คัมภีร์วิถีเซียน 1671-1673

 ตอนที่ 1671 เข้าแดน

 

ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรตนต่างเผ่าคนอื่นๆ ที่ต้องเข้าไปในแดนกว้างเย็น บ้างก็พิจารณาเขตอาคมยักษ์ไม่หยุด บ้างก็จ้องเขม็งไปยังของขวัญกว้างเย็นด้วยดวงตาที่ไม่กะพริบ แต่ต่างล้วนมีสีหน้าเคร่งขรึม


 


 


แดนกว้างเย็นเป็นสถานที่ลึกลับในการทลายจุดคอขวดดังคาด แต่ผู้ที่เข้าไปแล้วเพลี่ยงพล้ำไปก็มีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน


 


 


คนเหล่านั้นไม่ว่าคุณสมบัติหรือความสามารถ แน่นอนว่าย่อมเทียบกับพวกเขาไม่ได้


 


 


นี่จะไม่ทำให้ชนต่างเผ่าที่ต้องเข้าไปเหยียบแดนนี้ไม่รู้สึกพะว้าพะวังไม่สบายใจได้อย่างไร


 


 


หานลี่ยืนอยู่ตรงมุมมุมหนึ่งด้วยสีหน้าราบเรียบ ทั้งไม่ได้มองเขตอาคมและไม่ได้สนใจของขวัญกว้างเย็น แค่เงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์ที่แผดเผาสองสามดวงบนท้องฟ้า พลางหรี่ตามอง ไม่ไหวติง


 


 


วันเวลาค่อยๆ ผ่านไป หลังจากผ่านไปนานเท่าไหร่ก็สุดจะรู้ได้ ฉับพลันนั้นเสียงมังกรคำรามพลันดังขึ้นกลางจัตุรัส


 


 


หานลี่หน้าเปลี่ยนสี ชั่วขณะนั้นพลันก้มหน้าลงกวาดมองไปบนจัตุรัส


 


 


เห็นเพียงของขวัญกว้างเย็นชิ้นนี้มีลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ มังกรสิบกว่าตัวพลันทยอยกันลืมตาขึ้น เปล่งแสงสีทองเรืองรอง เงยหน้าขึ้นกู่ร้องคำราม


 


 


ทุกคนที่อยู่ใต้ม่านลำแสงห้าสี ไม่ว่านักรบชุดเกราะหรือว่าชนต่างเผ่าคนอื่นๆ ย่อมมองเห็นฉากนี้ ชั่วขณะนั้นพลันตกอยู่ในความเงียบ


 


 


“แดนกว้างเย็นเปิดแล้ว เริ่มกระตุ้นเขตอาคมเปิดทางเถิด” เสียงเย็นชาดังออกมาจากตำหนัก มันหนาวเย็นจนเสียดกระดูก


 


 


นั่นก็คือเสียงของชายหนุ่มแซ่เวิง


 


 


การออกคำสั่งครั้งนี้ผู้คนที่อยู่ในจัตุรัสพลันใจหายวาบ ชนต่างเผ่าที่เดิมยืนรอคำสั่งอยู่ในเขตอาคม พลันกระตุ้นธงอาคมและจานอาคมพร้อมกัน


 


 


อาคมหลากสีสันจำนวนนับไม่ถ้วนบินออกมาจากยุทธภัณฑ์ ทยอยกันจมหายเข้าไปในเขตอาคม


 


 


เขตอาคมทั้งสองเปล่งเสียงหึ่งๆ ออกมา ศิลาวิญญาณหลากสีสันเริ่มเปล่งแสงอย่างบ้าคลั่ง แผ่กลิ่นอายที่น่าตกตะลึงออกมา


 


 


ดูเหมือนว่าพลังของเขตอาคมจะได้รับผลกระทบ ด้านล่างม่านลำแสงทั้งห้ากลางอากาศพลันมืดมน เมฆสีดำผืนใหญ่ปรากฏออกมา ชั่วครู่ก็ปกคลุมท้องฟ้าเอาไว้


 


 


จากนั้นพายุพลันก่อตัวขึ้น อสรพิษสีเงินปรากฏขึ้นกลางหมู่เมฆเป็นสายๆ เปล่งแสงสว่างวาบราบกับสายฟ้า ระลอกคลื่นสีดำน้อยใหญ่หมุนวน และเริ่มกลืนกินกันและกัน


 


 


ยามนั้นปรากฏการณ์บนท้องฟ้าพลันน่าตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง!


 


 


เขตอาคมและปรากฏการณ์บนท้องฟ้าถูกลำแสงห้าสีของดวงแสงห่อหุ้มเอาไว้ ยามนี้พลันปริแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เผยแผ่นป้ายสีทองเงินเปล่งแสงระยิบระยับออกมา


 


 


“สหายหาน ท่านเซียนเย่ว์ เจ้าสองคนพากลุ่มเข้าไปในเขตอาคมเถิด กระตุ้นแผ่นป้ายกว้างเย็นได้แล้ว” เชียนจีจื่อเห็นฉากนี้ ก็ตะโกนออกไปอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด


 


 


หานลี่และท่านเซียนเย่ว์ก็มิกล้าดูแคลน ทันใดนั้นพลันสาวเท้ายาวๆ ก้าวเข้าไปในเขตอาคมทั้งสอง


 


 


คนที่เหลือก็หน้าเปลี่ยนสี พลางทยอยกันตามหลังไป


 


 


ยามนี้ชนต่างเผ่าที่กระตุ้นยุทธภัณฑ์อยู่ในเขตอาคม กลับทยอยกันถอยออกมานอกเขตอาคม แต่แค่อาคมในมือยังคงทะลักออกมาจากจานอาคมและธงอาคมไม่มีท่าทีจะหยุดพักเลยสักนิด


 


 


หานลี่เพิ่งจะเดินเข้ามาในลำแสงวิญญาณของเขตอาคม ก็รู้สึกใจสั่น การเชื่อมโยงกับแผ่นป้ายกว้างเย็นกลางอากาศแข็งแกร่งขึ้นหลายเท่า


 


 


แผ่นป้ายกว้างเย็นที่แต่เดิมเปล่งแสงระยิบระยับเปล่งเสียงหึ่งๆ ต่ำๆ ออกมา ราวกับเป็นเพราะถูกการมาของหานลี่ทำให้ตื่นเต้นดีใจ


 


 


กระตุ้นยุทธภัณฑ์นี้อย่างไร แน่นอนว่าเชียนจีจื่อได้บอกเขาเอาไว้ตั้งนานแล้ว


 


 


หานลี่เดินมาถึงใจกลางของเขตอาคม สองมือก็ร่ายอาคมอย่างรวดเร็ว นิ้วทั้งสิบร่ายไปมาอย่างรวดเร็ว


 


 


อาคมเป็นสายๆ พุ่งออกไป แค่กะพริบวาบก็ทยอยกันพุ่งไปหาแผ่นป้ายกลางอากาศ


 


 


ชั่วขณะนั้นแผ่นป้ายกว้างเย็นพลันมีเปล่งแสงสีเงินออกมา อักขระสีทองเงินจำนวนนับไม่ถ้วนบินออกมา


 


 


อักขระเหล่านี้บินวนล้อมรอบแผ่นป้าย คาดไม่ถึงว่าจะก่อตัวเป็นอักขระเขตอาคมลำแสงที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางสองสามจั้ง


 


 


ส่วนแผ่นป้ายกว้างเย็นก็อยู่ตรงใจกลางเขตอาคมลำแสง


 


 


หานลี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง มือที่ร่ายอาคมหยุดลง กลับยื่นนิ้วชี้ชี้ไปกลางอากาศอย่างเคร่งขรึม


 


 


เสียงแหวกอากาศดัง “ฟิ้ว” ดังขึ้น เสาลำแสงสีเขียวสายหนึ่งถูกพ่นออกมา พุ่งไปหาแผ่นป้าย


 


 


ชั่วขณะนั้นแผ่นป้ายพลันมีเสียงร้องประหลาดๆ ดังขึ้น เขตอาคมลำแสงทั้งเขตเริ่มสั่นเทา และแผ่ลำแสงสีทองเงินออกมา เขตอาคมหมุนติ้วๆ พ่นลำแสงสีทองเงินขนาดความหนาเท่าถังน้ำออกมา


 


 


เสาลำแสงพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในระลอกคลื่นเสาลำแสงราวกับถูกพลังมหาศาลอันใดสักอย่างกวนเข้าด้วยกัน คาดไม่ถึงว่าจะไอสีดำจะขยายขนาดขึ้น ม้วนระลอกคลื่นรอบด้านเอาไว้ข้างใน แล้วถูกฉีกทิ้งออก กลับทำให้เขารู้สึกประหลาดเป็นอย่างมาก


 


 


ทว่าในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่อึดใจ ระลอกคลื่นกลางอากาศก็หายไป เหลือเพียงของสองสิ่งที่มีขนาดใหญ่สองสามลี้พลางพ่นไอสีดำเข้มออกมาไม่หยุด


 


 


และหลังจากที่แผ่นป้ายในเขตอาคมลำแสงเปล่งเสียงอัสนีฟ้าฟาดออกมา ก็กลายเป็นประจุไฟฟ้าสีทองเงินสายหนึ่งสลายหายไปจากเขตอาคมลำแสง ครู่ต่อมากลับมาปรากฏตัวขึ้นใจกลางระลอกคลื่น


 


 


หลังจากเสียงมหึมาดังขึ้น สายฟ้าสีทองเงินพลันระเบิดออก ราวกับพระอาทิตย์ขึ้นอย่างไรอย่างนั้น ลำแสงสีทองเงินปรากฏขึ้นกลางระลอกคลื่น จากนั้นก็โถมไปที่ส่วนลึก


 


 


ครู่ต่อมาระลอกคลื่นที่ดูเหมือนจะทำลายฟ้าดินได้ก็แผ่ออกมาจากระลอกคลื่นสีดำ


 


 


ไอสีดำหายไปพร้อมกับระลอกคลื่น เผยรอยแยกสีทองเงินสายหนึ่งออกมา มีขนาดแค่เจ็ดแปดจั้ง แต่พลันนิ่งงันไม่ขยับเขยื้อน ราวกับว่าถูกวาดไว้บนอากาศอย่างไรอย่างนั้น


 


 


และในยามนี้หานลี่กลับสัมผัสได้ถึงพลังจิตสัมผัสในหัวที่ถูกรอยแยกกลางอากาศดูดออกไปอย่างรวดเร็วไม่หยุด


 


 


เขาพลันหน้าเปลี่ยนสี ปากก็ร้องตะโกนออกไปทันที


 


 


“จะรออันใด ตอนนี้แหละ ข้าไม่อาจยืนหยัดได้นานนัก”


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดของหานลี่ ชนต่างเผ่าที่กระตุ้นธงอาคมและจานอาคมอยู่รอบๆ ด้านไม่หยุด ก็ได้สติกลับคืนมาโยนยุทธภัณฑ์ในมือขึ้นไปกลางอากาศ จากนั้นสองมือก็ร่ายอาคมบริกรรมคาถาอย่างรวดเร็ว


 


 


ชั่วขณะนั้นพวกมันพลันกลายเป็นดวงแสง ทยอยกันร่อนลงมา จมหายเข้าไปในเขตอาคม


 


 


ทั้งเขตอาคมมีม่านลำแสงสีสันสดใสปรากฏขึ้น อักขระขนาดใหญ่ปรากฏออกมา


 


 


จากนั้นเสียงบริกรรมคาถาพลันดังขึ้นเรื่อยๆ อักขระยักษ์เหล่านี้หมุนวนอยู่กลางเขตอาคมอย่างรวดเร็ว และยิ่งไปกว่านั้นยิ่งรวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายคาดไม่ถึงว่าม่านลำแสงห้าสีกลุ่มหนึ่งจะห่อหุ้มหานลี่และพวกเอาไว้ จากนั้นก็พวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ แทรกเข้าไปในรอยแยกสีทองเงินที่อยู่กลางอากาศ


 


 


อีกด้านเซียนเย่ว์พากลุ่มของนางจมหายเข้าไปในรอยแยกสีทองเงินอีกสายเช่นเดียวกัน


 


 


แทบจะในชั่วพริบตาที่ม่านลำแสงทั้งสองกลุ่มหายไปจากรอยแยก รอยแยกทั้งสองก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป ท้องฟ้ากลับคืนสู่สภาวะปกติ


 


 


เชียนจีจื่อและพวกรอจนขั้นตอนทุกอย่างตรงหน้าตำหนักผ่านพ้นไปแล้ว เห็นสถานการณ์เช่นนั้นถึงได้ผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง


 


 


แต่ในยามนี้เสียงเย็นชาของชายหนุ่มแซ่เวิงพลันดังออกมาจากตำหนักอีกครั้ง


 


 


“อีกหนึ่งปีให้หลัง แดนกว้างเย็นถึงจะเปิดอีกครั้ง หลังจากกระตุ้นเขตอาคมอีกครั้ง ก็สามารถรับพวกเขากลับมาได้แล้ว ในช่วงระยะเวลานี้ จะต้องรักษาการณ์เขตอาคมทั้งสองนี้อย่างแน่นหนา ผู้ใดก็ไม่อาจเข้าใกล้พวกมันได้ ผู้ฝ่าฝืนคำสั่งต้องโดน ‘ประหาร’”


 


 


“น้อมรับคำบัญชาขอรับ!”


 


 


ทุกคนที่อยู่ในจัตุรัสพลางค้อมตัวลงไปทางตำหนัก แล้วตอบรับพร้อมกัน


 


 


จากนั้นชนต่างเผ่าที่กระตุ้นธงอาคมจานอาคมอยู่ใกล้ๆ กับเขตอาคมก็ทยอยกันออกจากเขตอาคม และมีนักรบชุดเกราะสีเงินเป็นกลุ่มๆ และหุ่นเชิดร่างกายสูงใหญ่สิบกว่าตนเข้ามาแทนที่ ล้อมเขตอาคมทั้งสองเอาไว้อย่างไม่มีช่องโหว่


 


 


……


 


 


เมื่อหานลี่เข้ามาในรอยแยกสีทองเงิน ก็สัมผัสได้ว่าหน้ามืดวิงเวียน ดวงตาทั้งสองข้างมืดสนิท จนเกือบจะหมดสติไป


 


 


แต่หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ในหัวของเขาก็มีความเจ็บปวดส่งเข้ามา สองตาถึงได้กลับมาเป็นปกติ กวาดตามองไปรอบๆ ในที่สุดก็มองเห็นทุกอย่างอย่างชัดเจน


 


 


เขากำลังยืนอยู่กลางอากาศ ทุกแห่งที่มองไปล้วนเป็นท้องฟ้าสีครามและระลอกคลื่นสีฟ้าใส ราวกับไม่มีที่สิ้นสุดอย่างไรอย่างนั้น


 


 


คาดไม่ถึงว่าจะเป็นผืนทะเลนิรนามแห่งหนึ่ง


 


 


สือคุน หลิวสุ่ยเอ๋อร์และคนอื่นๆ ทั้งสิบสี่คนเองก็อยู่ห่างออกไปในรัศมียี่สิบสามสิบจั้ง แต่แค่คนส่วนใหญ่ล้วนมีสีหน้างุนงง ดูเหมือนว่าจะยังไม่ได้สติจากการข้ามแดนผ่านรอยแยกห้วงเวลามา


 


 


“ฮ่าๆ ในที่สุดก็มาถึงแดนกว้างเย็นแล้ว มาถึงแดนนี้ ตาเฒ่าก็มีความหวังจะบรรลุระดับศักดิ์สิทธิ์แล้ว เหล่าสหายข้าน้อยจะไปหาที่กักตนตามลำพัง ขอตัวก่อนละ” ชายชราผมสีเทาคนหนึ่งพิจารณาบรรยากาศรอบๆ แล้วหัวเราะร่าออกมาขณะเอ่ย จากนั้นพลันสะบัดแขนเสื้อ ลำแสงวิญญาณปรากฏขึ้น กลายเป็นสายรุ้งสีเงินพุ่งแหวกอากาศออกไป


 


 


หลังจากกะพริบวาบสองสามครั้ง ลำแสงหลีกหนีของชายชราก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย


 


 


เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้คนอื่นๆ ก็มองสบตากันแวบหนึ่ง ทันใดนั้นก็มีคนสามคนก็กลายเป็นลำแสงหลีกหนีพร้อมกันโดยไม่ปริปากใดๆ พุ่งออกไปยังทิศทางที่แตกต่างกัน แล้วหายวับไปจากปลายฟ้า


 


 


คนที่เหลืออีกสิบกว่าคนยืนอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าหลากหลาย ไม่ได้กระทำการบุ่มบ่ามใดๆ


 


 


“เหล่าสหาย แม้ว่าแดนกว้างเย็นจะเป็นโอกาสดีในการทะลวงจุดคอขวด แต่ก็ต้องใช้เวลาสองสามเดือน เวลาที่เหลือก็ไม่อาจเข้าไปในภูเขาแล้วกลับมามือเปล่าได้ พวกเราลองไปค้นหาสมบัติด้วยกัน ระหว่างทางก็จะได้ดูแลกันและกันเป็นอย่างไร?” คนพูดเป็นชายประหลาดร่างกายเตี้ยเล็ก หัวสามเหลี่ยมคนหนึ่ง


 


 


“ร่วมมือ แม้ว่าข้าน้อยจะอยากทำเช่นนั้น แต่ไม่คิดจะร่วมมือกับสหายจิน เผ่าเมฆาสวรรค์ของพวกเราผู้ใดไม่รู้บ้างว่าพี่จินมีชื่อเสียงชอบพลิกลิ้น ต่อให้หาสมบัติพบ ข้าน้อยก็กลัวว่านายท่านจะลงมืออย่างโหดเ**้ยม พี่เฟิง พี่อวิ๋นเราสามคนไปกันเถิด” ชายร่างใหญ่หน้าตาธรรมดาๆ แต่แขนกลับสวมกำไลสีทองขนาดใหญ่เอาไว้สองสามวงกลับปฏิเสธพร้อมกับหัวเราะอย่างเย็นชา และเรียกบุรุษอีกสองคนจากเผ่ามรกต


 


 


สองคนนั้นดูเหมือนจะนัดกับชายร่างใหญ่เอาไว้นานแล้ว เรือนกายจึงเปล่งแสงโดยไม่พูดไม่จา กลายเป็นสายรุ้งสามสายบินออกไปพร้อมกับชายร่างใหญ่


 


 


ชั่วพริบตาคนก็เหลือเพียงหกเจ็ดคน


 


 


“สหายทั้งสองพวกเราไปกันเถิด” หานลี่เห็นเช่นนั้นกลับไม่ได้ประหลาดใจใดๆ กลับหัวเราะน้อยๆ ออกมาพลางเรียกสือคุนและหลิวสุ่ยเอ๋อร์


 


 


“อืม แน่นอนว่าพวกเราต้องเดินทางด้วยกัน” สือคุนหัวเราะร่าพลางตอบรับ


 


 


ส่วนหญิงสาวสวมงอบกลับแค่พยักหน้าน้อยๆ


 


 


ดังนั้นท่ามกลางสายตาประหลาดใจของคนอื่นๆ หานลี่และพวกทั้งสามคนจึงกลายเป็นลำแสงหลีกหนีพุ่งไปอีกทาง


 


 


คนที่เหลือจะร่วมมือกันหรือแยกกันเดินทาง แน่นอนว่าหานลี่ย่อมไม่สนใจ


 


 


ความเร็วของลำแสงหลีกหนีของทั้งสามล้วนไม่เชื่องช้า แค่ชั่วครู่ก็อยู่ห่างออกมาเป็นพันลี้ และหลิวสุ่ยเอ๋อร์ในยามนี้ก็เอ่ยปากในลำแสงหลีกหนี


 


 


“สหายหาน ตามเจตนาของท่านอาจารย์ข้า พวกเราต้องหาที่ลับ เพื่อฝึกฝนการผสานการโจมตีของลำแสงเทวะดูดปราณก่อน หากพบกับอันตรายใดๆ จะได้ปกป้องชีวิตเอาไว้ได้”

 

 

 


ตอนที่ 1672 อสูรทะเลแห่งเกาะเล็ก

 

“เหตุใดถึงต้องยุ่งยากเพียงนี้ จากการร่วมมือของพวกเราสามคน ขอแค่ไม่พบกับอสูรที่โหดเ**้ยมในแดนก็ย่อมเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว แม้ว่าหลังจากนี้หนึ่งถึงจะส่งตัวกลับไปได้ แต่พวกเรายังไม่รู้เลยว่าอยู่ที่ใด หากจะตามหาเขตแดนต้องห้ามของซากปรักหักพัง ประกอบกับทะลวงจุดคอขวดของตัวเองย่อมมีเวลาไม่พอ เหตุใดจะต้องทำอันใดให้วุ่นวายด้วย!”


 


 


สือคุนเป็นชายร่างใหญ่หน้าตาโหดเ**้ยมผิวสีเทาขาวราวกับก้อนหิน ยามนี้กลับสั่นศีรษะ


 


 


“สหายสือ วิธีการผสานการโจมตีด้วยลำแสงเทวะดูดปราณเป็นสิ่งที่ท่านอาจารย์ทำขึ้นโดยเฉพาะเพื่อการเดินทางครั้งนี้ ถูกสร้างขึ้นเมื่อหลายปีก่อนด้วยความเพียรพยายาม อานุภาพเหนือกว่าที่จะจินตนาการได้ ข้ายืนยันว่าต้องฝึกฝนเคล็ดวิชานี้ก่อน มิเช่นนั้นหากพบกับศัตรูที่ร้ายกาจ จะมาเสียใจทีหลังก็ไม่ทันแล้ว” หลิวสุ่ยเอ๋อร์ที่สวมงอบเผยท่าทีไม่สบอารมณ์ออกมา น้ำเสียงเย็นชาไปเล็กน้อย


 


 


“งั้นหรือ ข้ายังนึกว่าเทียบกับเรื่องนี้แล้วรีบไปให้ถึงเขตต้องห้าม แล้วหาเวลาทะลวงจุดคอขวดของตนเองถึงจะดีกว่า ก่อนหน้าผู้แซ่สือไม่เคยฝึกฝนเคล็ดวิชาการผสานการต่อสู้อันใด ก็ประสบความสำเร็จได้มาถึงทุกวันนี้” สือคุยหัวเราะประหลาดๆ ออกมา ในเวลาเดียวกันก็ไม่ยอมถอยให้


 


 


“สหายหานเจ้ามีความเห็นอย่างไร?” หลิวสุ่ยเอ๋อร์ที่สวมงอบมีแววตาที่เย็นชามากขึ้นเรื่อยๆ พลางหันไปเอ่ยถามหานลี่


 


 


“ความหมายของข้าคือ…ในเมื่อสหายทั้งสองมีความเห็นไม่ตรงกัน แต่การเดินทางนี้ก็ขาดใครไปไม่ได้ ไม่ว่าสุดท้ายจะผสานกันได้ถึงระดับไหน ก็ต้องตามหาเขตแดนต้องห้ามทันที เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ทั้งสามารถทำความคุ้นเคยกับเคล็ดวิชานี้ได้ในระยะเวลาสองสามเดือน คิดดูแล้วพี่สือคงรอไหว” หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อย เอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมา


 


 


“เรื่องนี้…”


 


 


“เอาละ ว่าตามสหายก็แล้วกัน”


 


 


เมื่อได้ยินข้อเสนอของหานลี่ หญิงสวมงอบก็ลังเลเล็กน้อย ส่วนสือคุนก็แค่ครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วตัดสินใจเอ่ยเห็นด้วย


 


 


“พวกเจ้าต่างคิดเช่นนั้น ข้าไม่เห็นด้วยก็คงไม่ได้ เอาตามนั้นเถิด” หลิวสุ่ยเอ๋อร์ทำได้เพียงฝืนพยักหน้า


 


 


“เช่นนั้นละก็ พวกเราหาที่พักก่อนเถิด แล้วค่อยศึกษาทำความคุ้นเคยกับมัน” หานลี่เอ่ยพร้อมกลั้วหัวเราะ


 


 


สือคุนและพวกทั้งสองย่อมไม่มีความคิดเห็นอันใด ชั่วขณะนั้นทั้งสามคนพลันเพิ่มความเร็วขึ้นหลายเท่า แผ่จิตสัมผัสออกไปพร้อมกัน ทำให้ท้องฟ้าในบริเวณรอบราวกับดาวตกเปล่งแสงสว่างวาบแล่นผ่านไปอย่างไรอย่างนั้น


 


 


เดิมที่คิดว่าจะตามหาเกาะเล็กๆ อันใดสักอย่างได้อย่างรวดเร็ว แต่กลับอยู่นอกเหนือความคาดหมายของทั้งสาม ผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ ถึงได้พบเกาะเล็กๆ ขนาดสิบกว่าลี้บนผืนทะเลแห่งหนึ่ง


 


 


ในยามที่พระอาทิตย์กำลังตกดินนั้น กลางอากาศเหนือเกาะพลันมีหมอกสีแดงอยู่เต็มไปหมด ผืนทะเลในบริเวณรอบกลับเป็นสีดำทะมึน และมีลำแสงสีดำแผ่อยู่จางๆ ราวกับว่าถูกย้อมเอาไว้ด้วยน้ำมันสีดำอย่างไรอย่างนั้น


 


 


เมื่อเห็นเกาะแห่งนี้ หานลี่และพวกทั้งสามก็ลดความเร็วลง ทยอยกันปรากฏตัวขึ้นห่างออกไปสองสามลี้ แล้วกวาดสายตาไปตรงหน้า


 


 


“แปลกจัง จิตสัมผัสไม่อาจแทรกเข้าไปในส่วนลึกของเกาะแห่งนี้ได้ ผืนน้ำด้านล่างก็มีไอปีศาจหนาแน่น ดูเหมือนว่าเป็นเกราะที่มีอสูรปีศาจยึดครองอยู่” สือคุนมีสีหน้าเคร่งขรึม พลางชิงเอ่ยปาก


 


 


“เป็นเช่นนั้นจริงๆ ด้านล่างมีอสูรทะเลอยู่ตัวหนึ่ง แต่พลังยุทธ์ไม่สูงนัก ท่าทางไม่ต่างอันใดกับพวกเรานัก” แววตาของหานลี่มีลำแสงสีฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบสองสามครั้ง แล้วเอ่ยปากอย่างแช่มช้า


 


 


“สหายตรวจสอบด้านล่างเกาะได้?” หลิวสุ่ยเอ๋อร์รู้สึกประหลาดใจไปเล็กน้อย


 


 


นางไม่ต่างอันใดกับสือคุนเมื่อครู่ จิตสัมผัสสัมผัสเข้ากับเกาะและผืนน้ำในบริเวณรอบ ก็เปลี่ยนเป็นเลือนราง ดูเหมือนใกล้ๆ กับผืนทะเล จะมีผลในการขวางจิตสัมผัสอยู่


 


 


“ข้าน้อยโชคดีฝึกฝนเคล็ดวิชาลับเฉพาะมา จึงทำให้มีหูตาว่องไว ไม่ได้ใช้จิตสัมผัสมอง” หานลี่ตอบกลับอย่างซื่อๆ


 


 


“นี่มันดีเกินไปแล้ว พี่หานมีอิทธิฤทธิ์นี้ด้วย พวกเราก็จะหลบหลีกอันตรายได้ไม่น้อยแล้ว” สือคุนได้ยินพลันอดที่จะดีอกดีใจไม่ได้ พลางเรียกหานลี่ว่าพี่ชาย


 


 


หานลี่กลับหัวเราะอย่างแผ่วเบาออกมาเท่านั้น


 


 


“เป็นเช่นนั้นจริงๆ หากสหายหานมีอิทธิฤทธิ์นี้จริงๆ การเดินทางครั้งนี้ก็มั่นใจขึ้นได้สองส่วนแล้ว ยามนี้ในเมื่อเกาะนี้มีอสูรทะเลยึดครองอยู่ พวกเราก็หาที่อื่นเถิด ไม่คุ้มที่จะลงไปพัก เสียพลังปราณเปล่าๆ” หลิวสุ่ยเอ๋อร์แววตาเปล่งประกาย พลางเอ่ยเช่นนี้ออกมา


 


 


ครั้งนี้สือคุนกลับไม่ปฏิเสธคำพูดของหญิงสาวสวมงอบ ทันใดนั้นก็พยักหน้าแสดงออกว่าเห็นด้วย


 


 


แต่หลังจากที่หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อยกลับสั่นศีรษะ


 


 


“เกรงว่าหากพวกเราไปหาที่อื่น ก็ไม่ได้ดีกว่ากันไปเท่าใดนัก”


 


 


“พี่หานหมายความว่าอย่างไร?” สือคุนประหลาดใจไปเล็กน้อย


 


 


หลิวสุ่ยเอ๋อร์แววตาเปล่งประกาย มองไปอย่างไม่เข้าใจ


 


 


“สหายทั้งสองคิดว่าลำแสงหลีกหนีเมื่อครู่ของพวกเราเป็นอย่างไร?” หานลี่ไม่ได้ตอบตรงๆ กลับย้อนถาม


 


 


“ก็พอได้นะ แม้ว่าจะไม่ได้บินเต็มกำลัง แต่ก็น่าจะใช้กำลังไปหกเจ็ดส่วน” สือคุนตอบกลับอย่างไม่ต้องขบคิด


 


 


“ใช่แล้ว จากระดับความเร็วของพวกเราสามคนบินมาหนึ่งวันหนึ่งคืน เกรงว่าระยะทางที่บินมาคงเกินสองสามล้านลี้แล้ว และยิ่งไปกว่านั้นก่อนหน้าพวกเรายังแผ่จิตสัมผัสไปในบริเวณรอบแล้ว ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ยามนี้ถึงจะหาเกาะแห่งนี้พบ พวกเจ้าไม่คิดว่ามันแปลกหรือ?” หานลี่ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง


 


 


“สหายหานอยากพูดอันใด ก็พูดออกมาตรงๆ เถิด ผู้แซ่สือสมองไม่ค่อยดี ปกติแล้วก็เกลียดการพูดจาอ้อมค้อมมากที่สุด” สือคุนแค่นเสียงหึออกมาเอ่ยราวกับว่าหมดความอดทนแล้ว


 


 


หานลี่มุมปากกระตุก แต่ในใจกลับไม่เชื่อคำพูดของอีกฝ่ายว่าสมองไม่ดีอย่างแน่นอน


 


 


“หรือว่าสหายหานอยากบอกว่า ทะเลของแดนกว้างเย็นแปลกๆ ไม่ได้หาเกาะอื่นๆ ได้ง่ายๆ ต่อให้หาพบแล้ว ก็น่าจะมีอสูรทะเลตนอื่นอาศัยอยู่” หลิวสุ่ยเอ๋อร์เอ่ยต่อ


 


 


“ผู้แซ่หานหมายความเช่นนั้น แม้ว่าเกาะตรงหน้าจะมีอสูรทะเลอยู่ แต่ก็ไม่ใช่อสูรโบราณประเภทที่โหดเ**้ยมอันใด พวกเราใช้เวลาสักหน่อย ก็น่าจะกำจัดได้อย่างง่ายดาย ดีกว่าเสียเวลาไปตามหาเกาะๆ อื่น” หานลี่อธิบายอย่างแช่มช้า


 


 


“คำนี้ฟังดูเหมือนจะมีเหตุผล เอาละ ตามที่พี่หานพูดเถิด ถึงอย่างไรพวกเราสามคนร่วมมือกัน ต่อกรกับอสูรทะเลระดับเดียวกันตัวหนึ่ง ย่อมไม่มีปัญหาแน่” สือคุนบิดคอ เอ่ยเห็นด้วยด้วยสีหน้าถมึงทึง


 


 


“อือ ข้าเองก็รู้สึกว่าคำพูดของสหายมีเหตุผล” หลิวสุ่ยเอ๋อร์พิจารณาเล็กน้อย ก็เห็นด้วย


 


 


“ในเมื่อสหายทั้งสามไม่มีข้อคิดเห็น เช่นนั้นพวกเราก็ลงมือเถิด เพื่อไม่ให้สูญเสียไปมากกว่านี้ หรือไปรบกวนอสูรทะเลในบริเวณรอบ ข้าจะวางเขตอาคมก่อน อีกเดี๋ยวก็สามารถปกปิดการสังหารอสูรตนนี้ของพวกเราได้แล้ว” หานลี่เอ่ยอย่างราบเรียบ


 


 


สือคุนและหญิงสวมงอบได้ยินแน่นอนว่าย่อมไม่ปฏิเสธ


 


 


ดังนั้นหานลี่จึงพลิกฝ่ามือ ในมือมีธงอาคมปรากฏขึ้นตั้งหนึ่ง โยนไปกลางอากาศ จากนั้นสองมือพลันร่ายอาคม ปากพลันบริกรรมคาถา


 


 


ชั่วขณะนั้นลำแสงหลากสีสิบกว่าสายพลันปรากฏขึ้น พุ่งไปยังผืนทะเล เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป


 


 


แต่ครู่ต่อมาทั้งเกาะก็มีเสาลำแสงหนาๆ สิบกว่าต้นปรากฏขึ้น


 


 


จากนั้นพลันขยายออก กลายเป็นม่านลำแสงสีขาวที่แทบจะมองไม่เห็น ชั่วครู่ก็ปกคลุมทั้งเกาะเอาไว้


 


 


“เพื่อเป็นการป้องกัน ข้าจะช่วยสหายอีกแรงก็แล้วกัน” หญิงงามสวมงอบเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ คิ้วดำขลับก็เลิกขึ้นขณะเอ่ย


 


 


จากนั้นหญิงผู้นี้ก็ชูมือขึ้น ยุทธภัณฑ์ทรงกลมสีเหลืองอ่อนก็บินออกมา ชั่วพริบตาก็ไปอยู่เหนือม่านลำแสงสีขาวไปร้อยจั้งเศษ


 


 


จากนั้นหลิวสุ่ยเอ๋อร์ก็ยื่นนิ้วเรียวออกมาชี้ไปกลางอากาศ


 


 


จานทรงกลมสีเหลืองหมุนโค้งปล่อยม่านลำแสงสีเหลืองออกมา เปล่งแสงสว่างวาบพลางแผ่ไปทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้าน คาดไม่ถึงว่าจะห่อหุ้มม่านลำแสงสีขาวจากธงอาคมของหานลี่เอาไว้ข้างใน


 


 


“หากมีเขตต้องห้ามชั้นนี้ล่ะก็ คิดดูแล้วต่อให้พวกเราสู้กันอย่างฟ้าถล่มดินทลายก็น่าจะไม่ดึงดูดความสนใจของผู้อื่น” หญิงสวมงอบเอ่ยอย่างราบเรียบ


 


 


“ฮ่าๆ หากเป็นเช่นนั้นละก็ ผู้แซ่สือก็วางใจต่อสู้ได้แล้ว” สือคุนกลับหัวเราะร่า จากนั้นพลันเปล่งแสงสีเหลือง ผิวของเขามันพลันเกราะสงครามสีเหลืองเข้มปรากฏขึ้น ปกคลุมร่างกายกว่าครึ่งของเขาเอาไว้


 


 


จากนั้นลำแสงสีเหลืองพลันเปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าสือคุนจะจมหายเข้าไปในเขตอาคมทั้งสองชั้นโดยไม่ปริปาก ตรงไปยังเกาะด้านล่าง


 


 


มองจากไกลๆ ราวกับดาวตกสีเหลืองดวงหนึ่งร่วงลงมาจากท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว


 


 


หลังจากเสียง “ปัง” ดังขึ้น ลำแสงสีเหลืองก็ร่อนลงตรงผืนป่าใจกลางของเกาะ ระลอกคลื่นสีเหลืองเป็นวงๆ ที่มองเห็นได้ด้วยตาเนื้อแผ่ออกมาจากใจกลาง ไม่ว่าก้อนหินหรือว่าต้นไม้ ต่างก็ถูกระลอกคลื่นสีเหลืองอาบย้อม ล้วนปริแตกออกเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นฝุ่นผง


 


 


เกราะใหญ่โตขนาดนี้ชั่วพริบตา สิ่งสูงใหญ่ทั้งหมดก็ถูกกวาดไปจนเกลี้ยง กลายเป็นพื้นราบโล้นๆ


 


 


ส่วนตรงใจกลางพื้นราบสือคุนยืนอยู่ในหลุมที่เว้าลงไปสองสามฉื่อ และกำลังเก็บกำปั้นสีเหลืองของเขาขึ้นมาจากพื้น


 


 


การเคลื่อนไหวที่น่าตกตะลึงเมื่อครู่ คาดไม่ถึงว่าเขาจะใช้กำปั้นโจมตีพื้นดินของเกาะแห่งนี้


 


 


ดูจากฉากที่น่าตกตะลึงเช่นนี้ หญิงสาวสวมงอบพลันร่างกายสั่นเทา ส่วนสองตาของหานลี่ก็หรี่ลง


 


 


ดูแล้วสือคุยผู้นี้คงไม่ยอมฝึกฝนเคล็ดวิชาลับผสานการโจมตีอะไรนัก ความเชื่อมั่นในตัวเองของเขา ไม่เสียเปล่าดังคาด


 


 


“รู้ตั้งนานแล้วว่าเผ่าศิลารังไหมมีกายเนื้อที่แข็งแกร่ง แต่จากระดับเผ่าเบื้องบนก็มีอานุภาพที่น่ากลัวเช่นนี้ ดูแล้วเคล็ดวิชาที่สหายสือผู้นี้ฝึกฝนคงไม่ธรรมดา” หญิงสวมงอบพลันเอ่ยพึมพำขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับจะบอกหานลี่ และดูเหมือนจะเอ่ยพึมพำกับตัวเอง


 


 


หานลี่ได้ฟัง กลับมีสีหน้าราบเรียบ ราวกับไม่ได้ยินอย่างไรอย่างนั้น


 


 


สือคุนที่อยู่ด้านล่างดูเหมือนว่าจะพอใจกับการโจมตีเมื่อครู่ของตนเองเป็นอย่างมาก เงยหน้าขึ้นหมายจะพูดอันใดกับหานลี่และหลิวสุ่ยเอ๋อร์


 


 


แต่ในยามนั้นเกาะเล็กๆ ก็สั่นเทาอย่างรุนแรง น้ำทะเลสีดำในผืนทะเลรอบๆ เริ่มหมุนวน


 


 


หลังจากเสียง “สวบๆ”ดังขึ้น สิ่งสีดำสนิทหนาๆ เจ็ดแปดสายก็กระโจนออกมาจากผืนทะเลรอบๆ เกาะ มีความสูงสองสามร้อยจั้ง ราวกับเสาตระหง่านสีดำค้ำฟ้า


 


 


แต่เสาเหล่านี้กลับมีตะปุ่มตะป่ำ ผิวคืบคลานไปมาไม่หยุด ทำให้ผู้คนเห็นแล้วอดที่จะรู้สึกขนลุกซู่ไม่ได้


 


 


หานลี่จ้องเขม็งมองไป ถึงได้พบว่าสิ่งนี้ไหนเลยจะเป็นเสา เป็นหนวดปลาหมึกยักษ์ชัดๆ

 

 

 


ตอนที่ 1673 สำแดงอิทธิฤทธิ์ต่างๆ

 

หนวดเหล่านั้นไม่เพียงมีลวดลายสีดำเขียว ผิวของมันยังมีติ่งเนื้อขนาดใหญ่เท่าล้อรถหลายแห่ง ท่าทางน่ากลัว


สือคุนเห็นเช่นนี้กลับใช้เท้าข้างหนึ่งเหยียบไปบนพื้นโดยไม่ได้ปริปากใดๆ ร่างกายพุ่งออกไปราวกับลูกธนูยักษ์ แค่กะพริบวาบ ก็มาอยู่ตรงหน้าหนวดเส้นหนึ่ง แขนโบกสะบัด


มีดลำแสงสายหนึ่งที่ดูเหมือนลำแสงสีเหลือง ความยาวสิบจั้งเศษ เปล่งแสงสว่างวาบแล้วสับลงมา


เสียง “ฉับๆ” ดังขึ้น มีดลำแสงสีเหลืองราวกับแหลมคมเป็นอย่างยิ่ง คาดไม่ถึงว่าหนวดจะถูกสับออกเป็นสองส่วนได้อย่างง่ายดาย ของเหลวโลหิตสีเขียวพ่นออกมาจากปากแผล ท้องฟ้ารอบๆ มีฝนโลหิตสีเขียวสาดลงมา


สือคุนเห็นเช่นนี้ก็หัวเราะอย่างพึงพอใจ ร่างกายพลิ้วไหว หมายจะกระโจนไปหาหนวดอีกเส้น


แต่ในยามนั้นด้านล่างเกาะเล็กพลันมีเสียงคำรามราวกับฟ้าผ่าดังสนั่น สั่นสะเทือนบรรยากาศรอบๆ จนเกิดเป็นเสียงดังหึ่งๆ


ร่างของชายร่างใหญ่หยุดชะงัก สีหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย


หนวดครึ่งเส้นที่เดิมถูกตัดออกพลันสะบัด โลหิตสีเขียวที่ปากแผลหยุดลง กลับพ่นไอสีเขียวเข้มออกมา กลิ่นคาวคละคลุ้ง


สือคุนเองก็เป็นผู้ที่มีประสบการณ์การต่อสู้มากมาย จึงถอยออกไปอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด จนอยู่ห่างออกมาสามสิบจั้งเศษ


เพื่อกันไม่ให้ไอสีเขียวเหล่านี้เกิดความผิดปกติอันใด


แต่การเคลื่อนไหวนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นการคำนวณที่ผิดพลาดแล้ว


ไอสีเขียวเหล่านั้นพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าและรวมตัวกัน คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นหนวดปลาหมึกอันสมบูรณ์แบบที่เหมือนกันกับก่อนหน้าทุกกระเบียดนิ้ว


สือคุนมีสีหน้าเคร่งขรึม แต่พลันพลิกฝ่ามืออย่างไม่ลังเลเลยสักนิด


ใบมีดลำแสงยาวสองสามจั้งสับลงมา


แต่ครั้งนี้ติ่งเนื้อบนผิวของหนวดเส้นไหมพลันทยอยกันหดเล็กลงและขยายใหญ่ขึ้น พ่นม่านลำแสงสีดำออกมาเป็นกลุ่มๆ


ใบมีดลำแสงสีเหลืองสับลงไป คาดไม่ถึงว่าจะเปล่งเสียงแหลมสูงราวกับทองคำเสียดสีกันดังออกมา แม้ว่าทลายลำแสงสีดำได้ส่วนหนึ่ง แต่สุดท้ายเมื่อใบมีดลำแสงอยู่ห่างจากหนวดไปแค่คืบก็หายวับไป


ยามนี้เสียงคำรามด้านล่างเกาะพลันแหลมสูงขึ้นเรื่อยๆ หนวดเส้นนั้นร่อนลงมาด้านล่าง กดทับสือคุนราวกับภูเขาไท่ซานอย่างไรอย่างนั้น


ไม่รอให้ตกลงมาจริงๆ พายุหมุนกลุ่มหนึ่งก็พวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ทำให้คนที่อยู่ท่ามกลางพายุหมุนแทบจะทรงตัวไม่อยู่


สือคุนมีสีหน้าเคร่งขรึม ปากพลันร้องตะโกนออกมา โบกสะบัดแขน กำปั้นสีเหลืองข้างหนึ่งโจมตีออกไป


ครั้งนี้หานลี่และหลิวสุ่ยเอ๋อร์พลันมองเห็นอย่างชัดเจน


ชั่วพริบตาที่กำปั้นของสือคุนโจมตีออกไป พลันขยายใหญ่ขึ้นราวกับลูกโป่ง ใหญ่กว่าเดิมห้าหกเท่า และยิ่งไปกว่านั้นอักขระสีเหลืองสองสามตัวพลันเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นบนกำปั้นยักษ์ หมุนวนแล้วระเบิดออก


รัศมีลำแสงสีเหลืองเข้มพลันปรากฏขึ้น และมีลวดลายลำแสงรูปทรงเหมือนระลอกคลื่นแผ่ออกมา


เมื่อหนวดยักษ์สัมผัสกับลำแสงสีเหลือง ผิวของมันก็บิดเบี้ยว ราวกับถูกพลังไร้รูปร่างกวนเข้าด้วยกัน เริ่มปริแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ส่วนโลหิตสีเขียวและผิวหนังที่ร่อนลงมาก็ถูกระลอกคลื่นลำแสงม้วนวน แล้วแตกออกเป็นเสี่ยงๆ สุดท้ายก็สลายหายไปจากกลางอากาศ


กำปั้นนี้ของสือคุนดูเหมือนว่าจะมีอานุภาพเหนือกว่าการโจมตีบนเกาะก่อนหน้า


ครั้งนี้แม้แต่หางตาของหานลี่ก็กระตุก


แต่การกระทำครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นการยั่วโมโหอสูรทะเลนิรนามที่อยู่ใต้เกาะแห่งนี้ มันคำรามอย่างบ้าคลั่ง หนวดที่เหลือเริงระบำพร้อมกัน กลายเป็นเงาสีดำจำนวนนับไม่ถ้วน พุ่งไปหาสือคุนเต็มไปหมด


หนวดเหล่านี้มีขนาดใหญ่ถึงเพียงนี้ มันโบกสะบัดไป พายุหมุนสีดำพลันก่อตัวขึ้น ม้วนเอาเกาะทั้งเกาะเอาไว้ข้างใน


ยามนั้นพายุหมุนเงาสีดำพลันตัดสลับกันไปมา กลืนกินสือคุนเอาไว้ข้างใน


“ดูแล้วไม่จำเป็นต้องให้ข้าลงมือ สหายสือคนเดียวก็เพียงพอจะจัดการอสูรทะเลตัวนี้ได้” เมื่อเห็นเหตุการณ์ด้านล่าง หลิวสุ่ยเอ๋อร์ก็พ่นลมหายใจออกมาแล้วเอ่ยอย่างแช่มช้า


“เป็นเช่นนั้นจริงๆ กายเนื้อของพี่สือแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าอสูรทะเลตัวนี้จะมีอิทธิฤทธิ์อยู่หลายส่วน แต่สุดท้ายก็ต้องเพลี่ยงพล้ำ ทว่าอสูรตัวนี้ดูเหมือนว่าจะมีอิทธิฤทธิ์อมตะ พวกเรารีบซ่อนตัวอยู่ใต้ผิวน้ำแล้วจัดการร่างที่แท้จริงของมันเถิด ถึงอย่างไรเสียหากผ่านไปนานเข้า ย่อมไม่ใช่เรื่องดี” หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อย ก็ตอบกลับเช่นนี้ออกมา


“นับว่ามีเหตุผล โชคดีข้าฝึกฝนเคล็ดวิชาธาตุน้ำมาพอดี อสูรตัวนี้มอบให้ข้าจัดการเถิด” หญิงสวมงอบครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วพยักหน้าขณะเอ่ย


“ในเมื่อท่านเซียนกล่าวเช่นนี้ ผู้แซ่หานก็จะไม่แย่งชิงแล้ว” หานลี่รู้สึกประหลาดใจไปเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็ฉีกยิ้มแล้วตอบตกลง


หลิวสุ่ยเอ๋อร์เองก็ไม่ได้เอ่ยอันใดอีก หลังจากที่มือหนึ่งร่ายอาคม ผิวเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ ก็กลายเป็นสายรุ้งสีฟ้าพุ่งไปด้านล่าง แค่กะพริบวาบสองสามครั้งก็จมหายเข้าไปในผืนทะเลอย่างไร้ร่องรอย


แทบจะในเวลาเดียวกันเกาะขนาดเล็กที่ถูกพายุและหนวดที่กลายเป็นเงาสีดำห่อหุ้มอยู่กลับระเบิดออกต่อเนื่องอีกครั้ง


หานลี่อดที่จะมองไปไม่ได้


ลำแสงสีเหลืองบนเกาะฉีกทึ้งพายุหมุนจนเผยตัวออกมา ในเวลาเดียวกันกลิ่นอายร้อนฉ่าก็พวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า แม้แต่เขตอาคมสองชั้นที่ถูกวางอยู่รอบๆ ก็ถูกกระทบจนสั่นคลอนเบาๆ


ท่ามกลางเสียงกรีดร้อง เสียงหัวเราะสือคุนกลับมั่นคงขึ้นราวกับกำลังตื่นเต้นดีใจ


“ผู้นี้คงไม่ใช่นักสู้ในตำนานหรอกกระมัง ก่อนหน้าก็เคยได้ยินมาบ้าง ทว่ายามนี้กลับได้เห็นกับตาตัวเองแล้ว” หานลี่เอ่ยพึมพำพร้อมกับหัวเราะอย่างขมขื่น จากนั้นพลันสะบัดแขนเสื้อไปกลางอากาศ


หมอกลำแสงม้วนวนออกไปชั่วครู่ก็จมหายเข้าไปในม่านลำแสงสีขาวโพลน


เขตอาคมที่แต่เดิมสั่นไหวพลันเปล่งแสงสว่างวาบแล้วนิ่งงันไม่ขยับเขยื้อน


เช่นนั้นสือคุนก็สำแดงอานุภาพบนเกาะโจมตีหนวดเหล่านั้นจนแหลกกระจายไม่หยุด แต่หนวดเหล่านั้นก็พ่นไอสีเขียวออกมาอย่างต่อเนื่อง แล้วกลับคืนเป็นดังเดิมอย่างรวดเร็วอีกครั้ง


ยามนั้นต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน


แต่หลังจากผ่านไปชั่วครู่ เสียงคำรามของอสูรด้านล่างเกาะก็เปลี่ยนเป็นเหี้ยมโหดขึ้น


ผืนทะเลบริเวณรอบหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง ระลอกคลื่นยักษ์สูงร้อยจั้งเศษปรากฏขึ้นกลางอากาศบริเวณผืนน้ำ และหมุนวนไปทางเกาะขนาดเล็กจากทั้งสี่ทิศแปดด้าน


หากระลอกคลื่นที่น่าตกตะลึงเช่นนี้โจมตีไปบนเกาะ เกรงว่าทั้งเกาะคงต้องถูกจมลงไปกว่าครึ่ง


หานลี่ที่อยู่กลางอากาศเห็นฉากนี้พลันมีสีหน้าเคร่งขรึม มือหยกสีขาวบริสุทธิ์ยื่นออกมาจากแขนเสื้ออย่างไม่ต้องขบคิด นิ้วทั้งห้ากางออกแล้วตะปบไปยังอากาศด้านล่าง


ชั่วขณะนั้นเสียงแหวกอากาศพลันดังขึ้น เปลวเพลิงเย็นเยียบหลากสีสันพุ่งออกมาจากปลายนิ้ว เปล่งแสงสว่างวาบบรรจุเข้าไปในม่านลำแสงสีขาวที่ห่อหุ้มทั้งเกาะเอาไว้แต่เดิม


ม่านลำแสงพลิ้วไหว ลำแสงเปลี่ยนสีไปกลายเป็นสีจางๆ


ยามนี้ระลอกคลื่นยักษ์พลันม้วนวนทยอยกันโจมตีไปยังม่านลำแสงอย่างดุเดือด


ม่านลำแสงที่ดูเหมือนเบาบางที่ราวกับถูกโจมก็พังทลายพลันมีลำแสงห้าสีไหลวนโคจร น้ำทะเลสั่นไหวชั่วขณะนั้นพลันผนึกรวมตัวกันกลายเป็นผลึกน้ำแข็งโปร่งใส


เช่นนั้นฉากที่ลำแสงห้าสีเปล่งแสงสว่างวาบไม่หยุดบนม่านลำแสงพลันปรากฏขึ้น


รอบด้านเกาะมีกำแพงน้ำสีฟ้าอ่อนขนาดยักษ์ปรากฏขึ้น ต้านทานน้ำทะเลที่อยู่ด้านหลังไว้ด้านนอกไม่หยุด


ส่วนเกาะเล็กๆ กลับปลอดภัยไร้กังวล


หานลี่เห็นเช่นนั้นก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจแล้วหดมือกลับมา


คลื่นยักษ์โจมตีไปที่กำแพงน้ำแข็งสองสามครั้งแล้วสลายหายไปอย่างแปลกประหลาด แม้กระทั่งระลอกคลื่นบนผืนน้ำก็สลายตัวออก พายุหมุนบนผิวน้ำกลับมาเงียบสงบ


ในยามที่แววตาของหานลี่เปล่งประกายเผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา ฉับพลันนั้นมีเสียงดังสนั่นขึ้น เงาร่างสายหนึ่งกระโจนออกมาจากเกาะ เปล่งแสงสว่างวาบแล้วลอยออกมากลางอากาศ


“นี่มันเรื่องอันใดกัน เหตุใดอสูรทะเลตัวนี้จึงไม่โจมตี เอ๋ หรือว่าสหายหลิวเองก็ลงมือแล้ว”


เงาร่างคนผู้นั้นก็คือสือคุน


เขากวาดสายตาไปทางหานลี่แล้วเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา


หานลี่ได้ยินพลันหัวเราะยามที่คิดจะเอ่ยอันใดนั้น ผืนทะเลด้านข้างเกาะก็มีระลอกคลื่นยักษ์สีดำทะมึนปรากฏขึ้น น้ำทะเลที่ล้อมรอบระลอกคลื่นนี้ม้วนวน ซากอสูรสีดำราวกับภูเขาขนาดย่อมปรากฏขึ้นด้านใน


กลับเป็นปลาหมึกยักษ์สีดำสนิทตัวหนึ่ง


ทว่าปลาหมึกยักษ์ตัวนี้ไม่เพียงแต่จะมีร่างกายใหญ่โต คาดไม่ถึงว่าส่วนหัวจะดูเหมือนกับบุรุษหน้าตาโหดเหี้ยมคนหนึ่ง


แม้กระทั่งด้านข้างทั้งสองฝั่งของร่างของมัน นอกจากหนวดขนาดยักษ์เหล่านั้นแล้วก็ยังมีแขนอวบใหญ่สองแขน แต่ละแขนต่างถือใบมีดที่มีลักษณะเหมือนทวนยาวสีแดงสดเอาไว้


เสียง “สวบ” ดังขึ้น ลำแสงสีฟ้าสายหนึ่งพุ่งออกมาจากด้านข้างซากอสูรทะเล หลังจากหมุนวนกลางอากาศก็ปรากฏขึ้นใกล้ๆ กับหานลี่


ลำแสงหลีกหนีหม่นแสงลง ในลำแสงเผยเงาร่างอรชรอ้อนแอ้นของหลิวสุ่ยเอ๋อร์ออกมา


“เป็นท่านเซียนหลิวที่ลงมือcmoข้า จุ๊ๆ ท่านเซียนมีฝีมือดีจริงๆ จัดการร่างของอสูรตัวนี้ได้ในระยะเวลาอันสั้น” ใบหน้าของสือคุนฉายแววประหลาดใจขณะเอ่ย


“ไม่มีอันใดหรอก หากไม่ใช่เพราะพี่สือดึงดูดความสนใจกว่าครึ่งของอสูรตัวนี้ไป ข้าจะจัดการมันได้อย่างง่ายดายได้อย่างไร กลับเป็นสหายหานที่มีอิทธิฤทธิ์ไม่น้อย คาดไม่ถึงว่าจะทำให้น้ำทะเลแข็งตัวราวกับธารน้ำแข็ง” หญิงสวมงอบเอ่ยอย่างคร่าวๆ สายตามองไปยังกำแพงน้ำแข็งขนาดยักษ์ที่ปิดล้อมเกาะแห่งนั้นเอาไว้สองแวบ


“หึหึ เหตุใดสหายทั้งสองจะต้องถ่อมตัวด้วย ในเมื่อสังหารอสูรตัวนี้ได้แล้วพวกเราก็รีบถอนเขตอาคมขึ้นไปบนเกาะกันเถิด” หานลี่กับหัวเราะฮ่าๆ ขณะเอ่ย


เมื่อได้ยินคำพูดของหานลี่ สือคุนและพวกทั้งสองย่อมไม่มีความคิดเห็นใดๆ อีก


ทันใดนั้นสือคุนก็ร่อนลงบนเกาะ ส่วนหานลี่และหญิงสวมงอบก็ยกมือขึ้นสลายเขตอาคมกลางอากาศออก


“พี่หานกำแพงน้ำแข็งเหล่านี้ไม่อาจปล่อยไว้ตรงนี้ได้ นี่มันสะดุดตาเกินไป” หลิวสุ่ยเอ๋อร์ชี้ไปยังด้านล่างพลางเอ่ยกับหานลี่


“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ข้าจะทำลายมันเดี๋ยวนี้” หานลี่ดูเหมือนว่าจะขบคิดเรื่องนี้เอาไว้ตั้งนานแล้วจึงเอ่ยออกมาอย่างราบเรียบ


จากนั้นเขาพลันอ้าปากออกพ่นดวงแสงสีเงินออกมา


เปลวเพลิงสีเงินนี้หมุนคว้าง ลำแสงสีเงินขยายใหญ่ขึ้นกลายเป็นวิหคเพลิงสีเงินขนาดสองสามฉื่อตัวหนึ่ง


“ไป” หานลี่สะบัดแขนไปทางวิหคเพลิงสีเงิน ปากก็คำรามต่ำๆ ออกมา


ชั่วขณะนั้นวิหคเพลิงพลันสยายปีกทั้งสองข้างออก พุ่งลงไปด้านล่าง เสียงหวีดร้องดังขึ้นพลางกระโจนเข้าไปในกำแพงน้ำแข็ง


สถานการณ์ที่แปลกประหลาดดังขึ้น


กำแพงน้ำแข็งที่ผนึกรวมตัวกันเป็นดั่งหินเริ่มจางหายไปตั้งแต่ที่วิหคเพลิงกระโจนเข้าไป กลายเป็นน้ำทะเลหมุนวนอีกครั้งแล้วกลับไปยังด้านล่างดังเดิม


แค่เวลาหนึ่งถ้วนน้ำชากำแพงน้ำแข็งทั้งหมดก็สลายหายไป


หานลี่ถึงได้ยกมือขึ้นกวักเรียกไปทางด้านล่าง


วิหคเพลิงสีเงินบินออกมาทันที หลังจากกะพริบวาบสองสามครั้งก็จมหายเข้าไปในแขนเสื้อของเขา


“คาดไม่ถึงว่าสหายหานจะมีอิทธิฤทธิ์น้ำแข็งและเพลิงที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ ช่างหาได้ยากจริงๆ!” หลิวสุ่ยเอ๋อร์เห็นฉากนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ ดวงตาสดใสพลันเปล่งประกายวาวโรจน์ มีท่าทีตกตะลึงไปเล็กน้อย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)