คัมภีร์วิถีเซียน 1681-1683
ตอนที่ 1681 ราชาอสูรลับ
ได้ยินหานลี่กล่าวเช่นนั้น สือคุนพลันตกตะลึง แต่ทันใดนั้นก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อิทธิฤทธิ์ของสหายต้องไม่ด้อยไปกว่าข้าและเซียนหลิวแน่ อย่ามัวยกยอกันเลย คุยเรื่องสำคัญกันเถิด เดินทางต่อไปอีกวันสองสามวันก็จะเข้าไปในส่วนลึกของป่าอสูรลับของจริงแล้ว อสูรลับกว่าครึ่งล้วนใช้ชีวิตอยู่ในนี้ หากพวกเราต้องการจะข้ามไป จะต้องมีสติให้มาก”
“ยามที่ผ่านใจกลางของป่าอสูรลับ อย่าสังหารอสูรลับตนใดเด็ดขาด เขตอาคมของพวกเรารับมือกับอสูรลับธรรมดายังพอไหว แต่หากรับมือกับอสูรลับสามตาระดับสูง แค่ลงมือก็ไม่อาจปิดบังประสาทสัมผัสของพวกมันได้แล้ว และยิ่งไปกว่านั้นในส่วนลึกของป่า ก็ไม่อาจแผ่จิตสัมผัสไปตรวจสอบทุกตารางนิ้วก่อนได้ หากลงมือจะอันตรายแค่ไหน แค่คิดก็รู้แล้ว” หลิวสุ่ยเอ๋อร์เองก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“ต่อให้ถูกบีบให้ลงมือจริงๆ ก็ไม่อาจเสียเวลานานเช่นนี้ได้ พวกเราสามคนต้องลงมือพร้อมกัน สังหารมันให้ได้ในชั่วพริบตา ถึงจะลดความอันตรายลงได้” สือคุนครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วเอ่ยสำทับ
“อืม จากพลังของพวกเราสามคน หากเผชิญหน้ากับอสูรลับธรรมดาๆ ตัวหนึ่ง น่าจะสังหารมันในชั่วพริบตาได้ไม่ยาก แต่หากพบกับอสูรลับระดับสูง ก็พูดยากแล้ว” หานลี่ลูบใต้คาง แล้วเอ่ยด้วยท่าทางครุ่นคิด
“หากถูกอสูรลับระดับสูงจับตามองจริงๆ ละก็ ก็คงได้ใช้เคล็ดวิชาผสานการโจมตีของลำแสงเทวะดูดปราณของพวกเราแล้ว” หลิวสุ่ยเอ๋อร์กลับเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ
“ใช่แล้ว! ผู้แซ่สือเกือบลืมเคล็ดวิชาลับนี้ไปเลย หากใช้วิธีนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวอสูรลับระดับสูงที่อยู่ตามลำพัง” ชั่วขณะนั้นดวงตาของสือคุนพลันเปล่งประกาย พลางปรบมือด้วยรอยยิ้มเบิกบาน
“ทว่าหากไม่เข้าตาจน อิทธิฤทธิ์นี้ก็เอาไว้ใช้ตอนสุดท้ายเถิด ข้าไม่อยากถูกอสูรลับระดับสูงจำนวนมากไล่สังหารในเวลาเดียวกัน” หานลี่กลับสั่นศีรษะ ดูเหมือนว่าจะยังคงกังวลใจ
“วางใจ จุดนี้ข้าและพี่สือรู้ดีอยู่แก่ใจ ข้าและสหายก็ได้หนังอสูรลับมาแล้ว รีบแปลงกายแล้วออกเดินทางอย่างเป็นทางการเถิด ระหว่างพวกเราแยกกันเดินทางหน่อยเถิด จะได้ไม่สะดุดตามากนักหากรวมตัวกัน” หลิวสุ่ยเอ๋อร์เอ่ยแนะนำ
“เซียนหลิวพูดมีเหตุผล ผู้แซ่สือจะล่วงหน้าไปก่อน” สือคุนได้ยิน ก็เบะปากตอบ
จากนั้นเขาก็ใช้มือหนึ่งร่ายอาคม ผิวมีหนังอสูรสีดำผืนนั้นปรากฏขึ้น ลำแสงสีเงินกลุ่มหนึ่งบินออกมาจากแขนเสื้อ พลางจมหายเข้าไปในหนังอสูร
ชายร่างใหญ่หมุนตัวกลายเป็นอสูรลับสีดำตัวหนึ่งทันที แขนขาทั้งสี่ออกแรง พุ่งออกไปราวกับลูกธนู
หานลี่และหลิวสุ่ยเอ๋อร์เห็นเช่นนั้น ก็สำแดงอิทธิฤทธิ์อย่างไม่ลังเลเช่นกัน กลายเป็นอสูรลับสีดำอีกสองตัว แบ่งออกเป็นซ้ายและขวา พลางไล่ตามไปติดๆ
ระหว่างทางที่บินไป ทั้งสามต่างทยอยกันกระตุ้นสมบัติอาคม อำพรางร่างกายของตนเองเอาไว้อีกครั้ง
เช่นนั้นในสถานที่ที่เต็มไปด้วยเงาแมกไม้ หากอยากพบร่องรอยของทั้งสามคน ก็เป็นเรื่องที่ยากแสนยาก
ระหว่างทางหลังจากนั้นเมื่อหานลี่และพวกพบร่องรอยของอสูรประหลาดอันใดสักอย่างหรือไม่ก็พบลมพัดต้นหญ้าพลิ้วไหวก็จะอ้อมไปไกลอย่างเงียบๆ ไม่มีทางปะทะกับอสูรประหลาดอื่นๆ เลยสักนิด
สองสามวันแรกได้พบกับอสูรลับไม่มากนัก แต่อสูรลับเหล่านั้นกลับไม่ค่อยปรากฏตัวตามลำพัง ส่วนใหญ่ล้วนเคลื่อนไหวกันอยู่สองสามตัว
รอจนผ่านไปเจ็ดแปดวัน พวกเขาอยู่ในใจกลางของป่าแล้ว คาดไม่ถึงว่าอสูรลับเหล่านั้นจะเริ่มปรากฏตัวขึ้นห้าหกตัวหรือแม้กระทั่งสิบกว่าตัว
นี่จึงทำให้หานลี่และพวกทั้งสามตกตะลึงไปเล็กน้อย และยิ่งระมัดระวังตัวมากขึ้น
โชคดีที่เคล็ดวิชาหลีกหนีของทั้งสามคนนับว่ายอดเยี่ยม และยิ่งไปกว่านั้นพลังปราณก็เหนือกว่าอสูรลับธรรมดาๆ เท่าหนึ่ง จึงไม่ได้เผยพิรุธอันใดออกมา
นอกจากนี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพวกเขาโชคดีหรือในป่าอสูรลับเกิดเรื่องอันใดขึ้น ระหว่างทางนี้จึงไม่พบกับอสูรลับสามตาระดับสูงในตำนานเลย คาดไม่ถึงว่าพวกเขาจะเข้ามาถึงใจกลางของป่าอสูรลับได้ภายในอึดใจเดียว
สามสี่วันหลังจากนี้หากพวกเขายังเดินทางได้อย่างราบรื่นเช่นนี้ล่ะก็ ก็จะสามารถผ่านเขตอันตรายที่สุดในป่าอสูรลับไปได้แล้ว และจะได้ผ่อนคลายลง
แต่หานลี่และพวกทั้งสามไม่เพียงจะไม่ได้ผ่อนคลายลง กลับยิ่งมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งสามคนล้วนมีประสบการณ์ไม่ธรรมดา ไม่รู้ว่าพบกับเรื่องที่เหลืออีกแค่นิดเดียวก็จะประสบความสำเร็จแล้วมาตั้งไม่รู้เท่าไหร่ ส่วนการที่ไม่พบร่องรอยของอสูรลับระดับสูงในป่าอสูรลับนี้ ก็ทำให้พวกเขารู้สึกดีใจและอดที่จะพึมพำกับตัวเองไม่หยุดไปพร้อมๆ กันไม่ได้
เมื่อเดินทางต่อไป คาดไม่ถึงว่าอสูรลับธรรมดาๆ จะยิ่งน้อยลง สองวันต่อจากนั้นก็พบอยู่แค่ไม่กี่สิบตัวเท่านั้น
หานลี่และพวกทั้งสามจึงรู้สึกใจหาย และยิ่งระมัดระวังตัวมากยิ่งขึ้น
……
หานลี่เคลื่อนไหวอยู่ในป่าอย่างรวดเร็วราวกับวิญญาณทมิฬ ทั้งๆ ที่ตรงหน้าคือต้นไม้สูงเทียมฟ้าต้นหนึ่ง แต่เขาที่กลายเป็นเงาสีเขียวก็กระโจนออกไป ทะลวงผ่านราวกับกายไร้รูปอย่างไรอย่างนั้น ไม่มีเสียงใดเกิดขึ้นเลยสักนิด
การหลีกหนีที่พิสดารเช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมทำได้อย่างรวดเร็วจนน่าแปลกใจ
แต่เขากลับขมวดคิ้วมุ่น แววตามีลำแสงสีฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบ สายตากวาดมองรอบๆ ไม่หยุด
ในเมื่อไม่กล้าแผ่จิตสัมผัสออกไปเมื่ออยู่ใจกลางของป่า ก็มีเพียงต้องอาศัยอิทธิฤทธิ์ของเนตรวิญญาณวารีกระจ่าง เมื่อพบอสูรลับเหล่านั้นก็จะหลบเลี่ยงไป
ไม่รู้ว่าหลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนใช้วิธีการใด ทุกครั้งที่อสูรลับปรากฏตัว สองคนนี้จะหลบหลีกได้ คาดไม่ถึงว่าจะไม่ช้ากว่าเขาเท่าไหร่นัก
นี่จึงทำให้หานลี่รู้สึกประหลาดใจมาก
สองคนนี้ฝึกฝนอิทธิฤทธิ์สัมผัสทั้งห้าที่มหัศจรรย์เหมือนกับเขา และยังอาศัยสมบัตินิรนามอันใดสักอย่างทำเรื่องนี้หรือ?
นี่จึงทำให้เขาอดที่จะมองทั้งสองคนสูงขึ้นสองสามส่วนมิได้
เมื่อขบคิดเช่นนั้นหานลี่ก็กวาดสายตาไป มองไปทางซ้ายและขวาแวบหนึ่ง
ภายใต้อิทธิฤทธิ์ของเนตรวิญญาณ เขามองเห็นอย่างชัดเจน หลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนที่กลายเป็นอสูรลับ แยกกันอยู่ห่างออกไปจากเขาร้อยกว่าจั้ง กำลังพุ่งไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็วเช่นกัน
เมื่อเห็นทั้งสองคนไม่ได้เกิดปัญหาอันใด คิ้วที่ขมวดมุ่นก็คลายออกเล็กน้อย ชักสายตากลับมา
แต่ในยามนั้นเองความพิสดารก็ปรากฏขึ้น!
จุดที่พวกเขากำลังมุ่งไป ฉับพลันนั้นเงาสีทองสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากความมืดมิดด้านหน้า
แค่กะพริบวาบสองสามครั้ง คาดไม่ถึงว่าจะย่นระยะห่างออกไปยี่สิบสามสิบจั้ง มาอยู่ด้านข้างสือคุน กระโจนเข้ามาหาร่างที่อำพรางกายของสือคุน
แม้ว่าสือคุนที่กำลังตกตะลึงคิดจะหลบหลีก แต่อีกฝ่ายเคลื่อนไหวรวดเร็วเกินไป จึงไม่อาจหลบหลีกได้
ทำได้เพียงไม่สนใจลำแสงสีเหลืองที่แผ่ออกมาจากผิวหนัง บรรจุลมปราณเข้าไปคุ้มครองร่างกาย
เสียง “ตูม” ดังสนั่นขึ้น
ลำแสงสีทองและสีเหลืองตัดสลับกันไปมา เงาสีทองซวนเซล่าถอยออกไปสองสามก้าว ทันใดนั้นร่างกายก็กลับมายืนมั่นคง
ส่วนสือคุนที่กลายเป็นอสูรลับบินออกมา ชั่วครู่ก็ปะทะกับต้นไม้ยักษ์ต้นหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปยี่สิบสามสิบจั้ง ต้นไม้ยักษ์ที่มีขนาดเท่าสองสามคนโอบหักออกเป็นสองท่อน ในที่สุดถึงได้หยุดลง
แต่ชายร่างใหญ่ที่กลายเป็นอสูรลับกลับปีนขึ้นมาจากซากไม้ ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าเจ็บปวด คาดไม่ถึงว่ายามนั้นจะไม่อาจลุกขึ้นยืนได้
หานลี่และหญิงสาวสวมงอบที่อยู่ในบริเวณนั้นเห็นเช่นนั้น ก็อดที่จะหน้าเปลี่ยนสีไม่ได้
กายเนื้อของสือคุนแข็งแกร่ง เขาสองคนเคยเห็นมากับตาของตัวเอง แต่ร่างกายที่แข็งแกร่งระดับนี้ ถูกเงาสีทองนั้นชนเข้าอย่างคาดไม่ถึง ก็มีท่าทีจนตรอก เงาสีทองนั้นจะต้องน่ากลัวจนถึงขีดสุดแน่
แววตาของหานลี่เปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ มองเห็นเงาสีทองที่อยู่ไกลออกไปอย่างชัดเจน
ผลคือตกใจจนสะดุ้งโหยง!
โฉมหน้าที่แท้จริงของเงาสีทองนั้นคืออสูรลับร่างกายยาวไม่ถึงสองสามจั้งตัวหนึ่ง แต่ผิวและขนของมันเปล่งสีทองอร่าม ดวงตาทั้งสองข้างดำสนิทดุจน้ำหมึก
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นอสูรลับระดับราชาในตำนาน!
เป็นไปไม่ได้! ก่อนออกเดินทางเขายังพึมพำว่า อาจจะเจอกับอสูรลับระดับราชาเข้าก็ได้ ผลคือตอนนี้ไม่พบอสูรลับสามตาระดับสูง แต่กับพบสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในป่าซึ่งพบเห็นได้ยาก แม้ว่าจะไม่รู้ว่าอสูรตัวนี้มีอิทธิฤทธิ์ใด แต่คิดดูแล้วคงเหนือกว่าระดับศักดิ์สิทธิ์แน่
หานลี่รู้สึกจิตใจหนักอึ้ง ร่างกายหยุดชะงักอยู่ไกลๆ สองตาจ้องเขม็งไปที่อสูรลับสีทองตัวนั้น ไม่กล้ากะพริบตาเลยสักนิด
ในเวลาเดียวกันสมบัติวิเศษสองสามชิ้นในร่างก็สัมผัสได้ และเริ่มสั่นเทา
หลิวสุ่ยเอ๋อร์ที่กลายเป็นอสูรลับอีกด้าน ก็หยุดอยู่บนใบไม้หนาๆ ขนาดเท่าชามใบหนึ่ง มองอสูรลับสีทองด้วยท่าทีพร้อมรบเช่นกัน
อสูรลับระดับราชาตัวนี้ถูกการบุกเข้ามาอย่างบุ่มบ่ามของสือคุนชนเข้าจนตาลาย หลังจากสะบัดศีรษะแล้ว จิตสังหารก็ฉายแวบผ่านแววตา จ้องเขม็งไปยังสือคุนที่ยามนี้ไม่อาจขยับตัวได้
ขาหน้าทั้งสองขยับ เสียง “สวบ” ดังขึ้น กรงเล็บลำแสงเปล่งแสงเย็นเยียบปรากฏขึ้นตรงหน้าทันที ราวกับว่าจะลงมือโจมตีชายร่างใหญ่ทันที
หานลี่และหลิวสุ่ยเอ๋อร์เห็นฉากนั้น ก็ใจเต้นระรัว ความคิดว่าจะลงมือช่วยเหลือหรือไม่ปรากฏขึ้นในใจพร้อมกัน
เห็นได้ชัดว่าเขาสองคนยังไม่ถูกอสูรลับระดับราชาตัวนี้พบ หากจากไปเงียบๆ ละก็ ไม่แน่ว่าอาจจะถอยได้อย่างปลอดภัย มิเช่นนั้นแม้ว่าทั้งสามจะร่วมมือกันแล้วพอต้านทานอสูรลับระดับราชาได้ แต่ขอแค่อีกฝ่ายส่งเสียงร้อง พวกเขาย่อมมีอันตรายถึงชีวิต
แต่เช่นนั้นหากสือคุนสิ้นชีพ หลังจากขาดไปคนหนึ่ง ย่อมไม่ต้องคิดจะเปิดเขตอาคมต้องห้ามแล้ว การเดินทางของพวกเขาก็นับว่าล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่เริ่ม
หลังจากทำภารกิจไม่สำเร็จ และทำให้สือคุนเพลี่ยงพล้ำในป่าอสูรลับ ไม่ต้องคิดถึง หากกลับเผชิญหน้ากับไฉ่หลิวอิงและต้วนเทียนเริ่น แม้ว่าเขาจะกลับมาจากแดนกว้างเย็นได้อย่างปลอดภัย ก็ไม่เป็นผลดีแน่
ทว่าแม้ว่าเรื่องเหล่านี้จะเจ็บปวดมาก ก็เป็นเรื่องในอนาคต ยามนี้แน่นอนว่าต้องปกป้องชีวิตของตนเองก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ชั่วพริบตานั้นหานลี่พลันครุ่นคิดถึงข้อดีข้อเสียเสร็จ สายตาเหลือบมองหญิงสาวสวมงอบอย่างรวดเร็ว
กลับพบว่าหลิวสุ่ยเอ๋อร์ที่กลายเป็นอสูรลับ ร่างกายสั่นเทาเบาๆ ลำแสงสีขาวบนผิวเริ่มอ่อนแสงลง คาดไม่ถึงว่าจะตัดสินใจลงมืออย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
นี่จึงทำให้เขาตกตะลึง ส่วนลึกของแววตามีแววมีแผนการฉายแวบผ่าน
ทว่าหญิงสาวผู้นี้ขบคิดอย่างโง่เขลา เขาไม่มีความคิดจะเสี่ยงอันตรายที่มีโอกาสเพลี่ยงพล้ำแปดเก้าส่วนเช่นนี้ ทันใดนั้นจึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ร่างที่แปลงเป็นอสูรลับหมายจะพุ่งไปด้านหลัง
แต่ในยามนั้นเอง เรื่องที่ทำให้เขาแทบจะลูกตาถลนออกมาก็ปรากฏขึ้น
อสูรลับที่เผยแววตาโหดเหี้ยมออกมาหมายจะลงมือในชั่วพริบตา ฉับพลันนั้นหูทั้งสองข้างของมันพลันขยับแล้วหน้าเปลี่ยนสี จากนั้นแววตาโหดเหี้ยมพลันกลายเป็นโกรธเกรี้ยวและตกตะลึงในพริบตา
มันร้องคำรามออกมา ร่างกายพลิ้วไหว กลายเป็นเงาสีทองสายหนึ่งอีกครั้งแล้วพุ่งออกมา หลังจากกะพริบวาบสองสามคน ก็จมหายเข้าไปในป่าด้านข้างอย่างไร้ร่องรอย
ตอนที่ 1682 สองตัว
หานลี่และหลิวสุ่ยเอ๋อร์เห็นสถานการณ์เช่นนั้น ก็อดที่จะมองสบตากันแวบหนึ่งไม่ได้
ในที่สุดสือคุนที่ล้มยังไม่ลุก ก็ค่อยๆ ปีนขึ้นมาจากพื้น และถ่ายทอดเสียงมาหานลี่และพวกทั้งสองด้วยความตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว
“นี่มันเรื่องอันใดกัน เหตุใดอสูรลับระดับราชาถึงมาปรากฏตัวที่นี่ตามลำพัง? โชคร้ายจริงๆ คาดไม่ถึงว่าจะถูกอสูรราชาปะทะเข้า!”
“พี่สือ ไม่เป็นไรนะ” หลิวสุ่ยเอ๋อร์ดูเหมือนจะกังวลใจมาก พลางส่งเสียงมา
“ยังดี เมื่อครู่แค่ตัวชาเท่านั้น ยามนี้ดีขึ้นแล้ว” สือคุนเอ่ยพร้อมกับหัวเราะหึๆ ออกมา น้ำเสียงค่อยๆ กังวานขึ้น ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นอันใดจริงๆ
หานลี่ได้ฟังแล้วกลับขมวดคิ้ว ยามที่คิดจะเอ่ยปากถามอันใดนั้น เบื้องหน้าไม่ไกลนัก ก็มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอีกครั้ง!
ฉับพลันนั้นอสูรนับหมื่นพลันร้องคำรามขึ้นมาพร้อมกัน!
เสียงคำรามราวกับฟ้าผ่าดังสนั่นมา ทำให้หูอื้อ ต้นไม้ในบริเวณรอบสั่นคลอนไม่หยุด ชั่วพริบตาก็ดูเหมือนมีชีวิตขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น
“นี่คือ?” หลิวสุ่ยเอ๋อร์ร้องอุทานออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง
หานลี่และสือคุนเองก็เผยสีหน้าตกตะลึงระคนสงสัยออกมา
แต่ครู่ต่อมาเสียงคำรามก็หยุดลง แต่ทิศที่เสียงคำรามดังมาพลันมีกลิ่นอายจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น และกำลังเข้ามาประชิดอย่างรวดเร็ว
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หานลี่และพวกก็ได้ยินเสียง “ซ่าๆ” ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“แย่แล้ว รีบหลบเร็ว!”
ครั้งนี้หานลี่แค่ขบคิด ก็หน้าซีดขาวแล้วถ่ายทอดเสียงให้หลิวสุ่ยเอ๋อร์และพวกทั้งสองเบาๆ จากนั้นร่างกายก็กระโจนเข้าไปหาต้นไม้ต้นหนึ่งในละแวกนั้น ลำแสงสีเขียวสว่างวาบ เงาร่างทั้งร่างหายวับไป
การเคลื่อนไหวของสือคุนและหลิวสุ่ยเอ๋อร์ก็ไม่ได้เชื่องช้าไปกว่ากันเท่าใดนัก
แทบจะในเวลาเดียวกันที่หานลี่ส่งเสียงเตือน ทั้งสองก็ได้สติขึ้นมาพร้อมกัน
คนหนึ่งใช้เท้าหนึ่งตบไปบนพื้นดินใกล้ๆ ชั่วขณะนั้นลำแสงสีเหลืองพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ร่างทั้งร่างจมหายเข้าไปในพื้นโคลนใต้ร่าง คนหนึ่งกลับพ่นหมอกสีฟ้าออกมา ร่างทั้งร่างค่อยๆ โปร่งใส ท่ามกลางหมอกลำแสง สุดท้ายก็สลายหายไป
แทบจะในเวลาเดียวกันที่ทั้งสามเพิ่งจะแยกย้ายกันหนี ในป่าไกลออกไปก็มีลำแสงสีดำเปล่งแสงสว่างวาบ อสูรลับจำนวนนับไม่ถ้วนกรูกันเข้ามาอย่างมากมายจนนับไม่ถ้วน
ราวกับอสูรลับกว่าครึ่งป่าอสูรลับ มารวมตัวกันที่นี่อย่างไรอย่างนั้น
พลังปราณทั่วร่างของหานลี่เดือนพล่านไม่หยุด กะพริบวาบสองสามครา ก็อยู่ห่างออกไปสองสามลี้ หันหน้ามามองจุดที่ไกลออกไปแวบหนึ่ง ก็พบว่าในบรรดาอสูรลับเหล่านั้นมีตัวที่ร่างกายสูงใหญ่เป็นพิเศษอยู่ไม่น้อย หว่างคิ้วมีดวงตาสีเทาขมุกขมัวปรากฏอยู่
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นอสูรลับสามตาระดับสูง!
หนทางด้านหน้าอสูรลับระดับสูงเหล่านี้ไม่พบอสูรลับระดับสูงเลยสักตัว ที่แท้ก็ถูกเรียกมารวมตัวกันที่นี่
หลังจากที่อสูรลับเหล่านี้ทะลักออกมา จิตสัมผัสจำนวนนับไม่ถ้วนครอบคลุมไปทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้าน ห่อหุ้มในอาณาบริเวณสองสามร้อยลี้
หานลี่เห็นฉากนี้ ก็ไม่รู้สึกว่าโชคดีอันใดอีก ผิวมีลำแสงสีดำเปล่งแสงสว่างวาบ ผ้าไหมสีดำปรากฏออกมา ห่อหุ้มทั้งเรือนร่างเอาไว้
คาดไม่ถึงว่าเขาจะสำแดงผ้าไหมสีดำลึกลับที่ได้มาจากอูหลัว
จากนั้นก็แปลงกายเป็นอสูรลับแล้วอ้าปากออก พ่นยันต์สีม่วงแผ่นหนึ่งออกมา และแปะไปบนเรือนร่างอย่างรวดเร็ว
หลังจากเสียง “ฟึ่บๆ” ดังขึ้น ไอสีม่วงกลุ่มหนึ่งที่มีอักขระยันต์สีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้น ห่อหุ้มร่างกายของเขาเอาไว้
ร่างกายของอสูรลับเลือนหายไป แต่ในเวลาเดียวกันความเร็วในการหลบหนีก็ลดลง
หานลี่เห็นเช่นนั้น ก็มองไปทางสือคุนและหลิวสุ่ยเอ๋อร์อย่างรวดเร็วแวบหนึ่ง
ไม่เหมือนกันกับเขา ความเร็วในการหลบหนีของทั้งสองคนไม่เชื่องช้าลงเลยสักนิด พากลิ่นอายที่เบาบางจนแทบจะมองไม่เห็นทิ้งห่างออกไปสิบกว่าลี้
เห็นได้ชัดว่าไม่เหมือนกับหานลี่ที่พยายามอำพรางกายตัวก่อน ทั้งสองตัดสินใจถือโอกาสที่อสูรลับระดับสูงยังหาไม่พบหนีเตลิดไปก่อน
แน่นอนว่าวิธีการสองชนิดนี้ย่อมกล่าวไม่ได้ว่าแบบไหนดีกว่า
หากจิตสัมผัสของอสูรลับระดับสูงเหล่านี้ไม่อาจมองทะลุผ่านการอำพรางตนของทั้งสองคนได้ในยามนี้ แน่นอนว่ารีบหนีไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดจะดีกว่า
แต่หากเป็นเพราะความเร็ว แล้วทำให้เคล็ดวิชาอำพรางกายลดประสิทธิภาพลง ถูกอสูรลับเหล่านั้นสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของทั้งสอง กลับจะทำให้อันตรายยิ่งกว่า
ส่วนสาเหตุที่หานลี่เลือกอำพรางกายก่อน สาเหตุหลักก็เพราะยังมียันต์ชำระพิสุทธิ์และสมบัติอำพรางกายผ้าไหมสีดำอยู่ จึงไม่อาจถูกมองทะลุผ่านได้ง่ายๆ
ตาที่สามของอสูรลับระดับสูงทั้งหมดในฝูงอสูรฉายแวววาวโรจน์ จิตสัมผัสจำนวนมากร่อนลงมาจากกลางอากาศ ไม่เพียงกวาดผ่านข้างกายของหานลี่ไป แม้แต่สือคุนและพวกทั้งสองที่อยู่ไกลออกไปก็ไม่ละเว้นเช่นกัน
แต่จิตสัมผัสเหล่านี้แค่กวาดไป ไม่ได้หยุดอยู่ที่ทั้งสามคนเลยสักนิด เห็นได้ชัดว่าไม่พบร่องรอยของทั้งสามคน
หานลี่และอีกสองคนล้วนผ่อนคลายลงเฮือกหนึ่ง
ในยามนั้นเองสายตาของหานลี่พลันเลื่อนไปเล็กน้อย ฉับพลันนั้นก็มองเห็นอันใดสักอย่างในหมู่อสูร สีหน้าเปลี่ยนสีไปทันทีพลางสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไป
เห็นเพียงในหมู่อสูร เงาสีทองสายหนึ่งที่สะดุดตากระโจนออกมา เรือนกายเป็นสีทองอร่าม เป็นอสูรลับระดับราชาอีกตนหนึ่ง
เห็นได้ชัดว่าอสูรลับระดับราชาตัวนี้ไม่เหมือนกับตัวก่อนหน้า ไม่เพียงร่ายกายจะใหญ่กว่าหนึ่งส่วน ในเวลาเดียวกันข้างกายก็มีอสูรลับสามตาไล่ตามมาอีกเจ็ดแปดตัว
ดวงตาที่สามของอสูรลับระดับสูงเหล่านี้ไม่ใช่สีเทา แต่เป็นสีเงินอ่อน
เมื่ออสูรลับสีทองปรากฏกาย นอกจากอสูรลับดวงตาสีเงินสองสามตัวที่ตามติดมาแล้ว อสูรลับตนอื่นๆ ก็ถอยออกไปสิบกว่าจั้งอย่างนอบน้อม เว้นที่ว่างขนาดใหญ่ให้อสูรตัวนี้
ฝูงอสูรพลันหยุดลงตามจิตสำนึก ทุกตัวล้วนหยุดพักอยู่บนต้นไม้ บ้างก็อยู่ใต้ดิน ทยอยกันใช้สายตานอบน้อมมองมาทางอสูรลับสีทอง
ส่วนอสูรลับระดับราชาตัวนี้ก็ใช้สายตาเย็นชากวาดมองไปรอบๆ ด้าน จากนั้นกลิ่นอายแข็งแกร่งก็แผ่ออกมาจากร่าง คาดไม่ถึงว่าจะใช้ท่าทางทรงพลังกดคลื่นจิตสัมผัสของอสูรลับระดับสูงตนอื่นๆ แล้วกวาดไปในบริเวณรอบ
หานลี่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกจิตใจหนักอึ้ง หยุดหลบหนีไปเสียดื้อๆ พลางซ่อนตัวอยู่ในต้นไม้ต้นหนึ่งอย่างเงียบๆ ไม่เคลื่อนไหวใดๆ อีก
หลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนที่อยู่ไกลออกไป สัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นยักษ์กวาดมาก็หยุดลำแสงหลีกหนีลงด้วยความตกตะลึงเช่นกัน ทยอยกันเก็บกลิ่นอาย หวังว่าจะหลบซ่อนจากพลังจิตสัมผัสของอีกฝ่ายได้
แต่ครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้
หานลี่ยังพอว่า จิตสัมผัสที่แข็งแกร่งนี้กวาดผ่านไปเช่นเดิม มองไม่เห็นร่างกายที่ถูกอำพรางกายของเขา แต่เมื่อตกอยู่บนร่างของหลิวสุ่ยเอ๋อร์และพวกทั้งสอง กลับหยุดชะงัก จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ
“รีบไป!” สือคุนสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของพลังจิตสัมผัส ทันใดนั้นก็หน้าเปลี่ยนสีพลางร้องตะโกนออกมาเบาๆ ลำแสงสีเหลืองเปล่งแสงสว่างวาบ กลายเป็นสายรุ้งสีเหลืองบินออกไปโดยไม่อำพรางกายใดๆ อีก
หลิวสุ่ยเอ๋อร์เองก็รู้ว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้ว หนูหยกสีขาวใต้ฝ่าเท้าเปล่งแสงสว่างวาบแล้วปรากฏขึ้น กลายเป็นหมอกลำแสงห่อหุ้มนางเอาไว้ข้างใน แล้วพุ่งออกไปเช่นกัน
ยามนี้ไม่ใช่แค่อสูรลับสีทองตนอื่นๆ อสูรลับธรรมดาๆ และระดับสูงตนอื่นๆ ก็พบร่องรอยของพวกเขาเช่นกัน ทันใดนั้นจึงเกิดเสียงอื้ออึงขึ้นท่ามกลางหมู่อสูร
แววตาสีดำสนิทของอสูรลับสีทองตัวนั้นฉายแววเย็นยะเยือก จิตสังหารกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้น มุมปากขยับ ท่าทางหมายจะออกคำสั่งอันใดสักอย่าง
แต่ครู่ต่อมาอสูรตัวนี้ก็หน้าเปลี่ยนสี หันหน้าไปมองอสูรลับสีทองอีกตัวหนึ่งที่หนีไปก่อนหน้า เงยหน้าขึ้นเปล่งเสียงกรีดร้องยาวๆ กับท้องฟ้า
เสียงกรีดร้องไม่เพียงก้องกังวาน และยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนว่าจะแฝงไปด้วยอานุภาพที่น่าเหลือเชื่อ
อสูรลับที่อยู่ในบริเวณรอบได้ยิน ไม่ต้องพูดถึงระดับธรรมดาๆ ที่แขนขาทั้งสี่อ่อนยวบล้มลงกับพื้น ระดับสูงนั้นก็ร่างกายสั่นเทา ราวกับว่าไม่อาจยืนให้มั่นคงได้
และแทบจะในเวลาเดียวกันที่เสียงกรีดร้องดังขึ้น เสียงกรีดร้องอีกเสียงที่เหมือนกันก็ดังขึ้นอยู่ลิบๆ
ฟังผ่านๆ คาดไม่ถึงว่าจะคล้ายคลึงกัน แค่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวอย่างหาที่เปรียบมิได้
เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องนี้ อสูรลับสีทองในหมู่อสูรก็เผยสีหน้าโหดเหี้ยมราวกับมนุษย์ออกมา ในเวลาเดียวกันปากก็เปล่งเสียงร้องคำรามทุ้มต่ำออกมา
ฝูงอสูรที่แต่เดิมหยุดเคลื่อนไหว พลันกรูกันไปตรงหน้าอีกครั้ง
ดูจากทิศทางที่พวกมันไป นั่นก็คือตำแหน่งที่อสูรลับสีทองตัวนั้นอยู่
ทว่าอสูรลับระดับราชาที่เป็นผู้นำฝูงอสูรเองก็ไม่ได้คิดจะปล่อยหลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนไป
มันหันกายมา คำรามสองสามครั้งใส่อสูรลับตาสีเงินสองสามตัวที่เป็นผู้รับใช้ข้างกาย
ชั่วขณะนั้นอสูรลับตาสีเงินสองสามตัวนั้นก็ร้องคำรามต่ำๆ อย่างนอบน้อมพร้อมกัน ร่างกายพลิ้วไหว กลายเป็นสายรุ้งสีเงินสุกสกาวสองสามสาย พุ่งไล่ตามหลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนไป
ส่วนอสูรลับระดับราชานั้นกลับกระโจนไป จมหายเข้าไปในฝูงอสูรไล่ตามอสูรลับสีทองอีกตัวไป
ชั่วพริบตาฝูงอสูรก็กวาดผ่านบริเวณรอบไปราวกับพายุหมุน อสูรลับตาสีเงินสองสามตัวเองก็วิ่งตามหลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนจนหายวับไป
หานลี่กลับยังคงอยู่ในต้นไม้ยักษ์ไม่ขยับเขยื้อน หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม มั่นใจว่าในบริเวณรอบไม่มีอสูรลับตนอื่นๆ อีก ถึงได้เคลื่อนไหว เก็บยันต์ชำระพิสุทธิ์และผ้าไหมสีดำ
ยันต์ชำระพิสุทธิ์นั้นมีเวลาจำกัด ส่วนผ้าไหมสีดำนั้นดูเหมือนจะบางเบา แต่กลับต้องสูญเสียพลังปราณไปไม่น้อยเลย
แน่นอนว่าเขาย่อมไม่อาจสำแดงทั้งสองสิ่งออกมาโดยไม่เก็บได้
ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ หานลี่กลายเป็นอสูรลับปรากฏขึ้นจากต้นไม้ยักษ์
เขาหันหน้าไปมองทิศทางที่ฝูงอสูรและหลิวสุ่ยเอ๋อร์พร้อมพวกหายวับไปด้วยความเย็นชาแวบหนึ่ง หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ
อ้าปากออก กระบี่สีเขียวเล่มหนึ่งบินออกมา หลังจากหมุนวนรอบหนึ่งก็กลายเป็นลำแสงสีเขียวม้วนวนลงมาด้านล่าง
จากนั้นสายรุ้งสีเขียวความยาวสองสามจั้งก็พุ่งออกมา ไล่ตามไปด้านหลัง
ยามแรกสายรุ้งสีเขียวนั้นเจิดจ้าจนแสบตา หลังจากผ่านไปชั่วครู่ก็หม่นแสงลง สุดท้ายก็กลายเป็นเงาสีเขียวอ่อนสายหนึ่งเท่านั้น
ลำแสงหลีกหนีของหานลี่นับว่ารวดเร็วมาก แต่ไล่ตามมารวดเดียวครึ่งวัน คาดไม่ถึงว่าจะไม่พบร่องรอยของเป้าหมายเลยสักนิด
หากไม่ใช่เพราะยามที่ออกเดินทางพวกเขาใช้เคล็ดวิชาลับสำแดงสมบัติลับที่สามารถยืนยันตำแหน่งของทั้งสามคนไว้ เกรงว่าคงคิดว่าตนเองคลาดกับหลิวสุ่ยเอ๋อร์และพวกแล้ว
ดูแล้วหลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนสำแดงลำแสงหลีกหนีเต็มกำลังเพื่อสลัดพวกที่ไล่ตาม จากระดับความเร็วของลำแสงกระบี่ของเขาในยามนี้ย่อมไม่อาจเข้าใกล้ได้เลยสักนิด
ส่วนอสูรลับตาสีเงินสองสามตัวนั้นเจอกับความเร็วขนาดนี้ คาดไม่ถึงว่าจะไล่ตามไปอย่างไม่ลดละเช่นกัน ไม่อาจดูแคลนได้เลย!
หานลี่ขบคิดอย่างรวดเร็ว กัดฟันเงียบๆ สุดท้ายร่างกายก็เปล่งแสงสีเงินสว่างวาบ กลายร่างเป็นมนุษย์อีกครั้ง
เขาเก็บหนังอสูรที่ห่อหุ้มร่างออก มือหนึ่งพลันร่ายอาคม
เสียงราวกับฟ้าผ่าดัง “เปรี้ยง” ปีกขนนกแวววาวคู่หนึ่งปรากฏขึ้นที่แผ่นหลัง
ตอนที่ 1683 ภูเขาเทวะดูดปราณลูกใหม่
คาดไม่ถึงว่าหานลี่จะสำแดงปีกวายุอัสนีออกมา กระพือเล็กน้อย ผิวของปีกทั้งสองก็ปรากฏประจุไฟฟ้าสีเขียวขาวขึ้นพร้อมกัน จากนั้นร่างกายก็พลิ้วไหว กลายเป็นลำแสงสีเขียวขาวสายหนึ่งพุ่งออกไป
เส้นไหมลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ อยู่ห่างออกไปเจ็ดแปดสิบจั้ง และยิ่งไปกว่านั้นยังไร้สุ้มเสียง ปรากฏขึ้นที่ปลายขอบฟ้าอีกด้าน
ความเร็วน่าตกตะลึงเช่นนี้ แทบจะไม่ต่างอันใดกับระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ เพียงพอที่จะมองสิ่งมีชีวิตระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ลงไปอย่างเย้ยหยันได้
ในที่สุดหานลี่ก็เริ่มเข้าใกล้หลิวสุ่ยเอ๋อร์และพวกทั้งสองที่กำลังหนีอยู่ด้านหน้าทีละนิดๆ
โชคดีที่อสูรลับทั้งหมดในบริเวณรอบดูเหมือนจะถูกอสูรลับราชาตัวนั้นเรียกไป การบินอย่างเปิดเผยเช่นนี้ จึงไม่พบกับการขัดขวางของอสูรลับตนอื่นอีก
หนึ่งชั่วยามผ่านไป ในที่สุดเขาก็ไล่ตามเป้าหมายทัน และมองเห็นเงาร่างของสองคนด้านหน้าอยู่ไกลๆ
ความจริงแล้วก็ไม่อาจกล่าวว่าไล่ตามทันได้
เพราะว่ายามที่เขาไล่ตาม หลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนถูกบีบให้หยุดลำแสงหลีกหนีลง และกำลังต่อสู้กับอสูรลับตาสีเงินสองสามตัวอย่างครึกโครม
หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง มองเห็นทุกสิ่งในระยะสองสามลี้อย่างชัดเจน
ยามนั้นเกราะสงครามสีเหลืองที่สือคุนสวมอยู่พลันเปล่งแสงสว่างวาบ สองเท้าขยับยืนอยู่บนท้องฟ้า ค้อนยักษ์สีแดงสดคู่หนึ่งปรากฏขึ้นในมือ สะบัดพลิ้วไหว เปลวเพลิงขนาดเท่ากำปั้นวนล้อมรอบจำนวนนับไม่ถ้วน กลิ่นอายร้อนฉ่าส่งมาเป็นระยะๆ กลายเป็นมังกรวารีเพลิงแดงรางๆ ตัวหนึ่ง เลื้อยวนไปมาอยู่ข้างกายเขา ท่าทางน่าเกลียดน่ากลัว
เหนือหัวของชายร่างใหญ่ ขวดหยกสีแดงขวดหนึ่งหมุนคว้างไม่หยุด พ่นเสาลำแสงสีแดงสดออกมาเป็นสายๆ พุ่งโจมตีไปรอบด้านไม่หยุด
อิทธิฤทธิ์ที่แท้จริงของสือคุน คาดไม่ถึงว่าจะไม่ใช่เคล็ดวิชาธาตุดิน แต่เป็นอิทธิฤทธิ์การโจมตีด้วยธาตุไฟที่แข็งแกร่งที่สุด
ช่างทำให้หานลี่รู้สึกประหลาดใจจริงๆ
อสูรลับตาสีเงินสามตัวที่ล้อมสือคุนอยู่เองก็แยกร่างออกอย่างไม่ยอมสำแดงความอ่อนแอ กลายเป็นเงาสีดำที่มองเห็นไม่ชัดสิบกว่าสาย พลางทำการโจมตีมาจากทั่วทุกสารทิศอย่างไม่ยอมหยุดพัก
ลำแสงสีดำและลำแสงสีแดงจำนวนนับไม่ถ้วนปะทะเข้าหากัน และเกิดเป็นเสียงระเบิดดังสนั่น
แม้ว่าอานุภาพค้อนคู่ของสือคุนจะไม่อาจต้านทานได้ แต่เงาสีเงินเหล่านั้นก็แปลกประหลาดมาก ไม่อาจโจมตีมันได้ ทำได้เพียงพยายามปกป้องตนเองเท่านั้น
และยิ่งไปกว่านั้นอสูรลับตาสีเงินสามตัวไม่เพียงจะเข้าร่วมการโจมตีด้วยตัวเอง บางครั้งดวงตาที่สามก็เปล่งแสงสีเงินที่อันตรายเป็นยิ่งออกมา!
สือคุนไม่กล้าปล่อยให้ตนเองเสียการป้องกัน หากถูกโจมตีที่ร่างก็จะใช้ค้อนทั้งสองในมือต้านทานเอาไว้
หานลี่มองเห็นทุกอย่าง เส้นลำแสงสีเงินที่ปล่อยออกมาจากดวงตาของอสูรลับโจมตีไปบนค้อนสีแดงสด ชั่วพริบตานั้นจุดที่ถูกโจมตีจะกลายเป็นสีดำเขียว แม้ว่าหมอกสีแดงตรงอื่นจะม้วนวนเข้ามาอย่างรวดเร็ว หลังจากผ่านไปชั่วครู่ถึงจะฝืนทำให้ค้อนยักษ์ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติได้
โชคดีที่อสูรปีศาจตาสีเงินไม่อาจปล่อยลำแสงนั้นออกมาได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าทั้งสามตัวจะร่วมมือกันโจมตี ก็ไม่อาจทลายเกาะป้องกันของสือคุนได้ จึงตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กันกับสือคุน
หลิวสุ่ยเอ๋อร์และอสูรลับตาสีเงินอีกสี่ตัวที่อยู่อีกด้าน สถานการณ์กลับไม่เหมือนกัน
หญิงสาวผู้นี้สำแดงกระสวยสีเงินเจิดจ้าจนแสบตาออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ทว่ามีความยาวแค่สองสามฉื่อ แต่มีขนาดใหญ่หนึ่งอันและเล็กเจ็ดอัน ลำแสงสีเงินบินโฉบไปมา ราวกับดาวสีเงินสุกสกาวเต็มท้องฟ้าท่ามกลางความมืดมิด ท่าทางน่าตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
และนอกจากสมบัติชิ้นนี้ แผ่นหลังของหลิวสุ่ยเอ๋อร์ก็มีเทวรูปประหลาดสีเงินปรากฏขึ้น ดูเหมือนหญิงสาวหน้าตางดงามสวมชุดเกราะสีเงิน แต่แขนทั้งสองข้างพลันโบกสะบัดเล็กน้อย พลันมีเงาแขนเลือนรางสองสามสายปรากฏขึ้น ราวกับว่ามีแขนนับร้อยรับพันแขนปรากฏขึ้นพร้อมกันอย่างไรอย่างนั้น
ภายใต้แขนที่โบกสะบัดไปมา ทุกครั้งที่ในมือมีกระบี่ยาวสีเงินที่เลือนรางเหมือนกันปรากฏขึ้นในมือ ก็ปล่อยไอกระบี่สีขาวออกมาเป็นสายๆ
เช่นนั้นเมื่อแขนของเทวรูปโบกสะบัดไปมา ไอกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนก็ทะลักออกมา เชื่อมเข้ากับกระสวยสีเงินที่กลายเป็นดาวสีเงิน ห่อหุ้มทุกอย่างในระยะร้อยกว่าจั้ง
แม้ว่าอสูรลับตาสีเงินทั้งสี่ตัวนั้นจะกระโดดไปมาราวกับสายฟ้า ร่างแยกที่สร้างขึ้นพลันโจมตีอย่างสุดชีวิตไม่หยุด ยังคงถูกต้านทานเอาไว้ภายนอก
หญิงสาวกลายเป็นฝ่ายเหนือกว่าชั่วคราว
หานลี่มองฉากนี้ ในเวลาเดียวกันก็รู้สึกผ่อนคลายลง แล้วถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง สิ่งที่ทั้งสองคุยกันก่อนหน้าว่าเผชิญหน้ากับอสูรลับธรรมดาๆ สามตัวขึ้นไปแล้วไม่มั่นใจว่าจะชนะ ผลคือยามนี้เผชิญหน้ากับอสูรลับสามตาระดับสูงพร้อมกัน ยังมีฝีมือพอๆ กัน คนหนึ่งเป็นฝ่ายเหนือกว่า คำพูดก่อนหน้าแน่นอนว่าย่อมไม่อาจเชื่อถือได้
ทว่านี่ก็ไม่แปลกประหลาดเลยสักนิด ต่อให้เขาปะทะกับคนแปลกหน้าเป็นครั้งแรก ก็ไม่มีทางเผยไม้ตายออกมาแน่
คิดดูแล้วแม้ว่าอสูรลับสีทองตัวนั้นจะมองระดับพลังยุทธ์ของสือคุนและพวกทั้งสองในแวบเดียว แต่ก็ไม่มีทาง
แต่คิดไม่ถึงว่าทั้งสองจะไม่ใช่สิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตาขั้นปลายธรรมดาๆ ดังนั้นถึงได้แค่ส่งอสูรลับตาสีเงินสองสามตัวที่อยู่ข้างกายมาไล่ตามเท่านั้น
หากเป็นแค่สิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตาขั้นปลายธรรมดาๆ คิดดูแล้วคงไม่อาจต้านทานพลังการร่วมมือของอสูรลับตาสีเงินสองสามตัวได้
แน่นอนว่าสถานการณ์เบื้องหน้านั้น ไม่อาจกล่าวได้ว่าอิทธิฤทธิ์ของหลิวสุ่ยเอ๋อร์สูงกว่าสือคุนขั้นหนึ่ง หรืออสูรลับตาสีเงินสองสามตัวสู้ทั้งสองคนไม่ได้
ไม่ว่าอสูรลับหรือว่าหลิวสุ่ยเอ๋อร์และพวกก็ยังไม่ได้ออกแรงเต็มกำลัง ล้วนตามหาโอกาสในการสังหารอีกฝ่ายให้ตาย
เมื่อถึงยามเป็นตาย ถึงจะเห็นว่าอิทธิฤทธิ์ที่แท้จริงของอีกฝ่ายเป็นอย่างไร
ทว่าภายใต้อิทธิฤทธิ์ของเนตรวิญญาณ หานลี่พลันมองเห็นสือคุนและหลิวสุ่ยเอ๋อร์มีสีหน้าเคร่งขรึม และแฝงไว้ด้วยสีหน้าร้อนใจ
นั่นก็ไม่แปลกที่นี่คือใจกลางของป่าอสูรลับ แม้ว่าอสูรลับทั้งหมดจะดูเหมือนว่าถูกอสูรลับระดับราชาพาไป แต่ผู้ใดจะรู้ว่าอีกฝ่ายจะกลับมายามไหน ถึงยามนั้นหากฝูงอสูรกรูกันเข้ามา แม้ว่าพวกเขาจะมีสามเศียรหกกรแต่ก็ต้องเพลี่ยงพล้ำอย่างไม่ต้องสงสัย
ทว่าหากพยายามต่อสู้ยามนี้ เผชิญหน้ากับการร่วมมือของอสูรลับสีเงินเจ็ดตัวก็ไม่ต่างอันใดกับพวกนางมากนัก แม้ว่าพวกเขาจะสำแดงไพ่ตายทั้งหมดออกมาสังหารอีกฝ่าย ตนเองก็ต้องสูญเสียปราณแท้ และได้รับบาดเจ็บหนัก
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ จะออกจากป่าอสูรลับได้นั้นจะต้องหลบหลีกการถูกไล่สังหารอย่างต่อเนื่องแน่
ขณะที่หลิวสุ่ยเอ๋อร์และพวกทั้งสองกำลังสับสน แน่นอนว่าก็อดที่จะร้อนใจไม่ได้ ทั้งสองล้วนรอให้หานลี่ไล่ตามมาทัน หากทั้งสามคนร่วมมือกันถึงจะมีโอกาสชนะเพิ่มมากขึ้น
หานลี่ขบคิดอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาก็เข้าใจความลำบากใจของสือคุนและพวก
รู้ว่าต้องจบสงครามให้ได้ ไม่อาจพัวพันกับอสูรลับเหล่านี้ต่อไปได้ มิเช่นนั้นหากชักช้าผลลัพธ์จะเปลี่ยนแปลงไป!
ทันใดนั้นพลันสะบัดแขนเสื้อด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก แขนที่ซ่อนอยู่พลันพลิกฝ่ามือ แล้วมีอีกสิ่งปรากฏขึ้นในมือ
สะบัดข้อมืออีกครั้ง กำไลกลมๆ สีดำพลันพุ่งออกมา เปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะจมหายไปกลางอากาศแล้วหายวับไป
ในเวลาเดียวกันนั้นแขนอีกข้างหนึ่งพลันเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทราวกับน้ำหมึกในชั่วพริบตา หมอกเป็นเส้นๆ พุ่งออกมาจากปลายนิ้ว ส่วนลำตัวก็เปล่งแสงสีทองสว่างวาบ ผิวหนังมีเกล็ดสีทองปรากฏขึ้น กระตุ้นเคล็ดวิชาพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์มารเที่ยงแท้จนถึงขีดสุด
ยามนี้พลันชูมือข้างหนึ่งขึ้น ผ้าไหมบินออกมา หมุนคว้างติ้วๆ แล้วม้วนวนมาที่ร่างของเขา
ร่างของเขาเปลี่ยนเป็นโปร่งใสไร้รูปร่าง สุดท้ายก็หายวับไปจากที่เดิมอย่างไร้ร่องรอย
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ทางด้านสือคุนที่กำลังต่อสู้กัน กระบี่ลำแสงที่กำลังวนล้อมรอบอย่างหนาแน่นและกรงเล็บลำแสงสีเงินที่กำลังตะปบลงมาของอสูรลับพลันผ่อนการโจมตีลง แววตาเปล่งประกายตกตะลึงระคนสงสัย
ในยามนั้นอากาศด้านหลังก็มีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น ก้อนสีขาวโพลนพลันบินออกมา แล้วตรงเข้าไปหาอสูรตัวนั้น
อสูรลับตาสีเงินตัวนั้นกลับมีประสาทสัมผัสว่องไว ยังไม่ทันหันกลับมา ก็ตะปบกรงเล็บข้างหนึ่งออกไปด้านหลังอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
ชั่วขณะนั้นลำแสงสีดำพลันสว่างวาบ กรงเล็บลำแสงสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนพลันเปล่งแสงสว่างวาบแล้วพุ่งออกไป
เสียง “ตูม” ดังสนั่นขึ้น กรงเล็บสีดำและก้อนสีขาวที่พ่นลำแสงสีขาวออกมาพลันปะทะเข้าด้วยกัน และเกิดเป็นเสียงระเบิดที่น่าตกตะลึง
อสูรตัวนี้ที่ร่างกายเพิ่งจะเลือนรางพลันถือโอกาสนี้หันหัวอย่างฉับพลัน ในที่สุดก็มองเห็นสิ่งที่ลอบโจมตีมันชัดเจน
เป็นงูเหลือมสีขาวเกล็ดโปร่งใสความยาวสองสามจั้งตัวหนึ่ง ผิวของมันมีไอเย็นเยียบแผ่ออกมา ดวงตาทั้งสองจ้องมองอสูรตัวนี้ด้วยแววตาไร้ความรู้สึก
อสูรลับตัวนี้เห็นเช่นนั้น ย่อมโกรธเกรี้ยวอย่างสุดๆ
แต่ไม่รอให้มันได้เคลื่อนไหวใดๆ เหนือศีรษะของมันพลันมีภูเขาขนาดสองสามชุ่นปรากฏขึ้น แค่หมุนคว้างก็มีขนาดยักษ์ร้อยกว่าจั้ง กดลงมาอย่างเงียบเชียบ
ผิวของภูเขานี้ใช้ตัวอักษรลูกอ๊อดสีเงินสลักอักขระยันต์สีเงินสองสามตัวเอาไว้
เพราะว่าภูเขาที่ปรากฏตัวนี้แปลกประหลาดเกินไป ประกอบกับยามที่ร่อนลงมาไม่เกิดเสียงใดๆ จนถึงยามที่เริ่มร่อนลงมา อสูรลับด้านล่างถึงได้พบเจ้าสิ่งนี้
และในยามนี้เมื่อเผชิญหน้ากับงูเหลือมยักษ์สีขาวก็พ่นพัดหยกสีฟ้าด้ามหนึ่งออกมาจากปาก แล้วพัดไปทางอสูรลับ
ลำแสงเย็นเยียบสีฟ้าม้วนวนออกมา พลางกระโจนออกไปเผชิญหน้า
อสูรตัวนี้พลันหน้าถอดสีทันที
อสูรลับอีกสองตัวเห็นฉากนี้ ทันใดนั้นพลันคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวออกมา ล้มเลิกการกระโจนไปหาสือคุนทันที
สือคุนกลับบินออกมาพร้อมกับหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ค้อนสีแดงสองด้ามในมือพลันพุ่งออกมา หัวค้อนขยายใหญ่จนมีสองสามจั้ง กดลงมาที่อสูรทั้งสองตัวอย่างดุดัน
ยังไม่รอให้ร่อนลงมาจริงๆ พลังมหาศาลไร้รูปร่างทั้งสองพลันห่อหุ้มลงมา ทำให้ร่างของอสูรทั้งสองแข็งค้าง ทำได้เพียงหันกลับมาพ่นลำแสงสีดำ ต่อกรกับการโจมตีที่ถึงชีวิตเหนือศีรษะก่อน
ส่วนอสูรลับที่ถูกภูเขายักษ์กดลงมา ภายใต้ความจนปัญญา ขนและหนังบนร่างพลันลุกชัน จากนั้นพลันกลายเป็นลำแสงสีดำหนาแน่น พุ่งไปหาหมอกสีฟ้าฝั่งตรงข้ามเกิดเป็นเสียงดัง “พรึ่บ”
จากนั้นพลันเงยหน้าขึ้น เสาลำแสงสีดำหนาๆ สายหนึ่งพลันพ่นออกมาจากตีนเขายักษ์
อสูรตัวนี้ไม่คิดจะบุ่มบ่ามโจมตี ทำได้เพียงต้านทานการโจมตีทั้งสองด้าน แต่ขอแค่ผ่อนการโจมตีของทั้งสอง มันก็มั่นใจว่าหนีรอดจากเคราะห์ครั้งนี้ได้แล้ว
เพราะครู่ต่อมาผิวของอสูรลับพลันเปล่งแสงสีดำออกมา ร่างกายเลือนหายไป คาดไม่ถึงว่าจะแยกเป็นผีเสื้อสีดำนับร้อยนับพันตัว พลางพุ่งหนีไปทั่วทุกสารทิศ
เสาลำแสงสีดำโจมตีไปบนภูเขายักษ์ ทำให้ภูเขาลูกนี้หยุดชะงักไปเล็กน้อยจริงๆ และการล่าช้านี้ผีเสื้อสีดำทั้งหมดก็หนีออกไปยี่สิบสามสิบจั้ง มองเห็นมันกะพริบวาบ แล้วหนีออกมาจากอาณาเขตของภูเขายักษ์
แต่ในยามนั้นเอง พลันแค่เสียงหึอย่างเย็นชาออกมากลางอากาศ
ดูเหมือนธรรมดามาก ผีเสื้อสีดำเหล่านั้นกลับซวนเซไปอย่างไม่เป็นตัวเอง จนเกือบจะทยอยกันร่วงลงมาจากกลางอากาศ
แทบจะในเวลาเดียวกัน อักขระสีเงินบนผิวของภูเขายักษ์สีดำพลันเปล่งแสงสว่างวาบ
จากนั้นตีนเขายักษ์พลันเปล่งแสงสีเทาสว่างวาบ เสียงแหวกอากาศดังขึ้น เส้นไหมสีเทาจำนวนนับไม่ถ้วนพลันพุ่งออกมาจากภูเขา
เห็นเพียงด้านล่างมีลำแสงสว่างวาบ เส้นไหมสีเทาจำนวนนับไม่ถ้วนทะลวงผ่านร่างของผีเสื้อสีดำที่เฉื่อยชาทั้งหมด
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น