คัมภีร์วิถีเซียน 1677-1678

 ตอนที่ 1677 ชนเผ่าต่างๆ

 

เมื่อได้ยินชายร่างใหญ่แสดงความคิดเห็นไม่ได้ทำให้เขาผิดหวัง สายตาของหลิวสุ่ยเอ๋อร์ก็อ่อนโยนขึ้นหลายส่วน ในเวลาเดียวกันก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบช้าว่า


“ในเมื่อสหายสือคิดเรื่องนี้ได้แล้ว เราสามคนก็มาช่วยกันข้ามป่าอสูรลับกันเถิด เชื่อว่าหากพวกเราร่วมมือกัน จะต้องปลอดภัยแน่”


“หึๆ หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นกระมัง” สือคุนเอ่ยด้วยเสียงหัวเราะต่ำๆ


ดังนั้นหลังจากที่ทั้งสามคนปรึกษากันอีกพักใหญ่ ก็เปลี่ยนทิศทางบินไปตามขอบมหาสมุทร


ชั่วพริบตาที่นี่ก็ว่างเปล่า ไม่มีเงาผู้ใดอีก


แต่ในยามที่หานลี่และพวกออกไปได้ไม่นาน บนผิวน้ำไกลออกไปพลันมีลำแสงหลีกหนีเปล่งแสงสว่างวาบ สายรุ้งสีแดงเหลืองอีกสองสายเปล่งแสงสว่างวาบแล้วปรากฏขึ้น พลางเปล่งแสงกะพริบวาบๆ มาถึงชายฝั่ง


ลำแสงหลีกหนีหม่นแสงลง ชนต่างเผ่าสวมอาภรณ์แตกต่างกันสองคนก็ปรากฏตัวขึ้น


ทั้งสองคนมีหน้าตาเป็นเอกลักษณ์


คนหนึ่งทั้งอ้วนและเตี้ย แต่ก็สวมเกราะสงครามประหลาดเอาไว้ เป็นสีดำสนิท แทบจะปกปิดศีรษะกว่าครึ่งของพวกเขาเอาไว้


อีกคนกลับทั้งสูงและผอม ร่างกายผ่ายผอมราวกับซากแห้ง แต่ก็สวมชุดคลุมตัวโคล่ง เผยท่าทางแปลกประหลาดเป็นอย่างมากออกมาเช่นกัน


ทั้งสองคนคือคนของเมฆาสวรรค์ที่ยังอยู่ที่นี่ไม่ไปไหนหลังจากที่หานลี่และพวกจากไป


แต่เมื่อทั้งสองคนปรากฏกาย รอบกายก็เต็มไปด้วยฝุ่นควัน ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าดูไม่ได้


ชนต่างเผ่าตัวอ้วนเตี้ยแม้กระทั่งมีเหงื่อผุดขึ้นมาบนใบหน้า ยังคงเอ่ยอย่างอืดอาด


“ช่างโชคร้ายเสียจริง คาดไม่ถึงว่าจะพบกับอสูรโบราณสองตัว หากไม่ใช่เพราะพวกมันกำลังต่อสู้กัน พวกเราคงยากจะหลบเลี่ยง แต่เช่นนั้นถูกอานุภาพจากการต่อสู้ของพวกมันทำให้เกิดระลอกคลื่น ก็ต้องทำให้สมบัติอาคมของพวกเราระเบิดตัวเองถึงจะหนีออกมาได้”


ชนต่างเผ่าตัวอ้วนเตี้ยพูดภาษามนุษย์ ท่าทีเจ็บปวดมาก


“หึ หนีเอาชีวิตรอดมาจากอสูรโบราณสองตัวได้ ก็นับว่าพวกเราโชคดียิ่งแล้ว ทว่ามหาสมุทรแห่งนี้แปลกประหลาดจริงๆ พวกเราไม่เพียงถูกหมอกประหลาดในผิวน้ำกักเอาไว้สิบกว่าวัน พอบินออกมาก็มาพบกับอสูรโบราณสองตัวอีก” ชนต่างเผ่าร่างกายสูงผอม เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“โชคดีที่พวกเราบินออกมาจากน่านน้ำแห่งนี้ได้แล้ว เทือกเขาตรงหน้าน่าจะปลอดภัยหน่อยสินะ” ชนต่างเผ่าร่างกายอ้วนเตี้ยเลื่อนสายตาไปมองเทือกเขาตรงหน้าแวบหนึ่ง พลางเอ่ยอย่างไม่มั่นใจนัก


“จานกำหนดตำแหน่งใช้การไม่ได้เมื่ออยู่ในมหาสมุทร ยามนี้น่าจะได้นำออกมาใช้อีกครั้ง ดูว่าจะหาตำแหน่งของพวกเราเจอหรือไม่” ชนต่างเผ่าร่างกายผอมสูงเอ่ยอย่างครุ่นคิดเล็กน้อย


“เยี่ยม ข้าจะสำแดงแล้ว” ชนต่างเผ่าร่างกายอ้วนเตี้ยไม่มีความเห็น พยักหน้าจากนั้นก็อ้าปากพ่นจานหยกเรียบลื่นออกมา


หลังจากที่เจ้าสิ่งนี้หมุนวนกลางอากาศ ก็มีขนาดประมาณสองสามจั้ง เปล่งแสงสีขาวนวลออกมาในเวลาเดียวกัน เหมือนมีสิ่งใดแฝงอยู่


ชนต่างเผ่าร่างอ้วนเตี้ยมีสีเลือดฝาดปรากฏขึ้นบนใบหน้า กระอักโลหิตสดๆ ออกมาจากปาก ชั่วครู่ก็กลายเป็นหมอกโลหิตกลุ่มหนึ่ง


นิ้วร่ายอาคมอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็ชี้ไปที่หมอกโลหิตที่กำลังผนึกรวมตัวกัน


ชั่วขณะนั้นหมอกโลหิตกลุ่มนี้ก็ม้วนวน ทั้งหมดจมหายเข้าไปในจานหยกอย่างไร้ร่องรอย


ส่วนผิวของจานหยกก็เปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วครู่ก็ทำให้จานหยกนั้นชัดเจนขึ้นมาก แม้กระทั่งมีทัศนียภาพปรากฏขึ้นรางๆ


ชนต่างเผ่าทั้งสองคนเห็นเช่นนั้น ดวงตาทั้งสี่ข้างก็เบิกกว้าง จ้องเขม็งไปยังจานหยกสีขาวด้วยดวงตาที่ไม่กะพริบ


แต่หลังจากผ่านไปชั่วครู่ สีหน้าของทั้งสองก็ดูไม่ได้


“เกิดเรื่องอันใดขึ้น จานกำหนดตำแหน่งไม่อาจยืนยันตำแหน่งของพวกเราได้” ชนต่างเผ่าร่างกายสูงผอมเอ่ยพึมพำถาม


“จานกำหนดตำแหน่งไม่อาจใช้การได้ ถ้าไม่ใช่เพราะที่นี่เป็นแดนพิเศษ ก็เป็นเพราะอสูรโบราณสองตัวนั้นดึงไอวิญญาณฟ้าดินในละแวกนี้ไป แม้แต่ที่นี่ก็ยังได้รับผลกระทบ แม้ว่าจานกำหนดตำแหน่งจะลึกลับ แต่ถึงอย่างไรเสียก็ไม่อาจเทียบกับสมบัติสองสามชิ้นในตำนานได้” ชนต่างเผ่าร่างกายอ้วนเตี้ยเอ่ยอย่างขบคิด


“หึ หากรู้ว่าไม่มีประโยชน์เช่นนี้ คงไม่เสียเงินตั้งมากมายประมูลมาหรอก เจ้าสิ่งนี้แทบจะต้องสูญเสียเงินเก็บกว่าครึ่งของเจ้าและข้าไป” ชนต่างเผ่าร่างกายผอมสูงมีท่าทีโกรธเกรี้ยว


“แม้ว่าเจ้าสิ่งนี้จะใช้การไม่ได้ในแดนกว้างเย็น แต่หากไม่มีมันล่ะก็ เจ้ากับข้าคงไม่อาจยืนหยัดตำแหน่งในแดนนี้ได้จริงๆ คนอื่นๆ ก็ยอมซื้อเจ้าสิ่งนี้มาเช่นกัน เจ้าสิ่งนี้มีเพียงคนของเผ่าผลึกถึงจะหลอมขึ้นได้ ทุกครั้งที่แดนกว้างเย็นเปิดออก ก็จะทำให้เผ่าของพวกเขาร่ำรวย ว่ากันว่าคนของเผ่าผลึกยังหลอมสมบัติกำหนดตำแหน่งที่ลึกลับยิ่งกว่าขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่!” ชายชราร่างกายอ้วนเตี้ยเองก็มีท่าทีกลัดกลุ้ม


“ช่างเถิด เรื่องมาถึงครานี้แล้ว พูดไปก็ไม่มีประโยชน์ ในเมื่อที่นี่ยังคงไม่อาจใช้จานกำหนดตำแหน่งได้ เช่นนั้นก็เดินทางก่อนแล้วกัน ออกจากที่นี่แล้วค่อยว่ากันเถิด” ชนต่างเผ่าร่างกายอ้วนเตี้ยใช้สายตากวาดไปมองเทือกเขาที่อยู่ใกล้เคียงอย่างละเอียดแวบหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น


“ก็มีเพียงต้องทำเช่นนี้” ชายชราร่างกายสูงผอมลังเลเล็กน้อย แล้วถึงได้พยักหน้า


ดังนั้นทั้งสองคนจึงกลายเป็นลำแสงหลีกหนี กลายเป็นสายรุ้งสีแดงเหลืองพุ่งออกไป


หลังจากผ่านไปชั่วครู่ทั้งสองก็หายวับไปจากกลางอากาศเหนือเทือกเขา


แต่หลังจากนั้นชนต่างเผ่าทั้งสองกลับหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีผู้ใดได้พบทั้งสองคนอีก


……


เหนือป่าผืนหนึ่ง ชนต่างเผ่าเผ่าเมฆาสวรรค์สามคนกำลังร่วมมือกันกลายเป็นลำแสงวิญญาณสามสีสายหนึ่ง พุ่งแหวกอากาศหนีไป


ด้านหลังของพวกเขากลับมีอสูรประหลาดหัวเหมือนกวาง แต่ตัวกลับเหมือนวานรกำลังไล่ตามมาสิบกว่าตัว


……


ไกลกว่านั้นเป็นธารน้ำแข็งที่ถูกปกคลุมด้วยพายุหิมะ คนประหลาดสองสามคนมีขนสีขาวงอกออกมาสองสามฉื่อทั่วเรือนร่าง คาดไม่ถึงว่าจะบินอยู่กลางอากาศในระดับต่ำๆ สูงจากพื้นดินไปไม่ถึงสิบจั้ง


เกล็ดน้ำแข็งสีขาวโพลนจากพายุน้ำแข็งเหล่านั้นแทบจะทำให้ผู้คนแข็งตายได้ในพริบตา ดูเหมือนว่าจะไม่มีผลกระทบต่อคนเหล่านั้น ทำให้พวกเขาหายไปท่ามกลางพายุหิมะในพริบตา


……


ในป่าลึกบุรุษสองคนสวมชุดคลุมสีเขียว ผิวสีเหลืองกรอบราวกับต้นไม้ กำลังถือธงเล็กๆ สีแดงอยู่ พลางโบกไปทางต้นไม้ใหญ่สูงยี่สิบสามสิบจั้งไม่หยุด


ต้นไม้ยักษ์ต้นนี้สูงตระหง่าน และกลางลำต้นก็มีใบหน้าโหดเหี้ยมราวกับภูตผีปรากฏขึ้น


แต่มันในยามนี้กลับถูกเปลวเพลิงรุนแรงห่อหุ้มเอาไว้ และยิ่งไปกว่านั้นปากของใบหน้าประหลาดก็เปล่งเสียงกรีดร้องแหลมๆ ออกมา พ่นของเหลวสีเขียวออกมาไม่หยุด ต้านทานการโจมตีของเปลวเพลิงเหล่านั้น


รากยักษ์สิบกว่าเส้นก็สะบัดพลิ้วไปมาอยู่ใต้ต้นไม้ บนพื้นดินมีรอยลึกลงไปสองสามฉื่อปรากฏขึ้น เห็นได้ชัดว่าอานุภาพยิ่งใหญ่มาก


หากเป็นเปลวเพลิงธรรมดา อาจจะถูกรากเหล่านี้กวาดไปจนเกลี้ยง


แต่เมื่อมีเปลวเพลิงเหล่านี้ล้อมรอบอยู่ ยามที่เผชิญหน้ากับรากเหล่านี้กลับดูเหมือนเปลวเพลิงที่กำจัดไม่ได้


ปล่อยให้รากต้นไม้กวาดผ่านเปลวเพลิง แต่กลับไม่สั่นไหวเลยสักนิด ราวกับเงาลวงตาอย่างไรอย่างนั้น


หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ต้นไม้สูงเสียดฟ้าที่พ่นของเหลวสีเขียวออกมาก็บางตาลง สุดท้ายก็ไม่อาจต้านทานเปลวเพลิงในบริเวณรอบได้อีก เสียงกรีดร้องแหลมสูงดังขึ้นไม่หยุด กลายเป็นเถ้าถ่านสีดำกองหนึ่ง


บุรุษผิวสีเหลืองกรอบสองคนนั้นเห็นเช่นนี้ก็เก็บธงในมือ แล้วบินออกมา ชั่วครู่ก็มาอยู่ตรงหน้าเถ้าถ่าน


พวกเขาแยกกันโน้มตัวลงจับ คาดไม่ถึงว่าต่างหยิบสิ่งที่เหมือนผลึกสีเขียวมรกตออกมาเม็ดหนึ่งได้จากกองเถ้าถ่าน


บุรุษสองคนนี้เห็นสิ่งนี้ก็มองสบตากันแวบหนึ่ง เผยสีหน้ายินดีอย่างบ้าคลั่งออกมา


……


มุมหนึ่งที่รกร้างของแดนกว้างเย็น กลางอากาศเหนือทะเลทรายที่กว้างไกลจนสุดลูกหูลูกตา บุรุษและสตรีมีเขาประหลาดหลากสีสันงอกออกมาจากหัวกำลังถูกห้อมล้อม ได้ยินชายหนุ่มที่มีเขาสั้นสีทองสามเขางอกออกมาจากหน้าผากเอ่ยอันใดสักอย่าง


ทุกคนล้วนเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา ราวกับว่าได้ยินเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ


และเมื่อชายหนุ่มกวาดตาไป บุรุษและสตรีคนอื่นๆ ก็ก้มหน้าลงเล็กน้อย แล้วเผยสีหน้าเคารพนบน้อมออกมา


“เป้าหมายที่แท้จริงในครั้งนี้ พวกเจ้าเองก็น่าจะรู้ดี เพื่อให้การเดินทางครั้งนี้ประสบความสำเร็จ อาวุโสต่างๆ ในเผ่ายอมแม้กระทั่งสูญเสียปราณแท้ ใช้สมบัติสวรรค์ทมิฬแยกร่างหลอมสมบัติเหนือชั้นห้าชิ้นให้พวกเรา และยังใช้ธงต่างๆ ที่หมอบซุ่มอยู่ในเมฆาสวรรค์ เพื่อดึงดูดความสนใจทั้งหมดของชนชั้นสูงของเผ่าเมฆาสวรรค์ หากเรื่องนี้สำเร็จ มันจะมีค่ากับเผ่าข้าขนาดไหน พวกเจ้าน่าจะรู้ดี ไม่จำเป็นต้องให้ข้ากล่าวให้มากความ” บุรุษเขาสีทองผู้นั้นเอ่ยอย่างราบเรียบ


“ท่านทูตวิสามัญโปรดวางใจ พวกเราจะพยายามอย่างเต็มที่” หลังจากที่บุรุษและสตรีที่เหลือฟังจบก็มีสีหน้าตื่นเต้นดีใจอยู่ลึกๆ แทบจะเอ่ยปากตอบรับออกมาเป็นเสียงเดียวกัน


“เยี่ยมมาก แม้ว่าข้าจะฝึกฝนอยู่ที่ภูเขาเขาสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ รู้จักกับพวกท่านได้ไม่นาน แต่เชื่อว่าเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับความรุ่งเรืองในอนาคตของเผ่าข้า สหายทุกท่านจะต้องพยายามอย่างเต็มที่ ครั้งนี้แม้ว่ากลุ่มคนในเผ่าของข้าจะเข้ามาในแดนกว้างเย็นแค่สิบกว่าสาขา แต่ขอแค่มีห้ากลุ่มที่มีสมบัติอยู่ นั่นถึงจะเป็นผู้ที่รับผิดชอบเรื่องนี้โดยเฉพาะ กลุ่มที่เหลือแค่ช่วยเหลือ ช่วยปกปิดการเคลื่อนไหวของพวกเราเท่านั้น เพื่อไม่ให้ถูกเผ่าอื่นๆ มองออก ยามนี้ก็ทำตามแผนเดิม ข้าจะออกเดินทางแล้ว” ชายหนุ่มเขาสีทองพยักหน้าอย่างพึงพอใจ จากนั้นปากก็ออกคำสั่ง


ดังนั้นภายใต้การนำของชายหนุ่มเผ่าเขาประหลาดกลุ่มนี้จึงบินไปในส่วนลึกของทะเลทรายทันที


……


กลางอากาศเหนือทะเลสาบ บุรุษและสตรีจากชนต่างเผ่าสองคนที่กายท่อนบนเป็นมนุษย์ กายท่อนล่างเป็นหางปลากำลังยืนเคียงไหล่กัน


ตรงข้ามกลับเป็นวาฬประหลาดยาวสิบจั้งเศษ แต่บนหัวกลับมีดวงตาสีทองงอกออกมาเก้าดวง แผ่กลิ่นอายที่น่าตกตะลึงออกมา


ทั้งสองต่างเผชิญหน้ากันอย่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน


ดวงตาของบุรุษชนต่างเผ่าเป็นสีเงินขาว ส่วนดวงตาทั้งสองของหญิงสาวกลับเป็นสีทองเรืองรอง คล้ายคลึงกับวาฬประหลาดตัวนั้นเล็กน้อย


ยามนี้ปากของวาฬกำลังเปล่งเสียงร้องคำรามไม่หยุด ในเวลาเดียวกันดวงตาทั้งเก้าดวงก็มองไปยังทั้งสองคนที่อยู่ตรงข้าม ท่าทางดุดันไม่เป็นมิตร


เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนั้นชนต่างเผ่าทั้งสองก็มีสีหน้าเคร่งขรึม หลังจากปรึกษากันด้วยเสียงแผ่วเบา ดวงตาทั้งสองข้างของหญิงสาวชนต่างเผ่าหางเป็นปลาผู้นั้นก็เปล่งแสงสว่างวาบ ฉับพลันนั้นก็เปล่งเสียงคำรามคล้ายกับวาฬประหลาดออกมา


วาฬประหลาดได้ยินก็ดูเหมือนว่าจะเป็นภาษาเดียวกับตัวเอง ดวงตาทั้งเก้าดวงกะพริบปริบๆ พร้อมกัน ดูเหมือนว่าจะลังเลเล็กน้อย


เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ หญิงสาวหางปลากลับมีสีหน้าผ่อนคลายลง แต่ปากกลับเปล่งเสียงคำรามไม่หยุด แม้กระทั่งดังมากกว่าเดิมหลายส่วน


เสียงคำรามดังสนั่นของวาฬยักษ์หยุดลง จากนั้นดวงตาก็เปล่งแสงสีทองสว่างวาบ ร่างใหญ่ยักษ์พลิ้วไหว วนล้อมรอบบุรุษและสตรีชนต่างเผ่าสองคนสองสามรอบ จากนั้นถึงได้กลับมาอยู่ที่เดิม ปากถึงได้ส่งเสียงคำรามออกมาอีกครั้ง


ครั้งนี้หญิงสาวหางปลาได้ยินเสียงคำรามของวาฬ ก็เผยสีหน้าดีอกดีใจออกมา ร่างกายแค่พลิ้วไหว ก็บินไปอยู่เหนือวาฬประหลาด และร่อนลงมาบนหลังของมันอย่างเชื่องช้า


วาฬประหลาดที่ดูเหมือนแข็งแกร่งอย่างสุดๆ กลับเผยท่าทีว่าง่ายออกมา ไม่มีท่าทีโกรธเกรี้ยวเลยสักนิด และเมื่อหญิงสาวชนต่างเผ่ากระตุ้น ร่างก็เปล่งลำแสงสีฟ้าออกมา พุ่งออกไป


บุรุษชนต่างเผ่าที่มีหางปลาเช่นกันผู้นั้น ย่อมไล่ตามไปติดๆ

 

 

 


ตอนที่ 1678 อสูรลับปรากฏตัว

 

แม้ว่าอสูรลับจะไม่ใช่อสูรที่แข็งแกร่งที่สุดในแดนกว้างเย็น แต่หากอยู่ในยามกลางราตรี ต่อให้เป็นอสูรโบราณก็ไม่อยากเผชิญหน้ากับฝูงอสูรลับโตเต็มวัยที่พละกำลังเพิ่มขึ้นหลายเท่า


ไม่รู้เพราะเหตุใดในหนึ่งวันป่าอสูรลับถึงได้ตกอยู่ในยามราตรีแห่งความมืดมิดสองในสามส่วน เทียบกับเวลากลางวันแล้วช่างสั้นแสนสั้น


อสูรลับที่มีชีวิตอยู่ในนี้ก็มีมากมายจนนับไม่ถ้วน อสูรลับโตเต็มวัยก็ยิ่งมีสัดส่วนจำนวนมาก


เช่นนั้นต่อให้ป่าอสูรลับจะอยู่ติดกับคอหมื่นวิหคและมหาสมุทรแปดเคราะห์ที่มีอสูรโบราณที่แข็งแกร่งอาศัยอยู่ แต่ก็ไม่มีท่าทีจะรุกรานเข้ามาในเขตนี้เลยสักนิด


อสูรลับที่อยู่ในป่าแห่งนี้ราวกับมีเจ้าของอยู่ที่สวนหลังบ้านของพวกมัน อสูรอื่นๆ ที่มีชีวิตอยู่ในนี้ก็แทบจะเป็นได้เพียงอาหารของอสูรลับ


มีเพียงส่วนน้อยไม่กี่ชนิดที่เป็นอสูรประหลาดซึ่งสามารถเพิ่มพลังได้ในยามราตรี ถึงจะพอสู้กับอสูรลับ จนพอจะมีท่าทีคุกคามได้


แน่นอนว่าอสูรประหลาดเหล่านี้ ไม่ว่าจำนวนหรือว่าพละกำลัง ก็ไม่อาจเทียบกับอสูรลับในป่านี้ได้


วันนี้ตรงมุมหนึ่งของป่าอสูรลับที่ห่างออกไปไม่ถึงร้อยลี้เศษ งูเหลือมยักษ์ยาวเจ็ดแปดจั้ง ผิวเต็มไปด้วยเกล็ดสีเขียว กำลังถลึงตามองอสูรลับตัวหนึ่งด้วยแววตาเย็นชา


งูเหลือมยักษ์ดูไม่แตกต่างอันใดกับงูเหลือมยักษ์ธรรมดาๆ แต่ความจริงแล้วคือหนึ่งในอสูรประหลาดไม่กี่ชนิดที่พอจะต้านทานกับอสูรลับในป่าอสูรลับแห่งนี้ได้ ‘งูเหลือมราตรีมรกต’


ชื่อตรงตามความหมาย ตกกลางคืนงูเหลือมยักษ์ชนิดนี้ร่างกายที่เดิมทีแข็งแกร่งของมันจะเพิ่มอิทธิฤทธิ์ขึ้นมหาศาล และยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถอาศัยพลังยามค่ำคืนเพิ่มระดับความสามารถจนแปลงกายได้


หลังจากงูเหลือมยักษ์แปลงกายแล้ว ก็มีพละกำลังแทบจะไม่ด้อยไปกว่าอสูรลับ หากต่อสู้กัน ก็จะบ้าเลือดและคลุ้มคลั่ง


แต่สำหรับงูเหลือมราตรีมรกตนั้น การแปลงกายนั้นย่อมมีผลเสียตามมาไม่น้อย


ไม่เพียงพละกำลังจะลดลงเป็นอย่างมากเป็นเวลาสองสามปีแล้ว ยิ่งจะต้องสูญเสียอายุขัยไป ดังนั้นหากไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต งูเหลือมยักษ์จะไม่มีทางแปลงกาย


ส่วนแก่นดวงจิตของงูเหลือมราตรีมรกตนั้น ก็เป็นของบำรุงมหาศาลสำหรับอสูรลับ ขอแค่ทั้งสองพบหน้ากันในป่าอสูรลับ ก็จะประมือกันอย่างไม่ยอมลดละทันที


อสูรทั้งสองที่อยู่ตรงหน้าอยู่ตรงขอบของป่าอสูรลับมาพบกันโดยบังเอิญ


งูเหลือมราตรีมรกตยักษ์ตัวนี้ชูหัวขึ้นสูง แลบลิ้นสีดำม่วงออกมาไม่หยุด เกล็ดสีเขียวบนร่างกายดูคล้ายกับกำลังลุกชัน


ท่าทางพร้อมรบ


อสูรลับที่กำลังเผชิญหน้ากันอยู่ ดูแล้วกลับเหมือนหมาป่ายักษ์ที่ตัวใหญ่กว่าปกติสามสี่เท่า แต่ผิวของมันกลับเป็นสีดำสนิท หางของมันเรียวแหลมราวกับหางเสือดาว ให้ความรู้สึกลึกลับสง่างาม


ดูจากรูปร่างของมัน อสูรลับตัวนี้เพิ่งจะโตเต็มวัยได้ไม่นาน เทียบกับพวกเดียวกันแล้วยังผอมและอ่อนแออยู่หลายส่วน แต่ดวงตาสีดำขาวที่แยกกันอย่างชัดเจนคู่นั้นกำลังจ้องเขม็งมายังงูเหลือมราตรียักษ์ด้วยความเย็นชา แววตาโหดเหี้ยมฉายแววสว่างวาบ


ทว่าสิ่งที่แปลกก็คืออสูรตัวนี้เองก็จ้องเขม็งไปยังงูเหลือมยักษ์ และไม่ได้กระโจนเข้ามาในทันที


ผลลัพธ์ของการต่อสู้กันระหว่างอสูรลับโตเต็มวัยและงูเหลือมราตรีมรกต คงจะจบด้วยการที่ฝ่ายแรกได้แก่นดวงจิตไป แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทางที่อสูรลับจะถูกงูเหลือมราตรีมรกตเขมือบเข้าไป


ทั้งสองฝ่ายมาพบกันโดยบังเอิญ อสูรลับตัวนี้พลันรู้สึกยินดีอยู่ในใจ แต่กลับไม่ได้รีบร้อนที่จะลงมือทันที


ยามที่งูเหลือมราตรีมรกตบ้าคลั่งพละกำลังจะเพิ่มขึ้น แต่ชั่วพริบตานั้นก็จะเผยจุดอ่อนของตนเองออกมา


หากคว้าโอกาสนี้ไว้ได้ ก็อาจตะปบแล้วสังหารอีกฝ่ายได้ในคราเดียว


ส่วนงูเหลือมราตรีมรกตนั้นแม้ว่าจะเตรียมปลดปล่อยความบ้าคลั่งแล้ว แต่ความจริงแล้วกลับไม่กล้ากระทำการบุ่มบ่ามง่ายๆ


ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงแค่มีท่าทีไม่ยอมอ่อนข้อให้กันจนถึงยามนี้


อสูรต่างๆ ในป่าอสูรลับ ล้วนออกมาเคลื่อนไหวกันในยามกลางคืนตั้งนานแล้ว ยามกลางวันมักจะพักผ่อนอยู่ในถ้ำ


ประกอบกับต้นไม้สูงใหญ่เป็นพิเศษในป่า แม้ว่าจะเป็นขอบชายป่า ใบไม้หนาทึบก็แทบจะบดบังท้องฟ้าเก้าในสิบส่วนเอาไว้ เมื่อมองขึ้นไปผ่านซอกใบไม้ก็เห็นเพียงสีดำสนิทเท่านั้น


ยามนี้เป็นยามที่ดึกที่สุดในยามราตรี


หากไม่ใช่เพราะรอบๆ เป็นพุ่มไม้เตี้ยๆ เปล่งแสงเรืองๆ ออกมา ที่นี่ก็แทบมองไม่เห็นนิ้วทั้งห้าในยามที่ยื่นออกมา


เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไป งูเหลือมยักษ์และอสูรลับยืนกรานอย่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กันอยู่พักใหญ่


เมื่อยืนกรานใส่กันเป็นเวลานานก็อารมณ์ไม่ค่อยดีนัก


สุดท้ายอสูรลับก็เป็นฝ่ายทนไม่ไหว


มันเปล่งเสียงร้องคำรามต่ำๆ ขยับแขนขาทั้งสี่ วนล้อมรอบงูเหลือมยักษ์อย่างช้าๆ แต่การเคลื่อนไหวกลับเงียบเชียบ ราวกับว่าร่างกายเป็นสิ่งที่ไร้รูปร่าง


งูเหลือมราตรีมรกตเห็นเช่นนั้นมันก็แลบลิ้นออกมาอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกันปากก็เปล่งเสียง “ฟ่อๆ” ออกมา


แต่แววตาโหดเหี้ยมของอสูรลับกลับฉายแวววาวโรจน์ กรงเล็บคู่หน้าขยับเล็กน้อย กรงเล็บลำแสงยาวครึ่งฉื่อเปล่งแสงสีดำวาววับ ในเวลาเดียวกันหางยาวๆ สีดำก็สะบัดขึ้นลงไปกลางอากาศเกิดเป็นเงาสายหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าจะเปล่งเสียงหวีดร้องฉีกอากาศออกมา


หัวของงูเหลือมราตรีมรกตขยับไปมาตามอสูรลับ แน่นอนว่าย่อมมองเห็นการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายทุกอย่างอยู่ในสายตา เมื่อเห็นอสูรลับสะบัดหาง มันก็ดูเหมือนว่าจะได้รับการกระตุ้นอันใดสักอย่าง เปล่งเสียงร้องฟ่อๆ ออกมาอย่างกระชั้นขึ้นเรื่อยๆ


เกล็ดสีดำเขียวบนร่างของมันเปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าขยายใหญ่และหดเล็กลงไปมา ร่างกายบวมพองขึ้นราวกับถูกเป่าลม


ผิวหนังอสรพิษทั้งหมดตึงเปรี๊ยะอย่างหาที่เปรียบมิได้


แทบจะในชั่วพริบตานั้น เสียง “แควก” แสบแก้วหูก็ดังขึ้น!


ผิวของอสรพิษทั้งหมดแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ร่างของอสรพิษที่ใหญ่กว่าเดิมกว่าครึ่งพลันเผยออกมา


ยังคงเป็นงูเหลือมสีดำเขียวดังเก่า แต่ลายระหว่างเกล็ดกลับเปลี่ยนเป็นสีเงินขาว และยิ่งไปกว่านั้นลวดลายยังตัดสลับกันไปมา กลายเป็นลายขนาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากัน เปล่งแสงสีเงินเรืองๆ


เมื่อมองขึ้นไปหางูเหลือมราตรีมรกต บนหัวของมันพลันมีเขาเดี่ยวสีขาวบริสุทธิ์ราวกับหยกปรากฏขึ้น ลายเกลียวคลื่น ม้วนวนจากด้านล่างขึ้นมาด้านบน


ท่าทางแหลมคมเป็นอย่างมาก!


ดวงตาของงูเหลือมยักษ์เองก็เปลี่ยนจากสีเขียวมรกตเป็นสีแดงสด และฉายแววบ้าคลั่งออกมา


แทบจะในพริบตาที่งูเหลือมยักษ์แปลงกายสำเร็จ อสูรลับที่วนรอบอยู่ก็เคลื่อนไหวอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด


เห็นเพียงลำแสงสีดำสว่างวาบ ร่างของอสูรตัวนี้หายวับไปท่ามกลางลำแสงยามราตรี


ครู่ต่อมาหัวของงูเหลือมยักษ์ก็เอียงข้าง ลำแสงสีดำสว่างวาบ อสูรลับปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางความมืดมิด ในเวลาเดียวกันกรงเล็บลำแสงสีดำสองสามสายก็พุ่งออกมา ตะปบไปที่คอของงูเหลือมยักษ์แน่น


ตรงที่ดูเหมือนจะเป็นจุดตายของงูเหลือม มีเกล็ดสีแดงอ่อนอยู่สองสามเกล็ด


นั่นคือจุดอ่อนหลังจากแปลงกายของงูเหลือมตัวนี้


เป็นเกล็ดสองสามเกล็ดที่ถูกกระบี่บินธรรมดาๆ สับลงไปก็อาจจะทำให้งูเหลือมยักษ์ได้รับบาดเจ็บหนักได้ หากถูกกรงเล็บที่แหลมคมของจริงของอสูรลับ ก็คงจะสร้างความเสียหายอย่างหนักให้มันทันที


แน่นอนว่าจุดอ่อนนี้อยู่แค่ชั่วพริบตาที่งูเหลือมราตรีมรกตแปลงกายเท่านั้น ทันใดนั้นก็เปลี่ยนสีเป็นเหมือนกับเกล็ดอื่นๆ


แม้กระทั่งหลังจากนั้นระดับความแข็งแกร่งของเกล็ดต่างๆ ก็เหนือกว่าก่อนหน้าเป็นอย่างมาก


เสียง “ปังๆ” ดังขึ้น กรงเล็บลำแสงโจมตีไปที่หามัน ทำให้ร่างของงูเหลือมราตรีมรกตสั่นเทา แต่กรงเล็บลำแสงแค่แฉลบผ่านไปตรงจุดอ่อน งูเหลือมยักษ์พลิ้วกายอย่างรวดเร็ว แล้วหลบการโจมตีที่ถึงชีวิตนี้ไปได้


แต่ตรงคอของงูเหลือมยักษ์ก็ทิ้งรอยแผลสีแดงอ่อนสองสามสายเอาไว้ โลหิตสดๆ ปรากฏขึ้น บาดแผลไม่ได้ลึกนัก


การลอบโจมตีเช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมทำให้งูเหลือมยักษ์ที่แต่เดิมก็บ้าคลั่งอยู่แล้วโกรธเกรี้ยวยิ่งขึ้น


ได้ยินเพียงเสียงคำรามด้วยความกราดเกรี้ยว หางของงูเหลือมยักษ์ก็สะบัดไปกลางอากาศ


ชั่วพริบตานั้นกลางอากาศก็เผยเงาหางสีเขียวเป็นสายๆ ออกมา กวาดออกไป พุ่งเข้าไปล้อมอสูรลับเอาไว้


เสียงหวีดร้องดังสนั่นฟ้า


อสูรลับเห็นการโจมตีนี้ไม่สำเร็จ อีกฝ่ายทำการโจมตีกลับ แต่ก็ไม่ได้ร้อนรน ร่างกายกลับพลิ้วไหว ชั่วขณะนั้นร่างของมันก็บินออกไปเป็นลำแสงสีดำสองสาย สายหนึ่งหมุนวน คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นสัตว์ประหลาดสีดำสนิทสองตัว


อสูรประหลาดที่ดูเหมือนเงาสองตัวนี้ ภายนอกดูคล้ายกับอสูรลับมาก แต่แค่ร่างกายรางเลือน เปล่งแสงสีดำเทาสว่างวาบ


เมื่อพวกมันปรากฏตัว ก็กระโจนเข้ามาพร้อมกับท่าทางแยกเขี้ยวตะปบเล็บ


เสียง “ฟับๆ” ของกรงเล็บลำแสงดังขึ้น ปะทะกับเงาสีเขียวกลางอากาศทันที


หลังจากเสียงระเบิดดังขึ้น ในเวลาเดียวกันกรงเล็บลำแสงและเงาสีเขียวพลันสลายหายไป คาดไม่ถึงว่าจะมีท่าทีเหมือนแบ่งเป็นเท่าๆ กัน


ทันใดนั้นลำแสงสีเขียวพลันระเบิดออกมาเหนือหัวของอสูรประหลาดสีดำตัวหนึ่ง หัวงูเหลือมยักษ์ตัวหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นท่ามกลางลำแสงสีเขียว กลืนอสูรประหลาดสีดำตัวหนึ่งเข้าไปด้วยความเร็วดุจสายฟ้าแลบ แล้วสะบัดคอ พุ่งเข้าไปหาอสูรประหลาดสีดำอีกตัวหนึ่ง คิดจะกลืนมันลงไปเช่นกัน


ในยามนั้นเองอสูรลับตัวนั้นกลับพุ่งไปด้านข้าง อ้าปากออก คาดไม่ถึงว่าปากจะขยายใหญ่ขึ้นสองสามจั้ง ด้านในเต็มไปด้วยเขี้ยวที่แหลมคมดุจใบมีด กลืนงูเหลือมยักษ์เข้าไป


หากถูกปากใหญ่มหึมากัดเข้าไปจริงๆ เชื่อว่าแม้จะเป็นงูเหลือมราตรีมรกตที่ร่างกายหยาบหนาขนาดไหน ก็ไม่อาจต้านทานได้


แต่หลังจากที่งูเหลือมราตรีมรกตแปลงกายไป การเคลื่อนไหวก็ไม่ด้อยไปกว่าอสูรลับ หัวหดกลับมา จากนั้นก็เอียงหัว อ้าปากออกกว้างอย่างไม่แสดงความอ่อนแอออกมา พลางกระโจนเข้าไป


และในยามนั้นเป้าหมายเดิมของมัน อสูรประหลาดสีดำอีกตัวกลับเอียงกาย ร่างกายยืดยาวขึ้น ราวกับว่าเชือกหนาๆ ที่พุ่งเข้ามาหางูเหลือมยักษ์


เสียงดังสนั่นขึ้น อสูรประหลาดสองตัวแสดงความสามารถออกมาพร้อมกัน ต่อสู้พัวพันกันอย่างไม่อาจแยกแยะได้


แต่พวกมันสองตัวย่อมไม่รู้ว่า ห่างจากพวกมันไปสิบกว่าลี้ ในต้นไม้ยักษ์ที่ดูธรรมดาๆ ต้นหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าจะมีถ้ำขนาดใหญ่เส้นผ่าศูนย์กลางสองจั้ง


และในห้วงมิติเวลาลับนั้น ด้านในมีคนสามคนกำลังนั่งสมาธิอยู่ จ้องเขม็งไปยังกระจกที่ลอยวนล้อมรอบอยู่


ด้านหลังกระจกบานนี้มีลำแสงสีเงินเปล่งแสงเรืองๆ ผิวกระจกเป็นสีเขียวขมุกขมัว เผยภาพที่ชัดเจนออกมา


เป็นภาพที่อสูรลับตัวนั้นและงูเหลือมราตรีมรกตกำลังต่อสู้กัน!


ทัศนียภาพทุกอย่างเหมือนกับจุดที่ไกลออกไปทุกระเบียบนิ้ว แค่เล็กกว่าหลายเท่า


ส่วนสามคนนี้คนหนึ่งสวมชุดคลุมสีเขียว คนหนึ่งสวมงอบสีขาว และยังมีคนหนึ่งที่มีผิวสีเหลืองเข้ม


นั่นก็คือผู้ที่เสียเวลาไปกว่าครึ่งเดือน ในที่สุดถึงมาถึงที่นี่ได้ หานลี่ หลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุน


ทั้งสามคนมีสีหน้าเคร่งขรึม มองกระจกด้วยดวงตาที่ไม่กะพริบ


หลังจากผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม ในที่สุดอสูรลับในกระจกที่แยกออกเป็นค้างคาวสีดำนับไม่ถ้วนก็สังหารงูเหลือมราตรีมรกตที่เกล็ดได้รับบาดเจ็บลงได้ จากนั้นก็แหวกท้องมันออกกลืนแก่นดวงจิตเข้าไป แล้วถึงได้จากไปอย่างยินดี


“เป็นอย่างไรบ้าง? ทั้งสองเห็นอสูรลับกับตาตัวเองแล้ว รู้สึกว่าพวกมันเป็นอย่างไร?”


เสียงหลิวสุ่ยเอ๋อร์ถอนหายใจดังขึ้น ชูมือขึ้นร่ายอาคมโจมตีไปที่กระจก


ชั่วขณะนั้นภาพบนกระจกพลันหายวับไป

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)