ลำนำบุปผาพิษ 1678-1681
บทที่ 1678 นางมีวิธีมากมาย!
และกู้ซีจิ่วโยน ‘เสบียง’ เหล่านี้ลงเหมยโลหิตต้นนั้นทั้งหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น ทั้งหมดถูกเหมยโลหิตกลืนกินหายไปในชั่วพริบตา
เจ้าหอยยักษ์กระชับกำปั้นแน่นมองดู
ไอ้ต้นไม้นี่กินเก่งยิ่งกว่ามันเสียอีก!
หลานเยวี่ยไม่ค่อยเข้าใจ กู้ซีจิ่วให้อาหารต้นไม้อยู่ชัดๆ กำลังทลายค่ายกลตรงไหนกัน?
“ค่ายกลนี้เป็นค่ายกลมารบรรพกาล ข้าก็ทลายได้ ทว่าหากใช้วิธีการแก้ตามค่ายกลปกติ ความรุนแรงจะทำให้ผู้บงการอยู่เบื้องหลังไหวตัวทัน เมื่อพวกเราบุกเข้าไป ไม่แน่ผู้บงการอยู่เบื้องหลังอาจพาพวกหลานไว่หู่หลบหนีไปอย่างไร้ร่องรอยนานแล้ว” ตี้ฝูอีอธิบาย
เยี่ยนเฉินมองกู้ซีจิ่ว “นี่นางใช้วิธีไม่ปกติอย่างนั้นหรือ? ให้อาหารเหมยโลหิตจนอิ่ม มันก็จะเปิดค่ายกลด้วยตัวเอง?”
เขาเพิ่งกล่าวถึงตรงนี้ จู่ๆ ป่าเหมยด้านล่างก็สั่นสะเทือนเล็กน้อย เหมยโลหิตสั่นสะท้านราวเป็นไข้มาลาเรีย แล้วเบื้องล่างของมันก็เปิดขึ้นเป็นโพรงใหญ่โพรงหนึ่งอย่างเงียบเชียบ…
หลานเยวี่ยเบิกตาโพลง ไม่ใช่กระมัง?! เช่นนี้ก็ได้หรือ?!
ต้นไม้ต้นนี้กินจนอิ่มแล้วก็เปิดประตูจริงๆ ด้วย!
ทว่า การคาดการณ์ของเขาเช่นนี้อยู่ในหัวได้ไม่เกินสามวินาที ก็รู้ว่าตัวเองคาดการณ์ผิดไปแล้ว
เนื่องจากมีคนสองคนมุดออกมาจากโพรงยักษ์นั้น
รูปแบบการแต่งตัวของสองคนนี้เหมือนกับผู้คงแก่เรียน ไม่เหมือนพวกที่มุดออกมาจากใต้ดิน ทว่าเหมือนหลุดออกมาจากสนามสอบ
พวกเขามองดูไปรอบๆ คนผู้หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้น “เกิดอะไรขึ้น? คืนนี้ต้นไม้นี้คึกคักเหนือธรรมดา มีอาหารโลหิตมากมายขนาดนี้มาจากที่ใดกัน?”
คนอีกผู้หนึ่งส่ายหน้า “ลองตรวจสอบดูเถิด จะได้ไม่รบกวนการทำงานของนายท่าน”
ทั้งสองเริ่มเดินตรวจสอบป่าเหมยอย่างรวดเร็ว…
แน่นอนว่าตอนพวกเขาอยู่ห่างจากเหมยโลหิต ก็ไม่ลืมที่จะปิดค่ายกลก่อน ทำให้เหมยโลหิตกลับสู่สภาพเดิม
พวกกู้ซีจิ่วหยุดอยู่กลางอากาศ รอบกายมีเขตแดนที่ตี้ฝูอีสร้างขึ้น สองคนนั้นจึงมองไม่เห็นพวกเขา
เยี่ยนเฉินมองกู้ซีจิ่วด้วยสายตาเลื่อมใสศรัทธา นางมีวิธีมากมาย!
สองคนนั้นเดินตรวจสอบละแวกนั้นรอบหนึ่งอย่างรวดเร็ว พวกเขายังจับหนูหริ่งกับหมาป่าตัวหนึ่งท่ามกลางป่าเหมยได้
ยามที่กลับมาก็ให้อาหารต้นไม้นั้น คนผู้หนึ่งในนั้นกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เหยื่อในค่ำคืนนี้มีไม่น้อยเลยจริงๆ มากมายยิ่งกว่าที่ผ่านมาอีก”
อีกผู้หนึ่งเอ่ย “อันที่จริงก็ไม่แปลก นายท่านบอกว่าป่าเหมยนี้ปล่อยกลิ่นอายชนิดพิเศษได้เพื่อดึงดูดเหยื่อเหล่านั้น บางทีคืนนี้กลิ่นอายเหล่านั้นน่าจะเข้มข้นเป็นพิเศษ”
ทั้งสองพูดคุยกันพลางใช้พลังวิญญาณพิเศษเปิด ‘ประตู’ เข้าไปด้วยบันไดภายในโพรงยักษ์นั้น
แน่นอนว่าตอนพวกเขาเข้าไปในโพรงก็ไม่ลืมที่จะปิด ‘ประตู’ ทำให้ด้านนอกกลับคืนสู่สภาพเดิม
บันไดมีหลายขั้นและลึกมาก กำแพงโพรงทั้งสองฝั่งมีเปลวเทียนที่ไม่ดับนับพันปีส่องสว่างพลิ้วไหว
ทั้งสองคนกำลังเดินอยู่ คนผู้หนึ่งในนั้นหนาวจนสั่นสะท้านอย่างมิอาจบรรยายได้ จึงพูดกับสหายร่วมทาง “น่าแปลก ข้ารู้สึกว่ามีคนตามพวกเรามาตลอดเวลา…”
สหายของเขารีบกวาดตามองรอบด้าน เมื่อไม่เห็นอะไรก็โล่งใจ “อย่าทำให้ตัวเองตกใจเองสิ! สถานที่แห่งนี้ผู้ใดจะเข้ามาได้? พวกเราเปิดปิดประตูด้วยความระมัดระวังมาก อย่าว่าแต่คนเลย ต่อให้เป็นแมลงวันตัวหนึ่งก็ไม่อาจตามเข้ามาได้ อย่าได้หวาดระแวงไป!”
คนผู้นั้นเกาศีรษะ “ข้าก็รู้สึกว่าไม่น่าจะมีใครตามเข้ามาได้…” แล้วทอดถอนใจอีกครั้ง “คงเพราะที่นี่มีคนตายมากมาย ข้ารู้สึกว่ารอบด้านมีเงาภูตผีอยู่ตลอดเวลาเลย”
เขาพูดพลางสาวเท้าก้าวเดินไปด้านหน้า เดินไปได้พักหนึ่งก็พบว่าสหายร่วมทางโอ้เอ้อยู่ด้านหลัง จึงหันกลับมารอให้เขาไล่ตามมา บ่นว่า “ทําไมจู่ๆ เจ้าถึงเดินช้าขนาดนี้กัน? ทําเอาข้าตกใจหมด!
—————————————————————–
บทที่ 1679 ปะปนเข้าไป!
เขาพูดพลางสาวเท้าก้าวเดินไปด้านหน้าด้วย เดินไปได้พักหนึ่ง ก็พบว่าเพื่อนร่วมงานโอ้เอ้อยู่ด้านหลัง จึงหันกลับมารอให้เขาไล่ตามมา บ่นว่า “ทำไมจู่ๆ เจ้าถึงเดินช้าขนาดนี้กันล่ะ? ทำเอาข้าตกใจหมด! รีบเดินเถอะ คืนนี้เป็นวันสำคัญของนายท่าน จะปล่อยให้เกิดอุบัติเหตุอันใดขึ้นไม่ได้ คืนนี้พวกเราต้องเฝ้าประตูให้เข้มงวด…”
“นายท่านจะเริ่มกินเนื้อแล้วกระมัง?” สุ้มเสียงของเพื่อนร่วมงานเขาเอื่อยเฉื่อย
“ใช่แล้ว เฮ้อ ดรุณีสองนางที่งดงามถึงเพียงนั้น ต้องการเป็นอาหารโลหิตสำหรับการฝึกฝนวรยุทธ์ของนายท่าน น่าเสียดายเหลือเกิน ถ้ามอบให้พวกเราพี่น้องได้เล่นสนุกกันก่อนก็คงดี”
“นี่ก็ถูก ใช่แล้ว นายท่านเริ่มกลืนกินไม่อนุญาตให้มีคนไปรบกวน แล้วใครไปคอยคุ้มกันนายท่านอยู่ที่นั่นเล่า? ต้องเข้าไปกำชับพวกเขาหน่อยหรือไม่? ให้พวกเขาอย่าก่อความเคลื่อนไหวที่จะเป็นการรบกวนนายท่านดีไหม?” เพื่อนร่วมงานของเขาเสนอความเห็น
คนผู้นั้นหัวเราะขึ้นมา “ที่นั่นมียอดฝีมือกลุ่มใหญ่คอยคุ้มกันนายท่านอยู่! คนใดบ้างเล่าที่ฝีมือไม่เหนือล้ำกว่าพวกเรายิ่งนัก? อีกอย่างทุกคนล้วนรู้อยู่แก่ใจ ย่อมไม่รบกวนนายท่านแน่นอน ไม่ต้อการให้ยามเฝ้าประตูใหญ่อย่างเจ้าไปกำชับหรอก”
เพื่อนร่วมงานของเขาถอนหายใจ “อันที่จริงข้าอยากเห็นจริงๆ ว่าการกลืนกินจะเป็นอย่างไร…ไม่ได้รับผลประโยชน์ ได้เห็นเป็นบุญตาก็ยังดี”
คนผู้นั้นตบไหล่เขาทีหนึ่ง “ดูเดออะไรกันล่ะ นายท่านอยู่ในสระโลหิตนะ ที่นั่นอันตรายอย่างยิ่ง มิใช่สถานที่ที่เจ้ากับข้าจะเข้าใกล้ได้ พวกเรามีส่วนช่วยในการบุกเบิกอาณาจักร ต้องมีรางวัลใหญ่แน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นสาวงามเช่นใดเล่าที่อยากเห็นแล้วจะไม่ได้เห็น? ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับดรุณีสองนางนั้นเลย”
เพื่อร่วมงานของเขาเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “ที่เจ้าพูดมาก็ถูก”
คนผู้นั้นหัวเราะ “นั่นแน่นอนอยู่แล้ว ดีชั่วอย่างไรข้าก็อายุมากกว่าเจ้าสามสี่ปี มองเรื่องราวกระจ่าง” เขายื่นแขนไปโอบไหล่เพื่อนร่วมงาน “ภายหน้าเจ้าติดตามคลุกคลีกับข้า ข้าจะสอนเจ้า…” ถ้อยคำท่อนหลังเขาไม่อาจกล่าวออกมาได้แล้ว
แขนของเขายังไม่ทันพาดลงบนบ่าของเพื่อนร่วมงาน บั้นเอวพลันปวดแปลบชาหนึบขึ้นมา!
เขาเบิกตากว้างจ้องไปที่เพื่อนร่วมงานของตน ริมฝีปากเผยอเล็กน้อยคล้ายอยากจะตะโกนอะไรออกมา ทว่ากล่าวไม่ออกเลยสักคำ! ร่างกายอ่อนยวบทรุดลงไป ไม่หายใจอีกต่อไป
คนผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นในมุมมืด ก้มตัวลงหมายจะถอดเสื้อคลุมตัวนอกของศพนั้นออกมา
“รอเดี๋ยว” เพื่อนร่วมงานคนนั้นโบกแขนเสื้อคราหนึ่ง อาภรณ์บนร่างผู้ตายถอดออกมาจากร่างด้วยตัวเอง คลื่นแสงสายเล็กๆ เส้นหนึ่งวาบขึ้นมา ทำความสะอาดเสื้อคลุมตัวนอกนี้อย่างหมดจด ถึงได้ส่งมอบให้
ผู้ที่ปรากฏตัวขึ้นในมุมมืดคือกู้ซีจิ่ว ส่วนคนที่สวมรอยเป็น ‘เพื่อนร่วมงาน’ แล้วลอบจู่โจมอย่างรวดเร็วย่อมเป็นตี้ฝูอี
ทักษะการแสดงของคนผู้นี้เป็นเลิศ สวมรอยเป็นเพื่อนร่วมงานของคนผู้นั้นอย่างแนบเนียนไร้พิรุธ ตราบจนวินาทีสุดท้ายคนผู้นั้นก็ยังไม่ทราบว่าตนตายได้อย่างไร
กู้ซีจิ่วไม่พูดอะไร รับเอาเสื้อผ้าชุดนนั้นมาสวม แล้วแปลงโฉมอย่างรวดเร็วอีกครั้ง ใช้พลังวิญญาณปรับเปลี่ยนความสูงและเครื่องหน้าของตน ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอก็ไม่มีสิ่งใดต่างไปจากยามเฝ้าประตูที่สิ้นชีพไปคนนั้นแล้ว
ตอนที่ยามเฝ้าประตูสองคนเข้ามาก่อนหน้านี้ เธอกับตี้ฝูอีก็รีบใช้วิชาเร้นกายตามเข้ามาด้วย กระทำการอย่างเทพไม่รู้ผีไม่เห็นโดยแท้
เดิมทีกู้ซีจิ่วไม่คิดจะร่วมมือกับเขา แต่ที่นี่คนที่สามารถใช้วิชาเร้นกายได้มีเพียงเธอกับเขาเท่านั้น…
และที่ตี้ฝูอีเอาการเอางานถึงเพียงนี้ ก็เพื่อหลานจิ้งอี๋อย่างไม่ต้องสงสัยเลย
เขายังคงเกรงว่าเธอจะเกิดอารมณ์ชั่ววูบลอบทำร้ายหลานจิ้งอี๋เพื่อล้างแค้นกระมัง?
เหอะๆ เธอไม่ทำเรื่องโง่ๆ ที่จะชักนำความเดือดร้อนมาสหายอีกหรอกน่า! อย่างน้อยก็ไม่ทำในตอนที่ยังมีความสามารถไม่เพียงพอ…
หลังจากที่เธอเก็บกวาดรอบข้างแล้ว ก็รีบมุ่งสู่ด้านในทันที
ผู้บงการเบื้องหลังคนนั้นจะลงมือกับหลานไว่หูในคืนนี้แล้ว! เธอต้องรีบตามไปช่วยคน…
บทที่ 1680 น้ำตานางเงือก 1
หลานไว่หูมองทุกสิ่งใต้เท้าด้วยแววตาเลื่อนลอย
ใต้เท้าของนางคือสระโลหิตที่เชี่ยวกราก มีหัวกะโหลกนับไม่ถ้วนกระโดดโลดเต้นอยู่ในทะเลโลหิต
ส่วนร่างของนางก็ถูกล่ามไว้ด้วยโซ่เงินบางๆ สี่เส้น ถูกแขวนไว้เหนือสระโลหิต
โซ่เงินมิได้ล่ามอยู่ที่มือเท้าของนาง แต่เจาะทะลุสะบักไหล่และกระดูกข้อเท้าของนางโดยตรง ห้อยต่องแต่งอยู่ตรงนั้น
เห็นได้ชัดว่าเช่นนี้เจ็บปวดยิ่งนัก ดวงหน้าน้อยๆ ของนางซีดเผือด บนหน้าผากมีหยาดเหงื่อผุดพรายหนาแน่น แต่ละหยดรวมตัวกันแล้วไหลลงสู่ปลายคาง แล้วไหลย้อยจากปลายคางอีกที
ภายในเบ้าตาที่ดำมืดเหมือนอุโมงค์ของหัวกะโหลกเหล่านั้นล้วนมีแสงสีแดงที่น่าประหลาดปรากฏอยู่ คล้ายว่ากำลังจ้องมองจิ้งจอกน้อยอยู่ ต้องการกระโจนขึ้นมากัดกินเลือดเนื้อของนาง
มีหลายครั้งฟันขาวเรียงรายของหัวกะโหลกเกือบจะงับโดนฝ่าเท้าของนางแล้ว นางขบริมฝีปากแน่น ไม่ให้ตัวเองกรีดร้องออกมา
นางเจ็บเหลือเกิน! กลัวเหลือเกิน!
แต่ว่าไม่มีผู้ใดมาช่วยนางเลย…
บางทีนางอาจต้องตายอยู่ที่นี่อย่างเงียบๆ ไม่มีผู้ใดทราบ…
ถูกทรมานเช่นนี้ ถูกเคี่ยวกรำอยู่ตลอดเวลา ความจริงแล้วตายไปเสียยังดีกว่า!
หากมิใช่เพราะในใจยังมีห่วงอยู่ หลานไว่หูแทบจะกัดลิ้นฆ่าตัวตายให้พ้นทุกข์ไปแล้ว…
ตายไปเสียก็ดี พอตายก็ไม่ต้องเจ็บปวดแล้ว…
แต่นางยังไม่ได้พบหน้าเยี่ยนเฉินเลย นางไม่ได้เจอเขามาเกือบหนึ่งปีแล้ว! อยากพบเขาเหลือเกิน…
หลังจากแยกจากกันครั้งนั้น นางก็ไม่เคยได้พบเขาอีกเลย ถึงขั้นที่ไม่ได้ติดต่อกับเขาอีกเลย ส่วนเขาก็ไม่เคยติดต่อมาหานางเช่นกัน ปล่อยมือจากนางอย่างสมบูรณ์…
นางคิดถึงเขา ยิ่งจากกันนานเท่าไหร่ก็ยิ่งคิดถึงมากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะเมื่อใกล้ถึงวันวิวาห์ก็ยิ่งคิดถึงหนักขึ้น ซ้ำยังหวั่นเกรงยิ่งนัก ดังนั้นท้ายที่สุดนางจึงตัดสินใจหนี
กลับคาดไม่ถึงว่าสาวใช้ที่จงรักภักดีต่อนางอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันกลับวางกับดักนาง ทำให้นางหนีจากรังจิ้งจอกมาเข้าปากมาร ตกอยู่ในสถานที่แห่งนี้
“พี่เยี่ยนเฉิน…” นางรำพึง “ท่านไม่ต้องการข้าแล้วหรือ?”
“เขาย่อมไม่ต้องการเจ้าอยู่แล้ว!” เสียงสตรีแว่วมาจากซอกมุมหนึ่ง สุ้มเสียงแฝงความยินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่น “สตรีที่อ่อนแอปานลูกไก่เช่นเจ้าไม่มีบุรุษคนใดมาชอบพอเจ้าอย่างแท้จริงหรอก หากมิใช่เพราะสายเลือดของเจ้าเลิศล้ำ เจ้าคิดว่าประมุขของเผ่าจิ้งจอกครามจะต้องการแต่งเจ้าเป็นภรรยารึ? ราชครู…เฮอะๆ ราชครูอันใดกัน! คนอย่างเจ้าจะคู่ควรกับตำแหน่งราชครูได้อย่างไร? ส่วนเยี่ยนเฉินอะไรนั่น ฟังดูแล้วก็กักขฬะเฉกเช่นฝุ่นธุลี[1] เจ้าทอดทิ้งตำแหน่งชายาประมุขเผ่าจิ้งจอกครามที่สูงส่งเหนือปวงชน เพื่อจะหนีไปหาบุรุษที่เป็นเยี่ยงฝุ่นธุลี…”
“เจ้าหุบปากนะ!” หลานไว่หูมองไปยังจุดที่เสียงแว่วมาอย่างชิงชัง “เจ้าไม่มีสิทธิ์มาดูหมิ่นพี่เยี่ยนเฉินของข้า! เขาเป็นบุรุษที่ยอดเยี่ยมที่สุดบนโลกใบนี้ หาใช่ฝุ่นธุลีอันใดไม่…ปลาหลดเน่าเหม็นที่ช่วยมารร้ายก่อกรรมอย่าเจ้าสิถึงจะเป็นฝุ่นธุลี!”
ที่ริมฝั่งฟากนั้นของสระโลหิต มีลูกโลหิตกึ่งโปร่งแสงลูกหนึ่งลอยอยู่ ภายในนั้นกักขังเด็กสาวนางหนึ่งเอาไว้
เด็กสาวนางนั้นมีผมยาวเหมือนสาหร่ายทะเล มีอาภรณ์ห่อพันอยู่บนร่าง ร่างกายท่อนบนของนางเป็นเด็กสาวปกติอย่างไม่ต้องสงสัยเลย แต่ร่างกายท่อนล่างกลับเป็นหางปลาสีเขียวท่อนหนึ่ง บนร่างของเด็กสาวนางนี้ไม่ได้ถูกล่ามโซ่ไว้ แต่นางก็ขดตัวอยู่ในบอลโลหิตนั้นออกมาไม่ได้เช่นกัน
นางเป็นชาวเงือก
เมื่อมองดูชาวเงือกตนนี้ไฟโทสะของหลานไว่หูก็ลุกโหมขึ้นมา ปรารถนาจะกระโจนเข้าไปฟันนางสักหลายดาบยิ่งนัก!
ตอนนั้นหลังจากหลานไว่หูถูกสาวใช้นางนั้นพาออกมาจากเผ่าจิ้งจอกคราม คนที่มารับนางก็คือเด็กสาวชาวเงือกตนนี้
ยามนั้นสัญชาตญาณอันเฉียบแหลมของนางสัมผัสถึงความผิดปกติได้ คิดจะหันหลังหลบหนีไป แต่ชาวเงือกตนนี้กลับโผเข้ามาจับกุมนางต่อหน้าต่อตา ประกอบกับมีความช่วยเหลือจากสาวใช้นางนั้น สุดท้ายหลานไว่หูจึงเป็นน้ำน้อยแพ้ไฟมากตกอยู่ในกำมือของชาวเงือกตนนั้น
ชาวเงือกตนนี้ขังนางไว้ในฟองวารีลูกหนึ่งแล้วเดินทางผ่านใต้ดิน
———————————————————————
บทที่ 1681 น้ำตานางเงือก 2
ชาวเงือกตนนี้ขังนางไว้ในฟองวารีลูกหนึ่งแล้วเดินทางผ่านใต้ดิน เกือบทำให้นางขาดอากาศตายแล้วถึงจะพานางขึ้นมาสูดอากาศบนผิวดิน ยังไม่รอให้นางได้สูดหายใจสักหลายๆ เฮือกหน่อย ก็ลากนางลงไปใต้ดินต่ออีกแล้ว…
ตลอดการเดินทางนี้หลานไว่หูเคยขอร้องนาง ด่าทอนาง แต่ชาวเงือกตนนี้ล้วนทำราวกับหูหนวกไปแล้วก็มิปาน ลากเธอมาจนถึงที่นี่เสมือนปลาตาย
พอมาถึงที่นี่ในที่สุดหลานไว่หูก็สามารถสูดหายใจอย่างเต็มปอดได้แล้ว แต่ก็ได้รับความทรมานแสนสาหัสอย่างแท้จริง คนของที่นี่ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรก็เจาะสะบักไหล่นางแล้วเอามาแขวนไว้ที่นี่ ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องการทำสิ่งใด
เพียงแต่ชาวเงือกตนนี้ก็ไม่ได้รับผลดีเช่นกัน หลังจากมาถึงที่นี่ก็ถูกขังไว้ในลูกโลหิต ออกมาไม่ได้อีก
หลังจากถูกขังไว้ในลูกโลหิต ชาวเงือกตนนี้ถึงดูคล้ายว่าจะได้สติกลับมาอีกครั้ง ทั้งตกใจทั้งหวาดเกลัวเช่นเดียวกับนาง
เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ของคนทั้งสองแทบไม่ต่างกันเลย ทว่าเด็กสาวชาวเงือกผู้นี้กลับทำตัววางก้ามต่อหน้านาง เย้ยหยันล้อเลียนนางอยู่ตลอด ทำให้หลานไว่หูโกรธเกรี้ยวอย่างยิ่ง
ยังมีอีกไม่ทราบเช่นกันว่าเด็กสาวชาวเงือกผู้นี้ไปได้ความยโสโอหังอย่างล้นหลามมาจากไหน อ้าปากครั้งหนึ่งก็เอ่ยว่า ‘พวกมนุษย์อย่างเจ้าล้วนโฉดเขลาเบาปัญญา’ ออกมาประโยคหนึ่ง ทำให้หลานไว่หูอยากจะเย็บปากนั้นของนางเหลือเกิน!
“หลานไว่หู เจ้าไม่ต้องคิดถึงพี่เยี่ยนเฉินอันใดนั้นแล้ว เขาไม่มาช่วยเจ้าหรอก ต่อให้มาก็ช่วยเจ้าไม่ได้ นายเหนือของที่นี่ร้ายกาจยิ่ง มิใช่ผู้ที่ชาวมนุษย์โง่เง่าจะสามารถต่อกรได้ เขามาก็คือมารนหาที่ตาย เจ้าอย่าได้วาดหวังว่าเขาจะมาเลย รอคอยความตายอย่างว่าง่ายเสียเถอะ”
หลานไว่หูโกรธแล้ว “เจ้าก็ถูกขังไว้ที่นี่เหมือนกันไม่ใช่หรือไง?! ทำไมเจ้าไม่รอคอยความตายอย่างว่าง่ายบ้างเล่า?”
“เฮอะๆ ข้าแตกต่างกับเจ้า พี่หวงจะต้องมาช่วยข้าแน่ ไม่ปล่อยให้ข้าเกิดอุบัติเหตุเด็ดขาด เพียงแต่พี่หวงไม่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน ต่อให้เขามาก็จะช่วยข้าเพียงผู้เดียว ไม่ยุ่งกับนางจิ้งจอกเลือดผสมเช่นเจ้าหรอก”
หลานไว่หูหัวเราะเยาะ “พี่เหลืองพี่เขียว[2]อันใดกัน?! เป็นเพียงคนไร้นามผู้หนึ่งเท่านั้น ข้าไม่หวังให้เขามาช่วยหรอก! ซีจิ่วก็จะมาช่วยข้าเหมือนกัน นางทั้งฉลาดทั้งแข็งแกร่ง พึ่งพาได้มากกว่าพี่หวงของเจ้านัก ไม่มีคนที่นางหาตัวไม่พบ นางจะต้องหาที่นี่เจอแน่นอน”
เด็กสาวชาวเงือกโกรธนัก “สามหาว! เจ้ากล่าด่าว่าพี่หวงของข้าเป็นคนไร้นาม! ฐานะของเขาสูงศักดิ์กว่ากู้ซีจิ่วผู้นั้นมากนัก! ฝีมือก็แข็งแกร่งกว่านางไม่รู้ตั้งกี่เท่า กู้ซีจิ่วไม่คู่ควรแม้แต่จะยกรองเท้าให้พี่หวงของข้าด้วยซ้ำ…”
คนทั้งสองทะเลาะต่อเถียงกันอย่างเจ้าคำข้าคำ ล้วนไม่มีสาระอยู่เลย
จิ้งจอกน้อยโกรธจนสิ้นที่จะโกรธแล้ว ส่วนเด็กสาวชาวเงือกนางนั้นเพื่ออำพรางความหวาดกลัวต่ออนาคตของตน จึงอาศัยการโจมตีเสียดสีหลานไว่หูอยู่ตลอดเวลามาเสริมสร้างความมั่นใจให้แก่ตน
“สรุปแล้วพี่หวงของเจ้าคือผู้ใด?” มีเสียงหนึ่งเพิ่มขึ้นมาอย่างกะทันหัน
เด็กสาวชาวเงือกหลุดปากตอบไป “เป็นพี่เขยของข้า และเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ของแผ่นดินนี้…”
เมื่อกล่าวถึงพบว่าไม่ถูกต้อง เงยหน้ามองไปทางด้านนอก
ผนังแยกออกเป็นประตูบานหนึ่ง คุณชายชุดครามคนหนึ่งเหินพลิ้วเข้ามา
คุณชายชุดครามผู้นี้รูปโฉมหล่อเหลาหาใดเทียม เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่ารูปลักษณ์หล่อเหลาเย็นชา แต่กลับแฝงท่าทางเจ้าสำราญเอาไว้ ยามนี้เขาหยักมุมปากบางๆ มองคนทั้งสองที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ คล้ายจะแฝงไอชั่วร้ายเอาไว้รางๆ
หลานไว่หูถูกขังไว้ที่นี่นานถึงเพียงนี้ เป็นครั้งแรกที่ได้พบเห็นคนนอก นางมองเขาอย่างระแวดระวัง “เจ้าเป็นใคร?”
สีหน้าของเด็กสาวชาวเงือกผู้นั้นกลับแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย “เจ้า…เจ้าคือ?”
เด็กสาวชาวเงือกนางนี้ย่อมเป็นหลานจิ้งอี๋ นางเคยติดตามพี่ชายของตนลอบเข้าไปในวังหลวง เคยเห็นจักรพรรดิองค์ใหม่ของอาณาจักรเฟยซิง รูปโฉมของคุณชายที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้เหมือนจักรพรรดิองค์นั้นยิ่งนัก!
เพียงแต่เนื่องจากเคยเห็นอยู่ไกลๆ เพียงแวบเดียวเท่านั้น ยามนั้นเป็นสถานการณ์ที่จักรพรรดิถูกรายล้อมด้วยองครักษ์นางกำนัลกลุ่มหนึ่ง
————————————————————
[1] คำว่า เฉิน ในชื่อของเยี่ยนเฉินมีความหมายว่า ละอองฝุ่น
[2] สีเหลืองในภาษาจีนออกเสียงว่า หวง พ้องเสียงกับชื่อของหวงถู
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น