พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1677-1682
บทที่ 1677 สั่งสอนหวังเฟย
หลักการก็เรียบง่ายมาก เพราะเคยเห็นนางลงมือแล้ว เห็นนางสังหารเข้ามาแต่ไม่ลนลานเลยสักนิด ถึงขั้นไม่มีท่าทีว่าจะหลบเลยด้วยซ้ำ อีกฝ่ายย่อมไม่หวาดกลัวนางอยู่แล้ว
ยังมีอีกจุดหนึ่ง อีกฝ่ายสามารถเก็บอิ๋งหยางเข้ากระเป๋าสัตว์และปกป้องอยู่ข้างกายอิ๋งหยางได้ เมื่อเชื่อมต่อกับจุดนี้ ก็แสดงว่าคนคนนี้มีฐานะในจวนอ๋องสวรรค์ที่ไม่ธรรมดา มีความเป็นไปได้สูงว่าจะรู้จักพวกนางสองคน พวกนางคือศิษย์ของพุทธะหน้าหยกของแดนสุขาวดี คนที่อยู่ในระดับอย่างพวกนาง มีครอบครัวของสี่อ๋องสวรรค์คนไหนบ้างที่นางไม่เคยติดตามอาจารย์ไปในฐานะแขก ฝั่งจวนอ๋องสวรรค์เองก็ย่อมส่งคนที่มีฐานะเทียบเท่ามารับรองแขกเช่นกัน ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ในจวนอ๋องสวรรค์ นางน่าจะเคยเจอมาหมดแล้ว อย่างน้อยภายนอกนางก็น่าจะรู้จักหมด
ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะรู้จักหรือไม่ หรือจะมีความสัมพันธ์เป็นอย่างไร แต่มาถึงขั้นนี้แล้วก็ไม่มีทางเลือดอื่น ถ้าไม่เป็นเจ้าที่ตายก็เป็นข้าที่รอด
เสวี่ยอวี้ปลุกพลังให้ฮึกเหิมภายในชั่วพริบตาเดียว…
จวนอ๋องสวรรค์โค่ว โค่วหลิงซวีกำลังนั่งอยู่ในห้อง พอได้รับรายงานก็ลุกขึ้นยืนทันที แล้วเอ่ยถามคำถามเดียวกัน “เขาหายอดฝีมือมาจากไหนมากมายขนาดนี้?”
ถังเฮ่อเหนียนที่มารายงานขมวดคิ้ว แล้วส่ายหน้าตอบว่า “ไม่ทราบขอรับ ไม่ทราบด้วยว่าตระกูลอิ๋งเตรียมตัวไว้เพียงพอหรือไม่ ไม่อย่างนั้นก็อาจจะตายด้วยน้ำมือเขาจริงๆ”
“จะให้ข้าติดต่อกับเขาโดยตรงเลยดีมั้ย?” โค่วเจิงที่อยู่ข้างๆ ประหลาดใจไม่หยุด
ถังเฮ่อเหนียนหันมาตอบ “คุณชายใหญ่ ต่างก็กำลังสู้ตายกันอยู่ เขาจะมีเวลามาตอบหรือเปล่าก็ไม่รู้ ประการต่อมา ถ้าถามตอนนี้ แล้วคนของตระกูลโค่วจะต้องไปสนับสนุนด้วยหรือเปล่า? ถ้าไม่ไปช่วย แล้วครั้งนี้เขากลับมาได้ พวกเราจะอธิบายยังไงล่ะ? ทำเป็นไม่รู้จะดีกว่า!”
โค่วเจิงเงียบไป เมฆหมอกแห่งความสงสัยปกคลุมอยู่เต็มห้อง เขาลองถามว่า “หนิวโหย่วเต๋อบอกว่าเข้าควบคุมตลาดสวรรค์มาหลายปี สามารถหาคนได้จำนวนหนึ่ง สงสัยจะเป็นอย่างนี้จริงๆ ประเมินเขาต่ำไปแล้ว”
ถังเฮ่อเหนียนส่ายหน้าถอนหายใจ “ตลาดสวรรค์มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ แต่ก็ไม่ใช่บ้านของเขา ทรัพยากรที่เขาสามารถให้ได้จะจ้างยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์มามากขนาดนั้นได้ยังไง? ถ้าเป็นเช่นนี้จริงๆ ตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์จะไม่ทำให้คนแย่งกันหัวแตกหรอกเหรอ?”
“ไม่ต้องเดาแล้ว เฒ่าถัง ให้พวกลูกน้องจับตาดูเอาไว้ ถ้ามีความเคลื่อนไหวใหม่ให้รายงานทันที” โค่วหลิงซวีกล่าว
“ขอรับ!” ถังเฮ่อเหนียนเอ่ยรับ แล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อตรงนั้นเลย
จวนอ๋องสวรรค์ฮ่าว ตรงระเบียงของตึกศาลาหลังหนึ่ง ฮ่าวเต๋อฟางยืนเอามือไขว้หลังพลางหรี่ตา “เป็นเจ้าหนุ่มนั่นลงมือจริงเหรอ? หายอดฝีมือมาจากไหนมากขนาดนั้น?”
ซูอวิ้นที่เป็นชายแต่งหญิงขมวดคิ้วอยู่ข้างๆ “ตอนอยู่ที่ตลาดสวรรค์เคยใช้วิธีแข็งกร้าวหลายครั้ง ตอนไปกองทัพองครักษ์ก็ใช้อำนาจยึดควบคุมเช่นกัน ศึกที่น่านฟ้าระกาติงก็ยิ่งใช้กำลังพลครึ่งธงพยัคฆ์ดันทุรังสู้กับทัพใหญ่หนึ่งล้าน นึกไม่ถึงว่าครั้งนี้ก็ใช้กำลังปะทะตรงๆ เหมือนกัน ลักษณะการทำงานของหนิวโหย่วเต๋อนี่แข็งกร้าวจริงๆ เชี่ยวชาญการใช้กำลังรบ เป็นแม่ทัพผู้ห้าวหาญบนสนามรบจริงๆ!”
“ใครเบื้องล่างจับตาดูเอาไว้” ฮ่าวเต๋อฟางกล่าว
“ค่ะ!” ซูอวิ้นเอ่ยรับ
จวนอ๋องสวรรค์ก่วง ก่วงลิ่งกงกับหวังเฟยเม่ยเหนียงกำลังเดินเล่นอยู่ในป่าภูเขา พ่อบ้านโกวเยว่ปรากฏตัวแล้วถ่ายทอดเสียงรายงาน ก่วงลิ่งกงหยุดเดินแล้วถ่ายทอดเสียงสื่อสารอย่างตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นถึงได้โบกมือให้โกวเยว่ถอยไป
เม่ยเหนียงสังเกตเห็นว่าก่วงลิ่งกงที่เมื่อครู่นี้เพิ่งพูดคุยกับนางอย่างสนุกสนานเงียบขรึมลงเยอะ จึงถามหยั่งเชิงว่า “ท่านอ๋องมีเรื่องในใจเหรอคะ?”
ก่วงลิ่งกงหันตัวมาจ้องนางครู่หนึ่ง แล้วสุดท้ายก็กล่าวช้าๆ “หนิวโหย่วเต๋อกับตระกูลอิ๋งสะสมความแค้นไว้ลึกมาก ยากที่จะจบลงด้วยดี เรื่องออกล่าที่น้ำพุวังเวงเดิมทีเป็นตระกูลอิ๋งที่วางกับดัก ตอนนี้สู้กับหนิวโหย่วเต๋อแล้ว…” เขาเล่าเรื่องที่น้ำพุวังเวงให้ฟังคร่าวๆ
เขารู้ว่าเรื่องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับหนิวโหย่วเต๋อล้มเหลวครั้งก่อนยั่วยุอารมณ์ของผู้หญิงคนนี้มาก ทำให้ผู้หญิงคนนี้มีความหวัง แต่ก็ดับความหวังของนางจนหมดสิ้น จะไม่ถือว่าโหดร้ายได้อย่างไร และครั้งนั้นก็ทำให้เขาเริ่มตระหนักอะไรได้บ้างแล้ว พิจารณาถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ถ้าตัวเองไม่อยู่แล้ว ใครจะคอยปกป้องผู้หญิงคนนี้? ลูกชายหลายคนของตนภายนอกดูเคารพผู้หญิงคนนี้ แต่ลับหลังมีใครบ้างที่ไม่อยากช่วยยกฐานะให้มารดาตัวเองเป็นฮูหยิน ถ้าลูกชายคนไหนของตนรับตำแหน่งต่อ ลูกน้องเก่าของตนก็ย่อมต้องติดตามรับใช้อ๋องคนใหม่ เกรงว่าคงไม่ต้องรอให้อ๋องคนใหม่แสดงท่าทีอะไร ก็มีคนคิดอยากจะช่วยอยู่แล้ว เมื่อถึงตอนนั้นเกรงว่าจุดจบของผู้หญิงคนนี้คงจะไม่ดีสักเท่าไร
แน่นอน เขาหวังว่าอ๋องคนใหม่จะสามารถอยู่ในตำแหน่งตัวเองได้อย่างมั่นคง รักษาเกียรติยศความรุ่งโรจน์ให้ตระกูลก่วงต่อไป แต่พอนึกว่าจะมีคนมาทำร้ายผู้หญิงของตัวเอง เขาก็ไม่อาจอดกลั้นได้เช่นกัน ถ้าผู้หญิงคนนี้ถูกกดดันจนหมดทางเลือก นางจะทำอะไรก็จินตนาการได้ไม่นาน เมื่อเดินไปถึงขั้นที่ก้าวเท้าลำบาก สิ่งที่สามารถนำมาปกป้องตัวเองได้ก็คือใช้ประโยชน์จากความสวยของตัวเอง
ทั้งยังมีลูกสาวสุดที่รักที่ยังไม่ได้แต่งงานอีก ถ้าอ๋องคนใหม่ปฏิบัติต่อมารดาของนางไม่ดี แล้วยังจะหวังให้อ๋องคนใหม่หนุนหลังลูกสาวตนในฐานะครอบครัวฝ่ายเจ้าสาวได้อีกเหรอ? หากขาดการสนับสนุนจากจวนท่านอ๋อง เกรงว่ายิ่งหน้าตาสวยก็จะยิ่งมีจุดจบที่อนาถ มีความเป็นไปได้สูงว่าจะตายโดยไม่ทราบสาเหตุ การต่อสู้ชิงไหวชิงพริบของเหล่าอนุภรรยาชนชั้นสูงก็น่ากลัวขนาดนี้ ไม่ได้ดีไปกว่าวังหลังสักเท่าไร
พอนึกว่าลูกสาวสุดที่รักของตัวเองอาจจะเดินไปถึงจุดนั้น เขาก็ค่อนข้างปวดใจ และคนที่คำนึงถึงลูกสาวตนอย่างแท้จริงก็คงจะมีเพียงมารดาของนางแล้ว คือผู้หญิงคนที่อยู่ตรงหน้านี้เอง
และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ก่วงลิ่งกงก็เริ่มคำนึงถึงอนาคตของสองแม่ลูกนอกเหนือผลประโยชน์ของตระกูลก่วงอย่างแท้จริง รู้สึกว่าต้องสนับสนุนอำนาจที่ผู้หญิงคนนี้สามารถกุมไว้ในมือได้ ไม่ถึงขั้นในอนาคตกลายเป็นเนื้อปลาบนเขียง เขากำลังพิจารณาอย่างจริงจังเช่นกัน ว่าต้องหาลูกเขยที่ในอนาคตสามารถหนุนหลังลูกสาวได้อย่างแท้จริง เป็นที่พึ่งพาให้สองแม่ลูก ไม่หวังให้มีหน้าตามีตาไร้ที่สิ้นสุด อย่างน้อยขอให้ใช้ชีวิตอย่างไม่ลำบากก็พอ แต่ลูกเขยดีๆ ที่สามารถเติมเต็มเงื่อนไขนี้หาง่ายเสียที่ไหนกัน!
ด้วยเหตุนี้เอง ตอนนี้เขาจึงเลิกจำกัดควบคุมเม่ยเหนียงแล้ว ตั้งใจให้นางสะสมกำลังของตัวเอง แต่เหมือนจะไม่ได้ผลสักเท่าไร เป็นเพราะในโลกนี้มีคนฉลาดเยอะเกินไป เรียกได้ว่ามีคนที่ชอบประจบเอาใจผู้มีอำนาจเยอะเกินไป ทุกคนต่างก็รู้ว่านายท่านที่แท้จริงในอนาคตของตระกูลก่วงคือใคร ไม่มีใครอยากมีเรื่องกับบรรดาลูกชายของเขา และก็คงไม่ดีที่เข้าจะทำกับลูกชายเกินไป ไม่อย่างนั้นเรื่องราวจะดำเนินไปในทิศทางตรงกันข้าม หากอำนาจของตระกูลก่วงตกอยู่ในมือของผู้หญิงคนนี้จริงๆ ตัวอย่างก็มีให้เห็นมากมายแล้วว่าจิตใจสตรีนั้นอำมหิตที่สุด เวลาผู้หญิงจะโหดขึ้นมาผู้ชายก็เทียบไม่ติด ในอนาคตผู้หญิงคนนี้อาจจะลงดาบกับลูกหลานเขาก็ได้ นั่นก็คือสิ่งที่เขาไม่อยากเห็นเช่นกัน สิ่งนี้ทำให้เขาคิดวนเวียน เรื่องในบ้านมักจะจัดการยากเสมอ ในนั้นปะปนด้วย ‘ความผูกพัน’ ที่ตัดขาดได้ยาก เป็นไปไม่ได้ที่จะเอาเรื่องการตัดสินใจฆ่าอย่างไม่ลังเลมาใช้กับคนในครอบครัวบ่อยๆ
ดังนั้นตอนที่เขามีเวลาว่าง จึงเกิดภาพที่เดินเล่นกับหวังเฟยเม่ยเหนียงอย่างนี้ เพราะตั้งใจจะให้พวกลูกน้องได้เห็น หวังว่าจะช่วยเพิ่มอำนาจให้หวังเฟยเม่ยเหนียงได้
เนื่องจากมีการคำนึงถึงสิ่งนี้ เขาจึงให้นางรู้เรื่องราวบางอย่างที่เกิดขึ้นในตอนนี้เช่นกัน ไม่อย่างนั้นถ้าดวงตาสองข้างมืดบอด นางก็จะไม่กล้าทำอะไรเลย ไม่อย่างนั้นถ้าเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่บอกเรื่องออกล่าที่น้ำพุวังเวงให้นางรู้
เม่ยเหนียงได้ยินข่าวแล้วตกใจ “ท่านอ๋องหมายความว่า ตระกูลโค่วก็รู้เหมือนกัน และให้ความร่วมมือกับตระกูลอิ๋งกำจัดหนิวโหย่วเต๋อด้วยงั้นเหรอ?”
ก่วงลิ่งกงยิ้มเรียบๆ “ตอนนี้ไม่เหมือนตอนนั้นแล้ว ไม่มีอะไรน่าตื่นตกใจ หรือจะให้ดึงทั้งตระกูลโค่วลงบ่อโคลนเพื่อหนิวโหย่วเต๋อคนเดียว?”
เม่ยเหนียงแสยะยิ้ม “อย่างไรเสียก็เป็นลูกเขยของตระกูลโค่ว ตระกูลโค่วนี่ช่างทำได้ลงคอ ถ้ารู้ตั้งแต่แรกแล้วจะแย่งทำไม!”
ก่วงลิ่งกงส่ายหน้า “เม่ยเหนียง เจ้าจำไว้นะ เรื่องบางเรื่องก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะมองจากมุมไหน ถ้ามองจากด้านความรู้สึก เรื่องนี้ทำใจรับได้ยากจริงๆ แต่ถ้ามองจากสถานการณ์โดยรวม การควงดาบตัดแขนตัวเองก็เป็นความกล้าหาญและความฉลาดอย่างหนึ่งเช่นกัน ถ้าไม่ตัดสิ่งที่ควรตัดก็อาจก่อหายนะได้ มีเรื่องราวมากมายที่ไม่อาจใช้อารมณ์ บางทีการพูดอย่างนี้อาจจะทำให้เจ้าไม่สบายใจ เป็นเพราะเจ้ายังไม่เดินไปอยู่จุดนั้น แต่ยามถึงเวลาที่เจ้าต้องแก้ปัญหาให้ครอบคลุมทั่วทุกด้าน เจ้าคิดว่าความเป็นความตายของคนนอกคนเดียว หรือความเป็นความตายของคนจำนวนมากสำคัญกว่ากันล่ะ? ยามเจ้าต้องเผชิญหน้ากับทางเลือกอย่างนี้ เจ้าก็ต้องจำเอาไว้ ว่าเรื่องบางประเภทไม่มีแบ่งแยกดีชั่ว และไม่เกี่ยวกับความรู้สึกด้วย บางสิ่งที่สละได้ก็ต้องสละ ไม่อย่างนั้นถ้าใช้อารมณ์ชั่ววูบทำงาน เจ้ามานึกเสียใจทีหลังก็จะไม่ทันแล้ว นั่นจะนำความเจ็บปวดมาสู่คนมากมาย จะนำความเสียหายทางด้านความรู้สึกให้คนมากกว่านั้น เข้าใจมั้ย?”
เม่ยเหนียงพยักหน้าเบาๆ เพียงแต่พอนึกว่าหนิวโหย่วเต๋อเพิ่งอยู่ระดับนี้แล้วรวบรวมกำลังได้เยอะขนาดนั้น ถ้าได้มาเป็นลูกเขยของตัวเองจะดีขนาดไหนกัน ในอนาคตจะมีใครมาแตะต้องพวกนางสองแม่ลูกได้ง่ายๆ อีก?
พอคิดแบบนี้ นางก็รู้สึกปวดใจนิดหน่อย แต่ก็รู้ว่าตัวเองเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้ว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวอย่างเสียดาย “น่าเสียดายจริงๆ”
ก่วงลิ่งรู้ถึงความคิดนาง จึงเตือนว่า “ไม่มีอะไรน่าเสียดาย ถ้าหนิวโหย่วเต๋อแต่งงานก็เม่ยเอ๋อร์ก็เหมือนกัน ต่อให้เม่ยเอ๋อร์เป็นลูกสาวแท้ๆ ของข้า เป็นลูกรักหัวแก้วหัวแหวนแล้วยังไงล่ะ? เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ข้าก็จะตัดสินใจเลือกเหมือนโค่วหลิงซวีอยู่ดี เรื่องจริงได้พิสูจน์แล้ว ว่าฝ่าบาทไม่มีทางปล่อยให้มีคนขุดฐานกำแพงของเขาโดยไม่ทำอะไร จะต้องให้อำนาจกดดันแน่นอน เขาทั้งไม่ฆ่าหนิวโหย่วเต๋อ แล้วก็ไม่ปล่อยหนิวโหย่วเต๋อไปด้วย เอาแต่กดอยู่อย่างนั้น แค่ต้องการจะทำให้ตระกูลโค่วทนทุกข์ ต้องการทำให้ตระกูลโค่วยกหินทุ่มเท้าตัวเอง ทำให้ตระกูลโค่วโวยวายอะไรไม่ได้ ใช้วิธีนี้เพื่อเตือนคนอื่น ว่าต่อไปถ้าใครกล้าทำอย่างนี้อีก ก็จะมีจุดจบอย่างนี้! ฝ่าบาทกุมอำนาจมหาศาลของใต้หล้าเอาไว้ ถ้าเมื่อไรที่ฝ่าบาทตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ก็มีทรัพยากรในมือให้ใช้เยอะเกินไป ไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของฝ่าบาทได้ ดังนั้นจึงไม่มีอะไรน่าเสียดาย เจ้าควรจะรู้สึกโชคดีที่หนิวโหย่วเต๋อไม่ได้แต่งงานกับเม่ยเอ๋อร์สิถึงจะถูก”
“เฮ้อ! เมฆลมในใต้หล้าเปลี่ยนแปลงยากคาดเดา พอไม่ระวังก็จะถูกพายุฝนฟ้าคะนองได้ หนิวโหย่วเต๋อที่เดินวนอยู่ระหว่างแผนของพวกท่านก็คงเหนื่อยมากทีเดียว” เม่ยเหนียงส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “ท่านอ๋อง ขนาดข้ายังอดไม่ได้ที่จะช่วยถามแทนหนิวโหย่วเต๋อสักหน่อย ว่าตอนนี้เขาถอนตัวทันมั้ย?”
“ถอนตัวเหรอ?” ก่วงลิ่งกงเงยหน้าหัวเราะลั่น ราวกับได้ฟังเรื่องราวที่น่าขันมาก “เขาจะถอนตัวไปไหนได้ล่ะ? ไม้เด่นเกินไพร ลมพัดหักโค่น ใครใช้ให้เขาทำตัวเด่น? ถ้าไม่แข็งแกร่งพอที่จะต้านทาน ทนการโจมตีของลมฝนหมอกหิมะแล้วเติบโตต่อไปได้ ก็ต้องโดนฟ้าผ่าจนลำต้นหัก เจ้าเคยเห็นต้นไม้สูงใหญ่ที่ไหนหดเล็กลงได้มั้ยล่ะ? เขาผูกบุญคุณความแค้นไว้มากขนาดนั้น เดินเข้ามาอยู่บนเส้นทางลมคาวฝนเลือดแล้ว ถ้าไม่เดินหน้าจนประสบความสำเร็จ ก็ต้องเดินถอยหลัง ถ้าอยากถอยก็มีคนยินดีจะปล่อยเขาไปเช่นกัน นอกจากเดินไปข้างหน้าต่อ ก็ไม่มีทางให้ถอยกลับ ทุกอย่างล้วนเป็นเขาที่หาเรื่องใส่ตัว ไปโทษคนอื่นไม่ได้!”
ขณะที่เม่ยเหนียงทอดถอนใจ จู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นได้ ถามว่า “ยอดฝีมือพวกนั้น จะเป็นตระกูลโค่วที่แอบสนับสนุนเขาหรือเปล่าคะ?”
ก่วงลิ่งกงเหล่ตามอง แล้วบอกว่า “ตระกูลโค่วอยากหลุดพ้นจากตัวภาระจะแย่ มีหรือที่จะทำเรื่องดีๆ อย่างนี้ ถ้าเผยพิรุธขึ้นมาก็ต้องมีเรื่องกับตระกูลอิ๋งอีก”
“ตระกูลโค่วอยากจะหลุดพ้นปัญหา ท่านอ๋องบอกว่าฝ่าบาทต้องการทำให้ตระกูลโค่วทนทุกข์ หรือว่าฝ่าบาทจะแอบช่วยอย่างลับๆ?”
เม่ยเหนียงเดาตามใจโดยไม่ได้อิงหลักฐานอะไรเลย เป็นคำพูดที่เรียบง่ายเหมือนหนึ่งบวกหนึ่งได้สอง ทว่ากลับทำให้ก่วงลิ่งกงตะลึงงัน เริ่มหรี่ตาด้วยแววตาวูบไหว หันหน้าช้าๆ กลับไปมองหวังเฟยเม่ยเหนียง ผลปรากฏว่าทำให้นางตกใจมาก “ท่านอ๋อง ข้าพูดอะไรผิดไปหรือเปล่าคะ?”
ก่วงลิ่งกงไม่ได้ตอบ แต่กลับพึมพำกับตัวเอง “หรือว่าประมุขชิงรู้แล้วว่าหนิวโหย่วเต๋อต้องการจะเล่นงานเจ้าเด็กตระกูลอิ๋งให้ถึงตาย?”
จวนอ๋องสวรรค์อิ๋ง ในตำหนักหลักของลานบ้านด้านใน อิ๋งจิ่วกวงเดินไปเดินมาด้วยสีหน้าขรึมเครียด “แน่ใจจะว่าเป็นหนิวโหย่วเต๋อ? เขาหายอดฝีมือมากมายขนาดนั้นมาจากไหน? คนของพวกเราจะควบคุมไหวเหรอ?”
จั่วเอ๋อร์สีหน้าแย่มาก รับมือกับหนิวโหย่วเต๋อแค่คนเดียว นางก็นับว่าเตรียมพร้อมไว้เกินกำลังแล้ว ใครจะคิดว่าอีกฝ่ายจะเล่นใหญ่กว่า ไม่น่าเชื่อว่าจะหายอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์มาเยอะขนาดนั้น? แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าพลาดขึ้นมาจริงๆ นั่นก็จะช่วยให้นางพ้นความรับผิดชอบได้ เพราะไม่ใช่ว่านางทำได้ไม่ดี แต่เป็นอีกฝ่ายที่กำลังทำให้วุ่นวายเอง
“สองพี่น้องแซ่เยี่ยนยังเหลือทางหนีทีไล่เอาไว้ อาจจะไม่แพ้ค่ะ” นางกล่าวอย่างยากลำบาก
ในขณะนี้เอง จู่ๆ อิ๋งจิ่วกวงก็หยิบระฆังดาราอันหนึ่งออกมา ไม่รู้เช่นกันว่าเป็นข่าวจากใคร เอาเป็นว่าสุดท้ายเขาก็พลันกำระฆังดาราเอาไว้ในมือ แล้วกล่าวเน้นออกมาในขณะที่สีหน้าดำมืดขึงขัง “ประมุขชิง! หรือว่าจะเป็นเจ้าจริงๆ? นี่อยากจะให้ข้าขาดลูกสิ้นหลานงั้นเหรอ? รังแกกันเกินไปแล้ว…”
บทที่ 1678 สี่อ๋องร่วมมือ
จวนอ๋องสวรรค์โค่ว สถานที่สำคัญของเรือนด้านหลัง โค่วหลิงซวี ถังเฮ่อเหนียน โค่วเจิง นี่คือสามคนที่มีอำนาจสูงสุดของตระกูลโค่ว มารวมตัวกันอยู่ในตำหนักตลอดโดยไม่ออกไปไหน เหตุการณ์ผิดปกติในการออกล่าที่น้ำพุวังเวงทำให้ทั้งสามทิ้งงานอื่นไว้ก่อนชั่วคราว ยกระดับการเฝ้าจับตาดูสถานการณ์ทางน้ำพุวังเวง
ถังเฮ่อเหนียนแทบจะอยู่ไม่ห่างจากระฆังดารา รักษาการติดต่อกับน้ำพุวังเวงไว้ตลอดเวลา
แต่ผ่านไปไม่นาน สายตาของถังเฮ่อเหนียนกับโค่วเจิงก็ไปหยุดอยู่บนตัวโค่วหลิงซวีพร้อมกัน เห็นโค่วหลิงซวีหยิบระฆังดาราออกมาเช่นกัน ทั้งสองย่อมเข้าใจ ว่าคนที่สามารถติดต่อกับโค่วหลิงซวีโดยตรงได้ ล้วนมีฐานะที่ไม่ธรรมดา ไม่รู้ว่าภายใต้สถานการณ์แบบนี้จะติดต่อใครได้
หลังจากโค่วหลิงซวีเก็บระฆังดาราเงียบๆ สีหน้าก็เยือกเย็นไม่สะทกสะท้าน เพียงก้มหน้าเท่านั้น ทำให้คนรู้สึกเงียบขรึมอึดอัดเป็นพิเศษ
ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว ทุกครั้งที่อยู่ในเวลานี้โค่วเจิงจะไม่กล้าพูดออกมาง่ายๆ รู้ว่าบิดากำลังอารมณ์ไม่ดีถึงได้เป็นอย่างนี้ กลัวว่าถ้าพูดผิดไปแล้วจะยั่วโมโหท่านพ่อ ถึงแม้โค่วหลิงซวีจะไม่ค่อยทำให้เขาโมโหง่ายๆ แต่ถ้าโมโหขึ้นมาเมื่อไร ก็จะน่ากลัวมากเช่นกัน ดังนั้นแม้จะมีคำถาม แต่ก็ยังพยายามอดกลั้นไม่เอ่ยปากถาม
ทว่าในเวลานี้มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เหมาะสมจะเอ่ยปากที่สุด โค่วเจิงเหลือบมองถังเฮ่อเหนียนเบาๆ
ถังเฮ่อเหนียนเองก็สังเกตเห็นปฏิกิริยาของโค่วหลิงซวีแล้วเช่นนั้น ตอนนี้กำลังจัดระเบียบความคิด หลังจากแน่ใจแล้วว่าตัวเองเหมาะสมจะเอ่ยถาม ถึงได้ถามหยั่งเชิงว่า “ท่านอ๋อง เกิดเรื่องอะไรขึ้นขอรับ?”
โค่วหลิงซวีกล่าวช้าๆ “จู่ๆ มียอดฝีมือมากมายขนาดนั้น อิ๋งจิ่วกวงสงสัยว่าประมุขชิงจะแอบลงมือแล้ว!”
ถังเฮ่อเหนียนกับโค่วเจิงทำสีหน้าตกตะลึงพร้อมกัน มีความเป็นไปได้จริงๆ ในใต้หล้านี้ ผู้ที่สามารถโยนยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ออกมาใช้ได้งานเยอะขนาดนี้มีไม่มาก คนทั่วไปไม่มีความกล้าที่จะลงมือกับตระกูลอิ๋งเช่นกัน ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ ก็มีความเป็นไปได้เพียงสองอย่าง หนึ่งก็คือหนิวโหย่วเต๋อแอบไปพึ่งพาประมุขชิงแล้ว ได้รับการสนับสนุนจากประมุขชิงแล้ว สองก็คือหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้พึ่งพาประมุขชิง แต่เป็นประมุขชิงที่เป็นฝ่ายยื่นมือช่วยหนิวโหย่วเต๋อเอง จุดประสงค์ในตอนนี้ก็คือไม่ให้หนิวโหย่วเต๋อตาย ต้องการทำให้ตระกูลโค่วทุกข์ทนต่อไป ที่แท้สถานการณ์ก็เป็นอย่างนี้
สองสถานการณ์นี้ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ไหน ก็ล้วนไม่ใช่เรื่องดีสำหรับตระกูลโค่ว
ที่แท้ก็เป็นสถานการณ์นี้นี่เอง โค่วเจิงเอ่ยถาม “น้องเจ็ดยังอยู่ในบ้าน หนิวโหย่วเต๋อยอมตายเพื่อน้องเจ็ดได้ คงไม่ถึงขั้นทำให้น้องเจ็ดลำบากใจหรอกกระมัง?”
ถังเฮ่อเหนียนลังเล “ประเด็นสำคัญก็คือประมุขชิงรู้ได้อย่างไรว่าหนิวโหย่วเต๋อจะลงมือกับอิ๋งหยางที่น้ำพุวังเวง? เรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อสาบานว่าจะเอาอิ๋งหยางเรียกได้ว่าเป็นความลับ ท่านอ๋องเอ่ยปากถามเองก็สิ้นเรื่องแล้ว ตระกูลที่เหลือคงไม่พูดซี้ซั้วเช่นกัน หนิวโหย่วเต๋อก็ยิ่งไม่มีทางป่าวประกาศเอง ภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่รู้เงื่อนไขเบื้องต้นนี้ ต่อให้เป็นการออกล่าที่น้ำพุวังเวงตามปกติ ก็มียอดฝีมือเข้าร่วมด้วยอยู่ดี ใครจะจินตนาการได้ล่ะว่าหนิวโหย่วเต๋อจะกล้าโจมตี แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าตระกูลอิ๋งจะวางกับดักในออกล่าที่น้ำพุวังเวง?”
โค่วหลิงซวีไม่สะทกสะท้านกับคำพูดนี้ กล่าวอย่างสุขุมต่อไปว่า “อิ๋งจิ่วกวงขอให้กำลังพลของตระกูลโค่วที่น้ำพุวังเวงไปร่วมกันโจมตีผู้ลอบจู่โจม!”
ถังเฮ่อเหนียนกับโค่วเจิงพูดไม่ออก ต่างก็เข้าใจแล้วว่าหมายความว่าอะไร ถ้าหนิวโหย่วเต๋ออยู่ในกำลังพลที่ลอบจู่โจม ก็ไม่ต่างอะไรกับการที่ตระกูลโค่วร่วมมือกับคนนอกเพื่อฆ่าคนบ้านตัวเอง
“ไม่ทราบว่าตระกูลอิ๋งยินดีจ่ายเป็นอะไร?” ถังเฮ่อเหนียนขมวดคิ้วถาม
“แค่ตำแหน่งหัวหน้าภาคตำแหน่งเดียว ต่อให้มีเพิ่มก็ไร้ประโยชน์” โค่วหลิงซวีตอบ
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบงัน
จวนอ๋องสวรรค์ฮ่าว ท่านอ๋องกับพ่อบ้านกำลังปรึกษากัน คนที่อยู่รอบบริเวณศาลานี้ถอยออกไปหมดแล้วอย่างรู้กาลเทศะ
“ตระกูลอิ๋งยินดีจ่ายเป็นอะไรคะ?” ซูอวิ้นถามคำถามเดียวกับถังเฮ่อเหนียน
คำตอบของฮ่าวเต๋อฟางก็คล้ายกับโค่วหลิงซวี “ให้พอเป็นพิธีเท่านั้น หัวหน้าภาคตำแหน่งเดียว ฝั่งพวกเรายังคุยง่ายหน่อย แต่ทางตระกูลโค่วคงจะสับสนที่สุด”
“แต่ก็ยังตอบตกลง” ซูอวิ้นพยักหน้าเบาๆ
ฮ่าวเต๋อฟางเอามือไขว้หลังทอดสายตามองไปไกล “ถ้าได้มือดีของตระกูลที่เหลือ ก็น่าจะควบคุมสถานการณ์ได้!”
จวนแม่ทัพภาคตลาดผี ในตำหนักประชุม หยางเจาชิงเรียกรวมทหารทุกคนมาประชุมในนามของเหมียวอี้ หลังจากถ่ายทอดคำสั่งแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายกันไปปฏิบัติการ
ทุกคนต่างก็ลังเลนิดหน่อย แต่ก็ยังปฏิบัติตามคำสั่ง ไม่นานในจวนแม่ทัพภาคก็เกิดเสียงอาวุธดังโช้งเช้งอยู่พักหนึ่ง คนกลุ่มหนึ่งพยายามควบคุมเสียงไม่ให้ภายนอกได้ยิน ทุกคนกำลังควงดาบและกระบี่ฟันขุดผนัง
มี ‘เส้นด้ายแขวนชีวิต’ ถูกขุดออกมาจากระหว่างคานกับเสา ถึงแม้ผลึกแร่ผสมจะทนการเคาะตีได้ แต่ก็ทนไม่ได้หากโดนตีซ้ำๆ เมื่อถูกโจมตีอย่างรุนแรงแล้ว ถึงขั้นไม่ต้องตีแรงซ้ำ คานหลักต้นนี้ก็จะถล่มลงมาแน่นอน
ไม่ใช่แค่คานกับเสาต้นนี้ แต่ยังมีผนังอีกสี่ด้าน เรียกได้ว่ากำลังสร้างห้องอันตรายที่สามารถถล่มได้ทุกเมื่อ
สวีถังหรานที่ติดตามหยางเจาชิงไปตรวจดูทั้งข้างล่างข้างบนหวาดระแวงนิด แอบถ่ายทอดเสียงถามว่า “แบบนี้หมายความว่าอะไร? ข้าว่านะเหล่าหยาง จวนแม่ทัพภาคตลาดผีมีมาตั้งแต่ก่อตั้งตำหนักสวรรค์แล้ว พวกเราล้างผลาญแบบนี้จะเหมาะสมเหรอ? ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น ถ้าวันไหนอนๆ อยู่แล้วไม่ทันระวัง มันถล่มลงมาทับพวกเราตายจะทำยังไง แบบนั้นไม่คุ้มเกินไปแล้ว”
“เป็นประสงค์ของนายท่าน พวกเราทำตามก็พอแล้ว” หยางเจาชิงตอบอบย่างขอไปที หยุดเดินแล้วหันมาบอกว่า “ทางเจ้าก็เตรียมตัวได้แล้ว พอนายท่านส่งข่าวมา ก็ให้ลงมือทันที! เหล่าสวี เรื่องนี้สำคัญมาก อย่าให้เกิดช่องโหว่อะไร ไม่อย่างนั้นนายท่านไม่อภัยเจ้าแน่”
“เจ้าวางใจการทำงานของข้าได้!” สวีถังหรานตบอกรับประกัน จากนั้นก็เดินก้าวยาวจากไป…
น้ำพุวังเวงชั้นสิบเอ็ด แดนอัสนีบาต
ด้านนอกกระโจมค่าย แสงสายฟ้าวับวาบไม่หยุด โค่วเหวินไป๋กับโค่วหู่ที่อยู่ในกระโจมค่ายได้รับข่าวจากระฆังดาราแทบจะพร้อมกัน
โค่วหู่ติดต่อเสร็จก่อน เขาเก็บระฆังดาราเงียบๆ มองโค่วเหวินไป๋ที่ยังติดต่อ สีหน้าค่อนข้างคร่ำเครียด เฝ้ารอโดยไม่พูดอะไร
หลังจากโค่วเหวินไป๋ติดต่อเสร็จแล้ว ก็บีบระฆังดาราไว้ในมือเงียบๆ สีหน้าดูค่อนข้างหดหู่
ตอนนี้โค่วหู่ถึงได้บอกว่า “เป็นการตัดสินจากฝั่งท่านอ๋อง ทางตระกูลอิ๋งก็บอกเหมือนกันว่าประมุขชิงอาจจะลงมือแล้ว”
“เมื่อครู่ท่านพ่อบอกแล้ว” โค่วเหวินไป๋กล่าวอย่างสงบนิ่ง
โค่วหู่สูดหายใจลึก แล้วจู่ๆ ก็กล่าวอย่างเคารพ “กำลังพลที่ออกล่าของตระกูลอิ๋งถูกจู่โจม ท่านอ๋องส่งข่าวให้ข้าน้อยด้วยตนเอง โจรชั่วอาละวาด บังอาจโจมตีกำลังพลของตำหนักสวรรค์ ไม่อาจปล่อยไปง่ายๆ สั่งให้ข้าน้อยเป็นแม่ทัพสูงสุด ให้นำกำลังพลที่ออกล่าไปสนับสนุนเดี๋ยวนี้ ไปโจมตีร่วมกับตระกูลอิ๋ง ต้องกำจัดโจรชั่วให้หมด!”
โค่วเหวินไป๋พยักหน้า “ข้ารู้แล้ว ท่านพ่อบอกข้าแล้ว…” จากนั้นก็กุมหมัดคารวะโค่วหู่ “ข้าน้อยยินดีเชื่อฟังคำสั่งทหารของขุนพลใหญ่!”
โค่วหู่ใช้สองมือประคองเขา แล้วอึกอึกเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง สุดท้ายก็กล่าวอออกมาอย่างยากลำบากว่า “ท่านอ๋องมีคำสั่ง ว่าศึกนี้ใครจะถอยก็ได้ แต่มีเพียงนายน้อยโค่วเหวินไป๋ที่ถอยไม่ได้ นายน้อยจะต้องออกศึกสังหารศัตรูด้วยตนเอง หากกล้าถอยเพราะขี้ขลาด โทษนี้ไม่อาจอภัย สั่งให้ข้าน้อยประหารที่กองหน้าทันที!”
โค่วเหวินไป๋ขยับลูกกระเดือด ตอบด้วยสีหน้าขื่นขม “ข้าน้อยเข้าใจแล้ว ท่านพ่อบอกแล้ว” สองมือกำหมัดแน่น
เขาเพิ่งมีวรยุทธ์ระดับบงกชรุ้ง ถ้าศึกนี้ขาดเขาไปสักคนจะตัดสินแพ้ชนะได้เหรอ? แน่นอนว่าไม่ได้ จะมีหรือไม่มีเขานั้นไม่สำคัญเลย เป็นเพราะรู้ว่าต้องลงมือกับหนิวโหย่วเต๋อแล้วทำใจรับได้ยากในด้านความรู้สึกเหรอ? แน่นอนว่าไม่ใช่
สาเหตุที่แท้จริงก็เป็นเพราะรู้ว่ามีความเป็นไปได้สูงว่าประมุขชิงใช้กำลังกับสี่อ๋องสวรรค์โดยตรง สาเหตุที่แท้จริงเป็นเพราะรู้ว่าเขาคือหลานชายคนโตของตระกูลโค่ว
ในศึกเดือดที่มีคนนับไม่ถ้วนสนามนี้ กลับมียอดฝีมือบงกชกลายกับยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์โผล่มามากมาย การที่กดดันให้นักพรตบงกชรุ้งดันทุรังลงสนามรบ นี่เป็นการบีบให้เขาไปตายแท้ๆ แต่ก็ไม่มีทางเลือก นี่ก็คือท่าทีของตระกูลโค่ว นี่คือท่าทีที่ตระกูลโค่วแสดงให้ประมุขชิงเห็น และเนท่าทีที่สี่อ๋องสวรรค์แสดงให้ประมุขชิงเห็นเช่นกัน ดังนั้นต่อให้โค่วเหวินไป๋รู้ว่าจะต้องตาย แต่ก็ต้องแข็งใจลงสนามรบ!
ถ้าตอนนี้เขากล้าถอย ในภายหลังก็จะอยู่มิสู้ตายในตระกูลโค่ว ถึงขั้นไม่ต้องรอให้ถึงในภายหลัง ก็จะมีคนเด็ดหัวเขาร่วงที่น้ำพุวังเวงแล้ว
เดิมทีเป็นเพียงการเล่นงิ้วออกล่าฉากหนึ่งเท่านั้น นึกไม่ถึงว่าจะกลายเป็นอย่างนี้ไปได้ โค่วหู่มองคนตรงหน้าพลางแอบถอนหายใจ แล้วตบบ่าเขาพร้อมยิ้มให้กำลังใจ “นายน้อยวางใจเถอะ ผู้ที่ลงมือไม่ได้มีแค่บ้านพวกเรา กำลังพลฝ่ายศัตรูมีไม่เยอะ พวกเรามีโอกาสชนะมากกว่า ข้าจะเตรียมให้ลูกน้องปกป้องนายน้อยให้ดี ไม่เป็นอะไรหรอก แต่นายน้อยก็ต้องทราบเอาไว้อย่างหนึ่งด้วย ว่าขอเพียงทนผ่านศึกนี้ไปได้ ท่านอ๋องก็จะไม่ปฏิบัติต่อนายน้อยอย่างอยุติธรรมแน่อน ถึงตอนนั้นฐานะของท่านที่ตระกูลโค่วก็แทบจะได้ ‘ป้ายคำสั่งพ้นตาย’ ครั้งหนึ่งเลย อนาคตยาวไกลไร้ที่สิ้นสุด ในภายหลังต่อให้มีคนเล่นตุกติดอะไรกับท่าน คลื่นลมก็ทำให้ท่านสั่นคลอนไม่ได้เลย”
โค่วเหวินไป๋ย่อมเข้าใจไว้สิ่งที่เรียกว่าผลประโยชน์ก็คือสิ่งตอบแทน มีเพียงต้องจ่ายออกเท่านั้น ถึงจะได้ผลตอบแทนกลับมา แต่ประเด็นสำคัญก็คือ คนเราจะต้องมีชีวิตไว้เสพสุขด้วย เขากุมหมัดขอบคุณโดยไร้เสียง
ผ่านไปไม่นาน ตามที่โค่วหู่ถ่ายทอดคำสั่ง ตระกูลโค่วก็เก็บค่ายอย่างรวดเร็ว
ร่ายอิทธิฤทธิ์แยกเมฆดำบที่มีแสงสายฟ้าวับวาบ กำลังพลกลุ่มหนึ่งหาะฝ่าท้องฟ้าเข้าไปในตาน้ำพุ
ไม่ใช่แค่กำลังพลของตระกูลโค่วเท่านั้น ที่แดนมายาของน้ำพุวังเวงชั้นสิบ ฮ่าวอวิ๋นเทียนที่อยู่ในค่ายมีสีหน้าหดหู่ ก่วงเซิ่งหน้าม่อยคอตก ทั้งสองยืนอยู่เคียงข้างกัน ต่อให้นอนฝันก็นึกไม่ถึงว่าการออกล่าที่น้ำพุวังเวงจะกลายเป็นอย่างนี้ไปได้ ไม่น่าเชื่อว่าต้องเอาชีวิตไปล้อเล่นในสนามรบที่มียอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ฆ่ากันขวักไขว่!
ฝั่งตรงข้ามนายน้อยสองท่านนี้ อูกานกับจวงจื้อเกาสอบตากันแล้วแอบถอนหายใจ รู้สึกเห็นอกเห็นใจเช่นกัน
ผ่านไปไม่นาน กำลังพลสองกลุ่มก็รวมกันเป็นทางเดียว เก็บค่ายและพุ่งขึ้นฟ้าไปแล้ว
เพียงเพราะสงสัยว่าประมุขชิงอาจจะใช้กำลังกับพวกเขา แค่เพราะสงสัยเท่านั้น ไม่ได้มีหลักฐานอ้างอิง สี่อ๋องสวรรค์กก็ร่วมมือกันทันที ยอมแลกทุกอย่างเพื่อสังหารกำลังพลที่ลอบโจมตีตระกูลอิ๋ง!
เกรงว่าหวังเฟยท่านนั้นของตระกูลก่วงก็คงนึกไม่ถึงเช่นกัน ว่าคำพูดที่ไม่ได้ตั้งใจของนางจะทำให้เกิดผลที่ตามมาอย่างนี้
น้ำพุวังเวงชั้นห้า ศึกใหญ่เข้าสู่จุดเดือดอย่างรวดเร็ว
พวกเหมียวอี้ที่ซ่อนตัวดูการต่อสู้อย่างสบายใจเรียกได้ว่าสะใจมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นคนก่อกวนให้เกิดความเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนี้ขึ้น แบบนั้นรู้สึกสะใจยิ่งกว่า ความรู้สึกยามได้นั่งตกปลาอยู่บนแท่นอย่างสงบท่ามกลางอัสนีบาตฟาดเปรี้ยงๆ ท่ามกลางทะเลที่มีคลื่นโหมซัดสาด จะไม่ใช่คำว่าสะใจมาบรรยายได้อย่างไร
หกขุนพลใหญ่ก็ยิ่งแอบบันเทิงไม่หยุด เพราะเหม็นขี้หน้าพวกตำหนักสวรรค์มานานแล้ว หาโอกาสลงมือมาตลอด ครั้งนี้ค่อนข้างน่าสนุก
“จุจุ…” ไป๋เฟิ่งหวงที่ยืนกอดอกเดาะลิ้นทุกครั้งเมื่อได้เห็นฉากต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม คาดว่าคงจะเป็นคนที่ชอบแส่เรื่องชาวบ้านเหมือนกัน ดูจนยักคิ้วหลิ่วตาแสดงอารมณ์ร่วม
เยี่ยนเป่ยหงเองก็เคยเห็นฉากต่อสู้ระหว่างยอดฝีมือมากมายขนาดนี้เป็นครั้งแรกเช่นกัน มองดูตาไม่กะพริบ
แทบจะเป็นเวลาเดียวกับตอนที่เสวี่ยอวี้โผเข้าหาเยี่ยนสุย หกขุนพลใหญ่รวมทั้งพวกเหมียวอี้ย้ายสายตาขึ้นด้านบน มองดูบนฟ้าที่สูงกว่านั้น
เงาคนที่สวมเกราะรบกระเพื่อมอยู่บนฟ้า กำลังห้าหมื่นปรากฏตัวกลางอากาศ จัดกระบวนทัพล้อมปราบอย่างรวดเร็ว ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เกือบหมื่นเปล่งแสงพร้อมกัน ลูกธนูตั้งอยู่บนสายแล้ว
ในที่สุดทางหนีทีไล่ที่สองพี่น้องแซ่เยี่ยนเตรียมไว้ก็เผยออกมาแล้ว กำลังพลห้าหมื่นและธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งหมื่นที่ซ่อนไว้เปิดตัวอย่างดุร้าย กลิ่นอายสังหารระอุ รอให้เหยื่อมาติดกับดักอยู่นานแล้ว
บทที่ 1679 สำแดงฤทธิ์แยกร่าง
“เป็นกับดักจริงๆ ด้วย ทั้งยังเป็นกับดักที่ใหญ่มาก!”
เหมียวอี้ที่ถลึงตามองพูดไม่ออกจริงๆ สงสัยก่อนหน้านี้จะประเมินอีกฝ่ายต่ำไป ตอนนี้เพิ่งจะพบว่าตระกูลอิ๋งบ้าไปแล้วจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าใช้การต่อสู้ขนาดใหญ่ขนาดนี้มารับมือกับตน อาจจะประเมินเขาหนิวโหย่วเต๋อสูงเกินไปหรือเปล่า
“ศิษย์สำนักหลัวช่าที่สังหาราบรื่นราวกับลมพัดอึ้งทันที ทัพใหญ่ดำเป็นพืดเหาะลงมาจากฟ้าแบบนั้น ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่เปล่งแสงแบบนั้น ทำให้ใจคนตึงเครียดตามไปด้วย”
พวกนางหันมองไปรอบๆ พบว่าถูกล้อมไว้หมดแล้ว!
“เยี่ยนฉงอยู่กลางอากาศ สีหน้าเย็นเยียบดุร้าย คว้าธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์คันหนึ่งมาไว้ในมือ ตั้งลูกธนูไว้บนสาย แล้วยิงออกไปอย่างฉับพลัน เริ่มตั้งแต่หัวลูกธนูแหลมคม แสงสีเขียวที่ควบแน่นสายหนึ่งหมุนวนตามแท่งของลูกธนู แล้วลุกโชนทั้งตัวธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ และแสงสีเขียวที่อยู่บนก้านของลูกธนูก็ค่อยๆ ปรากฏเงามังกรเจียวหลงตัวหนึ่ง เป็นเงาแสงที่น่าสะพรึงกลัวก่อตัวเป็นความโอ่อ่าทรงพลังกลุ่มหนึ่ง!”
เสวี่ยอวี้ที่ง้างสายธนูเล็งหัวลูกธนูแหลมคมไปทางเยี่ยนสุย เล็งไปยังผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาคนที่ลอบจู่โจม
เม่ยจีกวาดสายตามอง ทำให้เบิกตากว้างทันที ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นเจ็ด!
ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นเจ็ด! เหมียวอี้ที่มองอยู่ไกลๆ ก็ตกตะลึงเช่นกัน เหมือนว่าธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ระดับนี้ ทั้งทัพตะวันออกของตระกูลอิ๋งจะมีอยู่ไม่กี่คัน ต่อให้เป็นกองทัพองครักษ์ก็มีน้อยเช่นกัน ไม่น่าเชื่อว่าจะมาปรากฏอยู่ตรงนี้หนึ่งคัน ช่างทำให้คนตกใจจริงๆ!
เขาพอจะตระหนักได้ว่าคนคนนี้มีฐานะไม่ต่ำในตระกูลอิ๋ง ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์นี้น่าจะไม่ได้ตั้งใจนำมารับมือกับเขาโดยเฉพาะ ดีไม่ดีคนคนนี้อาจจะมีติดตัวไว้แต่เดิมแล้วก็ได้ เขาเคยได้ยินมาบ้างว่าในบรรดาองครักษ์ของจวนสี่อ๋องสวรรค์จะมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นเจ็ด หลักๆ มีไว้เพื่อรักษาความปลอดภัยให้สมาชิกครอบครัวในจวนท่านอ๋อง
พอได้ลงมือก็ใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นเจ็ดเลย จะเห็นได้ว่าผู้ที่มาก็ตระหนักได้ถึงอันตรายเช่นกัน คนของอีกฝ่ายมีไม่เยอะ แต่มียอดฝีมือเยอะเกินไป เห็นได้ชัดว่าผู้ที่มาอยากจะรัวดาบฟันเชือกเพื่อรีบแก้ไขปัญหายุ่งยาก อยากลดความกดดันให้น้อยลงก่อน
หลังจากขุนพลใหญ่หกลัทธิได้เห็นธนูคันนี้ แต่ละคนก็ตาลุกวาว ทำสีหน้าเหมือนอยากได้
“ท่านอาจารย์ ระวัง!” เม่ยจีกลับอุทานตกใจ
ปั้ง! เยี่ยนฉงคลายนิ้วทั้งห้า คันธนูและลูกธนูในมือส่งเสียงอันประดุจอัสนีบาตเก้าชั้นฟ้าทันที ปลายลูกธนูที่มีลูกกลมสีดำหมุนวนพลันยิงออกไป ลูกกลมสีดำมีกระแสไฟฟ้าล้อมรอบจางๆ พอลูกธนูดาวตกหลุดออกจากสายธนู เงามายาของลำแสงที่เคลื่อนที่รวดเร็วนั้นก็หายไปโดยที่คนมองไม่ทัน แทบจะลากยาวเป็นเส้นตรงแทงไปที่เสวี่ยอวี้
ส่วนสายธนูที่สั่นไหวเสียงดังหึ่งๆ ก็ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้อากาศที่อยู่โดยรอบกระเพื่อมขึ้นลงเป็นจังหวะตามไปด้วย
คนที่มีพลังอิทธิฤทธิ์ต่ำรอบตัวเยี่ยนฉงก็ถูกแรงดึงดูดจนโซเซเช่นกัน ยากที่จะยืนให้มั่นคงได้
ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ระดับนี้ พลังอิทธิฤทธิ์ที่คนทั่วไปกรอกใส่เข้าไปไม่อาจทำให้ง้างสายธนูได้เลย ยิ่งไม่ต้องพูดถถึงว่าจะยิงได้สักดอก ถ้าวรยุทธ์ไม่ถึงระดับบงกชกลายก็ไม่มีทางควบคุมได้เลย!
พอลูกธนูดอกนี้ยิงออกไป ก็เท่ากับเป่าแตรสัญญาณรุกโจมตีแล้ว ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งหมื่นคันยิงพร้อมกัน ในจำนวนนั้นมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นหกยี่สิบคัน ลำแสงหนึ่งหมื่นสายพลันยิงออกไปพร้อมกัน ชั่วขณะนั้นเสียงระเบิดของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ดังเป็นแถบๆ
“ลงไป!” เม่ยจีออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงร้อนใจ ทุกคนของสำนักหลัวช่ารีบพุ่งไปที่พื้นดินด้วยความเร็วสูงสุดทันที
เสวี่ยอวี้ที่โผเข้าไปหาเยี่ยนสุยพลันถลันตัวในแนวขวาง หมุดเข้าไปในดงหน่อเหล็กแล้ว นางยื่นมือไปคว้าหน่อเหล็กแหลมเพื่อหยุดชั่วคราว แล้วหันกลับมาด้วยสายตาเยียบเย็น
ลำแสงที่มีลูกกลมสีดำหมุนวนไล่ตามไปอย่างเร่งด่วน หลังจากเลี้ยวผ่านมุมแล้ว ก็ถล่มชนเสวี่ยอวี้
เยี่ยนฉงที่ถือธนูอยู่บนท้องฟ้าหนังตากระตุกทันที ตระหนักได้ถึงความไม่ชอบมาพากลแล้ว โผเข้าไปหาเสวี่ยอวี้ที่อยู่เบื้องล่างอย่างบ้าคลั่ง
เยี่ยนสุยที่เดิมทียืนนิ่งอยู่บนพื้นไม่ขยับไปไหนก็มุมปากกระตุกเช่นกัน เหมือนจะตระหนักอะไรบางอย่างได้ คว้าทวนยาวไว้ในมือ แล้วโผเข้าไปหาเสวี่ยอวี้อย่างฉับพลัน สองพี่น้องคนหนึ่งมาจากบนฟ้า คนหนึ่งงมาจากพื้น ร่วมกันโจมตี!
ขุนพลใหญ่หกลัทธิที่ดูการต่อสู้อยู่ไกลๆ พบว่าเยี่ยนฉงไม่ปกติ ไม่รู้ว่าเสวี่ยอวี้ทำอะไรไปถึงทำให้เยี่ยนฉงมีปฏิกิริยามากขนาดนี้ แต่จนใจที่บนพื้นมีสิ่งกีดขวางเยอะเกินไป เห็นการเคลื่อนไหวของเสวี่ยอวี้ไม่ชัดเลย
กลับเป็นเหมียวอี้ที่ได้เปรียบ รีบใช้ตาทิพย์สังเกตการณ์แล้ว
สองพี่น้องแซ่เยี่ยนตัดสินไม่ผิด จู่ๆ เสวี่ยอวี้ที่ห้อยอยู่บนหน่อเหล็กแหลมก็หมุนรอบหนึ่งราวกับกังหันลม สะบัดร่างตัวเองไปอยู่หลังดงหน่อเหล็กขนาดใหญ่
ปั้ง! ฟ้าดินดังสะเทือน เหล็กโลหะบนพื้นส่งเสียงดังกังวานไม่หยุด บนพื้นมีคลื่นกระแสอากาศลอยขึ้นมาชั้นหนึ่ง จากนั้นก็ถูกแรงระเบิดกลุ่มหนึ่งที่แผ่มาจากศูนย์กลางตีกระจาย
แม้แต่พวกเหมียวอี้ที่อยู่ไกลๆ ก็ยังอดไม่ได้ที่จะมองดงหน่อเหล็กด้านซ้ายและขวา ด้านบนส่งเสียงโลหะดังไม่หยุด สั่นสะเทือน!
อานุภาพมหาศาลขนาดนี้ ทำให้ตระหนักได้ทันทีว่าลูกธนูดาวตกขั้นเจ็ดนั่นยิงโดนของที่อยู่บนพื้น
ตาทิพย์จ้องเข้าไปอย่างรวดเร็ว เหมียวอี้ที่เห็นสถานการณ์ชัดเจนเรียกได้ว่าตกตะลึงไม่หยุด พบว่าสมกับเป็นยอดฝีมือที่สำนักหลัวช่าส่งมา
เสวี่ยอวี้รับมืออย่างสุขุมและถลันตัวกลางอากาศ หลบการยิงโจมตีที่รุนแรงของลูกธนูดาวตกขั้นเจ็ดไปได้
ลูกธนูดาวตกชนบนเสาเหล็กที่เหมือหน่อไม้ เสาเหล็กนี้ทนทานเหมือนวิปริตจริงๆ ขนาดถูกอานุภาพการโจมตีแข็งแกร่งขนาดนี้ ก็แค่ถูกชนจนงอเท่านั้น
หลังจากลูกธนูดาวตกชนแล้วกำลังจะกลับมา เสวี่ยอวี้ที่สะบัดตัวออกมากลับทำการแสดงได้สมบูรณ์แบบที่สุด ชั่วพริบตาที่ลูกธนูดาวตกดีดกลับมา นางก็กำลังหมุนอยู่บนหน่อเหล็กแหลมพอดี จึงยื่นมือคว้าอย่างง่ายดายราวกับเก็บของเข้ากระเป๋า ไม่น่าเชื่อว่าจะกำลูกธนูดาวตกขั้นเจ็ดเอาไว้ในมือแน่น
เมื่อขาดอานุภาพการยิงจากคันธนูและลูกธนูแล้ว ลูกธนูดาวตกขั้นเจ็ดแล้วอย่างไรล่ะ ยังจะรอดพ้นเงื้อมมือมารของเสวี่ยอวี้ได้เสียที่ไหน ไม่เพียงแค่ทำร้ายให้เสวี่ยอวี้บาดเจ็บไม่ได้ แต่ถูกเสวี่ยอวี้เก็บเอาไว้ในชั่วพริบตาเดียว
ดูเหมือนจะช้า แต่ที่จริงรับมืออย่างต่อเนื่องได้เร็วสุดๆ ทำให้เหมียวอี้มองจนทึ่ง จะไม่ให้เขาตกตะลึงได้อย่างไร
เพียงแต่ฝ่ามือแต่มือของเสวี่ยอวี้ที่จับหน่อเหล็กแหลมหมุนก็สะเทือนจนมีเลือดออกเช่นกัน เป็นเพราะอานุภาพการโจมตีหนึ่งครั้งรุนแรงเกินไป สมกับที่นางมีวรยุทธ์ระดับสำแดงฤทธิ์ ถ้าเปลี่ยนให้เหมียวอี้ยืนใกล้ขนาดนั้น ดีไม่ดีอาจจะถูกอานุภาพการโจมตีฉีกร่างแหลกไปแล้วก็ได้
ส่วนเหมียวอี้ก็เดาไม่ผิดเช่นกัน ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นเจ็ดนี้เป็นของวิเศษที่ตระกูลอิ๋งใช้เฝ้าบ้านจริงๆ เป็นอาวุธที่อิ๋งจิ่วกวงดึงมาจากทัพตะวันออก มีอานุภาพเยอะมาก ธนูทุกคันล้วนถูกตำหนักสวรรค์บันทึกไว้อย่างเข้มงวด ไม่ให้สูญหายไปง่ายๆ ถ้าตกอยู่ในมือของคนผู้ที่มีเจตนาไม่ดีแล้วนำมาลอบสังหารก็จะยุ่งยากแล้ว ผู้ที่ใช้อาวุธระดับนี้ลอบสังหารได้ ก็แสดงว่าใช้รับมือกับบุคคลสำคัญแน่นอน ต่อให้นำมาใช้ทำเรื่องเลวร้าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แน่นอน ตอนนี้พอลงมือก็ถูกอีกฝ่ายเก็บลูกธนูดาวตกไปแล้ว นี่เป็นอาวุธที่อ๋องสวรรค์มอบให้ ถ้าทำหายไปนอกจากจะแก้ตัวไม่สะดวกแล้ว ราคาก็ไม่ใช่ธรรมดาด้วย สองพี่น้องจะไม่ร้อนใจได้อย่างไร
หลังจากยิงธนูออกไปดอกหนึ่งแล้ว เยี่ยนฉงก็ตระหนักได้แล้วเช่นกันว่าใช้ผิดที่ ที่แห่งนี้มีฉากกำบังกำบังได้ดีที่สุดโดยธรรมชาติ ยากที่จะแสดงอานุภาพสูงสุดของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ได้ ถ้ายิงอีกจนเหลือแต่คันธนู เช่นนั้นก็จะบันเทิงใหญ่แล้ว
ในตอนนี้สองพี่น้องแซ่เยี่ยนต่างคนต่างถือทวนพุ่งสังหารเข้ามาที่เสวี่ยอวี้ ร่วมมือกันโจมตี
ท่ามกลางลำแสงนับหมื่นสายที่ไหลพุ่งลงมา ศิษย์สำนักหลัวช่าที่หลบไม่ทันถูกยิงจนร้องโอดครวญ
แค่การโจมตีระลอกนี้ ก็ทำให้ศิษย์ที่เสวี่ยอวี้และเม่ยจีพามาเหลือเพียงระดับบงกชกลายยี่สิบคนแล้ว ยังมีศิษย์ระดับสำแดงฤทธิ์อีกเจ็ดคนที่เหมือนทั้งสอง ส่วนที่เหลือตกลงมาตายหมดแล้ว
ยี่สิบคนนี้รีบเหาะลงพื้น อาศัยดงหน่อเหล็กบนพื้นเพื่อหลบการโจมตีจากลูกธนูดาวตก ขณะเดียวกันก็ถือโล่ต้านทาน เสียงลูกธนูดาวตกโจมตีโดนพื้นดังก้องสะเทือนฟ้าไม่หยุด
ยามเผชิญการมือโจมตีจากสองพี่น้องแซ่เยี่ยน เสวี่ยอวี้ก็สะบัดมือเหมือนโยนเหล้า ดาบทวนกระบี่ง้าว อาวุธสี่ชนิดร่อนวนเวียนรอบกาย ทั้งตัวนางราวกับดอกไม้เบ่งบานสี่กลีบ พลันกลายเป็นหนึ่งคนสี่ร่าง สี่ร่างรวมเป็นหนึ่งเดียว ราวกับเป็นพระพรหมสี่หน้า แต่ด้วยเหตุนี้เอง นางก็เผยโฉมหน้าแท้จริงที่งามหยดย้อยออกมาแล้วเช่นกัน เป็นใบหน้ารูปไข่ทั้งสี่ที่เหมือนกัน
มาถึงขั้นนี้แล้ว คนฝ่ายตัวเองเสียหายไปเยอะมาก กำลังพลของอีกฝ่ายมีเยอะเกินไป ต่อให้สามารถโจมตีฝ่ายตรงข้ามแพ้ได้ แต่ก็ห้ามกำลังพลนับหมื่นให้หลบหนีไม่ได้อยู่ดี ประมือกันนานขนาดนี้ ขอเพียงคนที่หลบหนีไปได้เล่าสถานการณ์การต่อสู้ให้เบื้องบนรู้ ฝั่งนี้ก็ปิดบังตัวตนไม่ไหวอยู่ดี ไม่สู้เตีรยมการอย่างอื่นดีกว่า
“เสวี่ยอวี้ เป็นเจ้าเหรอ ทำไมกล้าทำอย่างนี้!” เยี่ยนสุยคำรามอย่างโมโห พร้อมพุ่งทวนแทงเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ก่อนหน้านี้เขารู้สึกคุ้นตากับการต่อสู้ สงสัยนิดหน่อยว่าเป็นคนของสำนักหลัวช่า แต่ก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะสำนักหลัวช่าจะเอาความกล้าจากไหนมาลงมือกับตระกูลอิ๋ง ตอนนี้กลับพบว่าเป็นคนของสำนักหลัวช่าจริงๆ ทั้งยังเป็นศิษย์สายตรงของพุทธหน้าหยกที่นำกำลังมารุกโจมตีเองด้วย แบบนี้มีอย่างที่ไหนกัน
ดาบทวนกระบี่ง้าวโบกไปรอบๆ ทำศึกกับสองพี่น้องอย่างไม่สับสนวุ่นวายเลยสักนิด กอปรกับในมือมีอาวุธมาก กลับเข้ามาประชิดจนสองพี่น้องลนลานทำอะไรไม่ถูก นางยังมีจิตว่างมาควบคุมของวิเศษด้วย โยน ‘บงกชขาวพันใบ’ ออกมาดอกหนึ่ง
บงกชขาวพันใบเปล่งแสงยิงขึ้นไปบนฟ้า แล้วหมุนวนอยู่กลางอากาศอย่างรวดเร็ว สะบัดใบออกมาจำนวนมาก
“ยิง!” ขุนพลที่อยู่บนฟ้าบัญชาการให้ยิงธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ร้อยคันมาที่ของวิเศษชิ้นนี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าตระหนักได้ว่าของวิเศษชิ้นนี้จะสร้างปัญหา
ทว่าในขณะที่ลำแสงยิงรวมเข้ามา บงกชขาวพันใบก็พลันแยกย้าย กลายเป็นแสงเย็นนับพันอยู่กลางอากาศ แสงเย็นที่บินวนฟันสังหารไปยังกำลังพลหลายหมื่นที่ล้อมปราบ ชั่วพริบตาเดียวก็ทำให้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์โจมตีอย่างสับสนวุ่นวาย เสวี่ยอวี้เรียกได้ว่าจิตใจไม่วอกแวกจริงๆ
“ยังกล้ามาว่าข้าอีกเหรอ ข้าอยากจะถามเหมือนกันว่ามันเรื่องอะไรกันแน่ พวกเราแค่ผ่านทางมา เหตุใดพวกเจ้าถึงลงมือกะทันหัน!” เสวี่ยอวี้ตะโกนถามอย่างโมโห เรียกได้ว่ายัดข้อหากลับใส่ฝ่ายตรงข้าม ในเมื่อปิดปากไม่ได้ ก็มีแต่ต้องทำอย่างนี้แล้ว ผลักความรับผิดชอบก็แล้วกัน!
“เหลวไหล! เป็นพวกเจ้าลงมือก่อนแท้ๆ ยังกล้าโยนความผิดอีก!” เยี่ยนสุยตอบอย่างดือดดาล
“เจ้าเอาตาที่ไหนมองว่าพวกเราลงมือก่อน?”
“ข้าเห็นเองเต็มสองตา”
“คำพูดเหลวไหลเต็มปาก เอาดาบไปกินซะ!”
การโจมตีหมู่ของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์วุ่นวายทันที เม่ยจีดีดตัวขึ้นฟ้าก่อน ไม่น่าเชื่อว่าจะแยกร่างจากหนึ่งกลายเป็นสิบ กลายเป็นเม่ยจีสิบคนทะยานสังหารไปยังทัพใหญ่หลายหมื่น
ลูกศิษย์ระดับสำแดงฤทธิ์อีกห้าคนของเสวี่ยอวี้ก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน กลายเป็นห้าสิบคนทะยานขึ้นไปสังหาร
เหมียวอี้ที่ดูการต่อสู้อยู่ไกลๆ เห็นแล้วอิจฉา นี่ก็คือพลังอภินิการของนักพรตที่วรยุทธ์ถึงระดับสำแดงฤทธิ์แล้ว เพราะนี่ไม่ใช่ภาพมายา แต่เป็นการแยกร่างของจริง เป็นร่างที่มีวรยุทธ์และพลังของจริง เมื่อวรยุทธ์สูงถึงระดับหนึ่งแล้ว สามวิญญาณเจ็ดดวงจิตก็อยู่ในระดับที่สามารถปรากฏร่างแท้ นี่ก็เป็นที่มาของชื่อ ‘สำแดงฤทธิ์’
หลังจากแยกร่างแล้ว ถึงแม้พลังของแต่ละร่างจะเทียบกับรวมร่างเดียวไม่ได้ แต่พลังนี้นักพรตระดับบงกชกลายทั่วไปก็เทียบไม่ติด ยิ่งวรยุทธ์ของระดับสำแดงฤทธิ์ยิ่งสูง พลังของร่างทิพย์ก็ยิ่งแข็งแกร่งเช่นกัน
นักพรตระดับสำแดงฤทธิ์หกคนล้วนแยกร่างโจมตี ลูกศิษย์ระดับบงกชกลายที่เหลืออีกยี่สิบคนก็พุ่งขึ้นสังหารบนฟ้าเช่นกัน
แสงเย็นที่หมนุวนเต็มฟ้ารวมกันเป็นหนึ่งเดียว ก่อตัวกลายเป็น ‘บงกชขาวพันใบ’ เก็บเข้าในมือเสวี่ยอวี้อีกครั้ง ไม่เก็บไม่ได้หรอก เพราะศิษย์ในสำนักตะลุมบอนกับทัพใหญ่แล้ว อีกฝ่ายใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ไม่ได้ผลแล้ว ตัวเองก็ใช้ของวิเศษไม่ได้ผลเช่นกัน ไม่อย่างนั้นอาจทำให้คนฝ่ายตัวเองบาดเจ็บได้ การตะลุมบอนในทัพใหญ่เดิมทีก็ไม่ใช้ของวิเศษอยู่แล้ว
“ฆ่า!” แม่ทัพคนหนึ่งของตระกูลอิ๋งโบกทวนคำรามอย่างเกรี้ยวกราด ออกคำสั่งรุกโจมตีทั่วทุกด้าน
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
เสียงตะโกนฆ่าดังมืดฟ้ามัวดิน กำลังพลหลายหมื่นรวมกันพุ่งสังหารเข้ามา แต่การสู้กับร่างทิพย์หลายสิบร่างของนักพรตระดับสำแดงฤทธิ์ แค่คิดก็รู้ถึงจุดจบแล้ว โยนเชือกมัดเซียนจำนวนเชือกมัดเซียนออกไปจำนวนมากก็ไม่มีประโยชน์
มีเสียงคนร้องโอดครวญตกลงจากฟ้าไม่ขาดสาย ฝนเลือดสาดกระจาย มีคนดวงซวยไม่น้อยที่ตอนตกลงจากฟ้ายังไม่ทันตาย แต่กลับตายเพราะโดนหน่อเหล็กแหลมด้านล่างเสียบทะลุ กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งน่าเวทนา
สองพี่น้องแซ่เยี่ยนเห็นสถานการณ์แบบนี้แล้วตาแทบถลน จู่ๆ ก็แยกร่างพร้อมกัน แยกร่างกลายเป็นยี่สิบร่าง ห้าสิบร่างพุ่งขึ้นฟ้า กู้สถานการณ์ให้ทัพใหญ่ สี่ร่างล้อมโจมตีเสวี่ยอวี้ อีกร่างถลันไปด้านข้าง แล้วคว้าธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นเจ็ดออกมาอีกครั้ง
บทที่ 1680 สี่อ๋องร่วมมือ2
บึ้ม! กระแสลมที่สั่นสะท้านวิญญาณกระเพื่อมขึ้นลงอีกครั้ง
ลูกธนูดาวตกขั้นเจ็ดยิงออกมาอีกครั้ง!
ครั้งนี้เป็นการยิงเหยี่ยวบนฟ้า ไม่มีสิ่งกีดขวางเหมือนบนพื้นดินแล้ว
ลำแสงสายหนึ่งทะลุฟ้าเข้ามา ร่างทิพย์ร่างหนึ่งของเม่ยจีตกใจมาก ลนลานคว้าแม่ทัพเกราะม่วงคนหนึ่งมาขวางหน้าไว้ ขณะเดียวกันก็ใช้อีกมือช้อนโล่มาปกป้องร่างกาย
แกร๊ง! แกร๊ง!
เสียงดังครั้งแรก แม่ทัพเกราะม่วงที่ถลึงตากว้างถูกยิงทะลุไปพร้อมกับเกราะรบในชั่วพริบตาเดียว
เสียงดังครั้งที่สอง ลูกธนูดาวตกชนกับโล่ เกิดแรงระเบิดรุนแรงระหว่างแม่ทัพเกราะม่วงและเม่ยจี นักพรตรอบข้างที่วรยุทธ์อ่อนแอกระเด็นทันที “อั้ก” ร่างทิพย์ของเม่ยจีกระอักเลือดสดคำหนึ่ง โล่ที่อยู่ในมือกระเด็นออกไปในขณะที่ร่างถูกชนอย่างรุนแรง ทั้งตัวกลิ้งออกไปแล้ว
แม่ทัพเกราะม่วงที่อยู่ในศึกเลือดฉวยโอกาสแทงทวนเข้าไป แต่กลับถูกร่างทิพย์ของเม่ยจีดิ้นรนสุดชีวิตเพื่อคว้าด้ามทวนที่แทงเข้ามา ทว่าไม่รอให้นางโจมตีกลับ นักพรตบงกชทองสิบกว่าคนแทงทวนเข้ามาพร้อมกัน เสียงฉึกๆ ดังต่อเนื่องหลายครั้ง บนร่างทิพย์ของเม่ยจีมีเลือดสาดกระจาย บนร่างทิพย์ไม่ได้สวมเกราะรบ
“อ๊า!” ร่างทิพย์ของเม่ยจีร้องอย่างเศร้ารันทด ตรงมุมปากมีเลือดไหล แขนสองข้างสั่นสะเทือน พลังอิทธิฤทธิ์ที่แข็งแกร่งทะลักออกมา ทำให้ทุกคนที่สังหารเข้ามาสะเทือนจนกระเด็นออกไปแล้ว
ดาบใหญ่ด้ามหนึ่งกวาดผ่านเหนือศีรษะของกลุ่มคน นักพรตบงกชทองคนหนึ่งที่ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดฟันดาบอย่างแรงหนึ่งที ฉึด! ร่างทิพย์ของเม่ยจีถูกตัดหัวขาดกระเด็น
ร่างทิพย์ที่เหลือของเม่ยจีพากันหันมองมาทางนี้ ทุกร่างทำสีหน้าทั้งโกรธทั้งตกใจ ร่างทิพย์ของนักพรตระดับสำแดงฤทธิ์ผู้สง่าน่าเกรงขามตายด้วยน้ำมือของกลุ่มนักพรตบงกชทอง จะให้ทนความรู้สึกได้อย่างไร นี่ก็หมายความว่าหลังจากนางรวมร่างแท้อีกครั้ง พลังก็จะหายไปหนึ่งส่วนสิบ ทั้งยังส่งผลกระทบต่อด้านอื่นๆ ด้วย!
มีหรือที่เสวี่ยอวี้จะยอมให้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นเจ็ดนั่นทำสำเร็จได้อีกง่ายๆ บนร่างกายพลันเกิดเงาร่างสองร่าง นางแยกร่างเป็นสองร่างแล้ว กระโจนเข้าไปหาร่างของสองพี่น้องแซ่เยี่ยนที่กำลังถือคันธนู แล้วสู้กันอย่างดุเดือด
เมื่อสูญเสียอานุภาพของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ไปแล้ว กำลังพลของตระกูลอิ๋งก็แทบจะเข่นฆ่ากันซึ่งๆ หน้า แต่ก็ไม่มีใครถอย ยังคงพุ่งเข้าไปสังหารอย่างไม่กลัวตายเหมือนเดิม
เหมียวอี้ที่เฝ้าดูการรบก็ต้องยอมรับเช่นกัน ว่าคนพวกนี้คงจะเป็นกำลังพลระดับหัวกะทิของตระกูลอิ๋ง ต่อให้ตัดยอดฝีมือที่อยู่ในนั้นออกไป ถ้าตอนทำศึกน่านฟ้าระกาติงเขาเจอกับคนกลุ่มนี้ กำลังพลครึ่งธงพยัคฆ์จะต้องรบแพ้แน่นอน
“พวกเราควรลงสนามรบแล้วหรือยัง” จู่ๆ อ๋าวเถี่ยที่อยู่ข้างกันก็หันมาถาม ในดวงตาฉายแววเฝ้าคอย ใครความรู้สึกเหมือนอยากจะลองดู
“ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์เยอะขนาดนี้ พวกเจ้ามีความมั่นใจเหรอ?” เหมียวอี้ถาม
“ตอนที่ข้ามีชื่อเสียง พวกเขานับเป็นตัวอะไรล่ะ ข้ากลัวก็แต่ว่าถ้าข้าเผยโฉมหน้าที่แท้จริง แล้วจะทำให้พวกเขาตกใจหนีไปน่ะสิ” อ๋าวเถี่ยพูดดูถูก
คำพูดนี้ฟังดูอาจหาญ เต็มไปด้วยความมั่นใจ! เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ พลางพยักหน้า ในเมื่อมีความมั่นใจขนาดนี้ เช่นนั้นก็เตรียมตัวเริ่มเถอะ
ขณะที่เขากำลังจะออกคำสั่งให้เริ่ม จู่ๆ อ๋าวเถี่ยก็หันหน้ามา มองลอดผ่านซอกร่องด้านหลัง
ชายชราสองคนแฉลบผ่านฟ้ามาอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นอูกานกับจวงจื้อเกานั่นเอง พอมาถึงน้ำพุวังเวงชั้นห้า ทั้งสองก็ปลีกตัวออกจากกำลังพลกลุ่มใหญ่แล้ว กำลังตามมาช่วยอย่างรวดเร็ว
“พี่เยี่ยนไม่ต้องกลัว จวงมาแล้ว!”
“พี่เยี่ยน อูกานอยู่นี่แล้ว!”
เมื่อเห็นว่าทางนี้กำลังถูกสังหารจนไม่เหลือแรงโต้ตอบ กำลังพลหลายหมื่นบาดเจ็บล้มตายเกินครึ่ง สาเหตุที่สู้ตายไม่ถอยก็เพราะรู้ว่ามีกำลังสนับสนุนกำลังตามมา ตอนนี้พอได้ยินเสียงนี้ ก็เรียกได้ว่าเป็นพื้นดินแห้งแล้งเจอฤดูฝนจริงๆ สองพี่น้องแซ่เยี่ยนกระปรี้กระเปร่าทันที ตื่นเต้นดีใจไม่หยุด
“มาได้เวลาพอดีเลย!” เยี่ยนสุยตะโกนเสียงดัง
“รีบมาช่วยพวกเราอีกแรง!” เยี่ยนฉงกล่าว
จวงจื้อเกากับอูกานพุ่งมาหน้ากระบวนทัพ พอเห็นว่าคนที่สู้กับสองพี่น้องแซ่เยี่ยนคือเสวี่ยอวี้ พวกเขาก็ตกใจมาก นี่มันสถานการณ์อะไรกัน
หลังจากได้รับคำสั่งให้มาช่วยเหลือ ทางนี้ก็ออกคำสั่งให้สายลับถอนกำลังกลับไปรวมกับทัพใหญ่ทันที เพื่อที่จะนำทางทัพใหญ่ เพื่อบอกทิศทางกับทัพใหญ่ ดังนั้นจึงยังไม่รู้ว่าคนที่ตระกูลอิ๋งประมือด้วยคือคนของสำนักหลัวช่า
“เสวี่ยอวี้ พวกเจ้ากำลังทำอะไร?” อูกานเดือดดาล
เมื่อเห็นชายชราสองคนนี้ปรากฏตัว เสวี่ยอวี้ก็ตกใจมากเช่นกัน ตะโกนตอบอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ตระกูลอิ๋งลงมือสังหารคนสำนักหลัวช่า พวกเราถูกบีบให้โต้ตอบ เจ้ากำลังถามว่าข้าทำอะไรงั้นเหรอ หรือพวกเจ้าคิดจะสอดมือเข้ามายุ่ง?”
อีกด้านหนึ่ง โค่วหู่ก็ปลีกตัวจากทัพใหญ่มาถึงล่วงหน้าแล้วเช่นกัน เมื่อเห็นฉากนี้ก็ตกใจมาก ต่อให้นอนฝันก็นึกไม่ถึงว่าคนที่ตระกูลอิ๋งประมือด้วยคือสำนักหลัวช่า นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?
“เหลวไหล! อย่าไปฟังคำพูดซี้ซั้วของนาง พวกนางล้อมซุ่มไว้ล่วงหน้าแล้ว เป็นฝ่ายลอบโจมตีก่อน!” เยี่ยนสุยเดือดดาล
“พวกเจ้าสามคนยังรอะไรอยู่ หรือจะรอให้คนของพวกเราตายหมดหรือไง?” เยี่ยนฉงกล่าว
สามคนนี้ไม่สะดวกจะตัดสินใจเองจริงๆ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์โดยรวมของตำหนักสวรรค์และแดนสุขาวดี จึงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ระฆังดาราที่อยู่ในแขนเสื้อกำลังติดต่อกับภายนอก
พวกเหมียวอี้ที่แอบสังเกตการณ์หันกลับไปมองอีกครั้ง กำลังพลสองกลุ่มเหาะผ่านท้องฟ้าไปยังสนามรบอย่างรวดเร็ว เป็นตระกูลฮ่าวกับตระกูลก่วง รวมทั้งกำลังพลที่อยู่ในสายของพวกเขาด้วย นี่ยังไม่เท่าไร จนกระทั่งตอนเห็นโค่วเหวินไป๋นำทัพใหญ่หนึ่งหมื่นมาถึง สายตาของเหมียวอี้ก็เรียกได้ว่าเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบดุร้าย
จวนอ๋องสวรรค์อิ๋ง โค่วหลิงซวี โค่วเจิงและถังเฮ่อเหนียนยังไม่ออกจากตำหนัก กำลังรอข่าวจากทางน้ำพุวังเวงตลอด
โค่วหู่ส่งข่าวให้โค่วหลิงซวีโดยตรง เล่าสถานการณ์ในที่เกิดเหตุให้ฟัง ถามว่าควรจะทำอย่างไรดี
“เป็นสำนักหลัวช่า!” โค่วหลิงซวีที่นั่งอย่างสงบตกใจลุกขึ้นยืน
“อะไรนะ” โค่วเจิงกับถังเฮ่อเหนียนไม่เข้าใจ เห็นโค่วหลิงซวีเสียอาการอย่างนี้ไม่บ่อยนัก
โค่วหลิงซวีกล่าวช้าๆ ว่า “คนที่ลอบโจมตีตระกูลอิ๋งไม่ใช่ประมุขชิง แต่เป็นคนของสำนักหลัวช่าแดนสุขาวดี เสวี่ยอวี้ศิษย์ของอวี้หลัวช่านำกำลังมาด้วยตัวเอง!”
“หา!” โค่วเจิงอุทาน สีหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ ราวกับกำลังบอกว่า จะเป็นไปได้อย่างไร
ถังเฮ่อเหนียนก็ทำสีหน้างุนงงเช่นกัน กลอกตาไปมาทันที แล้วถามอย่างไม่แน่ใจว่า “วัดพระกษิติครรภ์! หรือว่าการที่หนิวโหย่วเต๋อส่งคนไปจับตาดูวัดพระกษิติครรภ์จะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้?”
เสียงเตือนนี้ทำให้โค่วหลิงซวีเข้าใจในฉับพลัน ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเหมียวอี้ดึงสำนักหลัวช่าเข้ามายุ่งด้วยได้อย่างไร แต่ก่อนหน้านี้ที่เหมียวอี้จับตาดูความเคลื่อนไหวของวัดพระกษิติครรภ์จะต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แน่นอน หลังจากมีข้อมูลในใจแล้วก็รีบตอบกลับโค่วหู่ ฆ่าไม่ละเว้น!
สาเหตุก็ไม่ได้ซับซ้อนเลย นั่นก็คือจะยอมให้คนของแดนสุขาวดีมาอาละวาดที่ตำหนักสวรรค์ง่ายๆ ได้อย่างไร มิหนำซ้ำยังมาแตะต้องสี่อ๋องสวรรค์อีก บัญชีแค้นที่ครั้งก่อนประมุขพุทธะบังคับกักตัวสี่อ๋องสวรรค์ไว้ยังไม่ได้ชำระเลย คอยหาโอกาสเหมาะระบายความโกรธแค้นนี้มาตลอด ตอนนี้สี่ตระกูลรวมตัวกันแล้วด้วย ยังมีอีกสาเหตุหนึ่ง นั่นก็คือไม่รู้ว่าเหมียวอี้อยู่ในจำนวนนั้นด้วยหรือไม่ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าทำสำเร็จโดยกำจัดตัวถ่วงไปด้วยได้ก็ยิ่งดี ทั้งยังผลักความรับผิดชอบไปให้สำนักหลัวช่าได้ด้วย
รอบนอกสนามรบ โค่วหู่ที่ได้รับคำสั่งยืนยันเก็บระฆังดารา แล้วโบกมือชี้พร้อมส่งเสียงคำรามดุจสิงโต “ฆ่า!”
ชั่วพริบตาเดียวก็กลายร่างจากหนึ่งเป็นสิบ ร่างทิพย์เก่าร่างนำโผเข้าไปก่อน ส่วนอีกหนึ่งร่างที่เหลือยืนอยู่ที่เดิมแล้วหันกลับมามองโค่วเหวินไป๋
“ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เสริมอานุภาพ ตามข้าไปสังหาร!” โค่วเหวินไป๋โบกทวนในมือ แล้วตะโกนเสียงดังอีกครั้ง “ฆ่า!” เสียสละเป็นคนแรกของทัพใหญ่ที่พุ่งออกไป
“ฆ่า!” ขนาดลูกหลานชนชั้นสูงอย่างเขายังยอมสละชีวิตสู้ตายแล้ว คนอื่นๆ ก็ไม่มีอะไรน่าบ่น “ฆ่า!”
กลุ่มคนติดตามเขาโจมตีเข้าไปราวกับกระแสน้ำ ตะโกนเสียงดังสะเทือนฟ้า นักรบสวมเกราะหลายร้อยคนถือธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เสริมอานุภาพอยู่วงนอก สายธนูถูกง้างออก เตรียมหาโอกาสยิงได้ตลอดเวลา
โค่วเหวินไป๋พุ่งเข้ามา ร่างทิพย์ของโค่วหู่ปกป้องอยู่ข้างกายเขาทันที ร่วมสังหารเข้าไปในสนามรบที่ทำศึกเลือดเคียงข้างเขา
โค่วเหวินไป๋ที่ยอมสู้ตายเหลือบมองอีกฝ่ายด้วยแววตาซาบซึ้งเป็นพิเศษ เขาย่อมรู้ว่าร่างทิพย์นี้ของโค่วหู่ตั้งใจมาปกป้องเขาโดยเฉพาะ แบบนี้ทั้งสามารถทำตามคำสั่งของอ๋องสวรรค์ให้สำเร็จ ทั้งยังพยายามรักษาความปลอดภัยให้เขาได้ด้วย
ถึงแม้โค่วหลิงซวีจะออกคำสั่งอย่างนั้น แต่โค่วหู่ก็ไม่ใช่คนโง่ ครั้งนี้ถ้าโค่วเหวินไป๋ตายอยู่ที่นี่ เขาก็จะแก้ตัวกับอ๋องสวรรค์ลำบาก คุณชายใหญ่อาจจะไม่ว่าอะไร แต่ปมในใจที่ไม่ปกป้องลูกชายเขาให้ดีจะยังคงอยู่ คาดว่าสุยฉูฉู่คงจะแค้นเขาไปทั้งชีวิต ถ้าในอนาคตคุณชายใหญ่ได้ขึ้นตำแหน่งอ๋อง สุยฉูฉู่ก็จะเป็นหวังเฟยแล้ว มีเรื่องราวมากมายที่อธิบายได้ไม่ชัดเจนแล้ว
“ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เสริมอานุภาพ ที่เหลือตามข้าไปสังหาร!” อูกานที่อยู่อีกด้านหนึ่งพลันตะโกนเสียงดัง แล้วแยกร่างเป็นสิบร่าง นำกระโจนเข้าสู้สนามรบ
“ใครขี้ขลาดก่อนลงสนามรบ ประหาร! ตามข้าไปสังหาร!” จวงจื้อเกาตะโกนอย่างขึงขัง แล้วแยกร่างสิบร่างนำทัพใหญ่สังหารเข้าไป
ตระกูลฮ่าวกับตระกูลก่วงแทบจะเลือกตัดสินใจเหมือนตระกูลโค่ว ถึงแม้โค่วหลิงซวีจะไม่ได้บอกพวกเขา แต่เรื่องบางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องปรึกษากัน บางทีพวกเขาอาจจะไม่ทำเพื่อกำจัดตัวภาระให้ตระกูลโค่ว แต่เป้าหมายอีกอย่างกลับชัดเจน
เมื่อเห็นยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์สามคนของตระกูลโค่ว ตระกูลฮ่าว ตระกูลก่วงร่วมรบ สองพี่น้องแซ่เยี่ยนก็ฮึกเหิมทันที
มีทัพใหญ่อีกหลายหมื่นเข้าร่วมรบ กำลังพลของตระกูลอิ๋งที่ดันทุรังอย่างขมขื่นมองเห็นความหวังแล้ว จึงฮึกเหิมมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที
เมื่อมียอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์มาคุมสถานการณ์ ร่างทิพย์ของเยี่ยนฉงก็ออกจากสนามรบไปก่อน แล้วตะโกนเสียงดังว่า “มือยิงธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ถอนกำลัง ไปเสริมอานุภาพร่วมกับสามฝ่าย!”
นักพรตไม่กี่พันคนที่ยังเหลือธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์รีบถอนตัวออกจากใจกลางสนามรบ ภายใต้การบัญชาการจากร่างทิพย์ของเยี่ยนฉง มือยิงธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ของตระกูลโค่ว ตระกูลฮ่าว ตระกูลก่วงร่วมวางกำลังด้วยกัน พอเห็นศิษย์สำนักหลัวช่าเผยช่องโหว่เมื่อไร ก็ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บัญชาการได้ทันที ยิงลูกธนูดาวตกหนึ่งพันพร้อมกัน
เมื่อคุมสถานการณ์ได้แล้ว มีการบัญชาการที่คล่องแคล่วราบรื่นแล้ว อานุภาพแห่งการโจมตีหมู่ก็แสดงออกมาทันที นำภัยคุกคามใหญ่หลวงมาสู่ศิษย์สำนักหลัวช่า
เสวี่ยอวี้อยากจะใช้บงกชขาวพันใบปั่นป่วนการโจมตีหมู่ของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์อีก แต่กลับดึงออกมาใช้ไม่ได้ ถูกร่างทิพย์ของสองพี่น้องแซ่เยี่ยนควบคุมไว้แล้ว
“พวกเจ้าคิดจะก่อกบฏเหรอ?” เสวี่ยอวี้ตะคอกถามด้วยความตกใจปนโมโห
บึ้ม! กระแสอากาศไร้รูปร่างกระเพื่อมขึ้นลง ลำแสงสายหนึ่งยิงออกมา ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์คนหนึ่งของสำนักหลัวช่าใช้โล่ยันแล้วพุ่งไปทางกระบวนทัพธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์อย่างบ้าคลั่ง หวังจะป่วนกระบวนทัพที่โจมตีให้วุ่นวาย ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นเจ็ดของเยี่ยนฉงออกโรงทันที โจมตีอีกฝ่ายจนกระอักเลือดกลางท้องฟ้า บาดเจ็บสาหัส จากนั้นก็มีลำแสงนับพันสายยิงเข้ามา ชั่วพริบตาเดียวก็ถูกยิงจนพรุนไปทั้งร่าง
ขอเพียงยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ของสำนักหลัวช่าพุ่งออกจากกระบวนทัพการต่อสู้ ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นเจ็ดของเยี่ยนฉงก็จะรังแกอย่างไร้ความปรานีทันที
สถานการณ์ของสำนักหลัวช่าที่เดิมทีได้เปรียบ ตอนนี้ดิ่งลงเร็วมาก
เหมียวอี้ที่ดูการต่อสู้อยู่ไกลๆ ใช้สายตาเย็นเยียบจ้องโค่วเหวินไป๋ที่กำลังดิ้นรนเข่นฆ่าอยู่ในกระบวนทัพ มุมปากค่อยๆ เผยรอยยิ้มดุร้าย แล้วถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “อ๋าวเถี่ย พวกเขามียอดฝีมือสำแดงฤทธิ์มาเยอะขนาดนี้ พวกเจ้ารับมือไหวเหรอ?”
อ๋าวเถี่ยแสยะยิ้ม “แค่โจรกบฏกลุ่มนี้น่ะเหรอ? พวกเรามีนักพรตระดับสำแดงฤทธิ์มาสิบแปดคน บงกชกลายสามร้อย ทัพใหญ่หนึ่งล้าน! ทัพใหญ่แข็งแกร่งที่ถูกเลือกมาจากหกลัทธิ ถ้าแม้แต่ฝูงอีกาพวกนี้ยังสู้ไม่ไหว ก็ไม่ต้องไปทำอะไรกินแล้ว!”
บทที่ 1681 เงยหน้าหัวเราะลั่น
มังกรเจอน้ำตื้น ทรงพลังไม่ดับสูญ!
ไป๋เฟิ่งหวงกับเยี่ยนเป่ยหงหันกลับไปมองอ๋าวเถี่ยพร้อมกัน ทั้งสองอึ้งนิดหน่อย ถูกคำพูดของอ๋าวเถี่ยทำให้ตกใจแล้ว
ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์สิบแปดคน? ระดับบงกชกลายสามร้อยคน? ทัพใหญ่หนึ่งล้าน? อยู่ไหนล่ะ? ขู่กันเฉยละมั้ง? ทั้งสองมองเขาอย่างตะลึงงัน
หลังจากค่อยๆ ขบคิดตาม ขมับของเยี่ยนเป่ยหงก็เต้นตุ้บๆ ทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งของหกลัทธิ? หกลัทธิ? หกลัทธิสมัยก่อนน่ะเหรอ?
อ๋าวเถี่ย เหมือนเขาจะเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนนะ เป็นผู้เหลือรอดของประมุขยุคก่อนใช่มั้ย?
ไป๋เฟิ่งหวงค่อยๆ เผยแววตาตกตะลึง ตอนแรกยังไม่รู้ว่าคนตรงหน้านี้เป็นใคร เหมียวอี้ไม่ได้บอก ตอนนี้ไม่รู้ว่าเหมียวอี้อยู่ในอารมณ์ไหน หลุดปากพูดคำว่า ‘อ๋าวเถี่ย’ ออกมา และคำตอบของอ๋าวเถี่ยก็ยิ่งทำให้อกสั่นขวัญแขวน พิสูจน์ชื่อของ ‘อ๋าวเถี่ย’ แล้ว
ผู้ที่เรียกขุนนางตำหนักสวรรค์ของสี่อ๋องสวรรค์ว่าโจรกบฏ ก็ไม่ต้องคิดมากแล้วว่า ‘อ๋าวเถี่ย’ เป็นใคร
ขณะที่กำลังใช้ความคิด ไป๋เฟิ่งหวงก็หลุดถามว่า “เจ้าคืออ๋าวเถี่ย ขุนพลใหญ่ของประมุขปราชญ์ลัทธิอู๋เลี่ยงเหรอ?”
“ใช่แล้วยังไง เจ้าไม่พอใจเหรอ?” อ๋าวเถี่ยมองเหยียด
ไป๋เฟิ่งหวงมองเขาศีรษะจดเท้า แล้วถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ายังไม่ตายนี่! ไม่ถูกสิ เจ้าโดนขังไว้ในแดนอเวจีไม่ใช่เหรอ? ทำไมหนีออกมาได้ล่ะ?”
อ๋าวเถี่ยขี้คร้านจะสนใจนาง ไป๋เฟิ่งหวงไม่สบอารมณ์ทันที เดาะลิ้นแล้วบอกว่า “เจ้าอารมณ์ เจ้าคิดว่าตัวเองเจ๋งมากนักเหรอ? ปีนั้นที่โดนประมุขไป๋ตีจนหนีเยี่ยวราด ไม่เห็นลำพองใจขนาดนี้เลย?”
“เจ้าว่าอะไรนะ?” อ๋าวเถี่ยถามเสียงต่ำ
ไป๋เฟิ่งหวงกอดอกกล่าวอย่างเย่อหยิ่ง “อย่านึกว่าเจ้าใส่หน้ากากแสร้งทำตัวเป็นหลานชายแล้วจะขู่กันได้นะ ถ้าข้าเผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา อีกประเดี๋ยวเจ้าคงตกใจ”
“อ๋อเหรอ!” อ๋าวเถี่ยแสยะยิ้ม “งั้นข้าก็จะตั้งตารอ!”
“พอแล้ว!” เหมียวอี้พูดตัดบท พบว่าตัวเองลืมตัวเสียอาการไปชั่วขณะ เปิดเผยตัวตนของอ๋าวเถี่ยแล้ว หลังจากไกล่เกลี่ยแล้วก็ถามอ๋าวเถี่ยต่อ “อย่าประเมินศัตรูต่ำไป ทิ้งระยะห่างหลายปีแล้ว พวกเจ้าถูกขัง ขาดแคลนทรัพยากรฝึกตน แต่พวกเขามีทรัพยากรเต็มเปี่ยม เจ้าแน่ใจเหรอว่าจะเอาชนะได้? ในเมื่อลงมือแล้ว ก็ต้องจัดการให้เรียบร้อย ข้าไม่อยากให้มีคนหนีไปได้!”
อ๋าวเถี่ยเหล่ตามองไป๋เฟิ่งหวงแวบหนึ่ง ผลปรากฏว่าไป๋เฟิ่งหวงเชิดคาง ให้ความรู้สึกเหมือนตาต่อตาฟันต่อฟัน
นี่ไม่ใช่เวลามาต่อสู้กันเองภายใน อ๋าวเถี่ยข่มไฟโกรธเอาไว้ ขี้คร้านจะคิดเล็กคิดน้อยกับนาง หันกลับมาตอบเหมียวอี้ว่า “วรยุทธ์ระดับพวกเรา ตามปกติแล้วต่อให้มีทรัพยากรเพียงพอก็ก้าวหน้าได้ยากอยู่ดี ถึงจะทิ้งระยะห่างหลายปี แต่ความแตกต่างก็ไม่ได้ทิ้งห่างกันเท่าไร พวกเขาไม่ได้เหนือกว่าได้ง่ายๆ ขนาดนั้น ท่านวางใจเถอะ ขอเพียงพวกเราลงมือ รับรองว่าพวกเขาไม่รอดสักคนแน่!”
“ดี!” เหมียวอี้กล่าวอย่างเด็ดขาด จ้องมองสนามรบที่กำลังเข่นฆ่ากันด้วยแววตาเยียบเย็น “เริ่มเก็บกวาด จัดการสายตาที่อยู่รอบๆ ให้สะอาดเกลี้ยงก่อน แล้วค่อยกำจัดทิ้งให้ข้าให้หมด ลงมือเถอะ!”
“ขอรับ!” อ๋าวเถี่ยกุมหมัดคารวะ ในดวงตาฉายแววตื่นเต้นเหมือนกระหายเลือด รีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อคนที่เหลือ แล้วมุดออกไปอย่างรวดเร็ว
ไป๋เฟิ่งหวงกับเยี่ยนเป่ยหงมองหน้ากันเลิกลั่ก ภาพที่อ๋าวเถี่ยเพิ่งกุมหมัดคารวะเมื่อครู่นี้ทำให้ทั้งสองตกใจ ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าหมอนี่จะออกคำสั่งกับอ๋าวเถี่ยได้
“เป็นไปไม่ได้! ในปีนั้นประมุขปราชญ์หกลัทธิถูกเขาบีบให้ตาย เจ้าพวกนี้ก็ถูกเขาขังไว้ในแดนอเวจีเหมือนกัน ควรจะเป็นศัตรูกันสิ ทำไมมาเชื่อฟังคำสั่งเจ้าได้ล่ะ? หรือว่าเจ้าพาพวกเขาออกมา พวกเขาถึงได้ซาบซึ้งน้ำใจเจ้า ไม่ถูกสิ เจ้าพวกนี้แต่ละคนใช้ไม้อ่อนด้วยไม่ได้ ไม่ใช้ร่างกายตอบแทนหรอก บอกมาสิ นี่มันเรื่องอะไรกัน?” ไป๋เฟิ่งหวงบ่นไม่หยุด ในแววตาเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เหมียวอี้ยืนนิ่งไม่สะทกสะท้าน ไม่ได้สนใจนางเลย ดวงตาจ้องเพียงกำลังพลตระกูลโค่วที่กำลังเข่นฆ่าอยู่ในสนามรบ ความเย็นเยือกล้ำลึกในดวงตายากจะหายไป หยิบระฆังดาราออกมาติดต่ออวิ๋นจือชิวที่ตัวอยู่กับตระกูลโค่ว
เขาบอกอวิ๋นจือชิวเพียงประโยคเดียวว่า : ถ้าตระกูลโค่วรังแกเจ้า เจ้าก็เผยภูมิหลังลัทธิมารของเจ้ามาคุมให้พวกเขาสงบได้เลย!
จากนั้นไม่ว่าอวิ๋นจือชิวจะถามอย่างกระวนกระวายอย่างไร เขาก็ไม่ตอบอีก ลักษณะท่าทางดุดันเย็นชา
หลังจากติดต่อกับขุนพลใหญ่หกลัทธิแล้ว ก็แยกย้ายกันไปหกทิศทาง ทิ้งระยะห่างอีกครั้ง
หลังจากออกจากสนามรบไปไกลแล้ว ตรงหกสถานที่ของหกทิศทาง มีทหารสวมเกราะรบปรากฏตัว กระจายตัวจากสิบเป็นร้อย จากร้อยเป็นพันจากพันเป็นหมื่น ชั่วพริบตาเดียวก็มีกำลังพลกลุ่มใหญ่ที่สวมเครื่องแบบตำหนักสวรรค์ปรากฏตัวอยู่ท่ามกลางป่าเหล็ก บนใบหน้าภายใต้เกราะหัวล้วนคลุมผ้าดำ เปิดเผยเพียงดวงตา
ตามคำสั่งที่ถ่ายทอดลงไป กำลังพลที่อยู่ในหกจุดรีบเรียงแถวหน้ากระดาน กระจายไปฝั่งซ้ายและขวาราวกับกางแขนสองข้าง ต่อหัวต่อหางกันไปเรื่อยๆ เป็นวงกว้างขนาดใหญ่ ก่อตัวเป็นรูปวงกลมขนาดใหญ่มาก
หลังจากวางกำลังเป็นรูปวงกลมสำเร็จแล้ว ก็ดันเข้าไปยังจุดศูนย์กลางอย่างรวดเร็ว ใช้วิธีเหาะขนาบกับพื้นเข้าไปท่ามกลางป่าเหล็ก ขณะเดียวกันก็สลับตำแหน่งซ้ายขวาไม่หยุด กำลังพลหนึ่งล้านทั้งหมดปล่อยพลังอิทธิฤทธิ์ออกมาครอบคลุมบริเวณกว้าง สลับตำแหน่งกันค้นหา ไม่ปล่อยผ่านไปแม้แต่ซอกมุมเดียว
มีค้างคาวขาวรัตติกาลถูกทำให้ตกใจบินออกมา ขุนพลใหญ่เกราะแดงคนหนึ่งถลันตัวขึ้นมา แสงสะท้อนคมดาบวาดผ่านหนึ่งครั้ง ค้างคาวขาวรัตติกาลทั้งหมดตัวขาดครึ่งท่อนตกลงพื้น
ไม่มีใครไปจับค้างคาวขาวรัตติกาลพวกนั้น ไม่สนด้วยว่าพวกมันจะมีราคาหรือไม่ คำสั่งทหารหนักแน่นดุจขุนเขา อย่าให้เหลือรอดชีวิต ขอเพียงยังมีชีวิตอยู่ เมื่อเห็นก็ฆ่าฟันให้หมด!
บางคนที่ดักซุ่มอยู่ในป่าถูกกำลังพลรุกคืบเข้ามาทำให้ตกใจจนเผยตัวออกมา พุ่งขึ้นฟ้าหมายจะหนีเข้าไปที่ตาน้ำพุ
พรึ่บๆๆ แม่ทัพเกราะม่วงสามคนตามเข้ามา ล้อมเขาเอาไว้ตรงกลาง
คนคนนั้นตกใจจนหยุดอยู่กลางอากาศทันที ไม่กล้าหนีอีกแล้ว หันหน้ามองซ้ายมองขวา แต่กลับพบว่าสายตาของแม่ทัพตำหนักสวรรค์สามคนนี้ดูเฉยเมยเย็นชา
“แม่ทัพทั้งสาม…” คนคนนั้นยังไม่ทันพูดจบ ข้างหลังก็มีแสงเย็นแวบผ่านแล้ว ถูกฟันบ่าในแนวเฉียงจนร่างขาดคาที่ ฝนเลือดสาดกระจาย แม้แต่กรีดร้องก็ยังไม่ทันได้กรีดร้อง ถูกเก็บศพเอาไว้ทันที ตอนนี้ยังไม่มีเวลาว่างรูดทรัพย์
แววตาชินชาเงียบเหงาแต่ละคู่ที่อยู่ในแดนอเวจีมาหลายปี ราวกับไม่มีความรู้สึกอะไรทั้งนั้น ร่างกายสวมเครื่องแบบตำหนักสวรรค์ ถืออาวุธเหาะประชิดเข้าป่าเหล็กที่มืดสลัวไร้ขอบเขต ใช้คลื่นพลังอิทธิฤทธิ์แทรกซึมเสาะหาตลอดทาง
ไม่มีใครพูดอะไร นักรบสวมเกราะหนึ่งล้านไม่ส่งเสียงสักคำ คนมากมายขนาดนี้ปฏิบัติการพร้อมกัน แต่กลับเงียบจนน่าตกใจ ประชิดเข้าไปอย่างเงียบเชียบ
แกร๊งๆๆ! แม่ทัพเกราะม่วงคนหนึ่งเหยียบลงพื้น ใช้ทวนยาวในมือเคาะรังที่เกิดจากแท่งเหล็กไขว้สลับกัน
ภายใต้หน่อเหล็กแหลมหลายต้นที่ไขว้สลับกัน มีคนคนหนึ่งโผล่ออกมา แล้วกล่าวอย่างเคารพนบนอบว่า “ท่านแม่ทัพ ข้าเป็นศิษย์สำนักหยกงาม มาออกล่าที่นี่ ไม่เคยทำเรื่องอะไรผิดกฎเลย ไม่ทราบว่าแม่ทัพเรียกมาเพราะมีอะไรจะกำชับ?”
แม่ทัพเกราะม่วงชี้ไปด้านหลังเขา เขาหันตัวไปมอง แต่จู่ๆ กลับมีบางอย่างยื่นออกมาตรงหน้าอก เขาถลึงตาก้มมอง มองหัวทวนแหลมคมที่ทะลุออกมาจากหน้าอกตัวเองจนเลือดสาด
กระทั่งหลังจากทัพใหญ่หนึ่งล้านที่กระจายตัวเป็นรูปวงกลมกลับรวมตัวกันแล้ว พวกเขาก็นำข่าวมารวมกัน ตลอดทางล้อมปราบได้นับร้อยคน
ตามที่สมาชิกมารวมตัวกัน กำลังพลที่ประชิดอยู่ท่ามกลางป่าเหล็กค่อยๆ เปลี่ยนจากรูปแบบที่กระจัดกระจายกลายเป็นรวมกลุ่มกันประชิดเข้ามา
จนป่านนี้แล้ว ต่อให้เป็นกำลังพลของสำนักหลัวช่าและสี่อ๋องสวรรค์ที่กำลังตั้งใจทำศึกเดือดกัน แต่จะไม่ให้สังเกตเห็นก็คงยาก
เงาคนของหกลัทธิปรากฎตัวอยู่บนฟ้าหกทิศทาง กำลังจ้องมองลงมาที่สนามรบตรงท้องฟ้าที่อยู่ต่ำกว่า บ้างก็มองด้วยสายตาเย็นเยียบ บ้างก็มองด้วยสายตาถากถาง บางก็อมยิ้ม บางก็กระหายเลือด ตาน้ำพุที่อยู่เหนือศีรษะราวกับดอกไม้ที่ไม่มีวันโรยรา
กำลังพลหลายหมื่นที่ทำศึกเลือด ตอนนี้กลับเหลือเพียงหมื่นกว่าคนเท่านั้น ส่วนใหญ่ที่ล้มตายไปย่อมเป็นคนของสี่อ๋องสวรรค์ แต่ภายใต้ภัยคุกคามของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นเจ็ด นักพรตระดับสำแดงฤทธิ์ของสำนักหลัวช่าเสียหายเพราะการรบเยอะที่สุด มีร่างทิพย์ของนักพรตสำแดงฤทธิ์ตายไปยี่สิบกว่าคนแล้ว สามร่างในจำนวนนั้นก็คือเสวี่ยอวี้ สำนักหลัวช่าตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบแล้ว
พอเห็นว่าทั้งหมดสวมเครื่องแบบตำหนักสวรรค์ สองฝ่ายที่สู้กันก็อึ้งไปชั่วขณะ ทางสี่อ๋องสวรรค์ยังไม่ได้รับข่าวจากกองกำลังหนุน ส่วนสำนักหลัวช่าก็ยิ่งว้าวุ่นใจ นึกเพียงว่ากองกำลังหนุนของสี่อ๋องสวรรค์มาแล้ว
มาถึงขั้นนี้แล้ว เสวี่ยอวี้รู้แล้วว่าหมดโอกาสชนะ ท่ามกลางกำลังพลตำหนักสวรรค์ที่ล้อมเข้ามาสี่ด้าน แค่แม่ทัพใหญ่เกราะแดงก็มีหนึ่งกลุ่มแล้ว
“หยุด! หยุด…” เสวี่ยอวี้ตะโกนบอกกำลังพลฝั่งสี่อ๋องสวรรค์ซ้ำๆ แต่อีกฝ่ายไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเลย ทำเอานางก็หยุดไม่ไหวเช่นกัน
ร่างทิพย์ของเยี่ยนฉงที่ทะยานขึ้นยืนบนฟ้าสูงสังเกตเห็นความไม่ชอบมาพากลแล้ว บนใบหน้าของกำลังพลตำหนักสวรรค์กลุ่มนี้โพกผ้าดำกันหมด หมายความว่าอย่างไร?
“พวกเจ้าเป็นกำลังพลฝ่ายไหน?” เยี่ยนฉงชี้พร้อมตะโกนถาม
“หึหึ…” อ๋าวเถี่ยเริ่มแสยะหัวเราะ เสียงหัวเราะดังขึ้นเรื่อยๆ
“เหอะๆ…”
“ฮ่าๆ…”
ไม่ใช่แค่อ๋าวเถี่ย แต่ราวกับถูกกระตุ้นจากเสียงหัวเราะของอ๋าวเถี่ย ขุนพลใหญ่อีกห้าคนหัวเราะตามเช่นกัน เสียงหัวเราะดังขึ้นเรื่อยๆ แต่ละคนกางแขนเงยหน้าหัวเราะลั่น หัวเราะอย่างเหิมเกริม หัวเราะได้สะใจมาก แทบจะเป็นการหัวเราะอย่างบ้าคลั่งที่เกิดจากการระบายอารมณ์
บนฟ้าที่กำลังต่อสู้กันเสียงดังโครมคราม เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะบ้าระห่ำของหกขุนพลใหญ่ หัวเราะจนทำให้คนที่กำลังเข่นฆ่ากันขนลุก
ทัพใหญ่ที่อยู่รอบด้านเริ่มทะยานขึ้นฟ้า ครอบคลุมเอาไว้สี่ด้านแปดทิศ จำนวนคนแน่นขนัด คนที่กำลังต่อสู้เห็นแล้วหวาดระแวงไม่หยุด เพราะนับดูคร่าวๆ ก็ใกล้จะครบล้านคนแล้ว
เหมียวอี้เองก็นำไป๋เฟิ่งหวงกับเยี่ยนเป่ยหงไปปรากฏตัวเช่นกัน อยู่ด้านหลังของทัพใหญ่ ลอยสังเกตการณ์อยู่บนท้องฟ้า
ดูจากสายตาของไป๋เฟิ่งหวงกับเยี่ยนเป่ยหงที่กวาดมองทัพใหญ่ไม่หยุด ก็รู้เลยว่ายังไม่หายตกตะลึง ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะได้ยินแล้วว่ามีทัพใหญ่หนึ่งล้าน แต่ตอนที่เหมียวอี้ปล่อยทัพใหญ่หนึ่งล้านออกมาจริงๆ พวกเขาก็ยังตกใจอยู่ดี
“ข้าคือเยี่ยนฉง ทหารองครักษ์ของอ๋องสวรรค์อิ๋งแห่งทัพตะวันออก พวกเจ้าเป็นกำลังพลฝ่ายไหนกันแน่?” เยี่ยนฉงตะโกนเสียงดังอีกครั้ง
เสียงหัวเราะของทั้งหกคนทยอยหายไป แล้วก้มหน้าจ้องเบื้องล่าง
ส่วนทัพใหญ่หนึ่งล้านที่อยู่โดยรอบก็ทยอยกันเก็บอาวุธเช่นกัน ท่ามกลางเสียงเกราะรบที่ดังกระทบกัน ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หลายคันถูกช้อนขึ้นมา ลูกธนูตั้งบนสายธนู ลำแสงเบ่งบาน ง้างสายเล็งไปยังทุกคนที่กำลังสู้รบกันในสนามพร้อมกัน คนที่อยู่ข้างล่างตระหนกจนใจสั่น ทั้งสองฝ่ายที่สู้รบกันถลันตัวถอยโดยจิตใต้สำนึก แยกกันแล้ว ไม่สู้กันอีกแล้ว
ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่มากขนาดนี้รวมอยู่ด้วยกัน นี่ไม่ใช่ศึกที่ทัพใหญ่ทั่วไปจะทำได้เลย เยี่ยนฉงหลุดอุทานว่า “กองทัพองครักษ์! พวกเจ้าคิดจะทำอะไร?”
โค่วเหวินไป๋มองไปรอบๆ ด้วยความงุนงง สีหน้าขาวซีด ก่อนที่จะเข่นฆ่ายังรู้สึกกลัว พอฆ่าจนตาแดงก็ไม่กลัวแล้ว ตอนนี้การเข่นฆ่าหยุดลงแล้วแท้ๆ แต่เหตุใดความรู้สึกหวาดกลัวที่เข้มข้นกลับเกิดขึ้นในใจอย่างหาเหตุผลไม่ได้
ใช่ว่าเขาจะไม่เคยเห็นกองทัพองครักษ์มาก่อน ตอนเข้าออกอุทยานหลวงเขาเห็นบ่อย แต่สายตาของคนพวกนี้แตกต่างกับสายตาของกำลังพลกองทัพองครักษ์อย่างเห็นได้ชัด ตอนที่กวาดมองไปรอบๆ ก็พบว่าในดวงตาแต่ละคู่ดูเฉยราไร้แววผิดปกติ
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร จู่ๆ โค่วเหวินไป๋ก็ราวกับประสาทหลอน ตะโกนเสียงแตกอย่างเสียสติว่า “หนี! รีบหนี! ไม่ใช่กองทัพองครักษ์! พวกเขาไม่ใช่กองทัพองครักษ์!”
เสียงตะโกนที่ทำลายความเงียบของเขาราวกับจุดประกายอะไรบางอย่าง
“ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า!”
หกคนบนท้องฟ้าที่ยืนอยู่ข้างหน้าบ้างข้างหลังบ้าง พวกเขาแทบจะออกคำสั่งที่โหดเหี้ยมไร้ความปรานีพร้อมกัน
ปั้งๆๆ…
สายธนูของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่หนาแน่นดุจพายุฝนทั้งยังเยอะจนมืดฟ้ามัวดินส่งเสียงระบิดจนทำให้คนฟังหูชา
บทที่ 1682 หนึ่งต่อสอง
ที่จริงตอนที่ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์นับไม่ถ้วนง้างสายเล็งมาทางนี้ กำลังพลของสี่อ๋องสวรรค์ก็ยังไม่เชื่อว่ากำลังพลตำหนักสวรรค์พวกนี้จะโจมตีพวกเขาจริงๆ
แต่ตอนที่ลำแสงนับไม่ถ้วนยิงออกมา กำลังพลของอ๋องสวรรค์ถึงได้กลัวแล้วจริงๆ ลนลานทำอะไรไม่ถูก
สวยงาม เป็นความงามที่ลำแสงนับไม่ถ้วนผสมผสานกัน งดงามจนทำให้วิญญาณสั่นสะท้าน แต่กำลังพลพวกนี้กลับไม่มีอารมณ์มาชื่นชม
หยิบโล่ขึ้นมาขวาง รีบเหาะลงพื้นอย่างรวดเร็ว อาศัยฉากกำบังธรรมชาติช่วยบังให้ แต่นี่ไม่ใช่ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จำนวนน้อยๆ เหมือนก่อนหน้านี้ แต่เป็นธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์นับล้านที่ยิงพร้อมกัน แถวหน้าก็ยิ่งมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นหก ถ้าไม่หลบแล้วจะทนรับไหวหรือ?
ร่างทิพย์ของนักพรตระดับสำแดงฤทธิ์รีบรวมเป็นหนึ่ง ไม่อย่างนั้นพลังของร่างทิพย์จะกินแรงมากเวลาต้านทาน ประเด็นสำคัญคือโค่วหู่ยังไม่ลืมที่จะดึงโค่วเหวินไป๋ให้ทันท่วงที เสี่ยงอันตรายท่ามกลางธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ จับเขายัดไว้ในกระเป๋าสัตว์ของตัวเอง
คำสั่งของท่านอ๋องก็ส่วนคำสั่งของท่านอ๋อง การที่สามารถถูกท่านอ๋องมองเป็นลูกน้องคนสนิทได้ เรื่องบางเรื่องถ้าไม่ทำให้ดีก็ไม่เรียกว่าเป็นลูกน้องคนสนิท
ปั้งๆๆ…
เสียงดังสะเทือนเลือนลั่นที่ดังอยู่ในป่าเหล็กด้านล่างทำให้คนหูแทบแตก คลื่นระเบิดที่รุนแรงเหนือกว่าธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นเจ็ดนั่นตั้งเยอะ ทั้งยังเป็นคลื่นระเบิดที่ม้วนกระจายอย่างไร้ระเบียบด้วย
กระแสอากาศที่รุนแรงกลุ่มนี้สร้างปัญหาที่ใหญ่มากให้นักพรตระดับสำแดงฤทธิ์ ราวกับอยู่ในศึกที่วุ่นวายของทัพใหญ่ พลังอิทธิฤทธิ์ที่โหมม้วนนี้ไม่ปกติ แม้แต่เกราะลมปราณของนักพรตระดับสำแดงฤทธิ์ก็ยังทำให้เจ้ารู้สึกปั่นป่วนได้เช่นกัน ยามอยู่ในการเข่นฆ่าของทัพใหญ่ ความโอ่อ่าทรงพลังของนักพรตระดับสูงก็ใช้งานไม่ได้เลย
หลักการนี้ก็เทียบได้กับคนตัวสูงคนหนึ่งที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำตื้นได้อย่างอิสระ แต่เมื่อไปอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ก็ทำตามใจตัวเองไม่ได้เลยจริงๆ เมื่ออยู่ท่ามกลางคลื่นที่โหมซัดสาด ต่อให้พลังของเจ้าจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่ก็ทำได้เพียงไหลไปตามกระแสน้ำ
ตอนที่ฝาธนูยิงมาถึงตัว กำลังพลส่วนใหญ่ของสี่อ๋องลงไปหลบในป่าเหล็กไม่ทันเวลา จึงถูกยิงกลางอากาศจนร่างพรุนเป็นรูตะแกรง “อา…” เสียงกรีดร้องนับไม่ถ้วนถูกเสียงเสียงดังตูมตามที่ดังก้องกลบไป
ต่อให้โชคดีอยู่ใกล้แล้วหลบเข้าป่าเหล็กด้านล่างได้ทัน แต่จนใจที่วรยุทธ์ต่ำต้อยเกินไป จึงถูกแรงระเบิดมหาศาลและเสียงดังสะเทือนจนเลือดไหลออกปากและจมูก ถูกกระแสอากาศที่ปั่นป่วนพัดม้วนออกมา ไปรวมกับศพที่ปลิวว่อนอยู่รอบๆ แล้วชนกระแทกไปทั่ว
ปรากฏการณ์ประหลาดอย่างนี้มีให้เห็นที่ชั้นห้าของน้ำพุวังเวงเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้หลบเข้าป่าเหล็กได้แต่ก็ยากที่จะรอดพ้นหายนะ ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์นับล้านยิงพร้อมกัน หลังจากโดนเล็งแม่นแล้ว ป่าเหล็กจะช่วยให้เจ้าหลบพ้นได้สักกี่ดอกเชียว? นี่เป็นการยิงโจมตีจากสี่ด้านแปดทิศโดยไร้จุดบอด ขนาดจะหลบยังไม่มีทางให้หลบเลย
แค่ยิงโจมตีไประลอกเดียวเท่านั้น นักพรตที่ระดับต่ำกว่าบงกชกลายตายเกลี้ยงในชั่วพริบตาเดียว
นักพรตบงกชกลายบางส่วนก็รอดยากเช่นกัน อย่าว่าแต่นักพรตบงกชกลาย ขนาดนักพรตระดับสำแดงฤทธิ์ก็ยังมีจุดจบที่น่าอนาถเลย
ท่ามกลางเสียงดังตูมตาม อูกานยกโล่ดันทุรังต้านการโจมตีจากธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นหกนับร้อยดอก โล่สะเทือนกลายเป็นผุยผง ต่อให้พยายามดิ้นรนป้องกันจุดสำคัญ แต่ตอนที่บนร่างกายถูกลูกธนูนับพันยิงโดน เกราะรบก็ยังระเบิดกลายเป็นผุยผงคาที่ ร่างสะเทือนจนกระอักเลือด ในขณะที่บาดเจ็บสาหัสอยู่นั้น เขาพยายามคว้าแท่งเหล็กเอาไว้ไม่ให้ถูกกระแสอากาศพัดม้วนไป แต่ยังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบสนองอะไรมาก ก็ถูกลูกธนูดาวตกอีกนับไม่ถ้วนยิงซ้ำอีกไม่ขาดสาย ลูกธนูแทงทะลุเข้าร่างกายแล้ว
อูกานถลึงตาโต นิ้วทั้งห้าคลายออก สุดท้ายก็ปล่อยมืออย่างสิ้นหวัง ร่างกายถูกกระแสอากาศที่รุนแรงพดม้วนออกไปแล้ว
เสวี่ยอวี้ที่อยู่ไม่ไกลเห็นการตายของอูกานเองกับตา นางสีหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าจะประสบกับเรื่องแบบนี้ที่น้ำพุวังเวง นอกจากจะได้สู้กับตระกูลอิ๋งโดยไม่ทราบสาเหตุแล้ว จากนั้นก็ได้สู้กับกำลังพลของสี่อ๋องอีก ตอนนี้ยังถูกทัพใหญ่ตำหนักสวรรค์ล้อมหมายเล่นงานให้ถึงตาย ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ ไม่น่าเชื่อว่าทัพใหญ่ตำหนักสวรรค์จะฆ่าแม้กระทั่งกำลังพลของสี่อ๋องสวรรค์ หรือว่าจะเป็นกองทัพองครักษ์จริงๆ? นางทั้งกลัวทั้งตกใจ ถึงขั้นรู้สึกโง่งง ท่ามกลางเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น นางไม่รู้ว่าเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่
แต่นางก็โชคดีกว่าอูกานเยอะ เข่นฆ่ามาสักพักแล้ว ค่อนข้างคุ้นเคยกับสภาพพื้นที่ เมื่อสถานการณ์ไม่ชอบมาพากล นางก็ถลันลงไปหลบในช่องว่างระหว่างเสาเหล็กหลายต้นที่ไขว้กันได้ทันเวลา เสาเหล็กที่ทนทานช่วยลดการโจมตีให้นางได้หลายส่วนมาก
คนที่หลบได้ทันเวลาไม่ได้มีแค่นางคนเดียว
ทว่าทัพใหญ่ล้อมโจมตีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ไม่ให้โอกาสนางได้พักหายใจเลย
“ฆ่า!” มีเสียงตะโกนดังขึ้น
ทัพใหญ่หนึ่งล้านรอบๆ รวมตัวเข้ามาเร็วมาก เบียดอัดพื้นที่ซ่อนตัวของพวกเขาอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ใช้กำลังปะทะกับพวกเขาโดยตรง ง้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ประชิดเข้ามา
คนเป็นที่อยู่ท่ามกลางกระแสอากาศที่เริ่มอ่อนลง ยังไม่ทันได้ยืนให้มั่นคง ก็ถูกแสงดาบที่ไขว้กันเข้ามาอย่างรวดเร็วเหมือนตาข่ายฟันศีรษะแล้ว แม้แต่ศพก็ไม่ปล่อยไปเช่นกัน ถูกดาบฟันซ้ำร่างแล้วร่างเล่า ศีรษะถูกฟันกระเด็นอย่างต่อเนื่อง แม้แต่ศพบนพื้นก็ไม่ละเว้น เมื่อแสงเย็นแวบผ่าน ศีรษะกับร่างกายที่อยู่คนละที่กันถึงได้นับว่าถึงจุดจบ เรียกได้ว่าเก็บกวาดจนหมดเกลี้ยง!
เสวี่ยอวี้รีบเรียกบงกชขาวพันใบออกมา หมายจะเล่นวิธีการเดิม
ดาบของแม่ทัพใหญ่เกราะแดงคนหนึ่งชี้ไป ลูกธนูดาวตกนับพันยิงออกมาทันที บึ้ม! บงกชขาวพันใบเพิ่งจะขยายใหญ่ขึ้น แต่ก็ถูกยิงจนระเบิดเป็นฝุ่นผงทันที
อานุภาพของลูกธนูดาวตกที่โจมตีรวมกันไม่ได้ธรรมดาขนาดนั้น คนพวกนี้ถูกธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ข่มเหงอยู่ในแดนอเวจีมาหลายปี จึงรู้ถึงอานุภาพของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ดีเกินไป เข้าใจธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์อย่างลึกซึ้งเป็นพิเศษ
ยอดฝีมือของสี่อ๋องที่หลบอยู่ มีใครบ้างที่ไม่พกของวิเศษหลายชิ้น ทั้งที่รู้อยู่แจ่มชัดว่าของวิเศษพวกนี้ไม่ค่อยมีประโยชน์ยามต่อสู้ในทัพใหญ่ แต่กลับโยนออกมาใช้ไม่ขาดสาย และถูกลูกธนูดาวตกยิงจนระเบิดอย่างต่อเนื่อง
ต่อให้ไม่มีลูกธนูดาวตก แต่เผชิญหน้ากับกำลังพลมากขนาดนี้ มียอดฝีมือเยอะขนาดนี้ แล้วจะต้านทานได้สักแค่ไหนเชียว? ไม่มีประโยชน์เลย
เฟี้ยวๆๆ! ทันใดนั้นลูกธนูดาวตกที่หนาแน่นเหมือนพายุฝนก็ยิงไปหาจวงจื้อเกาที่อยู่ใต้ดงเสาเหล็ก ข้างในเกิดเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น โลหะระเบิดเป็นผุยผง
ตามติดด้วยคนหลายสิบคนที่พุ่งเข้าไป ทวนยาวแทงเข้าไปในซอกร่องของเสาเหล็กอย่างไม่ปรานี เกิดเสียงดังฉึกๆ ราวกับแทงหนังฟอกพักหนึ่ง
สุดท้าย แม่ทัพเกราะม่วงคนหนึ่งก็ปาดทวนสอยร่างของจวงจื้อเกาที่ยังดิ้นทุรนทุรายขึ้นมา เลือดสดไกลหยดเต็มตัว แม่ทัพเกราะม่วงอีกคนกระโจนพรวดเข้ามา แสงสะท้อนคมดายสายหนึ่งแวบผ่าน ฟันศีรษะของจวงจื้อเกาขาดแล้ว
เบื้องบนมีความคำสั่ง : มีแต่ตายไม่มีรอด ขอเพียงยังมีชีวิตอยู่ เห็นแล้วฆ่าให้หมด!
ตามการล้อมกวาดล้างที่รวดเร็วของทัพใหญ่ ยอดฝีมือแต่ละคนที่ซ่อนตัวอยู่ถูดตัดศีรษะเร็วมาก
บึ้ม! กระแสอากาศที่รุนแรงสายหนึ่งระเบิดออก ลูกธนูดาวตกขั้นเจ็ดในป่าเหล็กโผล่มาอีกครั้ง ยิงอย่างบ้าคลั่งไปทางทัพใหญ่ที่ประชิดเข้ามา
เสียงดังสะเทือนเลือนลั่น ราวกับฝ่าน้ำตัดคลื่น ลูกธนูดาวตกโจมตีจนกำลังพลม้วนกลิ้งเป็นกอง
สองพี่น้องแซ่เยี่ยนฉวยโอกาสทะยานฟ้าสังหารออกมา เยี่ยนสุยถือโล่คู่บังข้างกาย บึ้ม! เยี่ยนฉงง้างสายธนูยิงธนูดอกที่สองขึ้นฟ้าอีกครั้ง สองพี่น้องเรียกได้ว่ากำลังดิ้นรนจากความตาย
ตานฉิงที่กลายเป็นลำแสงแวววาวสายหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้า
ชั่วพริบตาเดียวก็มีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เป็นกองเล็งไปยังสองพี่น้องแซ่เยี่ยน ใครจะคิดว่าตานฉิงจะตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดว่า “หยุดมือ!” หยุดยั้งสายธนูที่ง้างออก
เหมียวอี้ที่อยู่นอกสถานการณ์สู้รบตกใจทันที เจ้าเวรนี่คิดจะทำอะไร อย่าบอกนะว่าไม่รู้ถึงความร้ายกาจของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นเจ็ด!
ขณะที่เห็นตานฉิงตะโกนเสียงดัง ค้อนเหล็กใหญ่สองด้ามก็อยู่ในมือ เขาไม่หลบหลีกไปไหนทั้งนั้น หลบไม่ไหวแล้วจริงๆ ลูกธนูดาวตกสามารถเลี้ยวไล่สังหารได้ แต่เขาควงแขนขว้างค้อนเหล็กใหญ่ด้ามหนึ่งออกไป ทุบถล่มไปยังลำแสงที่ยิงเข้ามา
แกร๊ง! ลูกธนูดาวตกปรากฏร่าง ปักอยู่บนค้อนเหล็กใหญ่อย่างแรง ทำให้ค้อนเหล็กใหญ่กระเด็นออกไปแล้ว บนค้อนเหล็กใหญ่ปรากฏช่องโหว่ ลูกธนูดาวตกไม่เปลี่ยนทิศทาง แต่ความเร็วลดลง ยังคงเฉียงไปตรงหน้าตานฉิงเหมือนเดิม
ปั้ง! พอค้อนเหล็กใหญ่ในมืออีกข้างของตานฉิงโบกเข้ามา ก็ทำให้ลูกธนูดาวตกขั้นเจ็ดที่ยิงเข้ามาตรงหน้ากระเด็นออกไปแล้ว ส่วนตัวเขาก็หมุนต้านแรงอยู่ภายใต้แรงระเบิด คนยังไม่ทันหยุดนิ่ง ก็ทำราวกับว่าตัวเองไม่เป็นอะไร ควงค้อนสังหารไปยังสองพี่น้องแซ่เยี่ยนที่พุ่งเข้ามาแล้ว ราวกับไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากลูกธนูดาวตกขั้นเจ็ดเลย
เหมียวอี้กระตุกมุมปาก พลังโจมตีอันร้ายกาจขนาดนี้ของลูกธนูดาวตกขั้นเจ็ด ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกตานฉิงแก้ไขได้อย่างง่ายดายขนาดนี้?
เขาจะไปรู้ได้อย่างไรว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ตานฉิงเผชิญหน้ากับลูกธนูดาวตกขั้นเจ็ด
แม่ทัพใหญ่เกราะแดงคนหนึ่งที่อยู่ข้างล่างคว้าค้อนเหล็กใหญ่ที่ตกลงมา แล้วสะบัดขึ้นไปข้างบนอีกครั้ง
ท่ามกลางสายตาจำนวนมาก สองพี่น้องแซ่เยี่ยนที่อยู่บนฟ้า คนหนึ่งถือทวนยาว คนหนึ่งถือดาบยาว คนหนึ่งอยู่หน้าคนหนึ่งอยู่หลัง ร่วมมือกันสังหารออกมา ชั่วพริบตาเดียวก็ปะทะกับตานฉิงแล้ว
เยี่ยนฉงสังหารอยู่ข้างหน้าควงดาบฟันอย่างบ้าคลั่ง คมดาบเปลี่ยนแปลงหลายกระบวนท่า
ทันใดนั้นร่างกายของตานฉิงก็เปลี่ยนแปลงกลับกลอก ทั้งตัวหมุนวนอย่างรวดเร็ว ควงค้อนทุบอย่างบ้าระห่ำ ค้อนพายุหมุนไม่สนใจว่าคมดาบขอเจ้าจะเปลี่ยนแปลงกี่ท่า ถ้าเจ้าฟันข้าหนึ่งดาบ ขณะเดียวกันข้าก็จะทุบเจ้าหนึ่งค้อน กดดันจนเยี่ยนฉงจำเป็นต้องใช้ดาบรับมือกับค้อนใหญ่
แกร๊ง! ดาบใหญ่โดนชนจนเอียง แต่ตานฉิงกลับหมุนไม่หยุด ค้อนใหญ่ควงหนึ่งรอบ พอรอบที่สองค้อนก็มาถึงตรงหน้าเยี่ยนฉงในชั่วพริบตาเดียว
เยี่ยนฉงถลึงตาด้วยความตกใจ นึกไม่ถึงว่าจะเจอกับวิธีการต่อสู้ที่ร้ายกาจถึงตายแบบนี้ แต่ค้อนกับวิธีการต่อสู้แบบนี้เหมือนเขาเคยเห็นที่ไหนมาก่อน อยากจะหลบก็หลบไม่ทันแล้ว
แกร๊ง! เยี่ยนฉงที่ถูกค้อนทุบกระเด็นเลือดสาด เพียงชั่วพบหน้ากันก็ถูกตานฉิงทุบกระเด็นแล้ว ในขณะที่สาหัสเลอะเลือนก็ถูกคนข้างล่างพุ่งเข้ามารัวดาบฟันจนสิ้นชีพ
เยี่ยนสุยที่ตามเข้ามาเข้ามาดูแลเยี่ยนฉงไม่ทัน แทงทวนเข้าไปหนึ่งครั้งอย่างแรง
ตานฉิงไม่หลบไปไหน ยังคงใช้วิธีการต่อสู้ที่ไม่กลัวตายแบบนั้น ควงค้อนพายุหมุนอย่างรวดเร็ว
เมื่อมีบทเรียนจากเยี่ยนฉงแล้ว เยี่ยนสุยกลับไม่ตกหลุมพรางนี้ แต่ถึงอย่างไรก็หนีไม่พ้น จึงยอมแลกทุกอย่างแล้ว ไม่เชื่อหรอกว่าคนที่ชนะแน่นอนอย่างเจ้าจะเดิมพันชีวิตกับข้า
ใครจะคิดว่าตานฉิงก็ไม่หลบหลีกจริงๆ ปล่อยให้เกราะรบตรงส่วนท้องถูกโจมตีอย่างแรง “ฉึก” ขณะที่มีเลือดไหลออกมา เขาก็อาศัยโอกาสตอนที่ทวนยาวแทงตัวเองคว้าด้ามทวนเอาไว้ ค้อนใหญ่หลุดจากมือ ถล่มไปที่ร่างกายท่อนบนของเยี่ยนสุยราวกับอัสนีบาตฟาดใส่
ค้อนมีขนาดใหญ่เกินไป ทั้งยังอยู่ในระยะที่ใกล้ขนาดนี้ เยี่ยนสุยไม่มีทางหลบได้ รีบปล่อยมือจากทวน ใช้ฝ่ามือสองข้างดันออกมา ถล่มค้อนใหญ่ที่ทุบเข้ามา
บึ้ม! ค้อนถูกเขาผลักจนกระเด็นเบี่ยงไป แต่แขนสองข้างกลับสะเทือนจนกระดูดหัก กระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง
ใครจะคิดว่าเงาค้อนใหญ่เพิ่งจะกระเด็นออกไป แต่ก็มีค้อนใหญ่อีกด้ามทุบเข้ามาอีกแล้ว
ตานฉิงใช้มือคว้าค้อนใหญ่ที่ลูกน้องโยนกลับมาให้ แล้วหมุนตัวใช้แขนข้างเดียวควงค้อนทุบจากบนลงล่าง
แกร๊ง! ค้อนทุบโดนเกราะหัวของเยี่ยนสุยพอดี เกราะหัวโดนทุบแบน ศีรษะที่อยู่ใต้เกราะหัวถูกทุบจนเลือดสดระเบิดออกมา เศษเลือดเศษเนื้อร่วงบนพื้น
เหมียวอี้ที่ดูอยู่ข้างนอกพูดไม่ออกแล้วจริงๆ นี่มันคนอะไรกัน ช่างไม่กลัวตายจริงๆ ชั่วพริบตาเดียวก็กำจัดนอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ไปแล้วสองคน ดูง่ายอย่างกับอะไรดี
“ช่างสมกับเป็นลูกผู้ชาย!” เยี่ยนเป่ยหงพึมพำ มองจนตาลุกวาว เลือดร้อนในกายเดือดพล่านๆ เคยเห็นคนโหดมาก่อน แต่ไม่เคยเห็นใครโหดขนาดนี้เลย!
ตอนนี้ตานฉิงที่หมุนตัวอยู่กลางอากาศถึงได้คว้าทวนยาวที่หัวทวนแทงทะลุเกราะรบเข้าท้องไปแล้วครึ่งหนึ่ง จากนั้นก็ดึงทิ้งจนะเลือดสาด แล้วคว้าค้อนด้ามดึงที่ข้างล่างโยนกลับมาอีกครั้งอย่างสบายมือ แกร๊ง! แขนสองข้างควงค้อนตีกันหนึ่งที เสียงดังสะเทือนฟ้า แล้วเงยหน้าหัวเราะลั่น ไม่สนใจใยดีอาการบาดเจ็บของตัวเองเลยสักนิด
“เยี่ยม!” ทัพใหญ่ข้างล่างพลันส่งเสียงให้กำลังใจราวกับเสียงระลอกคลื่น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น