คัมภีร์วิถีเซียน 1674-1676
ตอนที่ 1674 แลกเปลี่ยนประสบการณ์
“พวกนี้ล้วนเป็นอิทธิฤทธิ์เล็กๆ ที่ไม่เพียงพอให้พูดถึง กลับทำให้สหายหลิวเห็นเรื่องขบขันแล้ว” หานลี่ได้ยินกลับแค่นหัวเราะน้อยๆ จากนั้นก็ร่อนลงบนเกาะอย่างเชื่องช้า
หลิวสุ่ยเอ๋อร์ขมวดคิ้วดำขลับ แต่เดิมหมายจะถามอันใดก็ไม่สะดวกที่จะพูดอีก จึงทำได้เพียงกลายเป็นสายรุ้งสีฟ้าร่อนลงมา
ยามนี้สือคุนรออยู่ตรงใจกลางเกาะตั้งนานแล้ว
เขาเห็นหานลี่สำแดงอิทธิฤทธิ์การทลายกำแพงน้ำแข็งเมื่อครู่กับตาตัวเอง แต่กลับมีสีหน้าเรียบเฉยแตกต่างกับท่าทางบ้าคลั่งในยามที่ประมือกันก่อนหน้า
หานลี่เห็นท่าทางอีกฝ่ายเป็นเช่นนี้ก็รู้สึกใจหายวาบ
“พวกเรามีเวลาไม่มาก เริ่มฝึกฝนเคล็ดวิชาประสานการโจมตีกันเถอะ” สือคุนรอจนหานลี่และพวกทั้งสองร่อนลงมาอยู่ใกล้ๆ ก็เบะปากขณะเอ่ย
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ทว่าเคล็ดวิชาลับการประสานการโจมตีนั้นมีทั้งส่วนเสริมและส่วนหลัก ต้องดูอานุภาพของลำแสงเทวะดูดปราณของแต่ละคน ทางที่ดีที่สุดต้องให้ผู้ที่มีอานุภาพสูงสุดควบคุมเคล็ดวิชาลับ เช่นนั้นถึงจะสามารถสำแดงอิทธิฤทธิ์นี้จนถึงขั้นสุดยอดได้ พวกเราสามคนลองสำแดงลำแสงเทวะดูดปราณของตนเองออกมากันเถอะ แล้วค่อยตัดสินใจว่าผู้ใดจะเป็นหลักผู้ใดจะเป็นรอง” หลิวสุ่ยเอ๋อร์พยักหน้าแต่ปากพลันเอ่ยเช่นนี้ออกมา
“ไม่มีปัญหาข้าเองก็คิดเช่นนั้น ว่ากันว่าท่านเซียนหลิวมีร่างดูดปราณโดยกำเนิด แต่ไม่ทราบว่าเทียบกับข้าที่ฝึกฝนร่างดูดปราณมาทีหลังผู้ใดจะแข็งแกร่งกว่า” สือคุนแววตาเปล่งประกาย ใบหน้าเผยแววตื่นเต้นดีใจ
“คงพอกันกระมัง แม้ว่าร่างดูดปราณจะควบคุมได้ดั่งใจแต่การฝึกฝนนั้นกลับยากเย็นแสนเข็ญ มิสู้ผู้ที่ฝึกฝนทีหลังอย่างสหาย ที่สามารถอาศัยพลังภายนอกมาเสริมให้แข็งแกร่งได้อย่างง่ายดาย” หลิวสุ่ยเอ๋อร์เอ่ยด้วยใบหน้าราบเรียบ
“แต่ร่างดูดปราณมีโอกาสที่จะพัฒนาระดับขึ้นได้จะเทียบกับผู้ที่ฝึกฝนมาภายหลังได้อย่างไร และยิ่งไปกว่านั้นเพื่อฝึกฝนร่างนี้ ผู้แซ่สือเคยเสียเปรียบไปไม่น้อย สหายหาน ได้ยินว่าเจ้าไม่เหมือนกับข้าน้อย เป็นการอาศัยสมบัติเทวะดูดปราณชิ้นหนึ่งถึงจะสำแดงลำแสงเทวะนี้ได้เป็นความจริงหรือไม่?” สือคุนหัวเราะหึๆ แล้วหันหน้ามาเอ่ยถามหานลี่
“ใช่แล้ว ลำแสงเทวะดูดปราณของผู้แซ่หานไม่อาจจะเทียบกับทั้งสองท่านได้ จึงไม่ขอเข้าร่วมการทดสอบนี้” หานลี่หัวเราะหึๆ ออกมาแล้วเอ่ยอย่างคร่าวๆ
“พี่หานกล่าวเช่นนี้ข้าน้อยก็จะไม่ฝืนใจ ท่านเซียนหลิว เจ้ากับข้ามาแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันเถอะ” สือคุนได้ยินหานลี่กล่าวเช่นนี้ก็จ้องเขม็งมองชั่วครู่ สุดท้ายก็ไม่เผยท่าทีบังคับจิตใจออกมา
หลิวสุ่ยเอ๋อร์ได้ยินก็เคลื่อนไหวกายโดยไม่ปริปาก บินพุ่งขึ้นไปลอยอยู่กลางอากาศสูงขึ้นไปยี่สิบจั้งเศษ
หญิงสาวผู้นี้มีความคิดอันใดก็สุดจะรู้ได้ แต่ดูเหมือนว่าจะสนใจร่างดูดปราณที่ฝึกฝนมาภายหลังของสือคุนเป็นอย่างมาก
สือคุนร้องคำรามต่ำๆ ผิวมีลำแสงสีเหลืองสว่างวาบ “สวบ” ดังขึ้น บินขึ้นไปเผชิญหน้ากับหญิงสาวสวมงอบ
ร่างของหานลี่เลือนรางไปเล็กน้อยพลางเอาร่างพุ่งห่างออกไปร้อยจั้งเศษแล้วถึงได้ยืนมองด้วยสีหน้าราบเรียบอยู่ไกลๆ
แม้ว่าเขาจะไม่สนใจการแย่งชิงอำนาจหลักในการควบคุมเคล็ดวิชาลับประสานการโจมตี แต่ก็อยากรู้ว่าลำแสงเทวะดูดปราณของทั้งสองคนเป็นอย่างไร
ยามนี้สือคุนที่อยู่กลางอากาศพลันร้องตะโกนออกมา ผิวพลันเปลี่ยนเป็นสีดำกลายเป็น ‘มนุษย์หิน’ สีดำสนิท จากนั้นสองมือพลันร่ายอาคมชั่วพริบตาลำแสงสีเหลืองบนผิวกายก็เปลี่ยนเป็นม่านลำแสงสีเทาขมุกขมัว
นั่นก็คือสัญลักษณ์ที่ลำแสงเทวะดูดปราณที่จะแผ่ออกมาจากร่าง
“ท่านเซียนหลิวรับให้ดีเถิด” เสียงของสือคุนดังขึ้น ไม่เห็นเขาร่ายอาคมใดๆ ก็ยกมือขึ้นกางนิ้วทั้งห้าตะปบไปกลางอากาศ
เสียงแหวกอากาศดังขึ้น!
เสาลำแสงสีเทาต้นหนึ่งพ่นออกมาจากฝ่ามือของเขา แต่เมื่อพ่นออกมาก็สลายตัวออกกลายเป็นเส้นไหมลำแสงสีเทาจำนวนนับไม่ถ้วน
เสียง “เปรี้ยงๆ” ดังขึ้นสนั่นท้องฟ้า
หานลี่เห็นเหตุการณ์นี้ก็หรี่ตาลงเล็กน้อย
หลิวสุ่ยเอ๋อร์มองเห็นฉากนี้กลับใช้มือหนึ่งร่ายอาคมอย่างไม่รีบร้อน เงาร่างอรชรอ้อนแอ้นเปล่งแสงเจิดจ้าพุ่งขึ้นไปพร้อมกับม่านลำแสงสีเทาเช่นกัน กลายเป็นกรงล้อลำแสงขนาดยักษ์เส้นผ่านศูนย์กลางสามสี่จั้งและหมุนวนอย่างช้าๆ ไม่หยุด
ใจกลางของกรงล้อลำแสงแค่กะพริบวาบก็มีลำแสงสีเทาม้วนวนออกไป ตรงไปหาเส้นไหมลำแสงฝั่งตรงข้าม
ชั่วพริบตาที่ทั้งสองปะทะกันก็ระเบิดออก
พลังดั้งเดิมของทั้งสองล้วนอยู่ในระดับเดียวกัน ความมหัศจรรย์ของลำแสงเทวะดูดปราณย่อมไม่อาจกระตุ้นได้ จึงทำได้เพียงอาศัยพลังที่บริสุทธิ์ตัดสินความสูงต่ำเท่านั้น
แต่ในสายตาของหานลี่หลังจากที่การระเบิดจบลงไม่ว่าเส้นไหมลำแสงหรือว่าม่านลำแสงสีเทากลับหายวับไปพร้อมกัน คาดไม่ถึงว่าจะอยู่ในท่าทีเสมอกัน
“เยี่ยม เยี่ยมมาก จากนี้ข้าจะลองทดสอบอีกกระบวนท่า!” สือคุนหัวเราะออกมายกใหญ่สองมือผนึกรวมกันที่บริเวณทรวงอกแล้วโจมตีออกไป
ชั่วขณะนั้นร่างสีดำสนิทพลันสั่นเทา ลำแสงสีเทาบนผิวกายเปล่งแสงเจิดจ้าจนแสบตา ร่างทั้งร่างราวกับกลายเป็นดวงอาทิตย์สีเทาดวงหนึ่ง เปล่งแสงสว่างวาบอยู่บนท้องฟ้าทำให้ผู้คนไม่กล้าสบตาตรงๆ
เมื่อหลิวสุ่ยเอ๋อร์เห็นเหตุการณ์นี้ใบหน้าใต้งอบก็แข็งค้าง เผยสีหน้าเคร่งขรึมออกมาเป็นครั้งแรก สองมือร่ายอาคมนิรนามอย่างรวดเร็วโดยไม่พูดไม่จา ในเวลาเดียวกันปากก็บริกรรมคาถา
ผลคือลำแสงสีเทาที่แผ่นหลังของนางพลันเลือนรางลง คาดไม่ถึงว่าจะหมุนวนอย่างรวดเร็ว และยิ่งไปกว่านั้นอักขระยันต์จำนวนนับไม่ถ้วนพลันทะลักออกมาจากวงล้อลำแสง แล้วแตกตัวออกแล้วผนึกรวมตัวกันใหม่อย่างรวดเร็ว
ชั่วพริบตาอักขระยันต์ยักษ์นิรนามตัวหนึ่งก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นตรงใจกลางวงล้อลำแสง
“ไป”
สือคุนคำรามด้วยเสียงทุ้มต่ำ แขนสองข้างเคลื่อนไหวพร้อมกัน กลายเป็นเงาลวงตาจำนวนนับไม่ถ้วนโจมตีไปเบื้องหน้าราวกับว่าจะโจมตีเป็นกำปั้นจำนวนนับไม่ถ้วนออกไปในพริบตา
เงากำปั้นทุกกำปั้นสั่นไหวกลายเป็นดวงแสงสีเทาขนาดเท่าศีรษะลูกหนึ่งพุ่งออกไป
ชั่วพริบตานั้นดวงแสงสีเทาจำนวนนับไม่ถ้วนพลันแผ่ลำแสงเจิดจ้าออกมา ทะลักไปทางหญิงสวมงอบอย่างทะมึนทึบ เสียงหวีดร้องดังขึ้นท่าทางน่าตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีที่น่าตกตะลึงเช่นนี้ หลิวสุ่ยเอ๋อร์กลับแค่แค่นเสียงด้วยความเย็นชา นิ้วเรียวราวกับต้นหอมชี้ไปทางฝั่งตรงข้ามเบาๆ เท่านั้น
วงล้อลำแสงสีเทาด้านหลังก็เปล่งเสียงหึ่งๆ ออกมาสั่นเทาแล้วหยุดเคลื่อนไหว อักขระยันต์ยักษ์พุ่งออกมาจากวงล้อลำแสง
ฉากที่แปลกประหลาดพลันปรากฏขึ้น
เมื่ออักขระยันต์พุ่งออกมาลำแสงสีเทาก็แผ่ขยายออกมา แค่กะพริบวาบๆ ก็มีขนาดยี่สิบสามสิบจั้งแทบจะปกคลุมกว่าครึ่งท้องฟ้าแล้วกระโจนไปหาดวงแสงสีเทาฝั่งตรงข้าม
อย่างเงียบเชียบ
ดวงแสงสีเทาจำนวนนับไม่ถ้วนโจมตีไปบนอักขระยันต์ คาดไม่ถึงว่าจะแค่กะพริบวาบแล้วค่อยทยอยกันจมหายไป ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ อีกราวกับโคลนที่จมลงสู่มหาสมุทร
ครานี้ลำแสงสีเทาบนทั้งสองมือพลันกะพริบวาบ สือคุนที่เดิมทีคิดจะโจมตีระลอกสองพลันตกตะลึงและหยุดชะงัก หลังจากผ่านไปชั่วครู่ถึงได้หัวเราะอย่างขมขื่น
“ไม่สู้แล้ว คู่ควรกับที่เป็นร่างดูดปราณโดยกำเนิดจริงๆ ไม่ใช่สิ่งที่ฝึกฝนภายหลังอย่างข้าจะเทียบเทียมได้ แค่มือเดียวเจ้าก็อยู่ในสภาวะไร้เทียมทานแล้ว”
สือคุนกับอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นว่าตัวเองไม่อาจเอาชนะได้ ก็ไม่คิดจะพัวพันให้ไร้ประโยชน์ต่อไปอีกจึงเอ่ยปากยอมแพ้ ร่างกายพลิ้วไหวกลับมาอยู่บนพื้นดิน
“สหายสือเองก็ไม่ต้องเสียใจหากไม่ใช่เพราะการโจมตีเมื่อครู่ของสหายน่าตกตะลึงเกินไป ข้าเองก็คงไม่สำแดงอิทธิฤทธิ์ที่เพิ่งเรียนรู้มาใหม่นี้ ความจริงแล้วจากพลานุภาพของลำแสงเทวะดูดปราณ การโจมตีของสหายเมื่อครู่ก็ไม่ต่างอะไรจากข้านัก” หลิวสุ่ยเอ๋อร์กลับตอบกลับพร้อมหัวเราะแผ่วเบา จากนั้นก็ชี้ไปที่อักขระยันต์ยักษ์อีกครั้ง
อักขระยันต์เรือนร่างสีเทาเปล่งแสงสว่างวาบแล้วปริแตกออก สุดท้ายก็กลายเป็นลำแสงวิญญาณม้วนวนกลับไป กลายเป็นม่านลำแสงสีเทาแล้วจมหายเข้าไปในวงล้อลำแสงสีเทาอีกครั้ง
จากนั้นหญิงสาวผู้นี้ก็โบกสะบัดแขน วงล้อลำแสงที่แผ่นหลังเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป นางก็ร่อนลงมาด้านล่างเช่นกัน
“หึๆ สหายหลิวไม่จำเป็นต้องปิดทองบนหน้าของผู้แซ่สือ ข้าน้อยย่อมรู้ดี เมื่อครู่ผู้แซ่สือทุ่มสุดกำลังแล้วแต่ลำแสงเทวะดูดปราณของสหายหลิวเกรงว่าคงจะใช้แค่หกเจ็ดส่วนแค่นั้น สหายหานนั้นไม่ต้องพูดถึง ความสามารถของผู้แซ่สือเทียบกับท่านเซียนไม่ได้” ผู้แซ่สือกลับเอ่ยอย่างจริงใจออกมาอย่างไม่ใส่ใจเลยสักนิด
“พี่สือยอมรับว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่านเซียนหลิว ลำแสงเทวะดูดปราณของผู้แซ่หานเป็นแค่การอาศัยพลังของของนอกกาย อานุภาพย่อมไม่คู่ควรให้เอ่ยถึง” หานลี่ได้ยินคำพูดของสือคุนกลับเอ่ยพร้อมกลั้วหัวเราะ
หลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนไม่อาจเชื่อคำพูดของหานลี่ได้ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายอาศัยอิทธิฤทธิ์ของสมบัติเทวะดูดปราณก็เป็นแค่ของจิ๊บจ๊อยชิ้นหนึ่ง คิดดูแล้วคงไม่อาจจะเทียบกับพวกเขาทั้งสองได้
ทันใดนั้นทั้งสองก็เอ่ยอย่างเกรงใจกันอีกสองสามประโยค ไม่ได้มีเจตนาจะลงมือทดสอบหานลี่
พวกเขากลับไม่รู้ว่าสมบัติของหานลี่คือภูเขาเทวะดูดปราณทั้งลูก มิเช่นนั้นคงไม่อาจคิดเช่นนี้ได้
การประมือครั้งนี้ย่อมเป็นการยืนยันว่าเคล็ดวิชาลับประสานการโจมตีนี้จะให้หลิวสุ่ยเอ๋อร์เป็นหลัก หานลี่และสือคุนเป็นรอง
ทั้งสามคนวางเขตอาคมลวงตาขนาดใหญ่ลงบริเวณรอบทันที สร้างภาพลวงตาให้บนเกาะเป็นดังยามปกติแล้วเริ่มฝึกฝนการประสานการโจมตีด้วยกัน
เวลาสิบกว่าวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในช่วงเวลานี้ไม่มีผู้ใดหรืออสูรทะเลใดมาเข้าใกล้เกาะแห่งนี้ แน่นอนว่าไม่มีเรื่องใดๆ เกิดขึ้น
ผลคือผ่านไปอีกสามสี่วันเขตอาคมลวงตาในเกาะพลันสลายตัวออก จากนั้นเงาร่างทั้งสามก็บินออกจากเกาะ แค่กะพริบวาบก็หยุดอยู่กลางอากาศ
ทั้งสามคนนี้ย่อมเป็นหานลี่และพวก
ดวงตาสดใสของหญิงสวมงอบแฝงไปด้วยความดีใจ หานลี่มีสีหน้าราบเรียบส่วนสือคุนกลับมีสีหน้าไม่แยแส
ดูแล้วการฝึกฝนบนเกาะของพวกเขาคงราบรื่นมาก
“คิดไม่ถึงว่าการฝึกฝนเคล็ดวิชาผสานการโจมตีด้วยลำแสงเทวะดูดปราณนี้จะราบรื่นถึงเพียงนี้ เราสามคนใช้เวลาเพียงสิบวันก็ควบคุมได้ดั่งใจแล้ว” หลิวสุ่ยเอ๋อร์เอ่ยปากด้วยความซาบซึ้งใจ
“หึๆ นี่เป็นเพราะความรู้ในด้านลำแสงเทวะดูดปราณของสหายหลิวเหนือกว่าพวกเราสองคน การฝึกฝนเคล็ดวิชานี้จึงทำให้ข้าและสหายหานได้ประโยชน์ไม่น้อย” สือคุนกลับเอ่ยพร้อมหัวเราะหึๆ
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ ข้าน้อยเองก็คิดไม่ถึงว่าลำแสงเทวะดูดปราณจะสามารถทำเช่นนี้ได้ ต้องขอบคุณท่านเซียนหลิวที่ชี้แนะอย่างไม่เสียดายแล้ว” หานลี่เองก็เผยรอยยิ้มออกมาขณะเอ่ย
“สหายทั้งสองเกรงใจเกินไปแล้ว น้องหญิงเองก็อาศัยที่มีร่างดูดปราณถึงได้เรียนรู้เรื่องนี้ได้ คิดดูแล้วหากเปลี่ยนเป็นสหายทั้งสอง สิ่งที่เรียนรู้ได้ก็คงเหนือกว่าข้า” หลิวสุ่ยเอ๋อร์หัวเราะน้อยๆ ขณะตอบกลับ
“พวกเราสามคนไม่ต้องเกรงใจกันแล้ว ตอนนี้รีบไปตามหาเขตแดนต้องห้ามในซากปรักหักพังกันเถิด ในผืนน้ำแห่งนี้ไม่อาจมั่นใจได้ว่าอยู่ที่ใดกันแน่ จำต้องหาแผ่นดินก่อนถึงจะตัดสินใจในขั้นต่อไปได้” สือคุนเบะปากขณะเอ่ย
ได้ฟังสือคุนเอ่ยเช่นนี้หานลี่และหลิวสุ่ยเอ๋อร์ย่อมไม่มีข้อคิดเห็น
ทันใดนั้นทั้งสามก็กลายเป็นลำแสงหลีกหนีบินแหวกอากาศบินไปยังทางที่ตกลงกันไว้
ตอนที่ 1675 วานรป้อมปราการมหาสมุทร
ทั้งสามคนบินไปได้สี่วันสี่คืน คาดไม่ถึงว่าระหว่างทางจะได้พบกับเกาะอีกสามสี่เกาะ
เกาะเหล่านี้ล้วนถูกอสูรมหาสมุทรอื่นๆ ยึดครอง พลังปราณล้วนแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง
กลิ่นอายระดับนี้ แม้ว่าจะไม่ได้ทำให้ทั้งสามคนตกใจจนหนีกระเจิง แต่ก็เห็นได้ชัดว่าแข็งแกร่งกว่าปลาหมึกยักษ์ตัวนั้นมาก ต่อให้ทั้งสามคนร่วมมือกันก็ยังจัดการได้ยาก
นี่จึงทำให้หลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนล้วนขบคิดในใจว่าโชคดีแล้ว
โชคดีที่เชื่อคำพูดของหานลี่ มิเช่นนั้นการเดินทางครั้งนี้ เกรงว่ามีเพียงต้องไปถึงแผ่นดินใหญ่ถึงจะมีโอกาสฝึกบำเพ็ญเพียรเคล็ดวิชาลับผสานการโจมตีแล้ว
แต่แผ่นดินที่มั่นคง จะหาได้ง่ายดายเช่นนั้นที่ไหนกัน
ยามเช้าตรู่วันที่ห้า ในที่สุดบนผิวมหาสมุทรที่ไกลออกไปพลันมีเส้นสีดำสายหนึ่งปรากฏขึ้น มองเห็นแผ่นดิน
ทั้งสามคนล้วนอดที่จะเผยสีหน้ายินดีออกมาไม่ได้
“ในที่สุดก็บินออกจากมหาสมุทรประหลาดนี้ได้แล้ว” สือคุนหัวเราะร่าขณะเอ่ย
“สหายสือระวังหน่อยก็ดี จากประสบการณ์ของคนรุ่นก่อน อันตรายบนแผ่นดินใหญ่นั้นมีมากกว่าในมหาสมุทรมาก พอพวกเราไปถึงแผ่นดินทางที่ดีที่สุดก็คือเก็บกลิ่นอายไว้หน่อยดีกว่า จะได้ไม่ไปรบกวนอสูรโบราณใดๆ” หลิวสุ่ยเอ๋อร์พลันรู้สึกดีใจเช่นกัน แต่กลับเอ่ยเตือนขึ้น
“เซียนหลิวโปรดวางใจ แม้ว่าผู้แซ่สือจะชอบทำสงคราม แต่ก็ยังรู้ว่าอันใดสำคัญอันใดไม่สำคัญดี” สือคุณตอบอย่างไม่สนใจ
หญิงสาวสวมงอบได้ฟังถึงได้รู้สึกผ่อนคลายลง
เดิมจากระดับและประสบการณ์ของอีกฝ่าย เรื่องเหล่านี้ล้วนไม่จำเป็นต้องให้นางเอ่ยอันใด แต่สือคุนก็ก้าวร้าวเกินไป นางถึงได้เอ่ยปากเช่นนี้ออกมา
หานลี่เห็นเช่นนั้น มุมปากก็เผยรอยยิ้มออกมา ฉับพลันนั้นระหว่างผิวมหาสมุทรที่ไกลออกไปพลันมีพายุก่อตัวขึ้น หมอกวารีสีขาวโพลนกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นบนผิวมหาสมุทร และแพร่กระจายตัวออกไปอย่างรวดเร็ว
“นั่นคืออันใด?” หานลี่พลันตกตะลึง คำพูดที่ติดอยู่ริมฝีปากพลันเปลี่ยนเนื้อหาไปอย่างไม่รู้ตัว
หลิวสุ่ยเอ๋อร์และพวกย่อมมองเห็นสถานการณ์ประหลาดนี้เช่นกัน จึงอดที่จะมองสบตากันไม่ได้
ไม่ต้องให้ผู้ใดพูดอันใด ลำแสงหลีกหนีทั้งสามคนพลันเปล่งแสงสว่างวาบ แต่ละคนล้วนปรากฏตัวขึ้นที่เดิม และมองไปยังมหาสมุทรที่ไกลออกไปพร้อมกัน
แทบจะในเวลาเดียวกันที่ทั้งสามคนเคลื่อนไหว ขอบมหาสมุทรที่ไกลออกไปพลันมีเสียงร้องคำรามดังมา กลายเป็นทะเลหมอกหมุนวนสีขาวขนาดสองสามหมู่ ผิวมหาสมุทรในบริเวณใกล้เคียงพลันเกิดระลอกคลื่น
กลิ่นอายที่น่าตกตะลึงพลันระเบิดออกมาในเวลาเดียวกัน ไอหมอกพวยพุ่งขึ้นไปจากด้านล่าง!
จากนั้นอสูรยักษ์ที่ร่างกายใหญ่กว่าปลาหมึกยักษ์หลายเท่าพลันปรากฏออกมาจากมหาสมุทร มองเห็นขนปุกปุยลางๆ แต่เป็นอสูรประหลาดรูปร่างเหมือนวานรยักษ์มีเขาเดี่ยวงอกออกมาบนหัว
เมื่ออสูรประหลาดตัวนี้บินออกมาจากผิวน้ำ ก็ชูคอเปล่งเสียงร้องออกมาท่ามกลางเมฆหมอก คาดไม่ถึงว่าเสียงจะแหลมสูงฟังยากเพียงนี้
แต่หานลี่และพวกทั้งสามได้ยินเสียงคำรามก็หน้าเปลี่ยนสี บนเรือนกายเปล่งแสงสว่างวาบอย่างรวดเร็ว ทุกคนล้วนมีลำแสงหนาๆ ชั้นหนึ่งห่อหุ้มตนเองเอาไว้ และเผยแววตาหวาดกลัวออกมาขณะมองสบตากันแวบหนึ่ง
ที่แท้เมื่อเสียงร้องแหลมๆ เมื่อครู่เข้าไปในโสตประสาทของพวกเขาก็รู้สึกหูอื้อทันที ความเจ็บปวดส่งเข้ามาราวกับว่าโลหิตบริสุทธิ์ทั่วสรรพางค์กายหมุนวน ทำให้แขนขาของเขาอ่อนแรง
นี่จะไม่ทำให้พวกเขาตกใจได้อย่างไร
แต่ทั้งสามคนนั้นไม่รู้ว่าทุกอย่างนี้เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น
ครู่ต่อมาเสียงร้องแหลมๆ ของอสูรมหาสมุทรที่ดูเหมือนวานรยักษ์ก็เปลี่ยนไป กลายเป็นเสียงคำรามราวกับฟ้าผ่า
เสียงคำรามดังอย่างต่อเนื่องไม่หยุด สั่นสะเทือนท้องฟ้าในบริเวณใกล้เคียงจนเกิดเสียงอื้ออึง!
ภายใต้เสียงคำราม ไม่เพียงทะเลหมอกในบริเวณรอบจะสลายหายไปอย่างรวดเร็ว แม้แต่วารีมหาสมุทรในบริเวณใกล้เคียงก็ถูกคลื่นเสียงส่งผลกระทบ จนกลายเป็นกระแสน้ำวนขนาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากัน
มัจฉามหาสมุทรหลากชนิดจำนวนนับไม่ถ้วนขึ้นมาจากก้นสมุทรลอยอยู่บนผิวน้ำ คาดไม่ถึงว่าจะถูกเสียงคำรามของอสูรมหาสมุทรทำให้ตกใจจนขาดใจตาย
ยามนั้นผิวมหาสมุทรในระยะร้อยลี้พลันกลายเป็นสีขาว ซากศพของมัจฉามหาสมุทรลอยเกลื่อนกลาด
ยามนั้นหานลี่และพวกทั้งสามคนที่อยู่ในรัศมีเสียงคำรามเช่นกัน ไม่เพียงเกราะป้องกันร่างกายจะสั่นไหวราวกับถูกโจมตีอย่างรุนแรง สีหน้าของทั้งสามคนก็ดูไม่ได้เช่นกัน
ใบหน้าที่อยู่ใต้งอบของหลิวสุ่ยเอ๋อร์ซีดขาว ร่างกายสั่นเทาอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ ราวกับว่าอาจจะร่วงลงมาได้ตลอดเวลา
ส่วนสือคุนแม้ว่าร่างกายจะยังคงมั่นคงดุจภูผา แต่ใบหน้าที่เดิมทีโหดเหี้ยมในยามนี้กลับมีเส้นเลือดสีเขียวปูดโปน ดวงตาทั้งสองข้างถลนออกมา ท่าทางราวกับกำลังพยายามอย่างสุดชีวิต
กลับเป็นหานลี่ที่มีท่าทีผ่อนคลายที่สุด แค่หน้าซีดขาวไปส่วนหนึ่งเท่านั้น
แต่สิ่งที่แปลกประหลาดก็คือ ทั้งๆ ที่เสียงคำรามมีพลังแรงกดกับทั้งสามคนมหาศาล แต่ทั้งสามคนกลับลอยอยู่กลางอากาศ ราวกับว่าสองขามีรากงอกออกมาจนไม่อาจขยับเขยื้อนได้
ตั้งแต่ที่อสูรยักษ์เปล่งเสียงร้องคำรามออกมามันกลับยิ่งน่าตกตะลึงขึ้นเรื่อยๆ แม้กระทั่งท่ามกลางเสียงคำรามนั้นกลับมีระลอกคลื่นโปร่งใสที่มองเห็นได้ด้วยตาเนื้อพ่นออกมา แล้วแผ่ไปทั่วทั้งสี่ทิศ
ผิวน้ำในบริเวณรอบถูกระลอกคลื่นโปร่งใสม้วนเข้าไป เว้าลงไปเป็นหลุมลึกสิบจั้งเศษ คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็น ‘หลุมน้ำ’ ขนาดยักษ์บนผิวน้ำ ขอบของมันยังขยายใหญ่ด้วยความเร็วที่น่าสะพรึงกลัว
ชั่วพริบตาระลอกคลื่นสูงสามร้อยจั้งก็ก่อตัวขึ้น ด้านหลังราวกับมีพลังมหาศาลกลุ่มหนึ่งพยายามผลักดันมาอย่างไรอย่างนั้น และม้วนไปทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้าน
แม้ว่าหานลี่และพวกจะยังอยู่ห่างออกไปยี่สิบสามสิบลี้ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะได้รับผลกระทบในทันใด
ครานี้แววตาของหลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนพลันเผยแววตาตกตะลึงออกมา แต่ทั้งสองคนยังคงรั้งอยู่ไกลๆ ไม่อาจขยับเขยื้อนกายได้เลยสักนิด
มองเห็นระลอกคลื่นโปร่งใสกะพริบวาบสองสามครั้ง หลังจากอยู่ห่างจากพวกเขาไปไม่ถึงสองสามลี้ สือคุนก็อ้าปากออก คาดไม่ถึงว่าจะเปล่งเสียงประหลาดๆ ออกมาจากลำคอ ร่างกายสูงใหญ่เปล่งแสงสีเหลืองสว่างวาบในเวลาเดียวกัน แต่สุดท้ายก็ไม่อาจทำให้ร่างกายขยับเขยื้อนได้
เช่นนั้นใบหน้าของสือคุนก็เผยสีหน้าร้อนใจออกมา หน้าผากมีเหงื่อเม็ดโตผุดออกมา
แววตาของหลิวสุ่ยเอ๋อร์เผยสีหน้าหวาดกลัวออกมาเช่นกัน แต่ก็มีท่าทีทำอันใดไม่ถูก
มองเห็นทั้งสองคนมองระลอกคลื่นโปร่งใสเข้ามาประชิดในชั่วพริบตา หมายจะม้วนพวกเขาเข้าไปข้างใน
ใบหน้าของหานลี่กลับเปล่งแสงสีทองสว่างวาบ จากนั้นก็แค่นเสียงหึอย่างเย็นชา
เสียงนี้ดูเหมือนไม่ดังนัก แต่เมื่อเข้ามาในโสตของหลิวสุ่ยเอ๋อร์และพวกทั้งสอง กลับทำให้พวกนางตัวสั่นสะท้าน จากนั้นผิวพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ใบหน้ากลับเผยสีหน้าดีอกดีใจอย่างบ้าคลั่งออกมา
สือคุนใช้เท้าหนึ่งเหยียบไปกลางอากาศด้านล่าง กลายเป็นลำแสงสีเหลืองสายหนึ่งพุ่งออกไปด้านหลัง
ส่วนหลิวสุ่ยเอ๋อร์กลับใช้มือหนึ่งร่ายอาคม ร่างกายรางเลือนไปเล็กน้อย ชั่วพริบตานั้นก็หายวับไปจากที่เดิม
รอให้ร่างกายปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง คนก็อยู่ห่างออกไปร้อยจั้งเศษแล้ว
กะพริบวาบเรืองๆ อยู่อย่างนั้น สตรีผู้นั้นก็หนีออกไปสิบจั้งเศษ ชิงไปอยู่ด้านหน้าสือคุน
ในเวลาเดียวกันนั้นหานลี่ก็แค่นเสียงหึอย่างเย็นชาออกมา กลายเป็นลำแสงสีทองสายหนึ่งพุ่งแหวกอากาศออกไป
เมื่อทั้งสามบินออกมาได้สามสิบสี่สิบลี้ในรวดเดียว ในที่สุดถึงได้หม่นแสงลงแล้วหยุดลำแสงหลีกหนีลงอีกครั้ง พลางหันกลับมามอง
เห็นเพียงระลอกคลื่นโปร่งใสหมุนวน หลังจากอยู่ห่างจากพวกเขาไปเจ็ดแปดลี้ ในที่สุดอานุภาพก็มลายหายไป
ทั้งสามคนกลับไม่รู้ว่าในยามที่พวกเขากลับมาเคลื่อนไหวได้นั้น ดวงตากลมโตขนาดใหญ่ทั้งสองข้างของอสูรมหาสมุทรที่ดูเหมือนวานรยักษ์ก็ฉายแววโหดเหี้ยม หัวบิดเบี้ยวเล็กน้อย มองมาทางพวกเขาแวบหนึ่ง แล้วหันกลับไปมองทางริมฝั่งอีกครั้งราวกับไม่มีอันใดเกิดขึ้น ปากยังคงเปล่งแสงร้องคำรามดังสนั่นไม่หยุด
……
“นี่มันอสูรมหาสมุทรอันใด เหตุใดถึงมีอานุภาพยิ่งใหญ่เพียงนี้ แค่เสียงคำรามก็มีผลต่อกายเนื้อและพลังปราณในร่างของพวกเรา หรือว่าจะเป็นวานรยักษ์ภูเขาเที่ยงแท้ในตำนาน?” สือคุนพ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง มองไปยังอสูรยักษ์ที่อยู่ไกลออกไป พลางเอ่ยออกมาอย่างตกตะลึง
“ไม่ใช่วานรยักษ์ภูเขาเที่ยงแท้แน่ หากเป็นจิตวิญญาณเที่ยงแท้จริงๆ พวกเราจะยังยืนหยัดมาถึงตอนนี้ได้หรือ คงถูกเสียงคำรามครั้งแรกของอีกฝ่ายทำให้เพลี่ยงพล้ำไปแล้ว ต่อให้ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในระดับจิตวิญญาณเที่ยงแท้ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะไปหาเรื่องได้ ข้ากลับรู้สึกว่ามันคล้ายกับ ‘วานรป้อมปราการมหาสมุทร’” หลิวสุ่ยเอ๋อร์ดูเหมือนว่าจะกลับมาเยือกเย็น แล้วเอ่ยอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
“วานรป้อมปราการมหาสมุทร! คือวานรโหดเหี้ยมที่ฉีกทึ้งมังกรวารีและกลืนมันลงไปทั้งเป็นในตำนาน!” สือคุนได้ยินก็สูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไปเฮือกหนึ่ง
“น่าจะเป็นอสูรตัวนี้ไม่ผิด ถึงอย่างไรเสียอานุภาพเสียงคำรามสวรรค์ของวานรป้อมปราการมหาสมุทรก็มีชื่อเสียงเลื่องลือมาตั้งแต่อดีตกาลแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นพวกเราหนีรอดมาได้ กว่าครึ่งคงเป็นเพราะการโจมตีเมื่อครู่ของอสูรตัวนี้ไม่ได้พุ่งมาหาพวกเรา แค่ประตูเมืองไฟไหม้เป็นภัยลามถึงปลาในสระเท่านั้น” หลิวสุ่ยเอ๋อร์หัวเราะอย่างขมขื่นขณะเอ่ย
“หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ พวกเราหนีมาได้ ก็นับว่าโชคดีมากแล้ว ทว่าหากไม่ใช่เพราะเมื่อครู่พี่หานเพิ่งจะลงมือช่วยเหลือ เซียนหลิวและข้าก็ยังคงตกอยู่ในหายนะแน่” หลังจากที่สือคุนไตร่ตรองเล็กน้อย ฉับพลันนั้นก็มองไปทางหานลี่ด้วยใบหน้าแปลกประหลาด
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ คิดไม่ถึงเลยว่าพี่หานจะมีอิทธิฤทธิ์เช่นนี้ คาดไม่ถึงว่าจะทำลายเคล็ดวิชาลับคำรามของวานรป้อมปราการมหาสมุทรได้” หลิวสุ่ยเอ๋อร์กลอกตาไปมาเช่นกัน พลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจเล็กน้อย
“ไม่มีอันใด ผู้แซ่หานแค่บังเอิญฝึกฝนเคล็ดวิชาลับมาชนิดหนึ่งที่สามารถต้านทานเสียงคำรามอสูรตัวนี้ได้เท่านั้น นี่เป็นเพราะพวกเราหนีมาไกลพอ และยิ่งไปกว่านั้นยังได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อย มิเช่นนั้นข้าน้อยคงรักษาชีวิตได้ยาก” หานลี่กลับเอ่ยอย่างราบเรียบ
เมื่อได้ยินหานลี่เอ่ยเช่นนี้ หลิวสุ่ยเอ๋อร์และพวกทั้งสองก็อดที่จะมองสบตากันแวบหนึ่งไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“ไม่ว่าจะว่าอย่างไร ก็นับว่าพี่หานได้ช่วยน้องหญิงและพี่สือครั้งหนึ่ง บุญคุณครั้งนี้คงต้องตอบแทนในภายหลังแล้ว” หลังจากที่หลิวสุ่ยเอ๋อร์ครุ่นคิดไปเล็กน้อยก็ยังคงฉีกยิ้มเบิกบาน
“ใช่แล้ว น้ำใจครั้งนี้ผู้แซ่สือจะรับเอาไว้ วันหน้าจะต้องช่วยสหายให้ได้” สือคุนเอ่ยอย่างราบเรียบ
“เหตุใดสหายทั้งสองจึงต้องใส่ใจเรื่องนี้ด้วย อันตรายในแดนกว้างเย็นนี้มีมาก อสูรโบราณที่เหมือนกับวานรป้อมปราการมหาสมุทรยังมีอีกตั้งไม่รู้เท่าไหร่ ไม่แน่ว่าครั้งต่อไปอาจจะเป็นข้าน้อยที่ต้องการให้สหายทั้งสองลงมือช่วยเหลือ” หานลี่ได้ยินคำพูดของทั้งสองคนก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้มบางๆ
“สหายหาน เจ้า…” หลิวสุ่ยเอ๋อร์หัวเราะน้อยๆ ออกมาพลางคิดจะเอ่ยอันใดสักอย่าง
แต่ในยามนั้นเองฉับพลันนั้นท่ามกลางเสียงคำรามที่ดังแว่วมา พลันมีเสียงเพรียกยาวๆ แปลกประหลาดอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น แต่ก็ไพเราะเป็นอย่างยิ่ง ราวกับเสียงจากธรรมชาติอย่างไรอย่างนั้น
ทำให้หานลี่และพวกทั้งสามตกตะลึงหยุดพูดคุยกันทันที พลางมองไปยังจุดที่ไกลออกไปอีกครั้ง
ระยะห่างขนาดนี้ แม้ว่าหมอกสีขาวจะถูกสั่นคลอนจนสลายหายไป แต่ก็ทำให้ทั้งสามคนมองเห็นทุกอย่างเพียงคร่าวๆ เท่านั้น
ดูเหมือนว่าบนฝั่งตรงข้ามของวานรป้อมปราการมหาสมุทร มีวิหคยักษ์สีม่วงตัวหนึ่งบินมา ปากก็เปล่งเสียงร้องไม่หยุด
แม้ว่าจะอยู่ค่อนข้างไกลจนไม่อาจมองเห็นได้ชัด แต่ขนาดของมันก็ไม่แตกต่างจากวานรยักษ์เท่าใดนัก
และยิ่งไปกว่านั้นวิหคตัวนี้เผชิญหน้ากับเสียงคำรามสนั่นของวานรมหาสมุทร ร่างกายก็ไม่ได้ผลกระทบเลยแม้แต่น้อย พลางพุ่งตัวโถมเข้าไป
ตอนที่ 1676 ป่าอสูรลับ
“แย่แล้ว จะต้องเป็นวิหคที่ไม่ด้อยไปกว่าวานรมหาสมุทรอย่างแน่นอน รีบไปเถิด พวกเราอยู่ที่นี่ไม่ปลอดภัย” เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าหลิวสุ่ยเอ๋อร์ก็หน้าเปลี่ยนสี จากนั้นสองมือก็ร่ายอาคมอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย กลายเป็นสายรุ้งสีฟ้าสายหนึ่งพุ่งแหวกอากาศไป
ไม่ต้องให้หญิงสาวผู้นี้เตือนสติ หานลี่และสือคุนก็รู้ว่าหากต่อสู้กับอสูรโบราณทั้งสองตัว ไม่ว่าอานุภาพหรือว่าอาณาเขตของระลอกคลื่นก็ไม่อาจเทียบกับก่อนหน้าได้
ทั้งสองแทบจะกลายเป็นสายรุ้งอีกสองสายไล่ตามหญิงสาวสวมงอบไปติดๆ เปล่งแสงสว่างวาบแล้วบินไปยังขอบฟ้า
ลำแสงหลีกหนีสามสายสลายหายไปที่ขอบฟ้า
ในขณะที่ทั้งสามคนออกจากที่เดิม ริมมหาสมุทรก็มีเสียงดังสนั่นดังขึ้น
จากนั้นเสียงพายุก็ดังสลับกันไปมา เสียงอึกทึกดังขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะกดวานรป้อมปราการมหาสมุทรและเสียงร้องยาวๆ ของวิหคยักษ์นิรนามเอาไว้
แทบจะในเวลาเดียวกัน ระลอกคลื่นยักษ์สูงเสียดฟ้าราวพันจั้งเศษทะลักออกมาจากริมฝั่ง แค่พริบตาก็กลืนจุดที่หานลี่และพวกทั้งสามคนไปจนมิด
ยามนี้หานลี่และพวกทั้งสามกลับบินออกมาสองสามร้อยลี้ในรวดเดียว จากนั้นก็เปลี่ยนทิศทาง อ้อมเป็นวงขนาดใหญ่ บินตรงมาที่แผ่นดินอีกครั้ง
“แดนกว้างเย็นนี้เหมือนกับในตำนานอย่างไรอย่างนั้น มีอสูรโบราณที่สูญพันธุ์ไปจากแดนวิญญาณของพวกเราจำนวนมาก หากเป็นอย่างนี้ตลอดทาง อย่าพูดถึงว่าจะหาเขตอาคมซากปรักหักพังพบเลย เกรงว่าคงเพลี่ยงพล้ำระหว่างทางแน่” ในที่สุดทั้งสามคนก็บินมาถึงแผ่นดินใหญ่อย่างปลอดภัย สือคุนผ่อนลมหายใจออกมาเล็กน้อย แต่ก็เอ่ยพึมพำท่ามกลางลำแสงหลีกหนี
แม้ว่าเสียงของเขาจะไม่ดังนัก แต่จากพลังยุทธ์ของหานลี่และหลิวสุ่ยเอ๋อร์กลับได้ยินอย่างชัดเจน
“แม้ว่าแดนนี้จะมีอสูรโบราณอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้พบทั่วทุกหนแห่งเช่นนี้ กว่าครึ่งพวกเราคงดวงไม่ดีแล้ว แค่อสูรร้ายสองตัวที่พบโดยบังเอิญเท่านั้น” หลิวสุ่ยเอ๋อร์กลับสั่นศีรษะขณะเอ่ย
“ดวงไม่ดี? แต่ความจริงแล้วมันเป็นการเริ่มต้นที่ไม่ดีเลย” สือคุนยักไหล่ ท่าทางไม่คิดเช่นนั้น
“เดิมผู้บำเพ็ญเพียรอย่างพวกเราก็มีความสามารถเหนือฟ้า จึงไม่เชื่อเรื่องลางสังหรณ์อยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้เป็นจริงทั้งสิบส่วน” หลิวสุ่ยเอ๋อร์เอ่ยพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ ออกมา
“หึๆ! หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นกระมัง” สือคุนหัวเราะหึๆ
หลิวสุ่ยเอ๋อร์เห็นชายร่างใหญ่มีท่าทีปิดปากเงียบ ก็ไม่มีเจตนาจะเอ่ยชักจูงอันใดอีก กลับหันหน้ามาเอ่ยกับหานลี่ว่า
“พี่หาน ยามนี้ต้องกำหนดตำแหน่งที่พวกเราอยู่ก่อน พี่หานโปรดคุ้มครองพวกเราสองคนด้วย”
เมื่อผ่านเรื่องราวเมื่อครู่มา เห็นได้ชัดว่าหลิวสุ่ยเอ๋อร์นั้นเกรงใจหานลี่ขึ้นหลายส่วน
“เรื่องง่ายๆ” หานลี่เองก็อยากรู้ว่าทั้งสองคนจะสำแดงอิทธิฤทธิ์ใด จึงพยักหน้าอย่างไม่ต้องขบคิด
จากนั้นเขาก็กลายเป็นลำแสงสีเขียวสายหนึ่งพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ ชั่วครู่ก็บินอยู่สูงขึ้นไปร้อยจั้งเศษ แล้วถึงได้ลดลำแสงหลีกหนีลงปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
แผ่จิตสัมผัสออกไป แทบจะครอบคลุมในอาณาบริเวณยี่สิบสามสิบลี้ทั้งหมด
“สหายสือ พวกเราเองก็เริ่มกันเถิด” หลิวสุ่ยเอ๋อร์พยักหน้าอย่างพึงพอใจ แล้วเอ่ยกับสือคุน
“หึๆ ผู้แซ่สือเตรียมตัวตั้งนานแล้ว” สือคุนตอบอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
ดังนั้นหลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนก็แยกไปทางซ้ายและขวาพุ่งตรงไปทั้งสองฝั่ง หลังจากกะพริบวาบสองสามครา ลำแสงหลีกหนีก็หยุดอยู่ห่างออกไปยี่สิบสามสิบจั้ง
ตำแหน่งของทั้งสองคนและหานลี่กลายเป็นสามเหลี่ยมขนาดยักษ์
หญิงสาวสวมงอบและสือคุณต่างสะบัดแขนเสื้อไปกลางอากาศพร้อมกันยกเว้นหานลี่
ชั่วขณะนั้นจานทรงกลมสีขาวใบหนึ่ง และม้วนคัมภีร์สีเหลืองม้วนหนึ่งก็บินออกมาจากมือของทั้งสองพร้อมกัน
หลิวสุ่ยเอ๋อร์และพวกทั้งสองต่างใช้มือร่ายอาคม ปากก็บริกรรมคาถา
จานทรงกลมสั่นไหว ขยายใหญ่ขึ้นสิบกว่าเท่า กลายเป็นจันทร์ทรงกลดขนาดยักษ์
ส่วนม้วนคัมภีร์สีเหลืองก็คลี่ออกอย่างช้าๆ เผยหมอกลำแสงสีเหลืองด้านในออกมา ในม้วนคัมภีร์มีอันใดสักอย่างแฝงอยู่
จากนั้นหมอกลำแสงสีเหลืองก็ม้วนวน ม้วนคัมภีร์ทั้งม้วนสลายหายไป
ครู่ต่อมากลางอากาศในรัศมีร้อยจั้งเศษก็ปรากฏลำแสงสีเหลืองขึ้น จากนั้นลำแสงทั้งหมดก็เปล่งแสงเจิดจ้า คาดไม่ถึงว่าจะผสานร่างกัน กลายเป็นม่านลำแสงสีเหลืองปกคลุมทั่วทั้งฟ้า
สือคุนเห็นเช่นนี้ ปากก็ร้องตะโกนด้วยเสียงทุ้มต่ำออกมา นิ้วชี้ไปที่ดวงจันทร์สดใสกลางอากาศ
ดวงจันทร์เปล่งแสงเจิดจ้าพลางหมุนวน หลังจากเปล่งเสียง “สวบ” คาดไม่ถึงว่าจะจมหายเข้าไปในม่านลำแสงสีเหลือง
เสียงร่ายคาถาของหลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนดังขึ้นทันที
ฉากแปลกประหลาดพลันปรากฏขึ้น
ม่านลำแสงสีเหลืองเปล่งเสียงดังสนั่น ภูเขาที่มีธารน้ำไหลปรากฏขึ้นเต็มไปหมด มองดูเหมือนมีขนาดแค่เท่าเมล็ดถั่ว แต่ยอดเขาทุกแห่งล้วนดูสมจริง มองปราดเดียวก็มองเห็นจุดที่แตกต่างกันได้
และสภาพภูมิทัศน์ขนาดเล็กเหล่านั้นล้วนกลายเป็นก้อนเล็กๆ ขนาดสองสามจั้ง ดูลึกลับ ไม่อาจใช้ภาษามาอธิบายได้
“นี่คือ?” หานลี่มองจากจุดสูงที่สุดย่อมมองเห็นฉากทั้งหมดอย่างชัดเจน ดวงตาทั้งสองข้างหรี่ลง พลางเอ่ยปากถาม
“นี่คือแผนภาพกว้างเย็น เป็นแผนภาพที่ปรมาจารย์ในสำนักและท่านอาวุโสรวบรวมประสบการณ์ในการเข้าไปในแดนกว้างเย็นมาจารึกเอาไว้ แม้ว่าจะไม่กล้ากล่าวว่าครอบคลุมแดนกว้างเย็นทั้งหมด แต่ก็บันทึกไว้ได้เจ็ดแปดส่วน” หลิวสุ่ยเอ๋อร์เอ่ยเสียงไพเราะเสนาะหูออกมา
“ทว่าพวกเราอยู่ในแผนที่นี้จริงๆ หรือไม่ ก็ต้องลองทดสอบดู หากไม่ได้อยู่ในนี้ เกรงว่าพวกเราคงยุ่งยากแล้ว” สือคุนเองก็เอ่ยขึ้น จากนั้นก็ใช้มือหนึ่งชี้ไปกลางอากาศกลางม่านลำแสงอีกครั้ง
ชั่วขณะนั้นแผนภาพทั้งหมดพลันเปล่งแสงสว่างวาบ แต่เมื่อลำแสงสีเหลืองส่องลงมา ฉับพลันนั้นลำแสงสีขาวขนาดเท่าไข่ไก่ก็ทะลักออกมาจากมุมของแผนภาพเป็นสายๆ จากนั้นก็ลอยอยู่กลางอากาศสูงขึ้นไปสองสามจั้ง ไม่ขยับเขยื้อน
“หาเจอแล้ว คาดไม่ถึงว่าพวกเราจะอยู่ตรงขอบของคอหมื่นวิหค เช่นนั้นมหาสมุทรที่พวกเราเพิ่งจะออกมาเมื่อครู่ก็เป็นมหาสมุทรแปดเคราะห์” หลิวสุ่ยเอ๋อร์มองเห็นแดนที่เปล่งแสงเจิดจ้าภายใต้ดวงแสงสีขาว น้ำเสียงก็สั่นเทาไปเล็กน้อย
“คอหมื่นวิหค มหาสมุทรแปดเคราะห์! คาดไม่ถึงว่าพวกเราจะอยู่ที่นี่” สือคุนหน้าเปลี่ยนสี
หานลี่ที่อยู่กลางอากาศพิจารณาดวงแสงสีขาวด้านล่างอย่างสนอกสนใจ เมื่อได้ยินคำนี้ ก็อดที่จะสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้ามาไม่ได้
ในเมื่อพวกเขาเตรียมจะเข้าไปในแดนกว้างเย็น แน่นอนว่าย่อมต้องอ่านตำราแดนอันตรายของแดนกว้างเย็นมาไม่น้อย เพื่อไม่ให้เอาชีวิตไปทิ้งโดยไม่รู้ตัว
คอหมื่นวิหคและมหาสมุทรแปดเคราะห์เป็นสองสถานที่ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง
ตั้งชื่อตามความหมาย มหาสมุทรแปดเคราะห์ย่อมเป็นมหาสมุทรที่พวกเขาเพิ่งผ่านมาและมีอสูรโบราณแปดตัวอาศัยอยู่ ส่วนคอหมื่นวิหค ก็คือที่อยู่อาศัยของวิหควิญญาณหลากชนิดจำนวนนับไม่ถ้วน แม้กระทั่งมีวิหคโบราณสามตัวที่มีอานุภาพไม่ด้อยไปกว่าวานรป้อมปราการมหาสมุทร
และทั้งสองแดนนี้ก็อยู่ติดกัน ห้ามบังเอิญเข้าไปในแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนีชนต่างเผ่า หากโชคไม่ดี จุดจบจะเป็นอย่างไรแค่คิดก็รู้แล้ว
ครานี้ไม่เพียงหานลี่และสือคุนที่ขมวดคิ้วแน่น แม้แต่หลิวสุ่ยเอ๋อร์ก็จ้องเขม็งไปยังม่านลำแสงยักษ์นั้นด้วยความตกตะลึง ยามนั้นจึงไม่เอ่ยอันใดอีก
“ข้าไม่อยากเสี่ยงเข้าไปในคอหมื่นวิหค ไม่ต้องพูดถึงวิหคโบราณสามตัวนั้น ต่อให้ถูกวิหควิญญาณอื่นพบเข้า พวกเราก็ต้องฝังศพอยู่ที่นี่” สือคุนเอ่ยปากด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“คอหมื่นวิหคนั้นอันตรายมาก แม้ว่ายามที่อยู่ในมหาสมุทรแปดเคราะห์ พวกเราจะบินออกมาได้อย่างปลอดภัย แต่ไม่ได้หมายความว่าในคอหมื่นวิหคพวกเราจะโชคดีเช่นนั้น รีบอ้อมออกจากคอหมื่นวิหคกันเถิด” หานลี่แววตาเปล่งประกายสองสามครั้ง มีท่าทีเช่นเดียวกันกับตัวเอง
“คงมีเพียงต้องทำเช่นนี้” หลิวสุ่ยเอ๋อร์เองก็ถอนหายใจออกมา หลังจากกวาดสายตาไปที่ใบหน้าของหานลี่และสือคุน ก็อดที่จะพยักหน้าอย่างเห็นด้วยไม่ได้
เห็นหลิวสุ่ยเอ๋อร์เองก็เห็นด้วยกับความคิดของหานลี่ สือคุณก็มีสีหน้าดีขึ้นมาเล็กน้อย แต่หลังจากกวาดสายตาไปยังม่านลำแสงยักษ์ คิ้วที่ขมวดมุ่นกลับไม่คลายออก
“ติดกับคอหมื่นวิหคมีสองฝั่ง หนึ่งคือทะเลทรายตะวันฟ้า หนึ่งคือป่าอสูรลับ ทะเลทรายตะวันฟ้านั้นไม่ต้องพูดถึง สำหรับผู้ที่ยังไม่บรรลุระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์อย่างพวกเราแล้ว เป็นสิ่งที่น่ากลัวเสียยิ่งกว่าคอหมื่นวิหค ตามบันทึกในคัมภีร์ที่นั่นมีแสงอาทิตย์ที่แปลกประหลาด มากสุดพวกเราทนได้ครึ่งวันคงกลายเป็นผุยผงเพลี่ยงพล้ำอยู่ในนั้น ส่วนป่าอสูรลับนั้นเผ่าอสูรลับที่ดำรงอยู่ในแดนวิญญาณได้ถูกล้างเผ่าพันธุ์ไปตั้งนานแล้ว ถึงยามดึกพละกำลังของอสูรลับก็จะเพิ่มขึ้นหลายเท่า อันตรายไม่น้อยเช่นกัน แต่ก็มีเพียงต้องเลือกที่นี่แล้ว” หลิวสุ่ยเอ๋อร์ชี้ไปที่ม่านลำแสง แล้วเอ่ยอย่างช้าๆ
“ไม่ได้ แม้ว่าในคัมภีร์จะอธิบายถึงอสูรลับไว้น้อยมาก แต่ก็ดูออกว่าไม่ควรไปยุ่งกับอสูรประหลาดชนิดนี้ การเข้าไปในป่าอสูรลับนั้นอันตรายไปหน่อย อ้อมไปจะดีกว่า” สือคุนได้ยินกลับแย้งขึ้น
“ถ้าอ้อมไป จะอ้อมไปอย่างไร เขตอาคมของซากปรักหักพังอยู่ห่างจากพวกเราไกลมาก ต่อให้เดินทางเต็มกำลังโดยไม่มีอันใดมาขวางกั้น ก็ยังต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามถึงสี่เดือน หากระหว่างทางพบกับอุปสรรคอันใดอีก เวลาก็ต้องเพิ่มขึ้นหลายเท่า และแค่อ้อมคอหมื่นวิหค เดาว่าก็เสียเวลาไปครึ่งเดือนแล้ว หากอ้อมไปอีกป่าอสูรลับนั้นมีพื้นที่ใหญ่ยิ่งกว่า อย่างน้อยก็ต้องเสียเวลาไปสองเดือน ผนวกกับที่พวกเราต้องหยุดสักเดือนสองเดือน เพื่อทะลวงจุดคอขวดนั้น เช่นนั้นพวกเราจะไปทันทลายเขตอาคมได้อย่างไร” ครั้งนี้หลิวสุ่ยเอ๋อร์กลับไม่ได้มีเจตนาจะยอมให้ พลางเอ่ยอย่างเย็นชา
เมื่อได้ยินหลิวสุ่ยเอ๋อร์กล่าวเช่นนี้ สือคุนก็หน้าเปลี่ยนสี เผยสีหน้าลังเลออกมา
“แม้ว่าป่าอสูรลับจะมีอันตรายมาก แต่ก่อนหน้านี้ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีคนผ่านไปได้ ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็รู้วิธีต่อกรกับอสูรลับจากคัมภีร์ได้ น่าจะมั่นใจกว่าผู้ที่เคยมาในอดีตได้หลายส่วน และยิ่งไปกว่านั้นครั้งนี้หากกลับไปมือเปล่าจริงๆ สหายสือไม่กลัวว่าท่านอาวุโสต้วนจะตำหนิหรือ?” หลิวสุ่ยเอ๋อร์จ้องเขม็งไปยังสือคุน แววตาเย็นชาขณะเอ่ย
สือคุนมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความครุ่นคิด แต่หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ฉับพลันนั้นก็เงยหน้าขึ้นเอ่ยถามหานลี่ที่อยู่กลางอากาศ
“พี่หาน ท่านมีความเห็นหรือไม่?”
“ครั้งนี้ผู้แซ่หานถูกท่านอาวุโสทั้งสองเชิญให้มาช่วยสหายทั้งสอง จึงได้ประโยชน์มาไม่น้อยแล้ว ขอแค่สหายทั้งสองมีความเห็นตรงกัน ก็ไม่มีอันใดไม่เห็นด้วย และยิ่งไปกว่านั้นสถานที่ที่จะไปก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องตายสถานเดียว ข้าน้อยไม่มีความเห็น” แววตาของหานลี่เปล่งประกายสองสามครา แล้วตอบกลับด้วยสีหน้าราบเรียบ
“เอาละ ในเมื่อพี่หานและเซียนหลิวล้วนไม่หวาดกลัวป่าอสูรลับ ผู้แซ่สือก็จะไปหาประสบการณ์กับอสูรลับในตำนานสักหน่อยก็ได้” สือคุนพิจารณาอย่างละเอียดอีกชั่วครู่ ฉับพลันนั้นก็เอ่ยปากตอบรับพร้อมกับหัวเราะร่า
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น