อัจฉริยะสมองเพชร 1680-1687

ตอนที่ 1680 ซ่อมแซมฉนวน

คุณหมายความว่าอย่างไรที่พูดว่าหลับอยู่?


สำหรับคุณ พวกนั้นดูเหมือนหลับอยู่หรือ?


เผ่าพันธุ์ปีศาจสวมเกราะสีดำที่เพิ่งมาถึงทึ้งผมตัวเองอย่างคลุ้มคลั่ง


คุณคิดว่าผมงี่เง่าจนแยกไม่ออกระหว่างคนเป็นกับคนตายหรือไง?


“ก็ช่วยไม่ได้นะถ้าคุณไม่เชื่อผม…” รู้ดีว่าต่อให้พูดอย่างไรอีกฝ่ายก็คงไม่เชื่อ จางเซวียนโบกมือ “จัดการเขา!”


เขาสังหารเผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานไป 3 ตัวแล้ว และไม่รังเกียจที่จะเพิ่มสถิติเข้าไปอีกสักตัวหนึ่ง


ฟึ่บ!


พละกำลังที่ผนึกกันระหว่างจางเซวียนกับของล้ำค่าทั้ง 3 ชิ้นของเขานั้นไม่อาจสบประมาทได้ ยังไม่ทันที่เผ่าพันธุ์ปีศาจที่สวมเกราะสีดำจะได้ขยับตัว ก็ถูกตีวงล้อมและสังหาร


หลังจากสูบเลือดและจิตวิญญาณของเผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานไปถึง 4 ตัว กระบี่เปลวเพลิงสีดำก็มีความโหดเหี้ยมราวกับปีศาจยิ่งขึ้นกว่าเดิม แม้แต่จะมองมันตรงๆก็ยังทำได้ยาก


หลังจากเก็บข้าวของและทรัพย์สมบัติที่กระจัดกระจายอยู่โดยรอบแล้ว จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นก็เดินตรงไปยังฉนวนแห่งมิติ


เขาไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉนวน แต่การที่เผ่าพันธุ์ปีศาจผ่านเข้ามาได้ตัวแล้วตัวเล่า ก็เป็นสัญญาณว่าฉนวนถูกทำลาย เขาจะต้องหาทางซ่อมแซมมันให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้


ไม่อย่างนั้น การสู้รบครั้งนี้ก็จะไม่มีวันจบสิ้น!


หลังจากบินไปได้ระยะหนึ่ง ฉนวนแห่งมิติก็ปรากฏตรงหน้า ที่บริเวณใจกลางฉนวนมีรูขนาดใหญ่ ดูเหมือนใครบางคนฉีกกระชากมันออกอย่างแรง


ไม่น่าสงสัยแล้วว่าทำไมโหมวอู่กับเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวอื่นๆถึงผ่านเข้ามาได้


“โชคดีที่มันยังไม่พังพินาศ ไม่อย่างนั้น สำหรับฉนวนแห่งมิติที่ใหญ่โตขนาดนี้ เราคงสร้างขึ้นใหม่ไม่ได้แน่…” จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก


แม้เขาจะมีความเข้าใจเรื่องแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติ แต่ระดับวรยุทธก็ยังอ่อนด้อยเกินไป การซ่อมแซมมันถือเป็นภารกิจที่เหนือความสามารถของเขา สำหรับจางเซวียน การจะสร้างฉนวนแห่งมิติขึ้นใหม่อีกอันหนึ่งที่สามารถปิดกั้นได้แม้แต่กับนักรบขั้นนักปราชญ์โบราณนั้นถือเป็นการฝันกลางวันเลยทีเดียว!


จางเซวียนเดินหน้าเข้าสู่ฉนวนแล้วรีบทำการซ่อมแซมมันทันที ระหว่างที่กำลังปฏิบัติภารกิจ ก็อดครุ่นคิดไม่ได้ สนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจอยู่อีกฟากหนึ่งนี่เอง…เราควรไปดูเสียหน่อยไหม?


เผ่าพันธุ์ปีศาจมักส่งกองกำลังข้ามฝั่งมาสร้างความปั่นป่วนอยู่เสมอ แล้วทำไมเขาถึงจะไม่ควรทำแบบเดียวกันบ้าง?


อีกอย่าง ถึงเขาจะสร้างวิกฤตการณ์ให้เกิดขึ้นในอาณาจักรใต้ดินได้แล้ว แต่ก็ยังโง่เง่าเกินไปหากจะคิดว่าเรื่องนี้จบสิ้น เพราะนั่นเป็นเพียงส่วนเล็กๆของกองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจเท่านั้น


อาณาจักรใต้ดินทั้ง 108 แห่งถูกเผ่าพันธุ์ปีศาจเข้าโจมตีพร้อมๆกัน และสภาปรมาจารย์, ตระกูลหลัว กับตระกูลเจียงก็ได้ผนึกกำลังกันเข้าปกป้องอาณาจักรใต้ดินจากเผ่าพันธุ์ปีศาจเหล่านั้น


หากเขาสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายให้เกิดขึ้นในสนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจได้ ก็น่าจะช่วยบรรเทาความตึงเครียดในอาณาจักรใต้ดินแห่งอื่นๆ


เราจะคิดดูอีกทีหลังจากที่ซ่อมฉนวนเสร็จแล้ว…จางเซวียนตัดสินใจขณะเร่งความเร็วในการปฏิบัติภารกิจ


…..


“นี่ก็นานมากแล้วนะ ทำไมเซวียนเอ๋อยังไม่กลับมาอีก?”


เซียนดาบเหมิงเดินวนไปมาด้วยความวิตกกังวล


ลูกชายของเธอบอกว่าจะออกไปสอดส่องดูลาดเลา แต่นี่ก็ปาเข้าไป 2 ชั่วโมงแล้ว ยังไม่มีวี่แววเลย เธออดกังวลเรื่องความปลอดภัยของเขาไม่ได้


“เขาอาจเจอกับเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้ต้องสะดุด อย่าห่วงเลย เซวียนเอ๋อของเราน่ะมีกลเม็ดเด็ดพรายอยู่ในมือมากมาย ไม่มีทางเกิดอะไรขึ้นกับเขาหรอก” เซียนดาบชิงตบบ่าภรรยาเบาๆและปลอบใจเธอ


“แต่นี่กองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจนะ! พวกมันมีอย่างน้อยก็หมื่นตัว ต่อให้ปรมาจารย์หยางก็คงรับมือกับพวกมันไม่ไหว แล้วเซวียนเอ๋อของเราจะต้านทานกองกำลังระดับนั้นได้อย่างไร?” เซียนดาบเหมิงอุทานด้วยความร้อนใจ


คู่ต่อสู้เป็นกองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจกว่าหมื่นตัวซึ่งมีวรยุทธระดับเซียนขั้น 3 ขึ้นไปและได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี ไม่มีใครหรอกที่จะอดเป็นห่วงได้!


“ผมก็ไม่อยากยอมรับสิ่งนี้ แต่เราทำอะไรไม่ได้นอกจากเชื่อใจลูกชายของเรา เราไม่มีเทคนิคการพรางตัวแบบที่เขาใช้ และหากเราถูกจับได้ระหว่างที่เข้าไปตามตัวเขา ก็มีแต่จะทำให้เขาต้องตกที่นั่งลำบากกว่าเดิม” เซียนดาบชิงพูด


เขาเองก็เป็นห่วงจางเซวียน แต่ก็เห็นๆกันอยู่ว่าไม่มีทางที่ทั้งคู่จะช่วยเหลืออะไรจางเซวียนได้


เซียนดาบชิงหันไปตั้งคำถามกับหลัวลั่วชิง “ลั่วชิง คุณมีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร?”


สาวน้อยที่อยู่ตรงหน้าเขาสุขุมเยือกเย็นมาตลอด ราวกับไม่ได้วิตกกังวลเรื่องจางเซวียนเลยแม้แต่น้อย เรื่องนี้ทำให้เขาออกจะสงสัย


“จางเซวียนไม่เป็นอะไรหรอก” หลัวลั่วชิงตอบอย่างมั่นใจ


นอกจากข้อเท็จจริงที่ว่าเขาสำเร็จความเข้าใจแก่นสารทั้ง 3 รูปแบบและมีวิธีการปลอมตัวอันไร้ที่ติ แล้ว ลำพังประสิทธิภาพการต่อสู้ของจางเซวียนผนวกกับหอกสวรรค์กระดูกมังกร ก็จัดว่ายากที่ใครก็ตามจะรับมือไหว เว้นเสียแต่ผู้ที่มีวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณจะปรากฏตัว ก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวไหนจะเล่นงานจางเซวียนได้


ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น เธอก็ไม่มีอะไรต้องกังวล


“แต่…” เห็นความมั่นใจของหลัวลั่วชิง เซียนดาบเหมิงยังขมวดคิ้ว


เธอกำลังจะถามเหตุผลที่หลัวลั่วชิงมั่นใจในตัวจางเซวียนขนาดนั้น ก็พอดีกับที่ผู้อาวุโสคนหนึ่งพรวดพราดเข้ามาในห้อง


“ท่านรองหัวหน้า…”


“เซวียนเอ๋อกลับมาแล้วหรือ?” เซียนดาบชิงลุกพรวดด้วยความตื่นเต้น


ผู้อาวุโสที่เพิ่งเข้ามาเป็นผู้ทำหน้าที่สืบข่าวของตระกูลจาง การที่เขารีบร้อนก็ย่อมแปลว่ามีเรื่องสำคัญจะรายงาน


“ไม่ใช่อย่างนั้น…กองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจเพิ่งเป่าแตรรวมพล ผมเกรงว่าการโจมตีอาจเกิดขึ้นเร็วๆนี้!” ผู้อาวุโสพูดอย่างเคร่งเครียด


“การโจมตี?” เซียนดาบชิงมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที “เกิดอะไรขึ้น เล่ามาให้ละเอียดซิ”


“ผมส่งกองสอดแนมเข้าไปที่แคมป์ของเผ่าพันธุ์ปีศาจ แต่มาตรการรักษาความปลอดภัยของพวกมันเข้มงวดมาก คนของผมลาดตระเวนได้เพียงอาณาเขตรอบนอกเท่านั้น ไม่สามารถเข้าไปใกล้ แต่เมื่อ 1 ชั่วโมงก่อน เสียงแตรรวมพลดังขึ้น จากนั้นพลทหารเผ่าพันธุ์ปีศาจก็ล่าถอยกลับเข้าสู่แคมป์ของพวกมัน แม้แต่พวกที่ทำหน้าที่รักษาค่ายกลอารักขาและตรวจสอบความเรียบร้อยโดยทั่วไปก็ยังต้องทิ้งหน้าที่ของตัวเองชั่วคราว!”


“เพราะเกรงว่าจะเป็นกับดัก คนของผมจึงไม่กล้าเข้าไปใกล้กว่านั้น แต่จนถึงตอนนี้ ผ่านไปแล้ว 15 นาที ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ พวกเขาจึงค่อยๆสำรวจลึกเข้าไปในแคมป์เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ และพบว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจถูกแบ่งออกเป็น 10 กลุ่มใหญ่ แต่ละกลุ่มจัดเรียงแถวเป็นรูปแบบของค่ายกลชนิดหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้น แม่ทัพที่คุณเพิ่งปะทะกับมันก่อนหน้านี้ก็พูดว่ามันอยากจะทดลองค่ายกลผนึกกำลังแบบใหม่ และจะเปิดการโจมตีอย่างกะทันหัน!”


“เมื่อได้ยินแบบนั้น กองสอดแนมของเราก็ไม่กล้าเสียเวลาอีก พวกเขารีบกลับมาทันทีเพื่อรายงานเรื่องนั้นให้ผมทราบ”


“โชคดีที่กองสอดแนมของคุณส่งข่าวได้ทันเวลา ไม่อย่างนั้น ถ้าการโจมตีอย่างกะทันหันเป็นผลสำเร็จล่ะก็ ตระกูลจางของเราจะต้องได้รับความเสียหายหนัก…” เซียนดาบชิงถอนหายใจอย่างโล่งอก


ข่าวนี้สำคัญมาก หากพวกเขาไม่ระมัดระวังตัวให้ดี ก็คงจะกลายเป็นจุดจบอย่างน่าอนาถของตระกูลจาง


เซียนดาบชิงสูดหายใจลึกและส่งเสียงดังก้องไปทั่วทั้งป้อมปราการ “เหล่าทายาทตระกูลจาง ฟังคำสั่งของผม! เผ่าพันธุ์ปีศาจกำลังเตรียมการจะเข้าโจมตีพวกเราอย่างกะทันหัน พวกคุณทุกคน ต้องระมัดระวังตัวให้ดี นับแต่นี้เป็นต้นไป!”


“ขอรับ ท่านรองหัวหน้า”


เมื่อได้ยินคำสั่ง เหล่าสมาชิกตระกูลจางต่างรีบเข้าประจำตำแหน่งของตัวเองเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการต่อสู้ ในชั่วพริบตา บรรยากาศก็เคร่งเครียดขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ


หลังจากสั่งการเหล่าสมาชิกตระกูลจางแล้ว เซียนดาบชิงก็หันไปมองรอบๆและพูดต่อ “เหล่าผู้อาวุโส ตามผมออกจากเมืองเพื่อไปเผชิญหน้ากับเผ่าพันธุ์ปีศาจ ในเมื่อพวกมันกำลังจะเข้าโจมตีเราอย่างกะทันหัน เราก็ควรจะใช้โอกาสนี้เล่นงานตอนที่พวกมันไม่ทันระวังตัว”


“ได้เลย!”


เหล่าผู้อาวุโสพยักหน้า แล้วทั้งกลุ่มก็บินออกจากเมืองไป


อาณาเขตรอบนอกป้อมปราการนั้นถูกปกคลุมด้วยชั้นหมอกหนา ทำให้ยากที่จะมองออกไปในระยะไกล หลัวลั่วชิงเพ่งมองฝ่าชั้นหมอก เธอขมวดคิ้ว จากนั้นก็บินตามไปโดยไม่ลังเล


“ลั่วชิง…” นึกไม่ถึงว่าสาวน้อยจะตัดสินใจเร็วขนาดนั้น เซียนด่าบชิงเหมิงขมวดคิ้ว


“พวกคุณที่เหลือน่ะตรึงกำลังอยู่ที่นี่แหละ พวกเราจะไปตรวจดูเอง” รู้ดีว่าอาจสูญเสียลั่วชิงไปหากไม่รีบตามเธอไปตั้งแต่ตอนนี้ เซียนดาบชิงรีบสั่งการเหล่าผู้อาวุโส ก่อนจะออกติดตามลั่วชิงไปพร้อมกับเซียนดาบเหมิง


…..


“ทำไมถึงไม่มีใครเลยล่ะ?”


เซียนดาบชิงเหมิงบินไป สถานการณ์ที่เห็นทำให้พวกเขางงงัน


ว่ากันตามเหตุผล พวกเขาบินมาไกลขนาดนี้ ควรจะได้พบเผ่าพันธุ์ปีศาจบ้างแล้ว แต่ทำไมถึงไม่มีให้เห็นเลยสักตัว?


ไม่ว่าพวกมันจะเปิดการโจมตีอย่างกะทันหันหรือไม่ แต่อย่างน้อยมันก็จะต้องคงมาตรการรักษาความปลอดภัยขั้นพื้นฐานไว้ไม่ใช่หรือ?


ถ้าเผ่าพันธุ์ปีศาจปราศจากความระมัดระวังตัว ก็คงไม่มีทางที่พวกมันจะยืนหยัดต่อสู้กับสภาปรมาจารย์ได้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา


“ดูนั่น ตรงหน้าเรา!”


ขณะที่เซียนดาบชิงกำลังครุ่นคิด เสียงของเซียนดาบเหมิงก็ดังขึ้น เขารีบเงยหน้า และเห็นเผ่าพันธุ์ปีศาจนอนเรียงรายกันเป็นแถวมากมายอยู่กับพื้น ทุกตัวต่างนอนนิ่งไม่ไหวติง


เส้นผมของพวกมันตั้งชัน ใบหน้าดำเมี่ยม ฟองสีขาวไหลซึมออกจากมุมปาก


พวกมันตายแล้ว!


หลัวลั่วชิงกำลังคุกเข่าอยู่ท่ามกลางศพเหล่านั้นพร้อมกับขมวดคิ้ว ดูเหมือนกำลังพยายามตรวจสอบอะไรบางอย่าง



ตอนที่ 1681 ข้ามฉนวนแห่งมิติ

“นี่มัน…เกิดอะไรขึ้น?”


เห็นเผ่าพันธุ์ปีศาจที่ทำให้พวกเขากังวลใจนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น เซียนดาบชิงเหมิงถึงกับผงะ


“พวกมันถูกจางเซวียนสังหาร” หลัวลั่วชิงพูดขณะลุกขึ้นยืน


“พวกมันถูกเซวียนเอ๋อสังหาร? เป็นไปได้อย่างไร? เว้นเสียแต่จะเป็นนักปราชญ์โบราณ ไม่มีนักรบคนไหนสามารถกำจัดเผ่าพันธุ์ปีศาจทั้งกองทัพได้หรอก!” เซียนดาบชิงไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เพิ่งได้ยิน


ไม่ใช่เพราะเขาไม่เชื่อใจลูกชาย แต่คู่ต่อสู้เป็นกองทัพเผ่าพันธุ์ปีศาจกว่าหมื่นตัวที่มีวรยุทธระดับเซียนขั้น 3 ขึ้นไป อีกทั้งยังมีนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่อีกจำนวนหนึ่งในกลุ่มของพวกมันด้วย ต่อให้มีประสิทธิภาพการต่อสู้ระดับลูกชายของเขา ก็ไม่มีทางสังหารพวกมันได้ทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว!


“เขาใช้พลังของสายฟ้าเล่นงานพวกมัน เผ่าพันธุ์ปีศาจพวกนี้ไม่ทันระวังตัว พวกมันส่วนใหญ่ถูกช็อตตาย แต่ตัวที่มีชีวิตรอดมาได้ก็เป็นอัมพาต และหลังจากนั้นก็ถูกสังหาร” หลัวลั่วชิงวิเคราะห์


“สายฟ้า?”


เซียนดาบชิงเหมิงมองศพที่เรียงรายอยู่กับพื้น และเห็นรอยไหม้อยู่บนร่างของศพเหล่านั้น


ในตอนนั้นเอง พวกเขาก็นึกได้ว่าจางเซวียนมีความสามารถในการเรียกการทดสอบสายฟ้า


เล่นงานเผ่าพันธุ์ปีศาจทั้งกองทัพที่มีกว่าหมื่นตัวได้ด้วยตัวคนเดียว…ขนาดพวกเขาเห็นกับตาก็ยังรู้สึกราวกับฝันไป


“ในเมื่อเจ้าพวกนี้ตายหมดแล้ว แล้วเซวียนเอ๋ออยู่ไหนล่ะ?” เซียนดาบเหมิงรีบมองไปรอบๆ


ต่อให้ลูกชายของเธอจะมีวิธีการอันน่าทึ่งสักแค่ไหน เขาก็น่าจะอยู่ในสภาวะที่ลำบากพอควรหลังจากต้องเผชิญหน้ากับข้าศึกมากมายขนาดนี้ ถึงอย่างไร เธอก็จะไม่มีวันสบายใจจนกว่าจะได้เห็นว่าเขากำลังทำอะไรอยู่และได้รับบาดเจ็บหรือไม่…


“เขาคงจะมุ่งหน้าไปที่ฉนวน…” หลัวลั่วชิงยืนขึ้นและเดินหน้าต่อไป


ในเมื่อภัยคุกคามถูกจัดการจนสิ้นซากแล้ว ก็มีโอกาสที่จางเซวียนจะเข้าไปซ่อมแซมฉนวนแห่งมิติ การจะสรุปได้แบบนี้ก็ถือว่าไม่ยากเย็นอะไร


ทั้งกลุ่มรีบรุดหน้าไป ไม่ช้าก็มาถึงฉนวนแห่งมิติ


ในตอนนั้น ฉนวนแห่งมิติถูกซ่อมแซมเรียบร้อยแล้ว คลื่นพลังงานที่อยู่ภายในฉนวนเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าการซ่อมแซมได้ผลเสร็จสมบูรณ์


“มันคือพลังปราณของเซวียนเอ๋อ ว่าแต่…เขาอยู่ไหนล่ะ?”


เซียนดาบเหมิงบอกได้ว่าปราการที่ได้รับการซ่อมแซมแล้วนั้นคือพลังปราณของจางเซวียน ซึ่งการที่เขายังสามารถซ่อมแซมฉนวนแห่งมิติได้ก็หมายความว่าเขาไม่เป็นอะไร ว่าแต่…ตอนนี้เขาหายไปไหน?


เธอใช้การรับรู้จิตวิญญาณกวาดไปโดยรอบเพราะเกรงว่าจะคลาดกับลูกชาย ถ้าเขายังคงอยู่แถวนี้ ป่านนี้เธอก็น่าจะพบตัวเขาแล้ว


“ดูเหมือนเขาจะข้ามฉนวนไปและมุ่งหน้าไปยังสนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจ!” หลัวลั่วชิงขมวดคิ้ว


“เขาข้ามไปอีกฝั่ง? ทำไมถึงหุนหันพลันแล่นอย่างนั้น?” เซียนดาบเหมิงแทบลมจับเมื่อได้ยิน “แบบนี้ไม่ได้การแล้ว ฉันต้องไปช่วยเขา…”


เซียนดาบเหมิงเป็นคนอารมณ์ร้อน แต่น้อยครั้งที่เธอจะทำอะไรอย่างหุนหันพลันแล่น เธอเป็นคนมีเหตุผล รู้ดีว่าควรทำหรือไม่ควรทำอะไร แต่เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับลูกชาย ก็ดูเหมือนการใช้เหตุผลของเธอจะสูญหายไปหมด


“ให้ฉันไปดีกว่า ถ้าคุณทั้งคู่เข้าไป ก็มีโอกาสที่คุณจะเจออันตรายก่อนที่จะได้พบกับจางเซวียน” หลัวลั่วชิงขัด


เซียนดาบชิงเหมิงอาจทรงพลังก็จริง แต่การต่อสู้ในสนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจนั้นต่างจากการต่อสู้ในอาณาจักรใต้ดิน เจตนาสังหารในสนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจนั้นเข้มข้นเสียจนสามารถกดข่มประสิทธิภาพการต่อสู้ของพวกเขาลงได้มาก อีกทั้งรังสีของพวกเขาก็จะโดดเด่นราวกับประภาคารยามค่ำคืน ทำให้ตกเป็นเป้านิ่งได้ง่าย


หากทั้งคู่เข้าไป ก็มีโอกาสที่จะถูกเผ่าพันธุ์ปีศาจจับและสังหารเสียก่อนที่จะได้พบกับจางเซวียน


“คุณน่ะหรือ?” เซียนดาบเหมิงขมวดคิ้ว “มันอันตรายมากนะที่จะข้ามฉนวนไป! พละกำลังในตอนนี้ของคุณ…”


ไม่ใช่ว่าเธอไม่เชื่อในตัวหลัวลั่วชิง แต่อีกฝ่ายไม่เคยเปิดเผยระดับวรยุทธมาก่อน เมื่อตอนอยู่ที่ตระกูลหลัว ก็เป็นหวู่เฉินซึ่งเป็นบริวารของเธอที่สู้รบกับเหล่าผู้อาวุโส ไม่ใช่ตัวเธอเอง


พวกเขาคาดเดาว่าหลัวลั่วชิงน่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญผู้ไร้เทียมทานคนหนึ่ง แต่นั่นก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น


“ไม่ต้องห่วงหรอก” รู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงเธอ หลัวลั่วชิงหัวเราะเบาๆ “คุณควรจะกลับไปที่เมืองและแจ้งให้คนอื่นๆทราบข่าวนี้ ให้พวกเขามาจัดการศพของเผ่าพันธุ์ปีศาจเหล่านี้เสีย และย้ายการตรึงกำลังมาที่ฉนวนแห่งมิติ ส่วนที่เหลือ…ไว้เป็นหน้าที่ฉันเอง”


หลังจากพูดจบ หลัวลั่วชิงก็ผลักเซียนดาบชิงเหมิงเบาๆ


ฟึ่บ!


เซียนดาบชิงเหมิงพลันรู้สึกว่ารอบตัวพวกเขาพร่าเลือน ภาพที่เห็นตรงหน้าบิดเบี้ยวไปหมด และในชั่วพริบตา ทั้งคู่ก็พบว่าตัวเองกลับมาอยู่ในห้องโถงใหญ่ของป้อมปราการ


“เอ่อ…”


ทั้งสองนัยน์ตาเบิกโพลงด้วยความประหลาดใจ


นำพวกเขากลับมาสู่ห้องโถงใหญ่ได้อย่างตรงพิกัดด้วยการผลักเบาๆเท่านั้น…ความเข้าใจในกฎเกณฑ์แห่งมิติของเธอจะต้องล้ำลึกขนาดไหน?


ต่อให้ปรมาจารย์หยางก็ทำแบบนี้ไม่ได้!


“หรือว่าเธอจะเป็น…นักปราชญ์โบราณ?” เซียนดาบเหมิงพึมพำด้วยสีหน้าทึ่งสุดขีด


เธอรู้ว่าสาวน้อยที่ลูกชายของเธอหลงรักมีความแข็งแกร่งในระดับที่ไม่ธรรมดา บางทีอาจจะแข็งแกร่งกว่าเธอกับเซียนดาบชิงเสียอีก แต่ก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะไร้เทียมทานขนาดนี้


ตัวเธอกับเซียนดาบชิงสามารถรับมือกับนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานได้หากผนึกกำลังกัน แต่หลัวลั่วชิงส่งพวกเขาทะลุมิติกลับมาได้โดยที่ยังไม่ทันจะรู้ตัว ถ้าหลัวลั่วชิงใช้ความสามารถของเธอไปกับการโจมตี ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเธอจะต้องน่าทึ่งอย่างมากแน่


“นักปราชญ์โบราณ? จะมีนักปราชญ์โบราณที่อายุยังน้อยอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ได้อย่างไร?” เซียนดาบชิงส่ายหน้าและทักท้วงการคาดเดาของเซียนดาบเหมิง


เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่อาจหยั่งถึงพละกำลังที่แท้จริงของหลัวลั่วชิง จึงได้แต่ส่ายหน้าและพูดว่า “เอาเถอะ ตอนนี้อย่าเพิ่งคิดมากเลย ถึงอย่างไรผมก็คิดว่าเราควรจะไว้วางใจให้เธอช่วยเหลือเซวียนเอ๋อ”


หลังจากพูดจบ เขาก็บินไปยังพื้นที่กลางอากาศบริเวณป้อมปราการและสั่งการ “เหล่าสมาชิกตระกูลจาง ฟังคำสั่งของผม! ออกเดินหน้าเพื่อกวาดเก็บทรัพย์สมบัติจากสงคราม!”


“กวาดเก็บทรัพย์สมบัติจากสงคราม?”


เหล่าผู้อาวุโสที่อารักขาอยู่นอกเมืองต่างประหลาดใจเมื่อได้ยินคำสั่งนี้ และยิ่งงุนงงกว่าเดิมเมื่อได้เห็นบุคคลผู้ออกคำสั่ง


พวกเขาเพิ่งเห็นรองหัวหน้าตระกูลเดินลึกเข้าไปในแคมป์ของเผ่าพันธุ์ปีศาจ แต่ยังไม่ทันจะรู้ตัว รองหัวหน้าของพวกเขาก็กลับมาที่ป้อมปราการแล้ว เรื่องนี้ทำให้เหล่าผู้อาวุโสสงสัยมาก


“หัวหน้าจางเซวียนแทรกตัวเข้าไปในหมู่เผ่าพันธุ์ปีศาจและสังหารพวกมันไปถึงหมื่นตัว ด้วยสิ่งนี้ วิกฤตการณ์ที่อาณาจักรใต้ดินแห่งภูเขาพยัคฆ์มังกรจึงได้รับการแก้ไขแล้ว!” เห็นสีหน้างุนงงของฝูงชน เซียนดาบชิงอธิบายสถานการณ์พร้อมกับหัวเราะลั่น


“ท่านหัวหน้าของเราสังหารเผ่าพันธุ์ปีศาจไปหมื่นตัวด้วยน้ำมือของเขาเอง?”


“กองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจที่พวกเราจนปัญญาจะรับมือด้วยถูกกำจัดไปจนสิ้นซากโดยท่านหัวหน้าของเราเพียงคนเดียว?”


“เอ่อ…นี่ผมหูฝาดหรือเปล่า?”


….


ทุกคนในตระกูลจางพากันอึ้งตะลึง พวกเขางงงันจนทำอะไรไม่ถูก


แต่ละคนเคยได้ยินเรื่องราวของเหล่าวีรบุรุษที่บุกเข้าไปท่ามกลางดงศัตรูเพื่อตัดศีรษะแม่ทัพฝ่ายตรงข้าม แล้วก็เคยได้ยินเรื่องราวของเหล่าผู้เชี่ยวชาญที่สู้รบกับข้าศึกจำนวนหลายร้อยคนพร้อมๆกันอย่างกล้าหาญ แต่สำหรับคนเพียงคนเดียวที่กวาดล้างได้ทั้งกองทัพ…มันเกิดอะไรขึ้นกันนี่?


…..


จางเซวียนไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในตระกูลจาง เขาเดินลึกเข้าไปในสนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจ


มันเป็นอีกโลกหนึ่งที่ใหญ่โตพอๆกับทวีปแห่งปรมาจารย์ ตอนนี้มองไม่เห็นขอบฟ้า โลกใบนี้ไม่มีดวงอาทิตย์ มีแต่พระจันทร์สีเลือดที่ลอยอยู่ นำความรู้สึกหดหู่มายังโลกที่อยู่เบื้องล่าง


เจตนาสังหารของโลกใบนี้ดูจะเข้มข้นเป็นพิเศษและขึ้นตรงกับพระจันทร์สีเลือด ราวกับพลังปราณพิเศษของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นมีต้นกำเนิดจากที่นั่น


จางเซวียนเลิกคิ้ว อยู่ที่นี่เหมือนตกนรกทั้งเป็น ไม่น่าแปลกใจแล้วว่าทำไมเผ่าพันธุ์ปีศาจถึงอยากยึดครองทวีปแห่งปรมาจารย์…


แม้พลังปราณเทียบฟ้าของจางเซวียนจะทำให้เขาปลอดภัยจากเจตนาสังหาร แต่ก็รู้สึกว่าจิตใจ ค่อยๆหยาบกระด้างและกระหายความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ไม่ช้าไม่นาน เขาจะต้องปรารถนาการนองเลือดแน่


โลกนี้ไม่ใช่สถานที่ที่มีความเห็นอกเห็นใจกัน


ถ้าตัวเขาเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจ ก็คงจะบุกทวีปแห่งปรมาจารย์ไปแล้ว


เราไม่คิดว่าจะหาทางออกจากที่นี่ได้หากปราศจากแผนที่ เราควรจะกลับไปแล้วรอให้ไอ้โหดตื่นก่อน แล้วค่อยกลับมาใหม่ จะดีกว่าไหม?


อันที่จริง เป็นเพราะความอยากรู้อยากเห็นที่ทำให้จางเซวียนเข้าสู่สนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจ เมื่อรู้ตัวแล้วว่าเขาไม่อาจระบุทิศทางได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพ ก็รู้สึกว่าอาจจะดีกว่าถ้าตอนนี้จะกลับไปก่อน


เพราะมันจะเป็นหายนะครั้งใหญ่เลยทีเดียวหากเขาหลงทาง


แต่ขณะที่จางเซวียนกำลังจะกลับ ก็ได้ยินเสียงพายุหวีดหวิวมาแต่ไกล จากนั้น เสียงของเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวหนึ่งก็ดังขึ้น “เร็วเข้าสิ!”


จางเซวียนรีบใช้แก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติอำพรางร่างของตัวเอง ก่อนจะมุ่งหน้าไปตามทิศทางของต้นเสียง



ตอนที่ 1682 กองทัพนับแสน

จางเซวียนใช้เวลาไม่นานก็มาถึงตีนเขาแห่งหนึ่ง ที่นั่น เขาพบเผ่าพันธุ์ปีศาจสี่ตัวกำลังลาดตระเวน พลังจิตวิญญาณพวยพุ่งมาจากบริเวณโดยรอบ ดูเหมือนเผ่าพันธุ์ปีศาจพวกนี้กำลังพยายามขับเคลื่อนค่ายกลอันหนึ่ง


ในบรรดาเผ่าพันธุ์ปีศาจทั้งสี่ ตัวที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นนักรบขั้นชั่วกัลปาวสาน มีพละกำลังเทียบเท่ากับโหมวอู่ ส่วนอีกสามตัวที่เหลือเป็นนักรบขั้นการพักฟื้นภายใน


ที่อยู่ตรงหน้าพวกมันคือค่ายกลทะลุมิติ แต่เท่าที่ดูจากธงค่ายกลที่อยู่โดยรอบ ค่ายกลนี้ดูเหมือนจะเก่ามาก ดังนั้น การเปิดใช้งานจึงเป็นเรื่องยาก


เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่แข็งแกร่งที่สุดกำลังจ้องหน้าอีกสามตัวที่เหลืออย่างโกรธเกรี้ยว พร้อมกับโวยวายไปด้วย


“ท่านโม่เย่ ผมได้พยายามเต็มที่แล้ว แต่ค่ายกลอันนี้เก่าเกินไป ไม่มีอะไรที่ผมสามารถทำได้อีกแล้ว!” เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวหนึ่งที่กำลังพยายามขับเคลื่อนค่ายกลทักท้วงด้วยเสียงอ่อยๆ


“หุบปากแล้วทำงานไป ถ้ามันใช้การไม่ได้ล่ะก็ ทั้งแกทั้งฉันหัวขาดแน่!” โม่เย่โบกมืออย่างเย็นชา


“ขอรับ!”


เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวนั้นไม่กล้าทักท้วงอีก มันขับเคลื่อนพลังปราณอย่างดุเดือดเข้าสู่ค่ายกล ถึงขนาดที่ทำให้พลังจิตวิญญาณในบริเวณโดยรอบเข้มข้นขึ้น และค่ายกลเก่าคร่ำคร่าอันนั้นก็เริ่มออกอาการ ดูเหมือนมันพร้อมจะใช้งานได้ทุกขณะ


แต่สีหน้าของเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่กำลังพยายามขับเคลื่อนค่ายกลก็ซีดเผือดลงอย่างรวดเร็ว มันใกล้จะหมดเรี่ยวแรงเต็มที


“เร็วเข้า รีบเข้ามาช่วยผม!” เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวนั้นร้องบอกอีกสองตัวที่เหลือ


เผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีวรยุทธขั้นการพักฟื้นภายในอีกสองตัวรีบกัดนิ้วโดยไม่ลังเล และมอบหยดเลือดให้กับค่ายกลทะลุมิติ


วิ้ง!


ทันใดนั้น พลังจิตวิญญาณที่อยู่โดยรอบก็เข้มข้นขึ้นจนแทบจะจับต้องได้ แสงเจิดจ้าสว่างเรืองออกมาจากค่ายกลทะลุมิติ


“ดี!” เห็นค่ายกลทะลุมิติใช้งานได้แล้ว โม่เย่คำรามก่อนจะก้าวเข้าไป


ฟึ่บ!


โม่เย่ถูกโอบล้อมด้วยลำแสง รอยแยกแห่งมิติปรากฏขึ้นตรงหน้า เขาก้าวเข้าไปในนั้นและหายวับไปอย่างรวดเร็ว


พลั่ก!


ทันทีที่โม่เย่จากไป เผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีวรยุทธขั้นการพักฟื้นภายในที่เหลืออีกสามตัวก็ล้มลงไปกองกับพื้น


ดูเหมือนการเปิดใช้งานค่ายกลจะสูบเรี่ยวแรงของพวกมันไปจนหมด


“โชคดีนะที่พวกเราทำสำเร็จ ไม่อย่างนั้นคงหัวขาดแน่…” แม้จะเหน็ดเหนื่อย แต่ทั้งสามก็ยิ้มได้ด้วยความโล่งอก


ถ้าไม่สามารถเปิดใช้งานค่ายกลได้ พวกมันคงตายแน่!


ขณะที่กำลังฉลองชัยชนะเล็กๆของตัวเองอยู่นั้น เผ่าพันธุ์ปีศาจร่างสูงใหญ่ตัวหนึ่งก็เดินตรงเข้ามา


“ท่านโหมวอู่!”


เมื่อเห็นเผ่าพันธุ์ปีศาจร่างสูงใหญ่ตัวนั้น ทั้งสามรีบลุกขึ้นยืนและทักทาย


“เอาล่ะ เปิดใช้งานค่ายกลเดี๋ยวนี้ ผมอยากตามโม่เย่ไป” โหมวอู่โบกมืออย่างวางอำนาจ


แน่นอนว่าจางเซวียนปลอมตัวเป็นโหมวอู่


ดูจากการที่โม่เย่รีบร้อนจากไปโดยใช้ค่ายกลทะลุมิติ ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะต้องมีบางอย่างที่มันต้องรีบไปจัดการ และในเมื่อจางเซวียนเห็นแล้ว เขาก็จะต้องยับยั้งอีกฝ่ายไว้ให้ได้ ในเวลาเดียวกัน ก็ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในหมู่เผ่าพันธุ์ปีศาจ


“ท่านโหมวอู่ คุณอยากไปที่ทะเลพันใบหรือ?”


เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่เปิดใช้งานค่ายกลแทบปล่อยโฮ


เมื่อครู่นี้พวกมันเหน็ดเหนื่อยแทบตายกว่าจะทำให้ค่ายกลทะลุมิติใช้งานได้ ขืนต้องทำอีกครั้งหนึ่ง มีหวังเสียชีวิตแน่!


เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวหนึ่งกัดฟันและพูดว่า “ท่านโหมวอู่ ขออภัยด้วยที่ผมต้องถามแบบนี้ แต่คุณจะต้องมุ่งหน้าไปยังดวงดาวแห่งแม่น้ำตามคำสั่งของอำมาตย์เฉินหลิงไม่ใช่หรือ?”


เมื่อได้ยินคำว่า ‘ดวงดาวแห่งแม่น้ำ’ จางเซวียนเงียบไปและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง


ในเมื่อโหมวอู่มาที่อาณาจักรใต้ดินแห่งภูเขาพยัคฆ์มังกรพร้อมกับคำประกาศของอำมาตย์เฉินหลิง ก็แปลว่าหุบเขาพยัคฆ์มังกรน่าจะเป็นดวงดาวแห่งแม่น้ำที่เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวนั้นพูดถึง ดูเหมือนชื่อที่เผ่าพันธุ์มนุษย์กับเผ่าพันธุ์ปีศาจใช้เรียกสถานที่เดียวกันจะมีความแตกต่างกันไป


“ผมจัดการปัญหาที่ดวงดาวแห่งแม่น้ำแล้ว อำมาตย์เฉินหลิงเพิ่งสั่งการให้ผมเดินทางไปที่ทะเลพันใบเพื่อไปพบกับโม่เย่ นี่ผมต้องรายงานความเคลื่อนไหวของผมให้พวกคุณรับรู้ด้วยหรือไง?” จางเซวียนหรี่ตาขณะที่เจตนาสังหารระเบิดออกจากร่างของเขา


พลังงานมหาศาลพลุ่งพล่านอยู่ภายใต้เกราะอันหนาหนัก ดูเหมือนจางเซวียนพร้อมจะเปิดการโจมตีได้ทุกเมื่อ


เกราะของโหมวอู่นั้นเหมือนกับของเหิงเจียง เขาจึงทำแค่ปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์เล็กน้อยเพื่อให้เหมือนกับอีกฝ่าย


“ผมไม่กล้าตั้งคำถามกับความเคลื่อนไหวของท่านโหมวอู่หรอก!” เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวนั้นหน้าซีดด้วยความพรั่นพรึง มันรีบหันไปถ่ายทอดพลังปราณเข้าสู่ค่ายกลทะลุมิติ


แต่เพราะก่อนหน้านี้ใช้พลังมากเกินไป ร่างกายจึงถึงขีดสุดของความทนทาน


เผ่าพันธุ์ปีศาจอีกสองตัวรู้ดีว่าต้องถูกลงโทษแน่หากไม่สามารถเปิดใช้งานค่ายกลทะลุมิติให้โหมวอู่ จึงรีบเข้ามาช่วย


“ผมเพิ่งแก้ปัญหาที่ดวงดาวแห่งแม่น้ำเสร็จสิ้น และไม่รู้ว่าสถานการณ์ที่ทะเลพันใบเป็นอย่างไร บอกผมมาซิว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่น?” ขณะที่เฝ้าดูเผ่าพันธุ์ปีศาจเค้นพลังปราณทุกหยาดหยดเข้าสู่ค่ายกลทะลุมิติ จางเซวียนก็ตั้งคำถามขึ้นมาลอยๆ


ในเมื่อดวงดาวแห่งแม่น้ำคืออาณาจักรใต้ดินแห่งภูเขาพยัคฆ์มังกร ก็แปลว่าทะเลพันใบคงจะเป็นชื่อของอาณาจักรใต้ดินอีกแห่งหนึ่ง อันที่จริง ถ้าเขาเดาถูก มันน่าจะเป็นหนึ่งในหกอาณาจักรใต้ดินที่เผ่าพันธุ์ปีศาจทุ่มเทกองกำลังไปที่นั่น


คงจะดีหากเขาได้มุ่งหน้าไปที่นั่นและแก้ไขวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้น น่าจะบรรเทาความกดดันที่ทุกคนกำลังเผชิญอยู่ได้มาก


“รายงานท่านโหมวอู่ พวกเราไม่มีสิทธิ์รับรู้ข้อมูลเหล่านั้น จึงไม่แน่ใจเท่าไหร่…แต่ท่านโม่เย่พูดไว้เมื่อครู่นี้ว่าทั้งอำมาตย์เฉินชิงและอำมาตย์เฉินหลิงได้สั่งการเป็นเสียงเดียวกันให้ตรึงกองกำลังไว้ที่ทะเลพันใบเพื่อบุกเข้าโจมตีเผ่าพันธุ์มนุษย์!” เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวหนึ่งรีบตอบ


“ตรึงกองกำลังไว้? บุกเข้าโจมตี?” จางเซวียนเลิกคิ้ว


ที่อาณาจักรใต้ดินแห่งภูเขาพยัคฆ์มังกร เซียนดาบชิงรู้สึกได้ว่ากองทัพเผ่าพันธุ์ปีศาจไม่ได้รีบร้อนจะเข้าโจมตีตระกูลจาง และยังสงสัยอยู่ว่าพวกมันอาจกำลังรอคอยกำลังเสริม กองทัพที่มีเผ่าพันธุ์ปีศาจเพียงหมื่นตัวนั้นจัดว่ารับมือได้ไม่ยาก แต่หากพวกมันมีกำลังเสริม ก็คงเป็นฝันร้ายสำหรับตระกูลจาง!


เมื่อสันนิษฐานจากข้อมูลที่เขาได้รับมา ก็ดูเหมือนว่าทะเลพันใบไม่น่าจะใช่อาณาจักรใต้ดิน แต่เป็นปราการที่กองกำลังเสริมตั้งอยู่


เรื่องนี้ไม่ใช่ข่าวดีเลย แน่นอนว่าเหล่าปรมาจารย์ที่ตรึงกำลังอยู่ในอาณาจักรใต้ดินที่กำลังเสริมเคลื่อนพลเข้าไปนั้นจะต้องเผชิญกับอันตรายใหญ่หลวง


แถมคราวนี้ยังเป็นคำสั่งที่ทั้งอำมาตย์เฉินชิงกับอำมาตย์เฉินหลิงสั่งการเป็นเสียงเดียวกันด้วย!


คำสั่งที่เหิงเจียงได้รับจากอำมาตย์เฉินหลิงกับอำมาตย์เฉินซิงก่อนหน้านี้มีความขัดแย้งกัน คำสั่งแรกสั่งการให้เข้าโจมตีทันที ขณะที่คำสั่งที่ 2 สั่งการให้ตรึงกำลังไว้ พูดอีกอย่างก็คือมีความขัดแย้ง กันในหมู่อำมาตย์ แต่ตอนนี้ทั้งคู่หันมาสั่งการเป็นเสียงเดียวกันแล้วว่าให้เปิดการโจมตี…


“มีกำลังพลอยู่ที่ทะเลพันใบมากแค่ไหน? เป็นไปได้หรือเปล่าที่จะโยกย้ายกำลังพลบางส่วนไปเสริมกำลังที่ดวงดาวแห่งแม่น้ำ?” จางเซวียนตั้งคำถามต่อไป


“กองกำลังที่ทะเลพันใบเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าพันธุ์ปีศาจของเรา มีนายทหารชั้นสูงที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของอำมาตย์เฉินหลิงและอำมาตย์เฉินชิงเป็นผู้สั่งการ พวกเขามีกองทัพที่มีกำลังพลนับแสน!” เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวหนึ่งตอบอย่างภาคภูมิใจ


“นับแสน?” จางเซวียนแทบล้มทั้งยืนเมื่อได้ยินตัวเลข


พลทหารเผ่าพันธุ์ปีศาจหมื่นตัวนั้นก็มากเกินพอที่จะยับยั้งกองกำลังของตระกูลจางและทำให้อาณาจักรใต้ดินต้องกลายเป็นสนามรบอันดุเดือดแล้ว แต่หากพลทหารเผ่าพันธุ์ปีศาจนับแสนตัวเคลื่อนกำลังพร้อมๆกัน ต่อให้สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ก็ไม่อาจยับยั้งพวกมันได้


ใครจะคิดว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจจะมีกองทัพที่ใหญ่โตขนาดนี้?


พวกเขาจะสามารถปกป้องสภาปรมาจารย์ได้หรือหากต้องเผชิญกับข้าศึกที่มีจำนวนนับแสน?


“ใช่แล้ว” เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวนั้นดูเหมือนจะพอรู้อะไรอยู่บ้าง “นี่เป็นครั้งแรกที่อำมาตย์ทั้งสอง ร่วมมือกัน พวกเขาเรียกรวมพลเหล่าผู้เชี่ยวชาญเผ่าพันธุ์ปีศาจทั้งหมดเพื่อเปิดทางเข้าสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์ พลทหารส่วนใหญ่จากอาณาจักรใต้ดินแห่งอื่นได้มุ่งหน้าไปยังทะเลพันใบแล้ว ซึ่งเหตุผลที่ดวงดาวแห่งแม่น้ำไม่ได้รับคำสั่งก็เพราะอยู่ห่างไกลเกินไป”


ได้ยินคำนั้น จางเซวียนแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก


เขาเคยคิดว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจจะเข้าโจมตีอาณาจักรใต้ดินทั้ง 108 แห่งพร้อมๆกัน และยังคงมีกองกำลังเสริมจำนวนมากที่พร้อมจะเข้าเสริมได้ทุกเวลาที่พวกมันต้องการ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ทุกอย่างจะน่าสะพรึงมาก


แต่โชคดีที่ไม่ใช่


ดูเหมือนอำมาตย์เฉินหลิงกับอำมาตย์เฉินชิงจะสั่งการให้พลทหารจากอาณาจักรใต้ดินแต่ละแห่งไปรวมตัวกันที่ทะเลพันใบ จากนั้นพวกมันก็จะทุ่มเทกองกำลังเข้าทำลายล้างอาณาจักรใต้ดินเพียงแห่งเดียว


อีกสิ่งหนึ่งที่เขารู้จากคำบอกเล่าของเผ่าพันธุ์ปีศาจก็คือ นี่เป็นครั้งแรกที่อำมาตย์เฉินหลิงกับอำมาตย์เฉินชิงปฏิบัติการไปในแนวทางเดียวกัน เรื่องนี้ทำให้เขาแน่ใจในข้อสันนิษฐานของตัวเองว่าอำมาตย์ทั้งสามของเผ่าพันธุ์ปีศาจนั้นไม่ได้มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันนัก


อันที่จริง ก็พอจะดูออกว่าพวกมันอิจฉาริษยากันเองและมีการงัดข้อกันเล็กๆน้อยๆ เรื่องนี้ทำให้แต่ละตัวไม่อาจทำงานร่วมกันได้ ส่งผลให้กองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจไม่สามารถปฏิบัติการโจมตีอย่างเด็ดขาด


แต่แล้ว ในตอนนั้นเอง เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวหนึ่งก็รู้สึกถึงความผิดปกติและร้องออกมา “นี่มันไม่ถูกแล้ว…ท่านโหมวอู่ คุณเป็นแม่ทัพเผ่าพันธุ์ปีศาจของเรา คุณจะไม่รู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร?”


เผ่าพันธุ์ปีศาจอีก 2 ตัวนัยน์ตาเบิกโพลงเมื่อคิดได้ พวกมันจ้องหน้าจางเซวียนด้วยสายตามุ่งร้ายทันที



ตอนที่ 1683 แม่ทัพใหญ่

“แกพูดถูก ฉันก็เชื่อว่าท่านโหมวอู่น่าจะรู้เรื่องพวกนี้…” เมื่อถูกเปิดโปง จางเซวียนก็เบื่อที่จะปลอมตัวอีกต่อไป เขาหัวเราะหึๆ


“มันไม่ใช่ท่านโหมวอู่ จัดการ!”


เผ่าพันธุ์ปีศาจทั้ง 3 ตัวหรี่ตาอย่างดุร้ายขณะเตรียมพร้อมกระโจนเข้าใส่ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอย่างนั้น ร่างใหญ่โตที่อยู่กลางอากาศก็ร่วงลงมาใส่พวกมันอย่างรวดเร็ว


พลั่ก!


เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนค่ายกลแหลกเละเป็นเนื้อบด


จากนั้น หอกสวรรค์กระดูกมังกรก็พุ่งเข้ามาและตัดหัวเผ่าพันธุ์ปีศาจอีกตัวหนึ่ง ในเวลาเดียวกัน กระบี่ปีศาจก็ฟันร่างของเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวสุดท้ายจนขาดครึ่ง


เผ่าพันธุ์ปีศาจสามตัวนี้เป็นแค่นักรบการพักฟื้นภายใน ในเมื่อพวกมันรู้แล้วว่าเขาปลอมตัวมา สิ่งที่เขาต้องทำก็คือปิดปากมันเสีย


หลังจากจัดการศพแล้ว จางเซวียนก็ถ่ายทอดพลังปราณเข้าสู่ค่ายกลทะลุมิติเก่าแก่ที่อยู่ตรงหน้า มันเรืองแสงออกมา จากนั้นเขาก็หายวับไป


ด้วยความเชี่ยวชาญในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านค่ายกลและความเข้าใจเรื่องมิติของเขา การเปิดใช้งานค่ายกลจึงเป็นเรื่องง่าย


เกิดการกระตุก แล้วจางเซวียนก็มาปรากฏตัวที่อีกด้านหนึ่งของค่ายกล เขากวาดสายตามองไปโดยรอบและพบว่าตัวเองยืนอยู่ท่ามกลางหุบเขาขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ภูเขาหลายลูกมีความสูงลดหลั่นกันไป เรียงรายทั่วทั้งพื้นที่ บดบังทัศนียภาพเอาไว้


“คารวะท่านแม่ทัพ!”


หลังจากตั้งตัวได้ จางเซวียนก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น


เสียงนั้นมาจากพลทหาร 2 ตัวที่ทำหน้าที่อารักขาค่ายกลทะลุมิติ ดูเหมือนพวกมันจะมีตำแหน่งไม่สูงนัก เป็นไปได้ว่ามันน่าจะจดจำเขาได้จากหมวกเกราะและชุดเกราะที่สวมอยู่


“อือ” จางเซวียนพยักหน้าขณะก้าวยาวๆเข้าไป


ดวงจันทร์สีเลือดลอยอยู่ท่ามกลางหุบเขา ชั้นหมอกบางๆลอยอ้อยอิ่งอยู่เหนือหุบเขานั้น แม้จะมีบรรยากาศของอันตรายอบอวลไปทั่ว แต่จางเซวียนก็ต้องยอมรับว่าทัศนียภาพที่เห็นนั้นสวยงามราวกับภาพวาด


มีพลทหารนับไม่ถ้วนยืนประจำตำแหน่งในรูปแบบของค่ายกลอยู่ทั่วทั้งหุบเขาขนาดใหญ่นั้น การเคลื่อนไหวของพวกมันได้รับการจัดระเบียบอย่างดี ไม่มีความสับสนวุ่นวายแม้แต่น้อย ลำพังแค่ระเบียบที่เห็น ก็ชัดเจนแล้วว่าพวกมันได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี


ในฐานะกองกำลังเสริมที่มาจากอาณาจักรใต้ดินที่ต่างๆกัน แม้ใบหน้าของโหมวอู่จะดูแปลกตาสำหรับเผ่าพันธุ์ปีศาจหลายๆตัว แต่ก็ไม่มีตัวไหนสงสัยตัวตนของเขา ยิ่งรุดหน้าไป จางเซวียนก็ยิ่งตกตะลึงมากขึ้น


ก็เหมือนกับกองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจที่อยู่บริเวณอาณาจักรใต้ดินแห่งภูเขาพยัคฆ์มังกร แม้แต่ตัวที่อ่อนแอที่สุดก็ยังเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 3!


หากกองทัพที่มีกำลังพลนับแสนนี้เคลื่อนไหวพร้อมๆกัน ต่อให้นักปราชญ์โบราณก็ยังต้องล่าถอย


เราต้องยับยั้งพวกมันไว้ ไม่อย่างนั้นจะต้องเกิดการสูญเสียหลายชีวิตแน่! จางเซวียนคิดพร้อมกับขมวดคิ้ว


หลังจากการพัฒนามาหลายหมื่นปี สภาปรมาจารย์ก็สามารถรวบรวมกองกำลังนักรบระดับเซียนขั้น 3 ขึ้นไปได้กว่าแสนคน แต่ก็ยังต้องใช้เวลา อีกอย่าง ด้วยการที่เผ่าพันธุ์ปีศาจเข้าโจมตีอาณาจักรใต้ดินทั้ง 108 แห่งพร้อมกัน เผ่าพันธุ์มนุษย์ที่เป็นนักรบจึงต้องกระจายกำลังกันทั่วทั้งทวีปแห่งปรมาจารย์เพื่อขับไล่เผ่าพันธุ์ปีศาจออกไป


หากกองทัพนี้เข้าโจมตี ก็ไม่มีทางที่สภาปรมาจารย์จะรับมือไหว และทันทีที่กองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจบุกเข้าสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์ได้ ผู้บริสุทธิ์จำนวนมากก็จะต้องถูกสังหาร!


เขาต้องยับยั้งกองทัพนี้ไว้ให้ได้ ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีไหนก็ตาม


แต่…จะทำได้อย่างไรล่ะ?


แม้แต่นักปราชญ์โบราณก็คงไม่กล้าเผชิญหน้ากับกองทัพที่มีกำลังพลมากขนาดนี้ นับประสาอะไรกับตัวเขา


ถ้าเขาแสดงทีท่าผิดปกติออกมาแม้แต่นิดเดียว คงได้ตายเสียก่อนที่จะทันรู้ตัว!


จางเซวียนคิดจะใช้พลังปราณเทียบฟ้าของเขาเปลี่ยนเป็นยาพิษเพื่อเล่นงานพลทหาร แต่ต่อให้เขาใช้พลังปราณจนหยดสุดท้าย ก็ดูท่าจะไม่เพียงพอที่จะยับยั้งพวกมัน


ก่อนหน้านี้ กลยุทธสายฟ้าอาจใช้การได้ แต่ตอนนี้เขาก็ไม่มีของล้ำค่าของผู้หยั่งรู้อยู่กับตัว อีกอย่าง เขาจะต้องจัดการให้พลทหารเหล่านี้เชื่อฟังคำสั่งของเขาก่อน


ลองดูซิว่าเราจะหาตัวแม่ทัพใหญ่ได้หรือเปล่า…หากสังหารมันและเข้าควบคุมกองทัพแทนได้ ก็น่าจะผลักดันบางอย่างได้สำเร็จ…


ในการรับมือกับกองทัพนั้น กลยุทธที่มีประสิทธิภาพที่สุดก็คือต้องเล่นงานแม่ทัพของพวกมันก่อน


ตอนนี้เขายังหาแผนการเหมาะๆที่จะเล่นงานทั้งกองทัพไม่ได้ ดังนั้น สิ่งที่ดีที่สุดที่เขาทำได้ตอนนี้ คือหาตัวหัวหน้าของพวกมัน ถ้าเขาสามารถสวมบทบาทผู้มีอำนาจสูงสุดในกองทัพได้ ก็คงจะมีสถานภาพที่ดีขึ้นในการสั่งการเรื่องต่างๆ


ดังนั้น จางเซวียนจึงเปิดใช้ดวงตาหยั่งรู้และกวาดสายตาไปโดยรอบ ไม่ช้าก็เห็นเต็นท์ขนาดใหญ่ที่มีพลทหารกลุ่มหนึ่งยืนอารักขาอยู่ด้านนอก รู้ดีว่าน่าจะเป็นเต็นท์ของแม่ทัพ จางเซวียนจึงเดินไป


ขณะที่มุ่งหน้าไปยังเต็นท์ จางเซวียนก็ผ่านพื้นที่ที่ลับสายตา เขากระดิกนิ้ว จากนั้นก็ทำการบิดเบี้ยวมิติโดยรอบและหายตัวไปจากบริเวณนั้น


หลังจากอำพรางตัวแล้ว จางเซวียนก็เดินหน้าไปยังเต็นท์ขนาดใหญ่ ไม่ช้าก็มายืนอยู่ตรงหน้ามัน


เขารออยู่ด้านนอกครู่หนึ่ง แล้วเผ่าพันธุ์ปีศาจที่สวมหมวกเกราะและชุดเกราะสีดำ ดูเหมือนจะเป็นแม่ทัพในระดับเดียวกับเหิงเจียงและโหมวอู่ก็เปิดประตูเต็นท์และเดินเข้าไป จางเซวียนตามหลังเข้าไปติดๆ


มีเตาผิงอยู่ในห้องนั้นซึ่งทำให้เต็นท์อบอุ่น หลังจากกวาดสายตาไปทั่วเต็นท์ จางเซวียนก็เห็นว่ามีเผ่าพันธุ์ปีศาจนั่งอยู่ในนั้น 18 ตัว ทุกตัวสวมหมวกเกราะและชุดเกราะสีดำซึ่งบ่งบอกว่าพวกมันเป็นแม่ทัพ


“พวกนี้เป็นนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานหมดเลยหรือ?” จางเซวียนเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ


ไม่น่าเชื่อว่าพวกมันทุกตัวจะเป็นนักรบขั้นชั่วกัลปาวสาน มีพละกำลังเทียบเท่ากับโหมวอู่ โดยเฉพาะเผ่าพันธุ์ปีศาจวัยกลางคนที่นั่งอยู่ตรงกลางซึ่งถือกระบี่สีทองไว้ในมือ จางเซวียนสัมผัสได้อย่างเลือนรางว่าความแข็งแกร่งของหมอนั่นทัดเทียมกันกับปรมาจารย์หยาง!


เมื่อรู้ตัว จางเซวียนก็ตัวแข็งขึ้นมาทันที เขาแทบไม่กล้าขยับตัวเพราะเกรงจะดึงดูดความสนใจ


โชคดีที่เขาไม่ได้บุกเข้ามาอย่างหุนหันพลันแล่น แต่ตามแม่ทัพอีกตัวหนึ่งเข้ามา ไม่อย่างนั้น ต่อให้มีความสามารถในการสกัดกั้นมิติ แต่การบุกเข้าไปอย่างพรวดพราดก็จะต้องทำให้บรรดาผู้เชี่ยวชาญที่นี่รับรู้ความผิดปกติแน่


ในช่วงเวลาที่ผ่านมา เขายกระดับวรยุทธขึ้นได้มาก แต่ก็ไม่โง่เง่าพอที่จะคิดว่าตัวเองจะสามารถหนีรอดจากการจับกุมของนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานจำนวนมากขนาดนี้ได้


“เรียนท่านแม่ทัพใหญ่ เป่ยชิงปฏิเสธที่จะทำตามความต้องการของพวกเรา!” แม่ทัพตัวที่เพิ่งเข้ามาในห้องประสานมือและรายงาน


“เขาปฏิเสธหรือ?” เผ่าพันธุ์ปีศาจวัยกลางคนที่นั่งอยู่ตรงกลางทวนคำด้วยสีหน้าเรียบเฉย


“เขาบอกว่าทรัพยากรของพวกเขาก็มีจำกัดเหมือนกัน จึงไม่อาจแบ่งปันกับพวกเราได้ เขาเสนอว่าพวกเราควรแยกทรัพย์สมบัติออกไปเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียโดยไม่จำเป็น!” แม่ทัพตัวนั้นพูด


“การสูญเสียโดยไม่จำเป็น? ดูเหมือนเขาจะมีแผนการในใจแล้วนะ หมอนั่นหวังให้เราเป็นแนวหน้า แต่กลับไม่เต็มใจที่จะให้เรายืมแม้แต่ชุดเกราะสักชุด ชัดเจนเลยว่าเขาไม่ได้เห็นเราดีไปกว่าหินรองเท้าก้อนหนึ่งเพื่อให้ตัวเองบรรลุเป้าหมาย!”


“เป็นที่รู้กันว่าอำมาตย์เฉินชิงนั้นละโมบโลภมาก แต่ใครจะไปคิดว่าเป่ยชิงก็เจ้าเล่ห์เจ้ากลเหมือนกัน? พวกเราทำข้อตกลงร่วมกันในการโจมตีครั้งนี้แล้ว แต่เขาคิดจะเอาแต่ได้โดยไม่ยอมสูญเสียอะไรเลยอย่างนั้นหรือ? ฝันกลางวันไปแล้วล่ะ!”


…..


เมื่อได้ยินการรายงานของแม่ทัพที่เพิ่งมาถึง เสียงอื้ออึงเซ็งแซ่ก็ดังไปทั่วทั้งห้อง


เผ่าพันธุ์ปีศาจวัยกลางคนตัวนั้นยกมือขึ้นเพื่อให้ทุกตัวเงียบเสียง “บอกพวกเขาไปว่า ไม่อยากสนับสนุนทรัพยากรให้พวกเราก็ไม่เป็นไร แต่พวกเขาจะต้องส่งกองกำลังออกมาด้วย แล้วเราจะเดินหน้าไปด้วยกัน ไม่อย่างนั้นล่ะก็ พวกเขาจะต้องมอบเกราะฟ้าประทานที่หลอมโดยอำมาตย์เฉินชิงให้เรา ผมไม่ขออะไรมากหรอก แค่ร้อยชุดก็พอ ถ้าไม่เป็นไปตามนั้นล่ะก็ ได้เกิดการสู้รบแน่ ซึ่งถ้าเขาชนะ ผมก็จะทำตามความต้องการของเขา แต่ถ้าผมชนะ เขาจะต้องเลิกทำตัวงี่เง่าและเชื่อฟังคำสั่งของผมทุกคำ!”


“ขอรับ ท่านแม่ทัพใหญ่!” แม่ทัพผู้นั้นรีบพยักหน้ารับและออกไปจากห้อง


จางเซวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็เลือกจะออกจากห้องไปพร้อมกับแม่ทัพตัวนั้น เขาตามอีกฝ่ายไป ไม่ช้า เต็นท์ขนาดใหญ่นั้นก็เกือบลับสายตา


จากบทสนทนาของพวกมัน ดูเหมือนว่าถึงกองกำลังเสริมจะมีกำลังพลนับแสน แต่ก็แบ่งพรรคแบ่งพวกออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งขึ้นตรงกับอำมาตย์เฉินชิง ขณะที่อีกฝ่ายขึ้นตรงกับอำมาตย์เฉินหลิง! จางเซวียนวิเคราะห์ข้อมูลที่เขาได้รับมาอย่างรวดเร็ว


เขาไม่รู้ว่าอำมาตย์ทั้งสองตัวนั้นเป็นใคร แต่ก็ชัดเจนว่าแม้ทั้งสองฝ่ายตัดสินใจจะทำงานร่วมกัน แต่ก็ยังมีความขัดแย้งและการแบ่งพรรคพวกอยู่


ยิ่งพวกมันแตกแยกกันมากเท่าไหร่ ถ้าเราสามารถใส่ไฟ กระพือความโกรธแค้น และทำให้พวกมัน งัดกันเองได้ ก็คงจะแก้ไขวิกฤตครั้งนี้ได้สำเร็จ จางเซวียนคิดด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย


ถ้ากองกำลังที่มีพลทหารนับแสนรวมตัวกันเป็นหนึ่ง ก็ไม่มีอะไรที่เขาจะทำได้ เขาคงต้องรีบกลับไปยังอาณาจักรใต้ดินโดยเร็วที่สุดและรายงานเรื่องนี้ให้สภาปรมาจารย์กับกลุ่มอำนาจใหญ่ๆได้รับรู้ผ่านตราหยกสื่อสาร เพื่อที่คนเหล่านั้นจะได้เตรียมตัวล่วงหน้า แต่ในเมื่อมีการแบ่งพรรคแบ่งพวกเป็นสองฝ่าย ก็ดูเหมือนจะเป็นโอกาสให้เขาได้เข้าแทรก


ดังนั้น จางเซวียนจึงรีบปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ของตัวเองก่อนจะสลายปราการแห่งมิติที่อยู่รอบตัว และเปิดเผยตัวเองอีกครั้ง


“แค่ก!” จางเซวียนจงใจไอเสียงดังเพื่อเรียกความสนใจของแม่ทัพ


“นั่นใครน่ะ?”


แม่ทัพกำลังกำลังมุ่งหน้าไปยังเต็นท์ฝั่งตรงข้าม ก็พอดีกับที่ได้ยินเสียงไอ มันรีบหันกลับมา และเมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ก็ลนลานโค้งคำนับและทักทาย “ท่านแม่ทัพใหญ่ คะ-คุณ…มีคำสั่งอื่นจะมอบหมายให้ผมหรือ?”


บุคคลที่จางเซวียนทำการปลอมตัวก็คือเผ่าพันธุ์ปีศาจวัยกลางคนที่นั่งอยู่ใจกลางห้องเมื่อครู่นี้, ท่านแม่ทัพใหญ่!



ตอนที่ 1684 สร้างความร้าวฉาน

จางเซวียนเลียนแบบน้ำเสียงและบุคลิกของแม่ทัพใหญ่ เขามองหน้าแม่ทัพและพูดว่า “มีบางอย่างที่ผมอยากให้คุณบอกเป่ยชิง”


“ท่านแม่ทัพใหญ่ออกคำสั่งมาเลย”


“เข้ามาใกล้ๆหน่อย เรื่องนี้จะให้ใครรู้ไม่ได้…” จางเซวียนพูดอย่างเคร่งขรึม


“ขอรับ ท่านแม่ทัพใหญ่…”


แม่ทัพออกจะงุนงงว่าทำไมจางเซวียนจึงไม่ใช้การส่งโทรจิตโดยพลังปราณเพื่อพูดกับเขาโดยไม่ให้ใครได้ยิน แต่ก็ตัดสินใจเอนศีรษะเข้าไปใกล้ และเพื่อแสดงความยำเกรงต่อแม่ทัพใหญ่ แม่ทัพก้มศีรษะลงด้วยความเคารพ


พวกเขาอยู่ในส่วนลึกของฐานที่ตั้งกองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจ ความคิดที่ว่าจะมีใครอาจหาญถึงขนาดปลอมตัวเป็นแม่ทัพใหญ่นั้นเหลวไหลเกินกว่าที่เขาจะนึกถึง


“เรื่องเป็นอย่างนี้…” จางเซวียนกระซิบกระซาบ


แต่เมื่อถึงคำที่ 3 ประกายเย็นวาบก็พาดผ่านกลางอากาศ


แม่ทัพรู้สึกได้ถึงอันตรายอย่างทันท่วงที แต่ยังไม่ทันที่จะได้ทำอะไร โลกรอบตัวก็หมุนติ้ว ศีรษะของเขาหลุดออกจากบ่า


มันเป็นการโจมตีที่คาดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิง การสังหารนั้นเป็นฝีมือของกระบี่เปลวเพลิงสีดำที่เป็นของล้ำค่าระดับกึ่งนักปราชญ์โบราณ ถึงแม่ทัพจะเป็นนักรบขั้นชั่วกัลปาวสาน แต่สุดท้ายก็ตกเป็นเหยื่อของจางเซวียน


แต่ถึงอย่างไร เหตุผลส่วนหนึ่งก็เพราะแม่ทัพเป็นแค่นักรบขั้นชั่วกัลปาวสานขั้นต้นเท่านั้น หากเขาทรงพลังกว่านี้ ทุกอย่างก็อาจไม่ง่ายดายอย่างที่เห็น


จางเซวียนโยนศพแม่ทัพเข้าไปในแหวนเก็บสมบัติและจัดการทำลายร่องรอยของการฆาตกรรม จากนั้นก็ขยับกล้ามเนื้อและกระดูกอีกครั้งเพื่อปลอมตัวเป็นแม่ทัพที่เพิ่งเสียชีวิตไป


เกิดการฆาตกรรมขึ้นในใจกลางฐานที่ตั้งของเผ่าพันธุ์ปีศาจซึ่งมีพลทหารเผ่าพันธุ์ปีศาจอยู่รายล้อมมากมาย แต่จางเซวียนได้ทำการสกัดกั้นมิติไว้ก่อนจะลงมือโจมตี การฆาตกรรมครั้งนี้จึงไม่ดึงดูดความสนใจของใครทั้งนั้น


หลังจากสวมเกราะและหมวกเกราะของแม่ทัพแล้ว จางเซวียนก็ก้าวยาวๆไปยังเต็นท์ขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า


ขณะที่เขามาถึงทางเข้า องครักษ์ 2 ตัวก็ชูหอกขึ้นและถลันเข้าขวางทาง


“บังอาจ! ผมมาที่นี่ในฐานะตัวแทนของแม่ทัพใหญ่ของเรา พวกคุณไปรายงานการมาเยือนของผมเดี๋ยวนี้!” จางเซวียนเอาสองมือไพล่หลังไว้ขณะสั่งการอย่างวางอำนาจ


องครักษ์ตัวหนึ่งลังเล ก่อนจะหันหลังกลับและเข้าไปในเต็นท์ ครู่ต่อมาก็กลับมาพร้อมกับบอกว่า “เชิญเข้าไปได้”


จางเซวียนคำรามและก้าวยาวๆเข้าไป


เต็นท์หลังนี้ก็เหมือนกับหลังที่เขาเข้าไปเมื่อครู่ มีนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานราว 12 ตัวนั่งอยู่โดยรอบ เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่นั่งอยู่ตรงกลางมีรังสีที่ไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าแม่ทัพใหญ่ในเต็นท์อีกหลังหนึ่งเลย เป็นไปได้ว่ามันคงจะเป็นเป่ยชิง, แม่ทัพใหญ่ของฝ่ายอำมาตย์เฉินชิง


เห็นจางเซวียนเข้ามา เป่ยชิงชำเลืองมองและถามอย่างเย็นชา “อู๋ชู่ยอมรับเงื่อนไขของผมหรือเปล่า?”


“ท่านแม่ทัพใหญ่ของเรายอมรับเงื่อนไขทั้งหมด แต่มีรายละเอียด 2-3 ข้อที่เขาอยากหารือกับคุณ” จางเซวียนตอบ


“แม่ทัพของคุณตัดสินใจได้ชาญฉลาดจริงๆ ดูเหมือนอู๋ชู่จะไม่ได้ดื้อด้านอย่างที่ใครๆว่ากัน!”


เป่ยชิงไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะยอมทำตามข้อเรียกร้อง เขาหัวเราะลั่น “แล้วเขาอยากจะหารือที่ไหนล่ะ?”


“ในเมื่อเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มของพวกเรา จึงจำเป็นต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเสนอให้นัดพบกันที่หุบเขาแคบๆแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ระหว่างเต็นท์ทั้งสองหลัง ถ้าคุณไม่มีอะไรขัดข้องล่ะก็ กรุณาไปถึงที่นั่นภายในอีก 1 ชั่วโมงนับจากนี้ ท่านแม่ทัพของเราจะรออยู่” จางเซวียนรายงาน


ตอนที่เขาเดินทางมา ก็เห็นว่ามีหุบเขาแคบๆอยู่ในบริเวณที่ไม่ห่างจากเต็นท์เท่าไรนัก


“ได้ บอกอู๋ชู่ว่าผมจะไปที่นั่น!” เป่ยชิงพยักหน้า


“ผมขอลา” จางเซวียนก้มศีรษะและออกจากห้อง


ทันทีที่จางเซวียนออกไป บรรดาแม่ทัพที่อยู่ในเต็นท์ก็ลุกขึ้นยืนอย่างร้อนรนและประสานมือ


“ท่านแม่ทัพใหญ่ อู๋ชู่น่ะเป็นจอมสร้างสถานการณ์ ผมเกรงว่าเขาจะมีเจตนาร้าย”


“จริงด้วย ไม่น่าเชื่อว่าหมอนั่นจะยอมรับเงื่อนไขของเรา เป็นไปได้ว่าเขาอาจตั้งใจจะลอบโจมตีเราเพื่อบีบให้เราทำตามเงื่อนไขของเขามากกว่า”


เหล่าแม่ทัพออกความเห็นอย่างหวาดระแวง


“ถ้าพวกนั้นคิดว่าลูกไม้ตื้นๆแบบนี้จะใช้กับผมได้ล่ะก็ โง่เง่าเกินไปแล้ว! อีกอย่าง นี่เป็นความประสงค์ของทั้งสองอำมาตย์ แล้วพวกคุณก็อยู่ใกล้ๆผมด้วย หมอนั่นไม่น่าจะทำอะไรที่เป็นการบ่อนทำลายความเป็นพันธมิตรของเราหรอก” เป่ยชิงคำราม


เขาชักหอกเล่มหนึ่งออกมาและกวัดแกว่งมันอย่างแรง เกิดรอยแยกของมิติเพราะความหนักหน่วงของมัน


“แต่ถึงอย่างนั้น เราก็ควรจะเตรียมการไว้ เผื่อว่าพวกนั้นจะเล่นสกปรก หลังจากนี้ ผมอยากให้พวกคุณลาดตระเวนรอบๆหุบเขา ถ้าพบสิ่งผิดปกติล่ะก็ ให้รายงานผมทันที!” เป่ยชิงพูด


“ขอรับ ท่านแม่ทัพใหญ่” ทุกตัวตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน


…..


เมื่อออกจากเต็นท์ของเป่ยชิง จางเซวียนก็กลับไปยังทิศทางเดิม ไม่ช้าก็มาถึงเต็นท์ขนาดใหญ่ที่เขาเคยเข้าไปก่อนหน้า


“เรียนท่านแม่ทัพใหญ่ ผมถ่ายทอดคำพูดของคุณให้เป่ยชิงรับทราบแล้ว แต่เขา…” จางเซวียนมีสีหน้ากระอักกระอ่วนและหลบสายตา พร้อมกับแสดงทีท่าที่บ่งบอกความสับสน ดูเหมือนไม่แน่ใจว่าควรจะพูดต่อหรือไม่


“พูดสิ!” แม่ทัพใหญ่อู๋ชู่สั่งการ


“เขาบอกว่า…คุณน่ะไม่คู่ควรที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเขา หากคุณกล้าท้าทายเขาเข้าสู่การดวล เขาก็จะซ้อมคุณจนคุณต้องทรุดตัวลงคุกเข่าร้องขอความเมตตา!” จางเซวียนก้มศีรษะด้วยความหวาดกลัวขณะพูดเสียงสั่น


“หมอนั่นคิดว่าผมจะร้องขอความเมตตาหรือ? ไอ้สารเลวโอหัง! ดีล่ะ มาดูกันว่าหมอนั่นเก่งกาจขนาดไหนถึงกล้าพูดอะไรแบบนี้!”


ตึ้ง!


อู๋ชู่ทุบโต๊ะและลุกขึ้นยืน ความกราดเกรี้ยวของเขาก่อเกิดเป็นพายุเฮอริเคนที่มีพละกำลังทำลายล้างหมุนติ้วอยู่รอบตัว


เปลวเพลิงแห่งโทสะแผดเผาอยู่ในส่วนลึกของดวงตาของเขา


“เขาบอกว่า…ถ้าคุณกล้าพอล่ะก็ เขาจะรอเผชิญหน้ากับคุณในหุบเขาแคบๆที่อยู่ระหว่างทั้งสองเต็นท์ ในเวลา 1 ชั่วโมงนับจากนี้…” จางเซวียนพูดต่อด้วยความหวาดกลัว


“ฮะ? ดูเหมือนเจ้าเป่ยชิงนั่นจะโอหังไม่มีที่สิ้นสุด เดี๋ยวก็รู้ว่าหมอนั่นเก่งแต่ปากหรือเปล่า!” อู๋ชู่สะบัดกระบี่สีทองในมือของเขา เกิดเสียงเคร้งดังก้องไปทั่ว


แม่ทัพตัวหนึ่งที่อยู่ในเต็นท์ลุกขึ้นยืนแล้วร้องออกมา “ท่านแม่ทัพใหญ่ ผมเกรงว่าเป่ยชิงจะมีลูกไม้สกปรกบางอย่างอยู่เบื้องหลังคำพูดอันจองหองนั้น”


“ผมเห็นด้วย, ท่านแม่ทัพใหญ่ มีโอกาสสูงทีเดียวที่มันจะเป็นกับดัก”


แม่ทัพอีกตัวหนึ่งลุกขึ้นยืนและตั้งข้อสังเกต


“ใช่ ผมเคยท้าดวลกับหมอนั่นมาก่อน แต่ก็ลงเอยด้วยการที่เขาถอนตัวในวินาทีสุดท้าย ดูเหมือนหมอนั่นจะไม่กล้าพอที่จะท้าทายผมเข้าสู่การดวลอย่างชอบธรรม เป็นไปได้ว่าเขาน่าจะมีความคิดบางอย่าง เหอมู่, กุ้ยหลี่ ผมอยากให้คุณทั้งสองจับตาดูหุบเขานั้นไว้ให้ดี ถ้าพบสิ่งผิดปกติล่ะก็ รายงานผมทันที!” อู๋ชู่สั่งการ


“ขอรับ!”


“ขอรับ!”


แม่ทัพทั้งสองลุกขึ้นยืนและออกจากเต็นท์ไป


“ผมคุ้นเคยกับพื้นที่บริเวณหุบเขานั้นดี ได้โปรดให้ผมไปปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนพร้อมกับพวกเขาด้วย” จางเซวียนประสานมือ


“ได้สิ!” อู๋ชู่โบกมือ


จางเซวียนรีบหันหลังกลับและออกจากเต็นท์ไป เขาตะโกนร้องเรียกแม่ทัพทั้ง 2 ตัวที่ออกไปก่อนหน้า “รอผมด้วย ผมคุ้นเคยกับพื้นที่รอบหุบเขานั้นดี ให้ผมนำทางพวกคุณไปนะ!”


สองแม่ทัพพยักหน้า จากนั้นทั้งสามก็อำพรางรังสีของตัวเองและมุ่งหน้าไป


ไม่ช้าพวกเขาก็มาถึงหุบเขานั้น


“ผมคิดว่าน่าจะดีที่สุดถ้าพวกเราแยกกันและตรึงกำลังให้ทั่วบริเวณ ด้วยวิธีนี้ เราจะแก้ไขจุดอ่อนของแต่ละคนได้ และเตือนให้อีกคนหนึ่งรู้ได้หากมีบางอย่างเกิดขึ้น” จางเซวียนเสนอแนะ


เมื่อรู้สึกว่าสิ่งที่จางเซวียนพูดก็มีเหตุผล สองแม่ทัพต่างก็กระจายกำลังกันไปซ่อน แต่ยังไม่ทันที่จะพบชัยภูมิเหมาะๆในการซ่อนตัว ร่างของพวกมันก็กระตุก ก่อนจะล้มลงแน่นิ่งอยู่กับพื้น


ตัวหนึ่งถูกหอกสวรรค์กระดูกมังกรแทงเข้าที่หัวใจ ขณะที่อีกตัวถูกกระบี่เปลวเพลิงสีดำตัดหัว


หลังจากเล่นงานทั้งคู่แล้ว จางเซวียนรีบเก็บศพและเคลียร์พื้นที่ จากนั้นเขาก็ปลอมตัวเป็นเป่ยชิง และตรงไปที่เต็นท์ของแม่ทัพใหญ่อู๋ชู่


ยังไม่ทันจะถึงเต็นท์ จางเซวียนก็เปล่งเสียงหัวเราะอย่างชั่วร้ายออกมา


“อู๋ชู่ ถ้ากลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับผมก็บอกมาเถอะ คุณไม่คิดบ้างหรือว่ามันขี้ขลาดตาขาวสิ้นดีที่ส่งคนไปลาดตระเวนพื้นที่เพื่อลอบโจมตีผม?”


ฟึ่บ!


หลังจากพูดจบ จางเซวียนก็โยนทั้งสามศพเข้าไปในเต็นท์ ก่อนจะหันหลังกลับแล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว


กว่าอู๋ชู่จะออกจากเต็นท์ จางเซวียนก็หลบเข้าไปในพื้นที่ลับตาและซ่อนตัวในปราการแห่งมิติแล้ว อู๋ชู่มองทั้งสามศพที่อยู่หน้าเต็นท์ของเขา คือเหอมู่ กุ้ยหลี่ และหลี่เจียที่เขาเพิ่งส่งออกไปลาดตระเวนหุบเขา เมื่อรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น อู๋ชู่โมโหจนแทบระเบิด


ทั้งสองฝ่ายตกลงใจเป็นพันธมิตรกันแล้ว แต่เป่ยชิงยังกล้าสังหารลูกน้องของเขาอย่างโหดเหี้ยม เรื่องนี้ให้อภัยไม่ได้!


“เป่ยชิง! ถ้าฉันไม่ฆ่าแก อย่าเรียกฉันว่าอู๋ชู่อีกเลย!” อู๋ชู่คำรามกร้าวและพุ่งไปที่เต็นท์ของเป่ยชิง


ในเวลาเดียวกัน บรรดาแม่ทัพที่อยู่กับอู๋ชู่ต่างก็โมโหเดือดเมื่อเห็นศพของเพื่อน พวกเขารีบตามอู๋ชู่ไปติดๆ


ในเต็นท์ฝั่งตรงข้าม เป่ยชิงกับเหล่าแม่ทัพของเขายังคงพยายามครุ่นคิดว่าอู๋ชู่มีเจตนาอย่างไร ก็พอดีกับที่มีแรงกดดันหนักหน่วงพุ่งลงมาจากกลางอากาศ จากนั้น กระแสกระบี่ฉีที่ทรงพลังก็พาดผ่านอากาศและตัดเต็นท์ออกเป็น 2 ส่วน


เป่ยชิงโผขึ้นสู่กลางอากาศเพื่อดูหน้าผู้บุกรุก ก็พอดีกับที่เห็นอู๋ชู่กับกระบี่สีทองของเขา เป่ยชิงเลิกคิ้วและคำรามกร้าว “อู๋ชู่ คุณเป็นบ้าไปแล้วหรือไง? คิดจะมาทำอะไรที่นี่?”


อีกฝ่ายยอมรับเงื่อนไขของเขาไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงพรวดพราดเข้ามาราวกับจะมาฆ่าใคร?


“เลิกสร้างภาพเสียที! แกเก่งนักใช่ไหม ทำไมไม่แสดงให้ฉันเห็นสักหน่อยล่ะ?” อู๋ชู่ทนเสียเวลาไม่ไหวอีกต่อไป เขาเงื้อกระบี่สีทองขึ้นและปล่อยกระแสกระบี่ฉีเข้าใส่เป่ยชิง



ตอนที่ 1685 อลหม่านสุดขีด

ฟิ้ววววว!


กระแสกระบี่ฉีแผ่ซ่านออกไปโดยรอบ ฉีกกระชากและก่อเกิดรอยแยกของมิติมากมายนับไม่ถ้วน เจตนาสังหารอันเข้มข้นอย่างน่าทึ่งครอบคลุมทั่วพื้นที่ ส่งผลทำลายล้างจิตวิญญาณของผู้ที่อยู่บริเวณนั้น


“แกมันรนหาที่ตาย!”


เมื่อเห็นอู๋ชู่หมายมั่นจะคร่าชีวิตของเขาโดยไม่ลังเลราวกับคนเสียสติ เป่ยชิงขมวดคิ้วด้วยความโมโห เขาสะบัดหอกและชูมันขึ้นเพื่อปัดป้องการโจมตีของอู๋ชู่


เคร้งงงง!


เมื่ออาวุธ 2 ชิ้นปะทะกัน ประกายแสงสว่างวาบก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า


ทั้งอู๋ชู่และเป่ยชิงเป็นนักรบขั้นชั่วกัลปาวสาน โลกจารึก จัดว่าไร้เทียมทานในบรรดานักรบที่มีวรยุทธต่ำกว่าขั้นนักปราชญ์โบราณเมื่อทั้งคู่ปะทะกัน คลื่นความสั่นสะเทือนจากการโจมตีก็ฉีกกระชากทั้งพื้นโลกและสวรรค์ แม้ดวงจันทร์สีเลือดก็ดูจะหม่นหมองไปเพราะพละกำลังของพวกมัน


“หมอนั่นเป็นบ้าไปแล้วหรือไง?”


ยิ่งต่อสู้ไป เป่ยชิงก็ยิ่งงงงันขึ้นเรื่อยๆ


เมื่อครู่นี้เองที่อีกฝ่ายเพิ่งส่งผู้แทนมาแจ้งว่ายินดีทำตามข้อเรียกร้องของเขาและขอเปิดการเจรจาต่อรอง ซึ่งเขาเองก็เตรียมการสำหรับสิ่งที่จะพูดในการเจรจาต่อรองไว้แล้ว แต่ใครจะไปคิดว่าก่อนที่เวลา 1 ชั่วโมงจะมาถึง อีกฝ่ายก็พรวดพราดเข้ามาและพร้อมจะคร่าชีวิตของเขาได้ทุกเมื่อ


หมอนั่นคิดอะไรอยู่?


กินดินปืนเข้าไปหรือไง?


“อู๋ชู่ ผมจะถือว่าการกระทำของคุณเป็นการบ่อนทำลายความเป็นพันธมิตรของเรานะ คุณควรจะรู้ว่าหากเราแตกคอกัน ผมก็ไม่รีรอที่จะรายงานเรื่องของคุณต่อท่านอำมาตย์เฉินหลิงอย่างแน่นอน!”เป่ยชิงตวาดกร้าว


“คุณคิดจะรายงานเรื่องผมต่ออำมาตย์เฉินหลิงหรือ? ตามสบายเลย! ในเมื่อคุณกล้าสังหารลูกน้องของผมอย่างโหดเหี้ยมแล้วผมจะยังมีอะไรต้องเสียอีก?” อู๋ชู่ตวาดลั่นขณะกวัดแกว่งหอกอย่างเกรี้ยวกราดเข้าใส่อีกฝ่าย


“ผมสังหารลูกน้องของคุณ? คุณพูดบ้าอะไร?” เป่ยชิงคำรามกลับ“อย่ามากล่าวหาผมในสิ่งที่ผมไม่ได้ทำนะ!”


“เหอมู่ กุ้ยหลี่ และหลี่เจีย…หากสามคนนั้นผนึกกำลังกัน ก็สามารถรับมือได้แม้แต่กับนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึก แล้วจะมีใครอื่นเป็นตัวการได้ถ้าไม่ใช่คุณ!” อู่ชู่กัดฟันตอบ


แม้ลูกน้องทั้งสามของเขาจะเป็นแค่นักรบชั่วกัลปาวสานขั้นต้นแต่ประสิทธิภาพของคนเหล่านั้นก็จัดว่าไร้เทียมทาน นอกเสียจากเป่ยชิง ไม่มีใครอื่นในแคมป์นี้ที่เก่งกาจพอจะสังหารทั้งสามได้อย่างเงียบเชียบ!


ยิ่งไปกว่านั้น…หมอนั่นยังถึงกับโยนศพของทั้งสามไว้หน้าเต็นท์ของเขาด้วย มีสายตารู้เห็นมากมายที่เป็นพยานได้!


“คุณกำลังบอกว่าผมสังหารเหอมู่ กุ้ยหลี่ และหลี่เจีย?” เห็นความเกรี้ยวกราดในดวงตาของอู๋ชู่ เป่ยชิงถึงกับผงะ เขาขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิดขณะกำลังจะอ้าปากอธิบาย


แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอย่างนั้น เปลวเพลิงร้อนแรงก็พวยพุ่งออกจากเต็นท์ของเขา ใครคนหนึ่งวางเพลิงเต็นท์!


จากนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากฝูงชน “อำมาตย์เฉินหลิงไม่เคยคิดที่จะทำงานร่วมกับพวกเรา พวกเขาส่งกองกำลังไปที่หุบเขาเพื่อลอบโจมตีเราด้วย ดูสิ แม้แต่ท่านแม่ทัพใหญ่อู๋ชู่ก็ยังส่งคนมาสร้างความปั่นป่วนที่นี่…”


เสียงนั้นดังชัดเจนไปทั่วแคมป์อันเงียบสงัด ราวกับขว้างก้อนหินลงไปในลำน้ำอันสงบนิ่ง


พริบตาต่อมา ความอลหม่านขั้นสุดก็บังเกิด


ทหารจำนวนมากได้เป็นพยานรู้เห็นการสู้รบอย่างเกรี้ยวกราดระหว่างอู๋ชู่กับเป่ยชิง ทุกกระบวนท่าของพวกเขามุ่งตรงเข้าสู่จุดตาย หมายเอาชีวิตอีกฝ่าย พวกเขายังสงสัยอยู่ว่ามันเกิดอะไรขึ้นก็พอดีกับที่ได้ยินคำนั้น ต่างคนต่างเข้าใจทันที ความโกรธเกรี้ยวพุ่งเข้าจับหัวใจของพวกเขา


“สังหารคนทรยศ!”


“พวกเขาแค่หาข้ออ้างที่จะโจมตีคนของเรา เจ้าพวกสารเลวหน้าไม่อาย!”


“พี่ชาย จัดการเลย! พวกเราคือนายทหารผู้หยิ่งในศักดิ์ศรี ภักดีกับอำมาตย์เฉินชิง เราจะปล่อยให้ใครมาสบประมาทเราไม่ได้!”


“ผมขวางหูขวางตาเจ้าพวกนี้มานานแล้ว ฆ่ามันให้หมด!”


…..


เสียงกู่ก้องร้องตะโกนเรียกหาการต่อสู้ดังไปทั่ว ราวกับใครคนหนึ่งได้จุดประกายจิตวิญญาณการต่อสู้ของพวกเขาขึ้นมา แต่ในฐานะเผ่าพันธุ์ปีศาจชั้นสูงที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี ถึงจะโกรธเกรี้ยวแค่ไหน พวกมันก็ยังไม่เคลื่อนไหว เพราะถือเป็นความกระด้างกระเดื่องที่จะเปิดการสู้รบหากปราศจากคำสั่งของผู้บังคับบัญชา


ในตอนนั้นเอง เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวหนึ่งที่สวมหมวกเกราะและชุดเกราะสีดำก็บินเข้ามาและคำราม “พวกคุณรีรออะไรอยู่? ไอ้สารเลวพวกนี้เหยียบย่ำพวกเรา เอาคืนพวกมันให้สาสม!”


นี่คือคำสั่งโดยตรงจากหนึ่งในแม่ทัพของพวกเขา ด้วยสิ่งนี้ ฟางเส้นสุดท้ายที่เหนี่ยวรั้งทุกตัวไว้ก็ขาดผึง พวกมันพุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายพร้อมกับส่งเสียงกู่ก้องร้องตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว


“….”


อู๋ชู่กับเป่ยชิงซึ่งต่อสู้กันกลางอากาศอยู่เมื่อครู่ต่างจังงัง พวกมันนึกไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุอลหม่านแบบนี้


“มีบางอย่างไม่ถูกต้องแล้ว…” อู๋ชู่เลิกคิ้ว


ถึงมันจะโกรธเกรี้ยวแค่ไหน แต่ในฐานะผู้ที่ได้ก้าวขึ้นมาถึงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ มันก็ไม่มีนิสัยหุนหันพลันแล่น เสียงตะโกนเมื่อครู่นี้ดูจะมาได้เหมาะเจาะกับเวลา เร่งเร้าอารมณ์ของเหล่าทหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยากที่จะเชื่อว่าเรื่องแบบนี้ไม่ได้ถูกวางแผนมาก่อน


อู๋ชู่รีบหันไปสั่งการกับบริวาร “เหอหลิง, ชุนมู่ และเป่ยเย่ พยายามระงับสถานการณ์ข้างล่างไว้ พวกเรายังไม่พร้อมที่จะรับมือกับการต่อสู้ในตอนนี้!”


พวกเขาเพิ่งเป็นพันธมิตรกันได้ไม่นาน ยังไม่ได้สู้กับสภาปรมาจารย์เลยด้วยซ้ำ หากมารบกันเองตั้งแต่ต้น ก็คงไม่รู้จะอธิบายเรื่องนี้กับอำมาตย์เฉินหลิงอย่างไร


ในฐานะผู้นำกองทัพ เขาไม่อาจปล่อยให้อารมณ์เข้าบดบังเหตุผลจนหน้ามืดตามัว


“ขอรับ!”


ทั้งสามรีบร่อนลงไปกลางหมู่พลทหารเพื่อยับยั้งเหตุการณ์ แต่ไม่ช้า แม่ทัพที่ชื่อเหอหลิงก็บินกลับขึ้นมาและร้องว่า “ท่านแม่ทัพใหญ่ ข่าวร้าย! คนของพวกมันเริ่มโจมตีคนของเราโดยไม่ให้โอกาสเราอธิบายเลย ชุนมู่กับเป่ยเย่พยายามใช้เหตุผลระงับการต่อสู้ แต่พวกเขาก็ถูกสังหาร!”


ขณะที่รายงาน เหอหลิงก็สะบัดข้อมือ แล้วร่างของศพทั้งสองก็ปรากฏ


เมื่อเห็นศพนั้น อู๋ชู่นัยน์ตาแดงก่ำ ดูราวกับเลือดจะหยดออกมาได้


“เป่ยชิง ฉันอดทนกับแกครั้งแล้วครั้งเล่า แต่แกก็ทดสอบความอดทนของฉันอยู่นั่น…”


เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายสังหารแม่ทัพของเขาไปแล้วถึง 5 คน อู๋ชู่อดกลั้นความโกรธไว้ไม่ไหวอีกต่อไป เขากวัดแกว่งกระบี่และพุ่งมันเข้าใส่เป่ยชิง


“พี่อู๋ชู่ เรื่องนี้ไม่ได้เป็นอย่างที่เห็นนะ คนของผมไม่มีทางกล้าโจมตีแม่ทัพของคุณหรอก” เป่ยชิงพยายามอธิบาย


แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ เผ่าพันธุ์ปีศาจอีกตัวหนึ่งที่สวมหมวกเกราะและชุดเกราะสีดำก็รีบเข้ามารายงานกับเป่ยชิง “ท่านแม่ทัพใหญ่ข่าวร้าย! แม่ทัพ 6 นายของเราเพิ่งถูกสังหาร!”


จากนั้น เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวนั้นก็สะบัดข้อมือ ร่างของศพ 6 ศพปรากฏบนพื้น


เมื่อเห็นแบบนั้น เป่ยชิงกัดฟันและหันไปพูดกับอู๋ชู่ “คุณพูดว่าอะไรนะ?”


“ทำได้ดี!” อู๋ชู่คำรามอย่างพอใจ


เขาเคยคิดว่าพรรคพวกของตัวเองกำลังเพลี่ยงพล้ำ แต่ลูกน้องของเขาก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามีประสิทธิภาพไม่เบา พวกนั้นสังหารแม่ทัพของเป่ยชิงไปได้ถึง 6 นาย!


“ดูเหมือนคราวนี้คุณจะเอาจริงนะ ถ้าอย่างนั้นล่ะก็ ผมจะจัดให้”ได้ยินคำพูดของอู๋ชู่ เป่ยชิงระงับอารมณ์ไม่ไหวอีกต่อไป


เขาเงื้อหอกขึ้นและปล่อยพลัง


ฟิ้ววว!


กระแสหอกฉีพุ่งออกมาอย่างเกรี้ยวกราด ด้วยประสิทธิภาพอันน่าทึ่งของหอกนั้น ดูเหมือนเป่ยชิง จะสำเร็จความเข้าใจแก่นสารบางอย่างของศิลปะเพลงหอกแล้ว


ส่วนอู๋ชู่ก็ไม่น้อยหน้า ดูจากพละกำลังของกระแสกระบี่ฉี ก็เห็นได้ชัดว่าเขาสำเร็จความเข้าใจแก่นสารบางอย่างของศิลปะเพลงกระบี่เช่นกัน


ในชั่วพริบตา เผ่าพันธุ์ปีศาจทั้ง 2 ตัวก็ฟาดฟันกันอย่างรุนแรง


“ให้อลหม่านขั้นสุดกันไปเล้ยยยย!”


ท่ามกลางเผ่าพันธุ์ปีศาจที่อยู่ด้านล่าง เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวหนึ่งเหยียดริมฝีปากยิ้มขณะมองความวุ่นวายที่อยู่ตรงหน้า


เขาคือจางเซวียน


เขาคือแม่ทัพที่เข้าไปรายงานกับอู๋ชู่และเป่ยชิง


ถ้าเผ่าพันธุ์ปีศาจพวกนี้รวมตัวกันเป็นหนึ่งได้ เขาคงจะสังหารพวกมันได้ยาก แต่เมื่อพวกมันแตกคอกันเอง การสังหารก็ทำได้ง่ายขึ้นมาก โดยเฉพาะเมื่อเขาสามารถปลอมตัวและทำให้พวกมันไม่ทันระมัดระวังได้ ภายในเวลาเพียง 10 นาที จางเซวียนก็สังหารแม่ทัพเผ่าพันธุ์ปีศาจไปแล้วมากกว่า 10 ตัว


ด้วยศพของเหล่าแม่ทัพและความสามารถในการปลอมตัวอย่างน่าทึ่งของจางเซวียน แม้แต่เผ่าพันธุ์ปีศาจที่เฉลียวฉลาดอย่างอู๋ชู่และเป่ยชิงก็ยังควบคุมตัวเองไม่ได้และถูกลากเข้ามาเป็นเหยื่อในการจัดฉากของเขา


พวกมันคงไม่คิดว่าจะมีใครที่สามารถปลอมตัวเป็นลูกน้องของมันได้แนบเนียนอย่างไร้ที่ติแบบนี้


“แม่ทัพโม่ชิง คุณมาทําอะไรที่นี่? พวกเขาต่อสู้กันอยู่ตรงนั้น…”


ขณะที่จางเซวียนกำลังเฝ้าดูความอลหม่าน เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวหนึ่งที่สวมหมวกเกราะและชุดเกราะสีดำก็เดินเข้ามาและเงื้อกระบี่ขึ้น


ฟึ่บ!


ในชั่วพริบตา ศีรษะของเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวนั้นก็ร่วงลงไปกลิ้งอยู่กับพื้น


หลังจากตัดหัวอีกฝ่ายแล้ว จางเซวียนรีบปลอมตัวเป็นแม่ทัพโม่ชิงและร้องออกมา “แม่ทัพจี้โม่ถูกสังหาร พวกเราต้องล้างแค้นให้เขานะ!”


เสียงของจางเซวียนดังก้องจนได้ยินไปทั่ว


ในเมื่อเกิดความอลหม่านขนาดนี้แล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรที่จะกระพือเปลวเพลิงแห่งความบ้าคลั่งให้ทุกอย่างวอดวายหนักขึ้นกว่าเดิม



ตอนที่ 1686 สังหารแม่ทัพใหญ่

จางเซวียนตระเวนไปทั่วสนามรบพร้อมกับตัวโคลน หม้อต้นกำเนิดทองคำ กระบี่เปลวเพลิงสีดำ และหอกสวรรค์กระดูกมังกร พวกเขาซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางฝูงชน และทันทีที่มีโอกาสเข้าโจมตี ก็จะพุ่งเข้าสังหารโดยไม่รีรอ


ภายในไม่ถึง 10 นาที จำนวนเผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีวรยุทธเหนือกว่าระดับเซียนขั้น 9 ที่ตกหลุมพรางของจางเซวียนก็ปาเข้าไปหลายร้อยตัว


เหล่าแม่ทัพตายหมดแล้ว…


จางเซวียนตรวจสอบสนามรบ และพบว่าเหล่าแม่ทัพที่สวมชุดเกราะสีดำและบรรดานายพลถูกสังหารหมดแล้ว เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก


เพราะได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาการถอดรหัสเซียนและประสบความสำเร็จในการฝ่าด่านวรยุทธโดยใช้กรรมวิธีขั้นสูงของปรมาจารย์ขง พลังปราณของจางเซวียนจึงเรียกได้ว่าไร้ขีดจำกัด อีกอย่าง ความอลหม่านขั้นสุดที่เกิดขึ้นรอบตัวเขาก็เป็นเกราะกำบังชั้นดีที่ปกปิดไม่ให้ใครเห็นกลยุทธที่เขาใช้ เพียงแค่จางเซวียนปลอมตัว ก็ไม่มีใครรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาแล้ว


โดยทั่วไป ชะตาชีวิตของเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวไหนก็ตามที่เขาหมายตาไว้ ถือเป็นอันปิดฉากได้


อันที่จริง จางเซวียนสังหารเหล่านายพลและแม่ทัพด้วยน้ำมือของเขาเองไปมากกว่าสองในสามของจำนวนที่มีอยู่


นี่แหละคือสิ่งที่เราเรียกว่าความอลหม่านขั้นสุด!


เมื่อปราศจากเหล่าแม่ทัพและนายพลคอยควบคุม ระเบียบของพลทหารก็เป็นอันหมดสภาพ ในสนามรบที่มีพลทหารกว่าแสนตัวนั้น ทุก 1 วินาทีจะมีเผ่าพันธุ์ปีศาจอย่างน้อย 2 ตัวที่ต้องตาย


หากจะกะประมาณคร่าวๆ มีเผ่าพันธุ์ปีศาจอย่างน้อยสองหมื่นตัวต้องสังเวยชีวิตท่ามกลางความอลหม่านครั้งนี้


เอาล่ะ กุญแจอยู่ที่แม่ทัพใหญ่ 2 ตัวที่อยู่ข้างบน ตราบใดที่พวกมันยังมีชีวิตอยู่ ไม่ช้าไม่นานมันก็คงกลับมาควบคุมกองกำลังของมันและทำให้สถานการณ์สงบลงเหมือนเดิมได้…จางเซวียนคิดขณะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า


ตอนนี้ อู๋ชู่กับเป่ยชิงกำลังโรมรันพันตูกันอย่างดุเดือด การโจมตีของทั้งคู่พุ่งตรงเข้าใส่อีกฝ่าย และดูเหมือนพวกมันจะคุ้นเคยกับกระบวนท่าของกันและกันเป็นอย่างดี ดังนั้น แม้จะได้รับบาดเจ็บบ้างจากการต่อสู้ที่ยืดเยื้อ แต่ก็ยังไม่ปรากฏผลแพ้ชนะ


ตราบใดที่ 2 ตัวนี้ยังอยู่ ก็มีโอกาสที่จะนำความเป็นระเบียบกลับคืนสู่กองทัพได้


ในฐานะแม่ทัพใหญ่ แน่นอนว่าพวกมันไม่โง่ เป็นความจริงที่ว่าทั้งคู่ปล่อยให้ความโกรธเกรี้ยวเข้าครอบงำไปชั่วขณะหนึ่ง แต่หลังจากต่อสู้กันไประยะหนึ่งแล้ว พวกมันก็ย่อมจะสงบสติอารมณ์ได้และรู้สึกถึงความผิดปกติ


โดยเฉพาะหลังจากที่พวกมันรู้สึกได้ว่าเหล่าแม่ทัพและนายพลถูกสังหารไปจนหมด ต่อให้โง่เง่าสักแค่ไหน ก็เห็นได้ชัดว่าพวกมันตกหลุมพรางของใครบางคน


เราต้องสังหารพวกมันให้ได้ตัวหนึ่งก่อนที่พวกมันจะรู้ตัว…


นัยน์ตาของจางเซวียนฉายแววคมปลาบขณะเค้นสมองเพื่อหาทางออก


ตอนนี้ อู๋ชู่ปัดป้องศิลปะเพลงหอกของเป่ยชิงด้วยการกวัดแกว่งกระบี่ของเขาอย่างเกรี้ยวกราด ก่อนจะถอยไป 2-3 ก้าว จากนั้นมันก็ประกาศด้วยเสียงเย็นชา “เป่ยชิง วันนี้เราคงรู้แพ้รู้ชนะกันไม่ได้หรอก แยกย้ายก่อนเถอะ แต่ขอให้รู้ไว้ด้วยว่าผมจะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป!”


“แน่ใจได้เลยว่าผมจะไม่ลืมเรื่องนี้เหมือนกัน!” เป่ยชิงคำราม


เพราะทั้งคู่มีประสิทธิภาพการต่อสู้ใกล้เคียงกัน จึงไม่มีเวลาให้ความสนใจกับสิ่งรอบข้าง พวกมันรู้ว่าเกิดความอลหม่านขึ้นในกองทัพ แต่คิดว่าบรรดาแม่ทัพและนายพลจะดูแลสถานการณ์และควบคุมจำนวนผู้บาดเจ็บได้ ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าพลทหารจำนวนมากจะต้องตายภายในระยะเวลาอันสั้น


ถ้ารู้ คงกระอักเลือดออกมาแล้ว


ยังไม่ทันที่เป่ยชิงจะพูดจบ ก็เห็นบริวารตัวหนึ่งของเขาชี้หอกเข้าใส่อู๋ชู่ “เราจะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป ท่านแม่ทัพใหญ่, ฆ่าเขาเสียเดี๋ยวนี้เถอะ เราจะมองหน้าพี่น้องของเราที่ถูกบริวารของเขาสังหารอย่างเลือดเย็นได้อย่างไร?”


เห็นผู้ที่เข้าโจมตีอู๋ชู่เป็นหนึ่งในบริวารของเขาซึ่งเป็นนักรบชั่วกัลปาวสานขั้นต้น เป่ยชิงคำราม “ฮั่วมู่เจ๋อ ทำบ้าอะไรอยู่น่ะ? หยุดเดี๋ยวนี้!”


ช่องว่างของประสิทธิภาพการต่อสู้ระหว่างฮั่วมู่เจ๋อกับอู๋ชู่นั้นห่างไกลกันเกินไป ทำแบบนี้ก็เท่ากับฆ่าตัวตาย!


“ขออภัยด้วยที่ฝ่าฝืนคำสั่งของคุณ แต่เขาสังหารพี่น้องของเรามากเกินไป ต่อให้วันนี้ผมต้องเสียชีวิต ผมก็จะไม่ปล่อยให้ความตายของพี่น้องของเราต้องสูญเปล่า!” ฮั่วมู่เจ๋อตวาดก้องด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกความบ้าคลั่ง พร้อมกับกวัดแกว่งหอกอย่างโกรธเกรี้ยว


เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตี อู๋ชู่แทบเสียสติ


อีกฝ่ายพูดถึงความตายอย่างไม่รู้สึกอะไร แต่ความจริงก็คือหมอนี่ไม่อาจรับมือกับเขาได้เลย


เขาเคยได้ยินชื่อของฮั่วมู่เจ๋อมาก่อน รู้ดีว่าหมอนี่เป็นแม่ทัพที่มีฝีมือแค่ระดับกลางๆในกองทัพของเป่ยชิง แล้วเกิดจะเก่งกาจถึงกับข่มขู่เขาขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่?


ฟิ้วววว!


หอกของฮั่วมู่เจ๋อพุ่งเข้ามาเร็วขึ้นเรื่อยๆ ทำให้อู๋ชู่ต้องล่าถอยอย่างปั่นป่วน ในเวลาเดียวกัน เขาก็ตะโกนบอกเป่ยชิงที่อยู่ด้านหลัง “ท่านแม่ทัพใหญ่ เราสังหารเขาพร้อมๆกันเถอะ!”


“เอ่อ…” เป่ยชิงลังเล


เป็นความจริงที่ว่าเขาโมโหเมื่อเห็นบริวารหลายตัวต้องตายไปต่อหน้าต่อตา แต่ก็ไม่เคยคิดจะเอาชีวิตของอู๋ชู่ อู๋ชู่เป็นบริวารของอำมาตย์เฉินหลิง ซึ่งหากเขาต้องมาตายที่นี่ ความเป็นพันธมิตรระหว่างพวกเขาจะต้องแหลกสลาย


“ฮั่วมู่เจ๋อ ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณ แต่อยากให้คุณยับยั้งไว้ก่อน เราจะคุยกันเรื่องการสังหารอู๋ชู่ทีหลัง…” เป่ยชิงพยายามระงับสถานการณ์


แต่ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ ก็เห็นร่างของฮั่วมู่เจ๋อพุ่งปราดไปอย่างรวดเร็ว ด้วยความเร็วที่เกือบจะเท่ากับการทะลุมิติ เขาพุ่งเข้าใส่อู๋ชู่ และในตอนนั้น มิติที่อยู่รอบตัวอู๋ชู่ก็แข็งทื่อไปทันที ทำให้อีกฝ่ายไม่อาจเคลื่อนไหวได้


เป่ยชิงรู้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาอุทานด้วยความพรั่นพรึง “แกไม่ใช่ฮั่วมู่เจ๋อ!”


ฟิ้วววว!


พร้อมกับคำอุทานนั้น เป่ยชิงรีบพุ่งเข้าไปพร้อมกับหอกในมือเพื่อปัดป้องหอกของฮั่วมู่เจ๋อ


เคร้งงงง!


เมื่อหอก 2 เล่มปะทะกัน คลื่นความสั่นสะเทือนขนาดใหญ่ก็แผ่ออกไปโดยรอบ หอกของฮั่วมู่เจ๋อแหลกสลายกลายเป็นฝุ่นผง


ในตอนนั้น อู๋ชู่ก็ทำลายมิติรอบตัวเขาที่ถูกสกัดกั้นไว้ได้ เขาถอยกรูด เหงื่อเย็นๆผุดออกมาจากหน้าผาก


ถ้าไม่ใช่เพราะเป่ยชิงเข้ามาช่วยเหลือได้ทันเวลา หอกของฮั่วมู่เจ๋อจะต้องแทงทะลุลำคอของเขา ทำให้เขาตายทันทีอย่างแน่นอน


“แกเป็นใคร? แกคือคนที่สังหารเหล่าแม่ทัพของเราใช่ไหม?”


หลังจากตอบโต้ฮั่วมู่เจ๋อ เป่ยชิงก็ชี้หอกเข้าใส่ ‘บริวาร’ ของเขาอย่างดุร้ายขณะตั้งคำถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ


เขารู้ดีว่าฮั่วมู่เจ๋อตัวจริงมีพละกำลังแค่ไหน แต่เจ้าคนที่อยู่ตรงหน้าเขาสามารถสำแดงแก่นสารทั้ง 3 รูปแบบออกมาได้พร้อมๆกัน เป็นสิ่งที่แม้แต่ตัวเขาซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่ก็ยังทำไม่ได้!


เขาคงจะเป็นไอ้งั่งตัวจริงถ้าไม่รู้ว่าฮั่วมู่เจ๋อถูกแทนที่ด้วยคนอื่นแล้ว!


ตอนนี้ ความสงสัยทั้งหมดที่เคยอยู่ในหัวสมองของเขาก่อนหน้านี้ก็ปะติดปะต่อเข้ากันอย่างลงตัว เกิดเป็นภาพที่เกือบสมบูรณ์


ใครจะไปคิดว่าทั้งตัวเขากับอู๋ชู่ซึ่งเป็น 2 แม่ทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งที่สุดของกองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจจะถูกปั่นหัวราวกับเป็นไอ้งั่งแบบนี้?


“ฮ่าฮ่าฮ่า! นึกแล้วว่าต้องถูกจับได้…ใช่ คุณพูดถูก ผมคือคนที่สังหารลูกน้องทั้งหมดของคุณ!” เมื่อเห็นว่าตัวตนถูกเปิดเผย ฮั่วมู่เจ๋อหัวเราะลั่นก่อนจะกลายร่างกลับเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง


ซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากจางเซวียน


เขาคิดว่าขอแค่สังหารแม่ทัพใหญ่ได้สักตัว ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น ใครจะไปรู้ว่าลงท้ายเขาจะถูกเปิดโปงเสียเอง?


อันที่จริง หากเมื่อครู่นี้จางเซวียนใช้หอกสวรรค์กระดูกมังกร ต่อให้เป่ยชิงรู้ว่าเขาเป็นตัวปลอม ก็คงสายไปแล้ว แต่เพื่อไม่ให้ตัวตนของตัวเองถูกเปิดเผย เขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องใช้อาวุธของฮั่วมู่เจ๋อ ด้วยความแข็งแกร่งของหอกที่มีไม่มากนัก เป่ยชิงจึงสามารถปัดป้องการโจมตีของเขาได้อย่างง่ายดายและช่วยชีวิตอู๋ชู่ได้ทันเวลา


“ตายซะเถอะ!” เมื่อรู้แล้วว่าถูกปั่นหัวราวกับเป็นไอ้โง่ตัวหนึ่ง เป่ยชิงโมโหเดือดและพุ่งหอกเข้าใส่จางเซวียนอย่างโกรธเกรี้ยว


“แก ไอ้สารเลว!” อู๋ชู่รู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เขาไม่อาจยอมรับความจริงว่าตัวเองถูกปั่นหัวได้ เมื่อหวนนึกถึงความตายของเหล่าบริวาร ก็กวัดแกว่งกระบี่เข้าใส่จางเซวียนอย่างโกรธเกรี้ยว


แม้เป่ยชิงกับอู๋ชู่จะไม่เคยสู้รบร่วมกันมาก่อน แต่ทั้งคู่ก็เชี่ยวชาญการใช้ค่ายกลผนึกกำลังของกองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจ ทั้งหอกและกระบี่ของทั้งคู่เคลื่อนไหวพร้อมกันอย่างไร้ที่ติและต้อนจางเซวียนให้จนมุม ทำให้ชายหนุ่มต้องถอยกรูดครั้งแล้วครั้งเล่า


จางเซวียนรีบชักหอกสวรรค์กระดูกมังกรออกมาเพื่อตอบโต้


ถึงสองแม่ทัพใหญ่จะได้รับบาดเจ็บและเหน็ดเหนื่อยจากการสู้รบก่อนหน้านี้ แต่พวกมันก็ยังเป็นนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึก เมื่อจางเซวียนต้องเผชิญกับผู้เชี่ยวชาญระดับนี้ถึง 2 ตัวพร้อมๆกัน เขารู้สึกได้อย่างรวดเร็วว่าตัวเองเริ่มจะปั่นป่วนจากการโจมตีของทั้งคู่


ด้วยแรงกดดันที่โถมทับเข้าใส่เขาหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ จางเซวียนคิดอย่างขมขื่น ดูเหมือนเราจะประเมินพวกมันต่ำไป…


เขาเคยคิดว่าคงแก้ไขวิกฤตครั้งนี้ได้อย่างง่ายดายหากสังหารแม่ทัพใหญ่ได้สักตัว แต่สถานการณ์ดูเหมือนจะไม่เข้าข้างเขาเลย


ตอนนี้ เหล่าพลทหารต่างก็รู้แล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติและพากันหยุดการโจมตี ซึ่งนั่นทำลายแผนการของเขาที่จะกำจัดพวกมัน ทำให้ทุกอย่างสูญเปล่า


หลังจากล่าถอยไปอีก 8 ก้าว จางเซวียนพยายามจะพลิกผันสถานการณ์ให้ได้ ก็พอดีกับที่ศีรษะของอู๋ชู่กับเป่ยชิงระเบิดจนเลือดสาดพร้อมๆกัน ขณะที่เลือดของพวกมันพุ่งลงสู่พื้น ร่างหนึ่งก็ปรากฏตรงหน้า


“ผมบอกคุณแล้วว่าเราควรจะสังหารพวกมันด้วยหมัดเดียวแทนที่จะต้องยุ่งยากลำบากขนาดนี้ แต่คุณก็ไม่ฟังเอาเสียเลย!” ตัวโคลนของจางเซวียนตำหนิด้วยสายตาเย้ยหยันขณะเอาสองมือไพล่หลังไว้



ตอนที่ 1687 ชัยชนะเด็ดขาด

จางเซวียนโบกมือ จากนั้นก็รีบเก็บศพทั้งสองเข้าไปในแหวนเก็บสมบัติ


ตอนที่เขาเปิดเผยตัวเองก่อนหน้านี้ ก็ตั้งใจสกัดกั้นมิติที่อยู่ข้างล่างไว้เพื่อไม่ให้ดึงดูดความสนใจของเหล่าพลทหาร เพราะไม่อย่างนั้น หากพวกมันรู้ว่ามีใครคนหนึ่งกำลังเล่นงานแม่ทัพใหญ่ เขาคงจะถูกสอยร่วงลงจากกลางอากาศก่อนที่จะทันได้ทำอะไร


จางเซวียนสำรวจพื้นที่ข้างล่างอย่างรวดเร็ว และหลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครเห็น ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นก็หันไปมองตัวโคลนด้วยสีหน้าเหยเกเล็กน้อย


เขารู้ว่ามีโอกาสที่แผนการสังหารอู๋ชู่จะล้มเหลว และนั่นคงจะทำให้เขารับมือกับสองแม่ทัพใหญ่ได้ยาก ดังนั้น จึงให้ตัวโคลนคอยสังเกตการณ์อยู่ในมิติที่ถูกสกัดกั้นไว้ โดยเตรียมพร้อมที่จะเข้าโจมตีสองแม่ทัพใหญ่หากแผนการของเขาล้มเหลว โชคดีที่เมื่อทุกอย่างเริ่มไม่เป็นไปอย่างที่คิด แผนสำรองก็ใช้การได้ทันท่วงที


แต่ถึงอย่างไร…อู๋ชู่กับเป่ยชิงก็เป็นนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 4 โลกจารึก เขาคิดว่าต่อให้ตัวโคลนทำให้พวกนั้นไม่ทันระมัดระวังตัวได้ ก็คงทำได้แค่เบี่ยงเบนความสนใจของพวกมันชั่วคราวและเล่นงานได้สักหน่อย ใครจะไปคิดว่าตัวโคลนของเขาจะระเบิดหัวของทั้งสองตัวได้ด้วยการใช้หมัดเพียงสองหมัด?


หรือว่าหมอนี่…แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม?


จางเซวียนเคยคิดว่าเขาคงสามารถสั่งสอนบทเรียนให้ตัวโคลนได้หลังจากที่ฝ่าด่านวรยุทธครั้งล่าสุดเป็นผลสำเร็จ แต่ดูเหมือนเขาจะมั่นใจมากเกินไป


หากทดลอง ก็คงลงเอยด้วยการที่ต้องฟกช้ำดำเขียวอีกรอบ


“คุณควรลงไปข้างล่างและหาโอกาสเปิดการโจมตี!” รู้ดีว่ามีแต่จะช้ำใจหากพูดอะไรกับตัวโคลนต่อ จางเซวียนจึงสั่งการขณะลงไปยังสนามรบข้างล่าง


ตอนที่เขาปรากฏตัวตรงหน้ากองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจ จางเซวียนก็ปลอมตัวเป็นอู๋ชู่เรียบร้อย


“ผมสังหารเจ้าเป่ยชิงแล้ว กองทัพอำมาตย์เฉินหลิง ฟังคำสั่งของผม! สังหารเจ้าพวกทรยศนั่น!”


แม้จะอยู่ท่ามกลางเสียงกึกก้องของอาวุธที่กระทบกันและเสียงโห่ร้องของการทำสงครามในสนามรบ แต่คำพูดเหล่านั้นก็ดังชัดเจนเข้าไปในหูของพลทหารทุกตัว


“ฆ่าไอ้พวกสารเลวนั่น!”


“ทำให้มันรู้ซึ้งถึงพละกำลังของพวกเรา!”


เมื่อได้ยินคำสั่งจากแม่ทัพใหญ่ พลทหารในสังกัดของอำมาตย์เฉินหลิงก็เกิดความฮึกเหิมถึงขีดสุด


ส่วนอีกด้านหนึ่ง พลทหารในสังกัดของอำมาตย์เฉินชิงก็ถูกเล่นงานจนย่ำแย่


ทั้ง 2 กลุ่มนี้เคยต่อสู้กันได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ แต่ไม่ช้า ความทัดเทียมกันนั้นก็เปลี่ยนไป


ขณะที่จำนวนผู้บาดเจ็บล้มตายของกองทัพอำมาตย์เฉินชิงเริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ พลทหารก็เริ่มส่ออาการว่าจะหลบหนี


ในขณะที่กองกำลังของอำมาตย์เฉินชิงกำลังจะเพลี่ยงพล้ำ ร่างเปื้อนเลือดร่างหนึ่งก็ร่อนลงมาจากกลางอากาศแล้วต่อยอู๋ชู่


“ผม, เป่ยชิง จะยอมแพ้ง่ายๆได้อย่างไร? ผมแค่แกล้งตายเพื่อหลอกไอ้งั่งตัวนี้เท่านั้น พี่น้องของเรา, ตอนนี้ผมสังหารอู๋ชู่แล้ว ถึงเวลาที่พวกเราจะได้กลับมาเกรียงไกรอีกครั้ง! เราเป็นกองกำลังของอำมาตย์เฉินชิง ไม่มีทางพ่ายแพ้ให้กับเจ้าพวกอ่อนแอพวกนี้” ร่างเปื้อนเลือดประกาศด้วยน้ำเสียงใส่อารมณ์


คำพูดนั้นทำให้จิตวิญญาณการต่อสู้ของกองกำลังฝ่ายอำมาตย์เฉินชิงฮึกเหิมขึ้นอีกครั้ง พวกมันฮึดสู้ แต่ละตัวชูแขนขึ้นและคำรามกร้าว


ในเมื่อท่านแม่ทัพใหญ่อยู่กับพวกเราแล้ว เราจะทำให้เขาผิดหวังได้อย่างไร?


เราจะต้องสังหารพวกมัน และทำให้พวกมันรู้ว่าไม่มีใครโค่นล้มเราได้!


ขณะที่ความฮึกเหิมของกองกำลังอำมาตย์เฉินชิงถูกปลุกขึ้นอีกครั้ง เสียงร้องอย่างสิ้นหวังก็ดังมาจากกองกำลังของอำมาตย์เฉินหลิง


จากการที่แม่ทัพใหญ่ของพวกมันประกาศชัยชนะในการต่อสู้ พวกมันก็คิดว่าคงจะชนะอย่างแน่นอนแล้ว ใครจะไปรู้ว่าเจ้าเป่ยชิงนั่นจะกลับมาได้!


แล้วตอนนี้ แม่ทัพใหญ่ของพวกมันก็หายตัวไป เหล่าพลทหารต่างก็รีบหนีด้วยความปั่นป่วน


ใช้เวลาไม่นาน สถานการณ์ก็พลิกผัน


กองกำลังของอำมาตย์เฉินชิงกลับมาแข็งแกร่งอย่างรวดเร็ว ไม่ช้า ฝ่ายอำมาตย์เฉินหลิงก็หนีตายกันอย่างอลหม่าน


แต่ขณะที่กองกำลังของอำมาตย์เฉินหลิงกำลังจะพ่ายแพ้ยับเยิน อีกร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวและสอยเป่ยชิงกระเด็นไป


“แกคิดว่าแกเป็นคนเดียวที่รู้จักวิธีแกล้งตายหรือ? ฉัน, อู๋ชู่ ก็ทำเป็น! ถึงอย่างไรฉันก็จะต้องเป็นคนที่หัวเราะทีหลัง พลทหาร, ผมสังหารเป่ยชิงแล้ว ชูอาวุธของพวกคุณขึ้นและแสดงแสนยานุภาพ ของกองกำลังอำมาตย์เฉินหลิง!”


เมื่อได้ยินแบบนั้น กองกำลังฝ่ายอำมาตย์เฉินหลิงก็เงยหน้าขึ้น และเห็นอู๋ชู่ซึ่งน่าจะตายไปแล้ว กำลังจ้องมองสนามรบด้วยทีท่าสง่างาม


พลทหารทั้งสองกลุ่มถึงกับจังงัง


ขณะที่พวกเราต้องพลีชีพ แม่ทัพใหญ่ก็พากันแกล้งตายซ้ำแล้วซ้ำเล่า…


แบบนี้มันถูกแล้วหรือ?


ทำไมเราถึงรู้สึกว่าพวกเขาเห็นสงครามอันดุเดือดครั้งนี้ไม่ต่างอะไรกับของเด็กเล่น?


ที่สำคัญกว่านั้น…


พี่ชาย, อย่างน้อยพวกคุณก็ควรจะส่งสัญญาณให้ชัดเจนหน่อยไหมว่าใครยังอยู่หรือตาย?


คุณไม่รู้หรือไงว่าทำให้พวกเราสับสนปั่นป่วนเหลือเกิน!


เห็นพลทหารยังคงนิ่งงัน อู๋ชู่ตวาดก้องลงมาจากกลางอากาศ “พวกคุณรีรออะไรอยู่? เป่ยชิงถูกผมสังหารแล้ว รีบเล่นงานศัตรูเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นผมจะสังหารพวกคุณเสีย!”


“ฆ่ามัน!”


ได้ยินแม่ทัพใหญ่สั่งการ กองกำลังฝ่ายอำมาตย์เฉินหลิงต่างคำรามกร้าวและพุ่งเข้าใส่


เกิดการสังหารอย่างดุเดือดขึ้นอีกครั้ง และขณะที่ชัยชนะกำลังอยู่ตรงหน้า…


“ฮ่าฮ่าฮ่า! อู๋ชู่, แกคงไม่คิดสินะว่าฉันจะแกล้งตายได้อีกครั้ง ใช่ไหม? แกควรภูมิใจนะที่แกจะได้ตายด้วยคมหอกของฉัน! พวกเรา ฟังคำสั่งของผม! เข้าโจมตี และทำให้แน่ใจว่าจะไม่มีสุนัขรับใช้ตัวไหนของอำมาตย์เฉินหลิงรอดชีวิตไปจากที่นี่ได้”


ร่างของเป่ยชิงปรากฏขึ้นอีกครั้ง และสอยอู๋ชู่กระเด็นไป


เหล่าพลทหารแทบคลุ้มคลั่ง


ท่านแม่ทัพใหญ่ทั้งสอง พวกคุณช่วยหยุดแกล้งตายสักทีได้ไหม?


ตายแล้วฟื้น ตายแล้วฟื้นครั้งแล้วครั้งเล่า…พวกเราจะรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างไร?


ไม่รู้หรือไงว่าพวกคุณทำให้เราเหนื่อยมาก?


เป็นครั้งแรกที่เหล่าพลทหารรู้สึกว่าตัวเองกำลังคาดหวังให้แม่ทัพใหญ่ตายไปจริงๆ แทนที่จะมัวแกล้งตายอยู่แบบนี้ มันเหมือนกับการนั่งรถไฟเหาะตีลังกาที่ขึ้นสูงแล้วก็พุ่งลงต่ำ หัวใจของพวกมัน แบกรับความตื่นเต้นแบบนี้ไม่ไหว!


“เอาล่ะ ได้เวลาแล้ว…”


จางเซวียนไม่แยแสพลทหารที่แทบจะเสียสติ เมื่อเห็นว่าเหลือพลทหารอยู่น้อยกว่าหมื่นตัวจากแรกเริ่มที่มีถึงแสนตัว เขาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่


พลทหารหมื่นตัวนี้ส่วนใหญ่ได้รับบาดเจ็บสาหัส เท่าที่ดูจากสภาพของพวกมัน มันไม่น่าจะผนึกกำลังกันสร้างค่ายกลที่แข็งแกร่งพอจะทำอันตรายเขาได้อีก


แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจยังมีไม้ตายอื่นๆอยู่ในมืออีกหรือไม่ จางเซวียนจึงจัดการให้พลทหารต่อสู้กันเองอีกราว 1 ชั่วโมง เมื่อเวลา 1 ชั่วโมงนั้นจบลง เกินกว่าครึ่งของพลทหารหมื่นตัวที่รอดชีวิตก็ถูกกำจัดไป ทำให้เหลือพลทหารอยู่ไม่ถึงห้าพันตัว


ถึงตอนนี้ จางเซวียนยกมือขึ้น แล้วตัวโคลน หม้อต้นกำเนิดทองคำ กระบี่เปลวเพลิงสีดำ และหอกสวรรค์กระดูกมังกรก็พุ่งเข้าโจมตีพร้อมกัน


พลทหารเหล่านี้เป็นแค่นักรบระดับเซียนขั้น 3 และขั้น 4 แถมพวกมันส่วนใหญ่ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส แล้วจะต้านทานการโจมตีจากของล้ำค่าที่มีวรยุทธทัดเทียมกับนักรบชั่วกัลปาวสานได้อย่างไร? ภายในเวลาไม่ถึงสิบนาที พวกมันก็ถูกกวาดเรียบ


จางเซวียนมองศพที่เรียงรายอยู่กับพื้นก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อความตึงเครียดหายไป เขาก็รู้สึกถึงความเหน็ดเหนื่อยแสนสาหัสที่โถมเข้าใส่พร้อมกับอาการเวียนศีรษะเล็กน้อย


ตลอดทั้งการสู้รบ จางเซวียนทุ่มเทความพยายามให้กับการปลอมตัวเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครมองทะลุการปลอมตัวของเขาได้ และนั่นทำให้เขาสูญเสียพลังมาก


ตอนนี้พลังจิตวิญญาณของเขาเหือดแห้งไปเกือบหมด


แต่ก็โชคดีที่สุดท้ายเขาทำสำเร็จ


ไม่อย่างนั้น ถ้าใครรู้ว่านี่เป็นแผน ต่อให้กองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจเหลืออยู่เพียงหมื่นตัว สถานการณ์ก็อาจพลิกผันมาเล่นงานเขาได้ ซึ่งพละกำลังของนักรบระดับเซียนขั้น 3 จำนวนหมื่นตัวนั้นเป็นสิ่งที่ประมาทไม่ได้เช่นกัน


จางเซวียนเข้าไปในรังนางพญามด เขาทรุดตัวลงนั่ง จากนั้นก็นำของล้ำค่าที่ใช้เพื่อการฟื้นฟูพลังงานออกมา หลังจากซึมซับพลังงานอย่างดุเดือดอยู่ 1 ชั่วโมงเต็ม สุดท้ายจางเซวียนก็ฟื้นตัวได้เล็กน้อย


“ขอดูหน่อยเถอะว่าคราวนี้เราจะกวาดทรัพย์สมบัติได้มากแค่ไหน…”


ถือเป็นโชคดีที่เขาสังหารกองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีจำนวนนับแสนได้สำเร็จ ทำให้แผนการของพวกมันที่จะเข้าบุกทวีปแห่งปรมาจารย์ต้องล้มเหลว แต่สิ่งที่เขาสนใจมากกว่าในตอนนี้ก็คือจะมีทรัพย์สมบัติมากมายแค่ไหนที่เขาจะได้จากการทำสงคราม


นอกจากข้าวของส่วนตัวของกองทัพที่มีจำนวนนับแสนแล้ว ลำพังแค่ความมั่งคั่งของสองแม่ทัพใหญ่และนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานอีกหลายสิบตัว ก็มากเกินกว่าทรัพย์สมบัติที่ตระกูลจางและตระกูลหลัวสะสมมาตลอดหมื่นปี


“กระบี่สีทองเล่มนี้ทัดเทียมกับกระบี่เปลวเพลิงสีดำ…หอกนี่ดูท่าจะเป็นของล้ำค่าระดับกึ่งนักปราชญ์โบราณ…” จางเซวียนวิเคราะห์ขณะตาโตด้วยความตื่นเต้น


กระบี่สีทองของอู๋ชู่และหอกของเป่ยชิงเทียบได้กับกระบี่เปลวเพลิงสีดำของเหิงเจียง แต่เรื่องนี้ก็พอคาดเดาได้ เพราะถึงพวกมันจะถูกจางเซวียนสังหาร แต่มันก็เคยมีอำนาจควบคุมกองกำลังแข็งแกร่งที่มีจำนวนนับแสนมาก่อน


จางเซวียนขับเคลื่อนพลังปราณเทียบฟ้าของเขาและแปรสภาพมันให้กลายเป็นปราณสังหาร ไม่ช้าเขาก็ได้การยอมรับจากของล้ำค่าทั้ง 2 ชิ้น


“กระบี่ดำกระชากวิญญาณ, หอกทะลุเมฆ…เราได้อาวุธมาครอบครองสองชิ้นแล้ว”


“ขอดูหน่อยเถอะว่าจะหาเทคนิควรยุทธที่เหมาะสมได้หรือเปล่า ถึงจะไม่มีเทคนิควรยุทธที่เหนือกว่าขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่ก็คงไม่เลวหากจะสำรวจเทคนิควรยุทธของเผ่าพันธุ์ปีศาจสักหน่อย บางทีเราอาจได้แรงบันดาลใจจากเทคนิควรยุทธของพวกมัน”


จางเซวียนค้นหาสมบัติจากแหวนเก็บสมบัติวงอื่นๆต่อไป แต่ก็ไม่พบอาวุธที่ดีกว่า จึงหันไปสนใจข้าวของอื่นๆ ที่อยู่บริเวณนั้น

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)