ยอดหญิงสกุลเสิ่น 167.1-167.2

ตอนที่ 167-1 เด็กที่รู้จักร้องไห้มีลูกอมให้กิน

 

ประตูเมืองชายแดนถูกเปิดออกในยามเฉิน[1]ของทุกวัน เสิ่นเชียนกับหร่วนเหิงนำกองทัพคุ้มกันประชาชนออกจาเมืองไปตัดฟืนล่าสัตว์ หลังสองชั่วยามก็กลับเมืองช่วงเที่ยงตรงเวลา 


 


 


หลายวันมานี้ราบรื่นมาโดยตลอด เสิ่นเชียนกับหร่วนเหิงที่กลัดกลุ้มก็ค่อยๆ วางใจลง แม้แต่รอยยิ้มบนใบหน้าชาวบ้านที่แรกเริ่มพะว้าพะวงอย่างถึงที่สุดก็มากขึ้นแล้ว 


 


 


ตลอดจนวันที่ห้า พวกเขาเพิ่งออกมาได้เพียงครึ่งชั่วยามก็มีหน่วยสอดแนมที่ส่งออกไปรายงานข่าวกลับมา ‘มีทหารซีเหลียงกลุ่มเล็กกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ จำนวนคนประมาณสี่ร้อยคน’ 


 


 


เสิ่นเชียนกับหร่วนเหิงได้รับข่าวแล้วก็เคลื่อนไหวทันที เสียงผิวปากที่แหลมเปรียวดังก้องทั่วป่า ชาวบ้านที่กำลังตัดฟืนหรือล่าสัตว์อยู่ก็แบกฟืนและเหยื่อที่ล่าได้ขึ้นหลังทันที วิ่งออกจากป่าด้วยความรวดเร็ว 


 


 


ตอนที่มากลุ่มทหารก็เตือนแล้วว่า ‘ขอเพียงแค่ได้ยินเสียงผิวปากให้วิ่งกลับมาทันที นี่คือการเตือนว่ามีทหารซีเหลียงกำลังจะมา หากใครช้า เช่นนั้นก็รอดาบใหญ่ของทหารซีเหลียงเสีย’ ตอนที่ชีวิตถูกคุกคามใครบ้างจะยังกล้าเมินเฉย 


 


 


เสิ่นเชียนกับหร่วนเหิงแยกกันคุ้มกันชาวบ้านวิ่งกลับประตูเมืองคนหนึ่ง อีกคนหนึ่งตั้งทัพเตรียมรับศึก 


 


 


“เร็ว เร็วหน่อย วิ่งให้หมด โยนฟืนกับเหยื่อทิ้ง ทหารซีเหลียงจะมาฆ่าแล้ว วิ่งช้าจะไม่มีชีวิตรอดแล้ว!” ทหารชายแดนตะโกนเสียงดัง พลางเร่งรัดชาวบ้านให้รีบวิ่งโดยเร็ว 


 


 


ชาวบ้านส่วนใหญ่ต่างก็เชื่อฟังอย่างยิ่ง โยนของในมือทิ้งพลางสับเท้าวิ่งหนีทันที แต่ก็มีคนส่วนน้อยที่ตัดใจทิ้งไม่ได้ วิ่งช้าๆ อยู่ท้ายแถว มีทหารชายแดนเห็นแล้วก็โมโหก่นด่าเข้าไปดึงของออกทิ้งลงข้างๆ “เวลานี้แล้วยังเลอะเลือนเช่นนี้อีก ไม่อยากมีชีวิตแล้วหรือ” เสียชีพไม่ยอมเสียทรัพย์จริงๆ 


 


 


ทหารซีเหลียงน่าจะได้ยินข่าวฝั่งนี้แล้ว พวกเขาเคลื่อนพลมารวดเร็วอย่างยิ่ง แต่ชาวบ้านที่ออกจากเมืองส่วนใหญ่ล้วนมีกำลังแข็งแรง ทั้งยังมีทหารชายแดนเร่งรัดอยู่ข้างๆ แม้ว่าจะวิ่งอย่างเหนื่อยหอบ แต่เพื่อที่จะหนีเอาชีวิตรอดก็ไม่มีใครที่ไม่วิ่งสุดชีวิต 


 


 


ดังนั้นตอนที่ทหารซีเหลียงมาถึง ประชาชนเมืองชายแดนก็วิ่งออกไปไกลแล้ว ทำได้เพียงมองเห็นจุดสีดำเล็กๆ อยู่ไกลๆ 


 


 


คนที่รับศึกคือเสิ่นเชียน เขานำทหารม้าหนึ่งกลุ่มหมอบซุ่มอยู่ในป่า ทหารซีเหลียงเพิ่งจะเหยียบเข้ามาในรัศมียิงธนู ลูกธนูของทหารชายแดนก็ยิงออกไปราวกับห่าฝน 


 


 


ทหารซีเหลียงถูกยิงอย่างไม่ทันระวัง ตาลีตาลานอย่างยิ่งครู่หนึ่ง ยังไม่ทันตอบสนองกลับมา เสิ่นเชียนก็นำคนออกจากป่ามาสังหาร 


 


 


เสิ่นเชียนเป็นวิ่งอยู่ด้านหน้าสุดเพื่อรับศึก ดาบใหญ่ในมือกวาดไปยังลำคอของทหารซีเหลียง การที่เขาใช้ดาบใหญ่เพราะได้รับอิทธิพลมาจากเสิ่นเวย ก่อนหน้านี้ในจวนเขาใช้กระบี่ แต่กระบี่ไม่เหมาะสมที่จะใช้บนม้า เขาเห็นดาบหมื่นโลหิตที่ปรับแก้เล่มนั้นของเสิ่นเวยฆ่าฟันอย่างเป็นอิสระท่ามกลางศัตรู ตนเองก็เคยลองอยู่ครั้งหนึ่ง รู้สึกว่าค่อนข้างคล่องมือจึงให้คนตีดาบเลียนแบบให้ตนหนึ่งเล่ม 


 


 


เพราะว่าฉวยโอกาสลงมือก่อน ทหารสองร้อยนายของเสิ่นเชียนกลับมีกำลังพอที่จะสู้ทหารสี่ร้อยนายของกองทัพซีหลียงได้ แต่เสิ่นเชียนก็รู้อยู่แก่ใจ จำนวนคนฝ่ายตนน้อยกว่าฝ่ายตรงข้าม ทหารชายแดนต้ายงเองก็ไม่ได้ห้าวหาญเท่าทหารซีเหลียง หากสู้ต่อไปไม่ช้าไม่เร็วก็อาจจะถูกจัดการ หากคิดจะชนะก็ต้องใช้สมอง 


 


 


ความคิดเขาแล่นราวกับสายฟ้า พลันตะโกนกล่าวเสียงดัง “พี่น้องทั้งหลายยืนหยัดไว้ กองกำลังหนุนของพวกเราใกล้มาถึงแล้ว สังหารพวกมันเสีย ยืนหยัดอีกครู่หนึ่ง อย่าให้พวกชั่วซีเหลียงเหล่านี้วิ่งหนีไปได้!” 


 


 


เป็นดังคาด เมื่อเสียงของเสิ่นเชียนดังออกไป ชั่วขณะทหารชายแดนฝั่งนี้ก็มีกำลังวังชาฮึกเหิม พากันคล้อยตาม “ต้านไว้ ต้านไว้ทั้งหมด แม่ทัพน้อยหร่วนกำลังจะนำกองกำลังหนุนมาแล้ว อย่าปล่อยคุณงามความดียิ่งใหญ่ให้หลุดมือไปได้” 


 


 


อันที่จริงเสิ่นเชียนก็ไม่รู้ว่าหร่วนเหิงจะกลับมาช่วยเหลือได้เมื่อไร อย่างไรเสียเขาก็ต้องคุ้มกันชาวบ้านเข้าเมืองอย่างปลอดภัย นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะทำเสร็จได้ในเวลาเพียงชั่วครู่ แต่ตอนนี้เขาตะโกนเช่นนี้ ในใจทหารชายแดนก็ล้วนมีความความหวัง มีความหวังแล้วก็จะสร้างศักยภาพที่ไร้ขีดจำกัดออกมา ทั้งหมดต่างก็ให้กำลังใจตัวเองในใจ ยืนหยัด ยืนหยัด ขอเพียงแค่ยืนหยัดจนกองกำลังหนุนมาก็ได้แล้ว ก่อนหน้านั้น จะต้องรักษาชีวิตของตนไว้ให้ได้ 


 


 


หร่วนเหิงที่คุ้มกันชาวบ้านกลับเมืองก็ร้อนใจดั่งไฟสุมทรวงเช่นกัน เร่งรัดให้เร่งรีบไม่หยุด เขารู้ดีว่าเสิ่นเชียนกับทหารสองร้อยนายนั้นเผชิญหน้ากับทหารสี่ร้อยนายของกองทัพซีเหลียงมีอัตราการชนะไม่สูงนัก เขาต้องกลับไปช่วย ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องอื่น เพียงแค่ความสัมพันธ์ในช่วงเวลาเหล่านี้ของพวกเขา เขาก็ไม่อาจปล่อยให้เกิดเรื่องขึ้นกับเสิ่นเชียนได้ ยิ่งไปกว่านั้นนั่นยังเป็นพี่ใหญ่ของลูกผู้น้องเขา เป็นหลานชายแท้ๆ ของท่านเสิ่นโหว 


 


 


ประตูเมืองชายแดนอยู่ตรงหน้าแล้ว หร่วนเหิงเองก็รอไม่ได้ ตะคอกหนึ่งครา “เอ้อร์หู่เจ้านำทหารห้าสิบนายคุ้มกันชาวบ้านเข้าเมืองต่อ คนที่เหลือตามข้าไปสมทบแม่ทัพน้อยเสิ่น” 


 


 


ทหารชายแดนแบ่งเป็นสองกลุ่มทันที หนึ่งกลุ่มตามหร่วนเหิงหันหลังกลับไปช่วยเหลือ อีกหนึ่งกลุ่มคุ้มกันชาวบ้านไปยังประตูเมืองต่อ 


 


 


ในกลุ่มประชาชนเมืองชายแดนมีผู้ที่เฉลียวฉลาดกล่าวเสียงดัง “พี่น้องทั้งหลายรีบวิ่งเถิด ใกล้จะเข้าเมืองแล้ว คนที่ยังมีแรงก็ช่วยพยุงคนที่วิ่งไม่ไหว พวกเราไม่อาจถ่วงเวลางานใหญ่ของท่านทหารได้ แม่ทัพน้อยทั้งสองท่านยังสู้รบกับสุนัขซีเหลียงอยู่เลย” ชั่วขณะ กลุ่มขบวนประชาชนก็เคลื่อนไหวเร็วขึ้นอีก 


 


 


เสิ่นเวยเองก็ได้รับข่าวแล้ว นางถือดาบขึ้นม้า พาทหารของตนออกจากเมืองทันที 


 


 


ทหารม้าสองกลุ่มยังคงเข่นฆ่ากันอยู่ เสิ่นเวยมองดูนิ่งๆ เห็นพี่ใหญ่และญาติผู้พี่ของนางปลอดภัยไร้กังวลก็วางใจลง นางเห็นทหารชายแดนต้ายงไม่ได้ถูกเอาเปรียบอะไรมากจึงไม่ได้เข้าไป แต่กลับแอบสังเกตสถานการณ์อยู่เงียบๆ 


 


 


มองอยู่ครู่หนึ่ง เสิ่นเวยก็กวักมือเรียกหู่โถวเข้ามา ออกคำสั่งเสียงต่ำกับเขาหลายประโยค เสิ่นหู่โหวพยักหน้าโบกบัญชาข้างหลัง ทหารม้าใต้บังคับบัญชาของเขาก็ก้าวออกมาเดินตามเขาทะลุเข้าไปในป่า 


 


 


“ทั้งหมดน้าวธนูขึ้น” หลังเสิ่นหู่โถวไปแล้วเสิ่นเวยก็ออกคำสั่งเช่นนี้ทันที คนทั้งหมดรวมถึงนางน้าวสายธนูขึ้น รอโจมตี 


 


 


มีกำลังสมทบของหร่วนเหิง ทหารชายแดนก็มีกำลังฮึกเหิมทันที ฆ่าจนทหารซีเหลียงไม่มีแรงตอบโต้ 


 


 


ทหารซีเหลียงยังเหลืออยู่กว่าสิบคน เห็นทหารชายแดนต้ายงยิ่งรบก็ยิ่งห้าวหาญ จึงเกิดความคิดที่จะหนีเอาตัวรอด มีคนที่ท่าทางคล้ายหัวหน้าผู้หนึ่งตะโกนอะไรสักอย่าง จากนั้นก็หันหน้าวิ่งหนีไปแล้ว 


 


 


“ตามไป อย่าปล่อยให้พวกชั่วซีเหลียงหนีไปได้เด็กขาด รีบตามเร็วเข้า” ทหารชายแดนกลับฆ่าจนฮึกเหิม ราวกับพยัคฆ์ที่ร้องคำรามวิ่งไล่ 


 


 


เสิ่นเชียนเองก็เปี่ยมไปด้วยความห้าวหาญ ความอัดอั้นที่ถูกเปรียบเทียบกับน้องสี่ของเขาในช่วงหลายวันมานี้หายหมดเกลี้ยง ขี่ม้าบุกอยู่ข้างหน้าสุด ทหารชายแดนใต้บังคับบัญชาเห็นแม่ทัพน้อยเสิ่นห้าวหาญเช่นนี้ก็ยิ่งฮึกเหิมอย่างมาก ไล่ไปพลางสังหารไปพลาง สัญญาณแห่งชัยชนะดังก้องออกไป 


 


 


ทันใดนั้น ธนูหนึ่งดอกที่ไม่รู้ว่ายิงมาจากไหนก็พุ่งตรงมาที่ลำคอของเสิ่นเชียน ลูกธนูที่แหลมคมกะพริบประกายเย็นเยียบภายใต้แสงอาทิตย์ เสิ่นเชียนอยากดึงบังเ**ยนม้าก็ไม่ทันแล้ว ชั่วพริบตาลูกธนูกำลังจะพุ่งเข้าถึงตัว เขาคิดในใจ ชีวิตข้าจบสิ้นลงแล้ว ข้าไม่ยอม ไม่ยอม! 


 


 


ชั่วพริบตาเดียว ในตอนที่เสิ่นเชียนคิดว่าจะต้องตายแน่แล้ว ด้านหลังเขาก็มีลูกธนูหนึ่งดอกยิงเข้ามากระทบหัวลูกธนูดอกนั้นพอดี ธนูที่รวดเร็วดุดันดอกนั้นลอยออกไปด้านหน้าเสิ่นเชียนครึ่งฉื่อจากนั้นก็ตกลงอย่างไร้เรี่ยวแรง 


 


 


เสิ่นเชียนตกใจกับสถานการณ์ที่มีอันตรายรอบด้านนี้จนเหงื่อไหลท่วมตัว ทั้งยังดีใจที่ยังมีชีวิตอยู่ เขาถอนหายใจมองไปข้างหลัง เห็นน้องสี่ของเขาถือคันธนูออกมาจากที่ซ่อนตัว 


 


 


“พี่ใหญ่ ไม่ต้องให้ทุกคนไล่ตามแล้ว หู่โถวรอพวกเขาอยู่ข้างหน้า พวกเขาหนีไม่พ้นหรอก” เสิ่นเวยเฆี่ยนม้าเข้ามา 


 


 


แม้ว่าเสิ่นเชียนจะรอดพ้นหายนะ แต่ก็ยังคงหวาดกลัวอยู่ “น้องสี่ ครั้งนี้โชคดีที่ได้เจ้า มิเช่นนั้นพี่ใหญ่ก็คงจะไม่รอดแล้ว” บนใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความซาบซึ้งจากใจจริง 


 


 


“ใช่แล้วๆ เมื่อครู่ข้ากลัวแทบตาย” หร่วนเหิงเองก็ขี่ม้าเข้ามา เมื่อครู่เขามองเห็นธนูพุ่งมาที่เสิ่นเชียนก็ตกใจจนอกสั่นขวัญแขวน หากเกิดอะไรขึ้นกับเสิ่นเชียน แล้วเขากลับไปในสภาพสมบูรณ์ ท่านเสิ่นโหวจะคิดอย่างไร แม้ต่อหน้าจะไม่อาจทำให้เขาลำบากได้ แต่อย่างไรเสียในใจก็คงเกิดความเคลือบแคลงแน่ 


 


 


โชคดี โชคดี โชคดีที่ญาติผู้น้องมาทัน 


 


 


เสิ่นเวยกระตุกมุมปาก “เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น” นางจ้องมองคนทั้งสอง จากนั้นจึงมองสนามรบ “พี่ใหญ่ ญาติผู้พี่ ศึกครั้งนี้ต่อสู้ได้ดียิ่งนัก ท่านปู่ทราบเข้าจะต้องดีใจมากแน่นอน แต่พี่ใหญ่กับญาติผู้พี่เองก็ต้องจดจำไว้ ศัตรูจนตรอกอย่าไล่ตาม แต่หากจะไล่ตามก็ต้องระมัดระวังตัว” 


 


 


ถูกสตรีที่เด็กกว่าตนตำหนิเช่นนี้ เสิ่นเชียนกับหร่วนเหิงไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือทุกข์ใจดี แต่ว่า ก็ควรจะดีใจมากกว่า อย่างไรเสียนี่ก็เป็นครั้งแรกที่คนทั้งสองนำทัพสังหารศัตรูเพียงลำพัง 


 


 


เมื่อนึกถึงคำตักเตือนของเสิ่นเวย สีหน้าท่าทางทั้งสองก็เคร่งขรึมขึ้นมา “พวกพี่เข้าใจแล้ว ขอบใจน้องสี่ยิ่งนัก” 


 


 


“พี่น้องตระกูลเดียวกัน ขอบคุณเป็นคนนอกไปได้” เสิ่นเวยกล่าว “พี่ใหญ่ ญาติผู้พี่ รีบเก็บกวาดสนามรบเถอะ พวกเราควรกลับได้แล้ว” ท่านปู่ในจวนคงจะยังเป็นห่วงอยู่ 


 


 


ท่านเสิ่นโหวยังเป็นห่วงอยู่จริงๆ หากเจ้าสี่ออกไปเขาจะต้องไม่เป็นกังวลแน่นอน เจ้าสี่เด็กปีศาจคนนั้นไม่เพียงแต่เป็นสุนัขจิ้งจอก แต่ยังเป็นพยัคฆ์อีกด้วย แต่ไหนแต่ไรล้วนเป็นนางที่กลั่นแกล้งผู้อื่น ผู้อื่นอย่าหวังจะเอาเปรียบนางได้เลย 


 


 


ต่อให้เป็นคุณชายใหญ่จวนจิ้นอ๋องก็ถูกขู่บังคับเหมือนกันมิใช่หรือ เขาได้ยินอันฉงบอกว่าคุณชายใหญ่สวีอยู่ต่อหน้าหลานสาวของเขาแล้วก็มีท่าทางถ่อมเนื้อถ่อมตัวว่านอนสอนง่าย เขาจึงมีความสุขบนความทุกข์ผู้อื่นอยู่หลายวัน 


 


 


แต่หลานชายคนโตของเขาไม่ใช่เจ้าสี่นี่ หลานชายคนโตยังไม่เคยเห็นเลือด ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาเผชิญหน้ากับทหารซีเหลียง จะรอดหรือไม่ แม้ว่าเจ้าสี่จะตามไปแล้ว แต่ท่านเสิ่นโหวก็ยังวางใจไม่ได้ หากเกิดอะไรขึ้นกับหลานชายคนโตก่อนที่เจ้าสี่จะไปถึงจะทำอย่างไร 


 


 


กว่าจะมีผู้สืบทอดที่นับว่าพอใช้ได้สักคนหนึ่ง หากเกิดเรื่องอะไรอีก เช่นนั้นจวจงอู่โหวของเขาก็คงจะตกต่ำแล้วจริงๆ เมื่อท่านเสิ่นโหวนึกถึงจุดนี้ก็ร้อนใจพะว้าพะวง เดินไปเดินมาอยู่ในห้องตัวเอง ทั้งยังสั่งคนให้ออกไปสืบข่าวไม่หยุด 


 


 


ม้าศึก อาวุธ ของมีค่าติดตัวทหารซีเหลียง ถูกเก็บรวบรวมด้วยความรวดเร็วอย่างยิ่ง สำหรับศพ ย่อมโยนไว้ในป่ารกร้างให้เหยี่ยวแร้งทึ้งกิน 


 


 


           ตอนที่เก็บกวาดสนามรบไปได้ครึ่งหนึ่งเสิ่นหู่โถวก็นำคนกลับมาแล้ว “คุณชาย เรียบร้อยขอรับ สังหารทหารซีเหลียงทั้งหมดแล้ว” เขารายงานเสียงดัง คนที่ตามมาข้างหลังเองก็แสยะปาก ท่าทางดีใจอย่างยิ่ง 


 


 


เสิ่นเวยกระตุกมุมปากเล็กน้อย ไม่เคยเห็นคนที่ชอบรบเช่นนี้มาก่อน ออกไปไหนอย่าได้พูดว่าเป็นคนของนางเชียวนะ 


 


 


“ไม่เลว ดีมาก กลับไปมีรางวัล” เสิ่นเวยพูดยังไม่ทันขาดคำ ปากของเสิ่นหู่โถวและคนอื่นๆ ก็ยิ้มกว้างกว่าเดิม ส่วนคนที่ซ่อนตัวตามเสิ่นเวยไม่มีโอกาสได้สังหารศัตรูก็มีสีหน้าอิจฉา 


 


 


ได้รางวัลหรือไม่กลับไม่สำคัญ สิ่งสำคัญก็คือการได้สังหารศัตรู เสียงที่ทวนยาวนั้นแทงเข้าเนื้อนั้นช่างไพเราะยิ่งนัก 


 


 


ฝั่งทหารชายแดนเองก็มีคนบาดเจ็บล้มตาย ตายสามสิบกว่าคน บาดเจ็บไม่น้อย แต่ส่วนใหญ่บาดเจ็บเล็กๆ ไม่ว่าจะเสียชีวิตหรือบาดเจ็บสาหัสล้วนถูกพากลับไปที่เมืองชายแดนด้วยความเหมาะสม 


 


 


ระหว่างทางที่กลับก็ไม่ลืมที่จะเก็บฟืนและเหยื่อที่ชาวบ้านโยนทิ้งตามทาง แน่นอนว่านี่คือความคิดของเสิ่นเวย แม้ยุงจะเล็กแต่ก็ยังเป็นเนื้อ ของเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังมีค่ามาก ต้องฝึกให้มีนิสัยประหยัดมัธยัสถ์ไว้รู้หรือไม่ 


 


 


 


 


 


 


 


 


[1] ยามเฉิน ช่วงเวลาเจ็ดโมงเช้าถึงเก้าโมงเช้า 

 

 

 


ตอนที่ 167-2 เด็กที่รู้จักร้องไห้มีลูกอมให้กิน

 

ท่านเสิ่นโหวเห็นหลานชายคนโตของเขากลับมาอย่างปลอดภัยก็วางใจลง ท่าทางถอนหายใจเฮือกใหญ่เช่นนั้นทำให้เสิ่นเวยแสยะปาก “ท่านปู่ ท่านลำเอียงเกินไปแล้ว มีแต่พี่ใหญ่เป็นหลานชายของท่าน ส่วนข้าก็เก็บมาเลี้ยงใช่หรือไม่ เหอะ” นางโยนดาบไปในมือให้เถาฮวา นั่งลงบนเก้าอี้แล้วบันดาลโทสะ “ข้ารึอุตส่าห์เป็นห่วงวิ่งออกไปช่วยเช่นนี้ แต่ในสายตาท่านปู่กลับมีแต่หลานชายคนโต เหอะๆๆๆ” เสียงที่แค่นออกมาสี่ครั้งถูกแค่นออกมาด้วยน้ำเสียงที่ต่างกัน 


 


 


เถาฮวาที่ไม่มีโอกาสได้ฆ่าศัตรูกำลังอัดอั้นไม่พอใจ เห็นคุณหนูส่งดาบหมื่นโลหิตมาให้นาง ดวงตาก็เป็นประกายทันที กอดดาบหมื่นโลหิตวิ่งไปฟันต้นไม้ฟันเสาในสนามฝึกอย่างว่องไวแล้ว 


 


 


นางจับจ้องดาบโลหิตของคุณหนูมานานแล้ว มักจะรู้สึกดูดีกว่ากระบองเหล็กของนางมาก ตอนนี้อยู่ในมือนางแล้ว จะไม่ดีใจได้อย่างไร 


 


 


เสิ่นเชียนที่เดิมยังรู้สึกผิดอยู่ รวมถึงท่านปู่ของพวกเขาต่างก็อารมณ์ดีแล้ว เด็กปีศาจคนนี้แม้หงุดหงิดแต่ก็ยังมีเหตุผลเช่นนี้ ดูท่าทางเหลวไหลนั่น ไหนเลยจะเหมือนบุตรสาวในตระกูลใหญ่ เหมาะจะเป็นอันธพาลน้อยในตลาดเสียมากกว่า 


 


 


“เจ้าสี่อย่าโมโหไป นี่เป็นครั้งแรกที่พี่สังหารศัตรูมิใช่หรือ เจ้าเก่งเพียงนั้น ไหนเลยจะต้องให้ท่านปู่เป็นห่วง” เสิ่นเชียนเป็นพี่ชายแสนดีจึงเอ่ยปลอบเสิ่นเวยอย่างอ่อนโยน “ใช่หรือไม่ท่านปู่ ครั้งนี้โชคดีที่ได้น้องสี่ มิเช่นนั้นหลานก็คงจะไม่มีชีวิตรอดกลับมาแล้ว” 


 


 


“อะไรนะ” ท่านเสิ่นโหวตกใจ ไต่ถามสถานการณ์หลานชายทันที 


 


 


เสิ่นเชียนเล่าเรื่องที่ตนถูกคนยิงธนู เกือบจะไม่รอดชีวิต แต่เสิ่นเวยยิงธนูจากข้างหลังช่วยชีวิตเขาไว้ได้ให้ท่านปู่ฟังหนึ่งรอบ 


 


 


ท่านเสิ่นโหวฟังแล้วก็หวาดกลัวอยู่พักหนึ่ง เจ้าสี่เป็นผู้ช่วยชีวิต สายตาที่เขามองเสิ่นเวยก็ยิ่งอ่อนโยน 


 


 


ทว่าสายตาเสิ่นเวยกลับดูถูก หันหน้าหนี 


 


 


เมื่อดวงตาเล็กๆ นั้นกลอกกลิ้งไปมา เสิ่นเชียนกับหร่วนเหิงก็กลั้นหัวเราะสุดชีวิต ธาตุแท้ของน้องสี่ที่เพียบพร้อมใจกว้างเช่นนั้นในจวนเป็นเช่นนี้หรอกหรือ ช่างน่ารักอะไรเช่นนี้ 


 


 


ท่านเสิ่นโหวเองก็กลั้นขำ เขารู้ว่านิสัยใจแคบของเด็กคนนี้กำเริบอีกแล้ว ก็แค่ไม่ได้เป็นห่วงเจ้าเพียงแค่ชั่วขณะมิใช่หรือ เจ้าแข็งกล้าราวกับราชสีห์ ยังต้องให้คนเป็นห่วงอีกหรือ 


 


 


แต่ว่าคำนี้ท่านเสิ่นโหวเองก็ทำได้เพียงคิดในใจ เขาไม่กล้าพูดออกไป หากยั่วยุเด็กคนนี้จนโมโหไม่ยอมทำการทำงานขึ้นมาเขาจะทำอย่างไร 


 


 


“เอาล่ะๆๆ เป็นความผิดของปู่พอใจหรือยัง เจ้าไปเอานิสัยอารมณ์ร้อนเช่นนี้มาจากไหนกัน” ท่านเสิ่นโหวพูดจาดีๆ โน้มน้าว เห็นนางไม่สะทกสะท้านจึงกล่าว “ในคลังของปู่ยังเก็บดาบดีไว้หลายเล่ม เจ้าไปเลือกสักเล่มดีหรือไม่” ท่านเสิ่นโหวรู้วิธีปลอบหลานสาวเป็นอย่างดี 


 


 


“สองเล่ม” เสิ่นเวยตาลุกวาว เริ่มต่อรอง คิดจะซื้อนางด้วยดาบหนึ่งเล่ม ไหนเลยจะมีเรื่องที่เสียเปรียบเช่นนนี้ 


 


 


“เจ้าชอบเสนอเงื่อนไขสูงนัก ทั้งชีวิตนี้ของปู่เจ้าเก็บดาบล้ำค่าไว้สี่เล่ม เจ้าเอ่ยปากจะเอาครึ่งหนึ่ง ไม่ได้ เล่มเดียวพอ” ท่านเสิ่นโหวถลึงตายิ้มพลางด่า 


 


 


“โธ่เอ๊ย ท่านปู่ เหตุใดท่านถึงใจแคบเพียงนี้ ดาบหนึ่งเล่มท่านก็มอบให้ไม่ได้หรือ ข้าทั้งเสียเลือดเสียเหงื่อ ท่านให้ดาบพังๆ ข้าหนึ่งเล่มได้หรือ ฝั่งข้าคนเยอะขนาดนั้น แบ่งพอที่ไหนเล่า อย่างน้อยก็สองเล่มเถอะ มิเช่นนั้นท่านก็ให้ข้าหมดเลยก็ได้ ท่านวางไว้ในคลังก็ขึ้นสนิมเปล่าๆ” เสิ่นเวยตะโกนคอแข็ง ด้านการต่อรองเป็นจุดแข็งของนาง ยังไม่มีอะไรที่นางนำกลับมาไม่ได้ 


 


 


คุณชายใหญ่สวีทะนงตนยิ่งนัก แต่ทรัพย์สินส่วนตัวก็ถูกนางกุมไว้ในมือแล้วมิใช่หรือ แม้ต้องกลับเมืองหลวงก่อนแล้วค่อยทำตามสัญญา แต่ตอนนี้ในมือนางก็กุมตราประทับเล็กของเขาอยู่ ได้ทรัพย์สินส่วนตัวมาแล้วจึงจะคืนตราประทับเล็ก 


 


 


ยิ่งไปกว่านั้นนางเองก็ไม่ได้พูดเท็จ นางมีผู้ใต้บังคับบัญชาหนึ่งกลุ่มใหญ่ โอวหยางไน่ จางสง เฉียนเป้า หู่โถว ยังมีเหยาทงกัวซวี่และคนอื่นๆ ที่ไม่ได้ตามอีกด้วย เพียงแค่คนที่นางเอ่ยชื่อนี้ก็มีเกือบสิบคนแล้ว ดาบสองเล่มจะแบ่งพอได้อย่างไร 


 


 


“เจ้า เจ้าเป็นโจรหรือไร” ท่านเสิ่นโหวชี้เสิ่นเวยแต่พูดไม่ออก มีคนที่เถียงคำไม่ตกฟากเช่นนี้ด้วยหรือ แล้วเสียเลือดเสียเหงื่ออะไร ผู้เฒ่าเช่นเขาเห็นนานแล้วว่า เนื้อหนังบนร่างหลานสาวของเขาไม่มีบาดแผลแม้แต่นิดเดียว กลับเป็นหลานชายคนโตของเขา เสื้อคลุมถูกผ่าเป็นแนวยาว ไม่รู้เหมือนกันว่าได้รับบาดเจ็บหรือไม่ 


 


 


“ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่สน ท่านจะให้ข้าทั้งหมด หรือท่านจะให้ข้าสองเล่ม” เสิ่นเวยกระดิกขาทำท่าทางอันธพาล 


 


 


เสิ่นเชียนกับหร่วนเหิงมองจนดวงตาจะหลุดออกมาแล้ว น้องสี่ของเขาพูดจากับท่านปู่เช่นนี้หรือ ท่านปู่ก็ยัง อืม อัธยาศัยดี? เสิ่นเชียนคิดอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะคิดคำที่ค่อนข้างเหมาะสมเช่นนี้ออก 


 


 


เลื่อมใสจริงๆ อิจฉาจริงๆ เสิ่นเชียนศรัทธาน้องสี่ผู้นี้ของเขาอยู่ในเบื้องลึกของจิตใจ 


 


 


เห็นท่าทางตะลึงงันเช่นนั้นของพี่ใหญ่และญาติผู้พี่ เสิ่นเวยก็เลิกคิ้วอย่างเข้าใจ กับท่านปู่ของตนมีอะไรให้ต้องวางกิริยาดีงาม แน่นอนว่ามีอะไรก็พูดสิ่งนั้น อยากได้อะไรก็ต่อรองสิ่งนั้น หนึ่งร้องไห้สองก่อกวนสามผูกคอตาย งอแงทำตัวไร้เหตุผล วิธีไหนดีก็ใช้วิธีนั้น 


 


 


ท้ายที่สุดก็ถูกเสิ่นเวยก็ต่อรองจนได้ดาบล้ำค่าสองเล่มมา อีกสองเล่มที่เหลือก็ปกป้องไว้ไม่ได้ เล่มหนึ่งให้เสิ่นเชียน อีกเล่มหนึ่งให้หร่วนเหิง ผู้รู้เห็นเป็นพยานมีส่วนแบ่ง 


 


 


อันที่จริงเสิ่นเวยไม่ได้คิดคำนวณไว้จริงๆ แต่นิสัยของคนเห็นแก่ตัว นางกังวลว่านางมอบให้ตลอดจะถูกคนไม่เห็นคุณค่าเอาได้ เจ้าทำดี นั่นก็ถูกต้องแล้ว ไม่มีคำชม ไม่มีรางวัล 


 


 


แต่นางไม่ใช่ ข้าทำดี มีคุณูปการ ข้าก็จะตะโกนออกมา ข้าได้รับความไม่เป็นธรรม ข้ามอบอะไรให้ ข้าก็จะตะโกนออกมา ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าเมินข้า เด็กที่รู้จักร้องไห้จึงจะมีลูกอมให้กิน 


 


 


เสิ่นเวยเอาดาบล้ำค่าสองเล่มมาเล่นหนึ่งรอบ รู้สึกว่าสู้ดาบหมื่นโลหิตของนางไม่ได้ นึกถึงดาบหมื่นโลหิตก็พบว่าเถาฮวาเด็กคนนั้นไม่อยู่แล้ว เมื่อมองหา หึ ก็เจอนางกำลังฟันไม้ฟันเสาด้วยความสนุกสนานอยู่ 


 


 


ใช้ของต้องใช้ให้เต็มความสามารถ ดาบสองเล่มนี้จะให้ใครดี แม้ว่าโอวหยางไน่และคนอื่นๆ จะมีอาวุธหมดแล้ว แต่ใครจะไม่ชอบที่ได้มีอาวุธเยอะๆ คิดอยู่ครู่ใหญ่เสิ่นเวยก็คิดไม่ออกว่าจะให้ใคร จึงเรียกคนทั้งหมดมาให้โอวาทเสียเลย 


 


 


อันดับแรกนางแสดงความแหลมคมของดาบล้ำค่าสองเล่มนี้รอบหนึ่งก่อน หลังจากนั้นก็ประกาศ ‘ของน้อยไม่พอแบ่งจะทำอย่างไร เช่นนั้นก็ดูว่าใครฆ่าศัตรูได้มากกว่ากัน ใครสร้างคุณงามความดีมาก ใครมีคุณูปการสูง เช่นนั้นก็มอบรางวัลให้ผู้นั้น’ 


 


 


ตอนนี้เสิ่นเวยไม่กังวลเรื่องความปลอดภัยละอันตรายของเมืองชายแดนแล้ว มีของเตรียมรบเพียงพอ ตามการคุ้มกันเมือง กองทัพใหญ่ซีเหลียงบุกโจมตีไม่ได้ในชั่วขณะ ตอนนี้เมืองชายแดนมีทุนพอที่จะบดขยี้ซีเหลียงได้ช้าๆ แล้ว 


 


 


แต่กองทัพใหญ่ซีเหลียงไม่ได้ เดิมซีเหลียงโจมตีชายแดนก็เพื่อแย่งเสบียงอาหาร ให้เขามาใช้ชีวิตอยู่ในที่ราบตอนกลางจริงๆ พวกเขาก็คงจะไม่คุ้นชิน ตอนนี้เข้าฤดูหนาวแล้ว โจมตีเมืองชายแดนไม่ได้เสียที เช่นนั้นกองทัพซีเหลียงที่ยิ่งใหญ่จะกินอะไรเล่า 


 


 


ดังนั้นสงครามครั้งนี้ ซีเหลียงจึงร้อนใจยิ่งกว่าต้ายง 


 


 


ช่วงนี้ เสิ่นเวยเสนอความเห็นกับท่านปู่นางอีก ให้พี่ใหญ่ของนางพาคนออกจากเมืองไปรบแบบกองโจรกับญาติผู้พี่ ตีได้ก็ตี ตีไม่ได้ก็หนี หนึ่งเพื่อฝึกฝนคน สองเพื่อตัดกำลังทหารซีเหลียง 


 


 


“เหตุใดเจ้าถึงไม่ไป” ปฏิเสธไม่ได้ว่าความคิดนี้ทำให้ท่านเสิ่นโหวตาลุกวาว ทันใดนั้นก็คิดได้ว่าเด็กคนนี้อาจจะมีอุบายอะไรอีกจึงถามอย่างไม่วางใจ 


 


 


แววตาของเสิ่นเวยเหยียดหยาม ชี้จมูกตัวเองแล้วกล่าว “ข้ายังต้องฝึกอีกหรือ ข้าหวังดีกับพี่ใหญ่ทั้งนั้น ไม่ฆ่าทหารซีเหลียงให้เยอะขึ้น ไม่เห็นเลือดให้เยอะขึ้น เมื่อศึกใหญ่มาถึงจริงๆ แล้วท่านจะวางใจได้หรือ” ถึงตอนนั้นไม่ใช่ว่าต้องมาทุกข์ใจกับนางหรือไร 


 


 


ญาติผู้พี่ ลูกชายคนเดียวของตระกูลฝั่งมารดานาง นางจะมองดูเขาตายในสนามรบเฉยๆ ได้อย่างไร พี่ใหญ่ ก็ยิ่งตายไม่ได้ ในรุ่นของพวกเขาก็มีพี่ใหญ่ที่ยังพอใช้ได้ ก่อนที่น้องชายของนางจะโตก็ต้องมีคนดูแลมิใช่หรือ 


 


 


ฉวยโอกาสตอนที่ศึกใหญ่ยังไม่เริ่มโยนสองคนนี้ไปเห็นเลือดหน่อยดีกว่า อย่างไรเสียก็มีทหารลับตามไปไม่เกิดเรื่องอะไรหรอก 


 


 


เฮ้อ นางมีชีวิตที่เป็นทุกข์แต่กำเนิดสินะ 


 


 


สำหรับนาง เหอะ ฤดูหนาว หนาวเพียงนี้ นางไม่ออกไปหาความลำบากหรอก ต้องจำศีล จำศีลอยู่ในห้องจึงจะถูก เสิ่นเวยไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน แต่นางกลัวหนาว โดยเฉพาะฤดูหนาวที่ซีเจียง ความหนาวที่สายลมพัดผ่านหน้าราวกับมีดกรีด ความหนาวเย็นนั้นเหมือนสามารถทะลุเข้าไปในกระดูกได้ 


 


 


เสิ่นเวยห่อตัวเองเป็นก้อนกลมก็ยังรู้สึกหนาว อยากจะอยู่บนเตียงเตาตลอดเวลา 


 


 


สวีโย่วเข้ามาเห็นท่าทางหดหน้าหดศีรษะของเสิ่นเวยก็รู้สึกขำ ฤดูหนาวที่ซีเจียงหนาวอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่ได้หนาวขนาดนี้มิใช่หรือ 


 


 


เสิ่นเวยเห็นสวีโย่วเข้ามากลับหงุดหงิด “ท่านมาทำไม” ตอนนี้นางไม่อยากต้อนรับเขาแม้แต่นิดเดียว ขายหน้าจริงๆ เลย 


 


 


นึกถึงเรื่องน่าอับอายเรื่องนั้นที่นางทำต่อหน้าสวีโย่วแล้ว เสิ่นเวยก็อยากจะขุดหลุมฝังตัวเองอย่างยิ่ง ขายหน้า ขายหน้าเกินไปแล้วจริงๆ ภาพลักษณ์ที่ดีงามของนางพังทลายหมดแล้ว 


 


 


ต้องโทษสวีโย่วเจ้าโรคจิตผู้นี้คนเดียวเลย เสิ่นเวยแค้นจนกัดฟันกรอด ไหนเลยจะเหลือหน้าให้สวีโย่วมองได้อีก นางไม่อยากให้เขาปรากฏตัวออกมาอีกตลอดกาล จะได้ไม่ต้องทำให้นางนึกถึงเรื่องน่าอับอายอีก 


 


 


เหอะ ต่อให้หน้าตาดีกว่านี้ข้าก็ไม่อยากมองแล้ว 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)