ข้ามกาลบันดาลรัก 167.1-172.1

ตอนที่ 167-1 รับคน

 

สะใภ้สกุลเมิ่งทั้งสามคนยังอยู่หั่นหน่ออ่อนมันฝรั่งในบ้านต่อ


 


 


หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเด็กน้อยทั้งสองจัดเรียงหน่ออ่อนมันฝรั่งอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย จึงเร่งรุดมายังที่ดินรกร้าง


 


 


วัชพืชบนที่ดินรกร้างถูกกำจัดไปหมดแล้ว ชาวบ้านยังพลิกหน้าดินที่ทำความสะอาดเสร็จแล้วตามระดับที่นางต้องการ ทอดสายตามองออกไป ไม่เหลือร่องรอยของที่ดินรกร้างอีก


 


 


นอกจากสองสามีภรรยาเมิ่งและสะใภ้เมิ่งทั้งสามคนแล้ว คนของสกุลเมิ่งทั้งหมดต่างมาทำงานในที่ดินรกร้าง แม้แต่เมิ่งเหรินก็ตามมาทำงานที่พอจะทำได้


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวย่อตัวลง ตรวจสอบระดับความลึกที่ให้ชาวบ้านพลิกหน้าดิน พบว่าได้ระดับพอดี จากนั้นเอามือขุดลึกลงไปหลายครั้ง กำดินขึ้นมาดม รู้สึกว่าความชุ่มชื้นของเนื้อดินใช้ได้ รีบเดินไปหาเมิ่งเอ้ออิ๋นแล้วพูดว่า “ท่านพ่อ ตอนนี้เหมาะจะปลูกมันฝรั่งแล้ว ท่านเข้าไปหาวัวสองสามตัวในหมู่บ้านมาไถพรวนที่ดิน บอกพวกเขาว่า คนพร้อมวัวข้าให้วันละห้าสิบอีแปะ”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นรับคำ รีบเข้าไปหาวัวในหมู่บ้าน


 


 


ตอนนี้เป็นฤดูว่างนา วัวในบ้านต่างว่างงาน พอได้ยินว่าไถพรวนที่ดินได้วันละห้าสิบอีแปะ สองครอบครัวที่มีวัวต่างก็ดีใจ ไม่พูดพร่ำทำเพลง จูงวัวแล้วหยิบฉวยเครื่องมือไถพรวนมายังข้างที่ดิน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเรียกพวกเขามารวมกัน บอกความต้องการในการไถพรวนให้พวกเขาฟัง บอกพวกเขาว่า ให้ไถพรวนที่ดินให้สูงและกว้างขึ้นอีกเล็กน้อย


 


 


ทุกคนพยักหน้า นำเครื่องมือไถพรวนครอบติดบนหลังวัว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหาคนมาจับเครื่องมือไถ ให้พวกเขาไถพรวนพื้นดินที่ทำความสะอาดเสร็จแล้วก่อน


 


 


คนทั้งหมดทำตามสั่ง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินบนที่ดินมาถึงปลายอีกด้าน เร่งเร้าชาวบ้านที่ยังทำความสะอาดที่ดินรกร้างไม่เสร็จ “ทุกคนเร่งลงมือหน่อย จะต้องพลิกหน้าดินทั้งหมดให้เสร็จภายในวันนี้ค่ำ วันพรุ่งไถพรวนเสร็จ พวกเราจะได้ลงมือเพาะปลูกกันเสียที”


 


 


ชาวบ้านเร่งลงมือขะมักเขม้น


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปพูดกับเมิ่งต้าจินอีกว่า “ท่านลุง วัวเพียงไม่กี่ตัวเกรงว่าพรุ่งนี้จะไถพรวนที่ดินร้างผืนนี้ไม่เสร็จ รบกวนท่านไปถามหมู่บ้านใกล้เคียง พวกเขายินดีจะมาทำงานทั้งคนพร้อมวัวหรือไม่ ข้าให้วันละห้าสิบอีแปะ”


 


 


เมิ่งต้าจินพยักหน้าวางงานในมือลงแล้วเดินออกไปหมู่บ้านข้างเคียง เมิ่งเชี่ยนโยวร้องบอก “ให้พี่เมิ่งเหรินไปกับท่านด้วยเถอะ”


 


 


วันนี้เมิ่งเหรินเข้ามาทำงานเป็นครั้งแรก คิดแต่จะเร่งความเร็วให้เทียบทันคนอื่น ให้ทุกคนมองเขาในมุมใหม่ ทำติดต่อกันไม่หยุดพัก ไม่ถึงครึ่งวัน ก็เหนื่อยจนแทบจะนอนแผ่ไปกับพื้น ได้ยินคำพูดเมิ่งเชี่ยนโยวก็ดีใจ รีบวางเครื่องมือในมือ สาวเท้าก้าวตามเมิ่งต้าจินออกไปหมู่บ้านข้างเคียง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองแผ่นหลังเขาแวบหนึ่ง เมิ่งอี้เห็นแววตานางเข้าพอดี นึกว่านางไม่พอใจเมิ่งเหริน ร้อนรนพูด “วันนี้พี่ใหญ่ตั้งใจทำงานแข็งขันมาตลอด ไม่ได้แอบอู้เลยสักนิด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันกลับมา แย้มยิ้มพูด “แค่พี่เมิ่งเหรินออกมาทำงานก็ดีแล้ว ทำมากทำน้อยข้าไม่ได้ใส่ใจ สิ่งสำคัญคือให้เขารู้ว่าไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ”


 


 


เมิ่งอี้ขยี้ศีรษะ ยิ้มแหะๆ อย่างซื่อๆ


 


 


สองพ่อลูกมาถึงหมู่บ้านข้างเคียง ก็ไม่ได้เข้าไปถามหาวัวจากบ้านแต่ละหลัง กลับตรงไปยังบ้านผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านข้างเคียง บอกกล่าวสถานะตนเอง บอกว่าตนเองต้องการวัวสองสามตัวไปไถพรวนที่ดินร้าง ทั้งคนละวัวให้ค่าแรงวันละห้าสิบอีแปะ หากพวกเขายินดี ยังสามารถหาคนในหมู่บ้านเดียวกันไปคอยประคองเครื่องมือได้อีกด้วย


 


 


สองหมู่บ้านอยู่ใกล้กันมาก ผู้ใหญ่บ้านหมู่บ้านข้างเคียงได้ยินเรื่องบ้านสกุลเมิ่งมานานแล้ว กำลังขบคิดว่าวันไหนตนเองจะต้องแบกหน้าไปขอร้องแทนคนในหมู่บ้าน ในวันที่พวกเขารับสมัครคนงานจะได้ให้คนในหมู่บ้านตนเองเข้าไป ตอนนี้พอเห็นเมิ่งต้าจินมาหาด้วยตัวเอง ก็รับปากทันควัน พาพวกเขาไปถามครอบครัวที่มีวัว


 


 


นี่เป็นเรื่องดีที่หล่นมาจากฟ้า ครอบครัวที่มีวัวต่างรับปากทั้งหมดในทันที บอกว่าพรุ่งนี้จะจูงวัวและเครื่องมือไถพรวนไปแต่เช้าตรู่


 


 


เมิ่งต้าจินคิดคำนวณ หมู่บ้านข้างเคียงมีวัวสามตัว หมู่บ้านตัวเองรวมของบ้านตัวเองด้วยเพิ่งจะมีแค่สามตัว ทั้งหมดหกตัว พรุ่งนี้ยังต้องไถพรวนให้เสร็จในวันเดียว จึงตัดสินใจไปดูหมู่บ้านถัดไปอีก


 


 


ผู้ใหญ่บ้านหมู่บ้านข้างเคียงเอาแต่พูดถ้อยคำเกรงอกเกรงใจกับพวกเขา ความหมายทั้งทางตรงทางอ้อมล้วนแสดงว่าหากภายหน้าบ้านพวกเขารับสมัครคนงานอีก ให้คนในหมู่บ้านพวกเขาได้ไปทำงานด้วย


 


 


เมิ่งต้าจินย่อมไม่กล้ารับปาก พูดอย่างอ้อมๆ “กลับไปข้าจะบอกหลานสาวให้ หากต้องการคนเพิ่มอีก ให้นางพิจารณาคนในหมู่บ้านพวกท่านก่อน”


 


 


ผู้ใหญ่บ้านหมู่บ้านข้างเคียงแสดงความขอบคุณอย่างสุดซึ้ง ออกมาส่งพวกเขาออกจากหมู่บ้านด้วยตัวเองจนไกล ภายใต้การพูดโน้มน้าวตลอดทางของเมิ่งต้าจิน ถึงยอมหยุดฝีเท้า


 


 


มาหาผู้ใหญ่บ้านอีกหมู่บ้าน แสดงเจตจำนง ผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านนี้ก็ดีอกดีใจ พาพวกเขาไปถามแต่ละบ้านเช่นกัน สุดท้ายได้วัวมาสี่ตัว


 


 


เมิ่งต้าจินบอกตำแหน่งที่ดินร้างของพวกเขา กำชับพวกเขาวันพรุ่งนี้ให้เข้าไปแต่เช้า แล้วพูดโอภาปราศัยกับผู้ใหญ่บ้านสองสามคำ จึงกลับออกมาพร้อมเมิ่งเหริน


 


 


เมิ่งเหรินพลิกหน้าดินมาครึ่งวัน ทั้งต้องเดินทางระยะทางไกลเช่นนี้ ทนไม่ไหวนานแล้ว พอเห็นว่าได้วัวครบแล้ว ระหว่างทางกลับบ้านจึงร้องขอเมิ่งต้าจิน “ท่านพ่อ เราพักสักหน่อยเถอะ ข้าเหนื่อยล้าไปหมดแล้ว”


 


 


เมิ่งต้าจินเห็นเขาเหงื่อออกเต็มตัว หายใจหอบรัว จึงพยักหน้าพูดเห็นชอบ “เราจะพักได้เพียงหนึ่งเค่อเท่านั้น”


 


 


เมิ่งเหรินนั่งแผ่ไปกับพื้นอย่างไม่สนใจภาพลักษณ์ หายใจหอบกระชั้น


 


 


เมิ่งต้าจินไม่เคยเห็นเมิ่งเหรินเหนื่อยขนาดนี้มาก่อน รู้สึกปวดใจ แต่พอคิดถึงคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยว คำพูดที่จะใช้ปลอบประโลมก็ถูกกลืนลงไป


 


 


ผ่านไปหนึ่งเค่อ เมิ่งต้าจินเร่งเร้าให้เขาลุกขึ้นออกเดิน แม้เมิ่งเหรินจะมีอาการไม่ยินดี แต่ก็ลุกขึ้นเดินกลับมา


 


 


หลังจากเมิ่งต้าจินและเมิ่งเหรินจากไป เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูคนโดยรอบต่างง่วนกับการพลิกหน้าดิน ตัวเองก็เลยหยิบจอบคิดจะพลิกหน้าดินไปกับทุกคนด้วย เมิ่งเสียนเข้ามารั้งนาง “น้องสาว งานนี้เหนื่อยเกินไป เจ้าอย่าทำเลย ไปดูที่ดินโดยรอบว่าชาวบ้านพลิกหน้าดินผ่านเกณฑ์หรือไม่เถอะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวปัดมือเขาออก ยกยิ้มพูดว่า “พี่ใหญ่ดูแคลนข้าแล้ว ข้าจะทำไม่ไหวได้อย่างไร?”


 


 


เมิ่งอี้ก็พูดโน้มน้าว “น้องโยวเอ๋อร์ เหนื่อยมากจริงๆ เจ้าอย่าทำเลยดีกว่า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ฟังคำทัดทาน หยิบจอบขึ้นทำท่าทำทางพลิกหน้าดินเหมือนพวกเขา แต่เครื่องมือที่ตกกระทบลงไปอย่าว่าแต่พลิกหน้าดินเลย แม้แต่ผิวดินยังไม่ระคาย นางสบถออกมาหนึ่งคำ


 


 


เมิ่งฉีไม่เคยเห็นนางมีอาการเช่นนี้เป็นครั้งแรก ปิดปากแอบหัวเราะ


 


 


เมิ่งเสียนถลึงตาใส่เขา เข้าขวางเมิ่งเชี่ยนโยวอีกครั้ง “น้องสาว เจ้าอย่าทำเลย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถูกกระตุ้นเร้าจิตใจที่อยากเอาชนะ พูดว่า “ข้าไม่เชื่อดอกว่าข้าจะทำงานง่ายๆ แบบนี้ไม่ได้” พูดจบ หยิบจอบขึ้นพลิกหน้าดินอีกครั้ง ครั้งนี้มีการเตรียมพร้อม ออกแรงมากกว่าเดิม จอบแทงเข้าไปในผิวดิน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่งยิ้มมองทุกคนอย่างลำพอง คิดจะถอนจอบเพื่อพลิกดินต่อ ทดลองหลายครั้งกลับถอนไม่ขยับ


 


 


เมิ่งฉีอดทนต่อไปไม่ไหวแล้ว อ้าปากหัวเราะลั่น


 


 


น้ำเสียงเมิ่งเสียนก็เจือความขบขัน “น้องสาว ให้ข้าช่วยเถอะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโมโหโยนจอบทิ้ง พูดอย่างแง่งอน “จอมสับปะรังเคนี้ใช้ไม่ดีเอาเสียเลย”


 


 


เมิ่งฉียิ่งหัวเราะครืน


 


 


เมิ่งอี้ก็อดไม่ไหวหัวเราะร่วน


 


 


ชาวบ้านที่มาพลิกหน้าดินได้ยินพวกเขาหัวเราะขรม ก็หันหน้ามาดู


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งพูดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า “ข้าจะไปดูว่าพวกเขาพลิกหน้าดินเป็นอย่างไรบ้าง” แล้วสาวเท้าไปจากพวกเขาทันที


 


 


เห็นท่าทีของนาง เมิ่งฉียิ่งหัวเราะงอหาย เมิ่งเสียนพูดกับเขาเจือน้ำเสียงขบขัน “เจ้าหัวเราะนางเช่นนี้ ระวังตอนฝึกวรยุทธ์วันพรุ่งนี้นางจะเอาคืนเจ้า”


 


 


เสียงหัวเราะของเมิ่งฉีหยุดลงในบัดดล รีบหยิบจอบของตัวเองลงมือทำงานต่อ


 


 


เมิ่งเสียนแอบกระหยิ่มยิ้มย่อง


 


 


เมิ่งอี้ถามอย่างประหลาดใจ “ตอนนี้พวกเจ้าเรียนวรยุทธ์อยู่หรือ?”


 


 


เมิ่งเสียนเปล่งเสียง “อือ” “เวินเปียวและเหวินหู่รู้วรยุทธ์ ทุกวันตอนเช้าโยวเอ๋อร์จะให้พวกเราเรียนกับพวกเขาวันละหนึ่งชั่วยาม”


 


 


เมิ่งอี้ได้ฟังก็ให้รู้สึกอิจฉา ถามอย่างเก้อเขิน “ให้ข้าไปเรียนด้วยได้หรือไม่?”


 


 


เมิ่งเสียนตอบ “น่าจะได้ ประเดี๋ยวเจ้าไปถามน้องสาว แต่ข้าบอกเจ้าก่อนนะ ฝึกวรยุทธ์ลำบากมาก แต่ละวันจะต้องตื่นก่อนหนึ่งชั่วยาม และห้ามล้มเลิกกลางคัน ตอนนี้น้องสาวโหดมาก หากเจ้าล้มเลิกกลางคัน นางจะอัดเจ้าจนชาติหน้าเจ้าจะไม่อยากเห็นหน้านางอีก”


 


 


เมิ่งอี้นึกถึงภาพเหตุการณ์ที่เขาพูด ตกใจจนจอบในมือเกือบจะร่วงพื้น แต่ก็ทำใจให้สงบนิ่ง พูดอย่างเด็ดเดี่ยว “ไม่มีทาง ข้าจะต้องยืนหยัดให้จงได้”


 


 


เมิ่งเสียนตบบ่าของเขา “หวังว่าหลังจากเจ้าผ่านการวิ่งเหนื่อยแทบรากเลือดในวันแรก จะยังพูดอย่างเด็ดเดี่ยวแบบนี้ได้”


 


 


เมิ่งต้าจินและเมิ่งเหรินกลับมาบอกเมิ่งเชี่ยนโยวว่ายืมวัวมาได้เจ็ดตัว พรุ่งนี้จะต้องไถพรวนดินเสร็จในวันเดียว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า บอกชาวบ้านให้เร่งพลิกหน้าดินที่เหลือให้เสร็จ


 


 


กระทั่งฟ้ามืด คนทั้งหมดก็พลิกหน้าที่ที่เหลือเสร็จ


 


 


หลังจากตรวจดู เมิ่งเชี่ยนโยวก็พยักหน้าพึงพอใจ บอกพวกเขาว่า “ทุกคนพักก่อนหนึ่งวัน รอให้พรุ่งนี้ไถพรวนที่ดินทั้งหมดเสร็จ ทุกคนค่อยเข้ามาปลูกมันฝรั่ง หลังจากปลูกเสร็จ จะคิดเงินค่าแรงพร้อมกันทีเดียว”


 


 


วันรุ่งขึ้น หลังจากทุกคนกินข้าวเช้าเสร็จแต่เนิ่นๆ คนในสกุลเมิ่งทั้งหมดต่างก็รุดมายังที่ดินร้าง คนในหมู่บ้านสองสามคนต่างครอบเครื่องมือไถพรวนรออยู่ข้างที่ดินร้างแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวให้พวกเขาลงมือทำงานได้ทันที แล้วหันมาพูดความต้องการสำหรับการไถพรวนที่ดินอย่างละเอียดกับทั้งเจ็ดคนที่เพิ่งมาถึง บอกพวกเขาว่า จะไถพรวนช้าไม่เป็นไร แต่จะต้องทำการไถพรวนตามที่ตนเองต้องการอย่างเคร่งครัด


 


 


ทั้งเจ็ดคนล้วนแต่ทำงานเก่ง ได้ยินข้อเรียกร้องของนางก็เข้าใจทันที บวกกับเมื่อวานผู้ใหญ่บ้านของแต่ละคนตั้งใจแยกย้ายกันไปหาพวกเขา กำชับแล้วกำชับอีก บอกพวกเขาวันนี้จะต้องทำงานให้ดี สร้างภาพประจำใจให้แก่เมิ่งเชี่ยนโยว หากพวกเขารับสมัครคนอีก ไม่แน่ว่าจะได้คิดถึงคนในหมู่บ้านตัวเอง ดังนั้นหลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวพูดจบ พวกเขาก็ไม่รอช้า นำเครื่องมือที่เตรียมมาครอบบนหลังวัวด้วยความไว ทำการไถพรวนพร้อมกับอีกคนหนึ่งทันที


 


 


เมิ่งต้าจินและคนอื่นๆ ก็ไม่อยู่ว่าง เข้าตรวจตราที่ดินที่ไถพรวนเมื่อวาน พอเห็นว่าไม่ตรงตามความต้องการของเมิ่งเชี่ยนโยวก็รีบนำเครื่องมือไปไถพรวนใหม่


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวคอยยืนตรวจตราทั้งสิบคนด้านข้าง พอเห็นว่าไม่ผ่านก็ให้พวกเขาไถพรวนอีกครั้ง


 


 


คนงานทำงานแข็งขัน ผ่านไปครึ่งวันเช้า ก็ไถพรวนไปได้กว่าครึ่ง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูท้องฟ้า ร้องตะโกนบอกพวกเขา “เที่ยงแล้ว ทุกคนพักก่อนเถอะ ถึงเวลากินอาหารกลางวันแล้ว”


 


 


ได้ยินเสียงตะโกนของนาง คนงานต่างหยุดมือ ถอดเครื่องมือไถพรวนออก ปล่อยวัวไปกินหญ้าตามสบายข้างริมห้วย คนต่างหมู่บ้านหยิบอาหารแห้งที่เตรียมเป็นอาหารเที่ยงออกมา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วพูดกับพวกเขา “ข้าบอกคนที่บ้านแล้ว ให้พวกเขานำอาหารเที่ยงส่งมา พวกท่านรอประเดี๋ยวเถอะ พวกเขาน่าจะใกล้เข้ามาแล้ว”


 


 


คนต่างหมู่บ้านร้องอุทาน “แม่นาง พวกเจ้าดูแลเรื่องอาหารกลางวันด้วย?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษ แค่ให้พวกเขานึ่งซาลาเปาให้จำนวนหนึ่ง”


 


 


อีกคนถามอย่างระวัง “หักเงินหรือไม่?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วพูดกับทุกคน “อีกประเดี๋ยวให้ทุกคนกินให้เต็มที่ ไม่หักเงินค่าแรง”


 


 


คนทั้งหมดหันมองหน้ากันอย่างประหลาดใจแวบหนึ่ง แล้วกล่าวขอบคุณอย่างชื่นบาน “ขอบคุณแม่นาง”


 


 


เหวินเปียวสามพี่น้องและเหวินซง แบกเข่งขนาดใหญ่ควันร้อนพวยพุ่งเดินเข้ามาแต่ไกล ด้านหลังยังมีภรรยาเหวินเปียวและภรรยาเหวินหู่หาบคอนตามหลังมา


 


 


คนทั้งหมดเดินมาตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว วางหาบลง เหวินเปียวพูดอย่างนอบน้อม “แม่นาง ซาลาเปาและน้ำซุปมาถึงแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับคนทั้งหมด “เข้ามารับไปเถอะ กินกันตามสบาย กินจนกว่าจะอิ่ม”


 


 


คนต่างหมู่บ้านทั้งเจ็ดคนต่างข้ามองเจ้าเจ้ามองข้ากันเลิ่กลั่ก ใครก็ไม่เดินเข้าหา


 


 


คนในหมู่บ้านรู้จักนิสัยนาง ก้าวอาดๆ เข้าไป หยิบซาลาเปาลูกใหญ่ไปคนละหลายลูกอย่างไม่เกรงใจ เดินไปอีกด้านกัดกินคำโต


 


 


ภรรยาเหวินเปียวรีบตักซุปไปให้พวกเขาคนละถ้วย


 


 


คนต่างหมู่บ้านเห็นดังนั้นก็ไม่ลังเลอีก เดินไปข้างเข่งหยิบซาลาเปาหลายลูกเดินไปกินข้างๆ บ้าง ภรรยาเหวินเปียวก็ตักน้ำซุปส่งให้พวกเขาเช่นกัน 

 

 


ตอนที่ 167-2 รับคน

 

ตอนเช้าเมิ่งเชี่ยนโยวสั่งการภรรยาเหวินเปียวแล้ว งานในวันนี้ค่อยข้างเหนื่อย ตอนทำซาลาเปาให้ใส่เนื้อเข้าไปเยอะหน่อย อย่าเอาเปรียบคนที่มาทำงาน ดังนั้นซาลาเปาเนื้อที่ส่งมาวันนี้แทบจะกัดหนึ่งคำก็ชุ่มฉ่ำเต็มคำ


 


 


คนในหมู่บ้านเดียวกันยังดี คนต่างหมู่บ้านเป็นครั้งแรกที่ได้กินซาลาเนื้อแบบนี้ ตอนที่กัดเข้าไปคำแรกก็ตื่นตะลึง มองไส้ที่ทะลักออกมาจากซาลาเปาในมือตัวเองอย่างไม่เชื่อ แล้วหันมองคนหมู่บ้านเดียวกันที่กินอย่างเอร็ดอร่อย กระเถิบเข้าหาพูดเสียงเบา “ข้าไม่ได้ฝันไปใช่ไหม ที่พวกเรากินคือซาลาเปาเนื้อ”


 


 


อีกคนพยักหน้าพูด “ข้าก็คิดว่าเป็นความฝัน ไม่งั้นเจ้าลองหยิกข้าดู ว่าข้าจะเจ็บหรือไม่”


 


 


คนข้างๆ ยื่นมือมาหยิกเขา คนผู้นั้นหวีดร้องทันควัน “เจ็บๆๆ ข้าไม่ได้ฝันไป พวกเราได้กินซาลาเปาเนื้อจริงๆ”


 


 


คนอื่นๆ ได้ยินเสียงหวีดร้องของเขา ต่างเบือนหน้าหันมามองพวกเขา


 


 


คนทั้งหมดรู้สึกว่าตัวเองทำเรื่องเขลา เขินหน้าแดง รีบก้มหน้างุดกัดซาลาเปาในมือตัวเอง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหูไว ได้ยินบทสนทนาของพวกเขา เม้มปากขบขัน


 


 


ซาลาเปาอร่อยมากจริงๆ สามสี่ลูกที่ลงท้องไปไม่ได้รู้สึกอะไรแม้แต่น้อย คิดจะเข้าไปหยิบมาอีกสองสามลูก ก็กลัวเมิ่งเชี่ยนโยวจะหาว่าพวกเขาตะกละ แต่ละคนต่างลังเลอิดออด เสียงเมิ่งเชี่ยนโยวก็เปล่งดังขึ้น “รู้ว่าพวกท่านต้องกินอาหารในแต่ละมื้อมาก ตั้งใจสั่งพวกเขาให้ทำมามากหน่อย พวกท่านเข้ามาหยิบไปกินตามสบายเถอะ”


 


 


คนทั้งหมดเดินเข้ามา หยิบไปคนละสองสามลูกอย่างเกรงใจ เดินไปกินไป เพียงสองสามคำก็กินหมดไปหนึ่งลูก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองอย่างตกตะลึงอ้าปากค้าง ยามนางฝึกฝนในชาติก่อน ไม่ได้กินข้าวหนึ่งวันหนึ่งคืน ยังเร็วเทียบพวกเขาไม่ได้


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นและคนอื่นๆ คุ้นชินเสียแล้ว จึงไม่ได้รู้สึกตกใจอะไร


 


 


คนผู้หนึ่งกินซาลาเปาลูกใหญ่เจ็ดแปดลูก ทั้งดื่มน้ำซุปร้อนอีกสองถ้วย ถึงลูบหนังท้องตัวเองพูดอย่างเก้อเขินว่าอิ่มแล้ว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูซาลาเปาเต็มเข่งใบใหญ่สองใบที่ตอนนี้เหลือเพียงไม่กี่ลูก ถลึงตาอ้าปากค้างอีกครั้ง


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นเห็นคนงานกินกันอิ่มแล้ว ถึงเรียกคนในครอบครัวตัวเอง “พวกเราก็ไม่ต้องกลับบ้านแล้ว กินแก้ขัดไปก่อนเถอะ กินอิ่มแล้วจะได้ทำงาน”


 


 


คนทั้งหมดพยักหน้า ต่างหยิบซาลาเปาขึ้นมากิน แม้แต่เมิ่งเชี่ยนโยวก็หยิบซาลาเปาลูกหนึ่งขึ้นมากัด ภรรยาเหวินเปียวรีบไปตักน้ำซุปร้อนมาให้นาง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลืนซาลาเปาในปาก ร้องชมเชย “วันนี้ใครเป็นคนทำซาลาเปา อร่อยมากเลย อร่อยกว่าร้านขายซาลาเปาในเมืองเสียอีก”


 


 


ภรรยาเหวินเปียวหน้าแดง “แม่นางกล่าวเกินไปแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกระเซ้านาง “ข้าไม่ได้กล่าวเกินไปนะ ซาลาเปาของเจ้าทำได้อร่อยมาก ข้าตัดสินใจแล้ว วันไหนที่บ้านเราไม่มีเงิน จะไปเปิดร้านซาลาเปา ถึงตอนนั้นต้องอาศัยเจ้าเลี้ยงดูพวกเราแล้ว”


 


 


ภรรยาเหวินเปียวยิ่งหน้าแดง ร้อนรนพูด “แม่นางพูดหยอกแล้ว”


 


 


เมิ่งเสียนและคนอื่นๆ ยังดี เมิ่งอี้ทำงานในภัตตาคารมาตลอด ได้กินแต่ผัดผักไม่กี่อย่างซ้ำไปซ้ำมา ทั้งไม่เคยกินซาลาเปาเนื้อที่อร่อยขนาดนี้ เกิดอดใจไม่ไหว กินเพิ่มเป็นสองลูก พอกินอิ่มถึงรู้สึกพุงป่องบวม ให้เขินอายหน้าแดง ฉวยโอกาสที่คนไม่สังเกต แอบลูบพุงของตัวเอง


 


 


หลังกินอาหารเที่ยง และพักผ่อนอีกครู่หนึ่ง ทุกคนก็ลงมือทำงานต่อ


 


 


เพราะทำมาตลอดทั้งเช้าแล้ว เริ่มคุ้นเคยกับงาน แต่ละคนต่างรู้ว่าต้องทำยังไง ความเร็วในช่วงบ่ายจึงเร็วกว่าช่วงเช้าอย่างเห็นได้ชัด ไม่ทันฟ้ามืด ที่ดินร้างหนึ่งร้อยกว่าหมู่ก็ไถพรวนเสร็จ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวคอยตรวจตราอยู่ข้างๆ ตลอด พึงพอใจกับการไถพรวนของพวกเขาเป็นอย่างมาก บอกเมิ่งเสียนให้คิดเงินค่าแรงให้คนทั้งหมดทันที


 


 


วันเดียวก็หาเงินได้ห้าสิบอีแปะ คนทั้งหมดดีใจยกใหญ่ พูดประจบเอาใจ “ต่อไปหากท่านมีงานเช่นนี้อีก ให้คนไปแจ้งข่าวพวกเรา พวกเราจะเข้ามาทันที รับรองว่าจะทำได้ทั้งเร็วและดี”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยกยิ้มพยักหน้า


 


 


คนทั้งหมดเก็บเครื่องมือไถพรวน บังคับรถเทียมเกวียนจากไปอย่างหน้าชื่นตาบาน


 


 


คนสกุลเมิ่งก็เก็บเครื่องมือกลับบ้าน


 


 


หนึ่งคืนผ่านไป


 


 


เช้าวันรุ่งขึ้นยังคงตื่นแต่เช้า กินอาหารเช้าเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวให้เมิ่งเสียนบังคับรถเทียมเกวียนมา คนทั้งครอบครัวนำมันฝรั่งที่หั่นแล้วหันหน่ออ่อนชี้ขึ้นบนขนไปวางบนรถเทียมเกวียนอย่างระมัดระวัง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับเมิ่งเสียนให้บังคับรถเทียมเกวียนช้าๆ บอกเขาว่าหากหน่ออ่อนถูกทับเสียหาย มันฝรั่งจะไม่งอกออกมา


 


 


เมิ่งเสียนบังคับรถเทียมเกวียนอย่างเชื่องช้ามาถึงข้างที่ดินร้าง คนในหมู่บ้านมารอข้างที่ดินนานแล้ว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบมันฝรั่งลูกหนึ่งจากรถเทียมเกวียน ชี้หน่ออ่อนแล้วพูดกับทุกคน “ตอนที่พวกท่านปลูก หน่ออ่อนนี้จะต้องชี้ขึ้น ความลึกของการฝังกลบให้กำหนดจากการงอกของหน่ออ่อน ไม่ว่าจะสั้นหรือยาว ให้ถือหลักไม่เห็นหน่ออ่อนโผล่พ้นดินออกมา” พูดจบ ลงมือสาธิตการปลูกด้วยตัวเอง


 


 


งานนี้ไม่ยาก คนในหมู่บ้านส่วนใหญ่แค่เห็นก็ทำเป็นแล้ว ทยอยกันเดินไปข้างรถเทียมเกวียนหยิบมันฝรั่งขึ้นมาคนละชิ้นอย่างระวัง ปลูกลงไปตามวิธีที่เมิ่งเชี่ยนโยวสอน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวคอยจับจ้องพวกเขา พอเห็นว่ามีใครทำไม่ถูกต้อง ก็จะรีบห้ามปราบ แล้วสอนเขาอย่างละเอียดรอบหนึ่ง


 


 


ชาวบ้านกลัวตัวเองจะทำไม่ถูก ถึงเวลามันฝรั่งไม่งอกออกมา เมิ่งเชี่ยนโยวจะตำหนิโทษพวกเขา ดังนั้นตอนทำงานจึงช้ามาก หมดหนึ่งวัน คนจำนวนมากนี้แม้แต่หนึ่งในสามของมันฝรั่งก็ปลูกไม่เสร็จ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่รีบร้อน บอกพวกเขาให้กลับไปพักผ่อนที่บ้านให้สบาย พรุ่งนี้ค่อยมาปลูกต่อ


 


 


ปลูกอีกหนึ่งวัน มันฝรั่งทั้งหมดถึงปลูกเสร็จ


 


 


ที่ดินร้างยังเหลือที่อีกครึ่งกว่าไม่ได้เพาะปลูก


 


 


พอคิดว่าใช้เงินจ้างคนมาแผ้วถางไปตั้งมากกลับไม่ได้ปลูกมันฝรั่ง เมิ่งเอ้ออิ๋นก็ให้รู้สึกปวดใจ เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่มีมันฝรั่งให้ปลูกพวกเราปลูกอย่างอื่นก็ได้ อย่างเช่นข้าวโพดวสันต์ ถึงตอนนั้นไม่แน่ว่าพวกเราจะหาเงินได้อีกก้อนใหญ่”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นไม่เคยได้ยินยังมีการปลูกข้าวโพดวสันต์ นึกกังขา ถามขึ้น “ไม่ใช่ฤดูกาลของของสิ่งนี้ จะปลูกได้หรือ?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างไม่แยแส “ที่ดินมากมายนี้ทิ้งไว้ก็เสียเปล่า พวกเราลองปลูกดูก็ได้ หากว่าปลูกไม่ขึ้น พวกเราก็เสียหายแค่เมล็ดพันธุ์ แต่ถ้าถ้าปลูกขึ้น พวกเราก็เอาข้าวโพดอ่อนไปขายเหลาจวี้เสียนได้”


 


 


พอคิดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะเอาข้าวโพดอ่อนไปขายเหลาจวี้เสียน จะต้องได้เงินมาอีกไม่น้อย เมิ่งเอ้ออิ๋นก็ไม่ลังเลอีก “ได้ แล้วแต่เจ้า พวกเรามาลองดู”


 


 


พูดปุ๊ปทำปั๊ป เมิ่งเอ้ออิ๋นหาคนมาจำนวนหนึ่งปรับหน้าดินที่ไถพรวนแล้วให้เรียบเสมอกัน แล้วโรยเมล็ดข้าวโพดลงไปเต็มพื้นที่


 


 


คนในหมู่บ้านต่างสนเท่ห์ บ้านสกุลเมิ่งเกิดเพี้ยนอะไรขึ้นมา ถึงมาปลูกข้าวโพดในฤดูกาลนี้


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่มีเวลาสนใจเรื่องพวกนี้ เตรียมตัวพาเมิ่งอี้เซวียนเข้าสอบระดับจังหวัด


 


 


วันสุดท้าย ตรงกับวันที่เมิ่งเชี่ยนโยวรับปากจะจูงมือเมิ่งอี้เซวียนไปส่งเข้าเรียนพอดี


 


 


กินอาหารเช้าเสร็จ เมิ่งอี้เซวียนสะพายกระเป๋านักเรียนรออยู่ในลานบ้าน เมิ่งเชี่ยนโยวออกมาจากตัวบ้าน เหมือนกับครั้งก่อน จูงมือเขาเดินออกไปนอกลาน ก้าวเท้าขึ้นรถม้า


 


 


ซุนเหลียงไฉเบ้ปาก ก้าวขึ้นรถม้าอย่างไม่เต็มใจ


 


 


เหวินเปียวและเหวินหู่นั่งบนคานรถม้าด้านหน้าคนละด้าน บังคับรถม้ามาถึงประตูโรงเรียนอย่างชำนาญและเร็วไว


 


 


อาจารย์เวรไม่ได้เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวหลายวันแล้ว วันนี้ได้เจอนางจึงกระตือรือร้นเป็นพิเศษ “แม่นางเมิ่ง ปีนี้เมิ่งอี้เซวียนเป็นนักเรียนคนเดียวของโรงเรียนพวกเราที่ได้เข้าสอบถงเซิงระดับจังหวัด ได้ยินอาจารย์ผู้สอนเขากล่าวว่า ครั้งนี้เขามีความเป็นไปได้สูงมาก ข้าขอแสดงความยินดีกับพวกท่านไว้ตรงนี้ก่อน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวได้ฟังก็ให้ยินดี พูดให้สัญญา “หากอี้เซวียนสอบผ่านระดับจังหวัดได้จริงๆ ข้าจักมีของขวัญมอบให้แก่อาจารย์ทุกท่าน”


 


 


อาจารย์เวรยิ่งดีใจ บอกนางอย่างละเอียดว่าจะต้องเตรียมอะไรยามเมื่อเข้าไปสอบระดับจังหวัด


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตั้งใจฟังจนจบ กล่าวขอบคุณด้วยใจจริง “ขอบคุณท่านอาจารย์”


 


 


อาจารย์โบกมือ “ไม่ต้อง เหล่านี้อาจารย์ผู้สอนของพวกเขาน่าจะบอกพวกเขาหมดแล้ว ข้าเพียงพูดเพิ่มในสิ่งไม่จำเป็น เพราะอยากให้เมิ่งอี้เซวียนสอบผ่านจริงๆ เพื่อสร้างชื่อเสียงให้โรงเรียนของพวกเราเพิ่มมากขึ้น”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณด้วยใจจริงอีกครั้ง


 


 


หลังยืนมองทั้งสองเข้าไปในโรงเรียนแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วบอกพิกัดเหวินเปียว สั่งเขาให้ไปหอน้ำชา


 


 


ครั้งก่อนซุนวั่งนำคนมาทำร้ายเมิ่งเชี่ยนโยว ซุนซ่านเหรินเดือดดาลสั่งกักบริเวณเขา ทั้งออกคำสั่งต่อไปห้ามเขาข้องเกี่ยวกิจการของหอน้ำชาอีก ไม่มีซุนวั่งคอยเชื้อเชิญเพื่อนเกกมะเหรกมากินดื่มแถมหยิบฉวยกลับบ้าน บวกกับหลงจู๊รู้จักดำเนินกิจการ การค้าของหอน้ำชาไม่นานก็ฟื้นคืนชีพกลับมา แต่ละวันมีคนเข้ามาดื่มน้ำชาไม่ขาดสาย


 


 


เหวินเปียวบังคับรถม้ามาจอดหน้าประตูหอน้ำชา เสี่ยวเอ้อหน้าประตูนึกว่าพวกเขาจะมาดื่มน้ำชา วิ่งเข้ามาอย่างเอาใจใส่ ถามอย่างกระตือรือร้น “ทุกท่านมาถึงแล้ว ต้องการห้องน้ำชาธรรมดาหรือห้องน้ำชาหรูหรา?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลงมาจากรถม้า พูดว่า “พวกเราไม่ได้มาดื่มน้ำชา แต่มาหาหลงจู๊ของพวกเจ้า รบกวนเจ้าไปรายงานเขา ให้เขาออกมาหน่อย ข้ามีเรื่องจะฝากเขาไปบอกนายท่านของพวกเจ้า”


 


 


เสี่ยวเอ้อจำเมิ่งเชี่ยนโยวได้ รีบร้อนพูด “แม่นางเมิ่ง หลงจู๊ของพวกเราสั่งเอาไว้ ขอเพียงท่านมาถึง ให้เชิญท่านเข้าไปดื่มชาในห้องน้ำชาก่อน ค่อยไปรายงานเขา”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ไม่ต้องแล้ว ข้ายังมีธุระที่บ้าน พูดกับเขาไม่กี่คำก็จะไป”


 


 


ครั้งก่อนเสี่ยวเอ้อถูกลงโทษไม่น้อย ครั้งนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่กล้าให้เกิดความผิดพลาดขึ้นอีก พูดวิงวอน “แม่นางเมิ่ง หลงจู๊บอกพวกเราแล้ว หากท่านมาแล้วกลับไม่เชิญท่านไปห้องน้ำชา ก็ไม่ต้องทำงานที่นี่ต่อ ให้ม้วนเสื่อกลับบ้านไปได้เลย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวได้ฟังก็คาดเดาว่าคงเพราะเรื่องครั้งก่อนทำให้เสี่ยวเอ้อถูกคาดโทษ จึงพยักหน้ารับคำ “ได้ ข้าจะตามเจ้าเข้าไป” แล้วหันหลังไปสั่งเหวินเปียวและเหวินหู่ “พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ ประเดี๋ยวข้าก็ออกมา”


 


 


ทั้งสองรับคำอย่างอ่อนน้อม


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตามเสี่ยวเอ้อเข้ามาในห้องน้ำชาหรูห้องหนึ่ง เสี่ยวเอ้อชงชาให้นางเสร็จถึงรีบวิ่งออกไปรายงานหลงจู๊


 


 


หลงจู๊ได้ยินเร่งรีบมายังห้องน้ำชา ถามอย่างอ่อนน้อม “แม่นางเมิ่งมาวันนี้มีเรื่องอันใดจะฝากข้าแจ้งแก่นายท่าน?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบยิ้มๆ “พรุ่งนี้ข้าต้องตามน้องชายเข้าเมืองไปสอบถงเซิงระดับจังหวัด ไปกลับประมาณสามสี่วัน ข้าคิดว่านายน้อยซุนไม่ได้กลับบ้านมานานแล้ว ใช้ช่วงเวลานี้ให้เขาได้ลาพัก กลับไปอยู่กับคนในครอบครัว”


 


 


แม้ซุนซ่านเหรินจะยอมตัดใจให้เมิ่งเชี่ยนโยวช่วยอบรมซุนเหลียงไฉ แต่อย่างไรก็เป็นหลานเพียงคนเดียวที่ทะนุถนอมมาแต่อ้อนแต่ออก ในใจยังคงอาลัยไม่คลาย มีหลายครั้งที่ทนไม่ไหวคิดจะไปลอบดูหน้าโรงเรียน แต่ก็กลัวเมิ่งเชี่ยนโยวจะพบเข้า เกิดบันดาลโทสะหอบซุนเหลียงไฉกลับมาคืน จำต้องฝืนข่มกลั้นความคิดถึง แอบมานั่งที่หอน้ำชาเงียบๆ ครึ่งค่อนวัน


 


 


หลงจู๊ติดตามเขามานานหลายปี รับรู้ความรู้สึกนึกคิดของเขา แต่ก็พูดคำปลอบใจไม่ออก ทำได้เพียงนั่งข้างๆ เขาอย่างเงียบงัน


 


 


ตอนนี้ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวบอกว่าให้รับซุนเหลียงไฉกลับไปอยู่บ้านได้สองสามวัน หลงจู๊ที่อายุค่อนข้างมากแล้วยังดีใจจนเกือบจะกระโดด สะกดกลั้นความปิติยินดีในใจไม่อยู่ เปล่งเสียงร้องตะโกนไปด้านนอก “ใครก็ได้เข้ามาหน่อย!”


 


 


เสี่ยวเอ้อขานรับเดินเข้ามา ร้องพูดอย่างนบนอบ “ท่านหลงจู๊”


 


 


หลงจู๊สั่งเขา “เร็วๆ เจ้ารีบไปแจ้งข่าวนายท่าน บอกว่าแม่นางเมิ่งมารออยู่หอน้ำชา มีข่าวดีจะบอกเขา”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรีบห้ามปราบเขา “หลงจู๊ ข้ายังมีธุระที่บ้าน ไม่รอนายท่านของพวกท่านแล้ว ยามเลิกเรียนช่วงบ่ายท่านให้เขาตรงไปรับนายน้อยของพวกเขาก็พอ”


 


 


หลงจู๊ตบหน้าผากตัวเอง พูดอย่างรู้สึกผิด “ขออภัยแม่นางเมิ่งด้วย พอข้าได้ยินว่าไปรับนายน้อยซุนกลับบ้านได้ ก็ดีใจลืมตัว ลืมถามว่าท่านยังมีธุระอื่นหรือไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบ “ก็มิใช่เรื่องใหญ่อันใด แค่ให้คนในหมู่บ้านเขียนจดหมายแนะนำให้สองสามฉบับ ช่วงเวลานี้ข้ายุ่งมาก ไม่ได้สนใจจัดการ ไม่เช่นนั้นข้าจะรอซุนซ่านเหรินเข้ามา นั่งพูดคุยกับเขาให้สบาย ขอคำชี้แนะเรื่องการค้าขาย”


 


 


หลงจู๊ก็ยิ้มตอบกลับ “แม่นางถ่อมตนเกินไปแล้ว ข้าได้ยินนายท่านบอกว่า การค้าของท่านถึงจะเรียกว่าเก่งกาจอย่างแท้จริง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือยิ้มๆ


 


 


ทั้งสองโอภาปราศรัยอีกเล็กน้อย เมิ่งเชี่ยนโยวก็ออกมาจากหอน้ำชา กลับไปนั่งบนรถม้า สั่งการเหวินเปียวให้เดินทางกลับ


 


 


หลงจู๊ยืนหน้าประตูมองรถม้าของพวกเขาจากไปไกลแล้ว ถึงให้เสี่ยวเอ้อไปเตรียมรถม้าหลังเรือน เขาจะไปแจ้งข่าวดีนี้แก่นายท่านด้วยตัวเอง 

 

 


ตอนที่ 167-3 รับคน

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตรงมาบ้านใหญ่ บอกข่าวดีนี้กับเมิ่งจงจวี่


 


 


เมิ่งจงจวี่ตื้นตันจนเกือบจะเสียน้ำตา รีบให้เมิ่งต้าจินไปขอจดหมายแนะนำจากหัวหน้าสกุลต่างๆ ตนเองก็ฝนหมึกโดยไว เขียนจดหมายแนะนำอย่างตั้งใจ


 


 


หญิงชราเมิ่งและภรรยาเมิ่งต้าจินก็ตื่นเต้นดีใจไม่น้อย หญิงชราเมิ่งจับมือเมิ่งเชี่ยนโยวมาพูดว่า “หากอี้เซวียนสอบผ่านถงเซิงจริงๆ เช่นนั้นเขาจะเป็นบัณฑิตเพียงคนเดียวของสกุลเราแล้ว ต่อไปเจ้าต้องกวดขันเขาให้ดีๆ ให้เขาก้าวไปอีกขั้น สอบได้เป็นจองหงวน ได้สลักชื่อบนป้ายทอง เป็นเกียรติแก่วงศ์สกุลของพวกเรา”


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินก็พยักหน้าเห็นพ้อง “ใช่ๆ โยวเอ๋อร์ ครอบครัวพวกเราต้องอาศัยพวกเจ้าสองคนแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวละล่ำละลักพูด “ท่านย่า ท่านป้าใหญ่ พวกท่านอย่าทำข้าตกใจนะ ครอบครัวมีคนตั้งเยอะ จะอาศัยแค่พวกเราสองคนได้อย่างไร”


 


 


หญิงชราเมิ่งทอดถอนใจ “คนมีไม่น้อย แต่ไม่มีใครที่จะมีพรสวรรค์ดีเช่นนี้ แม้เหรินเอ๋อร์จะไม่เลว แต่เทียบกับอี้เซวียนแล้ว ยังคงห่างชั้นกัน อีกทั้งตอนนี้เขาก็ไปสอบซิ่วไฉไม่ได้ สกุลเมิ่งของเราย่อมมีเพียงพวกเจ้าสองคนแล้ว”


 


 


เอ่ยถึงเมิ่งอี้เซวียน ปฏิกิริยาชื่นบานปิติของภรรยาเมิ่งต้าจินเจือจางลง


 


 


เมิ่งจงจวี่เขียนจดหมายแนะนำเสร็จ พับอย่างละเอียดลออ มอบให้เมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


เมิ่งต้าจินเองก็ว่องไวรวดเร็ว ไม่นานก็นำจดหมายแนะนำที่เหลือกลับมา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บจดหมายแนะนำทั้งห้าฉบับไว้อย่างระวัง


 


 


เมิ่งจงจวี่และเมิ่งต้าจินกำชับนางถึงข้อควรระวังยามที่เมิ่งอี้เซวียนไปสอบระดับจังหวัด


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจดจำเป็นข้อๆ จนขึ้นใจ


 


 


สุดท้ายเมิ่งจงจวี่กล่าวว่า “โยวเอ๋อร์เอ๋ย เส้นทางไปตัวจังหวัดยาวไกล พวกเจ้าจักต้องเดินทางแต่เช้า เลี่ยงไม่ให้ระหว่างทางมีสิ่งใดมาถ่วงเวลา”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ข้าทราบแล้ว ท่านปู่ ข้ากลับบ้านไปจัดเก็บสิ่งของ พรุ่งนี้พวกเราจะออกเดินทางแต่เช้า”


 


 


เมิ่งชื่อจัดเก็บสิ่งของที่จำเป็นต้องนำไปด้วยให้เรียบร้อยแต่เนิ่นๆ แล้ว นึกกลัวว่าตัวเองจะหลงลืมอะไร คอยถามเมิ่งเชี่ยนโยวซ้ำๆ “โยวเอ๋อร์ เจ้าคิดดูอีกที ยังมีสิ่งใดตกหล่นหรือไม่?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบ “ท่านแม่ ท่านถามข้าหลายครั้งแล้ว ข้าเองก็ตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว สิ่งของที่จำเป็นไม่ขาดเลยสักชิ้น ท่านวางใจเถอะ”


 


 


เมิ่งชื่อวางใจนั่งบนเตียงเตา


 


 


กลุ่มหญิงสาวเย็บกระเป๋านักเรียนเห็นท่าทีปิติยินดีอยู่ไม่สุขของเมิ่งชื่อ หยั่งเชิงถามว่าเกิดเรื่องดีอะไรขึ้นในครอบครัว


 


 


เมิ่งชื่อดีใจลืมตัว บอกข่าวที่เมิ่งอี้เซวียนจะไปเข้าร่วมการสอบถงเซิงระดับจังหวัดกับพวกนาง


 


 


คนทั้งหมดอิจฉาดีใจ แล้วกล่าวอวยพรเป็นเสียงเดียว


 


 


ไม่คิดว่ากลุ่มหญิงสาวกลับมาบ้านจะอดใจไม่ได้ พูดออกมา ไม่ถึงครึ่งวัน คนในหมู่บ้านต่างก็ทราบข่าวที่เมิ่งอี้เซวียนจะไปเข้าสอบระดับจังหวัด คนไม่น้อยใช้โอกาสนี้มาแสดงความยินดีที่บ้าน


 


 


เมิ่งชื่อยิ้มต้อนรับพวกเขาทุกคน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมุ่นหัวคิ้ว


 


 


ตอนบ่าย ยังเป็นเมิ่งเชี่ยนโยวไปรับทั้งสองคนเลิกเรียน


 


 


ตอนเช้า ซุนซ่านเหรินได้ยินหลงจู๊บอกว่า วันนี้เมิ่งเชี่ยนโยวให้ตนเองเข้าไปรับซุนเหลียงไฉกลับมาอยู่บ้านได้สองสามวัน ก็ตื่นเต้นดีใจมาก แทบอยากจะไปรับเขามาจากโรงเรียนเสียเดี๋ยวนั้น กำชับบ่าวไพร่ในบ้านให้รีบเตรียมของอร่อยที่ซุนเหลียงไฉชอบกิน


 


 


บ่าวรับใช้ทำงานไว ใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่ก็เตรียมอาหารอร่อยพร้อมสรรพเต็มโต๊ะ


 


 


ซุนเหลียงไฉสะกดอารมณ์ตื่นเต้นดีใจไม่อยู่ เอาแต่เดินไปเดินมาภายในบ้าน ประเดี๋ยวประด๋าวก็มองท้องฟ้า รู้สึกว่าวันนี้เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ตอนที่ยังเหลืออีกครึ่งชั่วยามถึงจะถึงเวลาเลิกเรียน ก็ทนรอต่อไปไม่ไหว สั่งการคนรถให้บังคับรถม้ามารอหน้าประตูโรงเรียนแต่เนิ่นๆ


 


 


อาจารย์เวรรู้จักรถม้าของบ้านซุนซ่านเหริน เห็นเขามาถึงแต่เนิ่นๆ ก็ให้เกิดความกังขา


 


 


ซุนซ่านเหรินลงจากรถม้า เดินยิ้มตาหยี่มาถึงหน้าประตูใหญ่ ทอดมองเข้าไปด้านใน


 


 


อาจารย์เวรเตือนเขาด้วยความหวังดี “ซุนซ่านเหริน วันนี้ท่านมาเร็วไปแล้ว ยังอีกครึ่งชั่วยามกว่าโรงเรียนจะเลิกน่ะ”


 


 


ซุนซ่านเหรินยิ้มตาหยี่พยักหน้า “ข้าทราบ ข้าแค่อยากจะมาแต่เนิ่นๆ ไม่รบกวนพวกเจ้าดอกนะ”


 


 


อาจารย์ลนลานโบกมือ “ไม่รบกวนๆ” พูดจบ ยังยกเก้าอี้ที่ตัวเองนั่งออกมา พูดอย่างเอาใจ “ท่านนั่งรอก่อนเถอะ”


 


 


ซุนซ่านเหรินไม่ได้เจอหลานชายมาหลายเดือนแล้ว ไฉนเลยจะนั่งได้ลง โบกมือปฏิเสธ “ขอบคุณในน้ำใจของท่านอาจารย์ ข้ายืนประเดี๋ยวก็พอ”


 


 


อาจารย์เห็นเช่นนั้น จึงยกเก้าอี้ไปวางไว้อีกด้าน ตนเองก็ยืนพูดคุยเป็นเพื่อนซุนซ่านเหริน


 


 


เหวินเปียวทำเวลาได้แม่นยำเหมาะเจาะ ตอนที่รถม้าของพวกเขามาถึงหน้าประตูโรงเรียน เหลือเวลาห่างจากโรงเรียนเลิกเพียงหนึ่งเค่อ


 


 


หน้าประตูโรงเรียนมีรถม้าจอดรอหลายคันแล้ว ซุนซ่านเหรินสายตาแหลมคมพริบตาเดียวก็มองเห็นพวกเขา พูดกับอาจารย์ตามมารยาทสองสามคำ ก็เดินมุ่งหน้ามายังรถม้าของพวกเขา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเพิ่งลงจากรถม้า ซุนซ่านเหรินก็ยิ้มตาหยี่ร้องทักทายนาง “แม่นางเมิ่ง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มถาม “ท่านมาเร็วเช่นนี้เลยหรือ?”


 


 


ซุนซ่านเหรินตอบกลับ “ให้เจ้าขบขันแล้ว เพราะไม่ได้เจอเหลียงไฉมานานแล้ว คิดคำนึงถึงเป็นอย่างมาก ก่อนเวลาครึ่งชั่วยามก็มาถึงแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าเข้าใจ


 


 


ซุนซ่านเหรินกวักมือ บ่าวรับใช้ที่ติดตามมารีบนำของกำนัลบนรถม้าเดินเข้ามา


 


 


ซุนซ่านเหรินยิ้มตาหยี่พูดว่า “แม่นางเมิ่ง ได้ยินว่าน้องสาวเจ้าจะไปเข้าสอบถงเซิงระดับจังหวัด ข้าตั้งใจเตรียมของแสดงความยินดีเล็กน้อยมา ขอเจ้ารับไว้ด้วยเถอะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลอบถอนใจ สมแล้วที่เป็นคนทำการค้ามาหลายปี ให้ของกำนัลก็ไม่ทำให้กระดากใจ หากซุนซ่านเหรินบอกว่าของกำนัลนี้เพื่อแสดงความขอบใจที่อบรมเลี้ยงดูซุนเหลียงไฉ เมิ่งเชี่ยนโยวจะต้องไม่ยอมรับไว้ แต่ตอนนี้บอกว่าเป็นของแสดงความยินดี นางจำต้องรับไว้ แล้วยิ้มกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณท่าน”


 


 


ซุนซ่านเหรินโบกมือ “มิใช่ของล้ำค่าอันใด แม่นางเมิ่งอย่าได้เกรงใจ เอาไว้น้องชายเจ้าสอบผ่าน ข้าค่อยเตรียมของกำนัลชิ้นใหญ่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้กล่าวปฏิเสธ


 


 


บ่าวรับใช้นำของกำนัลไปวางบนรถม้าของเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


ซุนซ่านเหรินถามเรื่อยเปื่อย “แม่นางเมิ่ง หลานชายไม่เอาถ่านของข้า ช่วงที่ผ่านมาประพฤติตัวเป็นอย่างไรบ้าง?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตั้งใจจะให้เขาประหลาดใจ ตอบยียวน “ข้าคงบอกท่านไม่ได้ อีกประเดี๋ยวเจอเขาท่านก็จะรู้เอง”


 


 


ซุนซ่านเหรินชะงักเล็กน้อย แล้วหัวเราะครื้นเครง


 


 


เมิ่งอี้เซวียนรู้ว่าวันนี้เมิ่งเชี่ยนโยวจะยังมารับตัวเอง พอเลิกเรียนก็ง่วนเก็บกระเป๋านักเรียน เร่งเร้าซุนเหลียงไฉให้รีบไป ซุนเหลียงไฉกลับเจตนาเก็บกระเป๋านักเรียนตัวเองอย่างอืดอาด


 


 


เมิ่งอี้เซวียนเห็นเช่นนั้น พริบตาเดียวก็เก็บกระเป๋านักเรียนให้เขาเสร็จ ลากเขาวิ่งตรงมาประตูโรงเรียน มองเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวยืนรอเขาที่หน้าประตูไกลๆ ดีใจปล่อยมือซุนเหลียงไฉแล้ววิ่งออกมา


 


 


ซุนเหลียงไฉเบ้ปากอย่างไม่พอใจ เดินตามออกไป


 


 


ซุนซ่านเหรินก็ยืนอยู่หน้าประตูพร้อมเมิ่งเชี่ยนโยวเช่นกัน ชะเง้อคอยืดยาวเป็นนานก็ไม่เห็นซุนเหลียงไฉ ร้อนใจถามเมิ่งอี้เซวียน “เหลียงไฉไม่ได้ออกมาพร้อมเจ้าหรือ?”


 


 


ซุนเหลียงไฉที่เดินมาถึงหน้าประตูได้ยินเสียงเขา ร้องเรียกอย่างยินดี “ท่านปู่” ร้องเสร็จก็กระโจนเข้าหา


 


 


ซุนซ่านเหรินไม่ทันระวัง เกือบจะล้มตัวหงาย รีบประคองเขาแน่น เห็นเพียงแวบเดียว ก็ร้องอุทานอย่างไม่สนใจภาพลักษณ์ “สวรรค์ นี่ใช่หลานของข้าจริงๆ หรือ?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพูด “หากเป็นของปลอมจะเปลี่ยนให้ใหม่”


 


 


ซุนเหลียงไฉกอดซุนซ่านเหรินร้องเรียกท่านปู่ไม่หยุด


 


 


ซุนซ่านเหรินรับคำไม่ขาด


 


 


นักเรียนและผู้ปกครองโดยรอบต่างหันมองมา


 


 


ซุนซ่านเหรินพินิจดูซุนเหลียงไฉอย่างละเอียด พบว่าเขาไม่เพียงผอมลง ทั้งยังสูงขึ้น ไม่เหลือเค้าเด็กตุ้ยนุ้ยในอดีตแล้ว ดูเป็นเด็กแข็งแรงสดใส เต็มไปด้วยชีวิตชีวา


 


 


ซุนซ่านเหรินตื้นตันใจจนน้ำตาเกือบไหล กล่าวขอบคุณเมิ่งเชี่ยนโยวไม่หยุด “ขอบใจแม่นางเมิ่งๆ”


 


 


ซุนเหลียงไฉไม่รู้เรื่องที่ตัวเองจะได้กลับไปอยู่บ้านสองสามวัน หลังจากดีใจก็ถามซุนซ่านเหริน “ท่านปู่ เหตุใดวันนี้ท่านถึงมาได้? เกิดเรื่องอะไรที่บ้านหรือไม่?”


 


 


ได้ฟังเขาถามอย่างสุภาพ ซุนซ่านเหรินตื้นตันใจจนพูดไม่ออก


 


 


ซุนเหลียงไฉเห็นเขาไม่พูด ก็ตกใจหนัก “ท่านปู่ เกิดเรื่องที่บ้านขึ้นจริงๆ หรือ”


 


 


ซุนซ่านเหรินส่ายหน้า


 


 


ซุนเหลียงไฉยิ่งทวีความร้อนใจ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ไม่ได้เกิดเรื่องอันใดกับบ้านเจ้า ข้าให้เจ้าหยุดพักสองสามวัน ให้เจ้ากลับไปอาศัยอยู่ที่บ้าน”


 


 


ซุนเหลียงไฉไม่ได้ร้องไชโยดีใจ กลับถามอย่างไม่เข้าใจ “เช่นนั้นท่านปู่ข้าเป็นอะไร?”


 


 


ซุนซ่านเหรินสะกดกลั้นอารมณ์ของตัวเองไว้ได้แล้ว แย้มยิ้มตอบ “ปู่ เพียงแค่ดีใจมากเกินไป”


 


 


ซุนเหลียงไฉโล่งอก ค่อยนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอะไร ถามอย่างยินดี “เจ้าบอกจะให้ข้ากลับไปอยู่บ้านได้สองสามวัน?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “พรุ่งนี้ข้าต้องพาเมิ่งอี้เซวียนไปสอบระดับจังหวัด ไปกลับอย่างน้อยก็สามวัน ใช้โอกาสนี้ให้เจ้าได้กลับไปบ้านสักสามวัน”


 


 


ซุนเหลียงไฉดีอกดีใจ กอดซุนซ่านเหรินอีกครั้ง พูดอย่างเริงร่า “ท่านปู่ ในที่สุดข้าก็ได้กลับบ้านแล้ว”


 


 


ซุนซ่านเหรินดีใจพยักหน้าไม่หยุด


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวลาพวกเขา “พวกเรายังต้องกลับบ้านไปเตรียมสิ่งของ ขอตัวก่อน”


 


 


ซุนซ่านเหรินกล่าวขอบคุณอีกครั้ง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ จูงมือเมิ่งอี้เซวียนกลับขึ้นรถม้าของบ้านตัวเอง


 


 


ซุนซ่านเหรินเห็นพฤติกรรมสนิทสนมของพวกเขา ดวงตาหรุบหรี่ สมองสะท้อนแววกังขา


 


 


ซุนเหลียงไฉไม่สังเกตเห็นสิ่งเหล่านี้ พูดอย่างชื่นบาน “ท่านปู่ พวกเรารีบกลับบ้านเถอะ ข้าคิดถึงท่านย่าและท่านพ่อท่านแม่แล้ว”


 


 


ซุนซ่านเหรินได้สติกลับมา พยักหน้า จูงมือซุนเหลียงไฉกลับมาขึ้นรถม้าอย่างเบิกบาน


 


 


กินอาหารค่ำเสร็จ ทั้งครอบครัวหารือกันเรื่องจะให้ใครไปตัวจังหวัดกับเมิ่งอี้เซวียนด้วย


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นแนะนำ “ให้โยวเอ๋อร์และเสียนเอ๋อร์ไปเหมือนเดิมเถอะ จะได้คอยดูแลกันได้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ฉั่งฉิกและมันฝรั่งเพิ่งจะลงปลูก เป็นเวลาที่ต้องการการเอาใจใส่ พี่ใหญ่จะไปไม่ได้”


 


 


เมิ่งชื่อร้อนรนพูด “เรื่องพวกนี้มอบให้พ่อเจ้าเถอะ ให้พี่ใหญ่ไปกับพวกเจ้าด้วย แบบนี้พ่อกับแม่จะรู้สึกวางใจได้เต็มที่หน่อย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงไม่เห็นด้วย “ท่านพ่อคนเดียวดูแลไม่ไหวดอก ให้พี่ใหญ่อยู่ที่บ้านเถอะ ข้าไปกับเขาก็พอแล้ว”


 


 


เมิ่งชื่อส่ายหน้างุด “ไม่ได้ พวกเจ้าไปกันเพียงสองคน แม่วางใจไม่ลง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเกลี้ยกล่อมนาง “ไม่ได้มีแค่พวกเราสองคน เหวินเปียวและเหวินหู่ก็ไปกับพวกเราด้วย พวกเขามีวรยุทธ์สูง ไม่เกิดเรื่องอันใดดอก”


 


 


เมิ่งชื่อยังคงเป็นห่วง


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นจึงเกลี้ยกล่อมด้วย “ในบ้านขาดคนไม่ได้จริงๆ ให้พวกเขาสองคนไปเถอะ เหวินเปียวและเหวินหู่มีวรยุทธ์กล้าแกร่ง เกิดเรื่องอะไรยังคุ้มครองพวกเขาได้”


 


 


เมิ่งชื่อยอมกล้ำกลืนเห็นด้วย


 


 


วันรุ่งขึ้นฟ้ายังไม่สาง เมิ่งชื่อก็ลุกขึ้นมาทำอาหารเช้าให้พวกเขา พอเห็นพวกเขากินเสร็จ ก็กำชับเป็นรอบที่นับไม่ถ้วน ให้พวกเขาเดินทางอย่างระวัง สอบเสร็จก็ให้กลับบ้านทันที


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนพยักหน้าเชื่อฟัง รับประกันจะกลับมาตรงตามเวลา ถึงนั่งรถม้ามุ่งหน้าไปตัวจังหวัดภายใต้แววตาพะวักพะวงของเมิ่งชื่อ 

 

 


ตอนที่ 168-1 พักห้องเดียวกัน

 

ตัวจังหวัดอยู่ไกลจากตำบลชิงซีมาก แม้เหวินเปียวจะบังคับรถม้าได้เร็วและนิ่งเพียงใด ทั้งสี่คนยังเดินทางมาถึงในตอนบ่ายกว่าแล้ว


 


 


ผ่านประตูเมืองตัวจังหวัด เหวินหู่ลงจากรถม้าซักถามสถานที่สอบว่าอยู่ที่ไหน เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนตรงมาสำรวจดูสนามสอบก่อน เมื่อจดจำเส้นทางได้แล้ว จึงสั่งเหวินเปียวให้บังคับรถม้าหาโรงเตี๊ยมละแวกใกล้ๆ ที่มีสภาพแวดล้อมดีเข้าพัก


 


 


เหวินหู่สอบถามคนแถวสนามสอบ กล่าวว่าให้วิ่งมุ่งหน้าตามถนนใหญ่ไปทางทิศตะวันออก ผ่านไปสองถนน จะเจอโรงเตี๊ยมนาม “จิ้นป่าง” บรรยากาศดี นักเรียนที่มาสอบแข่งขันมากมายล้วนไปพักอาศัยที่นั่น


 


 


เหวินเปียวบังคับรถม้ามาถึงโรงเตี๊ยม เป็นไปตามที่คนเดินถนนกล่าว โรงเตี๊ยมแห่งนี้ได้รับความนิยมมาก ผู้คนเข้าออกหนาตา แทบทั้งหมดเป็นนักเรียนที่มาสอบถงเซิง


 


 


เสี่ยวเอ้อโรงเตี๊ยมเห็นพวกเขาเข้ามา เข้ามาถามไถ่อย่างรู้งาน “พวกท่านก็มาร่วมสอบแข่งขันใช่หรือไม่? พักโรงเตี๊ยมของพวกเราถือว่าพวกท่านเลือกถูกแล้ว โรงเตี๊ยมของพวกเรามีชื่อเสียงที่สุดในพื้นที่นี้ นักเรียนที่สอบผ่านแต่ละปีล้วนเคยเข้าพักโรงเตี๊ยมของพวกเรา”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนลงจากรถม้า เสี่ยวเอ้อนิ่งงัน แล้วกล่าวขอโทษขอโพย “ขออภัยพวกท่านด้วย สามวันนี้โรงเตี๊ยมของพวกเราจะรับรองนักเรียนที่มาสอบแข่งขันโดยเฉพาะ พวกท่านทั้งสองไปหาโรงเตี๊ยมอื่นพักเถอะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูดกับเสี่ยวเอ้อ “น้องชายข้าก็มาเข้าสอบถงเซิง”


 


 


เสี่ยวเอ้อของโรงเตี๊ยมทำงานมาหลายปี แต่ละปีจะได้เจอนักเรียนมาร่วมสอบมากมาย แต่ยังไม่เคยเจอเด็กอายุน้อยเช่นนี้มาร่วมสอบถงเซิง พลันตะลึงค้าง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้สนใจเขา ยกเท้าเดินเข้าด้านใน


 


 


เสี่ยวเอ้อได้สติ ลุกลนเดินตาม พูดอย่างกระตือรือร้น “ข้านำท่านทั้งสองเข้าไปเอง”


 


 


ทั้งสองตามเสี่ยวเอ้อมาถึงโต๊ะเก็บเงิน หลงจู๊เห็นเด็กสองคนเข้ามา ไม่รอให้เสี่ยวเอ้อพูด ก็ดุว่าเขา “เสี่ยวเอ้อ เจ้าทำอะไร เป็นเสี่ยวเอ้อมาหลายปี ยังไม่รู้กฎระเบียบของโรงเตี๊ยมเราอีกเรอะ? สามวันนี้พวกเราจะรับรองแต่เด็กนักเรียน”


 


 


เสี่ยวเอ้อร้อนรนตอบ “หลงจู๊ พวกเขาก็มาสอบแข่งขัน”


 


 


หลงจู๊ก็ตกตะลึง พินิจมองพวกเขาอย่างละเอียด ถามอย่างประหลาดใจ “พวกท่านก็มาสอบแข่งขัน?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า


 


 


หลงจู๊ยังรู้สึกไม่เชื่อ หยั่งเชิงพูดขึ้น “เช่นนั้นขอพวกเราดูจดหมายแนะนำของพวกท่านหน่อยได้หรือไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวย่นหัวคิ้ว น้ำเสียงเริ่มไม่สบอารมณ์ “หลงจู๊ไม่เชื่อพวกเราอย่างนั้นหรือ”


 


 


หลงจู๊ตอบกลับอย่างนุ่มนวล “แม่นางอย่าถือสา ข้าเปิดโรงเตี๊ยมแห่งนี้มาหลายสิบปีแล้ว แต่ไม่เคยเห็นเด็กอายุน้อยเท่านี้เข้าสอบถงเซิงมาก่อน จึงอยากจะให้แน่ใจว่าที่แม่นางกล่าวเป็นจริงหรือเท็จ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองประเมินเขาเล็กน้อย หยิบจดหมายแนะนำตัวหนึ่งฉบับออกมาวางบนโต๊ะเก็บเงิน


 


 


หลงจู๊หยิบขึ้นมาเปิดดู เป็นจดหมายแนะนำจริงๆ อารามดีใจ พลันร้องอุทานอย่างเก็บไม่อยู่ “ที่แท้พวกท่านก็มาเข้าสอบแข่งขันจริงๆ”


 


 


บรรดาเด็กนักเรียนที่เข้าๆ ออกๆ ได้ยินก็หยุดฝีเท้า กระซิบกระซาบ วิพากษ์เซ็งแซ่


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมุ่นหัวคิ้ว


 


 


หลงจู๊ที่พอคิดว่าหากเมิ่งอี้เซวียนสอบผ่านขึ้นมาจริงๆ ชื่อเสียงของโรงเตี๊ยมตัวเองก็จะยิ่งเลื่องลือ ถึงตอนนั้นนักเรียนที่มาโรงเตี๊ยมของตัวเองจะต้องยิ่งมากขึ้น จึงกำชับเสี่ยวเอ้ออย่างเบิกบาน “เสี่ยวเอ้อ รีบพาทั้งสองท่านเข้าห้องพัก”


 


 


เสี่ยวเอ้อก็ดีใจร้องพูด “ทั้งสองท่านเชิญชั้นบน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบจดหมายแนะนำเก็บคืน กล่าวด้วยเสียงเย็นชา “ไม่ต้องแล้ว พวกเราไม่พักแล้ว” พูดจบ หันหลังเดินออกมา เมิ่งอี้เซวียนรีบเดินตามหลังไป


 


 


หลงจู๊ตกอกตกใจ ถลันตัวออกจากโต๊ะเก็บเงิน ตามไปพลางร้องถามอย่างร้อนรน “เพราะเหตุใดหรือแม่นาง?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบโดยไม่แม้แต่จะหันหลังกลับ “ร้านใหญ่รังแกลูกค้า ร้านของพวกท่านใหญ่เกินไป พวกเราพักไม่ไหว”


 


 


หลงจู๊เข้าใจแล้วว่าเมิ่งเชี่ยนโยวโมโหแล้ว รีบกล่าวขอขมา “แม่นางน้อย ข้าไม่เชื่อพวกท่านเป็นความผิดข้า แต่ท่านจะใช้อารมณ์จากไปเช่นนี้ เท่ากับไม่รับผิดชอบน้องชายท่าน จะถ่วงอนาคตของเขาได้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักฝีเท้า


 


 


หลงจู๊เดินมาข้างกายนาง ลุกลนเอื้อนเอ่ย “โรงเตี๊ยมของพวกเรามีสภาพแวดล้อมดีตามหลักฮวงจุ้ย นักเรียนที่สอบได้ในแต่ละปีล้วนพักอาศัยที่โรงเตี๊ยมพวกเรา หากพวกท่านไปพักโรงเตี๊ยมอื่น ก็ไม่แน่ว่าจะสอบได้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเสียงเย็นชา “หากน้องชายข้าสอบไม่ได้ นั่นเพราะเขาความรู้ไม่เพียงพอ เกี่ยวอะไรกับโรงเตี๊ยมด้วย”


 


 


หลงจู๊คิดจะโน้มน้าวต่อ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนได้ขึ้นรถม้า สั่งเหวินเปียวให้หาโรงเตี๊ยมอีกแห่งแล้ว


 


 


หลงจู๊มองดูรถม้าจากไปไกล คิดว่าตัวเองอาจจะเสียโอกาสสร้างชื่อเสียง ก็ยืนทุกข์ตรมเศร้าสร้อยอยู่ตรงนั้น


 


 


เหวินเปียวบังคับรถม้ามาถึงถนนอีกเส้น ถึงเห็นโรงเตี๊ยมอีกแห่ง พูดอย่างอ่อนน้อม “แม่นาง ทางนี้มีโรงเตี๊ยมอีกแห่ง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดม่านบังรถ มองดูโรงเตี๊ยมตรงหน้าแวบหนึ่ง คงเพราะอยู่ค่อนข้างไกลจากสนามสอบ นานๆ ครั้งถึงจะมีนักเรียนแต่งกายมอซอคนสองคนเดินเข้าออก


 


 


เสี่ยวเอ้อที่หน้าประตูเห็นรถม้าวิ่งเข้ามา นิ่งอึ้งเล็กน้อย แล้ววิ่งเข้ามาสอบถาม “พวกท่านต้องการที่พักใช่หรือไม่?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า


 


 


เสี่ยวเอ้อรีบพูดด้วยความยินดี “ท่านเลือกถูกต้องแล้ว โรงเตี๊ยมของพวกเราไม่เพียงสิ่งแวดล้อมดี ราคาก็ถูก ห้องก็สามารถเลือกได้ตามใจ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้า เสี่ยวเอ้อเห็นเป็นเพียงเด็กสองคน ให้งงงันเล็กน้อย แล้วพาทั้งสองเข้ามาในโรงเตี๊ยมอย่างเป็นมิตร


 


 


หลงจู๊เห็นมีคนเข้ามา เตรียมจะร้องทักทาย พอเห็นชัดว่าเป็นเด็ก ก็นิ่งงันชั่วครู่ ถึงเอ่ยปากถาม “ทั้งสองท่านต้องการห้องพักใช่หรือไม่?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า


 


 


หลงจู๊ถามอย่างอ่อนโยน “พวกท่านจะพักห้องธรรมดาหรือห้องชั้นดี?”


 


 


“น้องชายข้ามาเข้าสอบถงเซิง ไม่ทราบว่าพวกท่านมีห้องชั้นดีที่เงียบสงบหรือไม่?” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม


 


 


หลงจู๊เบิกตาโพลง เบิกบานใจถาม “พวกท่านมาเข้าสอบถงเซิง?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า


 


 


หลงจู๊กุลีกุจอพูด “มีๆๆ สองห้องที่อยู่ท้ายสุดบนชั้นสอง สะอาดน่าอยู่ ทั้งเงียบและปลอดภัย เหมาะสำหรับนักเรียนมาพักอาศัย พวกท่านพักสองห้องนั้นเถอะ”


 


 


“ด้านนอกพวกเรายังมีอีกสองคน สองห้องไม่พอ ขอสามห้องแล้วกัน” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด


 


 


หลงจู๊ยิ่งปลาบปลื้มยินดี เตรียมจะเปิดห้องให้พวกเขาสามห้อง


 


 


เมิ่งอี้เซวียนกลับพูดขึ้นว่า “พวกเราต้องการสองห้องก็พอ ข้าจะพักห้องเดียวกับท่านพี่ข้า”


 


 


สิ้นเสียงเขา เมิ่งเชี่ยนโยวก็ขาทรุดขาอ่อน เกือบล้มหงาย แค่นเสียงสูงถามเขาทันควัน “เจ้าว่าอะไรนะ?”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนกะพริบตากลมโตสุกสกาว พูดอย่างน่าเวทนา “ข้ากลัวการอยู่ในห้องคนเดียว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแทบอยากจะบีบหัวใจเขาให้ตาย


 


 


ราวกับคาดเดาความคิดของนางได้ เมิ่งอี้เซวียนพูดอย่างน้อยใจ “ตอนอยู่บ้าน ข้านอนห้องเดียวกับพวกพี่ใหญ่มาตลอด ไม่เคยนอนคนเดียวมาก่อน หากข้าพักอาศัยในห้องตามลำพัง ตอนกลางคืนข้าจะต้องนอนไม่หลับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกัดฟันกรอดๆ พูดว่า “เช่นนั้นก็ให้เหวินเปียว เหวินหู่นอนกับเจ้าด้วย”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนยิ่งทวีความน้อยใจ “ข้าไม่เอา ข้าไม่คุ้นชินที่จะนอนห้องเดียวกับพวกเขา”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือออกไปฟาดศีรษะเขาเต็มแรง ร้องตวาด “แสร้งทำตัวน่าเวทนาอีกเล่า ข้าจะได้ให้เจ้าไปนอนข้างถนน”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนกะพริบตาน้ำตาอาบ


 


 


หลงจู๊เห็นท่าทีน่าสังเวชของเขา นึกว่าเขากลัวจริงๆ ร้อนรนพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “น้องชายท่านยังเด็ก จากบ้านมาไกลครั้งแรก เลี่ยงไม่ได้ที่จะปรับตัวไม่ได้ ท่านรับปากคำขอของเขาเถอะ ยังดีที่ห้องของพวกเราล้วนเป็นห้องสองเตียง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตาเขม็งใส่เมิ่งอี้เซวียน


 


 


หลงจู๊เห็นนางยังเดือดดาล พูดหว่านล้อมอีกครั้ง “พรุ่งนี้ก็จะสอบแล้ว หากวันนี้พักผ่อนไม่ดี พรุ่งนี้ไม่มีชีวิตชีวา จะกระทบกับการเขียนบทความได้ แม่นางเห็นแก่การสอบของน้องชายเป็นสำคัญ รับปากเขาเถอะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตาใส่เมิ่งอี้เซวียน พูดอย่างเคืองขุ่น “สอบเสร็จมาดูว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนเผยรอยยิ้มเจิดจ้าทันใด


 


 


หลงจู๊รู้สึกว่าโรงเตี๊ยมของตัวเองสว่างวาบไปทั้งร้าน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวให้เสี่ยวเอ้อจูงรถม้าไปไว้หลังร้าน เรียกเหวินเปียวและเหวินหู่เข้ามา


 


 


เสี่ยวเอ้อออกไปอย่างเริงร่า จูงม้าไปหลังร้านด้วยตัวเอง


 


 


เหวินเปียวและเหวินหู่เข้ามาในโรงเตี๊ยม


 


 


หลงจู๊มองพวกเขาสองคนแวบหนึ่ง ถามเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างกระตือรือร้น “แม่นาง พวกท่านยังต้องการเป็นสองห้องชั้นดีใช่หรือไม่?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า


 


 


หลงจู๊ถามต่อ “ห้องชั้นดีสองห้อง คืนละสี่สิบตำลึง ไม่ทราบว่าแม่นางคิดจะพักกี่คืน?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขบคิด “สองคืนเถอะ”


 


 


หลงจู๊แนะนำด้วยความหวังดี “วันที่สองผลการสอบของจังหวัดก็ออกมาแล้ว ไม่อย่างนั้นแม่นางพักเพิ่มอีกสักคืนค่อยกลับดีหรือไม่”


 


 


ได้ยินว่าผลการสอบออกเร็วเช่นนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงรับคำทันควัน “ได้ พักเพิ่มอีกหนึ่งวัน ขอบใจหลงจู๊มาก”


 


 


หลงจู๊โบกมือ “ไม่ต้องเกรงใจ ข้าเองก็มีใจละโมบ หากน้องชายท่านสอบผ่านจริงๆ จะเป็นนักเรียนที่สอบผ่านเพียงคนเดียวที่เคยพักโรงเตี๊ยมของพวกเรา ถึงตอนนั้นข้าจะฉวยโอกาสนี้โอ้อวดโรงเตี๊ยมของพวกเราให้เต็มที่เสียหน่อยเล่า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามอย่างประหลาดใจ “ข้าเห็นโรงเตี๊ยมของพวกท่านมีสภาพแวดล้อมไม่เลว เหตุใดถึงไม่มีนักเรียนจำนวนมากมาพักเล่า?”


 


 


หลงจู๊ทอดถอนใจ “พวกเราห่างไกลจากสนามสอบ นักเรียนส่วนหนึ่งไม่อยากมาพัก บวกกับนักเรียนที่เคยพักโรงเตี๊ยมจิ้นป่าง หลายปีมานี้มีคนสอบได้หลายครั้งติดต่อกัน ดังนั้นชื่อเสียงของโรงเตี๊ยมพวกเขาจึงยิ่งเลื่องลือ บรรดานักเรียนยิ่งไม่มีใครอยากมาพักที่นี่ มีเพียงนักเรียนที่มีฐานะยากจนหน่อย เห็นว่าโรงเตี๊ยมพวกเราราคาถูก ถึงฝืนใจเข้ามาพักสองคืน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าเข้าใจ ล้วงเงินหนึ่งร้อยยี่สิบตำลึงออกมาวางบนโต๊ะเก็บเงิน


 


 


หลงจู๊เก็บเงินขึ้นอย่างเบิกบาน หยิบกุญแจ พาคนทั้งหมดขึ้นชั้นบนด้วยตัวเอง เปิดประตูห้องพักทั้งสองห้องออก ออกปากถามเจือความประหม่า “แม่นางดูก่อนว่าพอใจหรือไม่?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูเล็กน้อย เห็นห้องกว้างขวางสว่างไสว ทั้งห้องสะอาดสะอ้าน พยักหน้าพึงพอใจ


 


 


หลงจู๊เห็นนางพยักหน้า ถอนใจโล่งอก “ทุกท่านเข้าไปพักในห้องก่อน ข้าจะให้เสี่ยวเอ้อนำน้ำร้อนเข้ามาเดี๋ยวนี้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยกยิ้มกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณหลงจู๊”


 


 


หลงจู๊ลนลานโบกมือ “นี่เป็นงานของพวกเรา แม่นางอย่าได้เกรงใจเด็ดขาด” พูดจบก็หันหลังลงชั้นล่างไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนเดินเข้ามาในห้องเดียวกัน


 


 


เหวินเปียวเห็นพฤติกรรมของพวกเขา มุ่นหัวคิ้วกังขา


 


 


เหวินหู่ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ เดินตรงเข้าไปอีกห้อง เหวินเปียวเดินตามหลังเข้าไป


 


 


ไม่นานเสี่ยวเอ้อก็นำน้ำร้อนเข้ามา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามเขา “โรงเตี๊ยมพวกเจ้าดูแลเรื่องอาหารหรือไม่?”


 


 


เสี่ยวเอ้อตอบอย่างอ่อนน้อม “พวกเรามีอาหารเช้าให้ อาหารเที่ยงและอาหารเย็นต้องจ่ายเงิน”


 


 


นั่งรถม้ามาทั้งวัน เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกเหมือนร่างจะหลุดเป็นชิ้นๆ ล้วงเงินห้าตำลึงส่งให้เสี่ยวเอ้อทันที “รบกวนเจ้าทำอาหารจำนวนหนึ่งส่งขึ้นมาให้พวกเราทั้งสองห้องด้วย”


 


 


เสี่ยวเอ้อรับคำ หยิบเงินแล้วลงไปชั้นล่าง มอบให้หลงจู๊อย่างชื่นบาน


 


 


หลงจู๊ไม่เคยเห็นลูกค้าเข้าพักคนไหนใจกว้างเช่นนี้มาก่อน เพียงสี่คนต้องการอาหารราคาห้าตำลึง เริ่มกลัดกลุ้มใจ


 


 


เสี่ยวเอ้อออกความคิด “ท่านหลงจู๊ ไม่อย่างนั้นพวกเราไปซื้ออาหารมาจากภัตตาคารข้างนอกกลับมา”


 


 


หลงจู๊ตรึกตรองดู คิดว่าวิธีนี้ไม่เลว จึงมอบเงินห้าตำลึงนั้นให้เสี่ยวเอ้อ ให้เขาไปซื้ออาหาร ทั้งกำชับเขา “จะต้องซื้ออาหารที่น่าทานรสชาติดี เงินไม่พอ พวกเราออกเพิ่มเองก็ได้”


 


 


เสี่ยวเอ้อพยักหน้า รีบวิ่งแน่บออกไป

 

 

 


ตอนที่ 168-2 พักห้องเดียวกัน

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้เรื่องพวกนี้ จ้องมองเมิ่งอี้เซวียนอย่างเคืองแค้นครู่หนึ่ง ก็ล้มตัวนอนพักผ่อนบนเตียงตัวหนึ่ง 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนรู้ว่าตัวเองขอร้องเกินเหตุ ไม่กล้าปริปาก เปิดกระเป๋านักเรียนของตัวเองออกอย่างรู้ความหยิบตำรากลอนออกมาดู 


 


 


เสี่ยวเอ้อซื้ออาหารกลับมาอย่างว่องไว หลังจากให้หลงจู๊ผ่านตาแล้วก็นำขึ้นมาแยกส่งให้ทั้งสองห้อง 


 


 


ห้องของเมิ่งเชี่ยนโยวและห้องของเหวินเปียวหลังจากแยกกับกินอาหารค่ำเสร็จ ก็แยกกันพักผ่อนตามอัธยาศัย 


 


 


ซุนซ่านเหรินรับซุนเหลียงไฉกลับบ้านอย่างชื่นบานมาตลอดทาง พ้นประตูบ้านเข้ามาก็สั่งบ่าวรับใช้ให้รีบนำของอร่อยที่เตรียมไว้แล้วออกมา 


 


 


บ่าวรับใช้เห็นซุนเหลียงไฉที่ไม่ได้เห็นหลายเดือนกลายเป็นเด็กหนุ่มรูปงาม ก็ให้ตกตะลึง หลังจากจัดวางของอร่อยไว้บนโต๊ะในห้องรับแขกเสร็จ ก็ผลุนผลันออกไปแจ้งข่าวแก่ฮูหยินเฒ่าซุนและซุนวั่ง 


 


 


ซุนซ่านเหรินจับมือซุนเหลียงไฉเอาไว้ไม่ยอมปล่อย จูงเขามาข้างโต๊ะอาหาร จัดของอร่อยมาวางตรงหน้าเขาด้วยตัวเอง “ไฉเอ๋อร์ เหล่านี้ล้วนเป็นของที่เจ้าชอบกิน ปู่ให้คนเตรียมไว้ให้เจ้าแล้ว มา รีบกินเถอะ” 


 


 


“ขอบคุณท่านปู่” ซุนเหลียงไฉกล่าวขอบคุณอย่างสุภาพ 


 


 


ตั้งแต่เล็กจนโตซุนเหลียงไฉไม่เคยสุภาพมีมารยาทเช่นนี้มาก่อน ซุนซ่านเหรินตื้นตันใจเกือบจะน้ำตาคลอเบ้าอีกแล้ว ลูบศีรษะซุนเหลียงไฉ เอาแต่ร้องพูด “ดีๆๆ” 


 


 


ซุนเหลียงไฉหันไปยิ้มให้เขาเล็กน้อย ถึงหยิบขนมที่ตัวเองชอบละเมียดกัดค่อยๆ กลืนลงท้อง 


 


 


ซุนวั่งได้ยินบ่าวรับใช้รายงาน ตะลีตะลานวิ่งเข้ามาพร้อมภรรยาตัวเอง ยังไม่ถึงห้องรับแขก ก็แค่นเสียงร้องตะโกนแต่ไกล “ไฉเอ๋อร์ ไฉเอ๋อร์” 


 


 


แม้ซุนวั่งจะเป็นคุณชายเจ้าสำราญ แต่ก็รักใคร่บุตรชายคนนี้ของตนเองเป็นอย่างมาก ประคองไว้ในอุ้งมือกลัวจะลอยหาย อมไว้ในปากกลัวจะละลาย ทะนุถนอมเขาราวกับเป็นแก้วตาดวงใจ ความรู้สึกของพ่อลูกย่อมลึกซึ้งกว่า พอได้ยินเสียงร้องของเขา ซุนเหลียงไฉก็ผลุนผลันลุกขึ้น วางขนมในมือลง ร้องเรียก “ท่านพ่อ ท่านแม่” แล้ววิ่งผ่านประตูออกไป 


 


 


ซุนวั่งพ้นประตูเข้ามาพอดี สองพ่อลูกกอดกันกลมแน่น ซุนวั่งพูดอย่างตื้นตัน “ไฉเอ๋อร์ เจ้ากลับมาเสียที พ่อคิดถึงเจ้าจะแย่แล้ว” 


 


 


ซุนเหลียงไฉกอดเขาแน่น พูดว่า “ท่านพ่อ ข้าก็คิดถึงท่าน” 


 


 


ซุนวั่งคลายซุนเหลียงไฉออก “ไฉเอ๋อร์ ให้พ่อดูเจ้าให้เต็มตาหน่อยเถิด” 


 


 


ซุนเหลียงไฉผละออก ยืนตรงนั้นให้ซุนวั่งพินิจดู นึกว่าเขาจะชมเชยตัวเองสักกระบุง ไม่คิดว่าพอซุนวั่งเห็นเขาแวบเดียวก็ร้องอุทานเสียงหลง “ไฉเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าถึงผ่ายผอมเช่นนี้ พวกเขาทรมานเจ้าใช่หรือไม่?” 


 


 


ซุนเหลียงไฉนิ่งงัน กำลังจะอธิบาย ซุนวั่งกลับกอดเขาแน่น ร้องคร่ำครวญโหยไห้ “ลูกชายที่น่าเวทนาของข้า เจ้าต้องประสบเคราะห์กรรมสาหัสมากแค่ไหนเทียว ไม่เจอกันเพียงสามเดือน ก็กลับกลายมามีสภาพเช่นนี้แล้ว” 


 


 


ซุนเหลียงไฉตะลึงค้าง 


 


 


ภรรยาซุนวั่งก็เอาแต่เช็ดน้ำตาไม่หยุดอยู่อีกด้าน 


 


 


ฮูหยินเฒ่าได้รับรายงานจากบ่าวรับใช้ ให้สาวใช้ประคองเข้ามาอย่างเบิกบานใจ ยังเดินไม่ถึงห้องรับแขก ก็ได้ยินเสียงร่ำไห้ของซุนวั่ง นึกว่าเกิดเรื่องอะไรกับซุนเหลียงไฉ ตกใจตัวโยน รีบเร่งความเร็วพลางร้องถามอย่างร้อนรน “เกิดอะไรขึ้นกับไฉเอ๋อร์?” 


 


 


ซุนเหลียงไฉถูกซุนวั่งกอดร้องโหยไห้แน่น พลันไม่รู้จะตอบสนองอย่างไร 


 


 


ซุนวั่งได้ยินเสียงร้องถามของฮูหยินเฒ่า ยิ่งเปล่งร้องรำพันดังขึ้น “ท่านแม่ ท่านรีบเข้ามาดูเถอะ ไฉเอ๋อร์ซูบผอมไปจนผิดมนุษย์แล้ว” 


 


 


ฮูหยินเฒ่าได้ยินดังว่าก็ยิ่งให้ร้อนรน ไม่ให้สาวใช้ประคองแล้ว วิ่งเหยาะจากสองก้าวเป็นหนึ่งก้าวเข้ามา ร้องผวา “ไฉเอ๋อร์เล่า ไฉเอ๋อร์ของข้าเล่า?” 


 


 


ซุนเหลียงไฉถูกซุนวั่งกอดรัดจนแงะไม่ออก ทำได้เพียงยิ้มให้ฮูหยินเฒ่าแล้วพูดว่า “ท่านย่า ข้าอยู่ตรงนี้!” 


 


 


ฮูหยินเฒ่าไม่แม้แต่จะมอง ก็ร้องไห้คร่ำครวญ “หลานที่น่าเวทนาของข้า เจ้าต้องถูกทรมานสาหัสแค่ไหน ถึงซูบผอมจนไม่เหลือเค้าเดิมแล้ว” 


 


 


ซุนเหลียงไฉอักอ่วนพูดไม่ออก 


 


 


ทั้งห้องเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ระงม อารมณ์เบิกบานของซุนซ่านเหรินสลายหายไปหมดแล้ว โมโหทุบโต๊ะ เปล่งเสียงตวาด “หุบปากให้หมด!” 


 


 


เสียงร้องไห้หยุดพลัน 


 


 


ซุนเหลียงไฉรีบสลัดตัวออกจากอ้อมกอดซุนวั่ง หมุนตัวเบื้องหน้าฮูหยินเฒ่าหนึ่งรอบ ถามอย่างข้องใจ “ท่านย่า ข้ากลายเป็นแบบนี้ไม่ดีหรือ?” 


 


 


ฮูหยินเฒ่าถึงใช้ดวงตาที่พร่าเลือนด้วยหยดน้ำตามองมาที่ซุนเหลียงไฉ มองปราดเดียว ก็เบิกตาโพลง ร้องถามด้วยความประหลาดใจ “นี่คือไฉเอ๋อร์ของย่าหรือ?” 


 


 


ซุนเหลียงไฉพยักหน้า “ท่านย่า ข้าเอง” 


 


 


ฮูหยินเฒ่าเปลี่ยนสีหน้าเป็นความปิติยินดีพลัน “อ๊ายหย่า หลานของย่าหล่อเหลายิ่งนัก เด็กหนุ่มทั้งตำบลไม่มีใครเทียบเทียมได้” 


 


 


ซุนวั่งยังคงระทมเสียใจ “ท่านแม่ ท่านไม่เห็นหรือว่าไฉเอ๋อร์ผ่ายผอมจนผิดมนุษย์แล้ว ไฉนเลยยังหล่อเหลาได้?” 


 


 


ฮูหยินเฒ่าโมโหตบใบหน้าเขาหนึ่งฉาด “ไฉเอ๋อร์แข็งแรงดี เจ้าจะร้องคร่ำครวญทำไม ข้าตกใจเสียแทบแย่” 


 


 


ซุนวั่งใช้มือชี้ซุนเหลียงไฉจากบนลงล่าง “ท่านแม่ ท่านดูเถิด เนื้อหนังบนตัวไฉเอ๋อร์หายไปหมด เหลือแต่โครงกระดูกแล้ว เมื่อครู่ตอนข้ากอดเขายังรู้สึกโหวงเหวง” 


 


 


ซุนเหลียงไฉอักอ่วนอีกครั้ง 


 


 


ฮูหยินเฒ่าโมโหตบหน้าซุนวั่งอีกครั้ง “ไฉเอ๋อร์เพียงแค่ผอมไปบ้าง ไหนเลยจะเหลือเพียงโครงกระดูก ข้ากลับรู้สึกว่าไม่อ้วนไม่ผอมเช่นนี้กำลังดี” พูดจบ แย้มยิ้มมองประเมินซุนเหลียงไฉอีกครั้ง พูดอย่างภาคภูมิใจ “หลานชายของย่า ตอนนี้เป็นหนุ่มสะโอดสะองแล้ว ไม่นานคนมาพูดทาบทามได้เหยียบธรณีประตูเรือนพวกเราพังไม่เหลือเป็นแน่” 


 


 


ซุนเหลียงไฉเกือบจะสำลักน้ำลายตัวเองพูดว่า “ท่านย่า ข้ายังเด็ก จะมีคนมาพูดทาบทามได้อย่างไร” 


 


 


ฮูหยินเฒ่าดึงมือเขาเดินมาข้างโต๊ะ “ปีนี้ไฉเอ๋อร์อายุสิบสามปี ไม่เด็กอีกแล้ว ปีนี้หมั้นหมาย ผ่านไปอีกสองสามปีย่าก็จะได้อุ้มเหลนแล้ว” 


 


 


ซุนเหลียงไฉคิดถึงภาพเหล่านั้น ตกใจตัวสั่นเทิ้ม 


 


 


ซุนวั่งก็ถูกคำพูดเหล่านี้ดึงดูด หยุดร้องไห้คร่ำครวญ เดินเข้ามาพูดสบทบ “ใช่ๆๆ ไฉเอ๋อร์ไม่ใช่เด็กแล้ว ปีหน้าข้าจะให้แม่สื่อไปพูดทาบทามหญิงสาวชั้นดีในตำบล ให้ไฉเอ๋อร์ของเราได้คัดเลือกตามใจ” 


 


 


ภรรยาซุนวั่งพยักหน้าเห็นพ้อง 


 


 


ซุนซ่านเหรินฟังพวกเขาพูดจาเลอะเทอะออกทะเล ตำหนิว่าพวกเขา “ยิ่งพูดก็ยิ่งเลอะเทอะไปใหญ่แล้ว ไฉเอ๋อร์ยังเด็ก เรื่องหมั้นหมายไว้อีกสองปีค่อยพูด หากพวกเจ้าว่างนัก ก็หาบ้านสามีให้เชี่ยนเอ๋อร์ก่อน” 


 


 


ซุนวั่งพูดอย่างไม่ยินดี “ข้าไม่สนนังตัวดีนั่นดอก ไม่เคยเห็นข้าอยู่ในสายตาสักนิด วันๆ เอาแต่ขัดแย้งกับข้า” 


 


 


“สมน้ำหน้าเจ้าแล้ว” ซุนซ่านเหรินพูดอย่างไม่ได้ดั่งใจ “เจ้าดีแต่กินขี้เกียจตัวเป็นขน วันๆ ไม่ทำงานทำการ การค้าของครอบครัวก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย หากไม่ได้เชี่ยนเอ๋อร์เข้ามาช่วยจัดการตั้งแต่สองปีก่อน เกรงว่าตาแก่อย่างข้าได้เหนื่อยจนเนื้อตัวหลุดเป็นส่วนๆ แล้ว” 


 


 


ซุนวั่งโต้กลับอย่างไม่พอใจ “ใครบอกว่าข้าไม่สนใจการค้าของครอบครัว ช่วงก่อนหน้านี้ข้ามิได้ดำเนินการค้าหอน้ำชามาได้อย่างดีหรือไร? ท่านเองที่ไม่ให้ข้ายุ่งอีก” 


 


 


เอ่ยถึงหอน้ำชาซุนซ่านเหรินก็ให้เคืองโกรธ ร้องตวาดเขา “หุบปาก หากข้าได้ยินเจ้าเอ่ยถึงหอน้ำชาอีก ข้าจะกักบริเวณเจ้าอยู่แต่ในบ้าน ไม่ให้เจ้าออกไปข้างนอกอีก” 


 


 


ซุนวั่งตกใจคอหัวหด เบ้ปากอย่างไม่พอใจ 


 


 


ได้ยินพวกเขาเอ่ยถึงซุนเชี่ยน ซุนเหลียงไฉถามขึ้น “เหตุใดท่านพี่ถึงไม่เข้ามา ข้าไม่ได้เห็นนางนานแล้ว คิดถึงยิ่งนัก” 


 


 


ไม่รอให้ซุนซ่านเหรินตอบ ซุนวั่งก็พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “จะไปเอ่ยถึงนังตัวดีนั่นทำไม วันๆ ไม่อยู่บ้าน ไม่รู้ไปมั่วผู้ชายอยู่ที่ไหน” 


 


 


ซุนซ่านเหรินโมโหฉวยสิ่งของข้างมือขว้างใส่เขา ร้องก่นด่า “เจ้าลูกชั่วอัปรีย์ มีใครกล่าวถึงบุตรสาวแท้ๆ ของตัวเองเช่นนี้กัน? เชี่ยนเอ๋อร์ไม่อยู่บ้าน ก็เพราะไปช่วยข้าดูแลการค้า นางอายุยังน้อยก็รู้ความเช่นนี้แล้ว ทำไมถึงมีพ่อไม่เอาถ่านเยี่ยงเจ้าได้” 


 


 


ซุนวั่งไม่ได้ป้องกันตัว ถูกสิ่งของปาเข้าอย่างจัง นึกว่าตัวเองจะบาดเจ็บอีก ตกใจตัวโยน ครั้นพอเห็นชัดว่าที่ปาใส่ตัวเองเป็นขนมเปี๊ยะก้อนหนึ่ง ก็ถอนใจโล่งอก แต่ยังคงร้องโวยวายไม่ยอม “ท่านพ่อ ทำไมท่านถึงเห็นข้าก็ขัดหูขัดตาไปหมด ข้าเป็นบุตรชายแท้ๆ ของท่านนะ” 


 


 


ซุนซ่านเหรินโมโหพลุ่งพล่าน พูดด้วยเสียงเกรี้ยวกราด “ข้าขอยอมไม่มีบุตรชายเช่นเจ้า” 


 


 


ซุนวั่งเห็นเขาโมโหจริงๆ แล้ว ตกใจจนไม่กล้าพูดอีก 


 


 


ฮูหยินเฒ่ารีบเอ่ยปาก “พอแล้ว วันนี้ไฉเอ๋อร์อุตส่าห์ได้กลับมา พวกเรารีบทำของอร่อยให้เขากินเถอะ ไม่กี่เดือนก็ผอมถึงเพียงนี้ แต่ละวันจะต้องไม่ได้กินอิ่ม บ้านแม่นางเมิ่งยากจนถึงปานไหนกันแน่ ถ้าไม่เช่นนั้น ก็นำตัวนางมาสั่งสอนไฉเอ๋อร์ที่บ้านพวกเรา เขาจะได้ไม่ต้องลำบากอีก” 


 


 


คำพูดเหล่านี้ของนางเดิมเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ ไม่คิดว่าพอซุนซ่านเหรินฟังจบจะยิ่งโกรธเกรี้ยว “แม่นางเมิ่งรู้จักวิธีหาเงิน อายุยังน้อยก็หาเงินได้ไม่น้อยกว่าครอบครัวพวกเรา เจ้าอย่าได้พูดซี้ซั้วเด็ดขาด” 


 


 


ฮูหยินเฒ่ายิ่งไม่เข้าใจ “เมื่อนางมีเงินเช่นนี้ เหตุใดถึงไม่ให้ไฉเอ๋อร์ของพวกเราได้กินอิ่ม?” 


 


 


ซุนซ่านเหรินโมโหจนพูดไม่ออก 


 


 


ซุนเหลียงไฉชิงพูด “ข้าไม่ได้กินไม่อิ่ม ข้าเพียงต้องตื่นแต่เช้ามาฝึกวรยุทธ์ทุกวัน ถึงได้ผอมลง” 


 


 


ซุนวั่งร้องอุทาน “ฝึกวรยุทธ์? เจ้าต้องทุกข์ระทมถึงเพียงไหน?” พูดจบ ลุกขึ้นเดินมาข้างเขา ลูบคลำไปทั่วตัวเขา “บอกพ่อมา เจ้ามีบาดแผลหรือไม่ พวกเขาฉวยโอกาสนี้ลงมือกับเจ้าอย่างเ**้ยมโหดใช่หรือไม่?” 


 


 


เขายังไม่ทันตอบ ฮูหยินเฒ่าก็พูดขึ้นอย่างปวดใจ “ไฉเอ๋อร์ของพวกเราถูกประคบประหงมมาแต่เด็ก ไหนเลยจะทนลำบากเช่นนั้นได้ พวกเขาจะต้องใช้วิธีบีบบังคับเจ้า…” 


 


 


ยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกเสียงตวาดของซุนซ่านเหรินตัดบท “พอแล้ว หากพวกเจ้ายังไม่พอใจเช่นนี้ พรุ่งนี้ข้าจะส่งตัวไฉเอ๋อร์กลับไป” 


 


 


ฮูหยินเฒ่าและซุนวั่งหวีดร้องพร้อมกัน “ไม่ได้” 


 


 


ฮูหยินเฒ่ากอดซุนเหลียงไฉไว้แน่น พูดข่มขู่ “หากท่านส่งตัวไฉเอ๋อร์กลับไปอีก ครั้งนี้ข้าจะตายต่อหน้าท่านเห็นจริงๆ” 


 


 


ซุนวั่งพยักหน้าสมทบ “ใช่ ข้าก็จะตายต่อหน้าท่านด้วย” 


 


 


ซุนซ่านเหรินพูดอย่างโกรธเกรี้ยว “อยากตายรีบไสหัวออกไปตายข้างนอก อย่ามาอยู่ขวางหูขวางตาข้าที่นี่” 


 


 


หลายปีมานี้ ซุนซ่านเหรินไม่เคยพูดรุนแรงเช่นนี้มาก่อน ฮูหยินเฒ่าและซุนวั่งต่างตกใจตะลึงงันอยู่ตรงนั้น ไม่กล้าพูดอะไรอีก 


 


 


ซุนเหลียงไฉลุกขึ้นเดินไปด้านหลังซุนซ่านเหริน ลูบหลังให้เขา พูดโอ้โลม “ท่านปู่ ท่านย่าและท่านพ่อเพียงเป็นห่วงข้า ถึงพลั้งปากพูดผิดไป ท่านวางใจ สองสามวันนี้ข้าจะคอยพูดเกลี้ยกล่อมพวกเขา ให้พวกเขายอมรับปากให้ข้าไปบ้านพี่สาวเมิ่งอีก” 


 


 


ซุนซ่านเหรินตบมือเขาเบาๆ อย่างปลาบปลื้มใจ “เด็กดี” 


 


 


ซุนวั่งกลับร้องโวยวายอีกครั้ง “เจ้าเรียกนังตัวดีนั่นว่ากระไรนะ?” 


 


 


ซุนเหลียงไฉตอบกลับ “พี่สาวอย่างไร มีอะไรไม่ถูกต้องหรือ?” 


 


 


“ไม่ถูก ไม่ถูกอย่างแน่นอน” ซุนวั่งโมโหลุกขึ้นยืน “บุตรชายข้าจะไปเรียกเด็กสาวบ้านนาว่าพี่สาวได้อยางไร ไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามไปบ้านพวกเขาอีก พวกเขาจะต้องคิดวางแผนอะไรกับครอบครัวพวกเรา” 


 


 


ซุนซ่านเหรินไฟโทสะพลุ่งพล่านอีกครั้ง ก่นด่า “ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้” 


 


 


“ท่านพ่อ ปกติท่านเป็นคนฉลาดรอบคอบ เหตุใดวันนี้ถึงเลอะเลือนได้ นังตัวดีนั่นให้ไฉเอ๋อร์เรียกนางว่าพี่สาวอย่างไร้เหตุไร้ผล จะต้องมีแผนการร้ายซุกซ่อน” ซุนวั่งร้อนรนกล่าว 


 


 


ซุนเหลียงไฉลนลานพูดว่า “ท่านพ่อ พวกพี่สาวเมิ่งไม่ใช่คนเช่นนั้น พวกเขาดีกับข้าด้วยใจจริง” 


 


 


ซุนวั่งยิ่งพูดอย่างร้อนรน “ไฉเอ๋อร์ เจ้ายังเด็ก ยังไม่รู้ว่าใจคนยากแท้หยั่งถึง หลายปีมานี้พ่อได้ยินเรื่องทำนองนี้มาไม่น้อย เริ่มต้นจะชูธงตีสนิทเหมือนญาติ เวลาผ่านไปจะค่อยๆ กลืนกินทรัพย์สินของอีกฝ่ายจนเกลี้ยง ไม่ได้ ไม่ว่าเจ้าพูดอย่างไรก็ห้ามไปบ้านพวกเขาอีก” 


 


 


ซุนเหลียงไฉอธิบาย “ไม่ได้นับถือเป็นญาติ ข้าอายุน้อยกว่านาง ข้าจึงเรียกนางว่าพี่สาวตามน้องชายนาง” 


 


 


ซุนวั่งส่ายหน้า “เช่นนั้นก็ไม่ได้ ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่มีเจตนาร้ายแอบแฝง ภายหน้าเล่าใครจะไปรู้ เจ้าเชื่อพ่อเถอะ เราไม่ต้องไปบ้านพวกเขาอีกแล้ว” 


 


 


ซุนเหลียงไฉกลัวซุนซ่านเหรินจะโมโหอีก พลันเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ท่านพ่อ ข้าหิวแล้ว” 


 


 


บุตรชายสุดที่รักหิวเป็นเรื่องใหญ่ ซุนวั่งได้ฟัง ก็ทิ้งเรื่องทั้งหมดไปด้านหลัง ลุกลนหยิบของว่างชิ้นหนึ่ง ฉีกซาลาเปาออก ส่งเข้าปากเขา “ลูกรัก กินของว่างก่อน พ่อจะให้ห้องครัวยกอาหารมาเดี๋ยวนี้” พูดจบหันไปเอ็ดบ่าวรับใช้ “ยังยืนบื้อทำไม? รีบไปดู ทำไมยังไม่ยกอาหารเข้ามา? เจ้าสันหลังยาวพวกนั้นอยากถูกโบยใช่หรือไม่?” 


 


 


บ่าวรับใช้หุนหันวิ่งออกไป 


 


 


ซุนเหลียงไฉหยิบของว่าง กัดคำเล็ก 


 


 


ฮูหยินเฒ่าเห็นก็ยิ่งปวดใจ “ไฉเอ๋อร์ที่น่าเวทนาของย่า เจ้าต้องได้รับความทรมานเพียงใด ไม่กล้าจะกัดกินคำใหญ่แล้ว” 


 


 


ซุนซ่านเหรินมุ่นหัวคิ้ว ข่มกลั้นความโกรธเกรี้ยวในใจ 


 


 


บ่าวรับใช้วิ่งกลับมาบอกว่าอาหารทำเสร็จแล้ว ถามว่าจะยกเข้ามาตอนนี้เลยหรือไม่ ซุนวั่งโมโหก่นด่า “พวกบ่าวขลาดเขลา ไม่เห็นว่านายน้อยหิวจะแย่แล้วหรือไร ยังไม่รีบยกเข้ามา” 


 


 


บ่าวรับใช้สองสามคนออกไปยกสำรับอาหาร สาวใช้สองสามคนในห้องจัดเก็บสิ่งของบนโต๊ะนำไปวางไว้อีกฝั่งอย่างว่องไว 


 


 


อาหารวางเรียบร้อย ซุนวั่งไม่สนใจตัวเองกินข้าว หยิบตะเกียบคีบอาหารใส่ถ้วยข้าวของซุนเหลียงไฉจนกลายเป็นภูเขาย่อมๆ “ลูกรัก กินเยอะๆ บำรุงเอาเนื้อที่หายไปกลับคืนมา” 


 


 


เขาไม่พูดยังดี พอเขาพูดตะเกียบในมือซุนซ่านเหรินเกือบจะลอยเข้าหาเขา สะกดกลั้นเอาไว้สุดชีวิต ถึงตวาดออกไป “นั่งลงกินข้าว ไฉเอ๋อร์มีมือมีเท้า คีบเองได้” 


 


 


ซุนวั่งคิดจะโต้แย้ง เห็นแววตาสะท้อนแววไม่สบอารมณ์ของซุนซ่านเหริน ไม่กล้าพูดออกมา นั่งลงก้มหน้ากินข้าวอย่างว่านอนสอนง่าย 


 


 


เห็นซุนเหลียงไฉไม่เป็นเหมือนก่อน คอยแต่จะเลือกกิน ชอบกินอาหารจานไหนก็จะยกไปไว้หน้าตัวเอง กินทั้งหมดไม่เหลือคราบ อาหารที่ไม่ชอบจะไม่แตะสักคำ กลับกินอาหารที่ซุนวั่งคีบให้เขาทั้งหมด ซุนซ่านเหรินพยักหน้าปลาบปลื้มใจอีกครั้ง 


 


 


อาหารมื้อนี้นอกจากที่ซุนวั่งคอยคีบอาหารให้ซุนเหลียงไฉไม่หยุด ก็ไม่เกิดเรื่องอันใดขึ้นอีก  

 

 


ตอนที่ 168-3 พักห้องเดียวกัน

 

กินอาหารค่ำเสร็จ ซุนเหลียงไฉก็ถูกฮูหยินเฒ่าดึงตัวเข้าไปในห้องตัวเอง ให้เขาเล่าเรื่องที่ได้ประสบในช่วงที่ผ่านมาให้นางฟัง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวย่อมไม่รู้ว่าบ้านซุนเกิดเหตุการณ์โกลาหลอีกครั้ง หลังกินอาหารค่ำเสร็จ ก็กำชับเมิ่งอี้เซวียนให้รีบพักผ่อน ตนเองล้มนอนบนเตียงไม่นานก็เข้าสู่ห้วงนิทรา 


 


 


หลับสบายตลอดคืน 


 


 


เช้าวันถัดมาในโมงยามฝึกวรยุทธ์ เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนตื่นขึ้นพร้อมกัน มองดูท้องฟ้าด้านนอก เมิ่งเชี่ยนโยวออกคำสั่งเขา “ยังเช้าเกินไป เจ้านอนต่ออีกหน่อย เมื่อฟ้าสางแล้วข้าจะเรียกเจ้า” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า สะลึมสะลือหลับผล็อยไป 


 


 


กระทั่งตอนที่เมิ่งเชี่ยนโยวร้องเรียกเขาอีกครั้ง ด้านนอกห้องมีนักเรียนเดินไปมาแล้ว 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนลุกขึ้น 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งเสี่ยวเอ้อให้ส่งน้ำร้อนจำนวนหนึ่งมา ทั้งสองล้างหน้าล้างตาเสร็จ เสี่ยวเอ้อก็นำอาหารเช้าส่งมาให้ 


 


 


กินอาหารเช้าเสร็จ เมิ่งอี้เซวียนตรวจสอบสิ่งของที่ใช้ในการสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง แน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดตกหล่น ก็ลงมาข้างล่างพร้อมเมิ่งเชี่ยนโยว 


 


 


เหวินเปียวและเหวินหู่เก็บกวาดรถม้ารออยู่หน้าประตูโรงเตี๊ยมนานแล้ว เมื่อทั้งสองคนขึ้นรถม้า ก็สะบัดแส้บังคับรถม้ามุ่งหน้าสู่สนามสอบ 


 


 


พวกเขาออกมาไม่นับว่าเช้า ตอนมาถึงสนามสอบ เหลืออีกสองเค่อสนามสอบก็จะเปิด มีนักเรียนไม่น้อยมายืนล้อมสนามสอบแล้ว 


 


 


เหวินเปียวชะเง้อมองโดยรอบเป็นนานก็หาตำแหน่งจอดรถม้าไม่ได้ จำต้องพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “แม่นาง นอกสนามสอบมีคนมากเกินไป ไม่มีจุดให้จอดรถม้า ท่านว่าพวกเราจอดที่ด้านนอกกลุ่มคนดีหรือไม่” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “จอดไว้ด้านนอกเถอะ ข้าเข้าไปพร้อมอี้เซวียนก็พอแล้ว” 


 


 


เหวินเปียวจอดรถม้า ทั้งสองเดินลงมา เห็นทั้งบริเวณเต็มไปด้วยนักเรียนและผู้ปกครองที่ตามมาส่ง เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมุ่งหน้าเข้าสู่สนามสอบพลางพูดกับเมิ่งอี้เซวียนว่า “ตามติดข้ามา อย่าให้พลัดหลง” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า สะพายกระเป๋านักเรียนตัวเองเดินตามหลังนางไปอย่างกระชั้นชิด 


 


 


มีนักเรียนจำพวกเขาได้ ทยอยกันบอกคนข้างกายว่าพวกเขาก็มาเข้าสอบระดับจังหวัด นักเรียนที่มีอายุมากเห็นเมิ่งอี้เซวียนอายุน้อยเพียงเท่านี้ ต่างก็ถลึงตาโตตกตะลึง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจเหล่านี้ ค่อยๆ ก้าวเดินเข้าสู่สนามสอบ 


 


 


นักเรียนคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะมีฐานะทางบ้านดีชี้กระเป๋านักเรียนของเมิ่งอี้เซวียนร้องพูดกับพ่อแม่ตัวเอง “ที่เขาสะพายคือสิ่งใด? มองดูแล้วงดงามนัก ข้าต้องการบ้าง” 


 


 


ผู้ปกครองก็ดูเหมือนจะโอ๋ตามใจนักเรียนคนนี้ ได้ยินคำพูดเขา เปล่งเสียงร้องพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นางน้อย กรุณาหยุดก่อน” 


 


 


ทั้งสองหยุดฝีเท้า หันศีรษะมาอย่างฉงน 


 


 


บิดาของนักเรียนคนนี้เดินมาตรงหน้าทั้งสองคน ถามเมิ่งอี้เซวียนอย่างอ่อนโยน “ไม่ทราบว่าที่เจ้าสะพายอยู่นี้คือสิ่งใด จะหาซื้อได้ที่ใด” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนมองเมิ่งเชี่ยนโยวแวบหนึ่ง ตอบกลับด้วยน้ำเสียงน่าฟัง “นี่คือกระเป๋านักเรียน บ้านพวกเราตัดเย็บเอง มีช่องแบ่งเก็บสิ่งของแตกต่างกันได้” พูดจบ ถอดกระเป๋านักเรียนของตัวเองออก แนะนำให้เขาดูอย่างละเอียด 


 


 


นักเรียนคนอื่นๆ ก็อยากรู้อยากเห็น ต่างมุงล้อมเข้ามาดู เห็นว่าด้านในยังมีช่องเก็บของต่างๆ มากมายได้อย่างเป็นระเบียบ พลันถูกดึงดูดโดยไม่รู้ตัว 


 


 


นักเรียนคนเมื่อครู่ย่อมถูกดึงดูดเข้ามาด้วย หันไปพูดกับบิดาตัวเอง “ข้าก็อยากได้กระเป๋านักเรียนแบบนี้” 


 


 


พอบิดาของนักเรียนได้ยินว่าบ้านพวกเขาตัดเย็บกันเอง ก็เริ่มลำบากใจ แต่ทำใจต่อการร้องขอของบุตรชายตัวเองไม่ได้ จำต้องพูดว่า “ไม่ทราบว่าบ้านพวกเจ้ายังมีกระเป๋านักเรียนแบบนี้อีกหรือไม่ พอจะขายให้พวกเราสักใบได้หรือไม่ ราคาเท่าใดก็ได้” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนไม่คิดว่าเขาจะซื้อกระเป๋านักเรียนของตัวเอง รีบตอบอย่างเริงร่า “บ้านพวกเราทำการค้าขายกระเป๋านักเรียน ที่บ้านยังมีกระเป๋านักเรียนอีกมากมายหลายแบบ สวยยิ่งกว่านี้อีก” 


 


 


แววตาบิดานักเรียนสว่างวาบ “ยังมีอีกมาก” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า “ยังมีลวยลายที่แตกต่างกันด้วย ล้วนแต่งดงาม” 


 


 


“เช่นนั้นบ้านพวกเจ้าอยู่ที่ไหน ข้าพอจะไปซื้อที่บ้านพวกเจ้าจำนวนหนึ่งได้หรือไม่?” บิดาของนักเรียนถาม 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนกำลังจะตอบ เมิ่งเชี่ยนโยวชิงตอบก่อน “ใกล้จะเข้าสนามสอบแล้ว ตอนนี้ยังไม่เหมาะจะคุยเรื่องนี้ เอาอย่างนี้เถอะ พวกเราพักที่โรงเตี๊ยมซิงหลงถัดไปอีกสามถนน หากท่านว่างสามารถมาหาพวกเราได้ ถึงตอนนั้นพวกเราค่อยบอกท่านอย่างละเอียด” 


 


 


บิดานักเรียนรับคำ “ได้ๆๆ เมื่อบุตรชายข้าสอบเสร็จ พวกเราจะไปหาพวกเจ้า” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า หันหลังเดินมุ่งหน้าไปยังประตูสนามสอบต่อ 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนสะพายกระเป๋านักเรียน เดินตามหลังนาง 


 


 


บริเวณชั้นในติดกับสนามสอบมีนักเรียนรายล้อมอยู่ไม่น้อยแล้ว ทั้งสองคนหาพื้นที่ว่าง หยุดยืนรอประตูใหญ่สนามสอบเปิดออกเงียบๆ 


 


 


นักเรียนที่อยู่ใกล้พวกเขาอายุไม่มากเท่าไหร่ คงเพราะตื่นเต้น เม็ดเหงื่อผุดซึมออกมาไม่หยุด คนในครอบครัวที่มากับเขาด้านหนึ่งซับเหงื่อ ด้านหนึ่งคอยพูดปลอบประโลมเขา 


 


 


เห็นสภาพพวกเขา เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มริมฝีปากถาม “เจ้าต้องการการปลอบประโลมหรือไม่?” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนชะงักงัน มองนักเรียนคนนั้นแวบหนึ่ง ส่ายหน้าพูด “ไม่ต้องการ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพ่นลมหายใจเบาๆ ฟ้าที่รู้ว่านางยินยอมฆ่าคน แต่จะไม่ยอมปลอบใจใครเด็ดขาด 


 


 


ประตูใหญ่สนามสอบเปิดออก บรรดานักเรียนทยอยกันเดินเข้าไป เมิ่งอี้เซวียนสะพายกระเป๋านักเรียน บอกกล่าวเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วเดินเข้าไป 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยืนหน้าประตู เห็นเขานำจดหมายแนะนำห้าฉบับมอบให้ผู้คุมสอบ เปลี่ยนได้ป้ายหมายเลขมา เดินไปยังสนามสอบที่ตรงกับตัวเองแล้ว ก็เดินมาตรงหน้าคนเฝ้าประตู สอบถามโมงยามที่สอบเสร็จ เมื่อแน่ใจว่าตอนบ่ายถึงจะสอบเสร็จ ก็เดินกลับมาข้างรถม้า พูดกับเหวินเปียวว่า “อี้เซวียนจะสอบเสร็จก็ยามบ่าย พวกเราไม่มีอะไรทำ วนดูรอบตัวจังหวัดก็แล้วกัน” 


 


 


เหวินเปียวขานรับ หันกลับหัวม้า บังคับรถม้าเดินเล่นบนถนนอย่างสบายอารมณ์ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดม่านบังรถ นั่งบนรถม้ามองออกมาด้านนอกอย่างเพลิดเพลินใจ 


 


 


ตัวจังหวัดคึกคักกว่าตัวอำเภอมาก สองฝั่งถนนมีแต่เสียงร้องโหวกเหวกและเสียงร้องขายของ ผู้คนที่สัญจรไปมาหยุดปลายเท้าเบื้องหน้าร้านแผงลอย ซักถามราคาสิ่งของที่ตัวเองชื่นชอบ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเช่นนั้น กระโดดลงจากรถม้า เลียนแบบท่วงท่าของคนบนถนน เดินไปหยุดสำรวจเบื้องหน้าร้านแผงลอย 


 


 


เหวินเปียวเห็นดังนั้น กำชับเหวินหู่ “เจ้าตามแม่นางไป” 


 


 


เหวินหู่พยักหน้า สาวเท้าก้าวตามเมิ่งเชี่ยนโยวไป 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปพลางมองไปพลาง พอเห็นของที่ชอบก็หยุดฝีเท้าและต่อรองราคากับพ่อค้า 


 


 


เริ่มต้นบรรดาพ่อค้าหาบเร่เห็นนางอายุยังน้อย แต่งกายไม่ธรรมดา คิดว่าจะเป็นลูกค้ารายใหญ่ โอภาปราศรัยอย่างกระตือรือร้น ครั้นพอได้ยินนางหั่นราคาถึงรู้ว่าตัวเองตาพร่าเลือน แม่นางน้อยคนนี้รับมือยากยิ่งกว่ามนุษย์ป้าเสียอีก ขอเพียงต้องตาสิ่งใด ก็จะคว้าไว้แน่นไม่ปล่อย หั่นราคากับพ่อค้าหาบเร่ไม่หยุด หากหั่นราคาไม่ได้ตามความพอใจของตัวเอง ก็จะไม่ควักเงินจ่าย 


 


 


บรรดาพ่อค้าหาบเร่ร้องโอดครวญไม่หยุด เมิ่งเชี่ยนโยวกลับยิ่งซื้อยิ่งกระหยิ่มใจ ช่วงเวลาสั้นๆ เหวินหู่ก็ถือของเต็มสองมือ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเผลอมองกลับมา เห็นข้าวของมากมายที่ตัวเองซื้อไปเมื่อครู่ก็ตกใจสะดุ้ง สั่งเหวินหู่ให้รีบนำข้าวของกลับไปไว้บนรถม้า 


 


 


เหวินเปียวจูงรถม้าคอยตามหลังมาติดๆ เห็นนางซื้อของมากมายก็กระเดาะลิ้น 


 


 


เหวินหู่นำข้าวของวางบนรถม้าแล้วก็ถอนหายใจ พูดกับเหวินเปียวเสียงเบา “พี่ใหญ่ ว่ากันว่าสตรีซื้อของจะคลุ้มคลั่ง วันนี้ข้านับว่าได้เห็นกับตาแล้ว” 


 


 


เหวินเปียวถลึงตาใส่เขา “ระวังแม่นางได้ยินเข้าจะลงโทษเจ้า” 


 


 


เหวินหู่ขยี้หัว กลับไปเดินข้างกายเมิ่งเชี่ยนโยว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังดูเครื่องประดับบนแผงเครื่องประดับร้านหนึ่ง เห็นเหวินหู่เดินมา ถามเนิบๆ “พูดนินทาข้าหรือไร” 


 


 


เหวินหู่ตกใจตัวลอย ตอบอึกๆ อักๆ “ปะ เปล่า” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเงยหน้ามอบเขาแวบหนึ่ง ก้มหน้าดูเครื่องประดับต่อพลางยกยิ้มพูดว่า “ร้อนตัวหรือไร จะต้องพูดว่าข้าซื้อของเยอะเป็นแน่เทียว” 


 


 


เหวินหู่โพล่งปากพูด “แม่นางรู้ได้อย่างไร?” พูดจบถึงรู้สึกตัวว่าพูดอะไรออกไป รีบปิดปากตัวเองแน่น 


 


 


เห็นชายร่างกำยำเยี่ยงเขาแสดงท่าทีเช่นนี้ออกมา เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะตัวงอ “ข้าเดาเอา ไม่คิดว่าจะเดาถูกด้วย” 


 


 


เหวินหู่ยืนกระอักกระอ่วนอยู่ตรงนั้น แทบอยากจะตบปากตัวเองหนักๆ สักสองฉาด 


 


 


หลังจากหัวเราะ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ดูเครื่องประดับต่อ 


 


 


เหวินหู่ปิดปากตัวเองสนิท เป็นตายก็ไม่ยอมปริปากอีก 


 


 


มองดูครู่ใหญ่ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่เจอที่ถูกใจ จึงเปลี่ยนไปดูเครื่องประดับอีกร้าน พ่อค้าแผงเครื่องประดับร้านนี้ถอนใจโล่งอก พ่อค้าอีกร้านว้าวุ่นใจทันควัน แอบลอบบนบานในใจขอให้แผงลอยร้านตัวเองอย่าได้มีเครื่องประดับที่เมิ่งเชี่ยนโยวชื่นชอบเด็ดขาด 


 


 


แต่ยิ่งกลัวอะไรก็ยิ่งได้สิ่งนั้น เมิ่งเชี่ยนโยวเพิ่งจะเดินมาตรงหน้าแผงลอยร้านเขา ดวงตาก็ทอแสงระยับ คว้าปิ่นดอกไม้อันหนึ่งมาไว้ในมือตัวเอง ถามเขาอย่างชื่นชอบ “ปิ่นดอกไม้นี้ราคาเท่าใด?” 


 


 


พ่อค้าหาบเร่เห็นนางหยิบเครื่องประดับที่ดีที่สุดของร้านตนเอง ส่งเสียงหวีดร้องโหยหวนในใจ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรอคำตอบจากเขา 


 


 


พ่อค้าหาบเร่ตัดใจ กัดฟันพูดว่า “ยี่สิบตำลึง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “แพงเกินไป” 


 


 


พ่อค้าร้องครวญ “แม่นาง นี่เป็นเครื่องประดับที่ดีที่สุดของแผงข้า ข้าหมายจะได้กำไรจากมัน ยี่สิบตำลึงยังแพงไปหรือ?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ตอบอย่างจริงจัง “แพง!” 


 


 


พ่อค้าหาบเร่โมโหจนเกือบกระเด้งตัวลอย 


 


 


เหวินหู่มองเขาอย่างเห็นใจ 


 


 


พ่อค้าหาบเร่ข่มกลั้นอารมณ์ครู่หนึ่ง กัดฟันฝืนพูดออกไปสองสามคำ “ท่านจะให้เท่าใด?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือออกไปทำรูปมือ “แปดตำลึง” 


 


 


พ่อค้าหาบเร่เกิดอารมณ์อยากบีบเค้นคอนางแล้ว โมโหร้องโวยวาย “ปิ่นของข้านี้ปกติจะบอกราคาสามสิบตำลึง ข้าอยากขายให้เจ้าด้วยใจจริงถึงคิดเจ้ายี่สิบตำลึง เจ้ากลับให้ข้าแปดตำลึง เจ้าจะบีบข้าไปแขวนคอรึ?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจลูกไม้ของเขา พูดอย่างไม่รีบไม่ร้อน “ปกติเจ้าจะบอกราคาเท่าใดข้าไม่รู้ แต่เจ้าบอกราคาข้าคือยี่สิบตำลึง ข้าเพียงต่อราคาเกินครึ่งไปอีกเล็กน้อย เจ้ายังไม่พอใจอีกหรือไร?” 


 


 


พ่อค้าหาบเร่แทบจะกระอักเลือดแล้ว “ข้าย่อมไม่พอใจ อย่างน้อยที่สุดยี่สิบตำลึง น้อยกว่านี้อีแปะเดียวข้าก็ไม่ขาย” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พูดพึมพำกับตัวเอง “ดูท่าข้าจะให้สูงเกินไป ถึงว่าท่านแม่บอกข้าว่า เวลาจะซื้อของพวกนี้จะต้องหั่นราคาครึ่งต่อครึ่งอีกที ข้าควรจะให้เจ้าห้าตำลึง” 


 


 


พ่อค้าหาบเร่โมโหจนพูดไม่ออก 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตัดใจเด็ดขาด ยื่นมือออกไปห้านิ้วพูดว่า “ใครอยากให้ข้าเป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง ที่หั่นราคาไม่เป็นเล่า เอาอย่างนี้เถอะ ข้าจะเพิ่มเงินให้เจ้าอีกห้าร้อยอีแปะ ให้มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว” 


 


 


พ่อค้าหาบเร่เห็นนางยื่นมือออกมาห้านิ้ว นึกว่านางจะเพิ่มให้ห้าตำลึง พลันยินดีในใจ ตอนที่เตรียมจะขายให้นาง กลับได้ยินนางพูดว่าห้าร้อยอีแปะ ขาอ่อนในบัดดล เกือบจะล้มพับไป ลนลานใช้สองมือยันร่างตัวเองไว้กับแผงลอย พูดอย่างโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ “อย่างต่ำสุดสิบตำลึง น้อยกว่านี้ตีให้ตายข้าก็ไม่ขาย” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรับคำทันควัน “ตกลง!” 


 


 


พ่อค้าหาบเร่นั่งพับไปกับพื้นอย่างราบคาบแล้ว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวล้วงเงินสิบตำลึงออกมาวางบนแผง หันหลังยิ้มร่าไปจากแผงลอย 


 


 


เหวินหู่มองพ่อค้าหาบเร่อย่างเวทนาเป็นครั้งสุดท้ายแวบหนึ่ง แล้วเดินตามหลังเมิ่งเชี่ยนโยวจากไป 


 


 


ซื้อปิ่นดอกไม้เสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเที่ยวจนรู้สึกเหนื่อยแล้ว จึงกลับไปนั่งบนรถม้า กำชับเหวินเปียว “พวกเราหาภัตตาคารกินข้าวเถอะ” 


 


 


เหวินเปียวพยักหน้า จูงรถม้าเดินเอื่อยเฉื่อยไปตามถนน เดินมาถึงหน้าภัตตาคารแห่งหนึ่ง จอดรถม้า พูดอย่างอ่อนน้อม “แม่นาง ที่นี่มีเหลาจวี้เสียน พวกเราจะเข้าไปกินข้าวหรือไม่?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพลันเลิกม่านบังรถออก พินิจมอง เขียนว่าเหลาจวี้เสียนจริงๆ พูดขึ้นทันใด “พวกเรากินข้าวที่นี่ล่ะ” 


 


 


เหวินเปียวนำรถม้ามาจอหน้าประตู เสี่ยวเอ้อคนหนึ่งเข้ามาต้อนรับ ถามอย่างกระตือรือร้น “ทุกท่านมาแล้ว เชิญด้านในเถอะ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้า เดินเข้ามาในเหลาจวี้เสียน มองโดยรอบแวบหนึ่ง แทบจะเหมือนกับเหลาจวี้เสียนประจำตำบลไม่ผิดเพี้ยน และไม่รอให้เสี่ยวเอ้อไต่ถาม ก็พูดขึ้นโดยตรง “พวกเราไปห้องรับรองชั้นสอง” 


 


 


เสี่ยวเอ้อหันไปตะโกนบอกชั้นบนอย่างยินดี “ห้องรับรองชั้นบนสามท่าน!” 


 


 


สิ้นเสียง ก็มีคนหนึ่งวิ่งตุ๊บๆๆ ลงมาจากด้านบน “กี่ท่าน…” พูดยังไม่ทันจบ ก็ร้องทักอย่างดีใจระคนประหลาดใจ “น้องโยวเอ๋อร์!”  

 

 


ตอนที่ 169-1 สอบได้ถงเซิง

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเพ่งตามองดู ที่แท้ก็เป็นหวังหู่ ร้องเรียกอย่างชื่นบาน “พี่หูจื่อ” 


 


 


หูจื่อไม่ได้กลับบ้านนานแล้ว เห็นนางกะทันหันก็ดีใจกว่าปกติ พูดถามเป็นพรวน “น้องโยวเอ๋อร์ เจ้าเข้ามาในจังหวัดได้อย่างไร? มีเพียงเจ้าคนเดียวรึ? ช่วงนี้เจ้าเห็นท่านพ่อท่านแม่ข้าหรือไม่? พวกเขาสบายดีหรือ?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพูดกับเขา “พี่หูจื่อ ท่านถามข้ามากเช่นนี้ ข้าไม่รู้จะตอบอันใดก่อนดีแล้ว ไม่อย่างนั้นท่านพาพวกเราไปห้องรับรองก่อน เมื่อนั่งลงแล้วข้าจะค่อยๆ พูดให้ท่านฟัง” 


 


 


หูจื่อตบหน้าผากตัวเอง กล่าวอย่างซื่อๆ “ดูข้าเล่า มัวแต่ดีใจ ลืมไปว่าพวกเจ้ามากินข้าว ข้าจะพาพวกเจ้าไปห้องรับรองเดี๋ยวนี้” 


 


 


พูดจบ กลับหลังหัน เดินนำหน้าเข้ามาในห้องรับรองชั้นสอง แล้วพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “เหลาจวี้เสียนในจังหวัดเหมือนกับที่ตำบลของพวกเรา ห้องรับรองจะมีค่าใช้จ่ายขั้นต่ำ ก็คือห้าสิบตำลึง” พูดไปพลางชงน้ำชาให้ทุกคน นำมาวางตรงหน้าพวกเขา 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปกล่าวขอบคุณ พูดว่า “ลุงหวังและป้าหวังต่างสบายดี ท่านไม่ต้องเป็นห่วงพวกเขา ตัวท่านเองเถอะ มาอยู่ในจังหวัดนานขนาดนี้ คิดจะกลับไปเมื่อใด?” 


 


 


หูจื่อยิ่งแสดงสีหน้ายินดี “หลงจู๊บอกแล้ว พ้นเดือนนี้ไป ข้าก็กลับไปได้แล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเขาสวมชุดเสี่ยวเอ้อ ถามอ้อมๆ “พี่หูจื่อ ท่านอยู่ในจังหวัดสบายดีนะ?” 


 


 


หูจื่อพยักหน้า “ช่วงเวลาที่อยู่ในจังหวัดนี้ ได้รับคำชี้แนะจากทุกคน ได้เรียนรู้สิ่งที่เมื่อก่อนไม่เคยรู้มากมาย แต่ละวันมีความอิ่มเอมหัวใจ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็พยักหน้า “เช่นนั้นก็ดี” 


 


 


หวังหู่ขยี้หัว พูดอย่างกระดากเขิน “เพียงแค่คิดถึงบ้านไปหน่อย ทุกวันเอาแต่เฝ้ารอเจอคนในหมู่บ้านพวกเรามากินข้าวที่นี่ จะได้ซักถามความเป็นไปของครอบครัว น่าเสียดายที่แทบจะไม่มีใครมา ข้าอยากถามก็ไม่รู้จะไปถามใคร แต่ว่า วันนี้เป็นวันที่ข้ามีความสุขที่สุด ได้เจอคนคุ้นเคยสองคนติดๆ กัน” 


 


 


“สองคน?” เมิ่งเชี่ยนโยวถามอย่างเบิกบาน “นอกจากข้ายังมีใครหรือ?” 


 


 


หวังหู่ไม่รู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวและเปาอีฝานสนิทสนมกันดี ตอบว่า “คุณชายเปานะซิ บุตรชายใต้เท้าเปาที่มักจะไปกินอาหารที่เหลาจวี้เสียนบ่อยๆ เจ้ายังเคยทำอาหารให้เขากินอย่างไร” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวดีใจระคนประหลาดใจ “เขาก็มาด้วย? เขาอยู่ที่ห้องรับรองใด?” 


 


 


“อยู่ห้องรับรองด้านริมสุด แต่เขาไม่ได้มาคนเดียว ข้างกายยังมีอีกสองคนที่ข้าไม่รู้จักมาด้วย” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวคิดถึงเรื่องการนัดชุมนุมใหญ่ของพวกค้ามนุษย์ในตัวจังหวัดเดือนสี่ที่เปาอีฝานเคยพูดถึง คาดว่าเขาจะมาเพราะเรื่องนี้ จึงขอร้องหวังหู่ “พี่หูจื่อ ประเดี๋ยวรบกวนท่านฝากความไปให้คุณชายเปา บอกว่าข้าก็มากินข้าวที่เหลาจวี้เสียน หากเขามีเวลา ก็เชิญเขามาเสียหน่อย” 


 


 


หวังหู่รับปากเสียงลั่น “ได้เลย ประเดี๋ยวตอนข้ายกอาหารเข้าไปจะบอกเขาให้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณ แล้วสั่งอาหารแนะนำสองสามอย่าง 


 


 


หวังหู่หยิบรายการอาหารออกไป 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเรียกเหวินเปียวและเหวินหู่ที่เอาแต่ยืน “พวกเจ้าทั้งสองก็นั่งเถอะ” 


 


 


ทั้งสองไม่ขยับ เหวินเปียวพูดว่า “แม่นาง ข้ารู้ว่าท่านดีกับพวกเรามาก แต่จะเพิกเฉยกฎระเบียบไม่ได้ บ่าวกับนายไหนเลยจะร่วมโต๊ะอาหารกันได้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มถามเขา “หากข้าออกคำสั่งให้พวกเจ้ากินข้าวร่วมกับข้าเล่า?” 


 


 


ทั้งสองหันหน้ามองกัน เหวินเปียวกล่าวตอบ “คำสั่งของแม่นางห้ามฝ่าฝืน” 


 


 


“งั้นก็ดี ตอนนี้ข้าขอออกคำสั่งให้พวกเจ้านั่งลงกินข้าวร่วมกับข้า” 


 


 


ทั้งสองลังเล เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตาให้พวกเขา “อย่างไร? ไม่เชื่อฟังคำสั่งของข้าแล้ว?” 


 


 


เหวินเปียวพูดอย่างลำบากใจ “แม่นาง หากท่านออกคำสั่งให้พวกเราขึ้นภูเขาดาบ ลงทะเลเพลิง พวกเราจะทำตามที่สั่ง แต่การกินข้าวร่วมโต๊ะกับท่านนี้ ผิดหลักกฎระเบียบเกินไป พวกเราทำเช่นนี้ไม่ได้” 


 


 


“ออกมาข้างนอกไฉนต้องมีกฎเกณฑ์อะไรมากมาย ข้าบอกให้พวกเจ้านั่งก็นั่งเถอะ ถ้ายังโอ้เอ้อีกข้าจะโมโหแล้วนะ” 


 


 


ทั้งสองคนนั่งบนเก้าอี้อย่างประดักประเดิด 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพวกเขา “พวกเจ้าก็ไปมาทั่วเขตคามแล้ว ใยต้องสนใจกฎเกณฑ์ไร้สาระพวกนั้น?” 


 


 


เหวินเปียวตอบกลับ “เพราะพวกเรารู้มาก ถึงยิ่งไม่ควรละเมิดกฎ หากให้คนอื่นรู้เข้า จะพูดว่าพวกเราไม่รู้จักแยกแยะ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวว่า “ในห้องรับรองนี้มีเพียงพวกเราสามคน ไหนเลยจะมี…” พูดยังไม่ทันจบ ประตูห้องรับรองก็ถูกเปิดออก เปาอีฝานก้าวอาดๆ เข้ามา 


 


 


เหวินเปียวและเหวินหู่ลุกลนลุกขึ้น ยืนหลบไปอีกด้าน 


 


 


เปาอีฝานมองพวกเขาผ่านๆ แวบหนึ่ง พูดกับนางอย่างยินดี “พอหูจื่อบอกข้าว่าเจ้าอยู่ห้องรับรองนี้ ข้าก็มาทันที น้องชายเจ้ามาเข้าสอบระดับจังหวัดใช่หรือไม่? พวกเจ้ามาตั้งแต่เมื่อใด?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “พวกเรามาถึงตั้งแต่เมื่อวานบ่าย วันนี้อี้เซวียนไปสอบ ข้าว่างไม่มีอะไรทำก็เลยมาเดินเที่ยวในเมืองไปเรื่อยเปื่อย เห็นเหลาจวี้เสียนจึงเข้ามากินข้าว ไม่คิดว่าท่านก็จะอยู่ที่นี่ เตรียมจะลงมือกับพวกค้ามนุษย์แล้วอย่างนั้นหรือ?” 


 


 


เปาอีฝานหันไปมองเหวินเปียวและเหวินหู่แวบหนึ่ง 


 


 


ทั้งสองรีบร้อนพูด “แม่นาง ท่านและคุณชายเปามีเรื่องต้องเจรจา พวกเราจะไปรอเฝ้าด้านนอก” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ไม่ต้อง เรื่องนี้พวกเราไม่แทรกแซง” 


 


 


ทั้งสองจึงไม่เคลื่อนไหว 


 


 


จากนั้นเมิ่งเชี่ยนโยวก็หันมาพูดกับเปาอีฝาน “พวกเขามีสถานะเช่นไรเจ้ารู้ดี มีเรื่องอะไรก็พูดมาเถอะ พวกเขาไม่มีทางแพร่งพรายแม้แต่ครึ่งคำ” 


 


 


เปาอีฝานมองนางอย่างเลื่อมใสแล้วพูดว่า “ข้าสืบความมาหมดแล้ว พวกค้ามนุษย์ทั้งหมดจะชุมนุมกันในรังโจรเก่า ถึงตอนนั้นพวกเราจะรวบรวมกองกำลังเจ้าหน้าที่ทั้งหมด จับกุมพวกมันให้สิ้นซาก” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามเขา “วางกำลังไว้เรียบร้อยหรือไม่ มีความมั่นใจกี่ส่วน?” 


 


 


“วางใจเถอะ ข้าและท่านใต้เท้าผู้ว่าราชการจังหวัดวางกำลังไว้หมดแล้ว พรุ่งนี้ก่อนค่ำ กำลังเจ้าหน้าที่ทั้งหมดจะไปยังจุดที่กำหนด ครั้งนี้พวกเรามั่นใจเต็มร้อยว่าจะจับกุมพวกเขาได้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “เช่นนั้นก็ดี หากสามารถจับกุมพวกค้ามนุษย์เหล่านี้ได้สิ้นซาก ใต้เท้าเปาก็จะมีคุณความชอบเพิ่มขึ้นหลายเท่า การเลื่อนขั้นก็อีกไม่ไกลแล้ว” 


 


 


เปาอีฝานโบกมือ “เจ้าพูดผิดแล้ว ต่อให้บิดาข้ามีผลงานดีเด่นเพียงใด ช่วงเวลานี้ก็ไม่อาจเลื่อนขั้นได้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวข้องใจ “เพราะอะไร?” 


 


 


เปาอีฝานยิ้มแต่ไม่พูด 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเปลี่ยนหัวข้อพูด “เมื่อพวกท่านเตรียมการไว้อย่างรัดกุม ข้าก็จะไม่เข้าไปช่วยแล้ว พรุ่งนี้หลังจากผลการสอบระดับจังหวัดของอี้เซวียนออกมา ข้าเตรียมจะเดินทางกลับวันมะรืนแต่เช้าตรู่ หากพวกท่านกวาดล้างพวกเขาได้สิ้นซาก อย่าลืมให้คนไปส่งข่าวนี้แก่ข้าด้วย” 


 


 


เปาอีฝานยิ้มตอบ “ไม่ต้องให้คนอื่นไปส่งข่าว พวกเราทั้งหมดปรึกษากันแล้ว หลังจากจัดการเรื่องนี้เสร็จ จะไปบ้านพวกเจ้า ถึงตอนนั้นข้าจะบอกข่าวดีนี้กับเจ้าด้วยตัวเอง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มรับคำ “ไม่มีปัญหา พอข้ากลับถึงบ้านจะตระเตรียมวัตถุดิบ ทำพระกระโดดกำแพงให้พวกท่านกิน” 


 


 


“เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ ข้าจะกลับไปเตรียมตัว พวกเราอย่างช้าอีกสองวันให้หลังก็จะไปหา” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “รีบร้อนถึงเช่นนี้? แค่วัตถุดิบสองวันข้ายังเตรียมไม่เสร็จเลย” 


 


 


เปาอีฝานถลึงตาใส่นาง “เจ้ายังจะพูด มิใช่เพราะเจ้าหรือ ไม่รู้ว่าเจ้ากรอกยากล่อมประสาทอะไรให้ฮุ่ยเอ๋อร์กิน พอเห็นหน้าข้าก็รบเร้าให้ข้ารีบจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จ จะได้ไปหาเจ้าได้โดยไว ข้าตกใจจนไม่กล้าไปหานางมาได้ระยะหนึ่งแล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะร่วน พูดอย่างสุขใจบนความทุกข์ของผู้อื่น “ที่แท้คุณชายเปาก็มีช่วงเวลาที่หวาดหวั่นด้วย” 


 


 


เปาอีฝานเองก็จนปัญญา “น้อยครั้งที่ฮุ่ยเอ๋อร์จะถูกชะตากับใครได้เช่นนี้ เจ้าเป็นคนแรก” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดสัพยอกเขา “เช่นนั้นท่านก็แย่แล้ว ภายหน้าหากท่านกล้ารังแกข้า ข้าจะบอกพี่ฮุ่ยเอ๋อร์ ให้นางจัดการท่าน ระบายแค้นแทนข้า” 


 


 


เปาอีฝานพูดอย่างขบขัน “ด้วยฝีมืออย่างเจ้า ใครจะรังแกเจ้าได้?” 


 


 


ทั้งสองพูดคุยสรวลเสอีกครู่หนึ่ง หวังหู่ก็ยกอาหารเข้ามา 


 


 


เปาอีฝานลุกขึ้น “ทางนั้นข้ายังมีสหายอีกสองคน ไม่อยู่กินข้าวกับเจ้าแล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ลุกขึ้นบอกเขา “พวกเราพักอยู่โรงเตี๊ยมซิงหลงไม่ไกลจากสนามสอบ หากพวกท่านมีเรื่องอันใด ไปหาข้าที่นั่นได้” 


 


 


เปาอีฝานพยักหน้าแล้วจากไป 


 


 


ทั้งสามกินข้าวเสร็จ หูจื่อมาส่งพวกเขาถึงนอกภัตตาคาร ย้ำกำชับเมิ่งเชี่ยนโยว พอพวกเขากลับไปจะต้องบอกบิดามารดาตัวเอง พ้นเดือนหน้าไปเขาก็จะได้กลับบ้านแล้ว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มรับคำหนักแน่น ตัวเองกลับไปยังไม่เข้าบ้านก็จะไปบอกข่าวดีนี้กับป้าหวังก่อน 


 


 


หวังหู่กล่าวขอบคุณไม่หยุด 


 


 


หลังจากบอกลาหวังหู่ เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูท้องฟ้า รู้สึกว่าใกล้ถึงเวลาสอบเสร็จแล้ว จึงให้เหวินเปียวบังคับรถม้าไปจอดรอนอกสนามสอบ 


 


 


นอกสนามสอบมีคนมารอรับนักเรียนจำนวนมาก เมิ่งเชี่ยนโยวให้เหวินเปียวนำรถม้าไปจอดในจุดที่ไกลออกไปจากสนามสอบ ตัวเองลงรถม้า เดินไปหน้าประตูใหญ่สนามสอบ รอเมิ่งอี้เซวียนออกมา 


 


 


ผ่านไปประมาณสองเค่อ เสียงกริ่งในสนามสอบก็ดังขึ้น นักเรียนทั้งหลายเก็บของเสร็จเรียบร้อย ทยอยกันเดินออกมา 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนสะพายกระเป๋านักเรียนของตัวเองเดินตามนักเรียนออกมาด้วย เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวรออยู่หน้าประตู สาวเท้าเร็วรี่เดินมาตรงหน้านาง แหงนใบหน้ากรุ้มกริ่ม มองนางอย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกรอกตาขาวใส่เขา “อย่าเพิ่งลำพองใจไป รอผลการสอบออกมาค่อยว่ากัน” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนก็ไม่ถือสา ตามนางขึ้นไปนั่งบนรถม้าอย่างชื่นบาน 


 


 


รถม้ามุ่งหน้ากลับ เมิ่งเชี่ยนโยวถามเขา “เหนื่อยหรือไม่?” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนส่ายหน้า “วันนี้มีเพียงสามสนาม ไม่เหนื่อยมาก” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตรวจดูอย่างละเอียด เห็นสีหน้าเขาดีกว่าตอนสอบระดับอำเภอออกมาจริงๆ จึงวางใจลง 


 


 


กลับมาถึงโรงเตี๊ยม หลงจู๊รีบร้อนเข้ามาต้อนรับ ถามการสอบเป็นอย่างไรบ้าง 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนไม่กล้าพูดเต็มปากเกินไป จึงพูดว่ามั่นใจเจ็ดส่วน 


 


 


หลงจู๊ปิติยินดี สั่งเสี่ยวเอ้อหลังจากส่งน้ำร้อนไปให้พวกเขา ให้เข้าเมืองไปซื้อสิ่งของสำหรับการเฉลิมฉลอง เมื่อผลการสอบวันพรุ่งนี้ออกมา โรงเตี๊ยมพวกเขาจะได้ฉลองอย่างเอิกเกริก 


 


 


เสี่ยวเอ้อขานรับคำอย่างเบิกบาน หลังจากส่งน้ำร้อนไปห้องพวกเขาโดยไว ก็รับเงินแล้ววิ่งเข้าเมืองไปทันที 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนล้างหน้าล้างตาเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวให้เขานอนพักผ่อนบนเตียง 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้าเชื่อฟัง นอนบนเตียง หลับตาลง ตอนที่เคลิ้บๆ กำลังจะหลับ หลงจู๊ก็มาเคาะประตู “แม่นาง ด้านนอกมีคนต้องการพบพวกท่าน” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนลืมตาขึ้น มองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างปิติ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดประตูออก หลงจู๊ยืนสอบถามหน้าประตู “แม่นาง ด้านล่างมีคนมาหาพวกท่าน จะให้พวกเขาขึ้นมาหรือไม่?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มรับ “ให้พวกเขาขึ้นมาเถอะ รบกวนหลงจู๊แล้ว” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนพรวดพราดลุกขึ้น จัดระเบียบเตียงนอนและเสื้อผ้าตัวเอง มายืนรอหน้าประตูพร้อมเมิ่งเชี่ยนโยว 


 


 


ทั้งสามคนเดินเรียงหน้าขึ้นมา เป็นนักเรียนคนนั้นและบิดามารดาของเขานั่นเอง 


 


 


เห็นทั้งสองคนยืนข้างประตู บิดามารดาของนักเรียนคนนั้นร้องพูดเสียงลั่น “บุตรชายข้าชอบกระเป๋านักเรียนใบนั้นมากจริงๆ พอสอบเสร็จก็ร้องจะมาให้ได้ ไม่รบกวนพวกเจ้าพักผ่อนกระมัง” 


 


 


“ไม่เลย พวกเราก็เพิ่งกลับมาถึงโรงเตี๊ยมล้างหน้าล้างตา พวกท่านเชิญเข้ามาข้างในเถอะ” เมิ่งเชี่ยนโยวแย้มยิ้มตอบ 


 


 


ทั้งสามเข้ามาในห้อง สายตาของนักเรียนคนนั้นก็ทำการคว้านหา พอเห็นกระเป๋านักเรียนของเมิ่งอี้เซวียน ก็สะท้อนสีหน้าริษยาและชื่นชอบ 


 


 


คนทั้งหมดนั่งลง บิดานักเรียนคนนั้นแนะนำตัว “ข้ามีนามว่าจางฟู่กุ้ย เป็นพ่อค้า นี่คือภรรยาข้า นี่คือบุตรชายข้าจางเฉิง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวทักทายทุกคนอย่างจริงจังตั้งใจ 


 


 


จางฟู่กุ้ยเอ่ยปากกล่าวต่อ “ที่พวกเรามาวันนี้ แม่นางก็ทราบดี เพื่อจะมาถามว่าบ้านของพวกเจ้าอยู่ที่ไหน จะได้เข้าไปเจรจาการค้ากระเป๋านักเรียนกับบิดามารดาของเจ้า” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มอ่อนๆ “เถ้าแก่จางไม่ต้องไปบ้านพวกเราแล้ว คุยกับน้องชายข้าได้ตามตรง การค้ากระเป๋านักเรียนของครอบครัวพวกเรา เขาเป็นคนดูแล” 


 


 


จางฟู่กุ้ยตกใจเบิกตาโพลง แม้แต่ฮูหยินจางยังมองประเมินพวกเขาใหม่อีกครั้งอย่างไม่เชื่อ 


 


 


ทั้งสองนั่งบนเก้าอี้อย่างไม่สะทกสะท้าน ให้พวกเขามองประเมินได้ตามใจ  

 

 


ตอนที่ 169-2 สอบได้ถงเซิง

 

อึดใจต่อมา จางฟู่กุ้ยกล่าวชมเชย “พวกเจ้าอายุเพียงเท่านี้ ก็สามารถรับผิดชอบการงานเองได้ บิดามารดาพวกเจ้าช่างโชคดีนัก” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวอมยิ้มไม่พูดอะไร 


 


 


จางฟู่กุ้ยหันมาถามเมิ่งอี้เซวียน “เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็มาเจรจากัน พวกเจ้าจะขายกระเป๋านักเรียนอย่างไร?” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนลอบมองเมิ่งเชี่ยนโยวแวบหนึ่ง เห็นนางไม่มีท่าทีจะช่วยเขาสักนิด กลืนน้ำลายอึกใหญ่อย่างประหม่า ถึงตอบออกไปเสียงแผ่ว “กระเป๋านักเรียนของพวกเรามีสองแบบ แบบหนึ่งใช้เนื้อผ้าชั้นดี แบบหนึ่งใช้เนื้อผ้าละเอียด แต่ละแบบก็จะมีลวดลายภาพแตกต่างกัน แต่แบบของกระเป๋าเหมือนกัน โดยปกติแบบคุณภาพดีพวกเราขายใบละสิบตำลึง คุณภาพรองลงมาราคาใบละห้าตำลึง” 


 


 


จางฟู่กุ้ยย่นหัวคิ้ว “ราคาสูงเช่นนี้ เกรงจะขายได้ยาก” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนส่ายหน้า “ไม่หรอก บรรดานักเรียนในโรงเรียนประจำตำบลของพวกเราล้วนแต่ซื้อแบบคุณภาพดีไปแทบจะทุกคน อีกทั้งแต่ละคนยังซื้อหลายใบ แต่ละวันเปลี่ยนสะพายลวดลายไม่ซ้ำกันมา ความสามารถในการซื้อของผู้คนในตัวจังหวัดจะต้องไม่ด้อยไปกว่าคนตำบลเล็กๆ อย่างพวกเรา” 


 


 


เห็นเขาพูดจามีเหตุมีผล จางฟู่กุ้ยถึงเชื่อมั่นในคำพูดเมื่อครู่ของเขาอย่างสนิทใจ เก็บคืนปฏิกิริยาไม่แยแส เจรจากับเมิ่งอี้เซวียนอย่างจริงจัง “ที่เจ้าพูดมาเป็นสถานการณ์ที่มีช่องทางการค้าแล้ว ตอนนี้ในตัวจังหวัดยังไม่เคยมีกระเป๋านักเรียนอวดโฉม ทั้งราคาของพวกเจ้าก็สูงลิบ เกรงว่าในช่วงแรกจะขายไม่ค่อยดี” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนเผยรอยยิ้มอ่อนเย้ายวน “เถ้าแก่จางผิดแล้ว วันนี้ข้าสะพายกระเป๋านักเรียนไปสนามสอบ มีนักเรียนจำนวนไม่น้อยได้เห็นแล้ว เกรงว่าจากนี้ไปพวกเขาจะต้องเสาะถามไปทั่วว่าที่ไหนมีขายกระเป๋านักเรียนที่งดงามเช่นนี้ ดังนั้นตอนนี้จึงเป็นช่วงเวลาทองของการค้าขาย หากท่านรับกระเป๋านักเรียนปริมาณมากมาขายตอนนี้ ข้าเชื่อว่าจะต้องถูกแย่งซื้อจนหมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว” 


 


 


คิดถึงแววตาอิจฉาอยากได้ของบุตรชายและนักเรียนคนอื่น จางฟู่กุ้ยก็รู้สึกว่าเมิ่งอี้เซวียนพูดถูกต้องทุกอย่าง ทว่าด้วยสัญชาตญาณพ่อค้าทำให้เขาพูดขึ้นอีกครั้ง “เจ้าพูดมาก็ถูก บางทีการรับกระเป๋านักเรียนมาขายต่อไปจะต้องขายดี แต่หากราคาแพงเกินไป อาจจะขายดีแค่ช่วงแรก ผ่านไปนานเข้าก็จะซบเซา ทว่าข้าอยากทำการค้าระยะยาว ดังนั้นเมื่อคิดถึงผลระยะยาว ข้าคิดว่าราคาของพวกเจ้ายังสูงไปเสียหน่อย” 


 


 


ในตอนนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยปากพูดว่า “ที่น้องชายข้าพูดเป็นกระเป๋านักเรียนราคาขายปลีก หากท่านรับสินค้าปริมาณมาก ราคาจะต้องถูกลงบ้าง” 


 


 


“อ่อ ถูกลงเท่าใด?” จางฟู่กุ้ยถามทันควัน 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแย้มยิ้ม ตอบอย่างไม่รีบไม่ร้อน “กระเป๋าคุณภาพดีของพวกเรา ต้นทุนอยู่ที่สี่ตำลึง พวกเราขอเป็นกำไรไว้สองตำลึง ส่วนที่เหลือก็เป็นของท่าน แน่นอน หากท่านคิดว่ากระเป๋านักเรียนขายดี คิดจะเพิ่มราคาขาย พวกเราก็ไม่สนใจ พวกเราต้องการเพียงหกตำลึง” 


 


 


“เช่นนั้นกระเป๋านักเรียนที่ถูกกว่าเล่า?” 


 


 


“กระเป๋านักเรียนที่ถูกกว่าได้กำไรทั้งหมดสามตำลึง พวกเราแบ่งกันคนละครึ่งก็แล้วกัน” 


 


 


จางฟู่กุ้ยไม่เห็นด้วย “พวกเจ้าแบ่งกำไรให้ข้าน้อยเกินไป ข้าแทบจะไม่ได้อะไรเลย” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ร้อนรน ยิ้มๆ แล้วมองเมิ่งอี้เซวียน 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนรับช่วงตอบกลับต่อ “ข้าคำนวณอย่างถี่ถ้วนแล้ว กระเป๋านักเรียนคุณภาพดีล้วนแต่เป็นนักเรียนที่มีฐานะทางบ้านดี ขอเพียงพวกเขาชอบ ก็จะไม่สนใจเรื่องราคาค่างวดเลย ส่วนกระเป๋านักเรียนคุณภาพรองจะขายให้นักเรียนที่มีฐานะทางบ้านธรรมดา ปกติหลังจากซื้อไปแล้วก็จะไม่ซื้ออีก ดังนั้นต่อให้ภายหน้ากระเป๋านักเรียนจะขายดีในจังหวัด กระเป๋านักเรียนคุณภาพรองก็จะเป็นเพียงสินค้าเสริม ขายได้ไม่กี่มากน้อย เมื่อคำนวณแล้ว มูลค่าที่ท่านได้รับย่อมมากกว่าพวกเราหลายต่อหลายเท่า” 


 


 


จางฟู่กุ้ยมองเมิ่งอี้เซวียนอย่างพรึงเพริดอีกครั้ง ไม่คิดว่าเขาอายุเพียงเท่านี้ก็รู้จักทำการบ้านมาเป็นอย่างดี อดชื่นชมอีกครั้งไม่ได้ “เจ้าอายุเพียงเท่านี้กลับมีพรสวรรค์ด้านการค้าได้ถึงเพียงนี้ อนาคตจะต้องรุ่งโรจน์เรืองรอง” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนไม่คิดว่าเขาจะชมเชยตนเองกะทันหันเช่นนี้ ใบหน้าน้อยๆ แดงฝาดระเรื่อพลัน 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “กระเป๋านักเรียนของครอบครัวพวกเราทุกใบล้วนแต่เป็นน้องชายข้าเป็นคนขายออกไป เขาย่อมรู้ลึกซึ้งดีว่ากระเป๋านักเรียนแบบไหนที่ขายดี นี่เป็นเพียงประสบการณ์ที่เขาได้รับมา ไม่ถือเป็นพรสวรรค์อะไร” 


 


 


จางฟู่กุ้ยเห็นนางถ่อมตนเช่นนี้ พูดด้วยแววอิจฉา “อยากพบบิดามารดาพวกเจ้านัก จะได้ขอคำชี้แนะจากพวกเขา ว่าเลี้ยงดูอย่างไรถึงได้เป็นบุตรชายบุตรีที่มีคุณภาพเช่นนี้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบอย่างซุกซน “หากพบบิดามารดาของข้าจริงๆ เกรงจะทำให้ท่านต้องผิดหวัง พวกเขาต่างเป็นเพียงคนบ้านนอกซื่อๆ ทำการค้าไม่เป็นหรอก” 


 


 


จางฟู่กุ้ยตกตะลึง “เช่นนั้นเหตุใดพวกเจ้าถึงทำการค้าได้เชี่ยวชาญเจนจัดเช่นนี้? มีผู้รู้คอยชี้แนะหรือ?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดสัพยอก “ติดตัวพวกเราพี่น้องมาแต่เกิดกระมัง” 


 


 


จางฟู่กุ้ยหัวเราะเสียงลั่น 


 


 


หัวเราะเสร็จก็ชูนิ้วหัวแม่มือ “แม่นางกล่าววาจาได้อย่างไร้ช่องโหว่ น่านับถือยิ่ง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะเบาๆ ไม่พูดอะไร 


 


 


จางฟู่กุ้ยเอ่ยปากต่อ “เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ตกลงตามราคาพวกเจ้า ข้าต้องการกระเป๋านักเรียนคุณภาพดีหนึ่งร้อยใบ กระเป๋านักเรียนคุณภาพรองยี่สิบใบก่อน ไม่ทราบว่าพวกเจ้าสามารถส่งสินค้าได้เมื่อใด?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มถาม “ท่านไม่คิดจะไปดูที่บ้านพวกเราหรือ?” 


 


 


จางฟู่กุ้ยนิ่งอึ้ง จากนั้นก็หัวเราะร่วนอีกครั้ง “ได้ๆๆ ครั้งนี้ข้าจะไปดูที่บ้านพวกเจ้า ต่อไปพวกเจ้าจะต้องส่งสินค้าให้ข้า” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มรับคำ “ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น” 


 


 


ทั้งสองฝ่ายเจรจาลุล่วง เมิ่งอี้เซวียนเขียนที่อยู่โดยละเอียดมอบให้จางฟู่กุ้ย 


 


 


จางฟู่กุ้ยรับมา พินิจดูอย่างถี่ถ้วน แล้วใส่ในอกเสื้อ ลุกขึ้นกล่าวคำลา 


 


 


จางเฉิงเดินไปพลางหันกลับมามองกระเป๋านักเรียนของเมิ่งอี้เซวียนอย่างอาวรณ์ไปพลาง 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนเห็นเช่นนั้น ร้องเรียกพวกเขา “ช้าก่อน” 


 


 


จางฟู่กุ้ยและภรรยาหยุดฝีเท้า หันกลับมาอย่างไม่เข้าใจ 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนนำสิ่งของทั้งหมดในกระเป๋านักเรียนของตัวเองออกมา นำกระเป๋านักเรียนยื่นไปตรงหน้าจางเฉิง “กระเป๋านักเรียนใบนี้ข้าเอามาสะพายก่อนที่จะเข้ามาในจังหวัด หากเจ้าไม่รังเกียจ ข้าขอมอบให้เจ้า” 


 


 


จางเฉิงยินดีมาก รับกระเป๋านักเรียนมาทันที แล้วทำตามอย่างเมิ่งอี้เซวียนนำมาสะพายหลังถามขึ้น “ท่านพ่อท่านแม่ ดูดีหรือไม่?” 


 


 


ฮูหยินจางเอาใจบุตรชาย พยักหน้ายิ้มๆ 


 


 


จางฟู่กุ้ยกล่าวอย่างรู้สึกไม่ดี “ทำเช่นนี้ไม่เหมาะสม จะเอากระเป๋านักเรียนของพวกเจ้าได้อย่างไร” แม้เขาจะพูดเช่นนี้ แต่คงเพราะเห็นบุตรชายชอบมากจริงๆ จึงไม่ได้ให้เขาคืนกระเป๋านักเรียนให้เมิ่งอี้เซวียน 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนตอบกลับ “ข้ารู้สึกถูกชะตากับเขา ไม่แน่ว่าภายหน้าพวกเราจะกลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน กระเป๋านักเรียนนี้ถือว่าข้ามอบให้เขาเป็นของขวัญ” 


 


 


จางฟู่กุ้ยยิ่งทวีความชื่นชมเมิ่งอี้เซวียน 


 


 


ทั้งสามคนจากไปอย่างหน้าชื่นตาบาน 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งเหวินเปียวและเหวินหู่ที่คอยเฝ้าด้านนอกประตู “พวกเจ้ากลับไปพักผ่อนสักหน่อยเถอะ” 


 


 


ทั้งสองพยักหน้า กลับเข้าห้องตัวเอง 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนหับบานประตู มองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างปรีดา 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวชื่นชมเขา “ไม่เลวนะ เพียงแค่ใจร้อนไปเสียหน่อย ต่อไปเวลาเจรจาการค้าให้จำไว้ว่า อย่าให้อีกฝ่ายชักนำ จะต้องรักษาระดับความเร็วในการเจรจาของตัวเอง ถึงจะทำลายจังหวะของอีกฝ่าย ช่วงชิงผลประโยชน์สูงสุดให้ตัวเองได้” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้าหงึกๆ 


 


 


เจรจาการค้ากระเป๋านักเรียนลุล่วง เมิ่งอี้เซวียนรู้สึกดีใจยิ่งกว่าที่ตัวเองสอบถงเซิงระดับอำเภอผ่านเสียอีก ลิงโลดตีหลังกากลิ้งบนเตียง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวคิดจะว่ากล่าวเขา ก็คิดได้ว่าเขายังเป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง ได้เจรจาการค้าครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตสำเร็จ เลี่ยงไม่ได้ที่จะดีใจลิงโลด จึงไม่ได้ห้ามปราบเขา ปล่อยให้เขาทำอะไรแผลงๆ  


 


 


คงเพราะเมิ่งอี้เซวียนตื่นเต้นดีใจมากเกินไป พลิกตัวไปมาจนดึกดื่น ก็ยังไม่ยอมนอน 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้ว่าเด็กบ้าพลังคนนี้ทำไมถึงมีเรี่ยวแรงมากเช่นนี้ เมื่ออดทนต่อไปไม่ไหว จึงเอ็ดเขาไปสองสามคำ 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนถึงเบิกดวงตากลมโตคู่งามนอนนิ่งบนเตียงอย่างเชื่อฟัง 


 


 


ขอเพียงเขาไม่กระโดดลิงโลด รบกวนคนจนนอนไม่ได้อีก เมิ่งเชี่ยนโยวคร้านจะแยแสเขาไม่ ไม่นานก็หลับเข้าสู่ห้วงฝัน 


 


 


เช้าตรู่วันถัดมา เมิ่งอี้เซวียนยังไม่ตื่น หลงจู๊กลับเข้ามาเคาะประตูอย่างเบิกบาน “แม่นาง ไม่เช้าแล้ว ข้าเตรียมอาหารเช้าไว้ให้พวกท่านแล้ว เมื่อพวกท่านกินเสร็จ รายชื่อก็น่าจะออกมาแล้ว” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนถูกปลุกให้ตื่น ขยี้ตาง่วงงุนไม่อยากตื่น 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะบริภาษไปหนึ่งคำ “สมน้ำหน้า!” แล้วเดินไปเปิดประตูห้อง 


 


 


หลงจู๊และเสี่ยวเอ้อคนหนึ่งยกอาหารเช้าอีกคนยกน้ำร้อนยืนนอกประตูอย่างเบิกบาน “แม่นาง นี่คืออาหารเช้าและน้ำร้อน พวกเรานำมาส่งให้ท่านแล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรีบกล่าวขอบคุณ รับอาหารเช้าในมือหลงจู๊มา ให้เสี่ยวเอ้อช่วยยกน้ำร้อนเข้าไปวางในห้อง 


 


 


หลงจู๊ยิ้มหวานยืนรอหน้าประตู เห็นเมิ่งอี้เซวียนยังไม่ตื่นก็พูดว่า “อีกครึ่งชั่วยามรายชื่อก็จะออกมาแล้ว ท่านตื่นขึ้นมาล้างหน้าล้างตา กินอาหารเช้าเสร็จก็ควรออกไปได้แล้ว ไปช้าจะเบียดเข้าไปไม่ถึง” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนถึงได้สติแจ่มแจ้ง ลุกลนลุกขึ้นสวมเสื้อผ้า 


 


 


เสี่ยวเอ้อยกน้ำร้อนเข้ามาวางในห้อง ปิดประตูให้พวกเขาอย่างรู้ความ เดินลงไปพร้อมหลงจู๊ แล้วยกอาหารเช้ามาส่งให้เหวินเปียวและเหวินหู่ 


 


 


คนทั้งหมดแยกกันกินอาหารเช้า แล้วลงมาชั้นล่าง เห็นห้องโถงชั้นหนึ่งมีโคมแดงวางเรียงรายมากมาย 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวนึกฉงน “หลงจู๊ โรงเตี๊ยมท่านมีเรื่องมงคลอันใด ถึงซื้อโคมแดงมากมายเช่นนี้?” 


 


 


หลงจู๊ยิ้มตอบ “โคมแดงพวกนี้เมื่อวานข้าสั่งให้เสี่ยวเอ้อซื้อมา ประเดี๋ยวพอประกาศรายชื่อออกมา หากน้องชายเจ้าสอบผ่าน ข้าจะนำโคมแดงพวกนี้ไปแขวนหน้าประตูโรงเตี๊ยมพวกเรา ให้ทุกคนได้รู้ว่า โรงเตี๊ยมของข้ามีถงเซิงที่อายุน้อยที่สุดมาเข้าพัก” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวนิ่งงันไป 


 


 


หลงจู๊นึกว่านางไม่พอใจ ปั้นหน้ายิ้มแล้วพูดอย่างระวัง “แม่นาง ท่านอย่างถือสา ความจริงโรงเตี๊ยมจิ้นป่างก็ทำเช่นนี้ทุกปี เพียงแค่โคมแดงที่ข้าซื้อจำนวนมากไปบ้าง เกินเหตุไปเสียหน่อย” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มอธิบาย “ท่านอย่าเข้าใจผิด ข้ากำลังคิดว่าพวกเราก็ควรจะใช้โอกาสนี้ซื้ออะไรมาฉลองสักหน่อยหรือไม่” 


 


 


หลงจู๊โล่งอก “แม่นางไม่ต้องหาซื้อของ เตรียมซองแดงและเงินอีแปะจำนวนมากไว้ก็พอ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เข้าใจ “เพราะอะไร?” 


 


 


“หากน้องชายท่านสอบผ่านระดับจังหวัดจริงๆ จะมีคนเข้ามาแสดงความยินดีกับพวกเจ้าโดยเฉพาะ ชุดแรกเป็นคนของทางการ แม่นางจะต้องเตรียมซองแดงจำนวนหนึ่งให้พวกเขา ชุดที่สองเป็นพวกที่หาเลี้ยงชีพด้วยการแจ้งข่าวสำหรับงานนี้โดยเฉพาะทุกปี แม่นางเพียงให้เงินอีแปะพวกเขานิดหน่อยก็พอ แต่ก็อย่าให้น้อยเกินไป ปกติจะให้ยี่สิบสามสิบอีแปะ สุดท้ายเป็นพวกคนยากจนในละแวกโรงเตี๊ยม จะใช้โอกาสนี้มาอวยพรขอเงิน คนพวกนี้แม่นางให้สามอีแปะก็พอ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณ สั่งการเหวินเปียว “เจ้าไปธนาคารใกล้ๆ นี้แลกเงินอีแปะจำนวนหนึ่งกลับมา” 


 


 


เหวินเปียวขานรับคำ 


 


 


หลงจู๊แย้มยิ้มพูดว่า “เงินอีแปะข้าแลกเตรียมไว้ให้แม่นางแล้ว ทั้งหมดสิบตำลึง” พูดจบ ยก**บใบน้อยจากใต้โต๊ะเก็บเงินมาเปิดวางไว้บนโต๊ะเก็บเงิน ด้านในเต็มไปด้วยเงินอีแปะเต็ม**บ  


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มกล่าวขอบคุณ หยิบเงินสิบตำลึงวางบนโต๊ะเก็บเงิน 


 


 


หลงจู๊ผลักกลับคืนไป “เงินอีแปะนี้ข้าจะเก็บเอาไว้ให้ก่อน หากน้องชายแม่นางสอบผ่าน ค่อยให้พวกเขามายกไป หากสอบไม่ได้ เงินนี้ก็ยังเป็นของข้า ท่านจะได้ไม่ต้องยุ่งยากยกไปยกมา” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้มผลักเงินกลับไปอีกครั้ง “เงินสิบตำลึงนี้ท่านรับไว้เถอะ หากน้องชายข้าสอบถงเซิงได้ พวกเราจะต้องมารับเงินอีแปะนี้ หากสอบไม่ได้ เงินสิบตำลึงนี้ถือเป็นค่าซื้อโคมไฟก็แล้วกัน” 


 


 


หลงจู๊ลนลานโบกมือ “ไม่ได้เด็ดขาด โคมไฟพวกเราต้องการจะซื้อเอง ไม่เกี่ยวกับพวกท่าน จะให้แม่นางควักเงินเองได้อย่างไร” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รับเงินคืน “หากหลงจู๊รู้สึกไม่เหมาะสม ก็นำเงินนี้ไปซื้อของกลับมาเลี้ยงฉลองเพิ่ม หากน้องชายข้าสอบได้จริงๆ พวกเราจะได้ฉลองกันให้เต็มที่” 


 


 


หลงจู๊ได้ฟังก็ไม่ปฏิเสธอีก “ก็ได้ แม่นางกล่าวเช่นนี้ เงินนี้ข้าจะเก็บไว้ก่อน” 


 


 


หลงจู๊เก็บเงินไว้อย่างดี แล้วเสนอแนะด้วยความปรารถนาดี “วันนี้คนบนถนนค่อนข้างมาก พวกท่านอย่าโดยสารรถม้าเลย เดินไปจะดีกว่า” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณอีกครั้ง นำคนทั้งหมดพ้นประตูออกไป 

 

 

 


ตอนที่ 169-3 สอบได้ถงเซิง

 

คนบนถนนมีมากกว่าปกติดังว่า นอกจากนักเรียนที่กุลีกุจอวิ่งมุ่งหน้าไปสนามสอบ ยังมีคนที่แต่งตัวมอซอรออยู่ข้างถนน 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่รีบร้อน นำคนทั้งหมดเดินหย่อนใจมุ่งหน้าไปสนามสอบ บางครั้งมีนักเรียนที่รู้จักพวกเขาวิ่งผ่านมา ต่างมองพวกเขาอย่างประหลาดใจแวบหนึ่ง 


 


 


เดินผ่านถนนเส้นแรก ผ่านโรงเตี๊ยมจิ้นป่าง เห็นโคมไฟแดงแขวนประดับรอบโรงเตี๊ยมแล้ว หลงจู๊ของโรงเตี๊ยมและเสี่ยวเอ้อต่างแต่งกายด้วยชุดใหม่เอี่ยม ยืนหน้าตาเบิกบานรอคนเข้ามาแจ้งข่าวที่หน้าประตู 


 


 


หลงจู๊เห็นพวกเขาไม่เหมือนนักเรียนและผู้ปกครองคนอื่น รีบไปรอที่จุดติดประกาศรายชื่อแต่เนิ่นๆ แต่กลับเดินไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน นึกว่าเมิ่งอี้เซวียนสอบได้ไม่ดี พวกเขาไม่มีความหวัง จึงไม่ว้าวุ่นใจรีบไปดูเหมือนคนอื่น พูดขึ้นเสียงลั่นว่า “แม่นางน้อย ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว จะต้องพักที่โรงเตี๊ยมของข้า เจ้าก็ไม่เชื่อ ตอนนี้ดีแล้ว ถ่วงอนาคตที่ดีของน้องชายเจ้าแล้ว ต้องรออีกหนึ่งปีถึงจะมาสอบได้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ร้อนรน ยิ้มตาหยีตอบกลับ “ก็ไม่แน่หรอก ไม่แน่ว่าน้องชายข้าจะสอบได้ที่หนึ่งเทียว” 


 


 


หลงจู๊ถูกตอกกลับจนสะอึก เจือความเคืองขุ่น “หากน้องชายเจ้าคิดว่าทำการสอบได้ดี พวกเจ้าคงรีบไปรอที่จุดติดประกาศรายชื่อนานแล้ว ไหนเลยจะเป็นเหมือนตอนนี้ เดินอย่างเอ้อระเหยลอยชาย แสดงว่าน้องชายเจ้าสอบไม่ได้ชัดๆ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงยิ้มตาหยีตอบกลับ “พวกเราไม่รีบร้อน เพราะน้องชายข้าจะต้องสอบได้” 


 


 


หลงจู๊ถูกตอกกลับอีกครั้งสะอึกจนพูดไม่ออก 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจเขาอีก ยังคงเดินอย่างสบายอารมณ์มุ่งหน้าไปจุดติดประกาศรายชื่อ 


 


 


จุดติดประกาศรายชื่อมีผู้คนรายล้อมเบียดเสียดแน่นขนัดไปหมดแล้ว แต่ก็ยังมีคนวิ่งมุ่งหน้าไปไม่หยุด 


 


 


เหวินหู่เริ่มกระสับกระส่าย “แม่นาง พวกเรารีบหน่อยเถอะ ถ้าคนมากกว่านี้ พวกเราจะเบียดเข้าไปไม่ได้แล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามเขา “พวกเราจะเบียดเข้าไปทำไม?” 


 


 


เหวินหู่ชะงักเล็กน้อย แล้วตอบกลับ “เข้าไปดูรายชื่ออย่างไร” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวย้อนถาม “เหตุใดต้องเข้าไปดูรายชื่อ ข้างนอกดูไม่ได้หรือ?” 


 


 


เหวินหู่เริ่มงงงัน “แม่นาง คนล้อมมากเช่นนี้ อยู่ด้านนอกจะเห็นรายชื่อได้อย่างไร” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ก็ต้องคิดหาวิธีอย่างไรเล่า” 


 


 


เหวินหู่ถามทันควัน “คิดหาวิธีอะไร?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ตอบ แต่พูดโยกโย้ “ประเดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง” 


 


 


เหวินหู่หันไปมองเหวินเปียว เหวินเปียวก็กำลังประหลาดใจมีคนขวางมากมายขนาดนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวจะใช้วิธีไหนถึงจะมองเห็นรายชื่อแผ่นเล็กๆ นั้นได้ 


 


 


ทั้งสี่คนหยุดยืนนิ่งไม่ห่างจากกลุ่มคนออกมา ผู้คนที่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาต่างมองพวกเขาอย่างประหลาดใจแวบหนึ่ง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ ยังคงยืนสบายใจอยู่วงนอก 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนก็ไม่ร้อนรน ยิ่งข้างนางอย่างนิ่งสงบ 


 


 


เหวินเปียวและเหวินหู่เริ่มจะอดรนทนไม่ไหวแล้ว คอยลอบมองเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นพักๆ หวังว่านางจะยอมเปลี่ยนใจ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น 


 


 


ประมาณหนึ่งเค่อได้ กลุ่มคนด้านหน้าเกิดความโกลาหล มีคนร้องตะโกน “รายชื่อมาแล้ว” 


 


 


เหวินเปียวและเหวินหู่เขย่งปลายเท้ามองไปด้านใน เห็นเจ้าหน้าที่นายหนึ่งขับไล่บรรดานักเรียนคลุ้มคลั่งที่เฮโลเข้ามา เจ้าหน้าที่อีกนายด้านหลังถือใบรายชื่ออย่างระแวดระวัง ทั้งสองเดินมายังจุดติดประกาศรายชื่อ ช่วยกันติดรายชื่อบนผนัง 


 


 


นักเรียนทั้งหลายยิ่งทวีความคลุ้มคลั่งเบียดเสียดเข้าหาใบรายชื่อ ตรวจดูอย่างละเอียดก็ไม่มีชื่อตัวเอง 


 


 


เหวินเปียวและเหวินหู่ร้องเรียกอย่างว้าวุ่นใจ “แม่นาง!” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันมองพวกเขา 


 


 


ทั้งสองถามขึ้นพร้อมกัน “พวกเราต้องทำอย่างไรถึงจะเห็นรายชื่อได้?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ดูรายชื่อทำไม? พวกเรารู้แค่ว่าอี้เซวียนผ่านหรือไม่ผ่านก็พอแล้ว” 


 


 


ทั้งสองยิ่งให้กระวนกระวายใจ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่แกล้งพวกเขาแล้ว พูดกับพวกเขาเบาๆ สองสามคำ ทั้งสองเบิกตากว้าง มองนางอย่างตกตะลึง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “พวกเจ้าไปลองดู จะต้องใช้ได้ผล” 


 


 


เหวินเปียวและเหวินหู่หันหน้ามองกันแวบหนึ่ง รวบรวมปราณภายใน หลับตาลง ในเวลาเดี๋ยวกันก็ร้องตะโกนลั่นไปทางคนที่อยู่ด้านหน้า “พวกเจ้าคนไหนเห็นชื่อเมิ่งอี้เซวียน แล้วบอกพวกเราก่อน จะมีรางวัลให้สองตำลึง” สิ้นเสียง รอปฏิกิริยาตอบสนองจากกลุ่มคน 


 


 


เหวินเปียวและเหวินหู่มีปราณภายในลึกล้ำ เสียงที่ตะโกนออกไปพร้อมกันนี้สะท้อนดังไปไกล แม้แต่เจ้าหน้าที่ติดรายชื่อสองนายก็ยังได้ยิน พลันร้องตะโกนข้ามกลุ่มคนออกมา “เมิ่งอี้เซวียนได้อันดับหนึ่งของการสอบระดับจังหวัด อยู่แรกสุดของรายชื่อ” 


 


 


เหวินเปียวและเหวินหู่ไม่คิดว่าจะมีคนตอบจริงๆ หันไปมองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างเลื่อมใสศรัทธา 


 


 


กลุ่มคนนิ่งเงียบไปชั่วขณะ เมิ่งเชี่ยนโยวฉวยโอกาสนี้พูดเสียงใส “พวกเราพักอยู่โรงเตี๊ยมซิงหลง หากพวกท่านมีเวลารบกวนไปรับรางวัลจากพวกเราที่นั่นด้วย” 


 


 


เจ้าหน้าทั้งสองนายรับหน้าที่เฝ้าดูใบรายชื่อ ในเวลานี้ย่อมไม่กล้าผละออกไป ได้ฟังก็รับคำอย่างสุขใจ “ทราบแล้ว หลังผลัดเวรพวกเราจะเข้าไป” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังกลับพูดว่า “ไปเถอะ พวกเรากลับโรงเตี๊ยม” 


 


 


เหวินเปียวและเหวินหู่หันหลังกลับอย่างเลื่อมใส เดินตามหลังนางไป 


 


 


คนที่มาดูรายชื่อด้านหน้าเบียดออกมาไม่ได้ คนที่อยากดูรายชื่อด้านหลังก็เบียดเข้าไปไม่ได้ ใครก็ไม่ได้ทราบข่าว ต่างร้อนใจกระวนกระวาย พวกเมิ่งเชี่ยนโยวกลับเป็นคนแรกสุดที่ได้รับทราบข่าว ในตอนนี้เหวินเปียวและเหวินหู่ก็สบายใจแล้ว เดินตามเมิ่งเชี่ยนโยวกลับไป 


 


 


“ดีใจหรือไม่?” เมิ่งเชี่ยนโยวถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า “ดีใจ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามอีก “เหตุใดเจ้าถึงไม่กระโดดเล่า?” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนงงงันเล็กน้อย “ยังไม่ออกจากสนามสอบข้าก็รู้แล้ว ไม่ได้ดีใจถึงขั้นนั้น” 


 


 


“งั้นหากข้าดีใจจนอยากกระโดดเล่าจะทำอย่างไร?” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนชะงักอึ้ง 


 


 


เหวินเปียวและเหวินหู่ก็นิ่งงัน 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่หยุดเดิน พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าจะนับหนึ่งสองสาม พวกเราวิ่งตรงไปข้างหน้า ใครถึงประตูโรงเตี๊ยมก่อน ข้าจะรับปากเงื่อนไขคนผู้นั้นหนึ่งข้อ” 


 


 


ทั้งสามยืนอึ้งอยู่ที่เดิม ไม่มีปฏิกิริยา 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินแช่มช้าไปพลางร้องตะโกน “หนึ่ง สอง สาม” ตะโกนเสร็จ ก็วิ่งแนบตรงไปที่โรงเตี๊ยม 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนได้สติกลับมาแล้ว ออกตัววิ่งตามหลังไป พูดอย่างไม่พอใจ “เจ้าขี้โกง พวกเรายังไม่ทันได้เตรียมตัวเลย” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่งเสียงหัวเราะดังแว่วมา “ข้าขี้โกงแล้วจะทำไม หากเจ้าแน่จริงก็แซงข้าให้ได้ ข้าจะส่งเจ้าไปโรงเรียนทุกวัน” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนดวงตาเปล่งประกาย “เจ้าพูดเองนะ” พูดจบ รวบรวมแรงกำลังวิ่งกวด 


 


 


เหวินเปียวและเหวินหู่หันสบตากันแวบหนึ่ง วิ่งเหยาะๆ ไล่ตามหลังทั้งสองคน 


 


 


เสียงเมิ่งเชี่ยนโยวดังลอยแว่วมาลิบๆ “ใครวิ่งถึงเป็นคนสุดท้าย ขากลับบ้านจะให้เดินกลับไป” 


 


 


ทั้งสองหยุดชะงักเท้าเล็กน้อย แล้วเพิ่มความเร็วฉับพลัน 


 


 


หลงจู๊ของโรงเตี๊ยมจิ้นป่างเห็นคนทั้งหมดวิ่งกลับ คิดจะพูดเหน็บแนมสองสามคำ ไม่คิดว่าเขายังไม่ทันอ้าปาก คนทั้งหมดก็วิ่งไปไกลเหมือนลมหอบหนึ่งแล้ว ทิ้งเขาและเสี่ยวเอ้อให้ตะลึงค้างอยู่ตรงนั้น 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวข่มกลั้นความยินดีในใจไม่อยู่ วิ่งสุดแรงเกิด ส่วนเมิ่งอี้เซวียนเพื่อให้เมิ่งเชี่ยนโยวไปส่งเขาทุกวัน วิ่งไล่กวดอย่างสุดชีวิต เหวินเปียวและเหวินหู่ทั้งสองเพื่อไม่ต้องเดินกลับบ้าน ก็วิ่งเต็มอัตราเช่นกัน 


 


 


คนบนท้องถนนต่างมองคนไม่ปกติทั้งสี่อย่างประหลาดใจ 


 


 


ทั้งสี่คนวิ่งกลับมาถึงโรงเตี๊ยมซิงหลงอย่างรวดเร็ว 


 


 


หลงจู๊และเสี่ยวเอ้อกำลังรอคอยอยู่หน้าประตูโรงเตี๊ยมอย่างงุ่นง่านใจ เห็นคนทั้งหมดวิ่งกลับมาก็ตกใจสะดุ้ง ลนลานถามขึ้น “แม่นาง เกิดเรื่องอันใดขึ้น? เหตุใดพวกท่านถึงวิ่งเร็วเช่นนี้?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดปลายเท้าลงแล้ว หายใจกระหืดกระหอบ ถึงพูดกับหลงจู๊อย่างเกินเหตุ “หลงจู๊ เกิดเรื่องแล้ว เกิดเรื่องใหญ่แล้ว?” 


 


 


หลงจู๊ร้อนรนถาม “เกิดเรื่องใหญ่อันใดขึ้น?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเปล่งเสียงพูดทีละคำอย่างชัดถ้อยชัดคำ “น้อง-ชาย-ข้า-สอบ-ระ-ดับ-จัง-หวัด-ได้-ที่-หนึ่ง” 


 


 


หลงจู๊ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ยังปลอบประโลมนาง “แม่นาง ใจเย็นๆ น้องชายท่านเพียงสอบได้ที่หนึ่ง…” พลันได้สติคืนกลับมา เปล่งเสียงถามอย่างดีใจระคนตกใจ “น้องชายท่านสอบระดับจังหวัดได้ที่หนึ่ง?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าดีใจ 


 


 


หลงจู๊พูดสะเปะสะปะอย่างตื่นเต้นยินดี “นี่ๆๆ…เหตุใดเจ้า…?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะลั่น 


 


 


หลงจู๊สั่งการเสี่ยวเอ้อที่ก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน “เร็วๆๆ รีบนำโคมแดงมาแขวน” 


 


 


เสี่ยวเอ้อขานรับคำอย่างสุขใจ รีบเร่งไปแขวนโคมไฟแดง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งการเหวินเปียวและเหวินหู่ “พวกเจ้าไปช่วยด้วยเถอะ แขวนให้หมดเลย” 


 


 


ทั้งสามคนคล่องแคล่วว่องไว ไม่นานก็แขวนโคมไฟแดงรอบโรงเตี๊ยมเสร็จ 


 


 


หลงจู๊ก็ไม่ได้ว่าง ย้ายโต๊ะตัวหนึ่งออกมาวางไว้ในห้องโถงชั้นหนึ่ง แล้วย้ายเก้าอี้อีกสองตัวมาวางข้างๆ จากนั้นยกน้ำชาที่ชงเสร็จมาวางบนโต๊ะ หันไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นาง อีกประเดี๋ยวเจ้าหน้าที่แจ้งข่าวมงคลก็จะเข้ามา พวกท่านรีบนั่งลงเถอะ” 


 


 


หลังจากพวกเมิ่งเชี่ยนโยววิ่งจากไป ครู่ใหญ่ หลงจู๊ของโรงเตี๊ยมจิ้นป่างถึงได้สติคืนมา ถามเสี่ยวเอ้อข้างๆ อย่างไม่เข้าใจ “พวกเขาสอบไม่ได้ ถูกกระตุ้นเร้าจนเสียสติ จึงวิ่งคลุ้มคลั่งไปตามถนนอย่างไม่สนใจภาพลักษณ์กลางวันแสกๆ หรือ?” 


 


 


เสี่ยวเอ้อพยักหน้าสนับสนุน “น่าจะเป็นประมาณนี้” 


 


 


หลงจู๊ยังคงกังขา “ดูท่าทางดีอกดีใจของพวกเขา ไม่เหมือนจะสอบไม่ได้นะ” 


 


 


เสี่ยวเอ้อไม่พูดอะไร 


 


 


หลงจู๊ขบคิดพักใหญ่ ก็คิดไม่ตกว่าเรื่องเป็นมาอย่างไร จึงยอมล้มเลิก “ช่างนางเถอะ พวกเขาก็ไม่ได้พักโรงเตี๊ยมของพวกเรา สอบได้หรือไม่ได้ก็ไม่เกี่ยวกับพวกเรา พวกเรามารอฟังข่าวดีจากบรรดานักเรียนดีกว่า เวลาก็ผ่านมาสักพักแล้ว เจ้าหน้าที่แจ้งข่าวชุดแรกน่าจะออกมาแล้ว” 


 


 


สิ้นเสียง ก็มีเสียงตีฆ้องร้องป่าวดังแว่วมาไกลๆ 


 


 


หลงจู๊จัดแจงเสื้อผ้าของตัวเอง พูดกับเสี่ยวเอ้ออย่างตื่นเต้น “เร็วๆๆ เตรียมตัวให้ดี เจ้าหน้าที่มาแล้ว” 


 


 


เจ้าหน้าที่สองนายตีฆ้องดังใกล้เข้ามา หลงจู๊และเสี่ยวเอ้อเตรียมตัวพร้อมต้อนรับแล้ว ไม่คิดว่าเจ้าหน้าที่สองนายไม่แม้แต่จะมองพวกเขาสักแวบหนึ่ง ก็ตีฆ้องเดินผ่านหน้าพวกเขาไป มุ่งหน้าตรงไปยังโรงเตี๊ยมซิงหลง 


 


 


ทั้งสองนิ่งงันอยู่ตรงนั้น ครู่หนึ่งหลงจู๊ถึงถามขึ้นอย่างไม่เชื่อ “ไม่ใช่ว่าเด็กนักเรียนคนนั้นสอบได้ที่หนึ่งหรอกนะ?” 


 


 


เสี่ยวเอ้อรับคำ “น่าจะใช่ ข้าไปสืบมาแล้ว โรงเตี๊ยมของพวกเขามีนักเรียนพักอยู่ไม่กี่คน” 


 


 


หลงจู๊เตะอัดใส่เขา “อะไรคือน่าจะใช่? เจ้ารีบไปสืบข่าวมาให้ชัดเจน ตกลงว่าใช่หรือไม่?”  

 

 


ตอนที่ 170-1 รนหาที่ตาย

 

เสี่ยวเอ้อกระวีกระวาดวิ่งไปที่โรงเตี๊ยมซิงหลง 


 


 


หลงจู๊ของโรงเตี๊ยมซิงหลงได้ยินเสียงตีฆ้อง พูดอย่างตื่นเต้น “เร็วๆๆ แม่นาง ท่านรีบนั่งให้ดี เสี่ยวเอ้อ เจ้ามานี่ มายืนหน้าประตูกับข้า รอต้อนรับเจ้าหน้าที่ทางการ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะมองหลงจู๊ที่ดีใจยิ่งกว่าตัวเอง ทำตามที่เขาบอก นั่งลงบนเก้าอี้กับเมิ่งอี้เซวียน เหวินเปียวและเหวินหู่ยืนข้างหลังพวกเขา เสี่ยวเอ้อก็จัดแจงเสื้อผ้าตัวเองให้เรียบร้อย ยืนหน้าประตูพร้อมหลงจู๊ 


 


 


คนที่เตรียมมาร่วมอวยพรแย่งเงินอีแปะต่างมายืนออหน้าประตูโรงเตี๊ยมจิ้นป่างแล้ว พอเห็นเจ้าหน้าที่ตีฆ้องเดินไปโรงเตี๊ยมซิงหลง ชะงักงันเล็กน้อย แล้วรีบวิ่งตามไป 


 


 


เจ้าหน้าที่สองนายตีฆ้องมาหยุดหน้าประตูถึงโรงเตี๊ยมซิงหลง ร้องตะโกน “ขอแสดงความยินดีกับเมิ่งอี้เซวียนจากอำเภอชิงเหอที่สอบระดับจังหวัดได้ที่หนึ่ง” พูดจบก็ตีฆ้องอีกสองสามครั้ง แล้วตะโกนต่อเนื่องไปอีกสามครั้ง หลงจู๊ถึงสาวเท้าเร็วรี่เดินไปตรงหน้าเจ้าหน้าที่ทั้งสองนาย ยกยิ้มพูด “เชิญเจ้าหน้าที่ทั้งสองด้านใน แม่นางเมิ่งรออยู่ข้างในแล้วขอรับ” 


 


 


เจ้าหน้าที่ทั้งสองนายล้วนเป็นคนเก่าคนแก่ ไฉนเลยจะไม่เข้าใจนัยแฝงของเขา เดินตามหลงจู๊พ้นประตูเข้าไป 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มหวานนั่งอยู่บนเก้าอี้ หลงจู๊แนะนำ “นี่ก็คือแม่นางเมิ่งและน้องชายของนางเมิ่งอี้เซวียน” 


 


 


เจ้าหน้าที่สองนายรับทราบแล้วว่าเมิ่งอี้เซวียนเป็นนักเรียนที่อายุน้อยที่สุดในการสอบครั้งนี้ แต่ไม่คิดว่าคนที่ติดตามเขามาสอบด้วยจะเป็นเพียงแม่นางน้อย ตะลึงงันไปชั่วขณะ ทว่าทั้งสองพานพบอะไรมามากแล้ว สนองกลับคืนได้ไว พูดอย่างพร้อมเพรียงอีกครั้ง “ขอแสดงความยินดีกับเมิ่งอี้เซวียนที่สอบระดับจังหวัดได้ที่หนึ่ง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวที่พอกลับมาก็เอาแต่ดีใจ ลืมเรื่องซองแดงไปเสียสนิท กระทั่งเจ้าหน้าที่สองนายกล่าวคำอวยพรถึงนึกขึ้นได้ จึงล้วงเงินสิบตำลึงออกมาวางบนโต๊ะดื้อๆ “ขอบพระคุณพี่ชายเจ้าหน้าที่ทั้งสองท่านที่มาแสดงความยินดี เงินสิบตำลึงนี้พวกท่านนำไปซื้อเหล้าดื่มเถอะ” 


 


 


ทั้งสองไม่เคยเห็นผู้ปกครองคนไหนให้เงินอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ พลันตะลึงค้างจังงัง ลืมกระทั่งหยิบเงินที่วางอยู่บนโต๊ะ 


 


 


หลงจู๊กระวีกระวาดเข้าไป หยิบเงินสิบตำลึงวางใส่มือเจ้าหน้าที่นายหนึ่ง แย้มยิ้มพูด “แม่นางเมิ่งอายุยังน้อย ไม่รู้จักขนบธรรมเนียมพวกนี้ ขอทั้งสองท่านอย่าได้ถือสา” 


 


 


ในอดีตเจ้าหน้าที่แจ้งข่าวจะได้เงินอย่างมากเพียงคนละสองตำลึง ในตอนนี้เมิ่งเชี่ยนโยวกลับให้พรวดเดียวสิบตำลึง ต่างสูดลมหายใจเข้าปากพร้อมกัน แล้วรอคอยให้เจ้าหน้าที่จากไปอย่างตื่นเต้น ตัวเองจะได้เข้าไปแสดงความยินดีรับเงินมงคล 


 


 


เจ้าหน้าที่สองนายรับเงินแล้วเดินจากไปอย่างมีความสุข 


 


 


หลงจู๊ปาดเหงื่อที่หน้าผาก ตำหนิเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นางเมิ่ง ท่านก็จริงๆ เลย บอกให้เตรียมซองแดงใส่เงินสองตำลึงไว้แล้วไม่ใช่หรือ? ครานี้ดีแล้ว ให้ทีสิบตำลึง คาดว่าคนที่มาแสดงความยินดีจะต้องคลาคล่ำไปถึงกลางดึก” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวดีใจลืมตัว ไม่ทันได้คิดก็ล้วงเงินออกไปสิบตำลึง ตอนนี้ได้ยินหลงจู๊พูดเช่นนี้ ก็พูดอย่างรู้สึกผิด “ขออภัยหลงจู๊ด้วย ข้ามัวแต่ดีใจ ไม่ได้คิดเรื่องพวกนี้ คงไม่สร้างความยุ่งยากให้ท่านหรอกนะ” 


 


 


หลงจู๊โบกมือ “ข้าไม่ยุ่งยากหรอก ข้าเพียงเป็นห่วงพวกท่านที่ต้องรับมือกับคนมาแสดงความยินดีมากมายจะเหนื่อยเกินไป” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “หลงจู๊ไม่ต้องเป็นห่วง ข้ามีวิธีรับมือกับพวกเขา” 


 


 


สิ้นเสียง นอกประตูมีเสียงแสดงความยินดีดังแว่วมาอีก 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวคิดจะหยิบเงินออกมา หลงจู๊ลนลานเข้าไปห้ามนาง “ข้าช่วยให้แทนแม่นางดีกว่า” พูดจบเดินไปยก**บเงินออกมาจากโต๊ะเก็บเงิน นำซองแดงที่ใส่เงินไว้แล้วออกมา เดินไปด้านนอก มอบให้คนที่แสดงความยินดีทีละคน 


 


 


คนที่มาแสดงความยินดีลูบคลำด้านในมีเงินอีแปะไม่น้อย ก็จากไปอย่างชื่นบาน 


 


 


มาเช่นนี้อีกหลายชุด ต่อมาก็เป็นคนที่แต่งกายเสื้อผ้าขาดกะรุ่งกะริ่ง หลงจู๊ค่อยโล่งใจ กำเงินไม่กี่อีแปะคิดจะมอบให้คนด้านนอก เมิ่งเชี่ยนโยวรั้งเขาไว้ หันไปพูดกับเมิ่งอี้เซวียน “เจ้าไปเถอะ อยากให้เท่าไหร่ก็ให้” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า ลุกขึ้นยืน หยิบเงินอีแปะจำนวนหนึ่งออกไป เหวินเปียวและเหวินหู่เดินตามหลัง 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนเดินมาถึงด้านนอก เห็นคนหกเจ็ดคนยืนอยู่ด้านนอก คาดว่าจะเป็นครอบครัวเดียวกัน มีทั้งชายหญิงเด็กคนแก่ พอเห็นเขาออกมา ต่างก็มองเงินอีแปะในมือเขาด้วยสายตาละห้อย 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนหยุดชะงักเล็กน้อย ถึงเดินไปตรงหน้าพวกเขา มอบให้ไปคนละสองอีแปะ 


 


 


คงเพราะครอบครัวนี้ไม่คิดว่าตัวเองจะได้เงินอีแปะมากเท่านี้ กล่าวขอบคุณด้วยความดีใจไม่หยุด 


 


 


ด้านหลังมีคนทยอยเดินเข้ามา เมิ่งอี้เซวียนคอยยืนอยู่หน้าประตูไม่ได้เดินเข้าไป แต่ละคนล้วนได้รับคนละสองอีแปะ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวคิดว่าทำแบบนี้ไม่ค่อยดี ร้องเรียกเมิ่งอี้เซวียน “อี้เซวียน เจ้าเข้ามาหน่อย” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนเดินเข้ามาในโรงเตี๊ยม 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างปวดใจ “เหนื่อยแล้วสิ เจ้าพักก่อน ข้าจะคิดหาวิธีให้เอง” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า นั่งลงบนเก้าอี้ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปพูดกับหลงจู๊ “ข้าคิดวิธีหนึ่งได้แล้ว ท่านดูว่าพอจะทำได้หรือไม่” 


 


 


ยืนมาตลอดทั้งเช้า หลงจู๊ก็รู้สึกเหนื่อยแล้ว ได้ฟังก็พูดขึ้น “แม่นางพูดมาเถิด” 


 


 


“ท่านติดประกาศไว้หน้าประตูโรงเตี๊ยม ให้คนที่มาอวยพรบอกต่อๆ กันไป บอกว่าทุกๆ ต้นชั่วยามพวกเราจะแจกเงินสองร้อยอีแปะ แจกไปจนถึงยามซวี[1] ช่วงระหว่างนี้ก็ไม่ต้องเข้ามาแล้ว แบบนี้ทั้งได้ป่าวประกาศชื่อเสียงโรงเตี๊ยมของพวกท่าน พวกเราก็จะได้พักผ่อนด้วย” 


 


 


หลงจู๊ฟังจบก็พูดชื่นชม “ความคิดนี้ของแม่นางดีมากจริงๆ ข้าจะไปเขียนเดี๋ยวนี้” พูดจบ ก็วิ่งสำราญใจไปข้างโต๊ะเก็บเงิน เขียนประกาศอย่างรวดเร็ว ให้เสี่ยวเอ้อนำไปติดไว้ด้านนอก ทั้งกำชับเสี่ยวเอ้อให้ยืนหน้าแผ่นประกาศ แล้วอ่านเสียงดังให้ผู้คนที่มุ่งหน้ามาแสดงความยินดีฟังหลายรอบ 


 


 


เสี่ยวเอ้อนำประกาศไปติดไว้ด้านนอกโรงเตี๊ยม ร้องเรียกผู้คนที่มุ่งหน้ามาแสดงความยินดีให้มายืนหน้าประกาศ บอกเนื้อหาในนั้นกับพวกเขา ให้พวกเขากลับไปแล้วนำไปบอกต่อๆ กัน 


 


 


คนที่ได้เงินมงคลวิ่งหน้าบานกลับไปบอกต่อคนอื่นๆ คนที่ไม่ได้เงินกลับยืนรอเวลาหน้าโรงเตี๊ยมจะได้กล่าวคำอวยพรแล้วรับเงินมงคล 


 


 


หลงจู๊เห็นว่าวิธีนี้ใช้ได้ผลจริงๆ ก็กล่าวชมเชยอย่างยินดี “แม่นางเมิ่งหลักแหลมนัก แม้แต่วิธีที่ดีเช่นนี้ก็คิดออกมาได้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มโบกมือ “ท่านหลงจู๊อย่าได้ชมข้าเลย ข้าไม่สร้างเรื่องยุ่งยากให้พวกท่านก็พอแล้ว” 


 


 


หลงจู๊ตอบกลับอย่างเบิกบาน “ที่ไหนกัน ท่านดูด้านนอกมีคนมายืนออกันมากมาย แม้แต่โรงเตี๊ยมจิ้นป่างยังไม่คึกคักเท่ากับที่นี่ ครานี้โรงเตี๊ยมของข้าจะมีชื่อเสียงแล้ว ไม่แน่ว่าปีหน้าในช่วงเวลานี้บรรดานักเรียนจะแห่กันมาพักที่โรงเตี๊ยมของข้า” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้มพูด “จักต้องเป็นเช่นนั้น” 


 


 


พอได้ยินว่ามากล่าวอวยพรทุกต้นชั่วยามก็จะได้รับเงินมงคล คนมากมายต่างมุ่งหน้ามารอหน้าประตูโรงเตี๊ยมกันด้วยความยินดี เป็นการประชาสัมพันธ์ให้โรงเตี๊ยมอย่างไร้ตัวตนโดยแท้ ลูกค้าที่ต้องการหาที่พักต่างตรงมาพักที่นี่ 


 


 


โรงเตี๊ยมไม่เคยโด่งดังเท่านี้มาก่อน หลงจู๊ดีใจจนปากหุบไม่ลง เอาแต่พูดว่าเป็นโชคลาภที่พวกเมิ่งเชี่ยนโยวนำพามา 


 


 


ไม่ถึงตอนค่ำ โรงเตี๊ยมก็มีคนเข้าพักเต็ม หลงจู๊ยิ่งสุขใจเป็นทวีคูณ ยกเว้นค่าอาหารให้พวกเขา 


 


 


กระทั่งถึงยามซวี คนที่มารอกล่าวคำอวยพรด้านนอกโรงเตี๊ยมถึงแยกย้ายไปกันหมด ใน**บเหลือเงินอีแปะไม่กี่มากน้อย 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวให้เหวินเปียวนำ**บเงินไปวางไว้บนโต๊ะเก็บเงิน พูดสัพยอกเขา “หลงจู๊ ทั้งหมดนี้ถือเป็นเงินค่าอาหารของพวกเรา” 


 


 


หลงจู๊ปฏิเสธทันควัน “เงินค่าอาหารของพวกท่านไม่ต้องแล้ว เงินอีแปะพวกนี้ท่านเอากลับไปเถอะ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “เงินอีแปะนี้เยอะเกินไป พวกเรานำติดตัวไปด้วยไม่สะดวก หากท่านไม่ยินยอมรับเป็นเงินค่าอาหาร ก็ถือเป็นเงินมงคลกล่าวคำอวยพรก็แล้วกัน ข้าเพิ่งนึกได้ ท่านเป็นคนแรกที่กล่าวคำอวยพร พวกเรายังไม่ได้ให้เงินมงคลเลย” 


 


 


หลงจู๊ลนลานโบกมือ “แม่นางพูดล้อเล่นแล้ว พวกเราจะรับเงินมงคลได้อย่างไร?” 


 


 


“ใครที่กล่าวคำอวยพรก็จะได้รับเงินมงคล จะตกหล่นพวกท่านได้อย่างไร ท่านอย่าได้ปฏิเสธอีกเลย” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับ 


 


 


หลงจู๊รู้สึกซาบซึ้งใจ “แม่นางเมิ่ง แม้ท่านจะอายุน้อย กลับเป็นคนที่มีเมตตาธรรมที่สุดที่ข้าเคยคบหามา อนาคตของท่านจะต้องไม่อาจคาดเดาได้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ขอบคุณ ขอให้สมพรปากหลงจู๊” 


 


 


รับมือคนมากล่าวคำอวยพรตลอดทั้งวัน เมิ่งเชี่ยนโยวและพวกเหนื่อยล้าอ่อนแรง กลับเข้ามาล้างหน้าล้างตาในห้องเสร็จ ก็ล้มตัวนอนพักผ่อน 


 


 


 


 


 


 


 


 


[1] ยามซวี คือเวลา 19.00-21.00 น.  

 

 


ตอนที่ 170-2 รนหาที่ตาย

 

เช้าวันถัดมาหลังกินอาหารเช้า บอกลาหลงจู๊ที่อบอุ่นเป็นกันเอง คนทั้งหมดก็นั่งรถม้าเดินทางกลับ 


 


 


อารมณ์ตอนกลับเต็มไปด้วยความเบิกบาน เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดม่านรถออกเต็มที่ ร่วมชมทิวทัศน์ข้างทางกับเมิ่งอี้เซวียน คอยหาเรื่องคุยกับเหวินเปียวและเหวินหู่บ้างเป็นพักๆ 


 


 


เหวินเปียวบังคับรถม้าอย่างมั่นคง คงเป็นเพราะอารมณ์ดีด้วย เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกว่ารถม้าเร็วกว่าตอนขามามาก จึงพูดว่า “พวกเราอาจจะถึงบ้านตอนเที่ยงก็เป็นได้” 


 


 


เหวินเปียวก็รู้สึกว่าวันนี้รถม้าวิ่งค่อนข้างเร็ว พยักหน้ารับคำ “ข้าจะบังคับให้เร็วขึ้นอีกหน่อย น่าจะถึงบ้านตอนเที่ยงได้ไม่มีปัญหา” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวห้ามปราบเขา “ไม่ต้อง แบบนี้กำลังดี ถ้าเร็วกว่านี้จะโคลงเคลง” 


 


 


เหวินเปียวจึงไม่เร่งความเร็วเพิ่ม คนทั้งหมดพูดคุยกันอย่างสบายใจ 


 


 


เดินทางมาได้ระยะหนึ่ง ผ่านเนินเขาลูกหนึ่ง ทางเริ่มจะไม่ค่อยดี เหวินเปียวจึงลดความเร็วของรถม้าลง แม้จะทำเช่นนี้รถม้าก็ยังโคลงเคลง เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วมุ่น กำลังจะกำชับให้ทั้งสองบังคับรถม้าให้ช้ากว่านี้ ในตอนนี้เองมีคนจำนวนหนึ่งพุ่งตัวออกมาจากหลังเนินเขา ขวางหน้ารถม้าร้องตะโกนเสียงลั่น “หยุดเดี๋ยวนี้!” 


 


 


เหวินเปียวตกใจสะดุ้ง รีบหยุดรถม้า เหวินหู่ดึงม่านบังรถลงมา ปิดบังเมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนไว้ 


 


 


ทั้งสองคนเพ่งมองดู เป็นชายฉกรรจ์แต่งกายไม่ธรรมดาห้าหกคน ไม่รู้ว่าพวกเขามองพลาดเองหรือไม่ รู้สึกเหมือนชายฉกรรจ์หนึ่งในนั้นจะได้รับบาดเจ็บ 


 


 


เหวินหู่กุมหมัดคารวะ “ไม่ทราบว่าเหล่าผู้กล้ามาขวางหน้ารถม้าพวกเราด้วยเหตุอันใด?” 


 


 


ชายฉกรรจ์ทั้งหมดหันหน้ามองกันแวบหนึ่ง ชายฉกรรจ์คนหนึ่งก็กุมหมัดคารวะตามเขา “สหายท่านนี้ ตอนที่พวกเราเร่งเดินทางน้องชายข้าไม่ระวังเท้าได้รับบาดเจ็บ พอจะโดยสารรถม้าของพวกท่านได้หรือไม่?” 


 


 


มองดูชายฉกรรจ์ที่ได้รับบาดเจ็บเอาแต่ก้มหน้าโดยมีชายฉกรรจ์อีกคนคอยพยุงร่างไว้ ประสบการณ์หลายปีของผู้คุ้มภัยทำให้พวกเขาทั้งสองระแวดระวัง เหวินหู่กล่าวตอบอย่างสุภาพ “ต้องขออภัยด้วยจริงๆ บนรถม้าพวกเรามีหญิงสาว ไม่เหมาะจะให้พวกท่านโดยสารไปด้วย” 


 


 


ชายฉกรรจ์ที่กุมมือคารวะขมวดคิ้วมุ่น ร้องขออีกครั้ง “พวกเราก็หาได้จะไปไกล ไปถึงตำบลที่ใกล้ที่สุดด้านหน้าก็พอ เพราะน้องชายข้าได้รับบาดเจ็บสาหัสจริงๆ พวกเราจะล่าช้าไม่ได้” 


 


 


เหวินหู่ยังคงไม่รับปาก พูดอย่างสุภาพ “ขออภัยทุกท่านด้วย พวกเราไม่สะดวกจริงๆ พวกท่านโดยสารรถม้าคันหลังเถอะ” 


 


 


ชายฉกรรจ์ชักสีหน้า “พวกเจ้าแน่ใจว่าจะไม่อำนวยความสะดวกนี้แก่พวกเรา?” 


 


 


เหวินหู่ยังคงตอบอย่างสุภาพ “ขอทุกท่านอย่าได้ถือโทษ พวกเราไม่อาจให้ความสะดวกนี้กับพวกท่านได้จริงๆ” 


 


 


เห็นพวกเขาไม่ตกลง ชายฉกรรจ์หนึ่งคนในนั้นไม่ทนอีกต่อไป แผดเสียงคำราม “พี่ใหญ่ จะไปพูดพล่ามกับพวกมันทำไมอีก พวกเราแย่งรถม้าพวกมันมาก็ได้แล้ว” 


 


 


ชายฉกรรจ์ที่เพิ่งพูดออกมาไม่รู้ชักดาบเล่มใหญ่ออกมาจากไหน พูดเยาะหยัน “เมื่อพูดดีๆ ด้วยพวกเจ้าไม่ทำตามก็คงต้องใช้ความรุนแรงแล้ว อย่าหาว่าพวกเราไม่เกรงใจเล่า ถ้ารู้ความ ก็ทิ้งรถม้าแล้วไสหัวหนีไปซะ พวกเราจะไว้ชีวิตพวกเจ้า ไม่เช่นนั้น วันนี้ของปีหน้าจะเป็นวันเซ่นไหว้หหลุมศพของพวกเจ้า” 


 


 


ชายฉกรรจ์ที่เหลือก็ชักดาบออกมา ล้อมรอบรถม้าไว้ แม้แต่ชายฉกรรจ์ที่พยุงร่างคนก็วางคนไว้กับพื้น ร้องตะโกนล้อมวงเข้ามา 


 


 


เหวินเปียวและเหวินหู่สีหน้าเคร่งขรึม ร้องเรียกเสียงต่ำ “แม่นาง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเบิกม่านรถออก ลงจากรถม้าอย่างเร็วรี่ เห็นกลุ่มชายฉกรรจ์ถือมีดดาบ รายล้อมรอบรถม้า พลันหวาดกลัวขึ้นมา “พวกเจ้าจะทำอะไร? พวกเราไม่มีทรัพย์สินเงินทอง” พูดจบก็กำถุงเงินข้างเอวตัวเองแน่น 


 


 


ชายฉกรรจ์ที่ถูกเรียกว่าพี่ใหญ่เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นเด็กสาวหน้าตาสะสวยหมดจด ดวงตาทอแสงระยับ หันไปพูดกับคนอื่นๆ “พี่น้องทั้งหลาย โอกาสร่ำรวยของพวกเรามาถึงแล้ว จับเด็กสาวคนนี้ไปขาย เงินที่ได้จะต้องพอให้พวกเรากลับไปยังถิ่นที่จากมา ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายไประยะหนึ่ง” 


 


 


คนอื่นๆ ก็ตื่นเต้นดีใจไม่แพ้กัน 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวได้ฟังก็ให้หวาดกลัวสุดขีด กรีดร้องเสียงหลง “น้องชาย เจ้าหลบในรถม้าให้ดี อย่าได้ออกมาเด็ดขาด” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนได้ฟังกลับยื่นศีรษะออกมา “เกิดอะไรขึ้นหรือ?” 


 


 


ชายฉกรรจ์ทั้งหมดเห็นใบหน้างดงามสลักเสลาของเมิ่งอี้เซวียนชัดแจ้ง ก็สูดลมหายใจเข้าปาก ชายฉกรรจ์คนหนึ่งพูดอย่างคึกคะนอง “พี่ใหญ่ ใต้เท้าอู๋คอยให้ข้าหาคนที่ถูกใจให้เขา นี่ยังไม่ใช่อีกหรือ? พวกเราจับเด็กผู้ชายคนนี้มอบให้ใต้เท้าอู๋ ข้ารับรองว่าความเสียหายเมื่อคืนวานของพวกเราจะต้องเรียกกลับคืนมาได้ทั้งหมด” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งทวีความหวาดผวา “ขอร้องพวกเจ้าอย่าจับพวกเราเลย พวกเราจะมอบทรัพย์สินมีค่าที่ติดตัวมาและรถม้าให้พวกเจ้าเดี๋ยวนี้” พูดจบก็แก้ถุงเงินข้างตัวออก 


 


 


เหวินเปียวและเหวินหู่เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวแสดงท่าทีเช่นนี้ ก็ให้งุนงง ยืนนิ่งอึ้ง มองเหม่อ ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี 


 


 


คงเพราะหวาดกลัวเกินไป อย่างไรเมิ่งเชี่ยนโยวก็แก้ถุงเงินข้างกายไม่ออก จำต้องวิงวอนชายฉกรรจ์ ขอยืมดาบในมือเขามาตัดถุงเงินออก 


 


 


ชายฉกรรจ์เชื่อว่าเป็นความจริง ส่งดาบให้นางอย่างไม่ระแวงระวัง “นับว่าเจ้ายังรู้ความอยู่เป็น วางใจเถอะ ตอนที่ข้าขายเจ้า จะต้องหาที่ดี…” พูดยังไม่ทันจบ ทุกคนเห็นเพียงใบมีดสะท้อนแสงแวววาบ มือข้างหนึ่งตกลงพื้น 


 


 


ขณะที่ทุกคนกำลังตะลึงค้าง ชายฉกรรจ์ที่ส่งดาบให้แผดเสียงร้องเจ็บปวด กุมแขนที่มีเลือดไหลไม่หยุดนอนล้มไปกับพื้น 


 


 


ชายฉกรรจ์ที่เหลือร้องอุทานพลัน “พี่ใหญ่” 


 


 


ชายฉกรรจ์เจ็บปวดจนแทบจะขาดใจ ไฉนเลยจะขานรับคำได้อีก 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปพูดกับเหวินเปียวและเหวินหู่เสียงเย็นเยียบ “ไม่ต้องออมมือ ฆ่าพวกมันให้ตายแล้วโยนให้เป็นอาหารสุนัขในหุบเขา” 


 


 


สถานการณ์พลิกผันเร็วเกินไป เหวินเปียวและเหวินหู่ที่ยังมึนงง พอเห็นเลือดสดๆ ก็ตื่นจากภวังค์ ขานรับคำ เข้าประหัตประหารชายฉกรรจ์ที่อยู่ใกล้สุดก่อน 


 


 


เห็นพี่ใหญ่ถูกตัดแขนขาดหนึ่งข้าง ชายฉกรรจ์ที่เหลือก็เลือดขึ้นหน้า สองคนเข้ารับมือเหวินเปียวและเหวินหู่ อีกสามคนที่เหลือพุ่งเข้ามาหาเมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียน 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโยนดาบเล่มใหญ่เข้าไปในรถ พูดกับเมิ่งอี้เซวียนว่า “ถือดาบให้ดี คุ้มครองตัวเอง” พูดจบก็เข้าต่อสู้กับชายฉกรรจ์อีกสามคนด้วยมือเปล่า 


 


 


เหวินเปียวและเหวินหู่มีวรยุทธ์ไม่อ่อนด้อย หากเป็นยามปกติสามารถต่อกรกับคนพวกนี้ได้สบายๆ แต่ตอนนี้พวกเขาเป็นห่วงความปลอดภัยของเมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียน จิตใจวอกแวก ผ่านไปหลายกระบวนท่า ก็ไม่อาจเอาชนะชายฉกรรจ์ตรงหน้าได้ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งไม่ต้องพูดถึง ถูกชายฉกรรจ์ถือดาบเล่มใหญ่กลุ้มรุมทำร้าย ช่วงเวลาสั้นๆ ไม่อาจรู้ผลแพ้ชนะได้ 


 


 


พวกชายฉกรรจ์โมโหเลือดขึ้นหน้า แต่ละกระบวนท่าล้วนหมายชีวิต เหวินหู่ใจไม่นิ่ง ไม่ระวังถูกชายฉกรรจ์คนหนึ่งฟันเข้าที่แขน เปล่งเสียงร้องเจ็บปวด 


 


 


เหวินเปียวออกท่าคว้างกลางอากาศ หันหลบการจู่โจมของชายฉกรรจ์ ถามเขาอย่างร้อนใจ “เหวินหู่ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” 


 


 


เหวินหู่ร้องตอบ “บาดแผลเล็กน้อย ไม่ถึงตาย” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวร่างกายอรชร ท่วงท่าปราดเปรียว ชายฉกรรจ์ทั้งสามคนทำอะไรนางไม่ได้ ชายฉกรรจ์คนหนึ่งไม่รู้ว่าคิดอะไรได้ หมุนตัวพุ่งเข้าไปในรถม้าฉับพลัน เมิ่งเชี่ยนโยวแยกประสาทร้องอุทาน “อี้เซวียนระวัง!” 


 


 


ชายฉกรรจ์เลิกม่านบังรถออก ยื่นมือเข้าไปหมายจะกระชากตัวเมิ่งอี้เซวียนออกมา 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนฟันฉับลงไปด้วยใบหน้าไม่ครั่นคราม แม้ชายฉกรรจ์จะมีการป้องกัน กลับชักมือออกมาไม่ทัน ถูกฟันเข้าที่หลังมือ ส่งเสียงร้องครวญคราง 


 


 


ชายฉกรรจ์ที่เหลือแยกประสาทถามขึ้น “น้องห้า เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวฉวยโอกาสที่ชายฉกรรจ์คนนี้วอกแวก ย่อตัวลง ตะแคงตัวลาดไปกับพื้น เท้าขาหนึ่งถีบใส่หัวเข่าชายฉกรรจ์ ชายฉกรรจ์เจ็บปวด คุกเข่าไปกับพื้น 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรีบลุกขึ้น ตีอัดหน้าผากเขาเต็มแรง ชายฉกรรจ์สมองพร่าเลือน เลือดไหลนองทั่วหน้าฟุบหน้าคว่ำไปกับพื้น ดาบเล่มใหญ่ในมือถูกโยนลงพื้น 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวม้วนหน้าตีลังกา เก็บดาบขึ้นมา โยนไปทางเหวินหู่ “เหวินหู่ รับไว้” 


 


 


เหวินหู่รับดาบเล่มใหญ่ที่เมิ่งเชี่ยนโยวโยนมาให้ แล้วกวัดแกว่งเข้าใส่ ชายฉกรรจ์ที่จู่โจมเขาลนลานถอยหลบ เหวินหู่ไม่ให้โอกาสเขาได้หายใจ กวัดแกว่งดาบเดินหน้าจู่โจม 


 


 


ชายฉกรรจ์คนนี้เดิมก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหวินหู่ เพียงแค่ถือว่ามีอาวุธในมือ ถึงคุมเชิงมาได้นานเช่นนี้ ตอนนี้ในมือเหวินหู่ก็มีมีดดาบ เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอีก ไม่ถึงห้าหกกระบวนท่า ก็ถูกเหวินหู่เตะลอยโด่งออกไป 


 


 


เหวินหู่ไม่สนใจต่อกรกับเขาอีก พาร่างมาข้างรถม้า 


 


 


หลังจากที่เมิ่งอี้เซวียนฟันหลังมือชายฉกรรจ์ ก็ไม่ได้เคลื่อนไหว ยังคงนั่งในรถม้า ในมือกำดาบเล่มใหญ่แน่น พร้อมจะรับมือกับชายฉกรรจ์ที่เข้ามาทุกเมื่อ 


 


 


ชายฉกรรจ์ที่ถูกฟันมือกวัดแกว่งดาบตรงเข้ามาจะฟันเขาอย่างเ**้ยมเกรียม ปากร้องก่นด่า “แม่งเอ๊ย เดิมข้าคิดจะไว้ชีวิตเจ้ามอบให้ใต้เท้าอู๋ เป็นเจ้าที่รนหาที่ตายเอง” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนชูดาบขึ้นกั้น เพราะแรงกำลังน้อย พอสองดาบปะทะกัน ดาบในมือเขาหล่นไปบนพื้นห้องโดยสาร 


 


 


ชายฉกรรจ์แสยะยิ้มพลัน “ไปตายซะเถอะ!” ดาบในมีดฟันฉับลงมา 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนตีลังกาไปข้างหน้า ม้วนตัวมาด้านหน้ารถม้า หลบใบมีดมาได้อย่างเฉียดฉิว 


 


 


ชายฉกรรจ์ไม่คิดว่าเขาจะหลบรอดดาบของตัวเองได้ ตะลึงเล็กน้อย พุ่งตัวออกมาด้านหน้ารถม้า 


 


 


เหวินหู่มาถึงข้างรถม้า เห็นชายฉกรรจ์กำลังยกมีดขึ้นหมายจะฟันเมิ่งอี้เซวียนอีกครั้งพอดี เหวินหู่รีบใช้ดาบในมือรับดาบของเขาไว้ ตวัดผลักเขาออกทันควัน 


 


 


ชายฉกรรจ์ถูกผลักจนถอยหลังไปสองก้าว ถึงยืนนิ่งได้ 


 


 


เหวินหู่ร้อนใจถาม “นายน้อย ท่านไม่เป็นอะไรนะ?” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนรีบตอบกลับ “ข้าไม่เป็นไร เจ้าระวัง!” 


 


 


ชายฉกรรจ์ที่ถูกเขาผลักออกแกว่งดาบฟาดฟันมาที่เหวินหู่ เหวินหู่ขวางรับ เพียงไม่กี่กระบวนท่าก็ฟุบหมอบไปกับพื้น ไม่ขยับเขยื้อน 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ต้องคอยห่วงหน้าพะวงหลังแล้ว รับมือกับชายฉกรรจ์ตรงหน้าคล่องตัวมากขึ้น นางไม่รีบร้อนประหัตประหาร เย้าแหย่กับชายฉกรรจ์เหมือนแมวหยอกเย้าหนู ชายฉกรรจ์บุกจู่โจมนางก็หลบอย่างลื่นไหล ชายฉกรรจ์ก้าวถอยนางก็ตามติดเข้าไปปล่อยกระบวนท่าใส่เขา รอจนชายฉกรรจ์ลงมืออีกครั้ง นางก็หลบอย่างปราดเปรียว สลับไปมาเช่นนี้หลายครั้ง เมิ่งเชี่ยนโยวเล่นอย่างมีความสุข ชายฉกรรจ์กลับเหนื่อยหอบแฮ่กๆ 


 


 


เหวินหู่จัดการชายฉกรรจ์คนนั้นจนหมอบแล้ว คิดจะเข้ามาช่วย 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวห้ามเขา “ไม่ต้อง เจ้าคุ้มกันอี้เซวียนให้ดีก็พอ” 


 


 


เหวินหู่ถอยกลับไปข้างรถอย่างเชื่อฟัง 


 


 


เหวินเปียวก็ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังอีก มุ่งมั่นจัดการชายฉกรรจ์ตรงหน้า โต้ตอบกันไม่กี่ครั้ง ก็สบจังหวะเหมาะเตะชายฉกรรจ์ลอยคว้างออกไป 


 


 


ชายฉกรรจ์ตกกระแทกพื้นเต็มแรง เจ็บจนตาขาวพลิกกลับ หมดสติล้มพับไป 


 


 


เหวินเปียวรีบเข้าไปช่วยเมิ่งเชี่ยนโยว 


 


 


ชายฉกรรจ์ที่ต่อสู้กับเมิ่งเชี่ยนโยวเห็นพรรคพวกถูกจัดการล้มพ่ายไม่เหลือ หวาดหวั่นครั่นคราม แกว่งดาบสะเปะสะปะหมายจะหนี เมิ่งเชี่ยนโยวไหนเลยจะยอมให้เขาสมปรารถนา กระโดดลอยตัวเตะกลางหลังเขา 


 


 


ชายฉกรรจ์ล้มคมำหน้าคว่ำไปกับพื้น 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ให้โอกาสเขาได้พลิกตัวกลับ เดินหน้าเข้าไปอัดกระทืบเขาไม่ยั้ง “แม่งเอ๊ย อารมณ์ดีๆ ถูกพวกเจ้าก่อกวนไม่เหลือแล้ว” 


 


 


เหวินเปียว เหวินหู่และเมิ่งอี้เซวียนไม่เคยเห็นนางหยาบเถื่อนเช่นนี้มาก่อน พลันเกิดอาการตาโตอ้าปากค้าง 


 


 


ชายฉกรรจ์ถูกกระทืบร้องโอดโอย อ้อนวอนร้องขอชีวิต 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวทำเป็นไม่ได้ยิน ยังเตะอัดไปอีกสิบกว่าครั้ง ถึงค่อยคลายความแค้นลง 


 


 


พวกเหวินเปียวสามคนมองชายฉกรรจ์คนนั้นอย่างเห็นใจ รู้สึกว่าสู้เขาตายไปยังจะดีกว่า 


 


 


พอรู้สึกว่าชายฉกรรจ์น่าจะไม่มีกำลังโต้กลับได้แล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวถึงหยุดฝ่าเท้า สั่งการเหวินเปียวและเหวินหู่ “พวกเจ้าเปลี้องผ้าพวกเขาออกให้หมด แล้วโยนให้เป็นอาหารสุนัขในหุบเขา” 


 


 


เหวินเปียวและเหวินหู่ตะลึงงัน 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวย่นหัวคิ้ว “ทำไม ไม่ได้หรือ?” 


 


 


เหวินเปียวพูดอย่างระมัดระวัง “แม่นาง ท่านขึ้นไปนั่งบนรถสักครู่ได้หรือไม่?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจความหมายเขา พูดอย่างไม่แยแส “พวกเจ้ารีบเปลี้องผ้าพวกเขาออก ข้าไม่ว่าอะไร…” คำพูดต่อมาพอเห็นเมิ่งอี้เซวียนก็กลืนกลับลงไป เปลี่ยนมาพูดว่า “รู้แล้ว พวกเจ้ารีบจัดการ มาถูกพวกเขาทำให้เสียเวลา พวกเราไม่รู้ว่าจะได้กลับถึงบ้านเมื่อใด” พูดจบก็กระทืบใส่ชายฉกรรจ์ระบายอารมณ์อีกครั้ง 


 


 


ชายฉกรรจ์ร้องครวญคราง 


 


 


เหวินเปียวและเหวินหู่ยิ่งทวีความเวทนาเห็นใจ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับขึ้นไปนั่งบนรถม้า ร้องเรียกเมิ่งอี้เซวียน “เจ้าก็มาด้วย” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนไปนั่งข้างนางอย่างเชื่อฟัง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้สนใจ เปล่งเสียงร้องสั่งทั้งสองคนด้านนอก “รีบหน่อย” 


 


 


เหวินเปียวและเหวินหู่รับคำ คิดจะถอดเสื้อผ้าของชายฉกรรจ์ที่ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวกระทืบอย่างน่าเวทนาจนแทบทนดูไม่ได้ออก ชายฉกรรจ์ยังมีสติ ย่อมไม่ยินยอม ดิ้นสะบัดร่างกายตัวเองสุดชีวิต เหวินหู่โมโหของขึ้น ใช้ด้ามดาบกระแทกเขาจนสลบไป  

 

 


ตอนที่ 170-3 รนหาที่ตาย

 

ทั้งสองถอดเสื้อผ้าบนตัวเขาออกอย่างว่องไว โยนไปด้านข้าง เดินไปหาชายฉกรรจ์อีกคน พลันได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังแว่วมาลิบๆ ทั้งสองไม่รู้ว่าควรจะถอดเสื้อผ้าพวกเขาต่อหรือไม่ กำลังจะเอ่ยปากถาม เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินเสียงดังลอยเข้ามาในรถม้า “ไม่ต้องหยุด เปลี้องผ้าพวกเขาออกให้หมด หากข้าเดาไม่ผิด น่าจะเป็นคนของเปาอีฝาน” 


 


 


ทั้งสองแคลงใจเมิ่งเชี่ยนโยวรู้ได้อย่างไรว่าผู้ที่มาคือคนของเปาอีฝาน แต่ก็ไม่ได้ถามอีก ถอดเสื้อผ้าชายฉกรรจ์อีกคนออกจนหมด 


 


 


ตอนที่เปาอีฝานนำกำลังคนมาถึงเนินเขา เห็นชายฉกรรจ์ทั้งหมดถูกถอดเสื้อผ้าออกหมดก็ชะงักงัน 


 


 


เหวินเปียวและเหวินหู่เห็นว่าเป็นเปาอีฝาน ก็ลุกขึ้นกล่าวทักทายอย่างอ่อนน้อม “คุณชายเปา” 


 


 


เปาอีฝานมองดูชายฉกรรจ์ที่ถูกเปลี้องผ้าเนื้อตัวเปล่าเปลือย แล้วมองเหวินเปียวและเหวินหู่ หยั่งเชิงเอ่ยถาม “นี่พวกเจ้า…?” 


 


 


เสียงเมิ่งเชี่ยนโยวดังลอยออกมาจากในรถม้า “พวกไม่รู้จักที่ตายพวกนี้ กล้ามาขวางรถม้าของพวกเรา ยังหมายจะเอาพวกเราสองคนไปขาย ไม่จับพวกเขาโยนให้เป็นอาหารสุนัขในหุบเขา เพลิงโทสะในใจข้าจะสลายอย่างไร” พูดจบเลิกม่านบังรถเดินออกมา 


 


 


เหวินเปียวและเหวินหู่พรวดพราดเดินไปบังหน้าชายฉกรรจ์ที่ถูกเปลี้องผ้าล่อนจ้อน ร้องอุทาน “แม่นาง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตาใส่พวกเขา “ร้องอะไร? รีบลงมือเข้า!” 


 


 


ทั้งสองไม่เข้าใจ เหวินเปียวลนลานพูด “แม่นาง ท่านกลับเข้าไปในรถม้าก่อน พวกเราจะทำเสร็จเดี๋ยวนี้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมืออย่าไม่แยแส “พวกเจ้าถอดของพวกเจ้าไป ข้าไม่ได้จะดูเสียหน่อย” 


 


 


เหวินเปียวและเหวินหู่ทำหน้ากระอักกระอ่วน 


 


 


เปาอีฝานก็รู้สึกว่านางออกมาไม่เหมาะสม พูดเตือน “เจ้าเป็นสตรี เห็นร่างกายบุรุษเพศอย่างไรก็ไม่เหมาะสม รีบกลับเข้าไปในรถม้าเถอะ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวได้ฟังก็โมโห “ทั้งหมดนี้ใครเป็นคนก่อ หากไม่เพราะท่านวางแผนไม่รัดกุม ให้พวกเขาหนีรอดได้ พวกเราจะดวงซวยมาถูกพวกเขาขวางไว้เยี่ยงนี้หรือ?” 


 


 


เปาอีฝานสะอึกกึก 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตาใส่พวกเหวินเปียว “ยังไม่รีบอีก?” 


 


 


ทั้งสองเห็นเปาอีฝานยังถูกดักคอ ไม่กล้าฝ่าฝืน รีบถอดเสื้อผ้าชายฉกรรจ์ที่เหลือ 


 


 


เปาอีฝานหยุดยั้งพวกเขา “พวกเจ้าอย่าเพิ่งลงมือ” 


 


 


ทั้งสองหยุดมือ มองเขาอย่างฉงน 


 


 


เปาอีฝานลงจากม้า เดินไปตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว ถามอย่างระวัง “มอบพวกเขาให้ข้าได้หรือไม่?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวปฏิเสธเสียงแข็ง “ไม่ได้!” 


 


 


เปาอีฝานกดเสียงต่ำพูดว่า “พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นหัวโจกขบวนการค้ามนุษย์ เมื่อคืนวานเกิดความพลั้งพลาด ทำให้พวกเขาหนีรอดไปได้ พวกเราออกตามหาตั้งแต่เมื่อวานกลางดึกจนถึงตอนนี้ กว่าจะหาพวกเขาเจอ…” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดตัดบทเขา “ไฉนเลยจะมีเรื่องง่ายดายเช่นนี้ พวกท่านประมาทเลินเล่อ กลับเกือบทำให้พวกเราทั้งหมดต้องสังเวยชีวิต หากไม่เพราะเหวินเปียวเหวินหู่วรยุทธ์สูง ตอนนี้ที่นอนตายอยู่เบื้องหน้าพวกท่านก็คือข้า ตอนนี้ท่านยังจะมีหน้ามาเอ่ยปากขอคน” 


 


 


เปาอีฝานสะอึกกึกอีกครั้ง ครู่ใหญ่ถึงเอ่ยถาม “เช่นนั้นเจ้าจะเอาอย่างไร?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบอย่างมีเหตุมีผล “ก็โยนพวกเขาให้เป็นอาหารของสุนัขในหุบเขาอย่างไร” 


 


 


เปาอีฝานเห็นนางโมโหจริงๆ แล้ว ยิ่งให้เพิ่มความระมัดระวัง “พวกเราพอจะตกลงกันหน่อยได้หรือไม่” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวปฏิเสธ “ไม่มีอะไรต้องตกลง วันนี้ใครขวางข้า ข้าจะเอาเรื่องคนผู้นั้น” 


 


 


เหวินเปียวและเหวินได้ฟัง ผลุนผลันเข้าไปถอดเสื้อผ้าชายฉกรรจ์ที่ข้างรถ 


 


 


เปาอีฝานรีบร้อนพูดเสียงต่ำ “ทางการมีหมายจับออกมาแล้ว พวกเขาแต่ละคนมีค่าหัวคนละห้าร้อยตำลึง หากเจ้ามอบพวกเขาให้ข้า เงินสามพันตำลึงนี้ข้าจะมอบให้เจ้าทั้งหมด” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแค่นเสียงหึ ถามเขา “ข้าขาดเงินสามพันตำลึงนี้หรือ?” 


 


 


เปาอีฝานไม่มีทางเลือก จำต้องงัดป้ายความสัมพันธ์ออกมา “หากวันนี้เจ้าโยนพวกเขาเป็นอาหารสุนัข คดีนี้ก็จะขาดการให้ปากคำที่สำคัญที่สุด ช่วงเวลาสั้นๆ ไม่อาจปิดคดีนี้ได้ ข้าก็จะไม่มีเวลาพาฮุ่ยเอ๋อร์ไปบ้านพวกเจ้า ฮุ้ยเอ๋อร์ดีต่อเจ้าเช่นนี้ เจ้าไม่คิดอยากเจอนางเร็วๆ หรือ?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวย่นหัวคิ้ว 


 


 


เปาอีฝานเห็นว่ามีแวว โหมเชื้อไฟเพิ่ม “เจ้าวางใจ ข้าจับพวกเขากลับไป จะไม่ให้พวกเขาได้อยู่สบาย ข้าจะช่วยเจ้าชำระแค้นเอง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปร้องบอกพวกเหวินเปียวที่กำลังก้มหน้าก้มตาถอดเสื้อผ้า “พวกเจ้าหยุดก่อน” 


 


 


ทั้งสองหยุดมือ เดินมาข้างเมิ่งเชี่ยนโยว บังหน้านางไว้ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปโบกมือให้เปาอีฝาน “รีบพาพวกเขาไป ก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจ” 


 


 


เปาอีฝานกำลังจะกวักมือเรียกเจ้าหน้าที่ด้านหลัง กลับเห็นชายฉกรรจ์ที่ถูกจับเปลี้องผ้าล่อนจ้อนข้างรถม้าหยิบดาบที่อยู่ไม่ไกลข้างตัวยันกายลุกขึ้นหมายจะฟันไปที่รถม้าสุดแรงเกิด พลันร้องเสียงหลง “อี้เซวียนระวัง!” 


 


 


แต่สายเกินไป ดาบเล่มใหญ่ของชายฉกรรจ์ฟันฉับลงไปแล้ว คงเพราะผลีผลามเกินไป ฟันไม่โดนเมิ่งอี้เซวียน แต่ฟันถูกตัวรถม้า 


 


 


เปาอีฝานลอยตัวทะยานออกไป ใช้เท้าถีบชายฉกรรจ์ฟุบไปกับพื้นอีกครั้ง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจสะดุ้ง ก้าวเท้าฉับๆ ไปข้างชายฉกรรจ์ที่กำลังกระเสือกกระสนจะลุกขึ้น และไม่สนว่าในมือเขายังมีดาบหรือไม่ เตะใส่เขาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย “ข้ายังทำใจทำร้ายเขาไม่ได้ เจ้ากลับกล้าลงมือกับเขา เมื่อเจ้ารนหาที่ตาย ข้าจะสงเคราะห์ให้เอง” 


 


 


แม้แต่ดาบชายฉกรรจ์ก็ไม่ต้องการแล้ว ร้องครวญครางโหยหวน 


 


 


เห็นสภาพน่าสังเวชของเขา พวกเหวินเปียวที่เห็นความเป็นความตายจนชินชายังทนดูต่อไปไม่ได้ 


 


 


เปาอีฝานยิ่งไม่ต้องพูดถึง ยืนถลึงตาอ้าปากค้างอยู่ที่เดิม กระทั่งเสียงร้องชายฉกรรจ์ขาดหาย ถึงได้สติกลับมา เดินเข้าไปยับยั้งนาง “พอแล้ว ไม่ต้องกระทืบแล้ว ทำอีกเขาได้ตายพอดี” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกระทืบใส่อย่างเคืองโกรธอีกสองสามครั้งถึงหายแค้น 


 


 


เปาอีฝานหันไปสะบัดมือให้เจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่รีบเข้ามาลากชายฉกรรจ์ทั้งหมดไปไว้อีกด้าน 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาข้างรถม้า เลิกม่านบังรถออก ถามเมิ่งอี้เซวียน “เจ้าไม่เป็นอะไรนะ?” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนส่งรอยยิ้มปลอบประโลมแก่นาง ตอบว่า “ข้าไม่เป็นไร” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นสีหน้าเขาเป็นปกติ ไม่ได้มีอาการขวัญผวา ก็โล่งอก หันหลังไปตำหนิเปาอีฝาน “หากไม่เพราะท่านจะพาพวกเขาไปให้ได้ พวกเหวินเปียวได้โยนพวกเขาลงไปในหุบเขานานแล้ว ไฉนเลยจะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น” 


 


 


เปาอีฝานลนลานขอโทษ “ข้าเลินเล่อเอง ขออภัยเจ้าด้วย” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างไม่พอใจ “ขอโทษจะมีประโยชน์อะไร ยังดีที่อี้เซวียนไม่เป็นอะไร หากอี้เซวียนเป็นอะไรขึ้นมา เจ้ากับข้าแม้แต่เพื่อนก็เป็นไม่ได้” 


 


 


เปาอีฝานยิ่งน้อมรับผิดขอโทษ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแค่นเสียงหึพูดหนึ่งประโยค “อีกสองสามจะต้องส่งเงินสามพันตำลึงมาที่บ้านข้า” 


 


 


เปาอีฝานรับคำ “เจ้าวางใจ จะต้องส่งไปให้เจ้า” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับเสร็จถึงสั่งการพวกเหวินเปียว “เก็บกวาดรถม้า พวกเราไป” พูดจบ ก็ไม่บอกลาเปาอีฝานกลับไปข้างรถม้า เห็นรอยดาบที่ถูกฟันลงมาบนตัวรถ ก็ให้นึกเสียใจที่เมื่อครู่ตัวเองกระทืบเบาเกินไป หันไปพูดกับเปาอีฝานอย่างกระฟัดกระเฟียด “เพิ่มอีกหนึ่งเงื่อนไข ส่งรถม้าคันใหม่มาให้ข้าด้วย” 


 


 


เปาอีฝานรับคำ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งบนรถม้าเรียบร้อย สั่งการเหวินเปียว “ไปได้” 


 


 


เหวินเปียวขานรับ กล่าวลาเปาอีฝานอย่างนอบน้อม ถึงบังคับรถม้าค่อยๆ มุ่งหน้ากลับ 


 


 


เปาอีฝานมองรถม้าจากไปไกล สั่งเจ้าหน้าที่ให้สวมเสื้อผ้าให้ชายฉกรรจ์ที่ถูกเปลื้องผ้าออก แล้วสั่งเจ้าหน้าที่กุมตัวพวกเขากลับไป 


 


 


ประสบกับเหตุการณ์กลับตาลปัตร อารมณ์ที่ดีของเมิ่งเชี่ยนโยวมลายหายไปสิ้น นั่งขมวดคิ้วนิ่วหน้าในห้องโดยสารไม่รู้ว่าคิดอะไร 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนเห็นนางสีหน้าไม่สู้ดี เม้มริมฝีปาก พูดอย่างระวัง “ความจริงข้าคุ้มครองตัวเองได้ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาแวบหนึ่ง ไม่พูดอะไร 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนไม่พูดต่ออีก นั่งเงียบๆ เป็นเพื่อนนาง 


 


 


ตลอดทางไร้การพูดคุย ยามเที่ยงรถม้ามาถึงอำเภอชิงเหอ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวให้เหวินหู่ลงรถไปซื้อซาลาเปา คนทั้งหมดรีบเร่งเดินทาง กระทั่งยามบ่ายกว่าๆ ถึงมาถึงบ้าน 


 


 


เมิ่งชื่อออกมารอหน้าประตูบ้านตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่ไม่เห็นคนกลับมา ในใจร้อนรนกระวนกระวาย วันนี้จึงหยิบเก้าอี้เตี้ยตัวหนึ่งออกมานั่งหน้าประตูใหญ่ ด้านหนึ่งเย็บกระเป๋านักเรียนด้วยใจเลื่อนลอย ด้านหนึ่งคอยแหงนหน้าชะเง้อมองเป็นพักๆ 


 


 


ตอนที่ยังไม่เข้าหมู่บ้าน เมิ่งเชี่ยนโยวก็กำชับทุกคน ห้ามบอกเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างทางกับคนในครอบครัว 


 


 


ทั้งสามพยักหน้า 


 


 


เมิ่งชื่อเห็นรถม้าตรงเข้ามาแต่ไกล ลุกขึ้นอย่างยินดี รอจนรถม้าใกล้เข้ามา ก็เข้าไปต้อนรับ “พวกเจ้ากลับมาเสียที แม่เป็นห่วงจะแย่แล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้า เข้าไปคล้องแขนเมิ่งชื่ออย่างรักใคร่ “ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วง พวกเรามิใช่กลับมาแล้วหรือ?” 


 


 


เมิ่งชื่อตำหนิโทษนาง “พูดเองแท้ๆ ว่าจะกลับมาเมื่อวาน ดูพวกเจ้าเล่า กลับมาช้าหนึ่งวัน แม่จะไม่เป็นห่วงได้อย่างไร?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกอดแขนนางแน่น “พวกเรากลับมาช้าวันหนึ่ง เพราะว่ามีเรื่องดีอย่างไร” 


 


 


เมิ่งชื่อฟังน้ำเสียงสดใสของนาง อารมณ์ก็เบิกบานตามไปด้วย แสร้งข่มขู่นาง “เรื่องดีอะไร บอกแม่สิ หากแม่รู้สึกว่าไม่ดี จะตีก้นเจ้าให้ลาย” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวปล่อยเมิ่งชื่อ ยืนตรงหน้านาง พูดเย้าแหย่ “ท่านแม่ต้องยืนให้มั่นคงนะ พอข้าพูดข่าวดีออกไป รับรองว่าท่านต้องตกใจสะดุ้ง” 


 


 


เมิ่งชื่อแสร้งตีนางหนึ่งที “เลิกโยกโย้กับแม่ได้แล้ว รีบพูดมา” 


 


 


“ข่าวดีของข้าก็คือ…” พูดถึงตรงนี้ก็จงใจหยุดชะงัก ถามเมิ่งชื่อ “ท่านแม่ ท่านยืนมั่นคงแล้วหรือไม่?” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนอยู่ด้านหลังปิดปากแอบหัวเราะชอบใจ 


 


 


เมิ่งชื่อโมโหคิดจะตีนางอีก “เจ้าลูกคนนี้ อยากให้แม่โมโหตายใช่ไหม?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถึงพูดกับเมิ่งชื่อเสียงดัง “ท่านแม่ อี้เซวียนสอบระดับจังหวัดได้ที่หนึ่ง!” 


 


 


เมิ่งชื่อจับตัวเมิ่งเชี่ยนโยวแน่น ถามนางน้ำเสียงละล่ำละลัก “เจ้าพูดเป็นความจริง อี้เซวียนสอบได้ที่หนึ่ง?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า 


 


 


เมิ่งชื่อตื่นเต้นดีใจ ถามด้วยริมฝีปากสั่นระริก “หมายความว่า หมายความว่าอี้เซวียนสอบถงเซิงได้แล้ว?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับอย่างซุกซน “คลับคล้ายว่าจะเป็นเช่นนั้น” 


 


 


เมิ่งชื่อตีนางอีกครั้ง “คลับคล้ายอะไรกัน เป็นเช่นนั้นต่างหาก” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะร่วน 


 


 


เมิ่งชื่อตื่นเต้นยินดีตะโกนเข้าไปในลานบ้านเสียงลั่น “เจี๋ยเอ๋อร์ รีบออกมา” 


 


 


เมิ่งเจี๋ยที่กำลังเล่นซุกซนอยู่ในลานบ้านวิ่งปรู๊ดออกมา 


 


 


เมิ่งชื่อร้อนรนพูดกับเขา “เร็ว ไปบอกพ่อเจ้าที่แปลงดิน บอกว่าอี้เซวียนสอบถงเซิงได้แล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินนางพูดก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี รวบตัวเมิ่งเจี๋ยที่กำลังจะวิ่งไปแปลงดิน กล่าวเตือนเมิ่งชื่อ “ท่านแม่ ตอนนี้บ้านเรามีคนและรถม้าให้ใช้อยู่พร้อม ให้พวกเขาไปแจ้งข่าวก็ได้แล้ว” 


 


 


เมิ่งชื่อตบหน้าผาก “แม่ดีใจจนเอ๋อแล้ว ลืมเรื่องนี้ไปได้” พูดจบก็สั่งเหวินเปียว “เจ้ารีบไปเรียกพวกเขาที่ที่ดินร้าง บอกว่าอี้เซวียนสอบถงเซิงได้แล้ว ให้พวกเขารีบกลับมา” 


 


 


เหวินเปียวขานรับคำ หันหัวม้ามุ่งหน้าไปยังแปลงดินโดยไว 


 


 


เมิ่งเจี๋ยในอ้อมกอดเมิ่งเชี่ยนโยวถามขึ้นอย่างเดียงสา “เช่นนั้นข้ายังต้องไปหรือไม่?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลูบหัวเขา หัวเราะครื้นเครง 


 


 


เมิ่งชื่อปลาบปลื้มใจเดินไปตรงหน้าเมิ่งอี้เซวียน “อี้เซวียน ครั้งนี้เจ้าสร้างชื่อเสียงเกียรติยศแก่สกุลเมิ่งโดยแท้ แม่ดีใจจนพูดไม่ออกแล้ว แม่ขอรับประกัน ต่อไปจะดีต่อเจ้ายิ่งกว่านี้” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนแย้มยิ้มตอบ “ขอบคุณท่านแม่” 


 


 


เมิ่งชื่อกล่าวตอบ “เด็กโง่ ขอบคุณอะไร เป็นสิ่งที่แม่สมควรทำแล้ว” 


 


 


เหวินเปียวเร่งบังคับรถม้ามาถึงที่ดินร้างโดยไว ตามหาตัวเมิ่งเอ้ออิ๋น กล่าวว่า “นายท่าน นายน้อยสอบถงเซิงได้แล้ว ฮูหยินให้ท่านรีบกลับไป” 


 


 


ถังน้ำในมือเมิ่งเอ้ออิ๋นตกลงพื้นดัง “พลั่ก” ถามเหวินเปียวอย่างยินดี “อี้เซวียนสอบถงเซิงได้แล้ว?” 


 


 


เหวินเปียวตอบอย่างอ่อนน้อม “ใช่ขอรับ ผลการสอบเมื่อวานก็ออกมาแล้ว นายน้อยสอบได้ที่หนึ่งขอรับ” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นยิ่งปิติยินดี ไม่สนใจถังน้ำแล้ว สาวเท้าเดินไปข้างรถม้า “เร็วๆๆ พวกเรารีบกลับบ้าน” 


 


 


เมิ่งต้าจินเห็นเหวินเปียวบังคับรถม้าเข้ามา พูดบางอย่างกับเมิ่งเอ้ออิ๋น เมิ่งเอ้ออิ๋นก็ตะลีตะลานขึ้นรถม้าไป นึกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่บ้าน ตะเบ็งเสียงร้องถาม “น้องรอง เกิดอะไรขึ้นที่บ้านหรือ?” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นเพิ่งเข้าไปนั่งในรถม้า ได้ยินเมิ่งต้าจินร้องถาม ถึงได้สติกลับมา ตัวเองเอาแต่ดีใจไม่ทันได้บอกกล่าวคนอื่นในครอบครัว จึงออกมานอกรถม้า ตะโกนบอกคนในสกุลเมิ่งบนแปลงดิน “ทุกคนไม่ต้องทำงานแล้ว รีบกลับบ้านไปกับข้า อี้เซวียนสอบถงเซิงได้แล้ว พวกเรากลับไปฉลองกันให้เต็มที่เถอะ” 


 


 


ได้ยินข่าวดีนี้ คนในสกุลเมิ่งต่างดีอกดีใจ เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีดีใจกระโดดตัวลอย มีเพียงเมิ่งเหรินที่ใบหน้าฉายแววหมองมัว 


 


 


ชาวบ้านที่มาทำงานในแปลงดินต่างก็ประหลาดใจ ไม่คิดว่าเมิ่งอี้เซวียนอายุเพียงเท่านี้ก็สอบถงเซิงได้แล้ว 


 


 


ทุกคนต่างวางงานในมือ ทยอยกันเดินกลับมาบ้าน 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นก็ไม่นั่งรถม้าแล้ว เดินกลับบ้านพร้อมกับทุกคน 


 


 


คนในหมู่บ้านเห็นทั้งครอบครัวเดินดาหน้ามาเป็นขบวนก็ให้ประหลาดใจ 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นไม่รอให้ทุกคนซักถาม ก็บอกพวกเขาอย่างปลื้มปิติ เมิ่งอี้เซวียนสอบถงเซิงได้แล้ว ไม่นานเท่าไหร่ ข่าวนี้ก็แพร่สะพัดไปทั่วทั้งหมู่บ้าน ทุกคนต่างอิจฉาและริษยา อิจฉาที่บ้านเมิ่งมีถงเซิงที่อายุน้อยอีกคนแล้ว ริษยาก็คือเหตุใดเมิ่งเอ้ออิ๋นถึงโชคดีเช่นนี้ เก็บเด็กมาเลี้ยงมั่วๆ ก็มีอนาคตสดใสได้เช่นนี้ 

 

 

 


ตอนที่ 171-1 งานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีสามวัน

 

ไม่ว่าคนในหมู่บ้านจะคิดอย่างไร ทุกคนในสกุลเมิ่งต่างปิติยินดีจนเกือบเสียสติแล้ว โดยเฉพาะเมิ่งจงจวี่ หลังจากได้ทราบข่าวนี้ ก็ตื้นตันใจจนน้ำตาไหลเป็นสาย หัวหน้าสกุลเมิ่งยิ่งปลาบปลื้มปิติเปิดศาลเจ้าประจำสกุล เป็นผู้นำลูกหลานสกุลเมิ่งทำพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษ บอกกล่าวบรรพชนผู้ล่วงลับว่าสกุลเมิ่งมีถงเซิงอายุสิบปี แน่นอนว่านี้เป็นเรื่องท้ายสุด เอาไว้ค่อยพูดที่หลัง 


 


 


เริ่มพูดถึงบ้านสกุลเมิ่งก่อน นอกจากเมิ่งจงจวี่และภรรยา คนทั้งหมดกลับมาถึงบ้านอย่างองอาจผึ่งผาย พอพ้นประตูเข้ามาเมิ่งเอ้ออิ๋นก็ร้องด้วยความยินดีเสียงลั่น “แม่เอ๋ย รีบออกมา ทุกคนมากล่าวคำอวยพรให้พวกเราแล้ว” 


 


 


เมิ่งชื่อวิ่งปลาบปลื้มใจออกมาจากในบ้าน ทักทายทุกคนอย่างเป็นกันเอง “รีบเข้าไปนั่งในบ้านเถอะ” 


 


 


เมิ่งต้าจินและภรรยา เมิ่งซานถงและภรรยาเดินเข้าไปในบ้าน 


 


 


เมิ่งเสียนกลับถามอย่างตื่นเต้น “ท่านแม่ อี้เซวียนเล่า?” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนได้ยินเสียงเอะอะเดินออกมาจากในบ้าน เอ่ยปากพูดเสียงแผ่ว “พี่ใหญ่ ข้าอยู่นี่” 


 


 


เมิ่งเสียนเดินขึ้นหน้า อุ้มเขาขึ้นหมุนหลายรอบอย่างตื่นเต้นยินดี “อี้เซวียน ครั้งนี้เจ้าเป็นเกียรติเป็นศรีให้กับครอบครัวของเราแล้ว” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนไม่เคยถูกคนอุ้มแบบนี้มาก่อน ใบหน้าน้อยๆ เต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุขี 


 


 


เมิ่งเจี๋ยเริ่มอิจฉา เดินไปร้องขอตรงหน้าเมิ่งเสียน “พี่ใหญ่ ข้าจะเอาด้วย” 


 


 


เมิ่งเสียนวางเมิ่งอี้เซวียนลง อุ้มเขาชูขึ้นเหนือหัวแล้วเหวี่ยงหมุนเป็นวง ทั้งลานบ้านเต็มตื้นไปด้วยเสียงหัวเราะอย่างเบิกบานของเมิ่งเจี๋ย 


 


 


เมิ่งต้าจินนั่งลงในบ้าน ปรับสภาพจิตใจที่เต้นโครมคราม พูดว่า “อี้เซวียนอายุเพียงเท่านี้ก็สอบถงเซิงได้ อย่าว่าแต่ในตำบลชิงซี ต่อให้ทั้งอำเภอชิงเหอเกรงว่าก็จะเป็นคนแรก พวกเราจะต้องฉลองกันให้เต็มที่” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นพยักหน้า “ใช่ จะต้องฉลอง ต้องให้คนละแวกใกล้เคียงนี้ได้รู้ว่า สกุลเมิ่งของพวกเรามีถงเซิงอายุน้อยอีกคนแล้ว” 


 


 


อารมณ์ชื่นมื่นเบิกบานของเมิ่งชื่อสะกดกลั้นไม่อยู่มาตลอด มีความคิดเช่นนี้นานแล้ว แต่ไม่รู้ต้องทำอย่างไร จึงถามขึ้น “พี่ใหญ่ ท่านว่าพวกเราต้องฉลองอย่างไร?” 


 


 


เมิ่งต้าจินขบคิดครู่หนึ่ง ตอบว่า “เรียกรวมหมู่ญาติทั้งหมดของพวกเรามา ตั้งโต๊ะจำนวนหนึ่ง ให้ทุกคนได้มีความสุขร่วมกัน” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นพยักหน้าเห็นพ้อง “ได้ ทำตามที่พี่ใหญ่ว่า ประเดี๋ยวจะให้เด็กๆ ไปแจ้งข่าวต่อวงศาคณาญาติทั้งหมด เชิญพวกเขามากินข้าววันพรุ่งนี้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวที่ไปบอกป้าหวังว่าอีกหนึ่งเดือนหวังหู่ก็จะกลับมาบ้าน เดินเข้ามาจากด้านนอก ร้องทักทายทุกคนอย่างยินดี กล่าวว่า “ที่พวกท่านพูดมาข้าได้ยินหมดแล้ว เมื่อพวกเราจะฉลอง ก็จัดให้ใหญ่เสียหน่อย ความคิดของข้าคือพวกเราตั้งโต๊ะกินเลี้ยงหลิวสุ่ยสี[1]สามวัน ไม่ว่าใครมาจากที่ไหนก็สามารถเข้ามากินเปล่าได้” 


 


 


พอได้ยินว่าจะจัดงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีสามวัน ทุกคนก็ตกใจดวงตาเบิกโพลง เมิ่งต้าจินถามขึ้นทันควัน “โยวเอ๋อร์ พวกเราทำแบบนี้จะโอ้อวดเกินไปหรือไม่?” 


 


 


“อาจจะดูโอ้อวดไปบ้าง ทว่านับจากนี้ไปชื่อเสียงสกุลเมิ่งของพวกเราก็จะยิ่งลือเลื่อง” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ 


 


 


พอคิดว่าต่อไปไม่ว่าเดินไปทางไหน พอเอ่ยถึงสกุลเมิ่งของหมู่บ้านหวงก็จะไม่มีใครไม่รู้จัก เมิ่งต้าจินเริ่มสั่นคลอน 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นกลับรู้สึกลังเล “งานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีสามวัน ต้องใช้เงินมากเพียงใด ตอนนี้บ้านเราไม่มีโรงงาน ทั้งยังซื้อภูเขาและที่ดินร้างอีกจำนวนมาก เงินในมือมีไม่มากแล้ว หากจัดงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีสามวัน เกรงว่าต่อไปจะไม่มีเงินจ้างคนอีก” 


 


 


เมิ่งชื่อก็รู้สึกปวดใจ พูดโน้มน้าวเมิ่งเชี่ยนโยว “ทำตามที่ลุงใหญ่บอกเถอะ จัดโต๊ะไม่กี่ตัว เชิญญาติสนิทมิตรสหายจากครอบครัวต่างๆ มากินข้าวด้วยกันสักมื้อก็พอแล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่านางคิดอะไร พูดปลอบใจพวกเขา “ท่านพ่อ ท่านแม่ เรื่องเงินพวกท่านไม่ต้องเป็นห่วง อย่าว่าแต่สามวันเลย ต่อให้งานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีสามสิบวัน พวกเราก็มีเงินมาใช้จ่าย” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นเป็นคนดูแลบัญชี แต่ละวันมีรายรับเท่าใด รู้ชัดแจ้งใจดี ลองคิดคำนวณคร่าวๆ ก็พอจะรู้ว่าครอบครัวตัวเองมีเงินอยู่เท่าไหร่ หักรายจ่ายช่วงเวลาที่ผ่านมาออกไป ครอบครัวเหลือเงินไม่กี่มากน้อยแล้ว ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ ถามอย่างแคลงใจ “โยวเอ๋อร์ เจ้าไปเอาเงินเหล่านั้นมาจากไหน?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวย่อมไม่กล้าพูดว่าตัวเองมีป้ายหยกที่สามารถนำไปขึ้นเงินเมื่อไหร่ก็ได้ชิ้นหนึ่ง ทำได้เพียงพูดโกหก “ท่านพ่อ หลายวันมานี้นอกจากอี้เซวียนจะสอบถงเซิงได้ ยังเจรจาการค้ากระเป๋านักเรียนชุดใหญ่มาได้ อีกสองวันอีกฝ่ายจะเข้ามาขนถ่ายสินค้า ถึงตอนนั้นพวกเราก็จะมีรายรับแล้ว” 


 


 


เมิ่งชื่อได้ฟังถามอย่างตื่นเต้น “พวกเจ้ายังเจรจาการค้ากระเป๋านักเรียนมาได้?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “อีกฝ่ายต้องการกระเป๋านักเรียนคุณภาพดีหนึ่งร้อยใบและกระเป๋านักเรียนคุณภาพรองยี่สิบใบ” 


 


 


พอได้ยินว่าอีกฝ่ายต้องการในคราเดียวมากเช่นนี้ เมิ่งชื่อยินดีปรีดาเป็นอย่างมาก หันไปพูดเกลี้ยกล่อมเมิ่งเอ้ออิ๋น “พ่อเอ๋ย พวกเรากำลังจะมีเงินแล้ว เชื่อโยวเอ๋อร์เถอะ จัดงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีสามวัน ข้าจะให้ทุกคนได้รู้ว่า ครอบครัวพวกเราได้ลูกเขยชั้นเลิศมา” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักเล็กน้อย รีบพูดทันควัน “ท่านแม่ พวกเราเลี้ยงฉลองที่อี้เซวียนได้เป็นถงเซิง ไม่เกี่ยวกับสิ่งอื่น” 


 


 


เมิ่งชื่อนึกว่านางเขินอาย หัวเราะพูด “จะไม่เกี่ยวได้อย่างไร อี้เซวียนเป็นสามีในอนาคตของเจ้า ตอนนี้เขามีอนาคตที่ดีเช่นนี้ ก็นับว่าเป็นโชควาสนาของเจ้า แม่อยากให้ทุกคนได้รู้ว่า ลูกสาวแม่โชคดีมากเพียงใด” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แสร้งพูดข่มขู่เมิ่งชื่อ “ท่านแม่ หากท่านทำเช่นนี้ บ้านเราไม่ต้องจัดงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีแล้ว ข้ากลัวท่านจะทำทุกคนตกใจจนหนีไปหมด” 


 


 


เมิ่งชื่อเห็นนางไม่พอใจ ก็ให้ประหลาดใจ ตกใจถาม “โยวเอ๋อร์ อย่าบอกว่าเจ้ายังคิดจะให้เวลาผ่านไปหลายปี แล้วเพิกถอนการแต่งงานนี้นะ?” 


 


 


ได้ยินนางพูดเช่นนี้ คนอื่นๆ ในห้องต่างหันมองนางเป็นตาเดียว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจนใจ จำต้องยกธงยอมแพ้ “ก็ได้ๆๆ ท่านแม่ ขอเพียงท่านไม่ให้พวกเราแต่งงานเดี๋ยวนี้ ท่านอยากพูดกับคนอื่นอย่างไรก็พูดไปเถอะ ข้าไม่มีความคิดเห็น” 


 


 


ไม่คิดว่าเมิ่งชื่อจะตบหน้าขาดังฉาด แล้วพูดขึ้นว่า “นี่นับเป็นความคิดที่ดี พ่อเอ๋ย ไม่อย่างนั้นพวกเราใช้โอกาสนี้จัดงานแต่งงานให้พวกเขาเลย รอให้พวกเขาโตอีกหน่อยค่อยเข้าห้องหอ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจสะดุ้งโหยง เบิกตาโพลงถามเมิ่งชื่อ “ท่านแม่ ท่านไม่ได้พูดจริงใช่ไหม?” 


 


 


เมิ่งชื่อถลึงนางใส่นาง “เจ้าลูกคนนี้ แม่มีเวลามาพูดเล่นกับเจ้าหรือ?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวร้องโอดครวญ “ท่านแม่ หากท่านให้พวกเราแต่งงานกันจริงๆ ข้าจะหนีออกจากบ้าน ดูว่าท่านต้องการลูกสาวหรือว่าลูกเขย” 


 


 


คนทั้งหมดหัวเราะครื้นเครงกับปฏิกิริยาของนาง 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นหัวเราะพูดเกลี้ยกล่อมเมิ่งชื่อ “ลูกๆ ยังเด็ก ยังไม่ต้องรีบร้อนเรื่องแต่งงาน อย่างไรพวกเขาก็ยังเล็ก อีกสองปีค่อยพูดก็ยังไม่สาย ตอนนี้พวกเราถกกันเรื่องงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสี ว่าจะจัดหรือไม่จัด?” 


 


 


พอได้ยินว่าเมิ่งอี้เซวียนขายกระเป๋านักเรียนได้ร้อยกว่าใบ เมิ่งชื่อก็มีความมั่นใจขึ้น “จัดสิ เหตุใดจะไม่จัด? ข้ายังรอจะบอกทุกคนว่าอี้เซวียนไม่เพียงเป็นบุตรชายข้า ภายหน้าจะยังเป็นบุตรเขยของครอบครัวเราด้วย ใครก็อย่าฝันจะมาคิดหวัง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นนางพูดวกกลับมาเรื่องเดิม พูดเสียงแหว “ข้าจะหนีออกจากบ้านเดี๋ยวนี้ พวกท่านใครก็อย่ามาขวาง” 


 


 


คนทั้งหมดหัวเราะครื้นเครง 


 


 


เห็นเมิ่งเอ้ออิ๋นและภรรยาต่างยินยอมตกลงแล้ว เมิ่งต้าจินจึงทำการตัดสินใจ “ได้ เช่นนั้นก็ทำตามที่โยวเอ๋อร์บอก พวกเราจะจัดงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีสามวัน หากเงินไม่พอ บ้านข้ายังมีอีกหลายสิบตำลึง ประเดี๋ยวจะให้ป้าสะใภ้ใหญ่เอามาให้พวกเจ้า” 


 


 


เมิ่งซานถงก็พูดบ้าง “ครอบครัวพวกเราก็มีหลายสิบตำลึง ประเดี๋ยวข้าจะกลับไปเอามา” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรีบร้อนโบกมือ “ท่านลุงใหญ่ ท่านอาสาม ไม่ต้องแล้ว เงินของพวกเราพอใช้แล้ว ถึงเวลานั้นพวกท่านเข้ามาช่วยก็พอ” 


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินยิ้มพูด “อี้เซวียนเชิดหน้าชูตาให้สกุลเมิ่งของพวกเรา เมื่อพวกเจ้าออกเงิน พวกเราก็ออกแรง เอาอย่างนี้เถอะ เรื่องทำอาหารพวกเจ้าไม่ต้องยุ่งแล้ว ยกให้เป็นหน้าที่ข้ากับน้องสะใภ้สาม ประเดี๋ยวพวกเราจะไปหามือดีด้านการทำอาหารในหมู่บ้าน ให้พวกเขามาช่วยด้วย” 


 


 


ภรรยาเมิ่งซานถงพยักหน้าเห็นดีเห็นงาม “ข้าจะไปพร้อมพี่สะใภ้ใหญ่” 


 


 


พอคิดว่าถึงเวลานั้นจะมีคนมาช่วยมากมาย เมิ่งชื่อก็ไม่บอกปัด ยิ้มพูด “ขอบคุณพี่สะใภ้ใหญ่ น้องสะใภ้สาม” 


 


 


ทั้งสองแย้มยิ้มโบกมือ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับทั้งสองคน “ข้าคาดว่าคนที่จะมางานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีคงมีไม่น้อย ทางที่ดีพวกท่านหาคนมาให้เยอะหน่อย แบ่งพวกเขาออกเป็นสองชุด ชุดหนึ่งทำอาหารตอนเช้า อีกชุดหนึ่งทำอาหารตอนบ่าย ให้พวกนางได้มีเวลาพักผ่อน ไม่เช่นนั้นจะทำพวกนางเหนื่อยล้าได้” 


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินและภรรยาเมิ่งซานถงพยักหน้า “โยวเอ๋อร์ยังคงคิดรอบคอบเสมอ ประเดี๋ยวตอนที่พวกเราไปหาคนจะบอกพวกนางเช่นนี้” 


 


 


“ท่านบอกพวกนางว่า ช่วงเวลาครึ่งวันนี้จะมีค่าตอบแทนให้พวกนางห้าสิบตำลึง” เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับอีกคำ 


 


 


ทั้งสองพยักหน้า 


 


 


จัดการเรื่องเสร็จแล้ว คนทั้งหมดก็หารือเรื่องรายละเอียดปลีกย่อย กำหนดวันจัดงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสี จากนั้นแยกย้ายไปทำเรื่องที่ได้รับมอบหมาย 


 


 


เมิ่งเสียน เมิ่งฉีรวมถึงเมิ่งเหรินและเมิ่งอี้ก็ได้รับมอบหมายหน้าที่ของตัวเอง คนทั้งสกุลเมิ่งต่างวุ่นวายโกลาหล กลับลืมเรื่องหนึ่งไปอย่างสิ้นเชิง นั่นก็คือไปบอกเมิ่งจงจวี่และภรรยาเรื่องที่เมิ่งอี้เซวียนสอบถงเซิงได้ 


 


 


ยามว่างเมิ่งจงจวี่จะฝึกเขียนอักษรในบ้าน หญิงชราเมิ่งก็ไม่ชอบออกไปนั่งคุยบ้านคนอื่น ดังนั้นคนทั้งหมู่บ้านหวงต่างรู้กันหมดว่าเมิ่งอี้เซวียนสอบถงเซิงได้ ยกเว้นพวกเขาสองคนที่ไม่รู้เลย 


 


 


พอเห็นว่าเย็นมากแล้ว ภรรยาเมิ่งต้าจินยังไม่กลับมาทำอาหารเหมือนเคย หญิงชราเมิ่งก็ให้คลางแคลงใจ พูดกับเมิ่งจงจวี่ที่กำลังฝึกเขียนอักษร “มันฝรั่งก็ปลูกเสร็จแล้วไม่ใช่หรือ? เหตุใดวันนี้สะใภ้ต้าจินถึงยังกลับมาช้าเช่นนี้?” 


 


 


เมิ่งจงจวี่ไม่แม้แต่จะเงยหน้า “คงมีเรื่องบางอย่างทำให้ล่าช้า เจ้าไปทำอาหารก่อนเถอะ พอพวกเขากลับมากินข้าวเสร็จจะได้ไปพักผ่อน” 


 


 


เมิ่งชื่อลงจากเตียง เข้าครัวไปทำอาหาร 


 


 


กระทั่งทำอาหารเสร็จ ก็ยังไม่เห็นคนทั้งหมดกลับมา เริ่มตะขิดตะขวงใจ ถามเมิ่งจงจวี่ “เย็นย่ำป่านนี้แล้ว ไม่มีใครกลับมาสักคน คงไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอกนะ?” 


 


 


ท้องฟ้ามืดสลัว เมิ่งจงจวี่เก็บกระดาษพู่กันแล้ว ในตอนนี้กำลังนั่งหลับตาฟื้นฟูจิตใจบนเก้าอี้ ได้ยินคำพูดของหญิงชราเมิ่งก็ลืมตาขึ้น ลุกขึ้นยืน พูดอย่างเป็นกังวล “ข้าจะไปดูที่บ้านเมิ่งเอ้ออิ๋นว่าเกิดอะไรขึ้นหรือไม่” 


 


 


หญิงชราเมิ่งยับยั้งเขา “เย็นย่ำแล้ว เส้นทางก็ไม่ค่อยดี ให้เถี่ยเอ๋อร์ไปเถอะ” 


 


 


เมิ่งจงจวี่นอนบนเตียงมานานหลายเดือน รู้ว่าไม่ควรหักโหมเกินไป เขาก็กลัวฟ้ามืดทางไม่ดี หากตัวเองล้มกลิ้งไปจริงๆ ต้องกลับไปมีสภาพเหมือนก่อน จะยิ่งแย่ จึงพยักหน้าเห็นด้วย เดินเข้าไปในห้องเมิ่งเสียวเถี่ย พูดกับเขาว่า “พี่ใหญ่เจ้าทั้งครอบครัวจนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครกลับมาสักคน เจ้าไปดูที่บ้านพี่รองว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือไม่” 


 


 


บาดแผลบนตัวเมิ่งเสียวเถี่ยหายเป็นปกติดีแล้ว ได้ยินคำพูดเมิ่งจงจวี่ก็ลุกเดินออกไป 


 


 


เมิ่งจงจวี่และภรรยารอคอยอย่างกระสับกระส่ายที่บ้าน 


 


 


มองดูท้องฟ้าที่มืดมิดลงเรื่อยๆ เมิ่งเสียวเถี่ยก็ยังไม่กลับมา เมิ่งจงจวี่นั่งไม่ติดแล้ว ลุกขึ้นพูดกับหญิงชราเมิ่ง “เจ้ากับข้าออกไปดูด้วยกัน ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่” 


 


 


หญิงชราเมิ่งก็ร้อนรุ่มกระวนกระวาย ได้ฟังจึงลงจากเตียง ใส่รองเท้า แล้วประคองเมิ่งจงจวี่เดินออกไปพร้อมกัน 


 


 


ในตอนนี้เมิ่งเสียวเถี่ยเดินลากเท้าขาหนึ่งวิ่งโยกเยกเข้ามาจากด้านนอก เห็นสองผู้เฒ่ายืนอยู่หน้าประตู พูดกับคนทั้งสองอย่างตื่นเต้น “ท่านพ่อ ท่านแม่ อี้เซวียนสอบถงเซิงได้” 


 


 


เมิ่งจงจวี่ปลาบปลื้มใจ ไม้เท้าในมือร่วงหล่นพื้น ถามเสียงสั่น “เจ้าว่าอะไรนะ?” 


 


 


เมิ่งเสียวเถี่ยพูดซ้ำอีกครั้ง “อี้เซวียนสอบถงเซิงได้ พวกพี่ใหญ่กำลังยุ่งเรื่องจัดงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสี” 


 


 


เมิ่งจงจวี่เมินเฉยต่อคำพูดหลังจากนั้นไปโดยปริยาย ในสมองมีแต่คำว่าอี้เซวียนสอบถงเซิงได้ ตื้นตันใจจนน้ำตาเอ่อคลอ 


 


 


เมิ่งเสียวเถี่ยสะดุ้งตกใจ รีบเดินสองสามก้าว มาเบื้องหน้าเมิ่งจงจวี่ กระวนกระวายถาม “ท่านพ่อ ท่านเป็นอะไร?” 


 


 


เมิ่งจงจวี่ปลื้มปริ่มจนพูดไม่ออกแล้ว โบกสะบัดมือให้เมิ่งเสียวเถี่ย 


 


 


เมิ่งเสียวเถี่ยและหญิงชราเมิ่งรีบประคองเมิ่งจงจวี่ไปนั่งบนเก้าอี้ 


 


 


อึดใจหนึ่งเมิ่งจงจวี่ถึงเอ่ยปากอย่างปลาบปลื้มสุขล้น “สวรรค์ สวรรค์ช่างดีต่อสกุลเมิ่งของข้านัก” 


 


 


หญิงชราเมิ่งก็ตื้นตันใจจนน้ำตาไหลพราก “ตาเฒ่าเอ๋ย โยวเอ๋อร์ของเราชะตาชีวิตดีโดยแท้ ภายหน้าจะต้องเป็นลูกหลานที่มีบุญวาสนาที่สุดของพวกเรา” 


 


 


เมิ่งจงจวี่พยักหน้างุดๆ “เด็กคนนั้นจิตใจดีงามมีเมตตากรุณา นี่ก็คือทำดีย่อมได้ดี” 


 


 


เมิ่งเสียวเถี่ยอยู่อีกด้านพยักหน้าเห็นพ้อง 


 


 


สักพักใหญ่อารมณ์ของสองผู้เฒ่าถึงสงบลงได้ 


 


 


 


 


 


 


 


 


[1] หลิวสุ่ยสี(流水席) รูปแบบงานเลี้ยงที่ให้ผู้มาร่วมงานเข้ามากินดื่มได้ตามชอบใจ 

 

 

 


ตอนที่ 171-2 งานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีสามวัน

 

หญิงชราเมิ่งถึงนึกขึ้นได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเมิ่งเสียวเถี่ยมีคำพูดต่อจากนั้นอีก เอ่ยปากถามเขา “เถี่ยเอ๋อร์ เมื่อครู่เจ้ายังพูดอะไรอีก?”


 


 


เมิ่งเสียวเถี่ยกระวีกระวาดตอบ “พวกพี่ใหญ่บอกว่า เพื่อเฉลิมฉลองที่อี้เซวียนสอบถงเซิงได้ ตัดสินใจจัดงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีหน้าประตูบ้านพี่รองให้กินดื่มโดยไม่เสียเงินตลอดสามวัน”


 


 


หญิงชราเมิ่งร้องอุทาน “งานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีสามวัน เช่นนั้นต้องใช้เงินมากเท่าใด?”


 


 


เมิ่งจงจวี่กลับยิ่งทวีความปลื้มปริ่ม “ดีๆๆ คราวนี้ชื่อเสียงของพวกเราสกุลเมิ่งจะได้ขจรขจาย และถือว่าข้าไม่มีอะไรให้ละอายใจต่อบรรพบุรุษสกุลเมิ่งแล้ว” พูดจบ ลุกขึ้นยืน “เสี่ยวเถี่ย เร็วเข้า ประคองข้าไปบ้านพี่รองเจ้า ข้าจะไปดูอี้เซวียนด้วยตัวเอง”


 


 


สองคนคนหนึ่งอายุมากแล้ว อีกคนเหลือขาข้างเดียว ค่ำคืนมืดมิด หญิงชราเมิ่งย่อมไม่ยอมให้พวกเขาไป พูดหว่านล้อม “ตาเฒ่า วันนี้ดึกมากแล้ว โยวเอ๋อร์กับอี้เซวียนกลับมาจากในจังหวัดก็คงจะเหนื่อย พอกินข้าวเสร็จจะต้องพักผ่อนแต่หัวค่ำ เจ้าไม่ต้องไปแล้ว เอาไว้พรุ่งนี้กินข้าวเช้าเสร็จค่อยไปหาพวกเขา”


 


 


เมิ่งจงจวี่กำลังอารมณ์ตื่นเต้นพลุ่งพล่าน ไหนเลยจะยอมฟังคำหว่านล้อม ดึงดันจะให้เสี่ยวเถี่ยประคองไปให้ได้


 


 


หญิงชราเมิ่งไม่มีทางเลือก จำต้องเดินไปเก็บไม้เท้าข้างประตู พูดว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะไปกับพวกเจ้าด้วย แบบนี้ข้าค่อยวางใจได้หน่อย”


 


 


เมิ่งจงจวี่ไม่คัดค้าน ทั้งสามประคองกันเดินออกไป มาถึงหน้าประตูใหญ่ ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนจำนวนหนึ่งดังแว่วมาแต่ไกล ทั้งสามหยุดชะงัก ไม่นานเมิ่งต้าจิน ภรรยา เมิ่งเหรินและเมิ่งอี้ก็เดินมาถึงหน้าประตู


 


 


เห็นทั้งสามคนยืนอยู่หน้าประตู เมิ่งต้าจินรีบร้อนถาม “ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านจะไปไหนกันหรือ?”


 


 


“พ่อเจ้าได้ยินว่าอี้เซวียนสอบถงเซิงได้ ดีใจยกใหญ่ จะไปหาอี้เซวียนตอนนี้ให้ได้” หญิงชราเมิ่งตอบ


 


 


เมิ่งต้าจินเดินเข้ามาประคองเมิ่งจงจวี่ พูดว่า “ท่านพ่อ ดึกดื่นแล้ว พรุ่งนี้ค่อยไปเถอะ อีกอย่างพวกเรายังมีเรื่องจะปรึกษาท่านด้วย?”


 


 


“เรื่องอะไร?” เมิ่งจงจวี่ถาม


 


 


เมิ่งต้าจินฉวยโอกาสนี้ประคองเขาเดินเข้าบ้าน “ข้ากับน้องรองน้องสามปรึกษากันแล้ว พรุ่งนี้เตรียมงานหนึ่งวัน วันมะรืนจะจัดงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสี พวกเราจะให้ท่านเป็นผู้กล่าวโอวาทก่อนเปิดงาน ไม่ทราบว่าท่านยินดีหรือไม่?”


 


 


เรื่องเป็นเกียรติเป็นศรีเช่นนี้เมิ่งจงจวี่ไหนเลยจะไม่ยินดี ลืมเรื่องจะไปหาเมิ่งอี้เซวียนทันใด รับปากเต็มคำ “ยินดี ข้าย่อมยินดี”


 


 


“เช่นนั้นเดี๋ยวพอท่านกินอาหารเสร็จก็รีบไปคิดว่าจะพูดอย่างไร เพราะเหลือเวลาแค่วันเดียวแล้ว” เมิ่งต้าจินพูด


 


 


เมิ่งจงจวี่พยักหน้าเบิกบานใจ “ได้ ข้ากลับเข้าห้องค่อยคิด”


 


 


หลังจากทั้งครอบครัวกินข้าวแล้ว เมิ่งต้าจินและภรรยาก็พูดเรื่องที่พวกเราหารือกันเรียบร้อยแล้วว่าจะจัดงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีอย่างไรให้สองผู้เฒ่าฟังอย่างละเอียด ถามเขาว่ามีตรงไหนตกหล่นหรือไม่


 


 


เมิ่งจงจวี่คิดอย่างถี่ถ้วนแล้วบอกพวกเขาว่า การจัดงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีโดยให้กินเปล่าเป็นเรื่องดี แต่ต้องควบคุมการดำเนินการให้ดี ป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องไม่ดีขึ้น อย่างเช่นบางคนทั้งกินทั้งห่อกลับ หรือบางคนก็มากินทุกมื้อ เรื่องพวกนี้จะต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดขึ้น


 


 


พวกเมิ่งต้าจินไม่ได้คิดคำนึงถึงเรื่องพวกนี้เลย รีบร้อนพูด “ขอบคุณท่านพ่อ พรุ่งนี้ข้าจะไปบอกน้องรองและน้องสาม ดูว่าต้องทำอย่างไรจะสกัดกั้นเรื่องพวกนี้ได้”


 


 


ตลอดทั้งคืน นอกจากเมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียน คนในสกุลเมิ่งแทบทั้งหมดต่างตื่นเต้นดีใจจนนอนไม่หลับ


 


 


เป็นดั่งคำกล่าวที่ว่าเมื่อเจอเรื่องดีจิตใจก็กระปรี้กระเปร่า เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งชื่อที่แทบจะไม่ได้นอนทั้งคืน หลังจากตื่นในเช้าวันรุ่งขึ้นก็ยังคงกระชุ่มกระชวยมีชีวิตชีวา


 


 


หลังจากกินอาหารเช้า เมิ่งเอ้ออิ๋นเมิ่งเสียนและเมิ่งฉีก็บังคับรถม้าออกไปยืมโต๊ะเก้าอี้จากครอบครัวต่างๆ โดยรอบ ทั้งบอกพวกเขาเรื่องที่ครอบครัวตัวเองจัดงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสี และให้พวกเขาบอกญาติสนิทมิตรสหายของตัวเอง สามวันนี้ให้มากินดื่มกันได้ตามอัธยาศัย


 


 


คนในหมู่บ้านยินดีปรีดา แยกย้ายกันไปกระจายข่าว บางคนให้ลูกหลานของตัวเองไปแจ้งข่าวดีแก่ญาติสนิทมิตรสหาย พริบตาเดียวเกิดเสียงดังระงม อึกทึกคึกคักไปทั้งหมู่บ้าน มีเพียงประตูใหญ่บ้านหนิวโก่วจื่อที่ปิดสนิท ไร้ความเคลื่อนไหวใดๆ ชาวบ้านที่ผ่านหน้าบ้านพวกเขาต่างต้องเหล่มองเข้าไปด้านใน ลอบขบคิดสองสามีภรรยาชอบประจบสอพลอคู่นี้จะมีสีหน้าอย่างไร


 


 


พวกเขาไม่รู้ว่าหนิวโก่วจื่อและภรรยาที่คิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายได้เปรียบมาตลอด ตอนนี้ต่างเสียใจจนไส้เขียวไปหมดแล้ว แทบอยากจะไปแย่งเมิ่งอี้เซวียนกลับมา แต่พวกเขารู้ว่าถ้าทำเช่นนั้นจริงๆ ด้วยนิสัยของเมิ่งเชี่ยนโยวในตอนนี้ จะต้องจับพวกเขาโยนให้เป็นอาหารจิ้งจอกบนเขาอย่างแน่แท้ ดังนั้นจึงปิดประตูใหญ่สนิท เมื่อไม่เห็นก็ไม่รู้สึก แต่หนิวตั้นไม่เหมือนกัน พอได้ยินว่าเป็นงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีให้กินเปล่า ก็ดีใจกระโดดโลดเต้น ฉวยโอกาสที่สองสามีภรรยาไม่สังเกต แอบเปิดประตูใหญ่วิ่งออกไป สองเท้าสั้นกระจิดวิ่งตรงมาที่บ้านเมิ่งเชี่ยนโยว เห็นเมิ่งอี้เซวียนที่อยู่ในลานบ้าน กระโจนเข้าหาแล้วร้องเรียก “ท่านพี่” ด้วยอารามดีใจ ทั้งวิงวอนเขา “ท่านพี่ ข้าก็อยากกินงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสี”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนลูบหัวเขา รับปากด้วยความยินดี “ได้ พรุ่งนี้หนิวตั้นมาหาพี่ พี่จะพาเจ้าไปกินงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสี”


 


 


หนิวตั้นดีใจร้องไชโย เห็นเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงกำลังเล่นแมลงปอไม้ไผ่อย่างสนุกสนาน ก็เข้าไปถามอย่างสั่นกลัว “พวกเจ้าสอนข้าเล่นบ้างได้หรือไม่?”


 


 


เมิ่งเจี๋ยคุ้นเคยกับหนิวตั้นมานานแล้ว จึงไม่ปฏิเสธ สอนเขาเล่นแมลงปอไม่ไผ่อย่างมีความสุข เมิ่งชิงรู้สึกไม่พอใจ ทำปากยื่นยืนอีกด้านอย่างไม่ยินดี


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วกวักมือเรียกเขา เมิ่งชิงวิ่งเข้ามาร้องเรียกอย่างน้อยใจ “ท่านพี่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวย่อตัวลง ถามอย่างรู้แก่ใจ “ชิงเอ๋อร์เป็นอะไร? ใครทำเจ้าไม่พอใจ?”


 


 


เมิ่งชิงชี้หนิวตั้นที่เล่นแมลงปอไม้ไผ่อย่างสนุก “ข้าไม่ชอบเล่นกับเขา?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เพราะอะไร?”


 


 


เมิ่งชิงตอบเสียงดัง “เมื่อก่อนพ่อแม่พวกเขาทำไม่ดีกับพี่อี้เซวียน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวนิ่งอึ้ง ยกยิ้มถามเขา “ใครเป็นคนบอกเจ้า?”


 


 


“ท่านแม่ข้า ท่านแม่ข้าเป็นคนบอก คนจิตใจเ**้ยมโหดอย่างพวกเขาสักวันจะต้องได้รับผลกรรม ไม่ให้ข้าไปเล่นกับหนิวตั้น” พอเอ่ยถึงมารดาตัวเอง เมิ่งชิงก็สีหน้าหมองมัวลง แต่ก็ยังตอบคำถามอย่างอ่อนน้อมเชื่อฟัง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลูบศีรษะเขาอย่างรักใคร่ มองดวงตาเขาถามอย่างจริงจัง “เจ้าเห็นพี่อี้เซวียนดีต่อหนิวตั้นหรือไม่?”


 


 


เมิ่งชิงพยักหน้า “ดี”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามอีก “เช่นนั้นเจ้ารู้ไหมเหตุใดพี่อี้เซวียนถึงดีกับเขาเช่นนั้น?”


 


 


เมิ่งชิงย่นหัวคิ้วน้อยๆ ขบคิดครู่หนึ่ง ส่ายหน้า “ข้าไม่รู้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตั้งใจบอกเขา “นั่นเพราะเขาเป็นน้องชายพี่อี้เซวียน พี่อี้เซวียนเห็นเขาโตมาแต่อ้อนแต่ออก มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อเขา ถึงดีต่อเขาเช่นนั้น”


 


 


เมิ่งชิงพยักหน้าเหมือนจะเข้าใจ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อ “ดังนั้นเห็นแก่หน้าพี่อี้เซวียน เจ้าก็ควรจะดีกับเขาด้วยเช่นกัน ต่อไปให้เล่นสนุกกับเขาพร้อมเจี๋ยเอ๋อร์”


 


 


เมิ่งชิงครุ่นคิดอึดใจหนึ่ง ถึงพยักหน้าถาม “เช่นนั้นต่อไปพวกเราสามคนก็จะเป็นน้องชายของพี่อี้เซวียนใช่หรือไม่?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ใช่แล้ว ดังนั้นต่อไปไม่ว่าพวกเจ้าไปอยู่ที่ไหน จะต้องคอยดูแลกันและกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน”


 


 


เมิ่งชิงรับคำอย่างยินดี “ทราบแล้ว พี่สาว ข้าจะไปเล่นกับพวกเขาแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลูบหัวเขา “ไปเถอะ”


 


 


เมิ่งชิงวิ่งแจ้นเข้าไปร่วมวงกับเมิ่งเจี๋ยและหนิวตั้น ไม่นานเท่าไหร่เด็กตัวน้อยก็ส่งเสียงหัวเราะสนุกสนานออกมา


 


 


เมิ่งอี้เซวียนมองทั้งหมดนี้เงียบๆ แววตาเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ


 


 


หลังจากเมิ่งจงจวี่กินอาหารเช้าเสร็จ ก็นั่งบนเก้าอี้ภายในบ้าน ขบคิดเรื่องคำกล่าวโอวาท คิดคำกล่าวออกมาได้หลายบทแต่ก็ยังไม่พอใจ ตอนที่กำลังกลัดกลุ้ม ด้านนอกมีเสียงร้องถาม “มีคนอยู่หรือไม่?”


 


 


คนในบ้านต่างออกไปช่วยเรื่องงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสี เหลือเพียงสองผู้เฒ่าอยู่ในบ้าน ได้ยินเสียงร้องตะโกน เมิ่งจงจวี่เดินออกมาจากในบ้าน กำลังจะซักถามว่าใคร กลับเห็นคนในสกุลตัวเองประคองหัวหน้าสกุลยืนอยู่หน้าประตูบ้านตนเอง


 


 


เมิ่งจงจวี่ผลุนผลันเร่งฝีเท้าเดินออกไป ถามอย่างอ่อนน้อม “ท่านผู้เฒ่ามีเรื่องอันใดให้คนมาแจ้งข่าวก็ได้ เหตุใดต้องมาด้วยตัวเอง รีบเข้ามานั่งในบ้านก่อน”


 


 


หัวหน้าสกุลเฒ่าก็ไม่ปฏิเสธ ตามเขาเข้ามาในบ้าน แล้วพูดว่า “วันนี้ข้ามาหาท่าน เพราะอยากปรึกษาท่านเรื่องเปิดศาลบรรพบุรุษเซ่นไหว้บรรพชน”


 


 


พอได้ยินว่าเป็นเสียงหัวหน้าสกุลเฒ่า หญิงชราเมิ่งก็รีบเข้ามาต้อนรับ กล่าวทักทายหัวหน้าสกุลเฒ่าอย่างเป็นกันเอง


 


 


เมิ่งจงจวี่กำชับนาง “ท่านหัวหน้าสกุลเฒ่าอุตส่าห์มาบ้านพวกเรา เจ้าจงไปชงใบชาชั้นดีที่โยวเอ๋อร์ซื้อให้ข้าเข้ามา”


 


 


หญิงชราเมิ่งรับคำออกไปชงชา


 


 


เมิ่งจงจวี่และหัวหน้าสกุลเฒ่านั่งบนเก้าอี้ดีแล้ว ถึงถามอย่างไม่เข้าใจ “การเปิดศาลบรรพบุรุษจะกระทำในวันปีใหม่ของทุกปีและตอนที่เกิดเรื่องสลักสำคัญไม่ใช่หรือ? ช่วงนี้ข้าไม่ได้ยินว่าสกุลเราเกิดเรื่องใหญ่อันใด เหตุใดท่านถึงคิดจะเซ่นไหว้บรรพชนเล่า?”


 


 


หัวหน้าสกุลเฒ่าแย้มยิ้มกล่าวว่า “จงจวี่เอ๋ย ข้าว่าเจ้าดีใจจนเลอะเลือนแล้ว อี้เซวียนสอบระดับจังหวัดได้ที่หนึ่งด้วยวัยเพียงสิบปี เป็นถงเซิงอย่างง่ายดาย เรื่องดีเรื่องใหญ่เช่นนี้ พวกเราไม่ควรเซ่นไหว้บอกกล่าวต่อบรรพชนสกุลเมิ่งหรือ?”


 


 


เมิ่งจงจวี่ถามอย่างปลาบปลื้ม “ท่านหมายความว่า พวกเราจะเปิดศาลบรรพบุรุษเซ่นไหว้บรรพชนเพื่ออี้เซวียน”


 


 


หัวหน้าสกุลเฒ่าพยักหน้า


 


 


เมิ่งจงจวี่เริ่มพูดตะกุกตะกัก “ตะ ตะ แต่เขาหาได้เป็นลูกหลานสกุลเมิ่งของพวกเราอย่างแท้จริง ทำเช่นนี้จะเหมาะสมหรือ?”


 


 


หัวหน้าสกุลเฒ่ายิ้มพูด “จงจวี่เอ๋ย เจ้าดีใจจนเลอะเลือนไปแล้ว อี้เซวียนได้เข้ามาอยู่ในบันทึกเชื้อสายประจำสกุลเมิ่งแล้ว เขาก็คือลูกหลานของพวกเราสกุลเมิ่ง เรื่องสลักสำคัญที่เขาสอบถงเซิงได้นี้ ย่อมต้องบอกกล่าวให้บรรพชนของพวกเรารับรู้”


 


 


เมิ่งจงจวี่ยังคงตื้นตันใจ “เอ่อๆๆ…”


 


 


หัวหน้าสกุลเฒ่าเห็นอาการตื่นเต้นดีใจของเขา รู้ว่าเขายอมรับปากแล้ว ก็ให้ยินดีไปด้วย พูดว่า “จงจวี่เอ๋ย เจ้าไม่รู้หรอกว่าเมื่อวานตอนที่เด็กๆ มาบอกข่าวนี้แก่ข้า ข้าตื้นเต้นปิติยิ่งกว่าเจ้าอีกเล่า หากไม่เพราะพวกเขาบอกว่าฟ้ามืดแล้ว ไม่เหมาะให้ข้าออกจากบ้าน เกรงว่าข้าคงมาหาเจ้าตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”


 


 


เมิ่งจงจวี่พูดอย่างตื้นเต้น “ข้าก็เช่นกัน เมื่อคืนวานข้าดีใจจนนอนไม่หลับทั้งคืน วันนี้พอตื่นมากลับยังรู้สึกกระปรี้กระเปร่า”


 


 


หัวหน้าสกุลเฒ่าหัวเราะลั่น


 


 


หญิงชราเมิ่งนำชาที่ชงเสร็จแล้วเข้ามา เมิ่งจงจวี่ลุกขึ้นนำน้ำชามามอบให้หัวหน้าสกุลเฒ่าด้วยตัวเอง “นี่เป็นชาเถี่ยกวนอินชั้นเลิศของปีนี้ ท่านลองลิ้มรสดู”


 


 


หัวหน้าสกุลเฒ่าก็ไม่เกรงใจ ยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างระวังหนึ่งคำ หลังจากลิ้มรสอย่างละเมียดก็พูดชื่นชม “กลิ่นหอมเต็มปาก เป็นยอดชาโดยแท้”


 


 


เมิ่งจงจวี่ก็ยกถ้วยชาขึ้นจิบหนึ่งคำอย่างเบิกบานใจ นั่งบนเก้าอี้ด้วยใบหน้าเต็มตื้น

 

 

 


ตอนที่ 171-3 งานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีสามวัน

 

หลังจากดื่มชาอีกสองสามคำ หัวหน้าสกุลเฒ่าก็วางถ้วยชาลง “จงจวี่เอ๋ย เจ้าช่างโชคดีนัก มีหลานสาวเก่งกาจสามารถ ตอนนี้ก็มีหลานชายฉลาดล้ำเลิศ ชีวิตจากนี้ไปของเจ้าเหลือเพียงเสพสุขโชควาสนาแล้ว”


 


 


เมิ่งจงจวี่ยิ้มแล้วโบกมือ “ชีวิตเกิดมาก็ต้องกระเสือกกระสนดิ้นรน ไฉนเลยจะได้เสพสุขโชควาสนา เด็กๆ ดีใจเบิกบานกันมาก อยากจัดงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีให้กินเปล่าสามวัน ให้ข้ากล่าวให้โอวาทก่อนเปิดงาน ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้ข้ายังคิดไม่ออกเลย”


 


 


เรื่องงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีหัวหน้าสกุลเฒ่ายังไม่เคยได้ยิน พอได้ฟังดวงตาพร่าเลือนคู่นั้นก็เบิกกว้าง ถามอย่างตกใจ “จัดงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีสามวัน?”


 


 


เมิ่งจงจวี่พยักหน้า


 


 


หัวหน้าสกุลเฒ่ายิ่งทวีความปลาบปลื้มใจ ลูบเครายาวหัวเราะลั่น “ดีๆๆ นับจากนี้ไปชื่อเสียงสกุลเมิ่งของพวกเราในตำบลชิงซีนี้จะไม่มีใครไม่เคยได้ยิน ไม่มีใครไม่รู้จักอีก”


 


 


เมิ่งจงจวี่เห็นเขาดีใจเช่นนี้ หยั่งเชิงถามขึ้น “ท่านผู้อาวุโสผ่านประสบการณ์ชีวิตมามาก พอจะช่วยข้าได้หรือไม่?”


 


 


ถูกยกยอสูงเช่นนี้ หัวหน้าสกุลเฒ่าย่อมไม่ปฏิเสธ ให้คำแนะนำเขาเป็นกระบุงโกย


 


 


เมิ่งจงจวี่ได้ฟังรีบกล่าวขอบคุณ “ผู้อาวุโสมีความรู้และประสบการณ์มากโดยแท้ จงจวี่ขอบคุณแล้ว”


 


 


หัวหน้าสกุลเฒ่าโบกมือ “ล้วนเป็นคนสกุลเดียวกัน ช่วยเจ้าก็คือช่วยข้า อีกทั้งนี่เป็นการช่วยเชิดชูเกียรติให้สกุลเมิ่งของพวกเรา ข้าออกแรงช่วยบ้างก็สมควรแล้ว”


 


 


เมิ่งจงจวี่กล่าวขอบคุณอีกครั้ง


 


 


ทั้งสองหารือเรื่องพิธีเซ่นไหว้บรรพชนอีกรอบ สุดท้ายตัดสินใจจะเปิดศาลบรรพบุรุษตอนบ่าย


 


 


เมื่อตกลงเรื่องเสร็จ หัวหน้าสกุลเฒ่าดื่มน้ำชาอีกหลายคำ จึงลุกขึ้นกลับไปเตรียมการพิธีเซ่นไหว้ เมิ่งจงจวี่รั้งเขาแล้วหันไปสั่งหญิงชราเมิ่ง “ไปเอาใบชามาจำนวนหนึ่ง”


 


 


หญิงชราเมิ่งนำใบชาเข้ามา


 


 


เมิ่งจงจวี่รับมาวางใส่มือหัวหน้าสกุลเฒ่า “ใบชาพวกนี้ ท่านนำกลับไปดื่มเถอะ”


 


 


หัวหน้าสกุลเฒ่าได้ยินเรื่องที่เมิ่งเชี่ยนโยวจ่ายเงินซื้อใบชาราคาหลายพันตำลึงมอบให้เมิ่งจงจวี่มานานแล้ว รู้ว่าใบชานี้ราคาแพงลิ่ว บอกปฏิเสธ “นี่เป็นความกตัญญูของเด็กๆ ข้าจะรับของราคาแพงลิ่วเช่นนี้ได้อย่างไร เจ้าเก็บไว้ค่อยๆ ดื่มเองเถอะ”


 


 


เมิ่งจงจวี่พูดว่า “หลายปีมานี้ ท่านดูแลข้าเป็นอย่างดี ใบชานี้ถือเป็นของกตัญญูที่ข้ามีต่อท่าน ท่านอย่าได้ปฏิเสธอีกเลย”


 


 


หัวหน้าสกุลเฒ่าเห็นเมิ่งจงจวี่มอบให้เขาด้วยความตั้งใจจริง จึงรับไว้ ส่งให้เด็กรุ่นหลังข้างกาย แล้วพูดเกรงอกเกรงใจอีกสองสามคำ ถึงให้เด็กรุ่นหลังประคองออกไป


 


 


หัวหน้าสกุลเฒ่าเพิ่งเดินจากไป เมิ่งจงจวี่ก็บอกกล่าวหญิงชราเมิ่งแล้วผลุนผลันเดินไปบ้านเมิ่งเอ้ออิ๋น


 


 


สองสามีภรรยาเมิ่งและคนอื่นๆ ยืมโต๊ะเก้าอี้มาหลายคันรถแล้ว กำลังตั้งเรียงเป็นแนวหน้าประตูบ้านตัวเอง เห็นเมิ่งจงจวี่เดินเข้ามาลิบๆ เมิ่งเอ้ออิ๋นรีบวิ่งเข้าไปประคองเขา “ท่านพ่อ ท่านมาได้อย่างไร?”


 


 


เมิ่งจงจวี่เดินไปพลางพูดว่า “เมื่อครู่หัวหน้าสกุลเฒ่ามาหาข้า บอกว่าอี้เซวียนเชิดหน้าชูตาให้สกุลเมิ่งของพวกเรา เขาจะเปิดศาลบรรพบุรุษ บอกกล่าวเรื่องดีนี้ต่อบรรพชน ข้ารับปากเห็นด้วยไปแล้ว พวกเจ้าไปเตรียมตัวเถอะ พิธีจะเริ่มตอนบ่าย”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นได้ฟังพูดด้วยความปลื้มปริ่ม “ข้าทราบแล้วท่านพ่อ ประเดี๋ยวข้าจะไปเตรียมตัว”


 


 


เมิ่งเสียนย้ายเก้าอี้ออกมาวางหน้าประตู


 


 


เมิ่งจงจวี่นั่งลงแล้วถาม “อี้เซวียนเล่า? ให้เขาออกมาหน่อยเถิด”


 


 


เมิ่งเสียนเข้าไปในบ้านเรียกเมิ่งอี้เซวียนออกมา


 


 


เมิ่งอี้เซวียนเดินมาเบื้องหน้าเมิ่งจงจวี่ ร้องเรียกอย่างว่านอนสอนง่าย “ท่านปู่”


 


 


เมิ่งจงจวี่มองเมิ่งอี้เซวียนตรงหน้าอย่างถี่ถ้วน ถึงพบว่าเขาอายุเพียงเท่านี้ก็มีสง่าราศีไม่ธรรมดา บนตัวมีรัศมีเยี่ยงคนใหญ่คนโต ลูบเคราตัวเองแล้วพยักหน้ายินดี “ดีๆๆ”


 


 


การเซ่นไหว้บรรพชนเป็นพิธีสำคัญ ลูกหลานสกุลเมิ่งทุกคนจะต้องเข้าร่วม ดังนั้นเมิ่งเอ้ออิ๋นจึงให้เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีไปแจ้งข่าวแก่เมิ่งต้าจินและเมิ่งซานถง ไม่ว่าพวกเขาทำอะไรให้หยุดไว้ก่อน แล้วรีบกลับมาเตรียมงานพิธีเซ่นไหว้บรรพชน


 


 


กินอาหารเที่ยงเสร็จ เมิ่งเอ้ออิ๋นและลูกๆ ห้าคนรวมถึงเมิ่งชิงต่างเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ ไปยังศาลบรรพบุรุษอย่างหน้าชื่นตาบาน


 


 


หลังจากหัวหน้าสกุลหนิวได้รับทราบข่าวนี้ ก็ให้โมโหขว้างถ้วยชาในมือแตกละเอียด ร้องก่นด่าหนิวโก่วจื่อและภรรยา “หากไม่เพราะพวกเขาสายตาสั้นเขิน เห็นแก่เงินเล็กๆ น้อยๆ นั่น เกียรติยศชื่อเสียงนี้สมควรเป็นของพวกเราสกุลหนิว” ทั้งออกคำสั่งคนในสกุลหนิว “ต่อไปพวกเขามีเรื่องอะไร พวกเจ้าใครก็ห้ามไปช่วยเหลือ ให้พวกเขาเอาตัวรอดด้วยตัวเอง”


 


 


หัวหน้าสกุลหนิวกำลังโมโหเดือดดาล อีกด้านหัวหน้าสกุลเฒ่าเมิ่งก็เป็นผู้นำทำพิธีเซ่นไหว้บรรพชนอย่างชื่นบานเสร็จเรียบร้อย


 


 


สะใภ้บ้านเมิ่งทั้งสามคนก็ตระเตรียมความพร้อมสำหรับงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีครบถ้วนแล้ว รอคอยการมาถึงของวันพรุ่งนี้อย่างปิติยินดีและกระสับกระส่าย


 


 


เมื่อวานหลังจากคนในหมู่บ้านได้ยินเรื่องงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสี คิดถึงผัดผักรวมเนื้อหมูหม้อใหญ่ตอนปลูกเรือนครั้งแรกของบ้านเมิ่ง ต่างก็ตื่นเต้นดีใจจนนอนไม่หลับ รอคอยให้วันนี้มาถึงโดยเร็ว มีบางคนถึงกับยอมไม่กินข้าวตั้งแต่เมื่อวาน เตรียมตัวรอเวลาช่วงเที่ยง จะได้กินอาหารอย่างอิ่มหนำสำราญ ดังนั้นหลังกินอาหารเช้าเสร็จหนึ่งถึงสองเค่อ ก็เริ่มมีคนอดใจรอไม่ไหว มาเลือกตำแหน่งที่นั่งหน้าประตูบ้านเมิ่งเอ้ออิ๋นแล้ว


 


 


ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม นอกจากผู้หญิงผู้ชาย คนชราเด็กเล็กในหมู่บ้านที่มากันพร้อมหน้าแล้ว หมู่บ้านละแวกใกล้เคียงก็มียกโขยงมากันทั้งครอบครัว เห็นหน้าประตูบ้านเมิ่งเอ้ออิ๋นมีโต๊ะเก้าอี้วางเรียงเป็นแนวยาว ก็ให้ตกใจครั่นคราม ลอบคิดในใจ คนมากมายมากินข้าวพร้อมกันในคราเดียว ช่วงเวลาสามวันนี้ต้องใช้เงินจำนวนมากเท่าใด


 


 


สะใภ้สกุลเมิ่งทั้งสามคนกล่าวทักทายผู้คนที่เข้ามา ให้ทุกคนหาที่นั่ง เตรียมตัวกินเลี้ยงหลิวสุ่ยสี


 


 


ไม่ถึงยามซื่อ[1] โต๊ะเก้าอี้หน้าประตูก็ถูกคนที่มากินเลี้ยงหลิวสุ่ยสีนั่งจนเต็ม ด้านหลังยังมีคนทยอยกันมาไม่ขาดสาย พอเห็นว่าไม่มีที่นั่งแล้ว ก็ยืนรออยู่อีกด้าน รอให้คนชุดแรกกินเสร็จจะได้รีบเข้าไปนั่ง


 


 


เมิ่งต้าจินเห็นคนนั่งเต็มแล้ว เวลาก็ไม่เช้าแล้ว จึงหันไปพูดกับเมิ่งจงจวี่ “ท่านพ่อ ท่านเริ่มกล่าวโอวาทเถอะ”


 


 


เมิ่งจงจวี่พยักหน้า เดินไปยืนตรงด้านหน้ากลุ่มคน


 


 


เมิ่งต้าจินโบกมือให้กลุ่มคน ทุกคนพลันเงียบเสียงลง ต่างมองมาที่เมิ่งจงจวี่อย่างนิ่งสงบ


 


 


แม้เมิ่งจงจวี่จะเป็นซิ่วไฉ และมีประสบการณ์มาไม่น้อย แต่ก็ยังไม่เคยกล่าวโอวาทต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้มาก่อน อดตื่นเต้นประหม่าไม่ได้ แม้แต่เสียงก็เริ่มสั่นไหว กว่าจะพูดสิ่งที่อยากพูดจบ เหงื่อเม็ดใหญ่ก็ผุดซึมไปทั่วหน้าผากแล้ว


 


 


เมิ่งต้าจินและเมิ่งเอ้ออิ๋นกุลีกุจอเข้าไปประคองเขาลงมานั่งอีกด้าน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินขึ้นมาด้านหน้าทุกคน พูดอย่างจริงจังขึงขัง “ทุกคนต่างทราบดี เพื่อเฉลิมฉลองที่น้องชายข้าสอบถงเซิงได้ ครอบครัวของพวกเราถึงจัดงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีขึ้น จุดประสงค์เพื่อให้ทุกคนมีความสุขร่วมกัน ดังนั้นเพื่อเลี่ยงไม่ให้เกิดเรื่องไม่สบายใจต่อกัน ข้าขอพูดกฎระเบียบสองสามข้อ หวังว่าทุกคนจะปฏิบัติตาม ไม่เช่นนั้น ข้าจะขับคนผู้นั้นออกไป”


 


 


กลุ่มคนนิ่งเงียบสนิท


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกวาดตามองทุกคนแวบหนึ่ง พูดว่ากฎข้อที่หนึ่งก็คือ ทุกคนสามารถกินอาหารในงานได้ตามสบาย อยากกินเท่าไหร่ก็กินเท่านั้น กระทั่งกินไม่ไหวแล้ว แต่ห้ามนำติดมือกลับไป แม้แต่ผักสักใบก็ไม่ได้


 


 


ฟังนางพูดจบ คนที่เตรียมสิ่งของหมายจะฉวยโอกาสเอากลับไป รีบนำสิ่งของที่ตัวเองนำมาซุกซ่อนไว้ในร่างกาย เลี่ยงไม่ให้เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเข้า


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อ “กฎข้อที่สองก็คือ ภายในสามวันนี้ แต่ละคนจะกินได้เพียงหนึ่งมื้อ จะมากินทุกมื้อไม่ได้”


 


 


สิ้นเสียงนาง ในกลุ่มคนมีคนส่งเสียงผิดหวังออกมา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วพูดต่อ “กฎข้อที่สาม และเป็นข้อที่อยากบอกทุกคนมากที่สุด ก็คือเมื่อกินอิ่มแล้ว ก็ให้รีบลุกออกไป หลีกทางให้คนมาที่หลัง ห้ามจองที่นั่ง และยิ่งห้ามไม่ให้เกิดความบาดหมางกันเพราะเรื่องนี้”


 


 


พูดจบก็โบกมือ พวกอู๋ต้าห้าคนและพวกจางมู่ห้าคนรวมถึงเหวินเปียวสามพี่น้องเดินมายืนนิ่งด้านหน้าโต๊ะ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวชี้พวกเขาแล้วพูดกับกลุ่มคน “ข้าจะให้พวกเขาคอยสอดส่อง หากมีใครฝ่าฝืนกฎสามข้อนี้ คนผู้นั้นจะถูกขับออกไปทันที ต่อไปเมื่อมีรับสมัครงานก็จะไม่เรียกใช้เขา”


 


 


ไม้นี้เด็ดขาด คนที่เพิ่งจะร้องโอดครวญพลันเงียบเสียงกริบ


 


 


สะใภ้หนิวโก่วจื่อที่หน้าด้านหน้าทนเข้ามาเบ้ปาก พูดอย่างดูแคลน “ไหนบอกว่าบ้านตัวเองมีเงินใช้ไม่หมดอย่างไร? ตอนนี้เหตุใดถึงไม่กล้าให้ทุกคนเข้ามากินเลี้ยงหลิวสุ่ยสีได้ทุกวันแล้ว ข้าว่ามีแต่เปลือกข้างในโหรงเหรงเสียไม่ว่า”


 


 


คนที่นั่งข้างนางได้ยินเขาพูดเช่นนี้ กริ่งเกรงเมิ่งเชี่ยนโยวจะได้ยิน พลอยให้ตัวเองไม่ได้กินเลี้ยงไปด้วย ต่างหาที่กระเถิบแยกไปคนละด้าน พยายามออกห่างนางให้มากที่สุด


 


 


ราวกับว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะได้ยินเสียงของนาง มองนางแวบหนึ่งเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม


 


 


สะใภ้หนิวโก่วจื่อตกใจคอหัวหดพลัน พยายามลดการมีตัวตนของตัวเอง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจนาง หันไปพยักหน้าให้เมิ่งต้าจิน


 


 


เมิ่งต้าจินยกมือร้องตะโกน “งานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีเริ่มได้!”


 


 


ลูกหลานสกุลเมิ่งแต่ละรุ่นเริ่มยกอาหารออกมา แต่ละโต๊ะมีอาหารคาวสองอาหารผักสอง เพิ่มพิเศษด้วยผัดผักรวมหนึ่งกะละมังใหญ่


 


 


กลุ่มคนแตกตื่นลุกฮือ ทยอยกันหยิบตะเกียบลงมือกินอย่างไม่สนใจใคร


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเคยเห็นคนกินงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีมาแล้วครั้งหนึ่ง คุ้นตาเสียแล้ว แต่เหวินเปียวและน้องๆ ไม่เหมือนกัน รู้สึกว่าตัวเองตระเวนไปทั่วร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ พบเจอเรื่องแปลกประหลาดนับไม่ถ้วน ไม่มีอะไรทำให้ตัวเองรู้สึกประหลาดใจได้อีก แต่พอเห็นอิริยาบถการกินเลี้ยงของกลุ่มคนตรงหน้า ก็ตกใจจนเกือบกัดลิ้นตัวเอง สวรรค์ คนเหล่านี้ไม่ได้กินข้าวมานานแค่ไหนแล้ว หมั่นโถอัดแน่นเต็มเข่งใหญ่เพิ่งจะยกมาวางถูกแย่งหยิบจนหายเกลี้ยงในพริบตา อาหารทั้งสี่จานยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้ว เพิ่งจะว่างจานลงบนโต๊ะ ก็เห็นก้นจานในทันที แม้แต่ผัดผักรวมพูนกะละมังใหญ่ไม่ถึงหนึ่งเค่อก็ถูกกินจนเห็นแต่ก้นกะละมัง


 


 


สามพี่น้องสกุลเหวินยังตกตะลึงถึงขั้นนี้ คนอื่นในสกุลเหวินยิ่งตกตะลึงจนพูดไม่ออก โดยเฉพาะเหวินจิ้ง ถามเหวินซงอย่างไร้เดียงสา “ท่านพี่ พวกเขาไม่ได้กินข้าวกันมาหลายวันแล้วหรือ?”


 


 


เหวินซงก็ไม่เคยพบเจอสถานการณ์เช่นนี้ ย่อมตอบไม่ออก มองเมิ่งฉีที่ตัวเองสนิทด้วยที่สุดอย่างขอความช่วยเหลือ


 


 


เมิ่งฉีก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ทำได้เพียงยิ้มเจื่อนๆ ให้เขา


 


 


พวกอู๋ต้าและจางมู่ทั้งสิบคนแม้จะตกตะลึงบ้าง แต่ไม่นานก็สงบนิ่งลงได้ ทำตามที่เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งคอยเดินไปเดินมาในกลุ่มคน คอยสอดส่องว่ามีใครแอบหยิบของกลับไปหรือไม่


 


 


กฎของงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีคืออาหารคาวอาหารผักอย่างละสอง ยกขึ้นโต๊ะหนึ่งครั้งทุกหนึ่งชั่วยาม ผัดผักรวมจะมีอยู่ตลอด ดังนั้นลูกหลานสกุลเมิ่งคนอื่นๆ ที่เข้ามาช่วยงานจึงต้องคอยยกผัดผักรวมเดินฝ่ากลุ่มคนไม่หยุด พอเห็นโต๊ะไหนไม่มี ก็จะรีบเข้าไปเติมให้หนึ่งกะละมัง โดยที่คนชุดแรกยังไม่ลุกออกจากงาน พวกเขาก็เหนื่อยจนยกแขนไม่ขึ้นแล้ว


 


 


เมิ่งต้าจินเห็นพวกเขาเหนื่อยล้าอ่อนแรงก็โบกมือ ให้อีกชุดหนึ่งเข้ามา เปลี่ยนพวกเขาไปพักผ่อน


 


 


กลุ่มหญิงสาวที่มาทำอาหารยิ่งไม่ต้องพูดถึง เหนื่อยจนยกหม้อยกตะหลิวไม่ขึ้นแล้ว


 


 


 


 


[1] ยามซื่อ คือเวลา 9.00-11.00 น. 

 

 


ตอนที่ 172-1 รักแรกพบ

 

ครึ่งชั่วยามต่อมา เริ่มมีคนกินไม่ไหวแล้ว แอ่นพุงที่จุกแน่นค่อยๆ ลุกออกไปจากงาน คนที่รอเข้าแถวด้านหลังรีบเข้าไปนั่งแทน หยิบตะเกียบและถ้วยที่เกินมาบนโต๊ะตักผัดผักรวมลงมือกินอย่างตะกละตะกลาม


 


 


เมิ่งชื่อมองดูทั้งหมดนี้ แอบลอบสรรเสริญบุตรสาวของตัวเองที่มองการณ์ไกล แม้แต่รายละเอียดยิบย่อยนี้ก็จัดการได้อย่างดี ไม่เช่นนั้นด้วยสถานการณ์ตอนนี้ จะต้องเกิดศึกเพราะแย่งเก้าอี้กันอย่างแน่แท้


 


 


งานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีวันแรกยืนยาวมาถึงยามเสิน[1]ถึงจบสิ้น คนทั้งหมดต่างเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า แทบอยากไปพักผ่อนโดยไม่ต้องกินข้าวเย็น


 


 


พอเห็นวันแรกผู้คนก็กินไปมากมายเช่นนี้ เมิ่งชื่อเริ่มรู้สึกเสียใจ พูดว่า “ถ้ารู้ว่าชาวบ้านกินเก่งแบบนี้ ข้าจะจัดวันเดียวก็พอ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดปลอบนาง “วันแรกที่มาเป็นคนในหมู่บ้านพวกเราและหมู่บ้านละแวกใกล้เคียง ไม่ต้องป่าวประกาศมากพวกเขาก็รู้จักบ้านเรา วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปจะเป็นคนที่มาจากที่ไกลออกไปแล้ว นั่นถึงจะเป็นโอกาสสร้างชื่อเสียงให้ครอบครัวพวกเราอย่างแท้จริง”


 


 


เมิ่งชื่อไม่เข้าใจ “ตอนนี้ครอบครัวพวกเราก็ดีมากแล้ว ยังต้องสร้างชื่อเสียงไปทำไม?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่อาจอธิบายให้นางฟังอย่างละเอียดได้ จำต้องตอบนางอย่างคลุมเครือ “หากครอบครัวพวกเรามีชื่อเสียง ภายหน้ากระทำการอันใดก็จะสะดวกขึ้นมาก”


 


 


เมิ่งชื่อยังคงเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่ก็ไม่ถามอีก กินอาหารค่ำอย่างลวกๆ แล้วไปพักผ่อน


 


 


วันที่สองเป็นอย่างที่เมิ่งเชี่ยนโยวพูดดังคาด คนจากพื้นที่ห่างไกลได้ยินว่ามีงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีให้กินเปล่าก็หอบกันมาทั้งครอบครัว สถานการณ์การกินข้าวเหมือนวันแรกทุกอย่าง แต่ละคนต่างกินอย่างมูมมามเหมือนไม่ได้กินข้าวมาหลายวัน


 


 


วันแรกเมิ่งจงจวี่ยังสดใสมีชีวิตชีวาดี นั่งยิ้มตาหยีที่หน้าประตูครึ่งค่อนวัน มองดูผู้คนกินเลี้ยง วันที่สองก็ไม่ไหวแล้ว เหนื่อยจนตอนเช้าลุกไม่ขึ้น โชคดีที่ไม่มีเรื่องจำเป็นให้เขาทำ หญิงชราเมิ่งก็ไม่ร้องเรียกเขา ให้เขาได้นอนเต็มที่


 


 


สะใภ้ทั้งสามคนของบ้านเมิ่งยังคอยต้อนรับผู้คน มีที่นั่งก็ให้พวกเขาไปกินข้าว ไม่มีที่นั่งก็ให้พวกเขาเข้าแถวอยู่อีกด้าน


 


 


เมิ่งเจี๋ยและเด็กคนอื่นๆ เริ่มคุ้นชินแล้ว วิ่งไปเล่นแมลงปอไม้ไผ่ในลานบ้าน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะเข้าไปในบ้านคำนวณค่าใช้จ่ายตลอดสามวันมานี้ ไกลออกไปมีรถม้าคันหนึ่งแล่นเข้ามา รถม้ามาถึงกลุ่มคนก็จอดลง ซุนเหลียงไฉกระโดดลงมาจากรถม้าก่อน ร้องอุทาน “ท่านปู่ ท่านรีบลงมา ที่นี่มีคนกำลังกินข้าวเต็มไปหมดเลย”


 


 


ซุนซ่านเหรินลงจากรถม้าอย่างเบิกบาน เห็นกลุ่มคนที่กินอย่างตะกละตะกลามตรงหน้า ก็ให้ชะงักอึ้งไปเล็กน้อย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรีบเข้าไปต้อนรับ ถามอย่างเป็นกันเอง “ท่านมาได้อย่างไร?”


 


 


ซุนซ่านเหรินยิ้มแย้มตอบ “ข้าส่งไฉเอ๋อร์ไปโรงเรียน อาจารย์บอกว่าอี้เซวียนยังไม่ได้ไปเรียน ข้าจึงมาดูว่าเกิดเรื่องอะไรที่บ้านเจ้าหรือไม่ และนำไฉเอ๋อร์กลับมาส่งด้วย”


 


 


พูดจบชี้ภาพตรงหน้าถามอย่างข้องใจ “นี่คือ…?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบ “อี้เซวียนสอบถงเซิงได้ พวกเราต่างดีใจมาก จึงจัดงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีสามวันเพื่อเลี้ยงฉลอง”


 


 


“อี้เซวียนสอบถงเซิงได้หรือ?” ซุนเหลียงไฉถามอย่างดีใจ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า


 


 


“ข้าจะไปหาเขา” พูดจบไม่รอให้เมิ่งเชี่ยนโยวรับคำ ก็วิ่งแจ้นเข้าไปในบ้าน


 


 


ซุนซ่านเหรินมองแผ่นหลังเขาอย่างเบิกบาน พูดอย่างซาบซึ้งใจ “โชคดีที่ได้แม่นางเมิ่งคอยสอนสั่ง ตอนนี้ไฉเอ๋อร์เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ไม่เพียงอ่อนน้อมถ่อมตน ยังรู้จักรักพี่รักน้อง ดูเถิด วันนี้ตอนจะมาเชี่ยนเอ๋อร์อยู่บ้านพอดี ไม่ว่าอย่างไรก็จะลากนางมาด้วยให้ได้ ทั้งสองคุยกระซิบกระซาบกันมาตลอดทาง นี่เป็นเรื่องที่ในอดีตไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”


 


 


พูดจบก็พูดใส่รถม้า “เชี่ยนเอ๋อร์ ยังไม่รีบลงมาพบหน้าแม่นางเมิ่ง”


 


 


ซุนเชี่ยนขานรับคำ เปิดม่านบังรถลงจากรถม้า เดินมาตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างเปิดเผย “ข้าชื่อซุนเชี่ยน เป็นพี่สาวไฉเอ๋อร์”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เคยได้ยินซุนเหลียงไฉบอกว่าตัวเองมีพี่สาวมาก่อน แม้จะตกใจกังขา แต่ใบหน้ากลับยิ้มทักทาย “แม่นางซุน”


 


 


ซุนเชี่ยนเรียนรู้การทำการค้ากับซุนซ่านเหรินมาสองปี รู้จักสังเกตสีหน้าและคำพูดคนแล้ว เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวมีท่าทีตื่นตะลึง จึงยิ้มพูดว่า “เจ้าน้องตัวดีนั่นคงไม่เคยเอ่ยถึงข้าให้เจ้าฟังกระมัง”


 


 


ครั้งนี้เมิ่งเชี่ยนโยวตะลึงงันอย่างสิ้นเชิงแล้ว


 


 


ซุนเชี่ยนเข้าไปจับมือนางอย่างสนิทสนม “เขาถูกคนในบ้านโอ๋ตามใจแต่เด็ก ไม่เคยเห็นข้าอยู่ในสายตา ไม่เคยเห็นข้าเป็นพี่สาวเขา ไม่บอกพวกเจ้าเป็นเรื่องปกติ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มๆ


 


 


ซุนเชี่ยนพูดต่อ “ทว่าครั้งนี้กลับไปเขาเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน พอข้าเข้าไปในบ้านก็ดึงมือข้าเอาแต่ร้องเรียกพี่สาวๆ ข้าตกใจจนเกือบนึกว่าเขาถูกสับเปลี่ยนมา พอถามท่านปู่ถึงได้รู้ว่าที่แท้เป็นเจ้าที่สอนสั่งเขาจนกลายเป็นเช่นนี้ ข้าพลันอยากรู้อยากเห็น บวกกับที่เขาก็อยากให้ข้ามาด้วย ไม่ทันได้บอกกล่าวก็มาพร้อมกับท่านปู่ คงมิได้มารบกวนพวกเจ้าดอกนะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นนางมีนิสัยตรงไปตรงมา ไม่เสแสร้งแกล้งทำ ก็ให้ยินดี ยกยิ้มพูด “ไม่รบกวน ครอบครัวข้ามีข้าเป็นเด็กสาวคนเดียว ไม่มีเพื่อนให้พูดคุย ตอนนี้มีเจ้ามา ข้ามีแต่จะดีใจเสียไม่ว่า”


 


 


ซุนซ่านเหรินเห็นทั้งสองคนพูดคุยกันอย่างถูกชะตา ก็พยักหน้าปลาบปลื้ม


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มเชิญทั้งสองเข้าไปในบ้าน


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งเสียนก็เห็นซุนซ่านเหรินแล้ว รีบร้อนเข้ามาต้อนรับ เชื้อเชิญซุนซ่านเหรินเข้าไปนั่งในบ้าน


 


 


ซุนซ่านเหรินกำชับบ่าวรับใช้สองสามคนยกของกำนัลตามเข้ามา


 


 


คนทั้งหมดเข้ามานั่งในบ้าน เมิ่งเสียนรีบไปชงชาสองสามถ้วยเข้ามาโดยไว


 


 


ซุนเชี่ยนเห็นเขาทำงานแข็งขัน ไม่พูดมาก อดชำเลืองมองเขาแวบหนึ่งไม่ได้


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเข้าพอดี หัวใจกระตุกไหว


 


 


ซุนซ่านเหรินยิ้มตาหยีพูดว่า “อี้เซวียนอายุเพียงเท่านี้ก็สอบถงเซิงได้แล้ว นับเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง โชคดีที่ข้ามีลางสังหรณ์ไว้ก่อน เตรียมของขวัญชิ้นใหญ่มาให้เขา ไม่เช่นนั้นข้าคงผิดคำพูดแล้ว”


 


 


พูดจบส่งสายตาให้บ่าวรับใช้นำของขวัญมาวางบนโต๊ะ


 


 


บ่าวรับใช้วางเรียบร้อย ซุนซ่านเหรินเข้าไปนำกล่องทรงยาวหนึ่งใบมาเปิดออก กล่าวว่า “ตอนที่ข้าไปทำการค้าต่างถิ่น ได้พู่กันเล่มหนึ่งมาโดยบังเอิญ ได้ยินว่าทำขึ้นโดยผู้มีชื่อเสียง ราคาสูงลิบ ตอนนั้นข้าดีใจมากจึงซื้อไว้ วันนี้ได้นำมาเป็นของขวัญให้อี้เซวียนพอดี หวังว่าพวกเจ้าจะไม่รังเกียจ”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นเคยร่ำเรียนกับเมิ่งจงจวี่มาหลายปี รู้จักคุ้นเคยเรื่องพู่กันเป็นอย่างดี ตอนที่ซุนซ่านเหรินเปิดกล่องออก เขาก็รู้แล้วว่าพู่กันนี้ล้ำค่าราคาแพง ตอนนี้ยิ่งมาได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ลนลานปฏิเสธพลัน “น้ำใจของท่านพวกเรารับไว้แล้ว แต่พู่กันนี้สูงค่าเกินไป พวกเรารับไว้ไม่ได้”


 


 


ซุนซ่านเหรินยิ้มแล้วผลักพู่กันไปตรงหน้าเขา “พู่กันดีมอบให้คนปราดเปรื่องถึงจะถูก พวกเจ้ารับไว้เถอะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่มีความรู้เรื่องพู่กัน แต่นางรู้ว่าของขวัญที่ซุนซ่านเหรินมอบให้จะต้องไม่ธรรมดา จึงยิ้มพูดว่า “อี้เซวียนยังเด็ก ให้พู่กันสูงค่าเช่นนี้ไม่เหมาะสม เมื่อเป็นของที่ท่านชมชอบ ท่านก็เก็บกลับไปเถอะ”


 


 


ซุนซ่านเหรินโบกมือ “ข้าเอาแต่ทำการค้า ไม่เคยได้ศึกษาร่ำเรียน พู่กันนี้อยู่กับข้าเรียกได้ว่าเสียของโดยแท้ ตอนนี้มอบให้อี้เซวียน ถึงเป็นการได้พบเจ้านายที่แท้จริง นี่เป็นน้ำใจจากข้า พวกเจ้าอย่าได้ปฏิเสธอีกเลย”


 


 


ซุนซ่านเหรินพูดเช่นนี้แล้ว ปฏิเสธอีกก็ดูจะไม่เหมาะสม เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วกล่าวขอบคุณ ถึงร้องเรียกเมิ่งอี้เซวียนเข้ามา วางกล่องลงบนมือเขา “นี่เป็นของขวัญที่ซุนซ่านเหรินมอบให้เจ้า”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนรับมา มองเพียงแวบเดียว ก็ชื่นชอบ กล่าวขอบคุณอย่างยินดี “ขอบพระคุณ”


 


 


ซุนซ่านเหรินยิ้มรับพยักหน้า


 


 


ซุนเชี่ยนเห็นเมิ่งอี้เซวียนงดงามเกินบรรยาย ร้องอุทาน “ข้าก็อยากมีน้องชายเช่นนี้บ้าง”


 


 


ซุนเหลียงไฉที่ตามหลังเข้ามาได้ยินคำพูดนี้พอดี พูดอย่างไม่พอใจ “ท่านพี่ ละโมบเกินไปแล้ว มีน้องชายฉลาดเกินคน สง่างามผึ่งผายเช่นข้าผู้นี้ยังไม่พอใจอีกหรือ?”


 


 


ซุนเชี่ยนพูดกระเซ้าเขา “ย่อมไม่พอใจ เจ้าห่างชั้นจากเขาหลายเท่าตัว”


 


 


ซุนเหลียงไฉไม่พอใจแล้ว “ท่านปู่ ดูเถิด ท่านพี่รังแกข้าอีกแล้ว”


 


 


ซุนเชี่ยนหยอกเย้าเขา “ที่ข้าพูดเป็นความจริง ไปรังแกเจ้าตอนไหน”


 


 


ซุนเหลียงไฉโมโหโพล่งปากพูดออกไป “เมื่อท่านอยากได้อี้เซวียนเป็นน้องชาย ก็แต่งมาบ้านพวกเขาให้สิ้นเรื่องไปเสียเล่า”


 


 


สิ้นเสียงเขา ทั้งห้องเงียบสนิท


 


 


ซุนเชี่ยนหน้าแดงเรื่อ


 


 


เมิ่งเสียนกลับหน้าแดงก่ำ


 


 


ซุนซ่านเหรินเอ่ยปากตำหนิ “ไฉเอ๋อร์ อย่าพูดเหลวไหล”


 


 


ซุนเหลียงไฉก็รู้สึกตัวแล้วว่าตัวเองพูดผิดไป แลบลิ้นแผล็บๆ พูดว่า “ท่านปู่ ข้ากับอี้เซวียนจะออกไปเล่นแล้ว” แล้วก็ลากเมิ่งอี้เซวียนวิ่งแนบจากไป


 


 


ซุนซ่านเหรินกล่าวขอโทษ “ไฉเอ๋อร์พูดไม่คิด พวกเจ้าอย่าเอามาใส่ใจ”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นยิ้มอย่างจริงใจไม่ได้พูดอะไร


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลัวซุนเชี่ยนจะเก้อเขิน เปลี่ยนเรื่องพูด “ซุนซ่านเหริน ครั้งนี้ข้าและอี้เซวียนเข้าไปในจังหวัด ยังเจรจาการค้ากระเป๋านักเรียนมาได้หนึ่งชุด”


 


 


ซุนซ่านเหรินดีอกดีใจ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจึงพูดเรื่องกระเป๋านักเรียนให้ซุนซ่านเหรินฟังอีกรอบ ทั้งบอกเขาว่า “พวกเราตกลงกันแล้ว สินค้าชุดแรกให้พวกเขามาขนไปเอง เริ่มตั้งแต่สินค้าชุดที่สองจะเป็นพวกเราที่นำส่งให้”


 


 


ซุนซ่านเหรินไม่คิดว่าพวกเขาจะเก็บเกี่ยวได้สิ่งอื่นมาโดยบังเอิญเช่นนี้ กล่าวชื่นชมด้วยความยินดี


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ ซักถาม “อี้เซวียนสะพายกระเป๋านักเรียนไปเข้าสอบด้วย นักเรียนมากมายได้เห็นแล้ว ข้าคาดว่ากระเป๋านักเรียนที่พวกเขานำกลับไปขายจะต้องไม่ยาก คิดว่าไม่นานก็จะต้องการสินค้าชุดที่สอง ถึงตอนนั้นข้าคิดจะให้อี้เซวียนและเหลียงไฉไปส่งสินค้าด้วยกัน ท่านคิดว่าเป็นอย่างไร?”


 


 


ซุนซ่านเหรินเห็นนางคิดคำนึงถึงซุนเหลียงไฉเข้าไปด้วย ยิ่งดีใจจนหุบปากไม่ลง


 


 


ซุนเชี่ยนได้ฟังซุนซ่านเหรินเล่าเรื่องที่เมิ่งเชี่ยนโยวให้เมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉขายกระเป๋านักเรียนแล้ว นึกเลื่อมใสยกย่องในการตัดสินใจที่กล้าหาญนี้ของนางอย่างราบคาบ ตอนนี้เห็นนางยังให้ซุนเหลียงไฉมาเข้าร่วมการค้าที่ตัวเองหามาได้เองอย่างไม่ลังเล พูดอย่างยกย่องนับถือ “เจ้าช่างเป็นคนจิตใจกว้างขวางเผื่อแผ่โดยแท้ ไม่แปลกที่เจ้าอายุเพียงเท่านี้ก็ทำการค้าใหญ่โตได้ถึงเพียงนี้ ข้าเทียบไม่ได้เลยจริงๆ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “เจ้าถ่อมตนเกินไปแล้ว เจ้าเองก็ช่วยดูแลการค้าให้ซุนซ่านเหรินไม่ใช่หรือ พวกเราไม่ต่างกันดอก”


 


 


ซุนเชี่ยนรีบร้อนพูด “พวกเราไม่เหมือนกัน การค้าของครอบครัวข้าสำเร็จพร้อมแล้ว อีกทั้งท่านปู่ก็สอนข้าทีละขั้นตอน เวลาสองปี ข้าถึงค่อยๆ จับทางได้ เจ้าไม่เหมือนกัน ข้าได้ยินว่าการค้าในครอบครัวล้วนเป็นเจ้าที่คิดค้นและหนุนนำขึ้นมา ข้าเปรียบกับเจ้าแล้ว ไม่รู้ว่าห่างกันกี่แสนลี้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกึ่งหยอกเย้ากึ่งจริงจัง “เมื่อเจ้านับถือข้าเช่นนี้ ต่อไปก็มาบ้านข้าบ่อยๆ พวกเรามาเสวนาปัญหาด้านการค้าด้วยกันให้เต็มที่”


 


 


ซุนเชี่ยนรับปากทันควัน “ดีเลย ต่อไปพอมีเวลาว่าง ข้าก็จะมาพักระยะยาวที่นี่เหมือนน้องชายข้า พวกเจ้าห้ามเบื่อข้านะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มอ่อนรับคำ “วิงวอนขอให้เป็นเช่นนั้น”


 


 


เพราะคำพูดของซุนเหลียงไฉทำเอาเมิ่งเสียนเขินหน้าแดง เอาแต่ก้มศีรษะไม่ได้พูดจาอีก


 


 


ซุนเชี่ยนคอยชำเลืองมองเขาเป็นพักๆ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองทั้งหมดนี้ไว้อย่างเงียบๆ


 


 


ซุนซ่านเหรินผู้มีไหวพริบทันคนก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง ยกยอรอยยิ้มบนใบหน้าแฝงความหมายลึกซึ้ง


 


 


เมิ่งชื่อเดินหน้าตาแช่มชื่นเข้ามาในลานบ้าน ตะโกนเข้ามาในบ้านว่า “โยวเอ๋อร์ รีบออกมา เถ้าแก่จางจากจังหวัดมารับกระเป๋านักเรียนแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขานรับคำ ไม่ได้ออกไป แต่พูดกับเมิ่งชื่อว่า “ท่านแม่ ท่านเข้ามาหน่อยเถิด ซุนซ่านเหรินมาที่บ้านพวกเรา”


 


 


เมิ่งชื่อเอาแต่คอยต้อนรับทักทายคนที่เข้าแถวกินเลี้ยงหลิวสุ่ยสี ไม่เห็นว่าซุนซ่านเหรินและคนอื่นเข้ามา ได้ฟังก็รีบเดินเข้ามาในบ้าน พูดอย่างรู้สึกผิด “วันนี้ยุ่งวุ่นวายมากจริงๆ ไม่ทันได้ทักทาย ขอท่านอย่าได้ถือสา”


 


 


ซุนซ่านเหรินตอบกลับอย่างเบิกบาน “เป็นพวกเราที่มาไม่รู้เวล่ำเวลาเอง”


 


 


ซุนเชี่ยนกล่าวทักทายเมิ่งชื่ออย่างเปิดเผย “อาซ้อ ข้าคือซุนเชี่ยนพี่สาวของเหลียงไฉ”


 


 


เมิ่งชื่อเห็นนางท่าทางเปิดเผยจริงใจ นึกชื่นชมในใจ ดึงมือนางมาพูดว่า “ข้าชอบหญิงสาวที่ไม่เสแสร้งทำตัวอ่อนแออย่างเจ้านัก ต่อไปถ้าว่างก็มาเที่ยวบ้านพวกเราบ่อยๆ”


 


 


ซุนเชี่ยนรับคำอย่างจริงใจ


 


 


เห็นคนทั้งหมดทักทายกันดีแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวถึงพูดขึ้น “จะต้องเป็นเถ้าแก่จางเข้ามาขนกระเป๋านักเรียนไปด้วยตัวเอง เอาอย่างนี้ ข้าจะไปเชิญพวกเขาเข้ามา ทุกคนจะได้รู้จักกันไว้”


 


 


ซุนซ่านเหรินเป็นคนทำการค้า ย่อมต้องชื่นชอบคบหาคนทำการค้าด้วยกันมากๆ ได้ฟังก็หัวเราะเหอะๆ กล่าวว่า “เช่นนั้นก็อาศัยบารมีของแม่นางเมิ่งแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ ยิ้มเดินออกไป


 


 


 


 


 


 


[1] ยามเสิน คือเวลา 15.00-17.00 น.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)