คัมภีร์วิถีเซียน 1679-1680

 ตอนที่ 1679 หน้ากากแปลงรูป

 

“หากหนึ่งต่อหนึ่ง แค่สิบชั่วลมหายใจข้าก็เป็นฝ่ายได้เปรียบแล้ว แค่สามชั่วลมหายใจข้าก็สังหารมันได้” สือคุนขมวดคิ้วขณะตอบกลับ


“อ๋อ หากเป็นอสูรลับล่ะก็ ปรากฏตัวทีเดียวสามสี่ตัว หรือแม้กระทั่งสิบกว่าตัวหรือเปล่าล่ะ?” หลิวสุ่ยเอ๋อร์เอ่ยถามยิ้มๆ


“หากมีพละกำลังเช่นนี้ล่ะก็ มากกว่าสามตัวขึ้นไป ข้าก็ไม่มั่นใจว่าจะชนะแล้ว หากห้าตัวขึ้นไป ข้าก็ต้องพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย หากสิบตัวขึ้นไป ข้าคงเพลี่ยงพล้ำโดยไม่ต้องสงสัย” สือคุนมุมปากกระตุกเล็กน้อย แล้วเอ่ยอย่างไม่เต็มใจเล็กน้อย


“นั่นแหละ จากที่ข้ารู้อสูรลับในป่าอสูรลับมีอยู่มากมายจนนับไม่ถ้วน และยิ่งไปกว่านั้นพละกำลังยังแตกต่างกันเป็นอย่างมาก ตามบันทึกในคัมภีร์อิทธิฤทธิ์ของตัวเมื่อครู่ น่าจะระดับต่ำกว่าอสูรลับโตเต็มวัยระดับธรรมดาขั้นหนึ่งถึงจะถูก มิเช่นนั้นคงไม่เผชิญหน้ากับงูเหลือมตัวนั้น แล้วยังต่อสู้กินเวลานานขนาดนี้หรอก ในบรรดาอสูรลับทั่วไปนั้น ยังมีอสูรลับระดับสูงยิ่งกว่าอีกสองชนิด ชนิดแรกคืออสูรลับสามตา นอกจากพละกำลังจะร้ายกาจกว่าอสูรลับธรรมดาแล้ว ตาที่สามยังสามารถปล่อยแสงประหลาดออกมาได้ หากถูกยิงเข้าที่ร่างกายก็จะกลายเป็นไม้ผุ รับมือได้ยาก อีกชนิดหนึ่งคืออสูรลับระดับราชา ผิวหนังของอสูรลับชนิดนี้ไม่เป็นสีดำ ก็เป็นสีทองบริสุทธิ์ พละกำลังเท่าไหร่กลับพูดยาก ว่ากันว่าเหล่าอาวุโสที่บุกเข้ามาในป่าอสูรลับในตอนนั้น มีเพียงคนเดียวที่เคยเห็นผู้บัญชาการทหารของอสูรลับโตเต็มวัยสองสามร้อยตัววิ่งผ่านไปไกลๆ ในป่าลับ” หลิวสุ่ยเอ๋อร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม


“ข้าเองก็เคยอ่านคัมภีร์ประเภทนี้ อสูรลับสามตานั้น ข้าเดาว่าน่าจะต่อกรได้เพียงตัวเดียว หากเผชิญหน้าสองตัวพร้อมกันคงพูดยาก ส่วนอสูรลับสีทองนั้น ในเมื่อนำทัพเหล่าอสูรได้ แน่นอนว่าความสามารถย่อมเหนือกว่าอสูรสามตาแน่ แม้ว่าพวกเราจะร่วมมือกัน กว่าครึ่งก็คงไม่ใช่คู่ต่อสู้ ทว่าในเมื่อเป็นสิ่งมีชีวิตระดับราชาอสูร ทั้งป่าอสูรลับก็คงมีอยู่เพียงไม่กี่ตัว พวกเราคงไม่โชคร้ายไปพบหรอกกระมัง อย่ากังวลมากไปเลย” หานลี่เอ่ยปากอย่างเชื่องช้า


“อืม มีเหตุผล เดิมพวกเราก็ไม่ได้คิดจะไปยั่วโมโหอสูรประหลาดเหล่านั้นอยู่แล้ว แต่คิดจะแอบข้ามป่าไปอีกหนึ่งเดือนให้หลังเท่านั้น น่าเสียดายหากบินสูงได้ ใช้เวลาแค่สองสามวันก็สามารถข้ามป่าทั้งป่าได้ หากไปทางพื้นดิน ต้องเสียเวลามากกว่าเป็นสิบเท่า” หลิวสุ่ยเอ๋อร์ถอนหายใจออกมาเบาๆ


“เวลาแค่นี้พวกเราเสียได้ และยิ่งไปกว่านั้นพวกเราก็ไม่มีทางเลือกอื่น หากเดินทางบนท้องฟ้า นอกเสียจากว่าจะอยากเผชิญหน้ากับการล้อมโจมตีจากอสูรลับยี่สิบสามสิบตัวหรือแม้กระทั่งร้อยตัวเท่านั้น” หานลี่หัวเราะอย่างขมขื่นออกมา


“น้องหญิงก็น่าจะรู้ และยิ่งไปกว่านั้นตามประสบการณ์ของผู้ที่เคยผ่านป่าลับมา ตอนกลางวันอสูรจะแสดงพละกำลังได้ไม่ถึงครึ่ง ดังนั้นเมื่ออยู่ในป่าลับยามกลางวันกลับมีการป้องกันเข้มงวดยิ่งกว่าเดิม อสูรลับสามตาระดับสูงจำนวนมากก็จงใจออกมาลาดตระเวนในยามกลางวัน ส่วนยามกลางคืนนั้นพละกำลังของอสูรลับเพิ่มขึ้น การป้องกันกลับผ่อนคลายลงกว่าครึ่ง อสูรลับระดับสูงก็จะกลับมาฝึกฝนและพักผ่อนในถ้ำ” หลิวสุ่ยเอ๋อร์พยักหน้าเล็กน้อย


“เช่นนั้นพวกเราก็ต้องเร่งเดินทางในยามกลางคืน แล้วพักผ่อนในยามกลางวัน เดิมข้าคิดว่าจะกลับกันเสียอีก!” สือคุนได้ฟัง ก็ประหลาดใจไปเล็กน้อย


“ข้าเองเห็นด้วยกับคำพูดของเซียนหลิว นอกจากอสูรลับระดับสูงที่จะออกมาเคลื่อนไหวในยามกลางวันนั้น ในยามกลางวันขั้นตอนการอำพรางกายของพวกเราก็คงอ่อนแอลงสามส่วน เกรงว่าคงไม่อาจปิดบังหูตาของอสูรลับสามตาได้ ถึงอย่างไรเสียหากเป็นอสูรหลายตา ดวงตาที่เพิ่มขึ้นมาส่วนใหญ่แล้วก็น่าจะมีอิทธิฤทธิ์มองทะลุผ่านภาพลวงตา ไม่เป็นประโยชน์ต่อพวกเราเช่นกัน แม้ว่าตอนกลางวันอสูรลับจะอ่อนแอ แต่หากถูกอสูรเป็นร้อยตัวมาล้อมไว้ภายในชั่วครู่ ก็ไม่แตกต่างอันใดในยามกลางคืนนัก มิสู้เลือกเดินทางยามกลางคืนดีกว่า” หลังจากที่หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อย กลับเอ่ยเช่นนี้ออกมา


“อืม ฟังจากคำพูดของสหายทั้งสองก็มีเหตุผลจริงๆ เอาละ เช่นนั้นก็เคลื่อนไหวในยามกลางคืนก็แล้วกัน” สือคุนดูเหมือนว่าจะถูกชักจูงแล้ว จึงไม่ได้คัดค้าน


“ในเมื่อสหายทั้งสองไม่มีความเห็น อีกเดี๋ยวก็ออกเดินทางกันเถิด ออกจากป่าอสูรลับได้ไวเท่าไหร่ ก็ผ่อนคลายได้ไวขึ้นเท่านั้น ใช่แล้ว ทั้งสองท่านมีวิธีอำพรางกายอันใดที่เหมาะสมหรือไม่?” หลิวสุ่ยเอ๋อร์พยักหน้าอย่างพึงพอใจ  จึงย้อนถามกลับทันที


“เซียนหลิวพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร หรือว่าเจ้ามีวิธีการอันใดที่เหนือกว่า แต่ในเรื่องการอำพรางนั้น ก็ช่วยพวกเราสองคนได้อีกแรง” หานลี่เป็นผู้ที่มีประสาทสัมผัสไวขนาดไหน ชั่วพริบตาก็เดาเจตนาในคำพูดของสตรีผู้นี้ออก


“พี่หานช่างชาญฉลาดจริงๆ ก่อนออกมาในครั้งนี้น้องหญิงได้ยืมหน้ากากแปลงรูปมาจากท่านอาจารย์สามชิ้น มีสมบัติชิ้นนี้ก็สามารถเปลี่ยนคนให้กลายสิ่งของที่ต้องการได้แล้ว นอกเสียจากว่าจะมีคนใช้จิตสัมผัสกวาดมาตรวจสอบอย่างละเอียด มิเช่นนั้นหากไม่ลงมือ ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกพบเห็น ข้าเองก็รู้ว่าสหายทั้งสองจะต้องมีวิธีการอำพรางกายอื่นๆ ที่สูงส่งกว่าแน่ แต่หากเอาของปลอมไปปะปนกับของจริงล่ะก็ ใช้สมบัติชิ้นนี้จะเหมาะสมที่สุด หากเป็นเช่นนั้น แม้ว่าพวกเราจะถูกอสูรลับตัวอื่นๆ พบเข้า ก็ยังพอตบตาได้” หญิงสาวสวมงอบเอ่ยอธิบายพร้อมกับหัวเราะอย่างแผ่วเบา จากนั้นก็พลิกฝ่ามือมือหนึ่ง ในมือมีของรูปร่างเหมือนหนังบางๆ สีเงินปรากฏขึ้นสามชิ้น


“หน้ากากแปลงรูป! เจ้าสิ่งนี้มีชื่อเสียงมาเนิ่นนานแล้ว ว่ากันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่มีเพียงปรมาจารย์ลิ่งซือที่หลอมขึ้นได้ หากสหายหลิวอยากยืมมา จะต้องเยี่ยมมากแน่ๆ ผู้แซ่สือจะไม่เกรงใจแล้ว” สือคุนเห็นหนังบางๆ สามชิ้น ก็เผยสีหน้ายินดีออกมา และทันใดนั้นก็ยกมือขึ้นตะปบออกไป ดูดเอาหนังบางๆ หนึ่งในนั้นเข้ามาอยู่ในมือ แล้วก้มหน้าลงพิจารณาอย่างละเอียด


หานลี่อาศัยอยู่ในเมืองเมฆามาไม่นานนัก แต่กลับเพิ่งเคยได้ยินชื่อของสมบัติชิ้นนี้เป็นครั้งแรก แต่ก็ไม่เป็นไร ขอแค่เห็นสือคุนมีท่าทีตื่นเต้น ก็รู้ได้ว่าหน้ากากแปลงรูปชิ้นนี้จะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน


ดังนั้นเขาจึงเอ่ยปากขอบคุณ แล้วตะปบมือไปทางหน้ากากบางๆ ชิ้นนั้นเช่นกัน พลางพิจารณาอย่างสนอกสนใจ


เห็นเพียงสิ่งที่เรียกว่า ‘หน้ากากแปลงรูป’ นั้นบางเฉียบดุจเส้นไหม แต่เมื่อลูบไล้ไปกลับรู้สึกเย็นยะเยือก จากประสบการณ์ของหานลี่คาดไม่ถึงว่าจะดูไม่ออกว่ามันทำมาจากวัสดุใด


แต่สิ่งที่สะดุดตายิ่งกว่าก็คือ อักขระสีเงินขนาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากันที่สลักอยู่บนผิวของหน้ากากแปลงรูปนั้น มีขนาดเท่าเมล็ดถั่วเหลือง และดูพิเศษเป็นอย่างมาก


หานลี่เห็นอักขระสีเงินเหล่านั้นชัดเจน ใบหน้ากลับเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย แม้ว่าจะแค่เล็กน้อย แต่ก็ยังคงถูกหญิงสาวสวมงอบมองเห็น


ใบหน้าใต้งอบของหญิงสาวผู้นี้ย่อมฉายแววตกตะลึง ทันใดนั้นก็ปากเอ่ยถามว่า “พี่หาน หรือว่าท่านเคยพบสมบัติชิ้นนี้มาก่อน?”


“ในเมื่อเป็นสมบัติเฉพาะของท่านอาวุโสไฉ่ ข้าน้อยจะมีโอกาสได้พบเห็นได้อย่างไร” หานลี่ใจหายวาบ แต่ใบหน้ากลับฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ


“เช่นนั้นเมื่อครู่นี้พี่หาน….” หญิงสาวสวมงอบกลับไม่ปล่อยไป ยังคงเอ่ยซักถามต่อ


“เหอๆ วัตถุดิบของสมบัติชิ้นนี้แปลกประหลาดไปหน่อย ผู้แซ่หานเองก็นับว่าเป็นผู้ที่มีความรู้กว้างขวาง คาดไม่ถึงว่าจะดูประวัติความเป็นมาไม่ออก จึงรู้สึกละอายใจเล็กน้อย” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา ตอบกลับไปอย่างคลุมเครือ


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง แม้ว่าน้องหญิงจะไม่รู้วิธีการหลอม แต่กลับได้ยินท่านอาจารย์พูดขึ้นมาครั้งหนึ่ง หน้ากากแปลงรูปนี้ทำมาจากหนังของอสูรวิญญาณที่หายากเจ็ดชนิดในแผ่นดินใหญ่ นำทั้งหมดมาผสมกันแล้วหลอมขึ้น ไม่แปลกที่สหายหานจะไม่อาจแยกแยะได้” หลิวสุ่ยเอ๋อร์ดูเหมือนจะเชื่อข้ออ้างของหานลี่จริงๆ จึงอธิบายอย่างนุ่มนวล


“ผู้แซ่หานเข้าใจแล้ว” หานลี่เองก็แสร้งทำเป็นเลอะเลือน และใช้นิ้วลูบผ่านอักขระสีเงินบนแผ่นหนังบางๆ ในมือเบาๆ ในเวลาเดียวกันในใจกลับมีความคิดต่างๆ ทยอยกันหมุนวนไปมา


อักขระสีเงินบนหน้ากากแปลงรูปนี้ คืออักขระลูกอ๊อดสีเงินบนตำราหยกพระราชวังทองคำ ตัวอักษรนี้ปรากฏขึ้นด้วยความบังเอิญ แน่นอนว่าย่อมทำให้หานลี่รู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก


ในเมื่อสมบัติชิ้นนี้เป็นสมบัติของไฉ่หลิวอิง หรือว่าในมือของนางนั้นมีหน้าแรกของตำราหยกพระราชวังทองคำอยู่ด้วย


เขาย่อมแอบพึมพำอยู่ในใจอยู่ครู่หนึ่ง


และในยามนั้นเอง หลิวสุ่ยเอ๋อร์ก็เอ่ยปากขึ้นอีกว่า “แม้ว่าสมบัติชิ้นนี้จะมหัศจรรย์ แต่ก็ไม่ได้สวมแล้วจะแปลงรูปได้ทันที หากแปลงเป็นสิ่งมีชีวิต ทางที่ดีที่สุดก็ต้องมีเนื้อหนังหรือขนของมันก่อน หากมีหนังและขนของมันทั้งแผ่น ก็จะแปลงรูปได้อย่างไร้ที่ติ”


“หนังและขน ย่อมจัดการได้ง่าย หาอสูรลับที่อยู่ลำพังมาสักสองสามตัวแล้วสังหารพวกมันก็ได้แล้ว หึๆ ตัวเมื่อครู่ไม่ได้เหมาะสมมากหรือ ภายในระยะเวลาสั้นๆ เช่นนี้ คิดดูแล้วมันคงไม่ได้หนีไปไหนไกล” สือคุนได้ยิน ก็มีสีหน้าโหดเหี้ยมฉายแวบผ่าน


จากนั้นใต้ฝ่าเท้าของเขาก็มีลำแสงสีเหลืองสว่างวาบ ร่างทั้งร่างจมหายเข้าไปในพื้นดินอย่างเงียบเชียบ


แววตาของหลิวสุ่ยเอ๋อร์เปล่งประกายสองสามครั้ง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยปากห้ามปรามอันใด


ผลคือสือคุนสำแดงเคล็ดวิชาลี้ธรณี ชั่วพริบตาก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย


“ปล่อยให้พี่สือลงมือตามลำพังเช่นนี้จะไม่มีปัญหาหรือ” หลิวสุ่ยเอ๋อร์มองหานลี่แวบหนึ่ง แล้วถึงได้เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาออกมา


“ในเมื่อเซียนหลิวไม่ได้เอ่ยปากห้ามปราม ย่อมต้องรู้สึกว่าไม่มีปัญหาอันใดอยู่แล้ว ผู้แซ่หานเองก็รู้สึกว่าไม่มีปัญหา เมื่อครู่ข้าตรวจสอบในบริเวณนี้อย่างละเอียดแล้ว ในระยะร้อยลี้ ไม่มีอสูรลับตัวที่สอง ประกอบกับสหายสือคิดในใจแล้วจะต้องจับได้อย่างแน่นอน” หานลี่หรี่ตาลงแล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ


เมื่อได้ยินหานลี่กล่าวเช่นนี้ หลิวสุ่ยเอ๋อร์ก็ไม่ได้เอ่ยอันใดอีก


ผลคือหลังจากผ่านไปแค่ครึ่งชั่วยาม สือคุนที่เมื่อครู่หายวับไปจากพื้นดิน ก็เปล่งแสงสีเหลืองสว่างวาบ เงาร่างคนสายหนึ่งผุดขึ้นมาจากใต้ดิน


นั่นก็คือสือคุน


เมื่อเขาบินออกมาจากใต้ดินแล้ว ก็ฉีกยิ้มให้หานลี่และหญิงสาวสวมงอบ สะบัดแขนเสื้อเล็กน้อย ของสีดำสนิทพลันบินออกมา


นั่นก็คือหนังและขนของอสูรลับตัวสีดำสนิทตัวหนึ่ง


“สหายหลิว หนังและขนแผ่นนี้เป็นอย่างไร เหมาะกับการแปลงรูปของข้าหรือไม่” สือคุนเอ่ยอย่างหยิ่งทระนง


“คาดไม่ถึงว่าจะไม่ได้รับบาดเจ็บเลยสักนิด! หากเป็นเช่นนั้น แน่นอนว่าย่อมไม่มีปัญหา ข้าจะถ่ายทอดคาถาให้สหายทั้งสอง ศิษย์พี่ลองใช้ดูก่อน” หลิวสุ่ยเอ๋อร์ใช้สายตาตรวจสอบหนังและขนแผ่นหนังเล็กน้อย แล้วจึงตอบกลับด้วยรอยยิ้มบางๆ


จากนั้นหญิงสาวผู้นี้ก็โยนหนังและขนกลับมา ริมฝีปากขยับเล็กน้อย เริ่มถ่ายทอดคาถาลับให้กับหานลี่และสือคุน


หานลี่และพวกย่อมตั้งใจจำคาถาทั้งหมด ไม่กล้าละเลยเลยแม้แต่น้อย


หลังจากผ่านไปชั่วครู่ เมื่อหลิวสุ่ยเอ๋อร์หยุดถ่ายทอดเสียง ดวงตาของสือคุนก็เปล่งประกาย ฉับพลันนั้นก็โยนหนังอสูรในมือขึ้นไปกลางอากาศ จากนั้นก็ชูมือข้างหนึ่งขึ้น


หน้ากากแปลงรูปพลันกลายเป็นลำแสงสีเงินดวงหนึ่งจมหายเข้าไปในหนังอสูร ชั่วขณะนั้นอักขระสีเงินพลันปรากฏตัวขึ้นทีละตัวๆ


หนังอสูรลับทั้งผืน พลันร่อนลงมาบนร่างของชายร่างใหญ่

 

 

 


ตอนที่ 1680 ล่าอสูร

 

เห็นเพียงลำแสงสีเงินกระจายตัวเต็มท้องฟ้า ชายร่างใหญ่ถูกหนังอสูรห่อเอาไว้ในทันที แล้วกลายเป็นอสูรลับตัวเป็นๆ ตัวหนึ่ง


หนังและขนสีดำสนิทเช่นเดียวกัน กรงเล็บแหลมคม ไม่แตกต่างอันใดกับอสูรลับตัวก่อนหน้าเลยสักนิด


“มหัศจรรย์มาก ข้าเองก็แทบจะไม่มีความรู้สึกอันใดเลย ดูจากภายนอกแล้วคาดไม่ถึงว่าจะเปลี่ยนแปลงเช่นนี้” สือคุนที่กลายเป็นอสูรลับ ยกขาหน้าขึ้น หลังจากพิจารณาตรงหน้าอย่างละเอียดแล้ว ฉับพลันนั้นก็เปล่งเสียงหัวเราะร่าออกมา


“หากหน้ากากเปลี่ยนรูปไม่มีประสิทธิภาพเช่นนี้ น้องหญิงคงไม่เอาพวกมันออกมาให้สหายทั้งสองเห็นเป็นเรื่องขบขันหรอก” หลิวสุ่ยเอ๋อร์เอ่ยพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ ออกมา


“ขอบพระคุณสหายหลิว หากมีสมบัติชิ้นนี้ พวกเราก็มีเกราะคุ้มกันแล้ว” อสูรลับพ่นคำพูดของมนุษย์ออกมา ท่าทางฉีกยิ้มเบิกบาน


หลังจากที่หานลี่เห็นสือคุนแปลงกายกับตาของตัวเองแล้ว ก็รู้สึกมั่นใจในหน้ากากชิ้นนี้มากขึ้น แต่หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อยก็เอ่ยขอบคุณหญิงสาวสวมงอบ สุดท้ายก็เอ่ยแนะนำว่า “ยามนี้เซียนหลิวและข้าน้อยยังไม่มีหนังอสูร แต่พวกเราเองเสียเวลาไม่ได้ ไม่สู้เดินทางกันก่อนเถิด แล้วคอยดูว่ามีอสูรลับที่อยู่ลำพังระหว่างทางหรือไม่ แล้วค่อยจัดการ”


“คำพูดของพี่หานตรงกับเจตนาของน้องหญิงพอดี พวกเราสามคนมีเวลาจำกัด แน่นอนว่าอย่าเสียเวลาจะดีกว่า” หลิวสุ่ยเอ๋อร์เอ่ยปากสนับสนุน


สือคุนย่อมไม่มีความคิดเห็นอื่น


ดังนั้นทั้งสามคนจึงถือโอกาสที่ท้องฟ้ามืดมน หายวับไปท่ามกลางถ้ำในต้นไม้


สือคุนที่กลายเป็นอสูรลับ แต่ปากกลับพ่นเมฆสีเหลืองออกมา ห่อหุ้มร่างกายเอาไว้ แล้วกลายเป็นไอสีเหลืองอ่อนสายหนึ่ง


ป่าอสูรลับในยามมืดมิดเดิมทีก็เลือนรางมาก หลังจากที่สือคุนสำแดงอิทธิฤทธิ์แล้ว ก็ไม่ได้สังเกตในบริเวณรอบในระยะสิบจั้งให้ละเอียดอีก ล้วนไม่พบร่างกายที่อำพรางกายของเขาอยู่


หลิวสุ่ยเอ๋อร์กลับหยิบสมบัติโบราณที่ดูเหมือนแผ่นหยกออกมาจากบั้นเอว แค่โยนออกไปตรงหน้า ก็กลายเป็นหยกสีขาวบริสุทธิ์ แต่เป็นหนูหยกที่มีความยาวแค่สองสามจั้ง


หญิงสาวผู้นี้พลิ้วกาย ก็ยืนอยู่บนแผ่นหลังของหนู


จากนั้นหนูหยกก็เปล่งแสงสีขาวเรืองๆ ออกมา ชั่วครู่ก็ห่อหุ้มตนเองรวมทั้งหลิวสุ่ยเอ๋อร์ที่อยู่บนแผ่นหลังไว้ข้างใน


ทั้งสองค่อยๆ โปร่งใสขึ้นท่ามกลางลำแสงสีขาว สุดท้ายก็กลายเป็นเงาล่องหนสายหนึ่ง ราวกับไม่มีร่างกายอยู่


ส่วนหานลี่กลับง่ายยิ่งกว่า


หลังจากที่กระบี่ไผ่เขียวตัวต่อเมฆาถูกทำให้บริสุทธิ์แล้ว ก็เป็นสมบัติธาตุไม้ที่บริสุทธิ์มาก ในป่านั้นมีไอวิญญาณธาตุไม้บินโคจรไปมาหนาแน่นที่สุด เดิมก็เป็นเรื่องที่ปิดบังไม่ได้อยู่แล้ว


หานลี่แค่ชูแขนเสื้อขึ้นข้างหนึ่ง กระบี่เล่มเล็กสีเขียวยาวสองสามชุ่นก็บินออกมา หลังจากหมุนวนเล็กน้อย ก็กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวยาวสองสามจั้งม้วนวนอยู่บนร่างของเขา


หลังจากผ่านไปชั่วครู่ลำแสงสีเขียวที่บางเบาจนแทบมองไม่เห็นก็พุ่งออกมา


เช่นนั้นทั้งสามคนจึงสำแดงกายอำพรางกาย ในที่สุดก็เริ่มเดินทางอย่างเป็นทางการ ตรงไปยังส่วนลึกของป่าอสูรลับ


……


 สองสามวันต่อมา อสูรลับร่างกายผอมบาง สาวเท้าอย่างสง่างาม เหยียบไปบนใบไม้หนาๆ เคลื่อนไหวไปอย่างช้าๆ


ฉับพลันนั้นด้านข้างในต้นไม้ยักษ์สูงเทียมฟ้าต้นหนึ่ง ก็มีลำแสงสีฟ้าพุ่งออกมา ม้วนวนร่างกายนั้นเอาไว้


อสูรลับตัวเมียตัวนี้พลันตกตะลึง ปากก็เปล่งเสียงร้องแหลมสูงออกมา กรงเล็บสองข้างเปล่งแสงสีดำพุ่งไปหาลำแสงสีฟ้า


แต่ลำแสงสีฟ้านั้นแค่หมุนวน ก็กลายเป็นดวงแสงยักษ์ลูกหนึ่ง ห่อหุ้มอสูรลับตัวเมียตัวนั้นเอาไว้ข้างใน


ปากของอสูรลับเปล่งเสียงร้องแหลมๆ ออกมาได้เพียงครึ่งหนึ่ง ก็แผ่วเบาลงจนแทบไม่ได้ยิน ในเวลาเดียวกันกรงเล็บลำแสงที่ดูแหลมคมก็คว้าลำแสงสีฟ้าเอาไว้ แต่ก็ทำให้มันกระเพื่อมได้แค่ครั้งสองครั้ง และไม่อาจทะลวงผ่านได้


ยามนี้ผิวของต้นไม้ยักษ์เปล่งแสงสีขาวสว่างวาบ เงาร่างอรชนอ้อนแอ้นร่างหนึ่งปรากฏขึ้นจากด้านใน


นั่นก็คือหลิวสุ่ยเอ๋อร์ผู้นั้น!


นางใช้มือหนึ่งร่ายอาคม อีกมือหนึ่งถือดวงแสงผลึกสีฟ้าขนาดเท่ากำปั้นเอาไว้ แล้วร่ายคาถาใส่ลำแสงสีฟ้า


ฉากที่แปลกประหลาดพลันปรากฏขึ้น


ดวงแสงสีฟ้าถูกหญิงสาวกระตุ้น ก็แผ่กระจายไปทั่วทั้งสี่ทิศอย่างช้าๆ หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ก็กลายเป็นม่านลำแสงสีฟ้ากินพื้นที่ขนาดสองสามหมู่


จากนั้นหลิวสุ่ยเอ๋อร์ก็พลิกฝ่ามือ ดูดดวงแสงผลึกสีฟ้าไป ในเวลาเดียวกันก็หยักไหล่ กลายเป็นเงาสีขาวจมหายเข้าไปในม่านลำแสง


อสูรลับที่อยู่ด้านในเห็นเช่นนั้น ก็กระโจนเข้าไปหาหญิงสาวด้วยท่าทีดุดันอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด และร่างกายบิดเบี้ยวระหว่างทาง กลายเป็นเงาสีดำอีกสามสาย


หลิวสุ่ยเอ๋อร์กลับเผยอริมฝีปากบางๆ ออกอย่างไม่รีบร้อน


เสียง “ฟิ้ว” ดังขึ้น เส้นไหมสีฟ้าบางๆ พลันพุ่งออกมา


กระจายตัวออก กลายเป็นตาข่ายลำแสงสีฟ้าผืนหนึ่ง พุ่งเข้าไปหาอสูรลับและเงาสีดำที่กลายร่างเหล่านั้น


อสูรลับเห็นเช่นนั้น ก็อ้าปากออกอย่างไม่ยอมแสดงความอ่อนแอ พ่นเสาลำแสงสีดำสายหนึ่งออกมา ส่วนเงาสีดำนั้นก็แยกเขี้ยวตะปบเล็บ กลายเป็นกรงเล็บลำแสงพุ่งไปหาตาข่ายยักษ์สีฟ้า


ชั่วขณะนั้นพลันเกิดเสียงดังสนั่น ชั่วครู่แสงสีฟ้าก็ระเบิดออกมาจากม่านลำแสง ลำแสงสีดำและฟ้าสองสีตัดสลับกันไปมา เสียงระเบิดดังขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่หยุด


เห็นได้ชัดว่าม่านลำแสงสีฟ้านั้นมีอิทธิฤทธิ์ตัดอิทธิฤทธิ์ ความเปลี่ยนแปลงของไอวิญญาณที่รุนแรงรวมทั้งเสียงแสบแก้วหูดังออกมาด้านนอกม่านลำแสง จึงเปลี่ยนเป็นอ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง


หลิวสุ่ยเอ๋อร์หญิงสาวผู้นี้และอสูรลับ พลันทำสงครามต่อสู้กัน


ด้านนอกม่านลำแสงสีฟ้า ลำแสงสีเขียวและไอสีเหลืองพลันปรากฏขึ้น เงาร่างของหานลี่และสือคุนปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบ


ทั้งสองมองไปยังสถานการณ์ในม่านลำแสงสีฟ้าเขม็ง สีหน้าแตกต่างกันไป


“เหอะๆ สหายหลิวช่างยุ่งยากจริงๆ คาดไม่ถึงว่าจะต้องหาอสูรลับตัวเมียตัวหนึ่งให้ได้ถึงจะยอมลงมือ” สือคุนเอ่ยพร้อมกับสั่นศีรษะ


“ในเมื่อเซียนหลิวต้องการเช่นนี้ คิดดูแล้วคงมีข้อห้ามของนาง” หานลี่กลับตอบกลับอย่างไร้ความรู้สึก


“อืม สหายหลิวเป็นสตรีจะมีความกังวลอยู่บ้างก็ช่างเถิด เหตุใดวันนั้นสหายหานถึงไม่สนใจอสูรลับตัวนั้นที่พบเมื่อสองวันก่อน นั่นกลับทำให้ผู้แซ่สือประหลาดใจมาโดยตลอด” สือคุนได้ยิน กลับเผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมาขณะมองไปยังหานลี่แวบหนึ่ง


“ไม่มีอันใด อสูรลับตัวนั้นได้รับบาดเจ็บปวด และยิ่งไปกว่านั้นบนเรือนร่างยังมีบาดแผลอยู่เต็มไปหมด ต่อให้ผู้แซ่หานเอาหนังและขนของมันมา หลังจากแปลงกายแล้ว เกรงว่าคงไม่เหมาะสมนัก ข้าน้อยจึงคิดว่าหาอีกตัวจะดีกว่า” หานลี่เอ่ยอย่างราบเรียบ


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ข้ายังนึกว่าพี่หานเห็นว่าด้านข้างอสูรลับที่ได้รับบาดเจ็บตัวนั้นมีอสูรทารกอยู่อีกสองสามตัว ยามนั้นจึงเกิดความเมตตาเสียอีก จะคิดดูแล้วก็ใช่ ผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรอย่างพวกเราจะขบคิดตื้นๆ เช่นนั้นได้อย่างไร” สือคุนเบะปากขณะเอ่ย


หานลี่ได้ยินกลับหัวเราะหึๆ ไม่ได้เอ่ยอันใดตอบ


ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันด้วยเสียงแผ่วเบา ฉับพลันนั้นในม่านลำแสงสีฟ้าก็มีเสียงอึกทึกดังขึ้น ม่านลำแสงทั้งม่านสั่นกระเพื่อมเบาๆ แต่ทันใดนั้นก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ


หานลี่เห็นเช่นนั้น ก็อดที่จะมีแววตาเคร่งขรึมไม่ได้ ส่วนสือคุนเองก็เผยสีหน้าตกตะลึงออกมา


ฉับพลันนั้นม่านลำแสงสีฟ้าพลันแตกออกเป็นเสี่ยงๆ สุดท้ายก็กลายเป็นดวงลำแสงแล้วสลายหายไป


เห็นเพียงตรงใจกลางของม่านลำแสง หลิวสุ่ยเอ๋อร์หญิงสาวผู้นั้นกำลังยืนอยู่เงียบๆ ด้านข้างขาเรียวของนาง อสูรลับเพศเมียกำลังนอนหมอบอยู่ตรงนั้น บนเรือนร่างนอกจากขนเปียกโชกแล้ว กลับไม่มีท่าทางเหมือนได้รับบาดเจ็บเลยสักนิด


หานลี่กวาดจิตสัมผัสไปบนเรือนร่างของอสูรตัวนั้น ก็รู้ว่าอสูรลับตัวนั้นไร้ซึ่งลมหายใจแล้ว


“ฝีมือเยี่ยม คิดไม่ถึงว่าอิทธิฤทธิ์ธาตุน้ำของสหายหลิวจะน่าตกตะลึงถึงเพียงนี้ ดูเหมือนว่าจะรวดเร็วกว่าผู้แซ่สือในยามนั้นเสียอีก” สีหน้าตกตะลึงบนใบหน้าของสือคุนค่อยๆ สลายหายไป แต่ปากก็ส่งเสียงจุ๊ๆ พลางเอ่ยชื่นชม


“เหตุใดพี่สือต้องล้อเลียนน้องหญิงด้วย กายเนื้อของพี่สือแข็งแกร่ง วันนั้นข้าและสหายหานได้ประจักษ์กับตาของตัวเองแล้ว ฝีมือของข้าจะไปเทียบเทียมได้อย่างไร” หลิวสุ่ยเอ๋อร์ยกมือขึ้นดูดอสูรลับตัวนั้นเข้ามาในมือ แล้วเอ่ยพร้อมกับฉีกยิ้มเบิกบาน


“ฮ่าๆ หากอิทธิฤทธิ์ของเซียนหลิวในยามนี้เป็นแค่ฝีมือเล็กๆ เช่นนั้นอิทธิฤทธิ์ของผู้แซ่สือก็ยิ่งไม่มีค่า สหายหานยามนี้ข้าและเซียนหลิวมีหนังอสูรแล้ว ครานี้จึงเหลือแค่เจ้าคนเดียว และยิ่งไปกว่านั้นยิ่งเข้าไปในส่วนลึกของป่า ก็ยิ่งจะพบกับอสูรลับเป็นฝูงมากขึ้นเท่านั้น สหายต้องคิดหาทางแล้ว” สือคุนพลันหันหน้ามาเอ่ยกับหานลี่อย่างมีเลศนัย


“พี่สือวางใจ ผู้แซ่หานรู้ดีอยู่แก่ใจ ไม่มีทางเอาชีวิตของตนเองมาล้อเล่นแน่” หานลี่กลับตอบกลับด้วยรอยยิ้มบางๆ


……


สามวันต่อมา ด้านข้างลำธารเล็กๆ ที่คดเคี้ยวในป่าอสูรลับ ปรากฏร่างอสูรลับที่ขนาดใหญ่กว่าอสูรลับธรรมดาๆ สามเท่า ถูกม่านลำแสงสีเขียวห่อหุ้มเอาไว้


หานลี่ลอยอยู่เหนือม่านลำแสง สองตาปิดสนิท สองมือร่ายอาคมกระตุ้นเคล็ดวิชาอันใดสักอย่าง ทำให้ม่านลำแสงสีเขียวเปล่งแสงกะพริบวาบเดี๋ยวสดใสเดี๋ยวมืดมน


ส่วนหญิงสาวสวมงอบและสือคุนยืนอยู่ด้านข้างม่านลำแสง คนหนึ่งแววตางดงามเปล่งแสงสว่างวาบไม่หยุด คนหนึ่งขมวดคิ้วแน่น แต่ทั้งสองล้วนรู้สึกตกตะลึงในใจ


ม่านลำแสงสีเขียวนี้ไม่เพียงจะหนาแน่นราวกับของจริง ทำให้พวกเขาไม่อาจมองเห็นสถานการณ์ด้านในได้เลยสักนิด กวาดจิตสัมผัสไป และถูกดีดออกมาอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด


นั่นก็คือค่ายกลกระบี่หลากวสันต์ที่หานลี่วางเอาไว้!


หานลี่ลอยอยู่กลางอากาศ ฉับพลันนั้นพลันขมวดคิ้ว หยุดร่ายอาคมในมือ สะบัดแขนเสื้อไปด้านล่าง ในเวลาเดียวกันปากก็พ่นคำว่า “เก็บ” ออกมา


ชั่วขณะนั้นม่านลำแสงสีเขียวพลันแผ่ออกไป ชั่วครู่กระบี่บินที่เปล่งแสงสีเขียวระยิบระยับยี่สิบสามสิบเล่ม ขนาดสองสามฉื่อซึ่งลอยอยู่กลางอากาศก็พลิ้วไหว


หานลี่แค่ตะปบมือออกไปกลางอากาศ กระบี่บินทั้งหมดก็เปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ ทยอยกันหดเลือดขนาดสองสามชุ่น จากนั้นก็พุ่งออกไป แล้วจมหายเข้าไปในร่างของเขาทีเดียว


ในขณะที่เขตอาคมกระบี่ห่อหุ้มลงมาบนพื้นดิน อสูรลับยักษ์ก็มีเลือดออกจากทวารทั้งเจ็ดแล้วล้มลงกับพื้น สิ้นลมหายใจ


เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ หญิงสาวสวมงอบและสือคุนก็อดที่จะมองสบตากันแวบหนึ่งไม่ได้ แต่ล้วนมองเห็นแววตาหวาดกลัวส่วนหนึ่งจากแววตาของกันและกัน


หานลี่เหลือบมองฉากนั้นแวบหนึ่ง แต่กลับร่อนลงมาอย่างช้าๆ ด้วยสีหน้าราบเรียบ สองเท้าร่อนลงด้านข้างศพของอสูรลับตัวนั้นอย่างพอดิบพอดี


“สหายทั้งสอง มีหนังของอสูรลับแผ่นนี้ ยามนี้พวกเราก็เข้าไปในป่าลึกได้อย่างสบายใจแล้ว” หานลี่เอ่ยกับคนที่เหลือทั้งสองด้วยรอยยิ้มเบิกบาน


“มีหนังอสูรแล้ว แน่นอนว่าย่อมไม่เป็นปัญหา แต่คิดไม่ถึงเลยว่า อิทธิฤทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพี่หานจะเป็นเขตอาคมกระบี่ในตำนาน สถานการณ์ในเขตอาคมแม้ว่าเราสองคนจะมองไม่เห็นอันใด แต่พลังที่สามารถกั้นจิตสัมผัสของข้าและสหายสือได้นั้น เรียกได้ว่าเป็นพลังที่ลึกล้ำยากจะคาดเดาแล้ว” หลิวสุ่ยเอ๋อร์เอ่ยพร้อมกับหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา


“ใช่แล้ว ตั้งแต่ที่สหายล่อให้อสูรลับตัวนี้เข้าไปในเขตอาคม จนถึงตอนนี้ที่สังหารอสูรแล้วถอนเขตอาคมกระบี่ออก แม้ว่าจะใช้เวลานานกว่าพวกเราสักหน่อย แต่กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาเลย เห็นได้ชัดว่าเขตอาคมกระบี่นี้มหัศจรรย์มาก หากสหายมีอิทธิฤทธิ์นี้ล่ะก็ คิดดูแล้วคงไร้เทียมทานในพวกที่ระดับต่ำกว่าระดับศักดิ์สิทธิ์” สือคุนเองก็เอ่ยชมออกมาจากใจจริง


“เหอๆ! เหตุใดสหายทั้งสองต้องยกยอผู้แซ่หานด้วย แม้ว่าเขตอาคมกระบี่หลากวสันต์ของข้าจะมีอิทธิฤทธิ์ แต่สหายทั้งสองถูกท่านอาวุโสทั้งสองให้ความสำคัญ คิดดูแล้วก็คงจะเผยความสามารถที่แท้จริงออกมาไม่ได้หนึ่งในสิบส่วนสินะ จะไปเทียบกับเขตอาคมกระบี่จิ๊บจ๊อยได้อย่างไร!” หานลี่หัวเราะหึๆ ออกมา แล้วตอบกลับอย่างคลุมเครือ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)