสิบส่วนก็ยังต้องพ่ายแพ้ให้แก่หลี่เอ้อร์ผู้ซึ่งแทบไม่มีใครในบุรพแจกันสมบัติทวีปรู้จักผู้นี้!


ชุยตงซานเล่ามรสุมในช่วงที่ผ่านมาไล่ไปทีละเรื่อง ตั้งแต่ต้นจนจบมองไม่ออกถึงการเปลี่ยนแปลงใดๆ บนสีหน้าของชายฉกรรจ์


ชุยตงซานกล่าวยิ้มๆ “รากฐานของต้าสุยลึกล้ำไม่อาจดูแคลน อย่าได้ทำตัวเหลวไหล อีกอย่างข้าได้ระบายความโกรธแทนเด็กๆ ทุกคนไปแล้ว สั่งสอนเจ้าไช่จิงเสินผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบคนนั้นไปแล้ว หลังจากนี้พวกเขาจะเดินไปบนเส้นทางของการศึกษาต่อได้อย่างราบรื่น อีกอย่างมีข้าคอยให้การดูแลย่อมไม่มีปัญหาใดๆ เกิดขึ้น”


แต่ชุยตงซานกลับราดน้ำมันลงบนกองเพลิงอย่างมีเจตนาแอบแฝง “แต่ว่าเพื่อนร่วมหอพักสามคนของหลี่ไหว เจ้าลูกหมาสามคนนั้นได้เอ่ยขอโทษแล้ว ของก็คืนแก่หลี่ไหวแล้ว ทว่าจนถึงตอนนี้ผู้ปกครองของพวกเขาก็ยังไม่เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว แบบนี้ไม่ค่อยดีนัก หากเจ้าโมโหจริงๆ ก็สามารถไปพูดคุยกับพวกเขาที่บ้านได้”


ชายฉกรรจ์มองเขาครู่หนึ่ง


เด็กหนุ่มชุดขาวรีบชูสองมือขึ้นพลางบ่นอย่างคับแค้นใจ “ทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวกับข้าชุยตงซานแม้แต่อีแปะเดียว ต่อให้เกี่ยวก็เกี่ยวกับราชครูในเมืองหลวงคนนั้นเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นเรื่องที่เจ้ามาเยือนเมืองหลวงต้าสุยในครั้งนี้ ข้าไม่ปฏิเสธ เพราะมีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นความต้องการของเขาและหยางเหล่าโถว ดังนั้นข้าจึงได้รับความอยุติธรรมมากกว่าใคร ตอนนี้วิญญาณแยกออกจากกัน ไม่แน่ว่าวันหน้าอาจยังต้องเล่นหมากล้อมกับแข่งกับตัวเอง เจ้าว่าข้าน่าสมเพชหรือไม่เล่า? เจ้าหลี่เอ้อร์จะตัดใจลงมือกับข้าได้ลงคอเชียวรึ?”


หลี่เอ้อร์กล่าวอย่างหงุดหงิด “ไม่ต้องมาใช้ไม้นี้กับข้า พวกเจ้าจะวางแผนอย่างไรก็เป็นเรื่องของพวกเจ้า แค่ไม่มาหาเรื่องข้า ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับครอบครัวของข้า ข้าหรือจะสนว่าพวกเจ้าคิดอะไรกันอยู่? แต่ตอนนี้ลูกชายข้าถูกคนรังแกถึงขนาดนี้ ถูกรังแกจน…เขาไม่กล้าเล่าให้พ่อแม่ตัวเองฟังแม้แต่คำเดียว!”


ชายฉกรรจ์ถ่มน้ำลาย คนไม่เอาถ่านที่วันๆ เงียบงันราวน้ำเต้าตันผู้นี้หัวเราะหยัน “ช่างหัวต้าสุยมันสิ!”


ชุยตงซานรู้สึกเย็นสันหลังวาบ


ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตเก้าขั้นสูงสุด แถมยังเป็นตัวประหลาดที่มีชีวิตอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูอย่างหลี่เอ้อร์ผู้นี้ ต่อให้ยืนเฉยๆ ปล่อยให้นักพรตขอบเขตสิบทั่วไปขว้างสมบัติอาคมเข้าใส่อย่างบ้าคลั่งก็ยังต้องใช้เวลาเกินครึ่งวัน และไม่แน่ว่าหลี่เอ้อร์เองอาจจะยังไม่ทันระคายผิวหนัง ตัวผู้ฝึกลมปราณก็คงเหนื่อยจนสำลักไปก่อนแล้ว


ชายฉกรรจ์ก้าวยาวๆ ไปยังยอดเขา


เด็กหนุ่มชุดขาวรีบตามติดไปด้านหลังเขา ถามอย่างแปลกใจ “เจ้าคิดจะทำอะไร?”


ชายฉกรรจ์ทิ้งประโยคหนึ่งมาให้ “ไปมองหาวังหลวงต้าสุยที่บนยอดเขา แล้วไปเยือนที่นั่นก่อนสักรอบ กลับมาค่อยถือโอกาสจัดการกับเจ้าไช่จิงเสินผู้นั้น”


ประโยคนี้พูดเหมือนกับว่า…ข้าจะไปเข้าห้องน้ำก่อน กลับออกมาแล้วค่อยล้างมือ?


 —–

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)