กระบี่จงมา 167.4-168.1

 บทที่ 167.4 ข้ามีสมบัติอาคมเยอะนะ

โดย

ProjectZyphon

คิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มที่หน้าตาไม่โดดเด่นผู้นั้นก็เป็นคนดุที่เต็มใจฆ่าศัตรูหนึ่งพัน ตัวเองเสียหายแปดร้อย “ตายไปนานแล้ว”


ชุยฉานกำลังจะเงื้อมือตบให้ตะพาบน้อยตัวนี้ให้ตาย ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ก็มาปรากฏกายอยู่บนยอดเขา เด็กนักเรียนของสำนักศึกษาคนนั้นรีบหันไปทำความเคารพผู้เฒ่า แล้วลงจากเขาไปอย่างรวดเร็ว


ชุยฉานคำรามเดือดดาล “เจ้าคนแซ่เหมา เจ้าลูกหมาตัวนี้ชื่อแซ่อะไร บ้านอยู่ที่ไหน!”


เหมาเสี่ยวตงมองประเมินชุยฉาน มองบรรยากาศรอบกายอีกฝ่ายจนรู้ตื้นลึกหนาบางก็ตีหน้าเคร่งเดินลงเขาไป ตอนที่เดินสวนไหล่กับชุยฉาน เขาแค่นเสียงเย็น “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ทำตัวดีๆ อยู่ในสำนักศึกษาไปแล้วกัน ข้าเหมาเสี่ยวตงจะคิดซะว่ายอมบีบจมูกตัวเองก็เพื่อไม่ต้องทนดมกลิ่นอาจมเหม็นโฉ่ อย่าลืมว่าที่นี่คือเมืองหลวงต้าสุย ไม่ว่าจะทำอะไรก็ควรคิดไตร่ตรองให้ดีก่อนลงมือ!”


ชุยฉานเดินออกไปก้าวเดียว ร่างก็พุ่งวูบไปยังยอดไม้ของต้นอิ๋นซิ่งพันปี สอดส่ายสายตาไปรอบด้านพักหนึ่ง สุดท้ายเพ่งตามองไปยังที่พักเงียบสงบหลังหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้กับภูเขาตงหัว แล้วแหกปากผรุสวาท “เจ้าตะพาบเฒ่าที่ชื่อว่าไช่จิงเสินนั่นน่ะ ใช่ เรียกเจ้านั่นแหละ รีบออกมาพบหน้าบรรพบุรุษเดี๋ยวนี้! วันนี้ข้าผู้เป็นบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของเจ้าจะอธิบายคำสั่งสอนของบรรพชนกฎของบ้านให้เจ้าฟัง! รีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วออกมาโขกหัวรับคำสั่งสอน!”


เหมาเสี่ยวตงสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง รีบเพิ่มความเร็วเดินลงไปจากภูเขา


เด็กหนุ่มชุดขาวยังคงตะโกนดังลั่นไม่หยุด “หลานไช่จิงเสิน อย่าทำตัวเป็นเต่าหดหัวอยู่เลย รีบกลับบ้านไปเรียกลูกเรียกหลานของเจ้ามาคำนับบรรพบุรุษพร้อมกัน เร็วๆ เข้า บรรพบุรุษรอเจ้าอยู่ที่นี่นะ!”


แสงรุ้งเส้นหนึ่งระเบิดทะยานขึ้นมาจากบ้านหลังที่อยู่ใกล้ภูเขาตงหัว มาหยุดอยู่กลางอากาศสูงเท่าเทียมกับยอดเขาของภูเขาตงหัว แล้วเรือนกายแข็งแกร่งกำยำของคนผู้หนึ่งก็แผดเสียงเกรี้ยวกราด “รนหาที่ตาย!”


เด็กชายชุดขาวตะโกนตอบกลับด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม “บรรพบุรุษเฒ่ามาตามหาหลานตะพาบที่นี่ ไม่ใช่รนหาที่ตาย!”


ผู้เฒ่าร่างกำยำแผดเสียงคำรามกลับ “ไสหัวออกมา!”


หลังจากที่ผู้เฒ่าทะยานตัวขึ้นสูงกลางอากาศ บริเวณใกล้เคียงโดยรอบซึ่งมีภูเขาตงหัวเป็นจุดศูนย์กลางก็มีแสงไฟทยอยถูกจุดขึ้น จากใกล้ไปไกล ยิ่งนานก็ยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้น


ภายใต้สายตาของคนมากมายที่จับจ้องมองมา เด็กหนุ่มชุดขาวหัวเราะหึหึ “หลานคนดีเจ้ารีบไสหัวเข้ามาเร็วเข้าสิ!”


ดูเหมือนว่าคำพูดของเจ้าเด็กบ้าคนนั้นจะสร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้เฒ่าจนถึงขั้นอึ้งค้างไปครู่หนึ่ง


เด็กหนุ่มชุดขาวรีบฉวยโอกาสโจมตีทันใด “ใครแม่งมอบดีสุนัข (ดีเปรียบเทียบถึงความกล้าหาญ) ให้เจ้า เจ้าถึงได้กล้าทำร้ายลูกศิษย์ของข้าผู้อาวุโส? ไช่จิงเสิน ขยับมือไม้ให้มันว่องไวหน่อย รีบหยิบมีดมาปาดคอตัวเองให้ตายซะ จำไว้ว่าตอนปาดต้องจริงใจด้วย เอาให้ได้มาดอย่างที่นักพรตขอบเขตสิบสมควรมี! แล้วบรรพบุรุษอย่างข้าจะถือว่าเจ้ายอมรับผิดแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะยังยอมละเว้นความผิดในอดีตของเจ้าด้วย…”


เสียงคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวของผู้เฒ่าร่างล่ำสันที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วต้าสุยดังก้องกังวานไปเกือบรอบรัศมีสิบลี้ “เหมาเสี่ยวตง! สำนักศึกษาของพวกเจ้าไม่จัดการกับเจ้าบ้าระยำผู้นี้ ข้าไช่จิงเสินจะช่วยจัดการแทนเจ้าเอง! เจ้าแค่ทำหน้าที่เก็บศพอย่างเดียวพอ ส่วนทางฝ่ายของฝ่าบาท ข้าพร้อมน้อมรับผลที่จะตามมา!”


ผู้เฒ่าบังคมลมยืนอยู่กลางอากาศ หันหน้าเข้าหาสำนักศึกษาซานหยา กระทืบเท้าแรงๆ หนึ่งครั้ง เหวี่ยงแขนขึ้นทำท่าเหมือนจะขว้างอะไรออกไป


ทวนยาวสีขาวหิมะที่รัดพันด้วยสายฟ้าแลบวูบวาบเล่มหนึ่งพุ่งฟิ้วตรงเข้าปักต้นอิ๋นซิ่งที่อยู่บนยอดเขาตงหัว


เด็กหนุ่มชุดขาวหัวเราะร่า “มาได้ดี หลานคนดีรู้จักกตัญญูต่อบรรพบุรุษเสียที! มาเยือนแล้วไม่ต้อนรับนับว่าไร้มารยาท บรรพบุรุษเฒ่าจะให้รางวัล หลานไช่จิงเสินจงรับไว้ให้ดี!”


ทวนสายฟ้าพุ่งเข้าหาต้นไม้ใหญ่ เพียงไม่นานก็บุกเข้าไปเหนือท้องฟ้าในบริเวณขอบเขตพื้นที่ของสำนักศึกษา


แม้ว่าสำนักศึกษาซานหยาแห่งใหม่ที่ผ่านอุปสรรคมาไม่น้อยแห่งนี้จะไม่ใช่หนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อ แต่จะอย่างไรซะก็มีเหมาเสี่ยวตงนั่งบัญชาการณ์ ถือว่ามีข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์คล้ายเป็นฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่งของอริยะ แต่ไม่รู้ว่าเพราะสำนักศึกษาคิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิด หรือเป็นเพราะเหมาเสี่ยวตงไม่ยินดีเป็นศัตรูกับไช่จิงเสิน ถึงได้ถอนการป้องกันในเขตแดนตัวเองออกอย่างไม่ลังเล ปล่อยให้สองคนที่หนึ่งอยู่บนภูเขา หนึ่งอยู่นอกภูเขาเปิดฉากเข่นฆ่ากันอย่างยุติธรรม


ทางฝ่ายของต้นอิ๋นซิ่งก็มีแสงสีทองอ่อนจางเส้นหนึ่งระเบิดจ้ากลางอากาศ เมื่อเทียบกับทวนสายฟ้าใหญ่ยักษ์ที่ยาวประมาณสองจั้ง เปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจอันน่าเกรงขามแล้ว แสงทองเพียงแค่นั้นก็เล็กน้อยจนสามารถมองข้ามไปได้เลย


แต่คนนอกมองเห็นแค่ความสนุกสนาน คนในกลับมองเห็นสายสนกลใน


เมื่อแสงทองเส้นนั้นบินออกมาจากยอดเขา พุ่งเข้ารับหน้าทวนสายฟ้าเล่มนั้น เหล่าผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายที่เดิมทียังมีใจนึกดูแคลนกลับเริ่มเพ่งมองอย่างตั้งใจ


บริเวณโดยรอบเส้นทางการโคจรที่แหวกอากาศออกไปเป็นเส้นตรงของกระบี่บินขนาดจิ๋วเล่มนั้นกลับเกิดเป็นรอยปริแตกที่ดำมืดอย่างถึงที่สุด นี่ก็คือการปะทะที่รุนแรงระหว่างวัตถุซึ่งจับต้องได้จริงกับแม่น้ำแห่งกาลเวลาในตำนาน ความเร็วในการแหวกอากาศของกระบี่บิน ระดับความแข็งแกร่งของวัสดุที่สร้างขึ้น ความมหาศาลของปณิธานกระบี่ที่แฝงเร้นอยู่ภายใน สามอย่างนี้ล้วนไม่อาจขาดได้แม้แต่อย่างเดียว


กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่อยู่ในระดับนี้ถูกขนานนามว่า แสงกระบี่เปล่งวาบ ตัดขาดหมื่นสรรพสิ่ง!


แล้วก็เป็นจริง ทวนสายฟ้าที่คิดจะหยั่งเชิงมากกว่าคิดจะปลิดชีพศัตรูให้ตายในครั้งเดียวถูกแสงสีทองโจมตีจนแหลกสลายในชั่วพริบตา


สะเก็ดสายฟ้าสาดกระจายอยู่กลางอากาศประหนึ่งฝนไฟที่สว่างพร่าจ้าตา


ไช่จิงเสินหัวเราะเหี้ยม “พอจะมีฝีมืออยู่บ้าง มาอีก!”


ในที่สุดคราวนี้ผู้เฒ่าก็ปล่อยฝีไม้ลายมือเต็มที่ ทวนสายฟ้าเล่มแล้วเล่มเล่าพุ่งแทงเข้าหาภูเขาตงหัวอย่างรวดเร็ว


แสงสีทองเองก็ส่องแสงเจิดจ้ามากกว่าเดิม ประกายไฟพร่างพราวพุ่งออกไปจากตัวภูเขาหลายต่อหลายเส้น


ชุยฉานนั่งขัดสมาธิอยู่บนกิ่งสูงของต้นอิ๋นซิ่งอย่างสบายอารมณ์ กลางฝ่ามือประคองตราหยกสี่เหลี่ยมไว้ชิ้นหนึ่ง


ชุยฉานไม่มีอารมณ์ฮึกเหิมเหมือนคนที่กำลังเข้าร่วมศึกใหญ่แม้แต่น้อย กลับกันยังดูเกียจคร้านเบื่อหน่าย ในใจหัวเราะหยันไม่หยุด


อาจารย์ของข้ามีไม่มาก ตอนนี้มีอยู่แค่คนเดียว ศิษย์พี่ศิษย์น้องที่เข้าตาข้ามีไม่มาก สหายรู้ใจในชีวิตมีไม่มาก สาวงามที่ถูกใจมีไม่มาก…แต่ข้ามีสมบัติอาคมมากนักล่ะ!


คืนนั้นช่างเป็นภาพเหตุการณ์ที่ยอดเยี่ยมตระการตายิ่งนัก มีช่วงให้ลุ้นขึ้นๆ ลงๆ สุดท้ายคนเกือบครึ่งของเมืองหลวงต้าสุยก็สะดุ้งตกใจตื่น สวมใส่อาภรณ์เดินออกมานอกบ้าน หากไม่มองภูเขาตงหัวจากลานบ้านของตัวเองอยู่ไกลๆ ก็ปีนต้นไม้ ปีนกำแพงหรือปีนหลังคาขึ้นไปดูการต่อสู้อันยาวนานระหว่างเทพเซียนอย่างติดอกติดใจ โดยเฉพาะพวกเด็กๆ ที่สนุกสนานรื่นเริง เจ็บใจยิ่งนักที่เมล็ดแตงและขนมขบเคี้ยวในบ้านมีให้กินไม่มากพอ


เทพเซียนสองท่านทะเลาะกันตั้งแต่กลางดึกยันฟ้าสาง ทำเอาเหล่าขุนนางน้อยใหญ่ที่ไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันทั้งคืนไปเข้าประชุมเช้าด้วยอาการอิดโรยอ่อนเพลียกันแทบทุกคน


หลังจบเรื่องมียอดฝีมือคนหนึ่งออกมาให้ข้อสรุปคร่าวๆ เซียนชุดขาวผู้มีที่มาไม่ชัดเจนซึ่งอยู่บนภูเขาตงหัวผู้นั้น นอกจากกระบี่บินสีทองที่เอาออกมาใช้ตอนแรกสุด ตอนหลังลำพังแค่สมบัติอาคมที่ใช้อย่างเปิดเผยก็มีมากถึงยี่สิบหกชิ้น ไม่มีชิ้นใดที่ไม่ส่องแสงแพรวพราว คุณภาพชวนตะลึง ลงมือแต่ละครั้งด้วยวิธีการที่ไม่ซ้ำกันอย่างแท้จริง!


คนสอดรู้สอดเห็นบางคนในเมืองหลวงยังแอบเรียกเขาว่าบรรพบุรุษเฒ่าตระกูลไช่แล้วด้วย


คนตั้งแต่บนจรดล่างของตระกูลไช่จิงเสินที่อยู่ในเมืองหลวงคล้ายเพิ่งจะได้ทำความรู้จักกับบรรพบุรุษคนหนึ่งของตระกูลตัวเองจริงๆ วันต่อมาจึงไม่มีใครกล้าออกจากบ้าน


วันนั้นหลี่ไหวได้รูปปั้นคนจิ๋วทั้งชุดที่หายตัวไปนานกลับคืนมา รวมทั้งคำขอโทษจากอดีตเพื่อนร่วมหอพักที่มาช้าอย่างถึงที่สุดด้วย


นาทีนั้นเด็กชายอ่อนแอขี้กลัว หลี่ไหวที่แท้จริงก็อายุเจ็ดขวบแล้วกลับไม่ได้ดีใจจนน้ำตาไหลพราก แล้วก็ไม่ได้ตัวสั่นด้วยความขลาดกลัว


เด็กชายแค่รู้สึกคิดถึงพ่อแม่และพี่สาวของตัวเอง


หลี่เป่าผิง หลินโส่วอี อวี๋ลู่ เซี่ยเซี่ย เด็กหนุ่มชุดขาวที่เรียกตัวเองว่าชุยตงซาน


เด็กชายล้วนทยอยไปขอบคุณทีละคน


หลินโส่วอีไปที่หอหนังสืออีกแล้ว ในหอพักจึงเหลือแต่เด็กชายเพียงคนเดียว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโดดเรียน แม้จะเรียนหนังสือไม่เกง แต่ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างไร ต่อให้ถูกคนต่อยจนหน้าเขียวปากบวม เด็กชายก็ไม่เคยขาดเรียนสักคาบเดียว ทว่าวันนี้หลี่ไหวนั่งยองอยู่นอกหอพัก ไม่ได้ไปเรียน แต่นั่งตากแสงแดดอันอบอุ่นของฤดูหนาว ใช้กิ่งไม้เขียนชื่อคนในครอบครัวลงบนพื้นเบาๆ


ครั้งนี้เด็กชายไม่ได้ร้องไห้


……


เมืองหลวงต้าสุย คนสามคนที่สวมเสื้อผ้ามอซอสอบถามเส้นทางจากคนเดินผ่าน ก่อนจะเดินมุ่งหน้าไปยังสำนักศึกษาซานหยาอย่างเชื่องช้า


หลังจากบุตรสาวถามทางคนที่เดินผ่านด้วยภาษาทางการต้าสุยติดๆ ขัดๆ อีกครั้ง สตรีแต่งงานแล้วเรือนกายอวบอิ่มโฉมแต่กลับมีโฉมหน้าเผ็ดร้อนก็โมโหจนตบป้าบเข้าที่ศีรษะของผู้ชายตัวเองอีกครั้ง “เจ้าคนไร้ประโยชน์ พอไปถึงสำนักศึกษาเจ้าก็รออยู่ตรงตีนเขานั่นแหละ จะได้ไม่ทำให้ลูกชายอับอายขายหน้า!”


ชายร่างเตี้ยม่อต้อสะพายสัมภาระห่อใหญ่หันกลับไปตอบโต้ภรรยาน้ำเสียงค่อนข้างแข็งกระด้างอย่างที่หาได้ยาก “ยังไงก็ต้องเจอสักหน่อย พวกเราเอาของกินอร่อยๆ มาฝากลูกชายตั้งเยอะ ตอนที่พวกเจ้าแบกขึ้นเขามาก็เหนื่อยกันมาก”


สตรีแต่งงานแล้วโมโหปรี๊ด เท้าเอวด่าอีกรอบ “หลี่เอ้อร์ เจ้ามันก็มีความสามารถแค่นี้แหละ! ดีนักนะ พวกเราสองคนแม่ลูกยังแข็งใจตัดความอาลัยได้ลง บอกว่าจะไปก็คือไป แต่เจ้ากลับดีนัก เป็นลูกผู้ชายแท้ๆ กำลังจะไปแล้วยังจะพูดว่าขอพบหน้าลูกชายอีกสักครั้ง?”


สตรีแต่งงานแล้วยื่นมือไปบิดเนื้อตรงสีข้างบุรุษอย่างแรง บิดอยู่นานอีกฝ่ายก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองจึงได้แต่รามือไปเองด้วยความหงุดหงิด “เรือนกายก็แข็งแรงกำยำ กลับดีแต่เอาแรงมารังแกข้ายามค่ำคืน!”


บุรุษหัวเราะหึหึ


สตรีแต่งงานแล้วเตะป้าบอย่างแรง พูดกระฟัดกระเฟียด “คนบ้า!”


เด็กสาวเรือนร่างอรชรอ้อนแอ้นดุจกิ่งหลิวที่ยืนอยู่ข้างกายบุรุษและสตรีไม่ได้สนใจบิดามารดาที่ทำพ่อแง่แม่งอนใส่กัน เพียงแค่คลี่ยิ้มอ่อนโยน พอนึกถึงน้องชายเกเรของตนที่กำลังจะได้เจอกัน นางก็ให้ดีใจ


จู่ๆ สตรีแต่งงานแล้วก็ตาแดงก่ำ “ไม่รู้ว่าไหวเอ๋อร์อ้วนหรือผอม แต่ขออย่าให้เขาถูกคนรังแกเลย ข้าที่เป็นแม่ ไม่กล้าด่าคนที่นี่หรอกนะ”


บุรุษเงียบงันเป็นปกตินิสัย


สุดท้ายบุรุษเงียบขรึมที่พ่อแม่ตั้งชื่ออย่างไม่ใส่ใจผู้นี้ก็หันไปมองทางสำนักศึกษาแล้วแสยะยิ้ม


รังแกลูกชายข้า?


หึ หากมีจริงๆ ข้าหลี่เอ้อร์ก็จะไปพบชายชาตรีผู้นั้นดูสักครั้ง จะเป็นเรื่องใหญ่แค่ไหนกันเชียว


—–


บทที่ 168.1 บิดาทุกคนในโลกล้วนเป็นวีรบุรุษ

โดย

ProjectZyphon

อาเหลียงเคยหยอกหลี่ไหวว่าเป็นลูกกระต่ายที่เก่งแต่ในผ้าห่มตัวเอง พอไปอยู่ข้างนอกแล้วขี้ขลาด มีความเป็นไปได้ถึงแปดเก้าส่วนว่าหลี่ไหวเรียนรู้มาจากมารดาของเขา นี่ยังไม่ทันไปถึงภูเขาตงหัว ยังได้เห็นแค่ซุ้มป้ายของสำนักศึกษาซานหยา สตรีแต่งงานแล้วก็เริ่มหวาดกลัวเสียแล้ว ไม่เหลือความร้ายกาจของเจ้าแม่ปากจัดผู้ไร้เทียมทานในตรอกซอกซอยของเมืองเล็กอยู่อีกเลย


กลับเป็นผู้ชายของนางเสียอีกที่ยังคงเดินด้วยฝีเท้ามั่นคง ไม่แตกต่างจากการขึ้นเขาลงห้วยทั่วไป หลี่หลิ่วบุตรสาวของเขาก็ไม่ต่างกัน ถึงเวลาที่ควรถามทางก็ถาม ควรขอบคุณก็ขอบคุณ ต่อให้เป็นชาวบ้านของเมืองหลวงต้าสุยที่ขึ้นชื่อเรื่องความเย่อหยิ่งหัวสูงในแถบเหนือของแจกันสมบัติทวีปที่พอเจอกับสาวน้อยงดงามอ่อนโยนแบบนี้ก็ยังต้องแสดงความเป็นมิตรอย่างอดไม่ได้


แม้ว่าสำนักศึกษาซานหยาจะย้ายออกมาจากต้าหลี อีกทั้งยังถูกปลดจากตำแหน่งหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อ สูญเสียพลังต้นกำเนิดไปมหาศาล แต่ลาที่ผอมตายก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า จึงยังคงเป็นสถานที่วิเศษในใจและในสายตาของลูกศิษย์จำนวนนับไม่ถ้วนในต้าสุยอยู่ดี


อีกทั้งการวางตัวของสำนักศึกษาก็ดีไร้ที่ติ ดังนั้นต่อให้คนทั้งสามจะสวมเสื้อผ้าเก่ามอซอ ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายของความบ้านนอกยากจน แต่พอได้ยินว่าเป็นผู้ปกครองของนักเรียนในสำนักศึกษา ผู้คนจึงให้ความเกรงใจอย่างยิ่ง มีคนนำพวกเขาไปพักในสถานที่ซึ่งใช้รับรองแขกที่เดินทางมาไกลโดยเฉพาะของสำนักศึกษาก่อน จากนั้นก็พาพวกเขาไปหาหลี่ไหวที่ห้องเรียน พอรู้ว่าวันนี้หลี่ไหวไม่มาเรียนจึงพาไปยังหอพักของหลินโส่วอี แล้วก็ได้เจอเด็กชายซึ่งนั่งเล่นกิ่งไม้อยู่บนพื้นจริงดังคาด


การที่พวกเขาสามารถตรงมาที่นี่ได้โดยตรงก็เพราะ จะอย่างไรซะเด็กสามคนอย่างหลี่ไหวล้วนเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของอริยะฉีอดีตเจ้าขุนเขา แถมเมื่อไม่นานมานี้ยังสร้างมรสุมยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้น ความเคลื่อนไหวของพวกหลี่ไหวในสำนักศึกษา นิสัยของแต่ละคนเป็นอย่างไร พฤติกรรมเป็นอย่างไร ความรู้มากน้อยแค่ไหน อาศัยอยู่ที่ใด ฯลฯ เป็นเรื่องที่รู้กันเกือบทุกคน


สำหรับเรื่องนี้ อาจารย์ส่วนใหญ่ในสำนักศึกษาที่ไม่ได้กุมอำนาจสำคัญมองมันด้วยสายตาเรียบเฉย ไม่ได้แสดงอารมณ์ดีร้ายออกมาอย่างชัดเจนนัก หูสองข้างของพวกเขาทำเพียงรับฟัง ปากไม่ซักถามสอบเสาะ ใจคิดแต่จะสั่งสอนศิษย์ให้ดีเท่านั้น


พอได้ยินเสียงตะโกนเรียก หลี่ไหวเงยหน้าขึ้น พอเห็นเงาร่างของคนทั้งสามที่คุ้นตาคุ้นใจ เขาก็อึ้งตะลึงไปเล็กน้อยนึกว่าตัวเองฝันไป ขยี้ตาตัวเองแรงๆ ครั้งหนึ่งถึงได้ทิ้งกิ่งไม้ลุกขึ้นยืน วิ่งห้อเข้ามา หันไปกุมมือคารวะขอบคุณอาจารย์ของสำนักศึกษาผู้มีท่าทางสุภาพอ่อนโยนก่อน จากนั้นถึงเงยหน้ามองพ่อแม่และพี่สาวตัวเองด้วยดวงตาแดงก่ำ พูดอะไรไม่ออก


ตอนที่พ่อแม่ไม่อยู่ข้างกายย่อมรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ แต่ก็จำต้องยอมรับ แต่พอพ่อแม่มาปรากฏตัวอยู่ข้างกายจริงๆ กลับรู้สึกว่าความน้อยเนื้อต่ำใจนั้นใหญ่ยิ่งกว่าท้องฟ้าเสียอีก


เพียงแต่ว่าหลี่ไหวคือเด็กที่ต้องเดินทางไกลหลายพันลี้เพื่อมาขอศึกษาต่อ ต่อให้อายุยังน้อย เห็นแม่น้ำภูเขาที่ยิ่งใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วนมาพร้อมกับเฉินผิงอัน เดินทางตั้งแต่ปลายฤดูใบไม้ผลิมาจนถึงต้นฤดูหนาว จึงรู้จักเก็บอารมณ์ ไม่ได้โมโหโวยวายเหมือนตอนอยู่ในเมืองเล็ก และเพียงชั่วพริบตาก็อารมณ์ดีขึ้นมา ใช้มือปาดคราบน้ำตา เอ่ยถาม “พ่อแม่ หลี่หลิ่ว พวกท่านมาได้อย่างไร?!”


อาจารย์ผู้นั้นบอกลาจากไปด้วยรอยยิ้ม ไม่อยู่ขัดขวางครอบครัวที่ได้กลับมาอยู่กันพร้อมหน้า


หลังจากอาจาร์สอนหนังสือท่าทางสุภาพท่านนั้นจากไป สตรีแต่งงานแล้วก็พลันรู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก พุ่งเข้าโอบกอดหลี่ไหว พูดเสียงสะอื้น “ไหวจื่อของข้าทำไมถึงได้ทั้งผอมและดำขนาดนี้ โถ่เอ้ย ใจของแม่จะสลายแล้ว ต้องโทษพ่อเจ้าคนเดียว แก่ปูนนี้แล้ว เดินทางกันไปได้ตั้งไกล จู่ๆ กลับพูดว่าเป็นห่วงเจ้า กลัวเจ้าจะไม่มีเงินกินข้าว กลัวเจ้าป่วยไม่มีคนดูแล พวกเราสามคนปรึกษากันแล้วก็คิดว่าควรจะเดินทางมาดูเจ้าที่สำนักศึกษาสักหน่อย…”


ชายฉกรรจ์ร่างเล็กเตี้ยแต่แข็งแรงคล้ายเหล็กแข็งกระด้างดำทะมึนก้อนหนึ่ง ตอนนี้เขายังคงแบกสัมภาระที่เหมือนภูเขาลูกย่อมเอาไว้ ยกมือเกาหัว พูดด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน “ข้าพูดแค่ประโยคเดียว แค่บอกว่าไม่รู้ว่าไหวจื่ออยู่ในสำนักศึกษาต้าสุยจะได้กินน่องไก่หรือไม่ แม่และพี่สาวเจ้าก็ร้องห่มร้องไห้เสียแล้ว ไม่ว่าปลอบอย่างไรก็ไม่ได้ผล ภายหลังพวกนางสองแม่ลูกก็เลย…”


สตรีแต่งงานแล้วที่ถูกแฉนั่งยองลงบนพื้น หันไปถลึงตาใส่ผู้ชายของตัวเองอย่างดุดัน “ไป๊ๆๆ ปากมากจริงนะเจ้า หากเจ้าไม่คิดถึงไหวจื่อก็ลงไปรอที่ตีนเขาคนเดียวเลยไป”


บุรุษยิ้มเซ่อซ่า แน่นอนว่าไม่ได้ลงเขาไปจริงๆ


สตรีแต่งงานแล้วนั่งยองบนพื้น ลูบศีรษะและแขนเล็กๆ ของบุตรชายแก้วตาดวงใจของตัวเอง แล้วกล่าวอย่างสงสาร “ทำไมถึงได้ผอมขนาดนี้ล่ะ เพราะไม่ได้กินของดี นอนหลับไม่สบายใช่ไหม?”


หลี่ไหวยิ้มกว้าง ทั่วร่างแผ่ความภาคภูมิใจ “กินอร่อย นอนก็หลับ สบายดียิ่งนัก ท่านแม่ ข้าจะบอกท่านให้ มาขอศึกษาต่อที่สำนักศึกษาต้าสุยครั้งนี้ ข้าเดินตามพวกเฉินผิงอันอยู่ด้านหลัง เดินมาด้วยตัวเองตลอดทาง! เส้นทางยาวไกลนักล่ะ ตั้งหลายพันลี้แน่ะ เดินจากบ้านเกิดของพวกเรา มาถึงที่ภูเขาฉีตุนก่อน แล้วก็เมืองหงจู๋ แม่น้ำซิ่วฮวา ด่านเหย่ฟูชาวแดน แล้วก็ผ่านแคว้นหวงถิง…เห็นหรือไม่?”


เด็กชายถอยหลังไปหนึ่งก้าวแล้วยกเท้าตัวเองขึ้นมา “รองเท้าแตะ เฉินผิงอันสานให้ข้า ทั้งแน่นหนาทั้งใส่สบาย ตอนหลังข้าอยากเรียนทำเอง แต่เฉินผิงอันไม่ยอม ท่านแม่ ท่านเดาดูสิว่าข้าเปลี่ยนรองเท้าแตะไปกี่คู่?”


พอคำถามนี้หลุดออกมา สตรีแต่งงานแล้วก็ร้องไห้น้ำตาไหลพรากอย่างอดไม่ไหวอีกต่อไป หลี่หลิ่วบุตรสาวรีบทรุดตัวนั่งยองลง กุมมือมารดาไว้เบาๆ


หลี่ไหวก็งุนงงไปเล็กน้อย ไม่รู้ว่าทำไมมารดาถึงได้เสียใจขนาดนี้ เด็กชายผู้ฉลาดเฉลียวรีบเก็บรองเท้าแตะ กลอกตาไปมาอย่างรวดเร็ว แล้วความคิดดีๆ ก็บังเกิดขึ้น รีบพูดเสียงดัง “ท่านแม่ เข้าไปในห้องกันเถอะ ข้าจะให้พวกท่านได้ดูของดี!”


เข้ามาในหอพักของหลินโส่วอี หลี่ไหวก็ยกหีบหนังสือสีเขียวมรกตใบเล็กขึ้นวางไว้บนโต๊ะ ยกมือสองข้างกอดอกเลียนแบบหลี่เป่าผิง ปรายตามองหลี่หลิ่วพี่สาวของตัวเอง แล้วจึงพูดด้วยท่าทางลำพองใจเลียนแบบเด็กหนุ่มชุดขาวผู้มีไฝแดงกลางหว่างคิ้ว “เป็นไง หีบหนังสือใบเล็กของข้า สวยหรือไม่? อิจฉาหรือไม่?”


หลี่ไหวยังไม่หยุด กล่าวจบก็สะพายหีบหนังสือใบเล็กขึ้นหลังอย่างคุ้นชิน เด็กชายที่สวมรองเท้าแตะแบกหีบหนังสือเดินวนไปรอบโต๊ะหนึ่งรอบ ทำเอาหลี่หลิ่วที่มองดูอยู่ทั้งสงสารทั้งตลก รีบช่วยปลดหีบหนังสือกลับมาวางลงบนโต๊ะ หยาดน้ำตาคลอในดวงตาของนาง ทว่าบนดวงหน้ารูปไข่ห่านสีชมพูอ่อนของนางกลับคลี่ยิ้มอ่อนโยน รอยยิ้มที่เป็นเอกลักษณ์ของเด็กสาวผู้งามมองดูคล้ายสายน้ำในฤดูใบไม้ผลิ


ชายฉกรรจ์พลันถามขึ้นว่า “ตลอดทางมานี้ไม่มีใครรังแกเจ้าใช่ไหม?”


หลี่ไหวส่ายหน้ายิ้ม “ไม่มี”


สตรีแต่งงานแล้วได้ยินประโยคนี้ก็โมโหปรี๊ด “ลูกชายถูกคนรังแกแล้วอย่างไร นิสัยไม่เอาถ่านอย่างเจ้า ตอนอยู่บ้านเกิดมีครั้งไหนบ้างที่ลูกชายถูกรังแกแล้วไม่ใช่แม่อย่างข้าที่ด่ากลับคืน เจ้าจะทำอะไรได้?”


บุรุษหดคอพูดเสียงเบา “ก็นั่นมันที่บ้านเกิด เป็นคนบ้านใกล้เรือนเคียงกันทั้งนั้น ส่วนใหญ่ล้วนนิสัยไม่เลวร้าย ให้ทำลายความปรองดองคงไม่ดี เพราะสุดท้ายก็ต้องเป็นเจ้าภรรยาที่อึดอัดลำบากใจ”


สตรีแต่งงานแล้วตบโต๊ะ “ยังจะกล้าเถียง! เจ้าหลี่เอ้อร์คิดจะก่อกบฏหรือไร? หรือรู้สึกว่าเดินทางออกจากบ้านแล้วความรู้เพิ่มขึ้น คิดจะทิ้งลูกเมีย เปลี่ยนไปหาเมียใหม่ที่สาวและสวย?”


บุรุษกล่าวจนใจ “จะทำอย่างนั้นได้ยังไง”.


สตรีแต่งงานแล้วโมโหหนัก “นั่นก็เพราะเจ้ามีใจคิดเป็นโจรแต่ไม่กล้าทำตัวเป็นโจร รู้ว่าผู้หญิงคนอื่นไม่ชายตาแลเจ้า คราวก่อนพวกเราเจอนางปีศาจขายาว สวมใส่อาภรณ์น้อยชิ้น แค่มองก็รู้ว่าไม่ใช่คนสำรวมอยู่ในกรอบคุณธรรม เจ้าไม่ได้แอบมองนางรึ? น่าขายหน้าจริงๆ นังผู้หญิงอัปลักษณ์ นมมีเนื้อไม่ถึงสองตำลึงยังจะกล้ามาเทียบความงามกับข้า?”


บุรุษทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด นั่งยองบนพื้นแล้วถอนหายใจ กลุ้มจริงๆ


นางปีศาจเฒ่าบนภูเขาผู้นั้นมองดูแล้วยังสาว แต่ในความเป็นจริงกลับมีอายุเจ็ดแปดร้อยปีแล้ว จะดีจะชั่วก็เป็นถึงปีศาจที่ฝึกบำเพ็ญตนจนถึงขอบเขตเก้า หากข้าไม่มองนางสักครั้ง ให้นางได้รู้หนักเบาและความร้ายกาจของข้า นางคงฆ่าคนเอาเนื้อมากินแล้ว หากพวกเจ้าสองแม่ลูกไม่อยู่ข้างกาย ข้าคงต่อยให้นางตายด้วยหมัดเดียวไปนานแล้ว


แต่เรื่องสกปรกโสมมพวกนี้ เขาจะกล้าพูดให้ลูกเมียฟังได้อย่างไร


ชายฉกรรจ์ที่นั่งยองอยู่บนพื้นลืมปลดสัมภาระลง ดังนั้นจึงมองดูเหมือนเขานั่งพิงภูเขาลูกเล็กๆ อยู่


สตรีแต่งงานแล้วคำรามเดือดดาล “ยังไม่รีบเอาของออกมาอีก ทำไม ตัดใจให้ลูกชายไม่ลงงั้นรึ? จะเก็บไว้ให้นางปีศาจจิ้งจอกที่อยู่ข้างนอกหรือไง!”


หลี่เอ้อร์รีบลุกขึ้นยืน เปิดห่อสัมภาระ หยิบเอาอาหาร เสื้อผ้าและหนังสือกองโตวางลงบนโต๊ะ


หลี่ไหวถามอย่างแปลกใจ “บ้านของเรามีเงินขนาดนี้เชียวหรือ?”


สตรีแต่งงานแล้วอธิบายด้วยรอยยิ้ม “พ่อเจ้าเป็นคนโง่ที่มีโชคของคนโง่ พวกเราออกจากบ้านเดินทางไกลในครั้งนี้ ระหว่างทางพ่อเจ้าเจอสมุนไพรส่วนหนึ่งจึงเอาไปขาย ได้เงินมาไม่น้อย เป็นครั้งแรกที่แม่ได้เห็นทองด้วยนะ สีทองอร่ามแวววาว แค่มองก็เบิกบานใจ ตอนนี้แม่เก็บทรัพย์สินไว้ได้บางส่วนแล้ว แต่เจ้าอย่าเพิ่งไปคิดถึงมัน ทรัพย์สินส่วนนั้นเก็บไว้ให้เจ้าแต่งภรรยาในอนาคต”


หลี่ไหวมองพี่สาวที่นั่งอยู่ข้างๆ ไม่พูดไม่จา “เอาไว้เป็นสินเดิมให้พี่สาวข้าก่อนเถอะ ข้าไม่รีบ”


สตรีแต่งงานแล้วพูดเสียงขุ่น “ลูกสาวที่แต่งงานก็เหมือนน้ำที่สาดออกไป เกิดมาก็ขาดทุนแล้ว จะเก็บไว้ให้นางทำไม?”


เด็กสาวเห็นเป็นเรื่องปกติ ไม่รู้สึกโกรธเลยแม้แต่น้อย นางนิสัยอ่อนโยนมีน้ำอดน้ำทนมาตั้งแต่เด็ก ข้อนี้เหมือนบิดาของนาง ไม่เหมือนหลี่ไหวเลย ครอบครัวสี่คนนี้จึงมีชีวิตพึ่งพากันและกัน ลูกชายเหมือนแม่ ลูกสาวเหมือนพ่อ น่าสนใจไม่น้อย


หลี่ไหวส่ายหน้า “ท่านแม่ หากท่านเป็นอย่างนี้ ต่อให้วันหน้าพี่สาวแต่งงานกับคนที่ดี ก็ยังต้องถูกรังแกอยู่ดี ท่านน่ะโชคดีที่ได้เจอคนซื่อสัตย์อย่างท่านพ่อข้า ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามใจท่านหมด หาไม่แล้วหากท่านถูกท่านพ่อรังแก ด้วยนิสัยของพวกท่านลุง ยังจะหวังพึ่งพาคนบ้านเดิมได้หรือ? มีแต่จะเพิ่มความโมโหให้ท่าน ความโมโหทำให้คนป่วยได้ ท่านแม่ ท่านว่าข้าพูดถูกหรือไม่?”


สตรีแต่งงานแล้วสะอึกจนพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว


เด็กสาวเม้มปากลอบยิ้ม


สตรีแต่งงานแล้วจิ้มนิ้วไปที่หน้าผากของบุตรชาว พูดเสียงสะบัด “หนอย โตแล้ว รู้จักช่วยพูดแทนแม่แล้วรึ?”


หลี่ไหวหัวเราะหึหึ หันไปมองพี่สาวที่อยู่ข้างกาย ยิ้มชั่วร้าย “หลี่หลิ่ว ข้าออกจากบ้านครั้งนี้ได้ช่วยเจ้าหาพี่เขยดีๆ ได้หลายคนเลย…”


เด็กสาวกะพริบดวงตาเรียวยาวฉ่ำน้ำคู่นั้นปริบๆ ท่าทางมึนงงเล็กน้อย


สตรีแต่งงานแล้วตบป้าบเข้าที่ศีรษะบุตรชาย โกรธจนกลายเป็นขำ “พูดอะไรของเจ้า! พี่สาวเจ้าแต่งให้ได้แค่คนเดียวเท่านั้น แน่นอนว่าหากแต่งให้กับคนไม่ดี ต้องเหน็ดเหนื่อยลำบากใจ ก็สามารถหย่าได้แล้วค่อยว่ากันใหม่ แต่ผู้หญิงคนหนึ่งห้ามแต่งกับหลายสามี”


หลี่ไหวหัวเราะชั่วร้าย “หลี่หลิ่ว ตอนนี้ข้าพักอยู่กับหลินโส่วอีด้วยนะ”


สตรีแต่งงานแล้วสงสัย “หลินโส่วอีที่บิดาเป็นขุนนางอยู่ในจวนผู้ตรวจการน่ะรึ?”


หลี่ไหวพยักหน้ารับ “เขานั่นแหละ คนที่แย่งพี่สาวข้ากับต่งสุ่ยจิ่งน่ะ ตอนนี้ร้ายกาจนักล่ะ แถมยังดีต่อข้า เมื่อก่อนตอนเรียนอยู่ในโรงเรียน ข้ายังเกลียดขี้หน้าเขาอยู่บ้าง ตอนนี้เพิ่งค้นพบว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นคนดีมาก แค่เย็นชาไปหน่อย ไม่ค่อยดีความอดทนนัก สู้เฉินผิงอันอาจารย์อาน้อยในอนาคตของข้าไม่ได้”


เด็กสาวรับฟังเงียบๆ


 —–

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)