พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1673-1676

 บทที่ 1673 มีปณิธานอันยิ่งใหญ่

 

เสาแสงแวววับปรับระยะเล็กน้อย ตาทิพย์มองทะลุเข้าไป เห็นเรือนร่างของผู้ที่อยู่ใต้ชุดคลุมมีหมวกอย่างชัดเจนทันที เป็นเรือนร่างยั่วราคะที่หาพบได้ยาก พอเห็นใบหน้าที่อยู่หลังหน้ากากปลอม มุมปากของเหมียวอี้ก็โค้งยิ้ม


ทางตลาดผีเองก็ไม่กล้ายืนยันว่าผู้ที่ออกมาจากวัดพระกษิติครรภ์คือใคร และไม่กล้าเข้าใกล้ไปแหวกหญ้าให้งูตื่น ความเปลี่ยนแปลงมากมายที่เกิดขึ้นระหว่างนั้นทำให้หยางชิ่งเป็นกังวล แต่สำหรับเหมียวอี้แล้ว การจะยืนยันตัวตนก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร


ไม่ผิดคาด ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเม่ยจีนั่นเอง นางกำลังเหาะมาทางนี้


ถึงแม้จะระห่างจะไกลกัน แต่สำหรับคนที่มีวรยุทธ์ระดับเม่ยจี ก็ไม่ต้องใช้เวลานานเท่าไรนัก


เสาแสงแวววับเก็บกลับมา ตาทิพย์ปิดลง เหมียวอี้หันตัวมาบอกปีศาจสาวสองตน “ถึงเวลาใช้งานพวกเจ้าแล้ว รออีกระเดี๋ยว…” เขากำชับอย่างละเอียด สั่งการตามแผนอย่างละเอียดแล้ว


หลังจากฟังจบ ไป๋เฟิ่งหวงก็เบะปาก “เจ้าบอกมาให้ชัดเจนก่อน ให้หลอกล่อนิดหน่อยน่ะทำได้ แต่ถ้าให้รบราฆ่าฟันกับตระกูลอิ๋งข้าไม่เอาด้วยนะ ไม่อย่างนั้นถ้าข้าเผยจุดอ่อนให้ตระกูลอิ๋งรู้ ก็ไม่เป็นผลดีกับเจ้าเหมือนกัน”


“อ๋องสวรรค์อิ๋ง…” เมื่อฟังสถานการณ์จบ จิ้งจอกพันหน้าพอจะเข้าใจแล้วว่าต้องการพุ่งเป้าไปที่ใคร นางอกสั่นขวัญแขวนนิดหน่อย เพราะติดตามปี้เยว่ฮูหยินมาหลายปี แทนหยวนและฮูหยินอยู่ภายใต้อำนาจบารมีโดยมิชอบของอ๋องสวรรค์อิ๋งมาตลอด ดังนั้นจึงส่งอิทธิพลต่อนางพอสมควร นั่นคือการมีอยู่ที่น่าหวาดกลัวขนาดไหนกัน? อดไม่ได้ที่จะกล่าวอย่างขี้ขลาด “หนิวโหย่วเต๋อ ข้ากลัวทำได้ไม่ดี…”


“เจ้าคงไม่ได้คิดจะหนีอีกใช่มั้ย?” เหมียวอี้พูดตัดบท แล้วหันไปบอกไป๋เฟิ่งหวง “เจ้าพานางไปปฏิบัติภารกิจด้วยกัน ถ้านางกล้ามีเจตนาแอบแฝงแม้แต่นิดเดียว ก็ฆ่าได้เลย!” ไม่มีทางเหลือให้ปฏิเสธเลยสักนิด มาถึงขั้นนี้แล้ว เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตคนมากมาย เกี่ยวข้องกับความสำเร็จและความล้มเหลว มีหรือที่จะให้จิ้งจอกพันหน้าตนเดียวทำเสียเรื่อง ถ้ากล้าทำลายงานของเขาจริงๆ รับรองว่าฆ่าไม่กระพริบตาแน่ สภาพจิตใจของผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสูง ยามเผชิญกับการตัดสินใจก็มักจะโหดเหี้ยมแข็งกร้าวแบบนี้


ไม่ใช่ว่าผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสูงจะเป็นคนเลวเสียทั้งหมด ยามไม่มีเรื่องขัดแย้งทางผลประโยชน์ ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นมิตรเข้าถึงง่าย แต่เมื่อเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์มากเกินไป ยามเผชิญกับทางเลือกเกี่ยวกับผลประโยชน์ ก็มักจะเปลี่ยนเป็นเด็ดเดี่ยวไร้ไมตรีเสมอ ตระกูลโค่วก็ปฏิบัติต่อเหมียวอี้อย่างนี้เช่นกัน


“หึหึ!” ไป๋เฟิ่งหวงรู้สึกขำ แล้วมองประเมินจิ้งจอกพันหน้าศีรษะจดเท้า “ปีศาจน้อย เจ้าอยู่ดีๆ แล้วไปตกอยู่ในน้ำมือเขาทำไม? เจ้าเองก็ได้ยินสิ่งที่เขาบอกแล้ว ต่อไปถ้ากล้าทำให้ข้าลำบากไปด้วย ก็อย่าหาว่าข้าโหดก็แล้วกัน!”


จิ้งจอกพันหน้ากัดฟันก้มหน้า หน้าตาเหมือน ‘เหมียวอี้’ แท้ๆ แต่ดูตลกนิดหน่อย


ส่วนเหมียวอี้ตัวจริงก็กลับมาใช้ตาทิพย์อีกครั้ง จับตาดูความเคลื่อนไหวของเม่ยจีต่อไป แต่ก็ไม่ได้เฝ้าดูอยู่ตลอด เพราะอยู่ห่างกันเกินไป ทนสิ้นเปลืองพลังอิทธิฤทธิ์ไม่ไหว มีหยุดพักบ้างเป็นระยะ


จนกระทั่งคาดคะเนได้แล้วว่าอีกไม่นานเม่ยจีจะต้องเข้ามาใกล้ เหมียวอี้ถึงได้หันมาบอกสองคนที่อยู่ข้างกาย “เริ่มได้เลย”


“ผีในคราบเทพ!” ไป๋เฟิ่งหวงทำเสียงฮึดฮัด แต่ก็ยังหยิบหน้ากากปลอมมาสวมไว้พร้อมกับจิ้งจอกพันหน้า


หลังจากเตรียมทุกอย่างเหมาะสมแล้ว ไป๋เฟิ่งหวงไม่สนว่าจิ้งจอกพันหน้าจะยินยอมหรือไม่ ดึงแขนนางเหาะไปด้วยกันแล้ว


หลังจากเหาะขึ้นมาบนดาราจักรได้สักครู่ อีกจุดหนึ่งก็มีผู้ที่ปิดบังใบหน้าสวมชุดดำทั้งตัวเหาะมาอีก ถือดาบพุ่งเข้ามาหาทั้งสองคน แล้วยกดาบฟัน


สองสาวยกอาวุธรับศึกพร้อมกัน ต่อสู้กันเสียงดังโครมคราม เสียงดังสะเทือนก้องดาราจักร


ตรงจุดไกลๆ เม่ยจีเร่งความเร็วตามมาตลอดทาง หลังจากได้ยินเสียงต่อสู้ดังแว่วมา ดวงตาอิทธิฤทธิ์ก็จ้องมายังเป้าหมายที่กำลังต่อสู้กัน นางไม่ได้ลดความเร็วลง และไม่ได้คิดจะสอดมือเข้าไปยุ่งด้วย เตรียมจะหลีกผ่านไปด้านข้าง


แต่ใครจะคิดว่าคนชุดดำจะลงมือโจมตีรุนแรงเกินไป สองสาวถูกแรงสะเทือนจนกระอักเลือด หนังปลอมบนใบหน้าหลุดปลิวแล้ว เผยให้เห็น ‘โฉมหน้าที่แท้จริง’


ส่วนคนชุดดำที่ถูกสองสาวร่วมมือกันโจมตีกลับก็สะเทือนจนร้องครางเสียงต่ำเช่นกัน ทั้งร่างกระเด็นถอยหลังไปแล้ว


เสียงการต่อสู้ที่ดังก้องทำให้เม่ยจีเอียงหน้ามองมา นางตกตะลึงเช่นกัน สายตาไปหยุดอยู่บนใบหน้า ‘อิ๋งหยาง’ กับ ‘หนิวโหย่วเต๋อ’ ความเร็วลดลงในชั่วพริบตาเดียว


คนชุดดำเหมือนเห็นท่าไม่ดี หันเลี้ยวหนีไปทันที ไปยังจุดลึกของดาราจักรอันกว้างใหญ่


หนิวโหย่วเต๋อ’ ถือทวนทำท่าจะไล่ตาม ทว่า ‘อิ๋งหยาง’ ดึงแขนเขาเอาไว้ จากนั้นกระอักเลือดแล้วส่ายหน้า ดึง ‘หนิวโหย่วเต๋อ’ ไปยังน้ำพุวังเวงอย่างรวดเร็ว ประเดี๋ยวเดียวก็พุ่งเข้าไปตรงตาน้ำพุแล้ว


เม่ยจีที่เหาะช้าๆ พลันเร่งความเร็วทั้งหมดที่มีไล่ตามเข้าไปในน้ำพุวังเวงชั้นที่หนึ่ง ขณะที่รีบกวาดสายตามองไปรอบๆ ก็เห็นเงาร่างสองร่างถลันเข้าไปในตาน้ำพุอีกครั้ง นางจึงรีบพุ่งตัวเข้าไปหา ไล่ตามเข้าไปแล้ว


ต่อมานางก็รักษาความเร็วไว้ตลอด พยายามไม่ให้เป้าหมายที่ถูกสะกดรอยตามสังเกตเห็น สะกดรอยโดยใช้วิธีจับจังหวะจุดสำคัญของทั้งสองคน อาศัยวรยุทธ์ของนาง หากต้องการจะทำให้ได้อย่างนี้ก็เหมือนจะไม่ยากสักเท่าไร


ไล่ตามมาตลอดทางจนถึงน้ำพุวังเวงชั้นห้า ตอนที่เพิ่งจะโผล่หน้าออกมา ก็ถลันตัวไปหลบหลังเสาหน่อไม้ต้นหนึ่งราวกับเงามายา เนื่องจากครั้งนี้พบว่าทั้งสองไม่ได้เข้าไปในตาน้ำพุอีกแล้ว แต่เหาะไปข้างหน้า


เม่ยจีไม่กล้าไล่ตามกลางอากาศ แบบนั้นต่อให้นางจะวรยุทธ์สูงแค่ไหน แต่ก็จะถูกพบได้ง่าย แต่นางอาศัยสภาพทางภูมิศาสตร์ จึงถลันตัวอย่างรวดเร็วราวกับเงาผี อาศัยเสาหน่อไม้พรางตัวไล่ตามอยู่บนพื้นตลอดทาง ต่อให้นางจะเหาะบนฟ้าไม่ได้ แต่สองสาวที่เหาะอยู่ในระดับต่ำก็ยากที่จะอาศัยความเร็วสลัดนางทิ้งได้


ตรงจุดไกลๆ ตานฉิงโผล่ตัวออกจากด้านหลังหน่อเหล็กต้นหนึ่งอย่างเงียบเชียบ เงาร่างของเม่ยจีที่แฉลบผ่านหลบไม่พ้นสายตาของเขา


จะไม่ให้สังเกตเห็นก็คงยาก เดิมทีหกขุนพลใหญ่ก็เฝ้าสังเกตการณ์อยู่หกทิศทางอยู่แล้ว ขอเพียงล่อเป้าหมายเข้ามาที่ตำแหน่งนี้ ต้องมีสักคนที่สังเกตเห็นนางอยู่แล้ว


ตานฉิงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้ แล้วบอกว่า : เหยื่อติดเบ็ดแล้ว!


เม่ยจีตามอยู่ข้างหลังพักหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็เห็นสองคนที่เหาะอยู่ตรงน้าในระดับต่ำเหยียบลงพื้น เหยียบลงกลางดงหน่อเหล็ก


เม่ยจีจำเป็นต้องหยุดแล้วโผ่ลหน้าครึ่งหนึ่งออกมาสังเกตการณ์ นางไม่เข้าใจสถานการณ์ชัดเจน จึงไม่กล้าบุ่มบ่ามเข้าไป กลัวว่าจะถูกจับได้


หลังจากเหยียบลงพื้นแล้วก็รีบเข้าไปหลบในโพรงธรรมชาติซึ่งเกิดจากหน่อเหล็กหลายต้นไขว้ตัดสลับกัน ไป๋เฟิ่งหวงกับจิ้งจอกพันหน้าก็มองหน้ากันเลิกลั่ก แล้วไป๋เฟิ่งหวงก็ชี้นิ้วขึ้นฟ้า ทำปากเหมือนด่าสาปแช่ง


เฝิ่นเอ๋อร์จิ้งจอกพันหน้าเม้มปากหัวเราะ นางเข้าใจแล้ว กำลังสาปแช่งให้หนิวโหย่วเต๋อไม่ตายดี!


ไป๋เฟิ่งหวงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้ ถามเหมียวอี้ว่าเป้าหมายตามมาด้วยหรือเปล่า เพราะพวกนางสองคนไม่เห็นเลยว่าเป้าหมายตามพวกนางมาหรือไม่ ที่จริงพลังของเม่ยจีเหนือกว่าพวกนางไกลมาก ถ้าอยู่บนฟ้าก็ยังสังเกตเห็นง่าย แต่ถ้ากำลังพรางตัวอยู่ ก็สังเกตเห็นเม่ยจีไม่ได้ง่ายๆ


เหมียวอี้ระฆังดาราตอบกลับ : พวกเจ้าถอนตัวออกมาได้แล้ว


ไป๋เฟิ่งหวงเก็บระฆังดารา แล้วชี้กระเป๋าสัตว์ของตัวเอง เฝิ่นเอ๋อร์พยักหน้าอย่างจนใจ ผลปรากฏว่ายังไม่ทันได้รู้ตัวก็ถูกไป๋เฟิ่งหวงจับยัดเข้ากระเป๋าสัตว์แล้ว


จากนั้นร่างกายของไป๋เฟิ่งหวงก็เลื้อยขยุกขยิกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาเดียวก็กลายร่างเป็นชายหนุ่มรูปร่างกำยำ แล้วมุดออกมาจากโพรงนั้น เหาะออกมาอย่าสง่าผ่าเผย เหาะไปอีกทิศทางหนึ่ง


เม่ยจีที่หลบสังเกตการณ์หลือบมองแวบหนึ่ง สามารถแน่ใจได้ว่าไม่ใช่คนที่เพิ่งสะกดรอยตามเมื่อครู่นี้ หลังจากรอต่อไปอีกครู่หนึ่ง ก็ยังไม่เห็นข้างหน้ามีความเคลื่อนไหวอะไร นางจึงถลันตัวไปข้างหน้าอีก หลังจากนางไปถึงจุดที่สองสาวแหยียบลงก่อนหน้านี้ นางก็กวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วไม่เจอทั้งสองคน แต่กลับเห็นค่ายแห่งหนึ่งที่อยู่ระหว่างหุบเขาไกลๆ


สองคนนั้นไปไหนแล้ว? ไม่เห็นสองคนนั้นออกไปเสียหน่อย! สายตาของเม่ยจีกวาดมองไปรอบๆ ด้วยความสงสัยอีกครั้ง สุดท้ายก็เหยียบลงในค่ายแห่งนั้น แล้วเผยสีหน้าครุ่นคิด


นางจึงซ่อนตัวอยู่ข้างๆ อีกครั้ง แล้วใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์สำรวจดู พบว่าในค่ายมีคนลาดตระเวน จึงไม่สะดวกจะเข้าใกล้


รออยู่ไม่นาน ก็เห็นผ่าม่านของค่ายหลักเปิดออก อิ๋งหยางเดินวางมาดใหญ่โตออกมา แล้วคุยกับหนึ่งในคนที่ลาดตระเวนอยู่ข้างนอก


ที่จริงอิ๋งหยางจะโผล่หน้าออกมาเป็นระยะ เพราะเป็นการวางกับดัก จะล่อเหยื่อก็ย่อมต้องโผล่หน้าให้เหยื่อรู้ว่าคนอยู่ที่นี่ ไม่อย่างนั้นจะล่อให้เหยื่อติดเบ็ดได้อย่างไร


ที่จริงต่อให้เขาไม่โผล่หน้าออกมา เหมียวอี้ก็จะคิดหาทางทำให้เขาโผล่หน้าออกมาอยู่ดี จะต้องทำให้เขาถูกเม่ยจีพบให้ได้


ส่วนเม่ยจีที่แอบสังเกตุการณ์อยู่ พอเห็นอิ๋งหยางก็สงบใจทันที เป็นอย่างที่คาดไว้ สองคนนั้นอยู่ในค่ายจริงๆ ด้วย


นางซ่อนตัวอย่างระมัดระวังอีกครั้ง แล้วโบกมือเรียกลูกศิษย์หลายสิบคนออกมา จากนั้นแอบถ่ายทอดเสียงกำชับ ให้พวกนางแยกย้ายกันสำรวจอย่างเงียบๆ หลบอยู่บนพื้นอย่างไรเสียก็มีข้อจำกัดด้านสายตา กลัวว่าจะคลาดสายตา


ด้านนอกน้ำพุวังเวง เงาร่างที่ปิดบังใบหน้าถลันตัวมาเหยียบลงข้างกายเหมียวอี้บนยอดเขา จากนั้นดึงหนังปลอมบนใบหน้าลงมา เป็นเยี่ยนเป่ยหงนั่นเอง


“พี่ใหญ่เยี่ยน รบกวนท่านแล้ว เล่นละครได้ไม่เลวเลย” เหมียวอี้ยิ้มบางๆ


เยี่ยนเป่ยหงส่ายหน้า แล้วมองสำรวจเหมียวอี้ศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง สายตาค่อนข้างสับสนซับซ้อน สุดท้ายก็เอียงหน้าช้าๆ มองไปทางท้องฟ้า แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก


เหมียวอี้ถูกสายตาแบบนั้นของเขามองจนอึดอัดนิดหน่อย จึงถามอย่างแปลกใจ “พี่ใหญ่เยี่ยน มีเรื่องอะไรในใจเหรอ?”


“เฮ้อ!” เยี่ยนเป่ยหงถอนหายใจ “น้องชาย เจ้าเปลี่ยนไปแล้ว”


“ฮะ…” เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ มองตัวเองอย่างไม่ค่อยเข้าใจ แล้วเอามือลูบใบหน้าตัวเองอีก จู่ๆ ก็ใจสั่นเล็กน้อย ตระหนักอะไรบางอย่างได้แล้ว แต่กลับกล่าวกลั้วหัวเราะอย่างปากไม่ตรงกับใจ “หรือว่าอายุข้าดูแก่แล้ว? ตามหลักแล้ว ด้วยความก้าวหน้าทางวรยุทธ์อย่างข้า มันก็ไม่น่าจะชัดเจนขนาดนั้นสิ?”


เยี่ยนเป่ยหงเหล่ตามองมา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติ “ยิ่งนับวันเจ้าจะยิ่งเล่นใหญ่ขึ้นทุกวัน ข้ามองเห็นคำว่า ‘ทะเยอะทะยาน’ จากสายตาเจ้า”


เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน “พี่ใหญ่เยี่ยนล้อเล่นแล้ว ใช่ว่าท่านจะไม่รู้ถึงสถานการณ์ของข้า สาเหตุที่วางแผนนี้ น้องชายเองก็ถูกกดดันจนหมดทางเลือกเช่นกัน ถ้าข้าไม่ฆ่าพวกเขา พวกเขาก็จะฆ่าข้า ข้าทำได้เพียงโต้ตอบ! อย่าบอกนะว่าพี่ใหญ่เยี่ยนไม่เคยเป็นอย่างนี้? คาดว่าตอนที่พี่ใหญ่เยี่ยนถูกบีบเข้าสู่ทางตัน ยอมเสี่ยงชีวิตสู้ตายสักครั้ง แต่ก็ไม่ยอมทนรับความอัปยศไม่ใช่เหรอ ที่จริงพวกเราสองพี่น้องก็เหมือนกัน ทำตามใจตัวเองไม่ได้เหมือนกัน!”


“ไม่เหมือนกัน!” เยี่ยนเป่ยหงเถียงกลับอย่างไม่ปรานีแม้แต่น้อย “ที่ข้าไม่ยอมถูกควบคุม ก็เพราะมีปณิธานยิ่งใหญ่ แต่เจ้าไม่ยอมถูกควบคุม กลับไม่ใช่เพราะมีปณิธานอันยิ่งใหญ่ หัวใจวีรบุรุษกับหัวใจทะเยอทะทะยานนั้นมีความแตกต่างกัน!”


“มีปณิธานอันยิ่งใหญ่เหรอ?” เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ พลางยักไหล่สองข้าง ทำท่าเหมือนอีฝ่ายพูดเหลวไหลไร้หลักฐาน “จะเป็นไปได้ยังไง? อาศัยศักยภาพของข้าจะไปเอาปณิธานอันยิ่งใหญ่มาจากไหนเล่า?”


เยี่ยนเป่ยหงจึงบอกว่า “เจ้ารู้อยู่ชัดๆ ว่าตระกูลอิ๋งวางกับดักแล้ว แต่ยังกล้ามาใช้กำลังปะทะตรงๆ ต่อให้ทำสำเร็จแล้วยังไงล่ะ แล้วในภายหลังล่ะ? ไม่กลัวผลที่ตามมาในภายหลังเลยสักนิด มีความมั่นใจเสียขนาดนี้ เจ้ามีศักยภาพน้อยงั้นเหรอ? ขนาดไป๋เฟิ่งหวงที่ทั้งใต้หล้าจ้องอยากได้ยังเชื่อฟังคำสั่งเจ้าเลย นี่เจ้าต้องไม่ธรรมดาขนาดไหนกัน เกรงว่าของชุดนั้นในมือนางคงจะตกอยู่ในมือเจ้าแล้วล่ะสิ? น้องชาย อาศัยศักยภาพของเจ้าในตอนนี้ ข้าก็ไม่รู้เจ้าเอาความมั่นใจมาจากไหนนะ บางทีตอนนี้เจ้าอาจจะยังควบคุมความปรารถนาของตัวเองได้ แต่ตอนที่ในมือเจ้ากุมอำนาจไว้มากพอ เจ้ายังจะทำใจอยู่ใต้คนอื่นไหวเหรอ? มิหนำซ้ำเดิมทีเจ้าก็ไม่ใช่คนที่ยอมแพ้ง่ายๆ อยู่แล้ว! ข้าเหล่าเยี่ยนเป็นคนหยาบ อาจจะไม่ฉลาด แต่หัวใจกลับไม่เลอะเลือน จึงไม่เคยเป็นสหายกับใครง่ายๆ เพราะข้าสัมผัสได้ว่าใครดีใครเลว ถ้าคบได้แสดงว่าตรงใจ ในปีนั้นสภาพจิตใจเจ้าเป็นยังไง แล้วตอนนี้สภาพจิตใจเจ้าเป็นยังไง? เจ้าเปลี่ยนไปหรือเปล่า…ในจุดนี้ใจเจ้ารู้ดีที่สุด ไม่จำเป็นต้องให้ข้าอธิบายอะไร”

 

 

 


บทที่ 1674 เลอะเลือน

 

เหมียวอี้เงียบไปนานมาก แล้วสุดท้ายก็ส่ายหน้าบอกว่า “พี่ใหญ่เยี่ยนอาจจะเข้าใจผิดนิดหน่อย ไม่ใช่อย่างที่ท่านคิดนะ เรื่องบางเรื่องข้าก็ไม่สะดวกจะอธิบายเช่นกัน หวังเพียงพี่ใหญ่เยี่ยนจะเข้าใจ…นอกจากเดินต่อไปข้างหน้า ข้าก็ไม่มีทางเลือกแล้ว!”


นี่ไม่ใช่คำโกหก ถ้าจะบอกว่าก่อนหน้านี้ยังหวังให้พิภพเล็กเป็นทางหนีทีไล่สุดท้ายได้  เช่นนั้นในตอนนี้แม้แต่โชคดีอย่างสุดท้ายก็ไม่มีแล้วเช่นกัน ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจบ้างแล้ว ว่าพิภพเล็กไม่ได้อยู่ในมือเขา แต่เจ้าของที่แท้จริงยังมีคนอื่นอีก ถ้าคิดจะหลบที่แดนอเวจีก็เป็นเรื่องเพ้อฝันเช่นกัน เพราะแดนอเวจีก็อยู่ในการควบคุมของคนคนนั้นด้วย


ทว่าเหมียวอี้ก็พอจะเดาได้เช่นกันว่าคนคนนั้นคิดจะทำอะไร สาเหตุที่คนคนนั้นเงียบงันไม่ยอมออกมาจนกระทั่งทุกวันนี้ก็เดาได้ไม่ยาก ดังนั้นเขาก็พอจะรู้เช่นกันว่าตัวเองต้องทำอะไร


เยี่ยนเป่ยหงเอียงหน้าจ้องเขาครู่หนึ่ง “ข้าไม่อยากแทรกแซงอะไรเจ้า ก็แค่อยากเตือนเจ้าสักหน่อย ว่าทุกอย่างที่เจ้าทำตอนนี้ไม่สอดคล้องกับศักยภาพของเจ้า เจ้ามีภาระครอบครัว ไม่เหมือนข้าที่ไปไหนมาไหนคนเดียว เจ้าน่าจะเข้าใจว่าสิ่งที่ข้าเตือนหมายความว่าอะไร”


“ข้าเข้าใจ” เหมียวอี้พยักหน้า


ในเมื่อเข้าใจแล้ว เยี่ยนเป่ยหงก็ไม่พูดอะไรมาก เปลี่ยนประเด็นสนทนา “เจ้าเตรียมจะลงมือเมื่อไร?”


“รออีกสักหน่อย บางทีอาจจะมีแขกมาอีก” เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบ แล้วเงยหน้ามองไปยังจุดลึกบนท้องฟ้า


นี่ไม่ใช่ความคิดของเขา เป็นความคิดของหยางชิ่ง ตอนที่หยางชิ่งวางแผนดึงสำนักหลัวช่าเข้ามาเกี่ยวด้วย ก็ได้เตือนไว้ล่วงหน้าแล้ว ว่าถ้าสามารถทำให้สำนักหลัวช่าแหกกฎสอดมือมายุ่งเรื่องฝั่งตำหนักสวรรค์ได้ ก็เกรงว่าแผนการของสำนักหลัวช่าคงจะไม่ใช่เล็กๆ เกรงว่าให้เม่ยจีออกโรงคนเดียวคงไม่อาจวางใจได้ ฝั่งสำนักหลัวช่าอาจจะยังมีคนมาอีกก็ได้


แผนการของหยางชิ่งก็คือ หลังจากวางแผนเรียบร้อยแล้ว ก็ยังไม่ต้องรีบลงมือ รอไปสักสองวันก่อน ถ้าผ่านไปสองวันแล้วสำนักหลัวช่ายังไม่มีคนมา ก็คาดว่าคงจะไม่มีกำลังหนุนแล้ว เพราะใช้เวลาสองวันก็เพียงพอที่จะให้ยอดฝีมือของสำนักหลัวช่าเดินทางจากแดนสุขาวดีมาที่นี่ กอปรกับไม่รู้ว่ายอดฝีมือของสำนักหลัวช่าบังเอิญอยู่ที่ตำหนักสวรรค์หรือไม่ ไม่รู้ด้วยว่าอยู่ใกล้หรือไกลจากที่นี่ ถ้าฝั่งนี้ลงมือขึ้นมา แล้วจู่ๆ ยอดฝีมือของสำนักหลัวช่ามาทัน ถ้าเจ้าไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพกคนมาด้วยเท่าไร ก็จะไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันหรือไม่ วิธีการที่ปลอดภัยที่สุดก็คือปล่อยไปก่อน


และการรอสองวันก็สามารถทำให้ตระกูลอิ๋งกับสำนักหลัวช่าอดทนรอได้ด้วย ถ้าพวกเราอดทนไม่ไหวแล้ว สะเก็ดไฟจุดเดียวก็อาจจะปะทุติดไฟได้


ในขณะนี้เอง มีคนคนหนึ่งเหาะมาจากดาราจักร มาเหยียบลงข้างกายของทั้งสองคน เป็นชายรูปร่างกำยำสูงใหญ่ พอเห็นเหมียวอี้ก็ชักสีหน้าใส่ ยืนกอดอกทำเสียงฮึดฮัดมองมาทางนี้


ด้วยนิสัยอย่างนี้ บูดเน่าสุดๆ แล้ว เหมียวอี้รู้ได้โดยไม่ต้องเดาว่าเป็นไป๋เฟิ่งหวง


“แล้วอีกคนหนึ่งล่ะ?” เหมียวอี้ถาม


ไป๋เฟิ่งหวงสะบัดมือโยนจิ้งจอกพันหน้าเฝิ่นเอ๋อร์ออกมา เฝิ่นเอ๋อร์ก็ซวยเช่นกัน เพิ่งจะโผล่หน้าออกมา ยังไม่ทันได้บ่นอะไร ก็ถูกเหมียวอี้เก็บเข้าไปอีกแล้ว


ทั้งสามไม่ได้รออยู่ตรงนี้นาน เหาะไปในดาราจักรด้วยกัน เข้าไปในน้ำพุวังเวงอีกครั้ง มุ่งตรงสู้น้ำพุวังเวงชั้นห้า ไปพบกับขุนพลใหญ่ลัทธิอู๋เลี่ยงอ๋าวเถี่ย แล้วหลบรออยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งอย่างเงียบๆ


บนท้องฟ้าเหนือป่าหมุดเหล็ก บรรยากาศมืดครึ้ม ตาน้ำพุที่หมุนตามเข็มและหมุนทวนเข็มราวกับดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานไม่หยุด แสงสลัวนั่นไม่รู้ว่ามาจากทางไหน ทั้งแผ่นฟ้าเงียบสงัดแปลกประหลาด


ระหว่างหน่อเหล็กสีดำขลับหลายแท่งที่ไขว้กัน เม่ยจีกับลูกศิษย์ฮวาจั๋วซ่อนตัวอยู่ในช่องว่างที่ไม่ใหญ่นัก เม่ยจีกำลังนั่งสมาธิฝึกตน ส่วนฮวาจั๋วก็กำลังจ้องค่ายที่อยู่ไกลๆ โดยไม่ละสายตา


ไม่ใช่แค่ฮวาจั๋วเท่านั้น ศิษย์ร่วมสำนักนับสิบคนที่เม่ยจีพามาด้วยแยกย้ายกันไปอยู่รอบๆ ค่ายในระยะไกลแล้ว ระหว่างพวกนางใช้ระฆังดาราติดต่อกันได้ทุกเมื่อ


ตรงจุดที่ไกลกว่านั้น เหมียวอี้ที่กำลังซ่อนตัวใช้ตาทิพย์กวาดมองรอบค่ายเป็นระยะ ตรวจสอบตำแหน่งซ่อนตัวของเม่ยจีรวมทั้งศิษย์ในสำนักอย่างชัดเจน การป้องกันในค่ายเปราะบางสุดๆ กำลังพลกลุ่มใหญ่แยกย้ายกันไปไกล ไม่รู้ว่าไปไหนแล้ว เหมือนจะไปออกล่าแล้วจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะรู้ว่ามีกับดัก นี่ก็คือโอกาสดีในการลงมือจริงๆ


ภายในค่าย อิ๋งหยางที่เดินออกมานอกกระโจมค่ายเอามือไขว้หลังเงยหน้ามองฟ้านานมาก จากนั้นก็เดินวนอยู่ในค่ายอีก เสร็จแล้วถึงได้กลับเข้ากระโจมค่ายอีกครั้ง


“ท่านบุรุษ หนิวโหย่วเต๋อจะมามั้ย?” อิ๋งหยางที่นั่งอยู่ในกระโจมค่ายมองเยี่ยนสุยที่นั่งขัดสมาธิตรงมุมพลางเอ่ยถาม


เยี่ยนสุยหลับตาตอบ “ไม่ทราบ แต่สายลับด้านนอกพบแล้วว่ามีบุคคลนิรนามจำนวนหนึ่งกำลังจับตาดูทางนี้อยู่”


“ท่านบุรุษคิดว่าเป็นหนิวโหย่วเต๋อหรือเปล่า?” อิ๋งหยางกระปรี้กระเปร่าทันที


“ไม่ทราบ” เยี่ยนสุยตอบ


“ถ้าเป็นหนิวโหย่วเต๋อ ในค่ายมีคนอยู่เพียงน้อยนิด ทำไมพวกเขายังไม่ลงมืออีก?” อิ๋งหยางถาม


“ไม่ทราบ” เยี่ยนสุยตอบ


อิ๋งหยางพูดไม่ออก ในใจโมโหนิดหน่อน นี่มันท่าทีแบบไหนกัน ก็เป็นแค่ลูกน้องของตระกูลอิ๋งไม่ใช่เหรอ ไม่น่าเชื่อว่าจะไร้มารยาทกับน้อยเช่นนี้


แต่จะว่าไปแล้ว ต่อให้เขาโมโห แต่ก็ต้องเก็บกลั้นไว้ในใจ ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นลูกน้อง แต่เมื่ออยู่ในระดับนั้นแล้ว ก็ฟังเพียงคำสั่งของคนสองคนในจวนท่านอ๋องเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าเขาสักเท่าไรแค่ต้องคุยเรื่องงานเท่านั้น ถ้ามีความสัมพันธ์ซับซ้อนวุ่นวายเกินไป กลับจะทำให้ท่านอ๋องไม่ชอบด้วยซ้ำ ถึงขั้นว่าถ้าพูดในบางระดับ เขาก็แค่มีฐานะสูงส่งเท่านั้นเอง ถ้าพูดให้สอดคล้องกับความเป็นจริงสักหน่อย ยามเผชิญหน้ากับพื้นฐานข้อเท็จจริง เจ้านายอย่างเขายังต้องพึ่งพาอีกฝ่าย แม้แต่บิดาของเขาเองก็ยังต้องอาศัยการสนับสนุนของคนพวกนี้เลย ถ้าในจวนท่านอ๋องไม่มีบ่าวไพร่ประเภทนี้สนับสนุนถึงแม้จะเป็นบิดาของเขา แต่ก็ยากที่จะมีจุดยืนอยู่ในจวนท่านอ๋องอยู่ดี


ในตอนที่ยังไม่ได้นั่งตำแหน่งอ๋อง บิดาของเขาและพวกพี่น้อง แต่ละคนล้วนเป็นผู้ที่มีมารยาทต่อปราชญ์และเคารพบัณฑิต นอบน้อมต่อเบื้องบน ไม่เย่อหยิ่งต่อเบื้องล่าง ถ้าอิ๋งหยางกล้าเสียมารยาทกับท่านที่อยู่ตรงหน้านี้ กลับไปบิดาของเขาต้องหักขาแน่นอน


บึ้ม! ทันใดนั้นนอกกระโจมค่ายก็มีเสียงดังสะเทือน


อิ๋งหยางพลันลุกขึ้นยืน เยี่ยนสุยที่นั่งอยู่ตรงมุมก็ลืมตาเช่นกัน แล้วเอียงหน้าบอกใบ้อิ๋งหยางเล็กน้อยอิ๋งหยางรีบเดินออกไปตรวจดูความเคลื่อนไหวทันที แต่เยี่ยนสุยกลับหลบอยู่ในกระโจมค่าย ไม่โผล่หน้าออกไป


ตรงที่ไกลๆ ปรากฏแสงสีเขียว ค้างคาวขาวรัตติกาลตัวใหญ่หลายตัวพ่นเพลิงเดือดสีเขียวเข้ม ไล่สังหารนักพรตหลายคนที่กำลังเร่งหลบหนี


อิ๋งหยางใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์ทอดสายตามองไกลๆ ครู่หนึ่ง แล้วก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะกลับเข้าในกระโจมค่ายอีก


น้ำพุวังเวงชั้นสิบ แดนมายา แสงเหนือบนท้องฟ้าสวยงามแพรวพราว เลื่อนลอยพลิ้วไหว งดงามจนทำให้ใจเจ็บ


ทิวทัศน์อันงดงามบนพื้นดินก็ไม่น้อยหน้า บนทุ่งหญ้าที่หนาวเหน็บ ประเดี๋ยวก็เป็นป่าไม้เขียวชอุ่ม ประเดี๋ยวก็เป็นทุ้งหญ้ากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา บางครั้งก็เป็นดอกไม้สีแดงบ้างม่วงบ้างเบ่งบานเต็มพื้น และในทิวทัศน์งดงามชวนเคลิบเคลิ้มนี้บางครั้งก็ปะปนไปด้วยปรากฎการณ์ของโลกมนุษย์ ถนนที่มีคนสัญจรไปมาพลุกพล่าน เดินเบียดกันแออัด ถึงขั้นมีเสียงเรียกลูกค้าดังแว่วมาข้างหูด้วย


มีงดงามก็มีอัปลักษณ์ ทิวทัศน์ยอดเยี่ยมที่เมื่อครู่เพิ่งทำให้ผ่อนคลายสบายใจแท้ๆ จู่ๆ ฉากทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ศพเกลื่อนพื้น เลือดนองกลายเป็นแม่น้ำ กระดูกกองสุมราวกับภูเขา


จู่ๆ กองทัพทัพพันนับหมื่นที่ดุร้ายปรากฏตัวอยู่ที่เส้นขอบฟ้า วิ่งห้อโจมตีเข้ามาตลอดทาง เห็นอยู่กับตาว่าพุ่งเข้ามาตรงหน้าแล้ว จู่ๆ สัตว์ประหลาดดุร้ายหลายตัวก็พุ่งเข้าไปป่วนทัพใหญ่ เหยียบย่ำทัพใหญ่อย่างทารุณตลอดทาง แล้วก็พุ่งมาทางนี้


กำลังพลที่เฝ้ารอบค่ายสีหน้าตึงเครียด ถึงแม้จะรู้ว่าฉากตรงหน้าเป็นภาพมายา แต่ประเด็นคือบางครั้งในภาพมายาก็มีของจริงปนด้วย จะมีปีศาจของน้ำพุวังเวงฉวยโอกาสจู่โจมจริงๆ ก่อนหน้านี้มี ‘ปีศาจหนูทมิฬ’ ฉวยโอกาสก่อกวนหลายรอบแล้ว กลายเป็นภาพลวงตาต่างๆ แล้วเข้ามาประชิดโดยอาศัยสภาพแวดล้อมพรางตัว


กำลังพลที่เฝ้ารอบค่ายพลัดกันออกรบ ปล่อยพลังอิทธิฤทธิ์ทดสอบภาพมายาที่เข้ามาใกล้ว่าเป็นของจริงหรือไม่


ถึงแม้จะรู้ว่าตรงหน้ามีของปลอมมากมาย แต่เมื่อตัวอยู่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของฉากเหตุการณ์ที่สมจริงราวกับมีชีวิตนานไป ก็ทำให้คนรู้สึกวิตกจริตได้


ระหว่างค่ายที่โอบล้อมพิทักษ์ไม่ได้มีแค่กระโจมค่ายหลังเดียว แต่มีเป็นสิบกว่าหลังรวมกันอยู่


ในกระโจมค่ายสองหลังอยู่ด้านนอก แต่ละหลังมีคนสองกลุ่มรวมตัวอยู่ กลุ่มแรกเป็นลูกหลานอ๋องสวรรค์ ลูกหลานเทพประจำดาวของสายตระกูลก่วง ส่วนอีกกลุ่มเป็นสายของตระกูลฮ่าว


“มาออกล่าไม่ใช่เหรอ? มารวมตัวอยู่ที่นี่หมายความว่ายังไง?”


“เฮอะ เจ้าจะสนใจมากขนาดนั้นทำไม เบื้องบนว่ายังไง พวกราก็ทำอย่างนั้นก็พอ กินดื่มรออยู่ในนี้ก็ใช่ว่าจะไม่ดี”


“ใช่แล้ว ดื่มสุราของเจ้าไปเถอะ มีโอกาสกินดื่มอยู่ในแดนมายาถือเป็นความบันเทิงอย่างหนึ่งนะ โอกาสนี้ใช่ว่าทุกคนจะมีได้”


“ข้าก็แค่รู้สึกแปลกใจนิดหน่อยเท่านั้นเอง ไม่น่าเชื่อว่าจะไปรวมอยู่รังเดียวกับตระกูลฮ่าว ตระกูลฮ่าวก็ไม่ออกล่าเหมือนกัน อย่าบอกนะว่าประเคนอันดับหนึ่งในอีกสามตระกูล? หรือพวกเจ้าไม่รู้สึกว่ามีเงื่อนงำ?”


ตระกูลก่วงกับตระกูลฮ่าวไม่ใช่แค่ไม่ไปออกล่า แต่ยังรวมตัวตั้งค่ายอยู่ด้วยกันอีก ถึงขั้นถูกออกคำสั่งไม่ให้ใช้ระฆังดาราติดต่อกับภายนอกโดยพลการด้วย ทำให้มีกำลังพลเบื้องล่างไม่น้อยคิดไม่ตก


และในกระโจมค่ายหลักหลังหนึ่ง ก่วงเซิ่งกับฮ่าวอวิ๋นเทียนที่เป็นตัวแทนของสองตระกูลก็นั่งตรงข้ามกันอยู่หน้าโต๊ะยาวตัวหนึ่งเช่นกัน กินดื่มด้วยกันหลายจอกเช่นกัน


“ไม่รู้ว่ายังต้องรออีกนานแค่ไหน ทางครอบครัวคิดจะทำอะไรกันแน่?” ฮ่าวอวิ๋นเทียนกรอกสุราแล้วพึมพำ


“ใครจะไปรู้ล่ะ เชื่อฟังตามแผนที่เตรียมไว้ก็พอ” ก่วงเซิ่งกล่าวขณะมองไปยังยอดฝีมือที่ทำหน้าที่คุ้มกันตัวเองอยู่นอกค่าย


ทั้งสองทำตามใจตัวเองไม่ได้เหมือนกัน ก็เหมือนกับอิ๋งหยาง พวกเขาล้วนต้องเชื่อฟังลูกน้องคนสนิทที่ท่านปู่ส่งมา สิ่งที่นายน้อยรู้อาจจะไม่เยอะเท่าลูกน้องคนสนิทของท่านปู่ ถึงแม้พวกเขาจะรู้สึกไม่ยอม แต่ในสายตาของท่านปู่ พวกเขายังอ่อนด้อยไปหน่อย นายท่านรู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้เชี่ยวชาญเหมือนลูกน้องคนสนิทของตัวเอง เรื่องบางเรื่องยอมบอกลูกน้อง ยอมให้ลูกน้องตัดสินใจ ดีกว่าบอกลูกหลานตัวเอง ต่อให้เจ้าจะไม่พอใจแต่ก็เถียงอะไรไม่ได้


แต่อิ๋งหยางในฐานะที่เป็นตัวหลักของเรื่องนี้ก็ยังดีกว่าหน่อย อย่างน้อยก็ยังรู้ว่าเป็นเรื่องอะไร ส่วนพวกเขากลับถูกบังไว้ในกลองทั้งหมด ถูกจำกัดอิสรภาพอย่างเลอะเลือนไม่รู้ตัว


ฮ่าวอวิ๋นเทียนถอนหายใจ “คนในใต้หล้าเห็นแต่ด้านที่มีหน้ามีตาของพวกเรา แต่กลับไม่เห็นด้านที่พวกเราได้รับความอยุติธรรม ถ้าไม่เชื่อฟังตามแผนแล้วจะทำอะไรได้อีกล่ะ? เชื่อฟังตามแผนก็ไม่เป็นไรหรอก แต่การอยู่ที่นี่ตลอดมันใช่เรื่องเหรอ ถ้าน้ำ ‘เทพมรณะ’ ในจุดลึกของพุวังเวงวิ่งออกมาถึงพวกเราล่ะ แบบนั้นก็บันเทิงใหญ่แล้ว”


ก่วงเซิ่งตบจอกสุราลงบนโต๊ะ แล้วถลึงตาบอกว่า “เจ้านี่ปากไม่เป็นมงคล พูดอะไรน่าฟังหน่อยไม่ได้รึไง? น้ำพุวังเวงชั้นสิบแปดใหญ่ขนาดนั้น พวกเรารออยู่ตรงมุมนี้จะไปเจอได้ยังไงล่ะ”


“ถุยถุยถุย ข้าพูดเหลวไหลเอง” ฮ่าวอวิ๋นเทียนถ่มน้ำลาย แล้วจู่ๆ ก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้อย่างลับๆ ล่อๆ แล้วพูดหยอกว่า “ข้าว่านะก่วงเซิ่ง ก่วงเม่ยเอ๋อร์ท่านอาน้อยคนนั้นของเจ้าน่ะ รูปร่างหน้าตาทำให้คนน้ำลายไหลจริงๆ ต่อให้เป็นในฝันก็อยากดมดอมกลิ่นหอม ช่วยเป็นสะพานติดต่อให้ข้าสักหน่อยสิ”


“อยากจะตักตวงผลประโยชน์จากข้าเหรอ?” ก่วงเซิ่งเหล่ตามอง ถ้าให้เจ้าหมอนี่แต่งงานกับอาหญิงเล็กของตนจริงๆ ในภายหลังตนจะไม่ต้องเรียกเขาว่าอาเขยหรอกเหรอ?


ฮ่าวอวิ๋นเทียนหัวเราะเบาๆ “ก็เป็นแค่ในนามเฉยๆ เจ้ายังจะสนใจเรื่องนี้อีกเหรอ? ด้วยความสัมพันธ์ของพวกเราน่ะ สมบัติไม่รั่วไหลหรอก ให้นอนกับใครก็เหมือนกันนั่นแหละ?”


ก่วงเซิ่งทำเสียงฮึดฮัด “ต่อให้อาหญิงของข้าจะชอบเจ้า แต่ก็ใช่ว่าเจ้าจะกินไหว คนในบ้านเจ้าจะยอมเหรอ? มีหัวใจโจรแต่ไม่มีความกล้าของโจร รู้จักแต่ใช้ปากพูดเอาแต่ได้ นิสัย! ถ้าเจ้าเก่งนักก็ใช้กำลังบังคับให้ข้าดูสิ ข้ารับรองว่าจะไม่ขัดขวาง เจ้ากล้ามั้ยล่ะ?”


ฟังจากคำพูดแล้ว เหมือนจะไม่เคารพอะไรท่านอาหญิงของตัวเองเลย เขาไม่ถือสาที่จะเตะก่วงเม่ยเอ๋อร์ให้พ้นออกจากตระกูลก่วงไวๆ ถึงขั้นอยากจะไล่หวังเฟยเม่ยเหนียงออกไปด้วยกัน นี่ก็เป็นสาเหตุว่าทำไมเม่ยเหนียงถึงอยากจะหาแรงสนับสนุนภายนอก


“เรือนร่างแบบนั้น หน้าตาแบบนั้น หาพบได้น้อยมากในโลก ดอกไม้ที่สวยละเอียดอ่อนขนาดนี้ ไม่รูเหมือนกันว่าใครจะได้เด็ดไป น่าเสียดายแล้ว เฮ้อ!” ฮ่าวอวิ๋นเทียนถอนหายใจอย่างเสียดาย แล้วยกจอกสุรากรอกใส่ปากด้วยสีหน้าขัดเคือง

 

 

 


บทที่ 1675 แขกมาถึงแล้ว

 

น้ำพุวังเวงชั้นสิบเอ็ด แดนอัสนีบาต


บนท้องฟ้ามีเมฆครึ้มดำมืดตลอดเวลา ใต้ความมืดสลัวมีแสงสว่างกะพริบไม่หยุด แสงสายฟ้าไม่มีวันหยุดพักเลย วับวาบอยู่ท่ามกลางเมฆดำที่ม้วนกลิ้งอยู่เสมอ มีสายฟ้าฟาดโจมตีบนภูเขาแม่น้ำที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขตสายแล้วสายเล่า บ้างก็เหมือนปืนใหญ่ที่ยิงต่อเนื่อง บ้างก็เหมือนมัดรวมกันลงมา ราวกับมังกรเจียวหลงทอดกายพาดผ่าน สั่นสะเทือนฟ้าดิน ทำให้เทพผีตระหนกตกใจ


อานุภาพอันน่าหวาดกลัวของแดนอัสนีบาต แต่เมื่อเทียบกันแล้วกลับปลอดภัยที่สุด สัตว์ที่อยู่ในแดนปรภพ เมื่ออยู่ที่นี่ก็ไม่กล้าไปไหนเพ่นพ่านแล้ว ราวกับโดนฟันขาดครึ่งท่อนที่น้ำพุวังเวงชั้นสิบแปด ไม่ได้บอกว่าทั้งหมดถูกสกัดขวางไว้ อย่างน้อยก็ไม่ให้สัตว์น่ากลัวตรงจุดลึกของน้ำพุวังเวงพรั่งพรูออกมาข้างนอก มีบทบาทในการรักษาสมดุลของน้ำพุวังเวง


ระหว่างภูเขาสองลูก โซ่เหล็กถักทอหนาแน่นราวกับใยแมงมุม ด้านล่างเป็นกระโจมค่ายของตระกูลโค่ว สายฟ้าผ่าใส่บนโซ่เหล็กด้านบน แสงสายฟ้าถูกล่อไปแล้ว ไม่ส่งผลกระทบต่อค่ายด้านล่างแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าคนด้านล่างเตรียมตัวมา


ม่านค่ายดึงออกสองฝั่ง โค่วเหวินไป๋ยืนเอามือไขว้หลัง มองด้านนอกแสงสายฟ้าที่กระพริบไม่หยุด ขณะฟังเสียงฟ้าร้องครืนคราน ลำแสงก็กระพริบส่องบนใบหน้าเขา ทำให้ใบหน้าเขาเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง


มีเรื่องบางเรื่องที่เขาไม่เข้าใจ ยกตัวอย่างเช่นเหตุใดต้องหลบอยู่ที่นี่ไม่ออกไปไหนเสียที เขาไม่ได้มาออกล่าที่น้ำพุวังเวงเป็นครั้งแรก จึงรู้ว่าครั้งนี้ผิดปกติมาก


เขาเอียงหน้าช้าๆ มองโค่วหู่ที่อยู่ข้างกัน เป็นข้ารับใช้ของตระกูลโค่ว เดิมทีแซ่อะไรเขาก็ไม่รู้ รู้เพียงว่าท่านปู่ประทานแซ่โค่วให้ ตอนนี้เจ้าตัวกำลังถือระฆังดาราติดต่อไปที่ไหนก็ไม่รู้


รอจนกระทั่งโค่วหู่ติดต่อเสร็จแล้ว โค่วเหวินไป๋ก็เดินเข้าไปหา แล้วขมวดคิ้วถามว่า “ท่านอาหู่ บอกเหตุผลข้าไม่ได้จริงๆ เหรอ?”


โค่วหู่เอามือขยี้เคราอย่างลังเล การปิดบังแบบนี้ก็ต้องดูด้วยว่าเป็นใคร ถ้าลูกหลานคนอื่นของตระกูลโค่วถามเขา ถ้าไม่บอกก็คือไม่บอก แต่เห็นได้ชัดว่าโค่วเจิงยืนได้อย่างมั่นคงที่ตระกูลโค่วแล้ว อ๋องสวรรค์โค่วตั้งใจให้โค่วเจิงกุมอำนาจไม่น้อยแล้ว ถ้าไม่มีอะไรผิดคาด ตำแหน่งผู้สืบทอดหัวหน้าตระกูลก็เป็นใครไปไม่ได้แล้วนอกจากโค่วเจิง


“นายน้อย ที่ไม่บอกท่านก็เพราะไม่อยากให้ท่านวุ่นวายใจ ถ้าท่านอยากจะรู้ให้ได้ ก็สามารถติดต่อไปถามคุณชายใหญ่ได้โดยตรง” โค่วหู่ยอมให้ถามแล้ว


ในเมื่อถามแล้ว โค่วเจิงก็ไม่ได้ปิดบังเขา เพียงห้ามไม่ให้เขาปล่อยข่าวให้ภายนอกรับรู้ ไม่ให้บอกใคร รวมทั้งมารดาตัวเองด้วย


หลังจากได้รู้ความจริง ถึงแม้จะคุ้นชินกับเรื่องสกปรกโสมมบางอย่างของตระกูลตั้งนานแล้ว แต่โค่วเหวินไป๋ก็ยังตกใจอยู่บ้าง ถึงแม้จะได้ข่าวและสังเกตได้นานแล้วว่าตระกูลจะทิ้งหนิวโหย่วเต๋อ แต่ก็ยังนึกไม่ถึงว่าตระกูลจะแอบเข้าร่วมกับเรื่องเล่นงานหนิวโหย่วเต๋อให้ถึงตายด้วย ถึงอย่างไรก็ยังได้ชื่อว่าเป็นลูกเขยอ๋องสวรรค์โค่วนะ


หลังจากเก็บระฆังดาราเงียบๆ โค่วเหวินไป๋ก็ถอนหายใจ “ไม่น่ามาเลย!”


เมื่อได้ยินแบบนี้ โค่วหู่ก็เข้าใจว่าเขารู้ความจริงแล้ว “ทีแรกก็จะไม่มา แต่เป็นเพราะบังเอิญเกิดความเข้าใจผิด กลัวว่ากลับคำไปมาแล้วจะสะเทือนไปถึงท่านนั้นที่วังสวรรค์ ถึงได้แข็งใจมานี่ไง”


โค่วเหวินไป๋เหลือบตามองตรง “ที่แท้ตระกูลพวกนั้นก็รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าหนิวโหย่วเต๋อจะฆ่าอิ๋งหยาง ถ้าเกิดเรื่องกับหนิวโหย่วเต๋อขึ้นมา ตระกูลพวกนั้นจะไม่รู้หรอกเหรอว่าตัวเองกำลังแอบให้ความร่วมมือกับตระกูลโค่ว ปล่อยให้จุดอ่อนนี้ไปตกอยู่ในมืออีกฝ่ายจะเหมาะสมเหรอ?”


โค่วหู่จึงบอกว่า “นายน้อยคิดมากไปแล้ว เรื่องพรรค์นี้มีตระกูลไหนบ้างที่ไม่เคยทำ ไม่ว่าก้นใครก็ไม่สะอาดทั้งนั้น นับเป็นจุดอ่อนไม่ได้หรอก ตอนนี้สถานการณ์ของหนิวโหย่วเต๋อก็เห็นๆ กันอยู่ ท่านนั้นของวังสวรรค์ก็จงใจทำให้ตระกูลโค่วกลืนไม่ลง ตระกูลโค่วเองก็รับตัวถ่วงนี้ไว้ไม่ได้ ตระกูลอื่นก็ไม่ยอมให้ศิษย์อสุราอัคนีตกอยู่ในมือคนอื่นเช่นกัน ในเมื่อสี่ตระกูลไม่ได้ ก็ไม่ยอมให้วังสวรรค์ทำสำเร็จเช่นกัน ถึงได้เกิดการร่วมมือกันเล่นละครแบบนี้ จะได้ปิดบังวังสวรรค์กับตระกูลเซี่ยโห้วได้สะดวก”


“ตอนนี้สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?” โค่วเหวินไป๋ถาม


โค่วหู่ตอบว่า “ตามที่สายลับรายงานมา ตระกูลอิ๋งตั้งค่ายอยู่ที่น้ำพุวังเวงชั้นห้าแล้ว ส่วนตระกูลฮ่าวกับตระกูลก่วงตั้งค่ายที่น้ำพุวังเวงชั้นสิบ ตระกูลอื่นต่างก็รู้ว่ามาแสดงละคร ไม่ได้จริงจังกับการออกล่าครั้งนี้ มีเพียงตระกูลเซี่ยโห้วที่เลอะเลือนเหมือนถูกปิดบังอยู่ในกลอง เข้าไปออกล่าลึกในน้ำพุวังเวง”


“ไม่รู้ว่าต้องรอถึงเมื่อรึงจะจบ?” โค่วเหวินไป๋ ถาม


“รอไปเถอะ หลายตระกูลให้ความร่วมมือกับตระกูลอิ๋งล้างความอัปยศ หลังจากจบเรื่องทางตระกูลอิ๋งจะส่งสัญญาณบอก” โค่วหู่ตอบ


โค่วเหวินไป๋หันตัวไปมองแสงสายฟ้าที่วับวาบอยู่ด้านนอก “แล้วอาหญิงเล็กจะทำยังไงล่ะ? ถ้าหนิวโหย่วเต๋อเกิดเรื่องที่น้ำพุวังเวง แต่พวกเราดันกลับไปอย่างปลอดภัย จะอธิบายยังไงล่ะ? คงไม่ถึงขั้นกำจัดอาหญิงเล็กไปด้วยกันหรอกใช่มั้ย แบบนั้นชัดเจนเกินไปแล้ว จะให้ทุกคนของทัพเหนือมองเรายังไงล่ะ?”


“พวกเราไม่รู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อจะมาลงมือกับอิ๋งหยางที่น้ำพุวังเวง หลายบ้านไม่ได้อยู่ด้วยกัน จะเหนือบ่ากว่าแรงก็เป็นเรื่องปกติมาก”


“เหตุผลนี้ใช้ตบตาเพียงชั่วครู่ คนที่อยู่นอกสถานการณ์อาจจะเห็นแล้วไม่เข้าใจ แต่หลังจากจบเรื่อง วังสวรรค์กับตระกูลเซี่ยโห้วย่อมเข้าใจอยู่แล้ว โดยเฉพาะท่านนั้นของวังสวรรค์ ต่อให้ไม่มีหลักฐานอะไร แต่เกรงว่าจะไม่ถือสาที่จะเปิดโปงให้อาหญิงเล็กรู้”


“ถ้าคุณหนูเจ็ดฉลาด ก็น่าจะรู้ว่าต่อให้โวยวายยังไงก็แก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว คนฉลาดถึงจะมีอายุยืนยาว ผู้หญิงที่แต่งงานเป็นครั้งที่สองไม่จำเป็นต้องยึดติดกับตัวเอง…”


น้ำพุวังเวงชั้นห้าคือที่พักของค้างคาวขาวรัตติกาล ป่าแท่งเหล็กถ้ำรังที่เหมาะสมแก่การอยู่อาศัยของพวกมันที่สุด และเป็นกำแพงป้องกันให้พวกมันโดยธรรมชาติเช่นกัน


มีค้างคาวขาวรัตติกาลบินฉวัดเฉวียนอยู่ในท้องฟ้ามืดสลัวเป็นระยะ ราวกับเป็นภูตผีสีขาวกำลังล่องลอยอยู่บนท้องฟ้า และมีเสียงดังสะเทือนจากการเข่นฆ่าระหว่างพวกมันและผู้ล่าเช่นกัน เมื่อมาถึงที่นี่แล้ว ก็แยกไม่ออกว่าใครกันแน่คือผู้ล่า เพราะค้างคาวขาวรัตติกาลชอบล่าสัตว์ชนิดอื่นเป็นอาหารที่สุด ขณะเดียวกันก็มองคนภายนอกเป็นเหยื่อ ถ้าถูกพวกมันพบเมื่อไร ก็จะเป็นฝ่ายรุกโจมตีทันที


เหมียวอี้ก็นับว่าโชคดีเพราะดวงตาเช่นกัน ขณะที่ตาทิพกวาดมองไปรอบๆ ก็เห็นกับตาว่าฝูงค้างคาวขาวรัตติกาลนับไม่ถ้วนกำลังล้อมโจมตีนักพรตบงกชกลายคนหนึ่ง ทะเลเพลิงสีเขียวเข้มที่พ่นออกมาทะลุเกราะลมแล้ว ถึงแม้นักพรตบงกชกลายนั่นจะถล่มฆ่าค้างคาวขาวรัตติกาลไปฝูงใหญ่จนฝืนฝ่าทะเลเพลิงออกมาแล้ว แต่ไฟผีที่ราวกับกัดกร่อนกระดูกก็ทำให้เขาแสบตาเป็นพิเศษ ไม่น่าเชื่อว่าฝูงค้างคาวขาวรัตติกาลจะเผานักพรตระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพคนหนึ่งให้ตายทั้งเป็นแล้ว เห็นแล้วรู้สึกตัวสั่นทั้งๆ ที่ไม่ได้หนาว


มาออกล่าที่นี่ก็ได้ แต่อย่านึกว่าวรยุทธ์สูงแล้วจะสามารถทำตามอำเภอใจที่น้ำพุวังเวงได้


แต่ค้างคาวขาวรัตติกาลตายแล้วหมดมูลค่า ถ้าจะจับก็ต้องจับเป็น แต่ก็ไม่ได้จับกันง่ายๆ ขนาดนั้น ถ้าสัตว์ชนิดนี้ตกอยู่ในสภาพอับจนเมื่อไร ก็จะเผาตัวเองทันที แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ คนมักตายเพราะเงินทอง นกมักตายเพราะอาหาร ยังมีคนมาเสี่ยงโชคไม่หยุด ผลลัพธ์ก็มักจะเป็นแบบนี้ ไม่ใช่เจ้าตายก็เป็นข้าที่รอด


ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปหนึ่งวันแล้ว ในรังแท่งเหล็กที่เกิดจากธรรมชาติ เหมียวอี้กำลังนั่งสมาธิฟื้นฟูพลังอิทธิฤทธิ์ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาใช้ตาทิพย์ถี่ที่สุด


“ราชาปราชญ์ ปีศาจเฒ่าจ่างหงส่งข่าวมาแล้ว ว่าคนที่ทำลับๆ ล่อๆ พวกนั้นมีความเคลื่อนไหวแล้ว” อ๋าวเถี่ยถ่ายทอดเสียงเตือน


เหมียวอี้ได้ยินแล้วลุกขึ้น รีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อจ่างหง ไม่นานก็ใช้ตาทิพย์อีกครั้ง มองไปยังทิศทางที่จ่างหงบอก


ในสายตาทิพย์มองเห็นเม่ยจีเดินออกจากที่เดิมอย่างลับๆ ล่อๆ หลังจากเดินออกไปไกลแล้วถึงได้เหาะขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็ว ไปเจอกับชายคนหนึ่งที่รออยู่ตรงจุดไกลๆ นางมีท่าทีเคารพนอบน้อม


เห็นได้ชัดว่าชายคนนั้นกำลังปลอมตัว เหมียวอี้ใช้ตาทิพย์สำรวจโฉมหน้าที่แท้จริง ทำให้พบทันทีว่าเป็นสตรีวัยกลางคนที่งามหยดย้อยคนหนึ่ง ถึงแม้จะไม่รู้จัก แต่สัญลักษณ์พลังอิทธิฤทธิ์ตรงหว่างคิ้วก็หลอกเขาไม่ได้ มีนักพรตระดับสำแดงฤทธิ์โผล่มาอีกคนแล้ว


หลังจากคุยกับเม่ยจีไปสองสามประโยค ก็รีบตามเม่ยจีกลับมาอีก เขาไปที่รังก่อนหน้านี้แล้วสังเกตการณ์ภายนอกอีกครั้ง


สงสัยหยางชิ่งจะเดาไม่ผิดจริงๆ มีคนของสำนักหลัวช่ามาจริงๆ ด้วย! เหมียวอี้พึมพำในใจ


ไม่รู้ว่ามากันกี่คน แต่ในเมื่อมาแล้ว ต่อให้ยังมีคนอื่นอีก ถึงแม้จะไม่ได้อยู่บนตัวแต่ก็อยู่ข้างนอก ถ้าเกิดเรื่องขึ้นจะต้องมาสนับสนุนทันแน่นอน


หลังจากเหมียวอี้มีข้อมูลในใจแล้ว ก็เอ่ยเสียงเรียบว่า “แขกมาถึงแล้ว! ข้าสืบกำพืดตระกูลอิ๋งได้ชัดเจนพอดี ให้แขกไปทดสอบให้ก็ดีเหมือนกัน อ๋าวเถี่ย แจ้งลงไปว่าอย่าบุ่มบ่าม ทุกปฏิบัติการต้องรอฟังคำสั่งข้า…” เริ่มวางแผนในสถานที่จริงแล้ว


“รับทราบ!” อ๋าวเถี่ยได้ฟังแล้วเอ่ยรับ หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อทันที


ส่วนคนที่เม่ยจีรับมาก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเสวี่ยอวี้ อาจารย์ของนางนั่นเอง


หลังจากหลบอยู่ใน ‘กรง’ แล้วสังเกตการณ์สักพัก เสวี่ยอวี้ก็ขมวดคิ้วบอกว่า “เป็นธงของตระกูลอิ๋งจริงๆ! ข้าได้รับข่าวระหว่างทางที่มา ว่าลูกหลานของขุนนางใหญ่ตำหนักสวรรค์มาออกล่าที่น้ำพุวังเวง แล้วหนิวโหย่วเต๋อมารวมอยู่กับตระกูลอิ๋งได้ยังไง?” ในใจนางมีความสงสัยอีกอย่างที่ไม่ได้พูดออกมา อย่าบอกนะว่าคนของตระกูลอิ๋งก็เกี่ยวข้องกับเรื่องสำนักหนานอู๋เหมือนกัน?


เม่ยจีตอบว่า “ไม่ทราบค่ะ หนิวโหย่วเต๋อน่าจะหลบอยู่ในในกระโจมค่ายของตระกูลอิ๋ง ในปีนั้นตอนที่ติดตามท่านอาจารย์ไปเป็นแขกที่จวนอ๋องสวรรค์อิ๋ง ข้าเคยเห็นลูกชายของอิ๋งอู๋หม่านมาก่อน ก่อนหน้านี้ข้าเห็นกับตาว่าหนิวโหย่วเต๋อกับลูกชายของอิ๋งอู๋หม่านอยู่ด้วยกัน ท่านอาจารย์รีบดูสิ อิ๋งหยางออกมาแล้ว”


อิ๋งหยางยังคงออกมาเดินล่อเหยื่ออยู่ในกระโจมค่ายเป็นระยะ


เสวี่ยอวี้ที่จ้องจากซอกแท่งเหล็กพยักหน้าเบาๆ “เป็นหลานชายของอิ๋งจิ่วกวงจริงด้วย หรือว่าการออกล่าจะเป็นเรื่องหลอกลวง มีเจตนาอื่นต่างหากที่เป็นของจริง?” นางรู้สึกได้ว่าเรื่องนี้ค่อนข้างซับซ้อน จึงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่ออวี้หลัวช่า ถ้าพบของที่สำนักหนานอู๋ซ่อนไว้จริงๆ อย่าบอกนะว่าต้องปิดปากคนของตระกูลอิ๋งไปด้วย? เรื่องนี้นางตัดสินใจเองไม่ได้


ทว่าคำตอบของอวี้หลัวช่าก็เรียบง่ายมาก แม้แต่ลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่วก็ยังฆ่าได้ มีหรือที่จะแยแสหลานชายของอ๋องสวรรค์อิ๋ง ทำเหมือนเดิม!


ส่วนในตอนนี้ กุยอู๋ขุนพลใหญ่ลัทธิพุทธก็เข้ามาใกล้ทางนี้อย่างเงียบๆ แล้ว ที่บอกว่าเข้าใกล้ แต่ความจริงห่างกันไกลมาก หลังจากปรับระยะห่างจนไม่มีอุปสรรคขวางเป้าหมายแล้ว ก็หยิบธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์อันหนึ่งออกมาอย่างเงียบๆ ลูกธนูสามดอกตั้งอยู่บนสายแล้ว ลูกธนูเปล่งแสงสีรุ้ง เป็นธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นหก


อีกด้านหนึ่ง เมิ่งหรูขุนพลใหญ่ลัทธิเซียนก็ปรับทิศทางเช่นกัน ดวงตาอิทธิฤทธิ์จ้องไปยังค่ายที่มองเห็นได้จากที่ไกลๆ แล้วหยิบธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ออกมา ลูกธนูสามดอกตั้งบนสายพร้อมกัน เปล่งแสงสีรุ้ง เป็นธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นหก


เกิดเสียงระเบิดดังปั้งๆ กุยอู๋ปล่อยลูกธนู ลำแสงสามสายบินไปแล้ว ยิงไปยังจุดที่เม่ยจีและอาจารย์ซ่อนตัว


เม่ยจีและอาจารย์ที่ซ่อนอยู่ใน ‘กรง’ หันขวับ รอจนกระทั่งหันมามองสำรวจตรงซอกด้านหลัง ลำแสงสามสายก็มาอยู่ตรงหน้าแล้ว


ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์! ศิษย์และอาจารย์เบิกตากว้าง ตกใจมาก!


ปั้งๆๆ! มีเสียงดังสะเทือนสามครั้ง ฟ้าดินสั่นสะเทือน


ตอนนี้กุยอู๋ไม่ได้ฆ่าคน เพราะคนหลบอยู่ในรัง เป็นเรื่องยากที่จะเล็งให้แม่น เพียงยิงไปที่ ‘รัง’ นั้นเฉยๆ ส่วนโลหะเสาหน่อไม้นั่นก็ทนทานไร้ที่เปรียบ ไม่น่าเชื่อว่าลูกธนูดาวตกขั้นหกจะสร้างรอยไว้บนนั้นเพียงไม่กี่รอยเท่านั้น แล้วก็พลิกตัวกลับมาทันที


ถึงแม้จะยิ่งโจมตีแค่ ‘รัง’ นั้น ทว่าอาจารย์และศิษย์คู่นี้จะซ่อนตัวต่อไปได้อย่างไร แบบนี้ไม่เท่ากับถูกจับได้แล้วหรอกเหรอ สามคนที่หลบอยู่รีบหนีออกมาจากโพรงนั้น เหาะขึ้นฟ้าแล้วมองมาทางนี้


กุยอู๋ไม่สนใจ เก็บลูกธนูดาวตกแล้วไม่ได้เล็งออกไปอีก รีบมุดเข้าไปหลบในหลุมด้านข้างทันที


ส่วนเมิ่งหรูก็รอสัญญาณจากฝั่งนี้เพื่อลงมือ เขาปล่อยสายธนูที่ง้างไว้ ยิงลำแสงสามสายเข้าไปในค่ายหลักอย่างเกรี้ยวกราดแล้ว


อิ๋งหยางออกมาเดินเล่นรอบหนึ่งแล้วเพิ่งจะกลับเข้าไปนั่งในกระโจมค่าย เสียงสั่นสะเทือนด้านนอกทำให้เขาตกใจจนลุกขึ้นยืน เยี่ยนสุยก็หันกลับมาขมวดคิ้วเช่นกัน


อิ๋งหยางกำลังจะออกไปดูความเคลื่อนไหว จู่ๆ เยี่ยนสุยก็สีหน้าเปลี่ยนไปมาก ถลันตัวเข้ามาดึงแขนอิ๋งหยางให้หมอบลง เกิดเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นหลายครั้ง ค่ายหลักที่อยู่เหนือศีรษะทั้งสองถูกระเบิดออกแล้ว กระจายเป็นชิ้นส่วนพัดม้วนวุ่นวายตามพลังอิทธิฤทธิ์ที่โหมซัดสาด

 

 

 


บทที่ 1676 อย่าให้เหลือรอด

 

เรื่องราวเกิดขึ้นกะทันหัน ปฏิกิริยาแรกของเยี่ยนสุยก็คือกป้องอยู่ข้างกายอิ๋งหยาง และไม่ได้ผลักร่ายอิทธิฤทธิ์ออกไปเช่นกัน เพื่อป้องกันเผื่อผู้ลอบโจมตีมีแผนสำรอง การคุ้มกันอยู่ข้างกายอิ๋งหยางถึงจะปลอดภัยที่สุด สามารถรับมือได้ทุกเมื่อ


ไม่ใช่ว่าอิ๋งหยางหน้าใหญ่อะไรนักหรอก ไม่สนด้วยว่าจะจะดูถูกอิ๋งหยางหรือไม่ ในเมื่อทางจวนท่านอ๋องให้ตนมาคุ้มครองอิ๋งหยางแล้ว ก็จะยอมให้มีความผิดพลาดไม่ได้ ไม่อย่างนั้นก็จะไม่มีหนทางแก้ตัว


กระโจมค่ายจะทนรับอานุภาพการโจมตีแบบนี้ได้อย่างไร ถูกทำพังทันที


เงาแสงสามสายที่ทำลายกระโจมค่ายแฉลบผ่านไปแล้ว หนึ่งในนั้นแทบจะกวาดผ่านตำแหน่งที่อิ๋งหยางยืน ถ้าไม่ใช่เพราะเยี่ยนสุยไหวตัวเร็ว อิ๋งหยางคงได้บันเทิงแน่


“เป็นธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์!” อิ๋งหยางที่ถูกกดจนล้มลงพื้นอุทานตกใจ


ยังต้องให้เจ้าบอกอีกเหรอ ข้าย่อมรู้ว่าเป็นธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์! เยี่ยนสุยที่กำลังปกป้องเขาตำหนิในใจ ไม่รู้ว่าคนประสาทที่ไหนใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ยิงมาที่ค่าย หรือคิดอยากจะเสี่ยงดวงยิงคนตาย? หรือว่ารวยจนใช้ของสิ้นเปลือง!


เพียงแต่ชั่วพริบตาเดียวก็มีความคิดบางอย่างผุดเข้ามาในหัว ไม่มีใครกินอิ่มแล้วว่างงานจนมาลงมือกับคนของตระกูลอิ๋งหรอก ในที่สุดหนิวโหย่วเต๋อนั่นก็อดทนไม่ไหวจนต้องลงมือแล้ว ทำแบบนี้เท่ากับอยากกดดันให้คนในกระโจมค่ายออกมา!


คนที่ข้ารอก็คือเจ้า!


หลังจากแน่ใจแล้วว่าอิ๋งหยางไม่เป็นอะไร เขาก็ดึงอิ๋งหยางขึ้นมา แล้วโบกแขนเสื้อปัดกวาดฝุ่นควัน


“ท่านบุรุษ มีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ลอบโจมตี ข้าเข้าไปอยู่ในกระเป๋าสัตว์ของท่านก่อนดีมั้ย” อิ๋งหยางกล่าวอย่างหวาดระแวงนิดหน่อย


“ถ้าท่านมัวหลบ ไม่ให้โอกาสอีกฝ่าย แล้วจะล่อเหยื่อให้ติดเบ็ดได้ยังไง?” เยี่ยนสุยต่ำหนิ ขณะเดียวกันก็กวาดสายตาเย็นเยียบมองไปรอบๆ


คนเพียงสิบคนที่เหลืออยู่ในค่ายรีบเข้ามา ล้อมพิทักษ์อิ๋งหยางเอาไว้ตรงกลาง


อีกด้านหนึ่ง เสวี่ยอวี้กับเม่ยจีถูกลอบจู่โจมจนตกใจกระโดดออกมา เม่ยจีและบรรดาศิษย์เห็นอาจารย์ถูกจู่โจม มีหรือที่จะนิ่งดูดาย ทยอยกันกระโดดออกมาจากทั่วทุกทิศ


พวกเยี่ยนสุยกวาดสายตามองไปรอบๆ พบว่ามีเรื่องน่าสนใจนิดหน่อย รอบข้างมีคนชุดดำไม่เผยหน้าหลายสิบคนกำลังล้อมเข้ามาทางนี้


แต่ก็ไม่เห็นว่าหนิวโหย่วเต๋ออยู่ตรงไหน และแยกไม่ออกด้วยว่าในจำนวนคนชุดดำพวกนี้มีหนิวโหย่วเต๋อหรือไม่ ยิ่งไม่รู้ว่าอยู่หรือไม่อยู่ แต่ดูจากท่าทีที่ล้อมเข้ามาทางนี้ ก็มองออกได้ว่าเป็นพวกเดียวกันแน่นอน กล้าลงมือกับตระกูลอิ๋งอย่างเปิดเผย ใจกล้าไม่เบา!


ไม่ว่าหนิวโหย่วเต๋อจะอยู่หรือไม่ แต่ฝั่งนี้ก็มิอาจไม่สนใจ ถ้าหนิวโหย่วเต๋ออยู่ท่ามกลางคนพกวนี้ขึ้นมาล่ะ มีความเป็นไปได้สูงมาก อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็ลงมือแล้ว ในทางตรงกันข้าม ถ้าไม่สนใจจนปล่อยให้หนิวโหย่วเต๋อลอดตาข่ายไป เช่นนั้นก็ส้นเปลืองความคิดไปเปล่าๆ แล้ว


สรุปก็คือแทบจะแน่ใจได้เลย ว่าคนที่ลอบโจมตีกลุ่มนี้เกี่ยวข้องกับหนิวโหย่วเต๋อแน่นอน เพราะคนอื่นไม่มีเหตุผลที่จะทำอย่างนี้!


เยี่ยนสุยที่ถือระฆังดาราอยู่ในแขนเสื้อรีบร่ายอิทธิฤทธิ์เขย่า


ความคิดแรกของพวกเสวี่ยอวี้ที่อยู่บนฟ้าก็คือ ถูกคนของตระกูลอิ๋งลอบโจมตีแล้ว มิหนำซ้ำยังใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ในเวลานี้ด้วย แต่พอหันกลับไปอีกแล้วเห็นค่ายหลักถูกธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ถล่มเหมือนกัน ก็สงสัยนิดหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น


ทว่าเรื่องแรกที่เสวี่ยอวี้ต้องรับประกันให้ได้ก็คือห้ามเปิดเผยตัวตน ไม่อย่างนั้นถ้าทำลายสถานการณ์ระหว่างแดนพุทธะกับตำหนักสวรรค์ ต่อให้เป็นพุทธะหน้าหยกก็รับไม่ไหว เมื่อเห็นคนของตัวเองโผล่มาแล้ว หากปะทะกันขึ้นมาก็จะเกิดปัญหายุ่งยากมาก จึงรีบถ่ายทอดเสียงบอกเม่ยจี “ถอนกำลัง!”


ถ้าบรรลุเป้าหมายแล้วปิดปากคนของตระกูลอิ๋ง แบบนั้นก็คุ้มค่า แต่ถ้าไม่ได้อะไรแล้วก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้ก็จะไม่คุ้ม ย่อมต้องถอนกำลังก่อนอยู่แล้ว หลังจากนั้นค่อยวางแผนอีกที


เม่ยจีรีบส่งสัญญาณมือไล่คน กลุ่มคนที่อยู่รอบข้างพุ่งขึ้นฟ้าทันที หมายจะหนีออกจากตาน้ำพุ


“อืม!” เยี่ยนสุยบอกใบ้ สิบคนที่ล้อมป้องกันอยู่ทางนี้เหาะออกมาไล่สังหารทันที กำลังที่ปกป้องอิ๋งหยางอ่อนแอลงอีกครั้ง เหลือเพียงเยี่ยนสุยคนเดียว


นอกจากสิบคนที่ไล่สังหาร พวกเม่ยจีที่เพิ่งขึ้นบนฟ้าสูง ใครจะคิดว่าจู่ๆ บนฟ้าจะมีกำลังพลอีกนับพันปรากฏตัวอีก ไม่รู้ว่าโผล่มาจากน้ำพุวังเวงชั้นสี่หรือชั้นหก หลายสิบคนในนั้นง้างสายธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์กลางอากาศ ลูกธนูสามดอกวางบนสายพร้อมกัน ยิงใส่พวกเม่ยจีที่พุ่งเข้ามา ส่วนคนที่เหลือโจมตีจากข้างบนลงมาข้างล่าง


บึ้มๆๆ! ลำแสงหลายสิบสายสังหารจนพวกเม่ยจีลนลานทำอะไรไม่ถูก ภายใต้ระยะที่ใกล้แบบนี้ มีคนถูกยิงตายคาที่ บางคนก็สะเทือนล้มกลางอากาศแล้วถูกคนที่กรูเข้ามาใช้อาวุธฟันสังหาร ส่วนคนที่สะเทือนตกลงพื้นก็ดิ้นรนสู้ตายอยู่ภายใต้วงล้อมโจมตี


กำลังพลของตระกูลอิ๋งที่โผล่มาปุบปับลงมืออย่างเหี้ยมโหดไร้ความปรานี ประกอบกับการรุกโจมตีอย่างเชี่ยวชาญ แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นกำลังพลที่เก่งกาจของทัพตะวันออก


ทว่าคนที่เม่ยจีพามาด้วยก็ไม่ได้อ่อนด้อย มีนักพรตบงกชกลายหลายคน คนเหล่านี้ไหวตัวเร็วมาก หลังจากคว้าโล่มาป้องกันธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แล้ว ก็รีบโจมตีกลับอย่างรวดเร็ว สามารถสู้แบบหนึ่งต่อสิบได้เลย สังหารจนทัพของตระกูลอิ๋งปั่นป่วน


ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์อย่างเสวี่ยอวี้กับเม่ยจีก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง แค่กระดิกนิ้วก็เอาชีวิตคนได้แล้ว ใช้เวลาเพียงไม่เท่าไรก็ถูกทั้งสองสังหารไปแล้วเกือบร้อยคน


แต่ทั้งสองไม่มีทางแยกตัวออกไปได้แล้ว ไม่ใช่ว่าหนีไม่ได้ แต่ลูกศิษย์กับศพของลูกศิษย์ที่ทิ้งไว้ที่นี่จะทำอย่างไรล่ะ ถึงตอนนั้นก็จะปิดบังตัวตนของสำนักหลัวช่าไม่ได้ เสวี่ยอวี้ทั้งตกใจทั้งโมโห นึกไม่ถึงว่าคนของตระกูลอิ๋งจะบ้าระห่ำถึงเพียงนี้ เวลาลงมือก็จะเอาให้ถึงตายเลย


พลังอิทธิฤทธิ์ที่โหมซัดสาดอยู่ระหว่างฟ้าดินราวกับพายุที่หนาวเหน็บ เสียงดังสะเทือนฟ้าดิน ตอนนี้อยู่ทั้น้ำพุวังเวงชั้นห้าแล้ว ไม่อย่างแผ่นดินใหญ่คงพลังทลายแน่


อิ๋งหยางเห็นแล้วอกสั่นขวัญแขวน เยี่ยนสุยหรี่ตาจ้องเสวี่ยอวี้กับเม่ยจี นึกไม่ถึงว่าจะมียอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ถึงสองคน ยิ่งนึกไม่ถึงด้วยว่าหนิวโหย่วเต๋อจะหายอดฝีมือมาได้เยอะขนาดนั้น ไม่แปลกใจที่กล้าโจมตี


เสวี่ยอวี้ที่กำลังสู้ศึกเดือดพลันหันขวับ สบตากับเยี่ยนสุยที่อยู่ข้างหลังแล้ว ในเมื่อเรื่องราวบานปลายจนเป็นอย่างนี้ ถ้าอยากจะปิดบังตัวตนก็ต้องเก็บลูกศิษย์และศพลูกศิษย์ไปด้วยให้หมด แต่ตระกูลอิ๋งบ้าระห่ำขนาดนี้มีหรือที่จะปล่อยไปง่ายๆ เหลือแต่ต้องฆ่าปิดปากแล้ว!


เสวี่ยอวี้ใช้ฝ่ามือตบคนที่หลบอยู่ข้างหน้าจนกระอักเลือดตกลงพื้น พอโบกแขนเสื้อ คนชุดดำนับร้อยก็ปรากฏตัวกลางอากาศ ในที่สุดก็ปล่อยกำลังพลของสำนักหลัวช่าออกมาแล้ว


“อย่าให้เหลือรอด ฆ่า!” เสวี่ยอวี้ตะโกนเสียงแหบพร่า


คนชุดดำนับร้อยโจมตีเข้ามาในสนามรบทันที พวกนี้มีศักยภาพแข็งแกร่ง พลิกสถานการณ์ให้ฝ่ายสำนักหลัวช่าได้เปรียบอย่างรวดเร็ว แทบจะสังหารกำลังพลของตระกูลอิ๋งหมด


ไม่ให้ได้เปรียบก็คงไม่ได้ เพราะท่ามกลางคนชุดดำพวกนี้ มีศิษย์สายตรงจำนวนห้าคนซึ่งมีวรยุทธ์ระดับสำแดงฤทธิ์เหมือนกับเม่ยจีทั้งหมด ทั้งยังมีวรยุทธ์กะดับบงกชกลายอีกยี่สิบคน ส่วนที่เหลือก็ล้วนมีวรยุทธ์ระดับบงกชรุ้ง กระบวนทัพที่แข็งแกร่งขนาดนี้ กำลังพลของตระกูลอิ๋งจะต้านทานไหวได้อย่างไร


เสวี่ยอวี้นำกระบวนทัพที่แข็งแกร่งขนาดนี้มาด้วย ก็เพราะเตรียมตัวมาแล้วว่าหากทำไม่สำเร็จจะต้องปิดปากให้สิ้นซาก แล้วก็ได้นำออกมาใช้งานจริงๆ อย่างที่คาดไว้


เข่นฆ่ากันอย่างดุเดือด ให้ความรู้สึกเหมือนฟ้าดินจะพลิก ฉากนี้ทำให้อิ๋งหยางที่เคยเห็นการสู้รบแบบนี้เป็นครั้งแรกตกตะลึงพรึงเพริด


เยี่ยนสุยหนังตากระตุกเช่นกัน อย่าว่าแต่เขาเลย เกรงว่าแม้แต่อิ๋งจิ่วกวงก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าหนิวโหย่วเต๋อจะหายอดฝีมือมาได้เยอะขนาดนี้ และคิดไม่ออกด้วยว่าหนิวโหย่วเต๋อหายอดฝีมือมากมายขนาดนี้มาจากไหน ความคิดแรกของเขาก็คือสงสัยตระกูลโค่ว!


แต่ใครจะคิดล่ะว่าหนิวโหย่วเต๋อจะหายอดฝีมือมาเยอะขนาดนี้ ยังจะออมมือได้อย่างไร ถ้าออมมือก็เกรงว่าคงจะไม่เหลือแม้แต่ชีวิตแล้ว


เยี่ยนสุยรีบเขย่าระฆังดาราในมืออีกครั้ง


ขุนพลใหญ่หกลัทธิที่หลบสังเกตการณ์อยู่ไกลๆ กำลังจ้องการรบอันดุเดือดบนฟ้า แสดงฝีมือได้ยอดเยี่ยมพอสมควร ถ้าเข่นฆ่ากันบนพื้นอาจจะเห็นไม่สะดวก แต่พอสู้กันบนฟ้าก็สะดวกต่อการรับชมมาก พวกเขานึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้วางแผนลึกลับซับซ้อนจนล่อยอดฝีมือมากมายขนาดนี้มาเปิดฉากต่อสู้กับตระกูลอิ๋งได้ ต่อสู้กันดุเดือดพอสมควร


ตานฉิงเอามือลูบคางพึมพำ “คนพวกนี้เป็นใครกัน? วิธีการต่อสู้ดูคุ้นๆ อยู่นะ…”


ไป๋เฟิ่งหวงกับเยี่ยนเป่ยหงมองหน้ากันเลิกลั่ก หันไปมองเหมียวอี้พร้อมกันอีกแล้ว


เหมียวอี้ไม่ได้บอกพวกเขาว่าจะล่อคนออกมาเยอะขนาดนี้ แต่เหมียวอี้เองก็ทำสีหน้าแปลกๆ เช่นกัน เพราะนึกไม่ถึงว่าสำนักหลัวช่าจะมียอดฝีมือมาเยอะขนาดนี้ ความลับของสำนักหนานอู๋มีค่ามากขนาดไหนกัน? สำนักหลัวช่ายอมแลกทุกอย่างแล้ว!


ถึงแม้หยางชิ่งจะวิเคราะห์ว่าสำนักหลัวช่าจะพยายามปิดบังตัวตนอย่างถึงที่สุด แต่ดูจากจังหวะของอีกฝ่าย เหมือนต้องการจะปิดปากกำลังพลของตระกูลอิ๋งให้หมดชัดๆ!


จากสถานการณ์ที่ดำเนินต่อไปอย่างนี้ ถ้าตระกูลอิ๋งไม่มีทางหนีทีไล่ เหมียวอี้ก็ค่อนข้างลังเลว่าการกำจัดอิ๋งหยางยังต้องให้ฝ่ายตัวเองลงมือหรือเปล่า อย่าให้วุ่นวายจนทัพใหญ่หนึ่งล้านของแดนอเวจีไม่มีโอกาสลงสนามรบ แบบนั้นจะมาเสียเที่ยวแล้ว


น้ำพุวังเวงชั้นสิบ แดนมายา


ในค่ายหลักสองแถว ฮ่าวอวิ๋นเทียนกับก่วงเซิ่งกำลังดื่มสุราอยู่ในนั้น ในห้องข้างๆ มีชายชราสองคนกำลังดื่มสุราด้วยกัน คนหนึ่งมาจากตระกูลฮ่าวชื่อว่าจวงจื้อเกา คนหนึ่งมาจากตระกูลก่วงชื่อว่าอูกาน เป็นข้ารับใช้ของตระกูลฮ่าวและตระกูลก่วง


ชายชราสองคนที่วางจอกสุราแทบจะหยิบระฆังดาราออกมาพร้อมกัน ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง แล้วต่างคนก็ต่างจัดการกับข่าวของตัวเอง


การได้ข่าวพร้อมกันในเวลานี้จะเป็นข่าวอะไรไปได้ ย่อมเป็นเพราะสายลับค้นพบแล้วว่าเกิดการเข่นฆ่าฝั่งตระกูลอิ๋ง จึงรีบรายงานมาให้ทั้งสองคนรู้


หลังจากทยอยกันจบการติดต่อแล้ว อูกานก็กล่าวเสียงต่ำ “ตระกูลอิ๋งรอจนได้เจอแล้วจริงๆ หนิวโหย่วเต๋อนี่บ้าระห่ำพอสมควร ช่างใจกล้าคับฟ้าจริงๆ!”


จวงจื้อเกากล่าวด้วยสีหน้านับถือ “เป็นหนิวโหย่วเต๋อเหรอ? หายอดฝีมือมากจากไหนเยอะขนาดนั้น? เกรงว่าคงจะเหนือความคาดหมายของตระกูลอิ๋งไปมาก อย่าขโมยไก่ไม่ได้แล้วเสียข้าวสารอีกกำมือ[1]เชียว วางกับดักล่อโจร นอกจากโจรจะไม่ติดกับดักแล้ว ยังถูกขโมยหม้อไปอีกด้วย!”


“ข้าเองก็แปลกใจว่าหายอดฝีมือมากมายขนาดนั้นมาจากไหน หรือว่าตระกูลโค่วแอบลงมือแล้ว?” อูกานถาม


“จะเป็นไปได้ยังไง? ตระกูลโค่วยอมจ่ายมากขนาดนี้เพื่อรับมือกับรุ่นหลานของตระกูลอิ๋งแค่คนเดียวเนี่ยนะ เป็นไปได้ยังไง?” จวงจื้อเกาถาม


จากนั้นทั้งสองก็รีบรายงานข่าวให้เจ้านายที่อยู่เบื้องหลังเวที


น้ำพุวังเวงชั้นสิบเอ็ด แดนอัสนีบาต โค่วหู่แทบจะได้รับรายงานจากสายลับทันที “ซี้ด!” เขาสูดหายใจลึก เรียกได้ว่าตกใจมาก


โค่วเหวินไป๋เห็นเขาแปลกใจขนาดนี้ จึงรีบถามว่า “ท่านอาหู่ ทำไมตกใจขนาดนี้ล่ะ?”


“ค่ายตระกูลอิ๋งถูกจู่โจม เกรงว่าหนิวโหย่วเต๋อคงจะลงมือไปแล้ว แต่จะประเมินพลังของผู้โจมตีต่ำไม่ได้เชียว แค่ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ก็ปาไปหลายคนแล้ว…” โค่วหู่เล่าสิ่งที่รับรายงานคร่าวๆ ด้วยสีหน้าเครียดขรึม


โค่วเหวินไป๋ได้ยินแล้วตกใจเช่นกัน “หนิวโหย่วเต๋อหายอดฝีมือมาจากไหนมากขนาดนั้น?” กำลังที่ท่านเขยจอมเอาเปรียบนั่นเปิดเผยออกมาทำให้เขาตกใจไม่เบา


ส่วนเสวี่ยอวี้ที่ตัดสินใจแล้วว่าจะฆ่าปิดปาก หลังจากปล่อยกลุ่มลูกศิษย์ออกมาแล้ว มือนางก็ว่างแล้วเช่นกัน นางหมุนตัวกลางอากาศท่ามกลางกระแสลมที่พัดม้วน จ้องมองอิ๋งหยางกับเยี่ยนสุยอย่างเย็นเยียบ แล้วถลันตัวไปอย่างฉับพลัน จะจับโจรต้องจับหัวหน้าโจรก่อน ต้องการจะเอาบุคคลสำคัญมาบีบ จะได้รีบหนีออกไปได้อย่างราบรื่น


เยี่ยนสุยเก็บอิ๋งหยางที่ตกใจจนหน้าถอดสีเข้ากระเป๋าสัตว์ มาถึงขั้นนี้แล้วถ้ายังใช้อิ๋งหยางเป็นเหยื่อล่ออีก ก็เท่ากับเอาชีวิตอิ๋งหยางมาล้อเล่นแล้ว เขาเก็บอิ๋งหยางไว้แล้วยืนรออย่างสงบ สายตาเย็นเยียบล้ำลึก นิ่งเฉยไม่สะทกสะท้าน!


เสวี่ยอวี้ที่โผเข้ามาพอเห็นเยี่ยนสุยมีท่าทีอย่างนี้ ก็รู้ทันทีว่าตัวเองเจอกับศัตรูที่แข็งแกร่ง


…………………………


[1] ขโมยไก่ไม่ได้ เสียข้าวสารอีกกำมือ 偷鸡不成蚀把米 หมายถึงฉวยโอกาสไม่สำเร็จแล้วยังขาดทุน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)