ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 167-190

 ตอนที่ 167 ใจร้ายไม่ลง


ลุงหมิงหันหน้าไปมองเหยียนหมิงซุ่น พลางหัวเราะถาม “นายไม่เสียดายเหรอ?”


อย่าคิดว่าเขาจะไม่รู้ ว่าเด็กคนนี้ฉลาดแค่ไหน เมื่อก่อนเขายอมให้เพราะเป็นของเล่นที่ไม่เข้าตานัก ส่วนของดีๆ เขาเก็บไว้เองหมด ชามใบนี้ถึงแม้จะแตกไปบ้าง แต่เป็นถึงเตาเผาจุน ราคาต้องไม่ใช่น้อยๆ แน่ แต่เจ้าเด็กนี่จะไม่เก็บไว้เองเหรอ?


เหยียนหมิงซุ่นหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ พูดด้วยออกไปอย่างเหมาะสม “ช่วงนี้ผมร้อนเงิน ยาของยายเริ่มหมดแล้ว หากลุงหมิงจะรับไว้ ชามนี้มันเป็นของที่ดีที่สุดแล้ว”


คำพูดของเขาปะปนไปด้วยทั้งเรื่องจริงและเรื่องโกหก ที่ยายเขาป่วยมันคือเรื่องจริง แต่เรื่องร้อนเงินนั้นกลับไม่ใช่ ในช่วงสองปีที่ผ่านมาเขาร่วมมือกับลุงของเขารับซื้อพวกของลายครามแล้วเอาไปขายต่อในราคาที่สูงกว่า หากเขาซื้อโสมให้ยายกินทุกวันยังทำได้เลย ที่เขาต้องการจะส่งต่อชามแตกๆ ใบนี้ นั่นเป็นเพราะในมือเขายังมีของที่ดีกว่า


ครั้งนี้ลุงเขาไปได้ของจากฉางอันมาไม่น้อย แค่ดูผ่านๆ ก็รู้ว่าเป็นของดีที่ได้ราคา ของทุกชิ้นเมื่อเทียบกับชามงอบเคลือบลายแดงที่ทำจากเตาเผาจุนใบนี้แล้ว ยังมีราคาสูงกว่ามาก ลุงหมิงรู้ว่าลุงของเขาไปที่ฉางอันมา หากยังยังทำเหมือนเดิมแบบนี้ เรื่องเหตุผลและน้ำใจคงไม่ต้องพูดถึง


ถึงอย่างไรลุงหมิงรับเขาเข้าองค์กรก็ถือว่าครึ่งหนึ่งของเขามีศักดิ์เป็นอาจารย์ เกียรติและมิตรภาพระหว่างกันคงเลี่ยงไม่ได้


เขาวางแผนไว้ตั้งแต่แรก ถือโอกาสในช่วงสองปีที่ยังไม่เข้มงวดนี้ เขาได้ให้ลุงกักตุนของไว้ในบ้านเยอะหน่อยเพราะอีกไม่นานของพวกนี้จะกลายเป็นเงินทุนในการเริ่มต้นของเขา เขาอยู่ในที่ลับ ลุงอยู่ในที่แจ้ง ลุงหลานสองคนช่วยกันขยันขันแข็ง อีกหน่อยเขาจะต้องทำให้เหยียนโฮ่วเต๋อกับถานซูฟางแหงนหน้าขึ้นมามองพวกเขาให้ได้


ลุงหมิงวางชามงอบไว้บนโต๊ะและไม่ได้รีบร้อนที่จะคุยเรื่องราคา แต่กลับถามด้วยความเป็นห่วง “อาการป่วยของยายนายยังไม่ดีขึ้นอีกเหรอ?”


เหยียนหมิงซุ่นส่ายหน้าไปมา ใบหน้าเศร้าสลด “ตั้งแต่ที่แม่ผมจากไป อาการของยายก็ไม่ดีขึ้นเลย”


“ครั้งก่อนที่ฉันแนะนำหมอจีนให้ก็ไม่ได้ผล?”


“หมอมีความสามารถในการรักษาที่สูงมาก แต่เขาบอกว่าต้องใช้โสมมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของยา ไม่อย่างนั้นยาที่กินไปก็ไม่มีผล นี่เป็นเพราะผมต้องการเงินเพื่อไปซื้อโสมร้อยปีไง!” เหยียนหมิงซุ่นตอบ


ลุงหมิงรู้สึกโล่งอกที่การรักษาของหมอจีนได้ผล เขาห่วงหน้าตาและศักดิ์ศรีมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว หากแนะนำไปรักษาแล้วอาการไม่ดีขึ้น เขาคงขายหน้ามาก แต่โสมร้อยปีอะไรนั่นก็หายากนี่!


“นายไม่ต้องไปเก็บเองหรอก เดี๋ยวนี้ตามท้องตลาดมีขายโสมภูเขาเยอะแยะ นายดูเองก็ดูไม่ออกหรอก เอาอย่างนี้ไหม ฉันจะลองช่วยนายถามจากคนอื่นดู ได้เรื่องยังไงแล้วจะมาบอกนายอีกที” ลุงหมิงพูด


“ถ้าอย่างนั้นต้องขอบคุณลุงมากครับ” เหยียนหมิงซุ่นโค้งตัวลงเพื่อเป็นการขอบคุณ


“นายยังไม่ต้องขอบคุณหรอก โสมนั่นฉันก็ไม่แน่ใจว่าจะหาได้ไหม ทุกวันนี้โสมป่าก็น้อยลงไปเรื่อยๆ อย่าว่าเป็นร้อยปีเลย แค่ห้าสิบปียังหาได้ยาก” ลุงหมิงถอนหายใจ


เหยียนหมิงซุ่นมีสีหน้าสลดลง แต่ในทันทีกลับปรากฏความมั่นใจและแน่วแน่ หากว่าหาไม่ได้จริงๆ อย่างมากก็แค่ไปฉางไป๋ชานด้วยตัวเองสักครั้ง ถ้าเพื่อยายแล้วเขาจะต้องหาโสมร้อยปีให้เจอ เขาไม่มีแม่แล้วคนหนึ่ง เขาจะสูญเสียยายไปอีกคนไม่ได้


ลุงหมิงชื่นชมในตัวเด็กหัวรั้นคนนี้เป็นอย่างมากและเห็นใจต่อชีวิตของเด็กคนนี้ ไม่อย่างนั้นเมื่อสองปีก่อนเขาคงไม่สอนหมิงซุ่นประเมินของลายครามพวกนี้หรอก เพียงแต่ว่า…


“หมิงซุ่น นายยังใจร้ายไม่พอ ถ้าเป็นลุง ลุงจะไม่ยอมทำดีกับลูกของแม่เลี้ยงเด็ดขาด นายดีกับน้องของนายเกินไป” ลุงหมิงพูดเตือนสติ


เหยียนหมิงซุ่นหัวเราะเยาะให้กับตัวเขาเอง “เมื่อก่อนถานซูฟางขังผมไว้ในห้องดำ หมิงต๋าที่ยังไม่ถึงสามขวบมักจะแอบเอาข้าวมาให้ผม ทุกครั้งที่ถานซูฟางตีผม น้องก็จะเอาตัวเองมายืนบังด้านหน้า ผมใจร้ายกับเขาไม่ได้”


ลุงหมิงหัวเราะเยาะในใจ “ไผ่ไม่ดีแตกกอที่ดีได้ พ่อแม่ที่ไม่ดีแต่มีลูกที่กตัญญู นึกไม่ถึงว่าเหยียนโฮ่วเต๋อกับถานซูฟางจะเลี้ยงกระต่ายขาวอยู่ น่าสนใจดี!”


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 168 ตอบแทนน้ำใจซึ่งกัน


ลุงหมิงถามต่อ “แล้วต่อจากนี้จะรับมือกับพวกเขายังไง?”


ใบหน้าเย็นชาของเหยียนหมิงซุ่นเริ่มปรากฏรอยยิ้มจางๆ ขึ้นราวกับเขากำลังประชดตัวเอง เขาดูเฉยเมยและพูดขึ้นเสียงเบา “ไม่ใช่ว่าถานซูฟางอยากจะอยู่เหนือคนอื่นเหรอ?”


ลุงหมิงพูดอย่างตกใจ “นายบ้าหรือเปล่า นึกไม่ถึงว่านายอยากให้คนคนนั้นอยู่เหนือคนอื่น? นายลืมไปแล้วเหรอว่าเขาเคยทำกับนายยังไงบ้าง?”


“แน่นอนว่าไม่ลืม ผมจะลืมลงได้ไงล่ะ? มีประโยคหนึ่งที่บอกว่า ยิ่งปีนขึ้นที่สูงเท่าไหร่ ตกลงมาก็ยิ่งเจ็บ ถานซูฟางจะต้องมองตัวเองหล่นลงมาจากหลังคนอื่นจนกลายเป็นคนชั่วที่ใครก็ต้องถุยน้ำลายใส่หน้า ความรู้สึกของเขาในตอนนั้นคงจะยอดเยี่ยมที่สุด”


เหยียนหมิงซุ่นคว่ำปากลงเล็กน้อยด้วยแววตาที่เป็นประกาย แม้เค้าโครงใบหน้าจะไม่ปรากฏความอ้อนแอ้นในวัยเยาว์ แต่รังสีความดุร้ายจากตัวเขากลับทำให้ลุงหมิงไม่กล้าแม้แต่จะมอง และมีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำคนแทบไม่เชื่อนั่นคือความอดทน มันยากที่จะคาดเดาความตื้นลึกหนาบาง เขามีสิ่งใดที่เหมือนกับเด็กที่เพิ่งจะอายุสิบหกหรือ?


คนอย่างเขาในภายภาคหน้าทำการใดจักต้องสำเร็จ!


“ในใจนายมีคำตอบอยู่แล้วก็ดี นายเอาชามงอบเคลือบลายแดงใบนี้มาได้ถูกเวลาจริงๆ เมื่อหลายวันก่อนบังเอิญมีลูกค้าเก่ามาถามหาชามงอบเคลือบลายแดง แต่มาวันนี้นายเอามาให้ถึงที่เลย ลุงจะพูดตามตรงนะ ลูกค้าเก่าคนนั้นเสนอราคาให้สองพัน ลุงจะรับไว้หนึ่งพันห้าร้อยนายจะว่ายังไง?”


เจตนาข้อแรกของลุงหมิงคืออยากสานสัมพันธ์กับเหยียนหมิงซุ่น ข้อสองคือมีความคิดอยากช่วยเหลือเด็กคนนี้ ดั่งที่โบราณได้ว่าไว้ สามสิบปีก่อนสายน้ำและสายลมอาจพัดไปทางทิศตะวันออก สามสิบปีหลังกลับพัดไปทางทิศตะวันตก ใครจะรู้ได้ว่าอาจจะมีสักวันที่เขาจะต้องขอความช่วยเหลือจากเหยียนหมิงซุ่น!


เหยียนหมิงซุ่นเป็นคนฉลาดหลักแหลม เขาแค่ฟังก็สามารถรับรู้ได้ว่าลุงหมิงคิดอะไรอยู่ เขาจึงไม่ได้ปฏิเสธต่อเจตนาของลุงหมิง แต่กลับหัวเราะและพูดขึ้น “ผมก็จะไม่เกรงใจลุงหมิงแล้วนะครับ วันข้างหน้าหากว่ายังมีเหยียนหมิงซุ่นคนนี้อยู่ เราจะต้องได้ตอบแทนน้ำใจซึ่งกันแน่นอน”


ลุงหมิงได้ฟังคำพูดนี้ก็สบายใจจนยิ้มตาหยี เขาเปิดตู้เซฟที่วางอยู่ด้านข้างและหยิบเงินออกมาหนึ่งกอง ใช้นิ้วแต้มน้ำลายแตะลงบนธนบัตรเพื่อนับออกมาหนึ่งร้อยห้าสิบใบ เป็นกองหนาๆ แล้วโยนลงบนโต๊ะ


“นายลองนับดูก่อน”


เหยียนหมิงซุ่นไม่แม้แต่จะมอง เขาใช้มือหยิบเงินกองนั้นยัดลงไปในกระเป๋า ลุงหมิงหัวเราะชอบใจต่อการกระทำนั้น ที่เขาชอบเด็กคนนี้ก็เพราะความสบายๆ เป็นกันเอง ไม่เหมือนกับคนบางคน เงินกองเดียวนับแล้วนับอีกเป็นสิบรอบ เฮ้อ! พี่ใหญ่หมิงอยู่แถวตลาดหนานสุ่ยมาสิบกว่าปี ทำไมจะไม่เข้าใจเงินเล็กน้อยแค่ไม่กี่ใบนั่น?


“ผมไม่กวนลุงหมิงแล้ว ไปก่อนนะครับ”


เหยียนหมิงซุ่นรูดปิดซิบกระเป๋า และบอกลาลุงหมิง ลุงหมิงโบกมือเพื่อบ่งบอกให้เขาตามสบาย และพูดขึ้นอย่างไม่มีชีวิตชีวา “กระดาษ หมึก และของอื่นๆ ที่อยู่ด้านนอกหยิบไปใช้สิ เลือกเอาเองเลย”


“ได้ครับ!”


เหยียนหมิงซุ่นตอบกลับอย่างไม่เกรงใจ เขารู้ว่าลุงหมิงไม่ได้พึ่งกระดาษหรือหมึกพวกนี้เพื่อหาเลี้ยงชีพ ร้านกระดาษนี้เป็นเพียงแค่ป้ายบังหน้าร้านก็เท่านั้น แต่หน้ากากจริงๆ ที่สวมอยู่คือของชิ้นเก่าอันทรงราคาพวกนั้น!


อู่เหมยกับสยงมู่มู่ไม่มีอะไรให้ทำเลยอุ้มฉิวฉิวไปเดินเล่นแถวๆ แผงลอยขายของ บางร้านจัดวางของจนเต็มแผงแต่เจ้าของแผงกลับขายของตามอารมณ์ อยากขายก็ขาย ไม่อยากขายก็ไม่ขาย อาจเพราะเห็นว่าพวกเขาสองคนเป็นแค่เด็ก รู้ว่าไม่มีเงินให้หารายได้ด้วยแถมยังเสียเวลาพวกเขา


ทุกร้านจัดวางของคล้ายๆ กันหมด เงินโบราณที่เป็นสนิม ถ้วยชามกระป๋องสภาพแตกๆ และสกปรก และยังมีพวกกล่องใส่พู่กันแบบโบราณ รวมถึงของอื่นๆ อีกมาก ดูคล้ายกับพวกของเล่นที่ชำรุดทรุดโทรม


ในเวลานี้คนที่มาเดินชอปปิงซื้อของเริ่มเยอะขึ้น มีทั้งคนในพื้นที่ นักท่องเที่ยวจากต่างเมืองและมีฝรั่งผมทองตาสีฟ้า เป้าหมายหลักของทุกคนเหมือนกันคือมาคอยจับผิดของเก่า


“เราไปซื้อกระดาษกันเถอะ แปดถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นเป็นของปลอม อีกอย่างของจริงพวกเราก็ดูไม่ออก” อู่เหมยไม่ได้ให้ความสนใจมาก


สยงมู่มู่กลับออกแรงยึดต้านตัวเองไว้ “รีบทำไม? ยังมีเวลาเหลือ เดินๆ ดูไปก่อนสิ ถ้าหากว่าโชคดีแล้วเก็บได้โชคก้อนใหญ่ที่ตกลงมาพอดี แบบนั้นเธอจะยังกลุ้มใจเรื่องเงินอีกเหรอ?”


อู่เหมยจ้องเขาตาเขม็ง บนพื้นแค่เงินสักเหรียญยังยากที่จะเก็บได้ ยังคิดว่าโชคจะหล่นมาให้เก็บอีกเหรอ?


ฝันกลางวันแสกๆ หรือไง!


“ต๊อก ต๊อก”


ฉิวฉิวที่อยู่ในอ้อมแขนของอู่เหมยร้องขึ้นกระทันหัน และบิดตัวดิ้นไม่หยุด


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 169 ไม่ขายฉิวฉิว


แรงที่ฉิวฉิวมีไม่ใช่น้อยๆ เลย เป็นจังหวะที่อู่เหมยอุ้มมันได้ไม่แน่นพอจึงทำให้มันกระโดดหลุดจากวงแขน แค่แวบเดียวก็วิ่งหายไปไม่เห็นแม้กระทั่งเงา อู่เหมยจึงรีบวิ่งตามไปพร้อมทั้งตะโกนเรียกไปด้วย “ฉิวฉิว รีบกลับมา!”


ฉิวฉิวหยุดวิ่งและส่งเสียงร้องไปทางอู่เหมย จากนั้นมันจึงวิ่งต่อไปข้างหน้าราวกับต้องการจะให้อู่เหมยวิ่งตามมา สยงมู่มู่เห็นดังนั้นจึงคิดว่าสถานการณ์น่าสนใจจึงหัวเราะให้กับอู่เหมยและพูดขึ้น “เมื่อก่อนเคยอ่านเจอในหนังสือบอกว่าสัตว์บางประเภทแสนรู้และมีไหวพริบ สามารถหาของมีค่าแล้วมารายงานต่อเจ้าของมันได้ ฉิวฉิวของพวกเราคงไม่ได้ไปหาของมีค่าหรอกใช่ไหม?”


“ใครเขาอยู่บ้านเดียวกับนายกัน? ฉิวๆ เป็นของฉัน ของฉันคนเดียว”


อู่เหมยกลอกตามองเขา หน้าไม่อายจริงๆ อยากจะแย่งฉิวๆ ไปจากเธอ ไม่มีทางหรอก


เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าฉิวฉิวจะไปหาของมีค่าแล้วมาบอกเธอ ฉิวฉิวเป็นเพื่อนที่ดีของเธอ เพื่อนที่สนิทกว่าคนในครอบครัว ไม่กี่วันมานี้เธอได้ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับกระรอก ช่วงชีวิตของกระรอกตัวหนึ่งจะมีอายุเพียงแค่สิบกว่าปี นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เธอเสียใจไม่น้อย


แต่ต่อให้ฉิวฉิวจะมีชีวิตได้แค่สิบกว่าปี เธอก็จะปกป้องและดูแลฉิวฉิวให้ดีที่สุด เลี้ยงและดูแลมันไปจนแก่จนชั่วชีวิต


น่าเสียดายที่คุณชายฉิวไม่มีคาถาอ่านใจคน ถ้าไม่อย่างนั้นมันคงได้ใช้เท้าข้างนึงเตะอู่เหมยแน่ๆ พวกมนุษย์คงได้สูญพันธุ์ไป แต่คุณชายฉิวไม่มีทางตายได้!


ฉิวฉิวที่กระโดดอยู่บนถนนตัวของมันทั้งขาวทั้งจ้ำม่ำ ไม่นานก็ทำให้เป็นจุดสนใจของใครหลายๆ คนและถูกผู้คนห้อมล้อมเข้ามา


“บนถนนแบบนี้กระรอกมาจากไหน? แถมยังเป็นสีขาวด้วย ดูแปลกตาจริงๆ”


“แม่ครับ ผมอยากได้กระรอกน้อย แม่รีบไปจับมันให้ผมหน่อย”


อู่เหมยตะโกนร้องอย่างเร่งรีบ “ฉิวฉิวเป็นของฉัน ใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์แตะตัวมัน!”


เธอใช้แรงทั้งหมดที่มีพุ่งเข้าไปข้างๆ ตัวของฉิวฉิวอย่างรวดเร็วแล้วอุ้มมันขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน เธอมองผู้คนที่ห้อมล้อมเข้ามาด้วยความตึงเครียด ใครหน้าไหนก็อย่าหวังจะมาแตะต้องฉิวฉิวของเธอ


ทุกคนที่เห็นว่าฉิวฉิวยอมนิ่งอยู่ในอ้อมแขนของเด็กผู้หญิงคนนี้ถึงรู้ได้ทันทีว่าอู่เหมยเป็นคนเลี้ยงเจ้ากระรอกน้อยสีขาวแปลกประหลาดตัวนี้ จากนั้นผู้คนก็เริ่มทยอยแยกย้ายออกไป เหลืออยู่ไม่กี่คนที่มองฉิวฉิวด้วยความกระตือรือร้น


“สาวน้อย ขายกระรอกน้อยของเธอไหม? ฉันขอซื้อห้าสิบหยวน”


คนที่ถามเป็นหญิงสาวที่มีอายุราวสามสิบกว่า แต่งหน้าแต่งตัวได้ทันสมัย แต่สำเนียงการพูดที่ดูแปลก อู่เหมยได้ฟังก็รู้ได้ทันทีว่ามาจากเกาะวานและเธอมาที่นี่คงเพื่อเที่ยวเล่นหรือไม่ก็มาเพื่อเยี่ยมญาติพี่น้อง


คนรอบข้างต่างพากันสูดเอาอาการเย็นๆ เข้าสู่ปอด ห้าสิบหยวนซื้อกระรอกตัวเดียวที่มีเนื้อแค่ไม่กี่กรัม มีเงินเยอะก็ทำให้คนเราทำเลอะเลือนได้จริงๆ


ไม่แปลกที่จะบอกว่าทะเลทางนั้นทุกพื้นที่คือทองคำ!


หญิงสาวเงยหน้าและเชิดคางมนของเธออย่างได้ใจ


อันที่จริงตอนเธออยู่ที่เกาะวานก็ไม่ได้เป็นคนมีเงินอะไร แต่หลังจากที่กลับมาเยี่ยมญาติเธอกลับรู้สึกว่าตัวเธอเองกลายเป็นเจ้าถิ่นไปในพริบตา สายตาอิจฉาริษยาของคนรอบข้างในตอนนี้ทำให้เธอไม่อยากที่จะกลับออกไป!


“สาวน้อย ห้าสิบหยวนสามารถซื้อเสื้อผ้าสวยๆ ไว้ใส่ได้ตั้งหลายตัวนะ!” หญิงสาวพูดเกลี้ยกล่อมเธอ


อู่เหมยกอดฉิวฉิวไว้แน่นพร้อมทั้งส่ายหน้าปฏิเสธอย่างแน่วแน่ “ไม่ขาย!”


ในตาของหญิงสาวปรากฏให้เห็นถึงความเอือมระอา เธอคิดว่าอู่เหมยจะเล่นตัวเพื่อเรียกราคาเพิ่ม กระรอกแค่ตัวเดียว หากไม่เป็นเพราะลูกชายของเธอชอบ เธอไม่มีทางยอมจ่ายเงินห้าสิบหยวนหรอก!


“แม่ครับ ผมอยากได้กระรอกน้อย แม่รีบไปซื้อมาให้ผมสิ!” เด็กชายวัยหกเจ็ดขวบบิดตัวกระเง้ากระงอด เขาหย่อนก้นลงบนพื้นและทำตัวงอแงอย่างไร้ยางอาย


หญิงสาวแม้จะเสียใจเรื่องเงิน แต่ก็เสียใจเรื่องลูกมากกว่าจึงทำได้แค่กัดฟันพูด “สาวน้อยหรือว่าเงินห้าสิบหยวนมันน้อย? ฉันเพิ่มให้อีกสิบหยวนดีไหม? หกสิบหยวนไม่ใช่น้อยๆ นะ สาวน้อยเธอไม่ควรจะโลภเกินไป!”


คนอื่นๆ ต่างพากันเกลี้ยกล่อมอู่เหมยด้วยคำพูดเพื่อให้เธอตอบตกลงขายกระรอกตัวนั้น โอกาสดีๆ แบบนี้หาได้ยาก ถ้าพลาดแล้วก็คงยากที่จะได้เจออีก


“บอกแล้วว่าไม่ขาย ฉิวฉิวคือเพื่อนที่ดีของหนู ต่อให้คุณน้าจะจ่ายหนึ่งร้อยหรือหนึ่งพันหยวนหนูก็ไม่ขาย” อู่เหมยตะโกนตอบ พร้อมอุ้มฉิวฉิวออกไปจากตรงนั้น


เหอะ! แค่มีเงินก็คิดว่าตัวเองน่าสรรเสริญเหรอ?


แถมยังคิดจะมาซื้อฉิวฉิวของเธออีก?


ฝันไปเถอะ!


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 170 ฉิวฉิวอยากซื้อของ


เมื่อเด็กชายเห็นว่าฉิวฉิวออกไปแล้ว เขาจึงร้องไห้ฟูมฟายตะโกนเสียงดังอยากได้กระรอกน้อยตัวนนั้น หญิงสาวรู้สึกเจ็บปวดจนใจแทบสลายพลันก่นด่าเด็กบ้าคนนั้น แต่ก็ทำได้เพียงคิดในใจและพูดจาดีกับอู่เหมย


“สาวน้อยอย่าดื้อดึงนักเลย ฉันจ่ายให้หนึ่งร้อยได้ไหม?”


“คุณฟังภาษาจีนกลางไม่ออกเหรอ? หนูบอกไปแล้วว่าไม่ขาย ไม่ว่าคุณจะจ่ายให้เท่าไหร่ฉันก็ไม่ขาย” อู่เหมยตัดบทด้วยความรำคาญ


“สองร้อยจะตกลงไหม?”


“สามร้อยหยวน?”


“ห้าร้อยหยวน? สาวน้อย ฉันจะหมดความอดทนแล้วนะ คนเราไม่ควรจะโลภขนาดนี้ ห้าร้อยหยวนดูเหมือนพ่อแม่เธอหามาทั้งปียังไม่ได้เลยนะ!”


หญิงสาวกัดฟันแน่นและพูด ห้าร้อยหยวนสำหรับเธอตัวเลขก็ไม่ใช่น้อยๆ แต่ใครให้ลูกชายเธอชอบล่ะ!


ผู้คนที่มองดูสถานการณ์อยู่ตอนนั้นลูกตาแทบจะถลนออกมาจากเบ้าตา แค่กระรอกตัวเดียวที่มีเนื้ออยู่ไม่กี่กรัม นึกไม่ถึงว่าจะขายได้ถึงห้าร้อยหยวน?


แม้ว่าเด็กคนนี้จะอายุน้อยแต่ความสามารถในการเรียกราคาเมื่อเทียบกับผู้ใหญ่แล้วเธอเก่งกว่ามาก ที่แท้ความเป็นวีรบุรุษก็ปรากฏให้เห็นตั้งแต่เด็ก!


“ไม่ขาย ต่อให้คุณย้ายภูเขาทองทั้งลูกมาให้ หนูก็ไม่ขายเพื่อนของหนู ครั้งนี้คุณฟังเข้าใจหรือยัง!” อู่เหมยกอดฉิวฉิวไว้แน่นแล้วประกาศกร้าวออกไป ครั้งนี้หญิงสาวถึงได้ดูออกว่าเด็กสาวคนนี้ไม่ได้จะเล่นตัวเพื่อเรียกราคาเพิ่ม แต่เธอไม่เต็มใจที่จะขายต่างหากล่ะ


หญิงสาวจึงทำได้แค่ฉุดดึงเด็กชายที่ร้องไห้ฟูมฟายออกมาจากตรงนั้น สาวน้อยไม่ยอมขาย จะให้เธอไปแย่งมาก็คงเป็นไปไม่ได้!


ผู้คนที่เดินผ่านไปมาใจแทบแหลกสลาย เงินตั้งห้าร้อยหยวน แค่เสียงน้ำตกกระทบสักหยดยังไม่ทันได้ยินก็ปลิวไปเสียแล้ว เด็กสาวนี่ช่างไม่เข้าใจอะไรจริงๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าเธอเป็นลูกสาวของคนรวยบ้านไหน!


ฉิวฉิวเกาะเจ้านายมันไว้ด้วยความซาบซึ้งใจ ตัวมันรู้ดีว่าไม่ได้ดูคนผิด เจ้านายมันขาดแคลนเงินก็จริงแต่ก็ไม่คิดที่จะขายมันให้คนอื่น น่าประทับใจมาก!


ต่อไปมันจะต้องหาเงินเพื่อเจ้านายของมัน!


สยงมู่มู่ชื่นชมต่อสัญชาตญาณของอู่เหมยเพราะชื่อเสียงและเงินทองไม่สามารถหลอกล่อเธอหรือทำให้เธอหลงมัวเมาได้ ความรู้สึกลึกๆ บอกเขาว่าเขาไม่ได้คบเพื่อนผิดคน เขาจึงถามเธออย่างสนใจ “เธออยากหาเงินไม่ใช่เหรอ? ทำไมไม่ขายฉิวฉิวไปล่ะ?”


“ต๊อก ต๊อก”


ฉิวฉิวแยกเขี้ยวขาวๆ ของมันขู่สยงมู่มู่ นึกไม่ถึงว่าเขาจะกล้ายุยงให้เจ้านายขายมันไป? รอวันหลังมันจะฉี่ราดใส่หัวเขาด้วยกลิ่นธัญพืชหอมพิเศษซะเลย เหอะ!


อู่เหมยจ้องเขาด้วยความขุ่นเคืองและพูดอย่างไม่พอใจ “ฉันขาดแคลนเงิน แต่ฉันยอมไปเก็บขยะขายดีกว่าต้องขายฉิวฉิวไป ถ้านายยังพูดจาแบบนี้อีก ระวังจะโดนต่อย!”


เธอชูหมัดเล็กๆ ของตัวเองไปทางสยงมูมู่ จึงทำให้สยงมู่มู่หลุดหัวเราะออกมา เขาใช้ฝ่ามือลูบเบาๆ ที่หัวของอู่เหมยพร้อมเอ่ยกับเธอ “ไม่ต้องห่วงนะ ต่อไปถ้าขาดแคลนเงินก็ให้มาถามจากพี่ พี่เลี้ยงน้องเอง!”


“ไปให้พ้น!”


อู่เหมยโมโหและใช้มือเล็กๆ ของเธอฟาดเขาไม่หยุด เธอไม่ใช่พวกเมียน้อยสักหน่อย ทำไมต้องให้คนอื่นมาเลี้ยงดูปูเสื่อ?


เฮ้ยๆๆ เลี้ยงดูเมียน้อยอะไรกัน เป็นเพราะสยงมู่มู่นั่นแหละที่พาออกนอกเรื่อง อู่เหมยเบื่อที่จะทะเลาะกับสยงมู่มู่แล้ว ฉิวฉิวที่อยู่ในอ้อมแขนของเธอก็เริ่มจะไม่สงบนิ่งอีกแล้ว ดูเหมือนว่ามันอยากจะไปที่ไหนสักแห่ง อู่เหมยที่รู้สึกได้จึงกระซิบถามข้างๆ หูของฉิวฉิว “ฉิวฉิว แกเจอของที่ชอบแล้วเหรอ?”


“ต๊อก ต๊อก”


ฉิวฉิวตอบอู่เหมยด้วยการส่งเสียงร้องหนึ่งครั้ง อู่เหมยทั้งสงสัยและยอมเชื่อที่จะเดินตามทางที่ฉิวฉิวบอก เธอเดินไปหยุดอยู่หน้าร้านแผลงลอยร้านหนึ่ง เจ้าของร้านเป็นวัยรุ่นอายุราวยี่สิบกว่า ลักษณะซื่อๆ ดูไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ดวงตาขนาดเล็กที่มีนัยน์ตาเปล่งประกาย คนที่วางแผงขายของแถวตลาดหนานสุ่ยได้ จะมีสักกี่คนที่จะไม่มีเล่ห์เหลี่ยม?


แผลงลอยร้านนี้ไม่ต่างจากร้านอื่น สิ่งของที่ถูกจัดเป็นกองไว้มีหลายอย่างที่เป็นของชำรุดทรุดโทรม เพียงแค่เงินโบราณก็มีอยู่มากหลายเหรียญแต่ก็ขึ้นสนิมไปหมด และมีพวกเหยือกเครื่องปั้นดินเผาหลากหลายสีสัน ดูๆ ไปก็สวยเหมือนกัน


อู่เหมยคุกเข่าลงทำเหมือนว่าเลือกของอยู่ เธอใช้มือลูบคลำผ่านๆ ไป เมื่อกี้เธอยังคงคาใจเพราะรู้สึกว่าฉิวฉิวคงอยากให้เธอซื้ออะไรบางอย่าง แต่เธอก็ไม่อาจปล่อยให้ฉิวฉิวไปหาของด้วยตัวเองได้ ถ้าให้กระรอกตัวหนึ่งไปเลือกของเอง คงได้ทำให้คนตกใจจนฟันหลุด


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 171 เงินโบราณ 6 เหรียญ


อู่เหมยนึกถึงคำที่สยงมู่มู่พูดก่อนหน้านี้ ทำให้ในใจเธอไม่มีความรู้สึกใดเลย ฉิวฉิวอาจดูฉลาด มีไหวพริบ แต่มันหาของมีค่าได้ที่ไหนล่ะ?


มีแค่ในนิยายเท่านั้นที่จะปรากฏพวกสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ในชีวิตจริงจะมีได้อย่างไร?


แต่ต่อให้มีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อยู่จริง คงไม่มีทางมาอยู่ข้างๆ คนโชคร้ายอย่างเธอได้หรอก?


ทั้งสองชาติรวมกัน ทุกครั้งที่เธอได้สัมผัสกับรางวัล ก็คงมีแต่ ‘รางวัลเข้าร่วม’ น่ะสิ!


ฉิวฉิวไม่มีปฏิกริยากับสิ่งของอื่นเลย มีเพียงแค่เงินโบราณที่อู่เหมยลูบสัมผัสอยู่นั่นถึงจะทำให้หางของฉิวฉิวสะบัดไปมา ตัวอู่เหมยเองก็ไม่แน่ใจว่ามันส่ายหางเป็นปกติหรือเป็นเพราะต้องการชี้บอกอะไรบางอย่างกับเธอ?


เธอตัดสินใจไม่คิดมากและทำตามที่ฉิวฉิวชี้แนะโดยลูบเหรียญโบราณออกมาได้หกเหรียญ แต่ละเหรียญขึ้นสนิมจนดูไม่เป็นรูปเป็นร่าง มีอยู่หนึ่งเหรียญที่มองไม่เห็นแม้แต่ขอบ โยนทิ้งลงพื้นยังไม่มีใครอยากได้สิ่งของทรุดโทรมพวกนี้เลย


พอลูบเอาหกเหรียญนี้ออกมาได้ฉิวฉิวจึงเริ่มอยู่นิ่งขึ้นและหลับไป อู่เหมยลังเลอยู่พักหนึ่งถึงได้ตัดสินใจซื้อเหรียญโบราณทั้งหกเหรียญนี้ ในใจเธอแอบหวังว่าอาจโชคดีโดยบังเอิญ ถ้าหากเธอได้โชคก้อนใหญ่ขึ้นมาจริงๆ ล่ะ!


ถ้างั้นต้องลองเดิมพันดูสักครั้ง!


“คุณลุงคะ เงินพวกนี้ขายยังไงคะ?” อู่เหมยใช้มือรองเงินโบราณทั้งหกเหรียญแล้วถามเจ้าของร้าน


เจ้าของร้านยิ้มให้อย่างไร้เดียงสา เขากางฝ่ามือและบอกราคา “ปกติเหรียญละห้าหยวน แต่เห็นว่าเธอยังเด็ก และร้านฉันยังไม่มีคนประเดิมซื้อ เพราะงั้นขายให้เธอหนึ่งหยวน”


อู่เหมยตกใจมาก นึกไม่ถึงว่าต้องจ่ายห้าหยวนเลยหรือ?


เงินติดตัวเธอมีทั้งหมดแค่สิบหยวนกับอีกห้าเจี่ยว หกหยวนต้องเอาไปซื้อรองเท้า สี่หยวนห้าเจี่ยวจะต้องจ่ายค่าเรียนวาดรูปอาทิตย์หน้า หากเธอต้องจ่ายห้าหยวนนี้ไป เธอก็จะซื้อรองเท้าไม่ได้แล้ว


“คุณลุงคะ ลดให้หน่อยได้ไหม? หนูไม่ได้พกเงินมาเยอะ” อู่เหมยเริ่มขอต่อราคา เมื่อชาติก่อนเธอได้ยินว่าที่ตลาดหนานสุ่ยให้ราคาสินค้าที่สูงเกินกว่าความเป็นจริงมาก ถึงจะต่อราคาให้ต่ำกว่าครึ่งหนึ่งยังเทียบไม่ได้กับราคาที่ตั้ง เพราะฉะนั้นการจะซื้อสินค้าอะไรก็ตามจะต้องต่อราคาเพื่อให้ได้สินค้าที่สมกับราคา


เจ้าของร้านไม่ได้ใส่ใจอะไรมากกับกิจการนี้ จะหาเงินอะไรได้กับแค่เด็กคนเดียว สำหรับเขาแล้วนักท่องเที่ยวต่างชาติกับคนต่างเมืองถึงจะทำให้ได้กำไร เพียงแต่ช่วงเช้าแบบนี้มีคนมาประเดิมซื้อของแล้วถือว่าเป็นเรื่องดี เพราะนั่นถือว่าเป็นลางดี


“ถ้างั้นเธอลองเสนอราคามาสิ” เจ้าของร้านยิ้มตาหยีและพูดขึ้น เวลาว่างๆ แบบนี้ได้หยอกล้อสาวน้อยก็ยังดี


เศษเงินกองนั้นเขาได้มาในราคาเพียงหนึ่งหยวนจากคุณยายที่อยู่แถวชนบท คุณยายบอกว่าเป็นกระป๋องเงินที่ขุดออกมาจากดินบริเวณบ้านหลังเก่าที่เตรียมรื้อและสร้างใหม่ กระป๋องเงินเก่าแลกมาได้หนึ่งหยวนก็ทำให้คุณยายดีใจแทบเสียสติ เขาเองก็ดีใจแทบเสียสติเหมือนกันเพราะค่าของเงินหนึ่งหยวน เขาสามารถขายออกไปได้ในราคาที่สูงกว่าหลายสิบเท่า!


สยงมู่มู่รู้สึกว่าอู่เหมยทำตัวไม่สุภาพเลย เงินแค่ห้าหยวน ทำไมต้องไปต่อราคาด้วย?


เขาที่กำลังจะควักเงินออกมากลับถูกอู่เหมยที่เดินอ้อมไปทางด้านหลังถีบเข้าและกล่าวเตือนเสียงเบา “ของที่เป็นของฉัน ฉันซื้อเอง ถ้าไม่อย่างนั้นฉันจะไม่เล่นกับนายอีก”


สยงมู่มู่เดินไปอีกฝั่งด้วยความโกรธ ยัยบ้านี่เห็นความหวังดีของเขาเป็นความประสงค์ร้ายไปได้ เขาจะไม่สนใจเธออีกแล้ว แต่ผ่านไปไม่กี่นาทียัยนั่นก็เดินเข้ามาด้วยท่าทีตะกุกตะกักและตีหน้าขึม


เขามันผู้ชายอกสามศอก ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยเหมือนยัยนี่ อีกอย่างยัยแสบนี่ก็น่าสงสาร เขาถึงได้ยอมให้!


อู่เหมยคิดแล้วคิดอีก ไม่กล้าต่อราคาที่ต่ำเกินไป เธอจึงพูดออกไป “คุณลุงคะ ทั้งเนื้อทั้งตัวหนูมีแค่สองหยวน ลุงจะให้ไหมคะ?”


หากอู่เหมยจะต่อราคาเหลือแค่หยวนเดียวเจ้าของร้านก็จะยอมขายให้ สองหยวนเขายิ่งพอใจ แทบไม่ต้องกะพริบตาอะไรและตอบออกไปอย่างสบายใจ “เธอเอาไปสิ วันหลังมาเลือกของมีค่าที่ร้านลุงอีกนะ!”


อู่เหมยที่เห็นท่าทางสบายๆ ของเขาถึงได้รู้ว่าตัวเองต่อราคาสูงไป เธอรู้สึกเสียดายเป็นอย่างมาก ถ้ารู้ว่าเป็นแบบนี้เธอควรจะต่อให้เหลือแค่ห้าเจี่ยว เฮ้อ! ตอนนี้เธอเสียหายไปตั้งหนึ่งหยวนกับอีกห้าเจี่ยวแน่ะ


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 172 ซื้อกระดาษวาดรูปแทนยัยตัวแสบ


ตัวหมากเมื่อวางไปแล้วก็ไม่ควรเสียดาย การต่อราคาเป็นธรรมดาที่เราไม่ควรจะเสียดายมัน อู่เหมยเสียใจกับเงินที่จะต้องเสียไป แต่จำต้องหยิบเงินหนึ่งหยวนออกมาสองใบ เธอกัดฟันแน่นและยื่นให้กับเจ้าของร้าน ใบหน้าแสดงออกถึงความเจ็บปวดของเธอทำให้สยงมู่มู่ที่มองอยู่ก่อนหน้าทำหน้าเรียบนิ่ง


ยัยเด็กไร้มารยาทคนนี้ ต่อไปเขาจะไม่ยอมออกบ้านไปไหนพร้อมกับยัยนี่อีกแล้ว ขายขี้หน้า!


ดูลักษณะเจ้าของร้านจะมีความสุข แถมเขาก็ไม่ได้มีท่าทีเกรงใจที่รับเงินสองหยวนนั้นไว้ แต่นัยน์ตาเป็นประกายและมองเด็กคนนี้ถือว่ามีเงินเหมือนกัน สองหยวนสำหรับเขาก็ถือว่าเป็นการหาเงินได้แล้ว


อู่เหมยมองเหรียญสกปรกไม่กี่เหรียญในมือด้วยความรังเกียจ เธอเบ้ปากมุ่ยหน้าแล้วออกแรงทรมานฉิวฉิวไปครั้งหนึ่ง ทำให้รูปหน้าของเจ้ากระรอกเปลี่ยนรูปไป แบบนั้นถึงจะทำให้เธอรู้สึกว่าสบายใจขึ้น


ฉิวฉิวสบัดหางไปมาไม่หยุด ประสบการณ์น้อยกันเสียจริง มองสิ่งของที่คุณชายฉิวหาเป็นแค่ของธรรมดา?


อีกเดี๋ยวเจ้านายก็จะรู้ถึงข้อดีของมันแล้ว!


“เราไปซื้อกระดาษกันเถอะ” อู่เหมยมีท่าทีไม่พอใจ


กระดาษก็ยังไม่ได้ซื้อ แต่เงินสองหยวนได้ถูกจ่ายออกไปแล้ว เงินค่าเรียนของสัปดาห์หน้าก็ไม่รู้จะไปหาจากที่ไหนมาจ่าย?


สยงมู่มู่ถามออกไปอย่างไม่พอใจ “ทำหน้ามุ่ยไปทำไม ค่าเรียนห้าหยวนเดี๋ยวฉันจ่ายให้ เธอค่อยทยอยคืนฉันทีหลัง”


“อ่อ ขอบใจนะ” อู่เหมยรู้สึกประหม่าเล็กน้อย ตอนนี้คงต้องเป็นแบบนี้แหละ แต่น้ำใจของสยงมู่มู่ที่เธอติดหนี้อยู่มันเริ่มจะเยอะขึ้นเรื่อยๆ แล้ว


สยงมู่มู่ถออนหายใจอย่างทระนงและตอบ “ไม่ต้องขอบใจหรอก ต่อไปแค่อย่าทำหน้าบูดบึ้งบ่อยๆ ก็พอ”


“ไม่แล้วล่ะ ขาของนายยังเจ็บอยู่ไหม? หรือจะให้ฉันนวดแทนนาย?” อู่เหมยยิ้มอย่างไม่มั่นใจ เมื่อครู่ที่เธอถีบเขาถือว่าใช้แรงไปเยอะมากเหมือนกัน


“ยังไม่ไปซื้อกระดาษอีก? จะอยู่ตรงนี้รอให้เงินทองหล่นมาจากฟ้าหรือไง!” สยงมู่มู่ที่เดินไปได้ครึ่งทางแล้วแต่ไม่เห็นอู่เหมยเดินตามเขามาจึงหันกลับไปตะโกนใส่เธอ


อู่เหมยก้าวขาเล็กๆ ของเธอวิ่งตามเขาไป เหรียญกษาปณ์ที่อยู่ในถุงกระเป๋ากระทบกันเสียงดังกรุ๊งกริ๊งราวกับเสียงของกระดิ่งสั่น แต่เสียงมีความเบาและทุ้มกว่าซึ่งไม่ได้มีความน่าฟังเลย อู่เหมยไม่ชอบเสียงที่ดังจนน่ารำคาญ เธอจึงใช้ผ้าเช็ดหน้าห่อและยัดมันใส่ไว้ในกระเป๋า


เหยียนหมิงซุ่นวานให้พนักงานที่หน้าเคาน์เตอร์หยิบกระดาษมาให้เขา เดิมทีเขาอยากได้กระดาษสีขาวมาทำกระดาษเลคเชอร์แต่สุดท้ายกลับเปลี่ยนเป็นกระดาษสำหรับวาดภาพ พอพนักงานร้านหยิบกระดาษวาดรูปปึกใหญ่ๆ ยื่นให้เขา เขาจึงอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าไปมา


ทำไมเขาต้องอยากซื้อกระดาษวาดรูปให้ยัยตัวแสบนั่นด้วย?


อาจเป็นเพราะห่วงว่าเธอจะไม่มีเงินซื้อ เหยียนหมิงซุ่นคิดว่าคงเพราะเหตุผลนี้แน่นอน หรือว่าเขาใจอ่อนเกินไป!


“เท่าไหร่ครับ?” เหยียนหมิงซุ่นถามพนักงานร้าน


ถ้าเป็นกระดาษขาวทั่วไปเขาหยิบไปได้เลย แต่กระดาษวาดรูปราคาก็ไม่ใช่ถูกๆ เขาถามออกไปพร้อมกับยื่นธนบัตรใบสิบหยวนให้เขาไป พนักงานยิ้มและทอนเงินให้เขาแปดหยวนห้าเจี่ยวและพูดขึ้นว่า “คนอื่นซื้อคือสองหยวน แต่เหยียนหมิงซุ่นมาก็คิดให้หนึ่งหยวนห้าเจี่ยวก็แล้วกัน”


“ขอบคุณครับ กระดาษนี่รบกวนเก็บไว้ให้ผมก่อนได้ไหม อีกสักพักผมจะกลับมาเอา”


เหยียนหมิงซุ่นโบกมือให้กับพนักงานร้าน ในเวลานี้แผงลอยที่ขายของคงจะจัดร้านเสร็จหมดแล้ว ก็ไม่แน่ว่าถ้าโชคดีเขาอาจจะจับได้ของดี นั่นถือเป็นวิธีการทดสอบสายตาที่ดีอย่างหนึ่ง


ฉิวฉิวที่อยู่ในอ้อมแขนของอู่เหมยเริ่มที่จะไม่อยู่นิ่ง เหมือนกับเมื่อครู่ที่มันต้องการให้อู่เหมยไปยังร้านแผงลอยกับมัน ของดีมักจะเจอได้ช่วงหลัง แต่ในเวลานี้มันกลับได้กลิ่นพวกของล้ำค่า


“ฉิวฉิวหยุดดิ้นได้แล้ว พี่ไม่มีเงินติดตัวแล้ว ไว้รอบหน้าเราค่อยมาซื้อดีไหม?” อู่เหมยพูดขึ้นเบาๆ ที่ข้างหูของมัน เธอรู้สึกผิดต่อสัตว์เลี้ยงของตัวเองที่ตัวเธอไม่มีความสามารถพอ เพราะขนาดของที่ฉิวฉิวชอบเธอยังซื้อให้ไม่ได้เลย


ฉิวฉิวยังคงมองไปยังร้านแผงลอยแต่ละร้านไม่วางตา เป็นเพราะตอนนี้ตัวของมันยังเล็กเกินไป ถ้ามันโตขึ้นอีกหน่อยกระเป๋าหน้าท้องของมันก็จะขยายขึ้น เฮ้อ! คุณชายฉิวอย่างมันจะเอาพวกของล้ำค่ายัดใส่กระเป๋าหน้าท้อง แบบนี้ก็ไม่มีใครหาเจอแล้ว


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 173 พี่หมิงซุ่น หนูให้เหรียญโบราณพี่ 1 เหรียญ


อู่เหมยกับสยงมู่มู่ยืนอยู่หน้าร้านกระดาษเป็นจังหวะเดียวกับที่เหยียนหมิงซุ่นเดินออกมา เหยียนหมิงซุ่นมองอู่เหมยที่อยู่ในชุดสบายๆ ราวกับฉากภูเขาหลังฝนตกที่งดงามแต่แลดูสดชื่นสบายตา ข้างกายเธอมีชายหนุ่มรูปงามอย่างสยงมู่มู่แต่เขากลับมองเห็นเป็นเหมือนคลองน้ำคร่ำที่อยู่ข้างภูเขา มองยังไงก็ไม่เข้าสายตา


ดูเหมือนช่วงนี้อู่เหมยจะสนิทกับสยงมู่มู่เกินไปหรือเปล่านะ?


“พี่หมิงซุ่น พี่มาซื้อกระดาษเหมือนกันเหรอคะ?” อู่เหมยถามอย่างแปลกใจ


“ครับ พวกเธอก็มาซื้อกระดาษเหรอ?” เหยียนหมิงซุ่นถาม อู่เหมยดูอ่อนโยนขึ้นมากจนทำให้สยงมู่มู่ได้แต่แบะปากมอง ผู้ชายก็เป็นแบบนี้แหละ เห็นผู้หญิงสวยๆ หน่อยก็มีสีหน้าที่ดีอย่างเห็นได้ชัด ขนาดเหยียนหมิงซุ่นยังไม่เป็นข้อยกเว้น


ชั่วครู่เขานึกภูมิใจขึ้นมาเพราะมีแค่เขาสยงมู่มู่ที่ไม่ได้เป็นผู้ชายธรรมดา แต่เขาเป็นคนที่เข้าใจความรู้สึกของอู่เหมยดีทุกอย่างถึงได้มาเป็นเพื่อนกัน แค่รูปร่างหน้าตาที่แสนธรรมดาของยัยนั่น จะดึงดูดและมีผลต่อความรู้สึกอันแสนยโสของเขาได้อย่างไร?


อู่เหมยพยักหน้าตอบ “วาดรูปจำเป็นต้องได้ใช้กระดาษวาดรูปค่ะ มู่มู่บอกว่ากระดาษของที่นี่คุณภาพดี เราเลยมาซื้อกระดาษที่นี่กัน พี่หมิงซุ่นคะ เมื่อกี้หนูซื้อเหรียญกษาปณ์มาด้วย ไม่อย่างนั้นหนูให้พี่เหรียญหนึ่งดีไหม? ได้ยินว่าถ้าสวมใส่ไว้กับตัวจะช่วยขจัดสิ่งชั่วร้าย”


เหยียนหมิงซุ่นช่วยเหลือเธอมาเยอะมากแต่เธอไม่มีอะไรจะให้เขาเลย พอดีกับเหรียญโบราณที่ได้มาก็ไม่ได้แย่อะไร เมื่อชาติก่อนเธอเห็นมีคนนำด้ายแดงมาร้อยเข้ากับเหรียญแล้วห้อยไว้กับตัว โดยเฉพาะช่วงที่เป็นปีเกิดของตน มีจำนวนคนที่แขวนมันไว้กับตัวเยอะมาก


อู่เหมยหยิบเอาเหรียญทั้งหกออกมาจากกระเป๋าซึ่งเหรียญมันดูซ่อมซ่อมาก ทำให้อู่เหมยรู่สึกเขินอาย ถ้าเอาเหรียญเก่าขนาดนี้ให้คนอื่นไปมันคงจะน่าเกลียดเกินไป เธอเลือกเงินโบราณที่ดูสะอาดสุดออกมาหนึ่งเหรียญและยื่นออกไปให้เขาด้วยความเขินอาย


“พี่หมิงซุ่น อันนี้สะอาดที่สุดให้พี่ค่ะ” เสียงของเธอเบาราวกับเสียงยุงร้อง อู่เหมยรู้สึกเสียใจและหัวร้อนที่ตัดสินใจเอาเหรียญโบราณเก่าๆ ให้เขา ของเก่าทรุดโทรมแบบนั้นเธอทำไปได้ยังไงถึงจะเอาไปให้คนอื่น!


จากตอนแรกที่เหยียนหมิงซุ่นไม่ได้สนใจอะไร เขามองแค่เด็กคนนี้ที่กำลังทำท่าทีหยิบของออกมาจากกระเป๋า ท่าทางเขินอายและลำบากใจของเธอมันช่างน่าสนใจ เงินโบราณในร้านต่างๆ บนถนนเส้นนี้ไม่ได้มีอะไรดีนัก ซึ่งไม่ได้หมายถึงว่าจะเป็นของปลอมเพราะทั้งหมดคือเงินโบราณ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเงินราชวงศ์ซ่งหรืออื่นๆ ที่แทบจะไม่ได้ราคา เจ้าของร้านมักจะเอามาเป็นตัวหลอกนักท่องเที่ยวต่างเมืองและกลุ่มต่างชาติ


เงินโบราณแตกต่างจากของโบราณชิ้นอื่นๆ เพราะไม่ได้แปลว่ายิ่งเก่าจะเป็นของดี แต่จะต้องดูอายุของเหรียญที่มีอยู่ว่ามีความเก่าแก่เพียงใด เหมือนกับเหรียญราชวงศ์ซ่งที่ยังไม่ได้ราคาเท่ากับเหรียญราชวงศ์ชิง เป็นเพราะเศรษฐกิจในช่วงราชวงศ์ซ่งเจริญรุ่งเรือง เงินโบราณของราชวงศ์จึงแพร่กระจายในหมู่ประชาชนทั่วไปเป็นจำนวนมากราวกับขนของวัว ที่ตกทอดมาก็ยิ่งมีมากขึ้น วัตถุยิ่งหายากยิ่งได้ราคา ในทางกลับกัน วัตถุที่มีอยู่มากมักจะไม่ได้ราคา


เงินราชวงศ์ชิงต่างกันโดยสิ้นเชิง ช่วงนั้นการหมุนเวียนของเงินมีน้อย เงินที่ตกทอดเหลืออยู่ก็ยิ่งน้อยตามไปด้วย ตรงกันข้ามที่จะต้องได้ราคามากกว่าเงินราชวงศ์ซ่ง


เหยียนหมิงซุ่นคิดว่าที่อู่เหมยซื้อมาคือเงินราชวงศ์ซ่งเขาจึงไม่ได้สนใจ แต่เขาก็รู้สึกดีใจมากทำให้บนมุมปากของเขาปรากฏรอยยิ้มที่ชวนมองราวกับสามารถละลายน้ำแข็งที่อยู่ในอากาศเย็นบนภูเขาน้ำแข็งได้


สยงมู่มู่ที่เหลือบมองด้วยท่าทีไม่สบายใจ แวบหนึ่งที่เขาเผลอใจลอยและหันหน้ากลับอย่างกะทันหัน


ไม่ชอบเขาคนนี้ ยิ้มที่ปรากฏยังดูดีกว่านายน้อยสยงอย่างเขาเสียอีก คงไม่ได้จงใจจะมาพนันอะไรกับเขาหรอกใช่ไหม!


ยัยบ้านี่ก็ด้วย เขาอุตส่าห์ออกมาเป็นเพื่อนเธอเพื่อซื้อกระดาษตั้งแต่เช้าตรู่ แต่ยัยนั่นกลับไม่คิดจะให้เหรียญโบราณแก่เขาแม้แต่เหรียญเดียว แต่กับเหยียนหมิงซุ่นแค่เจอหน้าก็ให้แล้ว ยัยผู้หญิงใจร้าย น่าโมโหจริงๆ เลย!


เหยียนหมิงซุ่นที่เห็นเหรียญเก่าๆ บนฝ่ามืออันนิ่มนวลและขาวผ่องของอู่เหมยที่ยื่นมาให้เขา สีหน้าเขาดูเคร่งขรึมและส่งเสียงกะแอมออกมาเบาๆ


ดูเหมือนว่ายัยเด็กนี่จะโชคดีไม่ใช่เล่น!


เหรียญโบราณเหรียญนี้ปรากฏชัดเจนว่าไม่ไช่เหรียญราชวงศ์ซ่งที่ไม่มีราคา แต่เป็นเหรียญที่มีราคาสูงลิ่วอย่างเหรียญราชวงศ์ชิง ยิ่งไปกว่านั้นเป็นเหรียญกษาปณ์ที่นักเก็บสะสมต่างชื่นชอบอย่างเสียนเฟิงทงเป่า


เหยียนหมิงซุ่นที่รับเหรียญมาแล้วตรวจสอบดูเหรียญอย่างละเอียดไปหนึ่งครั้ง และเขาก็มั่นใจว่าเป็นเหรียญกษาปณ์เสียนเฟิงทงเป่าอย่างไม่ต้องสงสัย อีกทั้งรูปร่างลักษณะของเหรียญก็ไม่ได้แย่ หากเอาไปให้ลุงหมิงล่ะก็ ไม่แน่ว่าอาจจะได้มาอย่างน้อยสักสองร้อยหยวน


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 174 ได้โชคก้อนใหญ่


อู่เหมยที่มองเหยียนหมิงซุ่นเอาแต่พิจารณาเหรียญนั้นและเข้าใจว่าเขาไม่ชอบ เธอจึงตัดสินใจยื่นเหรียญที่เหลือไปให้เขา “ไม่อย่างงั้นพี่หมิงซุ่นเลือกเหรียญที่ชอบเอง ดีไหมคะ?”


“เฮ้อ!”


สยงมู่มู่ถอนหายใจออกมาอย่างแรง สีหน้าที่ไม่น่ามองนักเริ่มปรากฏให้เห็น เขาถอนหายใจออกไปถึงสามครั้งแต่ยัยนั่นก็ยังไม่ได้ยินอีก เธอต้องตั้งใจเมินเขาเป็นแน่


ครั้งนี้อู่เหมยได้ยินจึงหันกลับไปมองสยงมู่มู่ที่ทำหน้าดำคร่ำเครียด เธอไม่เข้าใจว่าองค์ชายอย่างเขาเริ่มเป็นอะไรขึ้นมาอีก แต่เธอก็ไม่ได้สนใจเขามากและหันหน้ากลับไปตามเดิมพร้อมทั้งส่งยิ้มหวานไปให้เหยียนหมิงซุ่น


สยงมู่มู่เดินตามหลังไปอย่างโมโหด้วยสายตาที่แทบจะไม่มองพวกเขา เขาเบื่อที่จะต้องเห็นหน้ายัยโง่ใจดำคนนี้ สมองก็โง่ หูก็หนวก ตาก็ยังบอดอีก


เหยียนหมิงซุ่นแค่เหลือบมองเหรียญโบราณทั้งห้าเหรียญบนมือของอู่เหมย ใจของเขาเต้นแรงขึ้นมากะทันหันและเขาได้ลากตัวอู่เหมยเข้ามาด้านในของร้าน “เธอเข้ามากับฉัน”


ยัยเด็กนี่ได้โชคก้อนใหญ่ หรือเป็นเพราะเธอมีพรสวรรค์?


เหรียญหกเหรียญนี้ทุกเหรียญเป็นของดีมีคุณภาพ หนึ่งในนั้นมีเงินโบราณที่หายากและมีราคา ซึ่งนั่นคือต้าฉีทงเป่า


ต้าฉีทงเป่าก็คือหนึ่งในเงินตราโบราณที่มีความหรูหรา ทั้งยังเป็นของที่มีมูลค่าทางน้ำหนัก เป็นเงินตราที่จักรพรรดิหลี่เปี้ยนผู้สถาปนาถังใต้หล่อขึ้นมาในยุคแรกของถังใต้ แต่แพร่กระจายให้ได้พบเห็นมาจนถึงปัจจุบันนี้น้อยมาก น้อยจนนับได้เลย เรียกได้ว่าเป็นของหายากที่มีราคาสูง และจัดเป็นเงินโบราณสะสมที่มีมูลค่าสูง


เป็นเพราะก่อนหน้านี้ลุงหมิงเคยพูดกับเหยียนหมิงซุ่นเกี่ยวกับต้าฉีทงเป่า ลุงหมิงสะสมเงินโบราณทุกรูปแบบทุกประเภท แต่ยังมีเงินโบราณหายากบางเหรียญที่ยังเก็บสะสมไม่ครบ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือต้าฉีทงเป่า


ลุงหมิงยังเคยพูดกับเหยียนหมิงซุ่นเรื่องลักษณะเฉพาะของเหรียญกษาปณ์ต้าฉีทงเป่า และได้ให้เขาช่วยตามหาและเขาจะรับซื้อในราคาสูง เพราะอย่างนั้นเหยียนหมิงซุ่นมองของมีค่าในมือของอู่เหมยแค่แวบเดียวก็ดูออกว่าเป็นเหรียญโบราณ


ด้านนอกมีหลายสายตาที่คอยจับจ้อง ถ้าหากมีใครรู้ว่าในมือของอู่เหมยมีของดีอยู่ ยัยแสบนี่คงได้วุ่นวายเป็นแน่


แม้ปากสยงมู่มู่จะบอกว่าโกรธอู่เหมยแต่พอเขาเห็นเหยียนหมิงซุ่นไม่พูดไม่จาแต่ลากตัวเธอออกไป เขาจึงหันตัวกลับไปและตามพวกนั้นไปอย่างเร่งรีบและตะโกนออกไปเสียงดัง “เหยียนหมิงซุ่นนายจะพูดอะไรก็พูดสิ ทำไมจะต้องถูกเนื้อต้องตัวกันแบบนี้ด้วย?”


เหยียนหมิงซุ่นหันกลับมาและชำเลืองมองเขาเพียงหางตา สีหน้าของสยงมู่มู่กลับแดงขึ้นมาและไม่พูดไม่จาใดๆ อีก ได้แต่เดินตามหลังพวกเขาเข้าไปในร้าน พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าวเขากลับรู้สึกว่ามันดูผิดปกติ เพราะดูเหมือนเหยียนหมิงซุ่นจะคุ้นเคยกับที่แห่งนี้พอสมควร


อีกทั้งภายนอกของร้านก็ดูไม่ออกว่าด้านในจะมีบ้านที่อยู่ลึกได้ขนาดนี้ และเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าเจ้าของร้านกระดาษกับเหยียนหมิงซุ่นมีความสัมพันธ์กันแบบไหน?


หรือว่าจะเป็น…


“นี่ เหยียนหมิงซุ่น ร้านกระดาษนี้นายคงไม่ได้เป็นคนเปิดเองหรอกใช่ไหม? ไม่น่าใช่ ช่วงแรกที่ร้านนี้ประกอบกิจการนายยังสวมกางเกงเปิดช่องที่เป้าอยู่เลย เป็นไปไม่ได้ที่นายจะเป็นคนเปิดกิจการ นอกเสียจากเป็นเพื่อนของนาย?” ปากของสยงมู่มู่ไม่หยุดที่จะถาม


“หุบปาก!”


เหยียนหมิงซุ่นตำหนิออกไปจนทำให้สยงมู่มู่เงียบปากลง แต่ในใจเขากลับรู้สึกอัดอั้นตันใจเป็นอย่างมาก แล้วทำไมเขาจะต้องเชื่อฟังคำพูดของเหยียนหมิงซุ่นด้วย?


แม้ว่าอู่เหมยจะงุนงงกับสถานการณ์ตอนนี้ แต่เธอกลับไม่ได้รู้สึกกลัวเลย เธอมีความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้เชื่อมั่นและไว้ใจต่อตัวของเหยียนหมิงซุ่น พอมาถึงลานกลางบ้านเหยียนหมิงซุ่นก็ได้หยุดเดินและได้บอกให้อู่เหมยนำเอาเหรียญทั้งหกเหรียญมาให้เขาดู


เหยียนหมิงซุ่นพิจารณาดูอย่างละเอียดอีกครั้ง แปดถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่เขามั่นใจว่ามันคือของจริง เขารู้สึกประหลาดใจต่อความโชคดีของอู่เหมยเป็นอย่างมากจึงถามขึ้น “เงินโบราณพวกนี้อู่เหมยเป็นคนเลือกเองเหรอ?”


“ใช่ค่ะ ฉันเลือกแบบมั่วๆ เอาน่ะ” อู่เหมยไม่ได้บอกว่าเป็นฉิวฉิว


เหยียนหมิงซุ่นใช้มือชั่งน้ำหนักเหรียญไร้ขอบนี้ และถามอย่างลองเชิง “เหมยเหมยเธอยกเหรียญนี้ให้พี่ได้ไหม?”


อู่เหมยถามอย่างมั่นคง “เหรียญนี้มันมีส่วนที่ชำรุดแล้ว ไม่สวยหรอก ไม่อย่างนั้นพี่หมิงซุ่นเอาเหรียญนี้ไปสิคะ เหรียญนี้ยังดูดีอยู่”


เหยียนหมิงซุ่นคิดในใจและยิ้มออก เหรียญกษาปณ์ต้าฉีทงเป่ายังล้ำค่าเสียยิ่งกว่าเหรียญกษาปณ์เสียนเฟิงทงเป่า เพียงแต่ยัยเด็กนี่เลือกจากลักษณะภายนอก และเธอก็ไม่รู้อีกด้วยว่าผีสางหรือเทวดาอะไรที่ดลใจให้เธอเลือกได้เหรียญที่ไม่สวยแต่มีราคาอย่างเหรียญกษาปณ์ต้าฉีทงเป่า?


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 175 ไม่ได้ฝันไป


เหยียนหมิงซุ่นถามด้วยความแปลกใจ “ในเมื่อเธอคิดว่ามันไม่สวย แล้วทำไมถึงยังซื้อมันกลับมาด้วยล่ะ?”


อู่เหมยเงียบไปครู่หนึ่งเพราะตอบคำถามนี้ไม่ได้ คงจะเป็นไปไม่ได้ที่จะบอกว่าฉิวฉิวอยากให้เธอซื้อ โดยเฉพาะช่วงที่เธอเลือกเหรียญที่เก่าที่สุดนั้นฉิวฉิวก็กระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ เธอจึงยิ้มและตอบ “ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงไร้สติขนาดนี้”


เหยียนหมิงซุ่นหัวเราะอย่างแผ่วเบา แท้จริงก็เป็นพวกโง่เขลาที่เอาแต่มองโลกในแง่ดี แค่แวบเดียวก็ทำให้เขาจับพิรุธได้แล้ว


“เหมยเหมยรู้จักเงินพวกนี้ไหม?”


อู่เหมยรู้สึกสับสนและส่ายหัวไปมา สยงมู่มู่ถอนหายใจและถาม “หรือว่านายรู้จักเหรอ?”


เหยียนหมิงซุ่นไม่ได้มองหน้าเขาแต่หยิบเหรียญโบราณที่ดูดีนั้นขึ้นมาและพูด “นี่คือเหรียญกษาปณ์เสียนเฟิงทงเป่า” และเขายังพูดต่ออีกว่า “และนี่ก็เป็นเหรียญกษาปณ์เสียนเฟิงทงเป่า เพียงแต่เหรียญนี้มีความต่างจากเหรียญนั้น และไม่ได้มีราคาเท่าเหรียญนี้ เหรียญนี้คือเหรียญกษาปณ์เฉียนหลงทงเป่า และสองเหรียญนี้คือเหรียญกษาปณ์ถงจื้อทงเป่า เธอนี่โชคดีเหมือนกันนะทั้งหมดที่เลือกมาเป็นเงินราชวงศ์ชิงหมดเลย อีกทั้งยังเป็นเงินราชวงศ์ชิงที่มีมูลค่ามากสุดสำหรับการสะสม”


อย่างอื่นที่เป็นเฉียนหลง เสียนเฟิง หรือถงจื้ออะไรนั่นเธอฟังไม่เข้าใจ และไม่อยากเข้าใจด้วย แต่ประโยคสุดท้ายเธอฟังเข้าใจมาก มีมูลค่ามากสุดสำหรับการสะสมนั่นหมายถึงมีราคาสูง?


ดวงตาของอู่เหมยเปล่งประกายขึ้นมาทันทีและถามขึ้นอย่างรีบร้อน “เหรียญพวกนี้แลกเป็นเงินได้เหรอคะ?”


ถ้าหากว่าแลกเป็นเงินมาได้ เธอคงไม่ต้องได้กังวลกับค่าเรียนแล้ว!


เหยียนหมิงซุ่นยิ้มและพยักหน้าตอบ “แลกเป็นเงินได้ และยังแลกเป็นเงินจำนวนไม่น้อยด้วย”


รอยยิ้มบนใบหน้าของอู่เหมยปกปิดแทบไม่มิด แม้แต่ดวงตายังเบิกกว้างเพราะเห็นเงิน สยงมูมู่หันหน้าหนีด้วยความรู้สึกเอือมระอาอีกครั้ง ขายขี้หน้าจนหน้าเขาคงถูกขายไปจนถึงบ้านยายแล้ว


“พี่หมิงซุ่น แล้วเหรียญพวกนี้จะแลกเงินได้เท่าไหร่คะ?” อู่เหมยลองไถ่ถามเพราะดูจากคำพูดที่มีเหตุผลของเหยียนหมิงซุ่น เขาคงจะรู้เกี่ยวกับเรื่องราคาพอสมควร?


แต่อู่เหมยกลับคิดว่านั่นเป็นเรื่องแปลก เพราะชาติก่อนเธอไม่เคยรู้ว่าเหยียนหมิงซุ่นเข้าใจเกี่ยวกับของโบราณ ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าในชาตินี้ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสิ่งของต่างก็เปลี่ยนไปมาก


แต่อู่เหมยไม่ได้คิดอะไรมาก ต่อให้ทุกอย่างจะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน ถึงยังไงเธอก็จะจำแค่ว่าอู่เยวี่ยคือศัตรูของเธอ เหมยซูหานคือคนที่เธอควรจะหลีกเลี่ยงให้มากที่สุด แต่กับเหยียนหมิงซุ่นต่อไปแค่เขามีอนาคตที่ดีก็เพียงพอแล้ว


เหยียนหมิงซุ่นหยิบเหรียญกษาปณ์เสียนเฟิงทงเป่าขึ้นมาเหรียญแรก เพียงแค่เขาบอกจำนวนตัวเลขออกมานั่นก็ทำให้อู่เหมยรู้สึกตกใจไม่น้อย แม้แต่สยงมู่มู่ก็ตกใจตามไปด้วย


“สองร้อยหยวน? เหรียญเก่านี่ได้ราคาถึงสองร้อยหยวน? นายคงไม่ได้พูดอะไรมั่วๆ หรอกใช่ไหม?” สยงมู่มู่จ้องมองเหรียญนั้นอย่างยากที่จะเชื่อได้ เขาเข้าใจถึงความร้อนระอุในลำคอและกลืนน้ำลายไม่หยุด


อู่เหมยเองก็กระหายไม่ต่างกัน ใจของเธอเต้นตุบๆๆ อยู่ตลอดและใบหน้าจิ้มลิ้มที่ขึ้นสีแดงระเรื่อ ใจของเธอที่ลอยขึ้นไปชัวขณะหนึ่งและตกหล่นลงมาใหม่ แม้จะดีใจแต่ก็ยังกังวล เธอดีใจที่สามารถหาเงินได้เยอะ แต่ก็กังวลว่านี่อาจเป็นแค่ฝันอันงดงาม ถ้าเธอตื่นขึ้นมาจากฝัน เธอก็จะกลายเป็นคนจนๆ ที่ทรัพย์สมบัติทั้งหมดมีแค่แปดหยวนห้าเจี่ยว


“นี่ อู่เหมยเธอเป็นบ้าอะไรอีก? เธอเกิดปีหมาหรือไง!” สยงมู่มู่ที่เอาแต่กอดมือตัวเองไว้อย่างโมโห บนมือนิ่มๆ ของเขาปรากฏรอยแดงของฟันแบบครบทุกซี่


และนั่นถึงทำให้อู่เหมยรู้สึกดีใจขึ้นมาจริงๆ “ไม่ได้ฝันไป ฮ่าๆ ฉันจะมีเงินแล้ว พี่หมิงซุ่นช่วยเอาเหรียญนี่ไปขายแทนหนูได้ไหมคะ? หนูจะให้ส่วนแบ่งกับพี่”


เหยียนหมิงซุ่นที่ได้ยินก็นึกตลกกับคำพูดของเธอ ยัยเด็กนี่ไม่ได้โง่ขนาดนั้น เพราะขนาดเรื่องแบ่งเงินเธอยังเข้าใจ เขานึกสนุกขึ้นมาพร้อมหยิบเหรียญกษาปณ์ต้าฉีทงเป่า และพูดด้วยรอยยิ้ม “ฉันไม่ต้องการส่วนแบ่ง ไม่งั้นเธอเอาเหรียญพวกนี้ให้ฉันก็พอแล้ว!”


อู่เหมยกลับเข้าใจผิดคิดว่าเขาคงไม่อยากเอาเปรียบเธอเลยตั้งใจจะเอาเหรียญที่ไม่มีราคาพวกนี้ไป เธอนำเหรียญกษาปณ์เสียนเฟิงทงเป่าที่ได้ราคาถึงสองร้อยหยวนยัดใส่มือของเขาโดยไม่คิดอะไร “เหรียญนั่นมันไม่ได้ราคาอะไร ไม่อย่างนั้นหนูยกให้พี่ค่ะ”


หนึ่งเหรียญก็ได้ราคาถึงสองร้อยหยวน เธอยังเหลืออยู่สี่เหรียญ ต่อให้หนึ่งเหรียญราคาหนึ่งร้อยหยวนก็ยังได้เงินสี่ร้อยหยวน อย่าว่าจะแต่เรียนวาดรูปเลย ถ้าจะเรียนเต้นรำหรือดนตรีต่างๆ เธอยังเรียนได้เลย เฮ้อ! วันนี้ช่างเป็นวันที่ดีจริงๆ!


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 176 เหรียญที่เก่าสุดมีราคาดีสุด


ฟันกรามของสยงมู่มู่เริ่มเกิดอาการปวดขึ้นมาอีกครั้ง เขากลั้นเสียงในลำคอจนแทบจะขาดใจเพื่อจะไอออกมา ยิ่งไปกว่าผู้ป่วยวัณโรค อู่เหมยเริ่มมีความคิดความอ่านขึ้นจากความดื้อดึง เธอเคาะหน้าผากตัวเองและเลือกมั่วๆ เพื่อหยิบเหรียญโบราณไปให้สยงมู่มู่


“ตอนแรกฉันตั้งใจจะให้นายหลังจากที่กลับไปถึงบ้านแต่ฉันกลัวว่าจะลืมเสียก่อน เพราะงั้นก็ให้นายตอนนี้เลยละกัน ปีนี้ไม่ได้เป็นปีเกิดของนายหรอกเหรอ นายกลับถึงบ้านก็ให้ป้าจ้าวหาด้ายแดงมาผูกแล้วก็แขวนไว้กับตัวนะ”


อู่เหมยเกิดรู้สึกเสียดาย เธอเอาแต่มองเหรียญกษาปณ์ที่อยู่ในมือของสยงมู่มู่และเอาแต่ปลอบใจตัวเองไม่หยุด ไม่ต้องกลัวๆ เธอยังเหลืออีกสามเหรียญตั้งสามร้อยหยวนเลยนะ!


แบบนี้จึงทำให้สยงมู่มู่รู้สึกสบายใจขึ้น แต่พอเขาเห็นถึงความขี้เหนียวของอู่เหมย ความใจแคบที่มีก็เริ่มออกอาการอีกครั้ง เธอเอาเหรียญกษาปณ์ให้เหยียนหมิงซุ่นไปแบบเรียกว่าใจกว้างจนหนังตาแทบไม่กะพริบ แต่พอเอาให้เขากลับทำเหมือนทำใจไม่ได้ เหอะ! อย่างนี้เขาจึงจงใจที่จะไม่คืน จะทำให้ยัยตัวแสบนี่เจ็บปวดจนตาย


“ขอบใจนะ ไว้ถึงบ้านแล้วฉันจะใส่ห้อยไว้” สยงมู่มู่เงยหน้าขึ้นและเก็บเหรียญไว้อย่างหน้าตาเฉย


อู่เหมยเบะปากมองพลางนึกในใจว่าเขาเอาของของคนอื่นไปแล้วยังมีท่าทีแบบนี้อีก หากไม่ไช่เพราะชาติก่อนนายนั่นตายอย่างทรมานและน่าสงสาร เธอคงไม่ยอมให้ไปหรอก!


เงินหนึ่งร้อยหยวนในตอนนี้ยังใช้การได้มากกว่าเงินหนึ่งพันหยวนในชาติก่อนเสียอีก อู่เหมยเอาเงินทั้งสามเหรียญยื่นให้เหยียนหมิงซุ่นไปและพูดเชิงขอร้อง “พี่หมิงซุ่นคะ พี่ช่วยเอาเหรียญกษาปณ์ทั้งสามเหรียญของฉันไปแลกเป็นเงินให้หน่อยได้ไหม?”


“ไม่มีปัญหา แล้วเหรียญนั่นเธอจะไม่แลกเหรอ?” เหยียนหมิงซุ่นชี้ไปยังเหรียญกษาปณ์ต้าฉีทงเป่าที่ไร้ขอบ


อู่เหมยชูเหรียญเก่านี้ขึ้นมาอย่างตกตะลึงและถามด้วยความงงงวย “เหรียญนี่เก่าขนาดนี้แล้ว ยังจะมีคนอยากได้อีกเหรอ?”


ตอนแรกเธอวางแผนไว้หากกลับถึงบ้านจะร้อยเหรียญกับด้ายแดงแล้วแขวนไว้กับตัว เพราะปีนี้ก็เป็นปีเกิดของเธอเหมือนกัน มีเหรียญเก่าๆ ห้อยคอไว้ก็คงดีกว่าไม่มีอะไรเลย!


เหยียนหมิงซุ่นมองท่าทีเงอะงะซื่อบื้อของเธอจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ใครเขาสรรเสริญเธอว่าเงินเก่าๆ จะไม่มีคนต้องการ? เงินห้าเหรียญของเธอรวมกันยังได้ราคาไม่เท่ากับเหรียญนี้เหรียญเดียวเลยนะ!”


“อะไรนะ?”


ราวกับร่างของอู่เหมยถูกสาปให้แข็งทื่อเป็นท่อนไม้ เธอยืนนิ่งงันไปเป็นเวลาหนึ่งนาทีเต็ม แม้แต่ดวงตายังไม่ขยับและเธอก็เอาแต่จ้องมอง ‘เหรียญเก่า’ ในมือ ฉิวฉิวที่อยู่ในอ้อมแขนของเธอได้ใจจนต้องสะบัดหางไปมา ถือว่าดีที่มีคนรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี ในบรรดาเหรียญเก่าๆ ทั้งหมดนั้น เหรียญกษาปณ์เหรียญนี้เก่าที่สุดและล้ำค่าที่สุด ส่วนเหรียญที่เหลือเป็นเพียงที่เขาหาออกมารวมๆ ก็เท่านั้น


แต่เมื่อครู่เขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นของดีอีก แต่เจ้านายของมันไม่ยอมไป น่าเสียดาย!


อู่เหมยนิ่งอึ้งไปเป็นเวลานานกว่าจะมีปฏิกริยาตอบสนองกลับและมีใบหน้าที่เริ่มแดงขึ้น เธอจึงแย่งเหรียญกษาปณ์เสียนเฟิงทงเป่าจากมือเหยียนหมิงซุ่นมาและวาง ‘เหรียญเก่า’ ไว้บนมือเขา “เหรียญนี้ยกให้พี่หมิงซุ่น ฉัน…เมื่อกี้ฉันไม่รู้ ฉัน…”


เหยียนหมิงซุ่นมองดูยัยตัวแสบที่มีท่าทางตื่นตระหนก ทำให้เขารู้สึกใจอ่อนขึ้นมา


เขายื่นเหรียญกษาปณ์ต้าฉีทงเป่าคืนให้เธอและหยิบเอาเหรียญกษาปณ์เสียนเฟิงทงเป่ามาแทน “เหรียญนี้ก็พอแล้ว เหรียญนั้นมีค่าเกินไป เหมยเหมยเธอเก็บไว้เองเถอะ”


สยงมู่มู่ถามด้วยความแปลกใจ “แล้วเงินโบราณนี่คือยุคสมัยไหนกันแน่? ดูเหมือนจะไม่ใช่ราชวงศ์ชิงแล้วก็ไม่ใช่ราชวงศ์หมิง”


“นี่คือเงินตราของถังใต้ยุคแรก เรียกว่าต้าฉีทงเป่า จำนวนที่พบเห็นบนโลกในปัจจุบันมีเพียงไม่กี่เหรียญเท่านั้นเอง มีมูลค่าสูงมาก ยากที่จะใช้เงินทองมาตีค่าราคาของมันได้” เหยียนหมิงซุ่นอธิบาย


อู่เหมยกับสยงมู่มู่ตกใจเป็นอย่างมาก ถ้าเป็นอย่างที่พูดจริง เงินเก่าๆ เหรียญนี้ก็ถือเป็นของมีค่าที่ไม่สามารถตีราคาได้งั้นหรือ?


ต่อให้อู่เหมยจะโง่แค่ไหนแต่เธอก็รู้สึกถึงความผิดปกติ ลักษณะท่าทางที่ฉิวฉิวแสดงออกในตอนที่ซื้อเหรียญโบราณ และยังมีคำพูดที่สยงมู่มู่พูดเล่นกับเธออีก หรือว่าเจ้าฉิวฉิวมันจะ…?


“ฉิวฉิว เป็นแกจริงๆ เหรอ?”


อู่เหมยกอดฉิวฉิวไว้แน่น และกระซิบพูดที่ข้างหูของมัน ฉิวฉิวกะพริบตาปริบๆ อย่างได้ใจและมันใช้หางใหญ่ๆ ที่มีขนฟูฟ่องสะบัดไปมาบนใบหน้าของอู่เหมย จึงให้ความรู้สึกคันๆ ชาๆ และจั๊กจี้


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 177 ขายทั้งหมด


เหยียนหมิงซุ่นเข้าใจความรู้สึกที่อู่เหมยรีบร้อนอยากแลกเงินจึงได้พูดออกไปว่า “เถ้าแก่กับฉันถือว่ามีมิตรภาพที่ดีต่อกัน เขาชอบสะสมของลายคราม ถ้าหากเหมยเหมยไว้ใจฉัน ฉันสามารถพาเธอไปเจอกับเถ้าแก่คนนี้ได้”


“ไว้ใจค่ะ ฉันไว้ใจพี่” อู่เหมยรีบพยักหน้าตอบโดยไม่มีความลังเล


เหยียนหมิงซุ่นยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยและพาอู่เหมยกับสยงมู่มู่เดินเข้าไปด้านใน เขาคิดไตร่ตรองและถามออกไป “เหมยเหมยอยากจะขายเหรียญกษาปณ์ต้าฉีทงเป่านั่นไหม? เถ้าแก่เขาตามหาเหรียญกษาปณ์ต้าฉีทงเป่ามาหลายปีแล้ว ถ้าเธอเต็มใจ มันจะขายได้ในราคาสูง”


สยงมู่มู่ถาม “ราคาสูงคือเท่าไหร่? หนึ่งพันหรือหนึ่งหมื่น?”


อู่เหมยออกแรงกดกุมหัวใจตัวเองไว้ หนึ่งพันหนึ่งหมื่น?


สมุดบัญชีเงินฝากของเหอปี้อวิ๋นยังไม่มีเงินเยอะขนาดนั้นเลย!


เหยียนหมิงซุ่นหัวเราะและพูดว่า “หนึ่งหมื่นคงจะเป็นไปไม่ได้ เพราะมันเป็นแค่เหรียญโบราณ แต่ถ้าสองสามพันคงจะไม่มีปัญหาหรอก”


อู่เหมยสูดเอาอากาศเย็นๆ เข้าไปในปอดพลางนึกในใจว่าสองสามพันมันก็มากพอแล้ว เพราะในเขตเมืองจินสามารถซื้อบังกะโลขนาดเล็กได้ตั้งหนึ่งหลัง!


ใจของเธอเต้นตุบๆๆ ขึ้นมา หากเธอมีบ้านเป็นของตัวเองได้ เธอก็จะสามารถย้ายออกมาอยู่ข้างนอกได้ และไม่จำเป็นต้องทนเป็นที่รองรับอารมณ์ของเหอปี้อวิ๋น ไม่ต้องทนถูกด่าหรือตีอีก!


แต่เธอก็ต้องเงียบลงไปในทันที ยังไงตอนนี้เธอก็มีอายุแค่สิบสองปีซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะซื้อบ้านเอง แต่ต่อให้ซื้อได้ก็จะต้องอยู่ในความดูแลของผู้ใหญ่ถึงจะถูกต้อง เรื่องนี้จะปิดบังต่อพวกเขาไม่ได้เลย อู่เหมยถอนหายใจอย่างนึกเสียดาย แต่เธอก็ยังรู้สึกดีใจที่เธอมีเงินอยู่ในมือ เพียงเท่านี้เธอก็จะมีความมั่นใจเพื่อจะต่อสู้กับเหอปี้อวิ๋นมากขึ้น


“ฉันจะขายทั้งหมด รบกวนพี่หมิงซุ่นด้วยนะคะ!” อู่เหมยตอบกลับแบบไม่ได้คิดนาน


สยงมู่มู่จ้องเธอและตะโกนบอกด้วยเสียงต่ำ “เธอโง่หรือไง เหรียญกษาปณ์ต้าฉีทงเป่าหายากขนาดนี้ หากเธอเก็บไว้อีกหน่อยราคาจะต้องเพิ่มขึ้นแน่ๆ ไม่แน่ว่าอาจจะถึงหนึ่งหมื่นหนึ่งแสน ตอนนี้เธอก็ไม่ได้รีบใช้เงิน จะขายไปทำไม?”


“รอให้ถึงช่วงที่ขายได้หนึ่งแสนหนึ่งล้าน เงินก็คงไม่ได้มีค่าแล้ว ฉันแค่อยากจะแลกเป็นเงินออกมา แบบนั้นฉันถึงจะรู้สึกสบายใจ” อู่เหมยยังไม่ล้มเลิกความคิดที่จะซื้อบ้าน


เรื่องทุกอย่างไม่มีความแน่นอน ไม่แน่ว่าเธอลองหาสักวิธีอาจจะซื้อบ้านได้สักหลัง แม้ว่าเธอจะไม่เข้าใจเกี่ยวกับการบริหารการเงิน แต่ต่อให้โง่มากแค่ไหนก็ต้องรู้ว่าในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดลงทุนอะไรถึงจะได้กำไรมากสุด?


ซึ่งนั่นคือทรัพย์สินบ้านเรือนและห้างสรรพสินค้าที่จัดเป็นอสังหาริมทรัพท์ เหมือนกับเหมยซูหานที่ทำให้ครอบครัวรวยขึ้นได้เพราะต้องพึ่งบ้านหลังเก่าของเขาที่ต้องทำการรื้อถอน เหมยซูหานรื้อถอนทุกอย่างให้กลายเป็นเงิน แล้วเอาทั้งหมดไปลงทุนกับบริษัท เรียกได้ว่าสู้กันให้ตายไปข้างหนึ่ง


ดวงชะตาของเขาถือว่าไม่แย่ เพราะในช่วงเวลาไม่ถึงสองปีก็สามารถพลิกตัวได้ เขาผันตัวมาเป็นผู้จัดการใหญ่ระดับร้อยล้านของบ้าน โดยเขาได้ริเริ่มจากจุดนี้และได้กลายเป็นคนที่มีพร้อมทุกอย่างในชีวิต เพียงแต่ในความงดงามนั้นยังคงมีสิ่งที่ขาดอยู่ นั่นก็คือมารดาของเหมยซูหานทนรอไม่ไหว เธอได้เสียชีวิตไปในช่วงที่อู่เหมยแต่งงานกับเหมยซูหานได้หนึ่งปีหลังและในตอนนั้นเหมยซูหานยังเป็นแค่พนักงานบริษัทที่ยากจนคนหนึ่ง


พอนึกถึงชีวิตที่มีแต่ความลำบากของหญิงชราผู้มีเมตตา ในใจของอู่เหมยกลับรู้สึกถึงความอบอุ่น มันคือความรักที่แม่มีต่อลูกที่ต่อให้ทั้งสองภพชาตินี้เธอก็ไม่เคยได้รับ แต่อู่เหมยกลับได้รับมันจากหญิงชราที่ป่วยหนักคนนั้น


แม่ของเหมยซูหานปฏิบัติต่อเธอดีมาก ดีจนเทียบได้ว่าเธอเปรียบเสมือนลูกสาวแท้ๆ แม้ว่าเธอจะเคลื่อนไหวไม่ได้แต่ทุกครั้งที่เธอรู้สึกเจ็บปวดร่างกาย เธอจะคอยกำชับให้เหมยซูหานต้มน้ำขิงและกรองน้ำใส่ถุงประคบร้อนมาให้ ช่วงเวลาว่างมักจะสอนเธอว่าต้มซุปบำรุงร่างกาย ฝีมือในการทำอาหารของเธอส่วนใหญ่เป็นเพราะแม่ของเหมยซูหานสอนมา


แต่น่าเสียดายที่คนดีๆ กลับไม่ได้รับสิ่งตอบแทนที่ดี ร่างกายของคุณแม่ย่ำแย่และอ่อนแอเกินไป ความสุขของลูกชายยังไม่ทันได้แบ่งปันให้เธอก็จากไปเสียก่อน!


“เหมยเหมย ถึงแล้ว” เสียงของเหยียนหมิงซุ่นที่บอก ทำให้เธอหลุดออกจากห้วงความคิด


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 178 วัตถุหายากมักจะมีมูลค่า


ลุงหมิงที่เห็นเหยียนหมิงซุ่นกลับออกไปแล้วเข้ามาใหม่ จึงมองไปยังเขาด้วยความแปลกใจ เหลือบมองอู่เหมยกับสยงมู่มู่ที่อยู่ด้านหลังของเขายิ่งนึกในใจด้วยความประหลาดใจ เด็กชายหญิงที่ดูใสซื่อไร้เดียงสาคู่นี้มีรูปร่างหน้าตาที่ดีมาก


“หมิงซุ่นพาเด็กๆ มาเที่ยวเล่นเหรอ? ที่นี่ไม่มีอะไรน่าสนุกหรอก” ลุงหมิงพูดติดเล่นออกไปแต่น้ำเสียงติดตำหนิเขา


เหยียนหมิงซุ่นพูดขึ้น “ลุงหมิงก่อนหน้านี้ลุงบอกให้ผมช่วยตามหาเหรียญกษาปณ์ต้าฉีทงเป่าไม่ใช่เหรอครับ? แล้วตอนนี้ลุงยังรับอยู่ไหม?”


ใบหน้าอ้วนกลมของลุงหมิงสั่นกระเพื่อมราวกับกำลังเต้นระบำอยู่ ดวงตากลมมนหรี่ตาจ้องมองไม่วางดั่งร่างกายเขาได้ล่องลอยตกกระทบพื้นและลุกขึ้นมาใหม่ เขาจึงถามด้วยความร้อนใจ “นายหาเจอแล้วเหรอ? อยู่ที่ไหนล่ะ?”


เหยียนหมิงซุ่นยิ้มและตอบเขา “อย่าเพิ่งใจร้อนสิครับ เป็นธรรมดาที่หาของเจอแล้วถึงได้กล้าเข้ามาหา เหมยเหมย มู่มู่ เรียกลุงหมิงสิ”


“สวัสดีครับ/ค่ะลุงหมิง!”


ตั้งแต่อู่เหมยเดินเข้าประตูมาเธอก็เริ่มทำตัวอ่อนน้อมในทันที แม้แต่จะหายใจแรงๆ เธอยังไม่กล้า ถึงแม้ลุงหมิงจะดูเหมือนกับพระศรีอริยเมตไตรยแต่เธอก็ยังรู้สึกว่าเขาน่ากลัว และรู้สึกว่าเขาคนนี้จะรับมือได้ยาก แต่ก็ไม่รู้ว่าเหยียนหมิงซุ่นมารู้จักกับคนพเนจรแบบนี้ได้ยังไง


สยงมู่มู่กลับตรงกันข้ามที่มีความกล้าและไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย เขาเบิกตากว้างและจ้องมองลุงหมิง ทั้งยังเรียกชื่อเขาอย่างมีกริยาท่าทางซึ่งลุงหมิงเองก็มองสยงมู่มู่อย่างชื่นชม รูปร่างภายนอกราวกับสตรี แต่มีความกล้าหาญดั่งบุรุษ


“ลุงหมิง เธอคือคนที่อยู่แถวบ้านผม เธอมีเหรียญกษาปณ์ต้าฉีทงเป่าที่อยากจะขาย” เหยียนหมิงซุ่นพูดขึ้น


“รีบเอามาให้ลุงดูหน่อย!”


ลุงหมิงบอกเสียงดังและยื่นมือที่เต็มไปด้วยไขมันออกไปหาอู่เหมย อู่เหมยตกใจจนต้องหดตัวไปหลบอยู่ด้านหลังของเหยียนหมิงซุ่น ดึงแขนของคนความสามารถสูงในอนาคตไว้แน่น แบบนั้นถึงจะทำให้เธอสบายใจได้


“ลุงหมิงใจเย็นๆ ก่อนครับ ของอยู่นี่แล้วมันวิ่งไปไหนไม่ได้หรอก เหมยเหมยเธอเอาเหรียญกษาปณ์ต้าฉีทงเป่าออกมาให้ลุงหมิงดูสิ” เหยียนหมิงซุ่นมองเขาอย่างโมโห และก้มหัวลงเพื่อออกคำสั่ง


ลุงหมิงหัวเราะหึๆ ใช้มือลูบวนที่ปลายจมูกตัวเองและยอมนั่งลง เขาสงบสติอารมณ์ไว้อย่างตื่นเต้น อู่เหมยยื่นเหรียญกษาปณ์ต้าฉีทงเป่าไปให้เหยียนหมิงซุ่น และเอาเหรียญที่เหลืออีกสามเหรียญยื่นไปให้เขาพร้อมกัน เหยียนหมิงซุ่นตบและลูบเบาๆ ที่หัวของเธอเพื่อบ่งบอกว่าใจเย็นๆ อย่าหุนหันพลันแล่นไป จากนั้นยื่นเหรียญกษาปณ์ต้าฉีทงเป่าส่งให้ลุงเหมยด้วยความนอบน้อม


เป็นเวลานานที่ลุงหมิงใช้นิ้วคีบเหรียญโบราณไว้และพิจารณาดูอย่างละเอียด เขายิ้มจนหน้าบานราวกับดอกใบที่กำลังผลิบาน แต่เขาก็ไม่ได้ยืนหยัดความคิดเห็นออกมา แต่กลับหยิบแว่นขยายจากลิ้นชักโต๊ะออกมาส่องดูอย่างละเอียดถี่ถ้วนและเป็นเวลานานมากกว่าที่เขาจะหลุดปากพูด “ไม่เลว เป็นต้าฉีทงเป่าจริงๆ แต่เสียดายที่ขอบหายไปหนึ่งด้าน ถ้าหาก…”


เหยียนหมิงซุ่นพูดขัดขึ้น “ลุงก็ควรจะรู้จักพอใจในสิ่งที่มีสิ หาเจอเหรียญที่ไร้ขอบได้ก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว ใครจะรู้ได้ว่าจะหามันเจออีก!”


ลุงหมิงยิ้มและพยักหน้าตอบ “ถูกต้อง หาเหรียญที่ไร้ขอบเจอได้ก็ถือว่าโชคดีมาก เหรียญโบราณเหรียญนี้ลุงจะรับไว้ แม่สาวน้อยผู้ใหญ่ที่บ้านของเธอล่ะ? ฉันไม่ทำธุรกิจร่วมกับเด็กหรอกนะ”


อู่เหมยรวบรวมความกล้าและตอบออกไป “พ่อกับแม่ของหนูเสียชีวิตไปหมดแล้วค่ะ ในบ้านเหลือแค่หนูคนเดียว เงินเหรียญนี้หนูตัดสินใจเองได้”


เหยียนหมิงซุ่นกระตุกมุมปากเล็กน้อยและกระแอมออกมาเบาๆ ด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยน แต่สยงมู่มู่กลับจ้องเธอตาเขม็ง อีกนิดเดียวที่เขาจะหลุดเรียกชื่อเธอ อู่เจิ้งซือสองสามีภรรยามีชิวิตสุขสบายขนาดนั้น ยัยนี่มีความกล้าอยู่มากจริงๆที่เธอกล้าใช้คำโกหกลวงโลกแบบนี้ได้!


ลุงหมิงคิ้วกระตุกและมองไปยังเหยียนหมิงซุ่น ซึ่งเหยียนหมิงซุ่นพยักหน้าเล็กน้อยเพื่อบ่งบอกว่าเขาสามารถวางใจที่จะทำการค้าขายร่วมกันได้ นั่นถึงจะทำให้ลุงหมิงวางใจและพูดออกไป “ในเมื่อเธอตัดสินใจเองได้ ถ้าอย่างนั้นเธอจะขายเท่าไหร่?”


ในหัวของอู่เหมยที่เหมือนจะระเบิดออกก็กลับมาสับสนอีกครั้ง เธอต้องขายเท่าไหร่?


เธอจะรู้ได้ยังไงว่าต้องขายเท่าไหร่?


อู่เหมยหลุดจากความคิดและมองไปทางเหยียนหมิงซุ่น แต่เหยียนหมิงซุ่นกลับไม่พูดอะไร แม้แต่หน้าเธอเขายังไม่หันมามอง อู่เหมยจึงหันกลับมา ในใจเข้าใจดีว่าเหยียนหมิงซุ่นคงจะอยากหลีกเลี่ยงที่จะพูด?


“คือ…คือว่า…ก่อนมาที่นี่หนูดูมาจากในหนังสือ ซึ่งบอกว่าเหรียญกษาปณ์นี้มีมูลค่ามาก โบราณว่าไว้…วัตถุหายากมักจะมีมูลค่า หนู…หนูคิดว่าถ้าให้ราคาต่ำเกินก็ไม่ดี ลุงหมิงว่าคิดว่าอย่างนั้นไหมคะ?”


อู่เหมยพูดออกไปอย่างติดๆ ขัดๆ เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดขึ้นมาบนหน้าผากและค่อยๆ ไหลลงมา ใบหน้าที่เริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อทำให้ดูน่าสงสารเป็นอย่างมาก


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 179 โกงราคาสูงลิ่ว แต่ต่อราคาได้สมน้ำสมเนื้อ


สยงมู่มู่ก้มหัวลงและเอามือปิดหน้าตัวเองไว้ เขาอยากหารอยต่อของพื้นเพื่อทะลุเข้าไป ช่างขายหน้าเสียจริง ทำไมเขาถึงได้มีเพื่อนที่ทำเรื่องอับอายขายขี้หน้าได้ขนาดนี้!


เหยียนหมิงซุ่นมุมปากยกยิ้มขึ้น ในตาเก็บซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ ยัยตัวแสบไม่ได้ทำเรื่องโง่ๆ แถมเธอยังรู้วิธีสู้รบปรบมือกับอีกฝ่ายด้วย


ลุงหมิงหัวเราะชอบใจ “ถูกต้อง วัตถุหายากมักจะมีมูลค่า เหรียญกษาปณ์เหรียญนี้มีมูลค่ามากจริงๆ แต่เด็กน้อยเธอคงจะไม่โกงราคาจนสูงเกินหรอกใช่ไหม?”


ตอนนี้อู่เหมยไม่ได้รู้สึกกังวลแล้ว เธอนึกถึงคำพูดที่เหยียนหมิงซุ่นเคยพูดก่อนหน้านี้ว่าราคาที่ลุงหมิงตั้งไว้ในใจคือหนึ่งพันห้าร้อย ถ้าอย่างนั้นเธอบอกราคาสูงถึงแค่หนึ่งพันห้าร้อยก็น่าจะเพียงพอแล้ว


“คุณลุงเป็นเพื่อนกับพี่หมิงซุ่น ฉันไม่มีทางโกงราคาสูงหรอกค่ะ” อู่เหมยส่ายหน้าตอบ


ลุงหมิงได้ฟังก็นึกสนใจขึ้นมาและหันไปคุยกับเหยียนหมิงซุ่น “ฉันคงจะได้ประโยชน์จากตัวแสบของนายแล้วล่ะ”


เหยียนหมิงซุ่นทำปากคว่ำแต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร


อู่เหมยหัวเราะอย่างแข็งๆ ทื่อๆ และพูดขึ้นอย่างระวัง “ถ้างั้นสองพันหยวนได้ไหมคะ?”


รอยยิ้มบนใบหน้าของลุงหมิงที่ปรากฏเริ่มจางลง มองไปยังเหยียนหมิงซุ่นอย่างสงสัย แต่เขากลับยักไหล่ราวกับไม่มีความผิดใดๆ ซึ่งบ่งบอกได้ว่าเขาไม่ได้พูดอะไรเลย แน่นอนว่าลุงหมิงต้องไม่เชื่อ หากว่าเด็กคนนี้ไม่มีใครสอนมา ราคาที่เธอบอกออกมาจะได้สองพันหยวนพอดีเหรอ?


แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรเพราะเงินสองพันหยวนไม่ได้มีผลอะไรสำหรับเขา เพียงแค่เป็นการโกงราคาสูงแล้วก็ต่อราคาได้สมน้ำสมเนื้อก็เท่านั้น ในเมื่อเธอบอกราคามาแล้ว เขาก็จะต้องต่อราคาสักหน่อย


“เด็กน้อยเธอเรียกราคาได้โหดเหมือนกันนะ ราคาของเหรียญกษาปณ์ไม่ได้มีมูลค่าขนาดนั้น ถ้าให้หนึ่งพันหยวนฉันจะรับไว้” ลุงหมิงยิ้มตาหยีและพูด แต่คำพูดที่ออกมาเป็นดั่งคมมีดที่ตัดเอวของเธอให้ขาดสะบั้นได้


จากตอนแรกที่อู่เหมยกังวัลจนยืนแทบไม่ติด แต่พอได้ยินคำพูดที่ตัดสะบั้นเอวเธอได้ของลุงหมิง อารมณ์ร้อนในใจก็ปะทุขึ้นมาในทันที จากตอนแรกบอกชัดเจนว่าหนึ่งพันห้าร้อย แต่ยังจะต่อราคาได้โหดขนาดนี้อีก?


เธอเรียกหนึ่งพันห้าร้อยทุกคนจะได้พอใจยังไงล่ะ!


คนอื่นเป็นเพราะเมาเหล้าถึงได้มีความกล้า แต่อู่เหมยกลับเป็นเพราะพละกำลังที่ยิ่งใหญ่ของเงิน ลดลงไปตั้งห้าร้อยหยวนอย่างฉับพลัน นั่นทำให้เธอเจ็บปวดเสียยิ่งกว่าการฆ่าแม่แท้ๆ ของเธอ ซึ่งพ่อแม่แท้ๆ ยังเทียบไม่ได้กับเงินแท้ๆ!


“หนึ่งพันหยวนไม่ได้ค่ะ นี่ลุงไม่ได้ต้องการมันจริงเหรอ? เพิ่มราคาให้อีกหน่อยได้ไหมคะ?” อู่เหมยใช้วิธีการขายของแม่ค้าตลาดเสื้อผ้าที่เธอเคยไปซื้อ ในเวลานี้เธอได้ใช้มันขึ้นมาจริงๆ แล้ว


ลุงหมิงยิ่งมองเหตุการณ์ยิ่งรู้สึกว่าน่าสนใจมากขึ้น จากที่เด็กคนนี้ดูกลัวเขาแทบตายแต่เป็นเพราะเงินแค่หยวนเดียวก็ไม่ยอมถอยให้เขา ช่างน่าสนุก!


“ถ้างั้นลุงเพิ่มให้สองร้อยห้าสิบละกัน สองร้อยห้าสิบหยวน”


อู่เหมยจ้องเขาตาเขม็งด้วยความโกรธ ไม่มีใครคุ้นเคยกับตัวเลขสามตัวนี้ได้ดีเท่าเธอแล้ว ตาลุงอ้วนนี่ต่างหากที่โง่!


“ไม่ได้!” อู่เหมยส่ายหน้าไม่หยุด


“หนึ่งพันสามร้อย?”


“ไม่ได้!”


“หนึ่งพันสามร้อยห้าสิบ?”


……


อู่เหมยส่ายหัวจนเริ่มรู้สึกมึน ทำไมคนคนนี้ถึงไม่ทำอะไรที่มันง่ายๆ หน่อย แค่เพิ่มให้เป็นหนึ่งพันห้าร้อยหยวนเลยไม่ได้หรือไง


“หนึ่งพันห้าร้อยหยวน!” ราวกับลุงหมิงกำลังหยอกล้อลูกหมาอยู่ เขาพูดขึ้นอย่างช้าๆ ยัยเด็กคนนี้มีความซื่อตรงจริงๆ ไม่ได้ก็ไม่ได้สิ ออกแรงส่ายหัวขนาดนั้นไม่เวียนหัวหรือไงกัน?


อู่เหมยที่กำลังสับสนมึนงงคล้ายกับเธอมองเห็นแค่ริมฝีปากของลุงหมิงที่ขยับขึ้นลง สมองก็มีปฏิกริยาตอบกลับโดยการผงกหัวราวกับสายลมที่กำลังพัดพาต้นหลิว ลุงหมิงจ้องมองเหยียนหมิงซุ่นอย่างไม่พอใจ ไอ้เด็กคนนี้ไม่ได้มาตรฐานเลย เขาไม่เชื่อเด็ดขาดว่าไอ้เด็กนี่จะไม่รู้ราคาที่อยู่ในใจของเขา?


เหยียนหมิงซุ่นเองก็รู้สึกประหลาดใจ แต่พอกลับมามองท่าทีของอู่เหมยอย่างถี่ถ้วน เขาจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ยัยเด็กโง่นี่ส่ายหัวเยอะจนทำให้ตัวเองมึนงงได้ ลุงหมิงเองก็พอจะดูออกและพูดออกไป “สองพันหยวนได้ไหม?”


กลองเขย่าเริ่มส่ายไปมาอีกครั้งจนสายตาแทบจะไม่โฟกัสอะไร ดูทึ่มๆ โง่ๆ จนทำให้ลุงหมิงหัวเราะออกมา “หมิงซุ่นนายไปพาเด็กโง่มาจากที่ไหน? ดูยัยเด็กบื้อคนนี้สิ น่าสนใจเสียจริง!”


สยงมู่มู่ที่หดตัวติดกับมุมกำแพงเพราะเรื่องน่าลำบากใจ และนั่นบ่งบอกถึงความแน่วแน่ว่าต่อไปจะทำเป็นไม่รู้จักเพื่อนที่ทำเรื่องหน้าอายแบบนี้ เธอทำให้ภาพพจน์ของเขาเสียหายไปจนหมด


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 180 อยากซื้อบ้าน


อู่เหมยหน้าแดงด้วยความอายเดินออกประตูบ้านไปและก้มหน้าคอตก เมื่อครู่นี้เธอทำเรื่องหน้าแตกหน้าอับอายออกไป ทำไมเธอถึงได้โง่เขลาแบบนี้? พี่หมิงซุ่นคงวาดภาพเธอให้เป็นหมูหน้ามึนไปแล้วแน่ๆ


ฮือๆๆ ไม่มีหน้าไปสู้กับใครได้แล้ว!


เหยียนหมิงซุ่นลากแขนคนบางคนไว้และพูดเตือน “ระวังธรณีประตู”


ใบหน้าของอู่เหมยยิ่งแดงขึ้นกว่าเดิมและพูดขอบคุณเขาออกไปเสียงเบา ไม่ใช่แค่ขอบคุณที่เขาเตือนเธอแต่ขอบคุณที่เขาช่วยเหลือเธอมากขนาดนี้ หากไม่ใช่เพราะเขา เธอจะได้กลายเป็นเศรษฐินีน้อยที่มีเงินสองพันหยวนซ่อนอยู่ในอกหรือ!


เหรียญกษาปณ์ต้าฉีทงเป่าและเหรียญราชวงศ์ชิงอีกสามเหรียญของเธอได้ให้ลุงหมิงไปหมดแล้ว ซึ่งเขาก็ได้ให้เงินมาโดยตรงสองพันหยวนเลย อู่เหมยพึงพอใจกับตัวเลขนี้เป็นอย่างมาก เงินทุนแค่สองหยวนเท่านั้นแต่ในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำค่าเงินก็เพิ่มขึ้นเป็นพันเท่า เมื่อเทียบกับโปกเกอร์แห่งถนนวอลสตรีตแล้วมันยอดเยี่ยมกว่ามาก!


“เหมยเหมยวางแผนจัดการเงินพวกนี้ยังไง?” เหยียนหมิงซุ่นถาม


สองพันหยวนไม่ใช่เงินจำนวนน้อย เกรงว่าเงินเก็บของพ่อแม่อู่เหมยยังมีไม่มากเท่านี้เลย กระทั่งดูท่าทีของอู่เหมยแล้วเธอคงไม่อยากจะเอาเงินก้อนนี้ไปให้ใคร เพราะงั้นเงินก้อนนี้จะต้องหาวิธีที่ดีในการจัดการ


อู่เหมยเองก็รู้สึกกลัดกลุ้มใจ ถ้าจะเอาให้เหอปี้อวิ๋นล่ะก็เป็นไปไม่ได้เด็ดขาดและก็ห้ามให้อู่เจิ้งซือรู้ด้วย แต่หากว่าเธอเก็บไว้ที่บ้านไม่ช้าก็เร็วเหอปี้อวิ๋นจะต้องรู้แน่ เธอคิดไปคิดมาและถามออกมาเสียงเบา “พี่หมิงซุ่น ฉันใช้เงินก้อนนี้ซื้อบ้านได้ไหม?”


สยงมู่มู่ร้องถามด้วยท่าทางเกินจริง “เธอจะซื้อบ้านไปทำไม? ใช่ว่าบ้านเธอจะไม่มีห้องให้อยู่”


“ฉันอยากซื้อบ้านเป็นของตัวเอง ในโฉนดเขียนเป็นชื่อบ้านของฉัน บ้านที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับพ่อแม่” อู่เหมยมีสีหน้าที่จริงจัง


เหยียนหมิงซุ่นเข้าใจความรู้สึกของอู่เหมยเป็นอย่างดี เหมือนกับเขาที่จัดซื้อทรัพย์สินบ้านเรือนและห้างสรรพสินค้าที่จัดเป็นอสังหาริมทรัพย์เป็นการส่วนตัว ในช่วงสองปีนี้เงินที่เขาหาได้ส่วนใหญ่ก็ถือว่าพอใช้แล้ว ค่าเงินลดมูลค่าได้ แต่ค่าของอสังหาริมทรัพย์มีแต่จะเพิ่มมูลค่า และนั่นถือเป็นการลงทุนที่น่าเชื่อถือยิ่งกว่าของลายคราม


ยัยเด็กโง่เริ่มที่จะฉลาดขึ้นมาเรื่อยๆ แล้ว รู้ว่าพึ่งพาพ่อแม่ไม่ได้เลยหาทางออกให้ตัวเอง!


สยงมู่มู่เตือนสติเธอ “เธอยังไม่บรรลุนิติภาวะเลย โดยพื้นฐานแล้วไม่สามารถซื้อบ้านได้ ต้องให้พ่อแม่เธอเป็นคนเซ็นให้ถึงจะสำเร็จ”


อู่เหมยย่นหน้าจนกลายเป็นก้อนและกระซิบบอก “ฉันไม่อยากบอกพ่อกับแม่ว่าฉันหาเงินได้ สยงมู่มู่นายก็อย่าบอกเรื่องนี้กับพ่อแม่ของนายนะ หากว่านายหลุดปากบอกไปแม้แต่น้อย ฉันจะตัดความสัมพันธ์กับนาย!”


สยงมู่มู่ตะโกนออกไปด้วยความโมโห “เธอมองว่าฉันเป็นพวกผู้หญิงปากพล่อยหรือไง?”


“พี่หมิงซุ่นต่างหากที่จะไม่ไปพูดมั่วๆ นายคิดว่าพี่เขาเป็นเหมือนนายหรือไง?” อู่เหมยมองค้อนเขา ทำให้สมงมู่มู่โกรธจนหน้าหงาย ยัยบ้านี่ดูถูกเขาดีนัก น่าโมโหชะมัด!


มุมปากของเหยียนหมิงซุ่นยกยิ้มเล็กน้อย ในใจของเขารู้สึกมีความสุขมาก เขาตัดสินใจที่จะช่วยยัยเด็กโง่อีกครั้งถึงได้พูดขึ้น “ฉันสามารถช่วยเธอซื้อบ้านได้ บ้านที่เป็นของเธอเอง”


อู่เหมยแปลกใจและดีใจเป็นอย่างมาก เธอไม่พูดอะไรแต่เอาเงินทั้งหมดยื่นไปให้เขา “พี่หมิงซุ่น รบกวนด้วนนะคะ!”


เหยียนหมิงซุ่นรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ยัยเด็กนี่ไว้ใจในตัวเขาจริงๆ หรือ เธอไม่กังวลว่าเขาจะอมเงินเธอไว้เองหรือไง แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยิ่งรู้สึกอารมณ์ดีมากขึ้น จึงยิ้มและถามออกไป “ถึงอย่างไรเธอก็ต้องบอกลักษณะบ้านที่เธออยากได้มา ไม่เช่นนั้นฉันจะซื้อแทนเธอได้ยังไง!”


อู่เหมยหัวเราะอย่างซื่อๆ ทึ่มๆ พลางนึกและพูดไปด้วย “บังกะโลขนาดเล็กพร้อมลานด้านหน้าและสวนด้านหลัง จะต้องมีชักโครก สถานที่ก็อย่าห่างไกลเกิน ถ้าจะให้ดีต้องอยู่ในเขตตัวเมือง พี่หมิงซุ่นคะ เงินจะพอไหม?”


“พอแล้ว เงินพวกนี้เธอเก็บไว้ก่อน รอดูบ้านเสร็จค่อยจ่าย” เหยียนหมิงซุ่นยื่นเงินคืนให้กับอู่เหมย


“ขอบคุณค่ะพี่หมิงซุ่น”


อู่เหมยดีใจจนใบหน้าขึ้นสีแดงไปหมด เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ราวกับเธอกำลังฝันอยู่ เธอรู้สึกว่าตัวเธอเบาเหมือนกำลังลอยได้ แต่เพียงแค่สัมผัสเงินปึกหนาๆ นี้ถึงทำให้รู้ว่าตัวเธอยังคงอยู่บนพื้นและรู้สึกสงบจิตสงบใจขึ้นมา


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 181 มีเงินเลี้ยงข้าว


“พวกนายอยากกินอะไร วันนี้ฉันเลี้ยงเอง!” อู่เหมยยิ้มและตบกระเป๋า แต่ด้านในดันมีเสียงร้องจิ๊ดๆ ให้ได้ยิน นั่นจึงทำให้อู่เหมยนึกขึ้นได้ว่าฉิวฉิวยังอยู่ในนั้น เธอถึงได้รีบอุ้มมันออกมา


“ฉิวฉิว ตอนนี้พี่มีเงินแล้ว ต่อไปนี้พี่จะซื้อของอร่อยให้แกกินทุกวันเลย” อู่เหมยกอดเจ้าตัวเล็กไว้และได้แต่จูบหอมตัวมันอยู่อย่างนั้น หน้าตาเธอดูมีความสุขมาก


เหยียนหมิงซุ่นหัวเราะออกมาเบาๆ “ฉันยังต้องไปเดินแถวๆ ร้านแผงลอย คงไม่ได้ไปกินข้าวกับเธอนะ เอ่อ…ใช้ กระดาษวาดรูปนี่นะ ฉันยกให้เธอ”


เขาหยิบเอากระดาษที่เพิ่งซื้อก่อนหน้านี้จากพนักงานร้านออกมา แล้วยื่นให้กับอู่เหมย เธอรับกระดาษมาด้วยความดีใจ แค่มองดูก็รู้ว่าเป็นของคุณภาพดีและราคาก็ไม่ใช่ถูกๆ ด้วย


“ให้ฉันเอาเงินคืนพี่ดีกว่าไหม?” อู่เหมยรู้สึกเกรงใจ


เหยียนหมิงซุ่นยิ้มออกมา “ไม่ต้องหรอก เธอยกเงินโบราณให้ฉันแล้วนี่ ให้มาก็ให้กลับถือว่าตอบแทนกันนะ!”


สยงมู่มู่ถอนหายใจออกมาเบาๆ กระดาษแค่หนึ่งกองอย่างมากคงไม่เกินสองหยวน แต่เหรียญกษาปณ์หนึ่งเหรียญตั้งสองร้อยหยวน เกมหมากนี้เล่นได้เยี่ยมจริงๆ กลับไปจะต้องพูดกับยัยบ้านี่หน่อยแล้วว่าทำตัวเหมือนคนโง่ที่ยอมให้คนอื่นหลอกและยังยอมให้เขามาช่วยนับเงินอีก


เวลานี้ก็ใกล้จะเที่ยงวันแล้ว คนเดินไปมาขวักไขว่ประกอบกับเสียงเรียกขายของที่มีจังหวะและท่วงทำนอง ทำให้เกิดความครึกครื้นเป็นอย่างมาก เหยียนหมิงซุ่นเดินไปยังบริเวณที่มีคนพลุกพล่าน ทุกๆ สัปดาห์เขาจะมาที่นี่เพื่อจับหาของอย่างไม่ขาดช่วง ทำจนถึงตอนนี้ก็สองปีแล้วที่เขาสามารถเก็บเกี่ยวของมาได้ไม่น้อยเลย


“ต๊อก ต๊อก”


ฉิวฉิวเริ่มที่จะไม่นิ่งอีกครั้งมันขยับตัวตลอดเวลา เจ้านายมันมีเงินแล้วแบบนี้ก็สามารถซื้อของดีพวกนั้นได้แล้ว เมื่อเอาของดีไปขายแล้วแลกได้เป็นจำนวนเงินที่มากกว่ากลับมา แล้วเอาไปซื้อลูกกวาดอร่อยๆ ให้มันกิน และมันยังสามารถเอาลูกกวาดแสนอร่อยขึ้นไปบนภูเขาเพื่อสมคบกับกระรอกน้อยตัวเมีย หึๆ สุขสวรรค์ของเทพเจ้า!


อู่เหมยมั่นใจว่าฉิวฉิวไม่ใช่กระรอกธรรมดา ไม่เพียงแต่ฟังเข้าใจในคำพูดของเธอ กระทั่งมันสามารถหาของมีค่าได้ เหรียญกษาปณ์ทั้งหกเหรียญนั้นก็เป็นเพราะฉิวฉิวที่ต้องการให้เธอซื้อ หรือเป็นเพราะสวรรค์สงสารเห็นใจเธอถึงส่งฉิวฉิวลงมาให้ช่วยเหลือเธอ?


ตอนนี้ฉิวฉิวกำลังร้องไม่หยุดแบบนี้แสดงว่ามันต้องเจอของมีค่าอีกแล้ว แต่ในเวลาอันสั้นนี้เธอหาเหรียญกษาปณ์เจอได้ตั้งหกเหรียญ จนทำให้เธอกลายเป็นที่จับตามองมากพอแล้ว จะทำตัวให้ออกนอกกรอบเกินไปคงไม่ดีแน่


แม้อู่เหมยเองก็อยากรู้มาก ว่าสิ่งที่ฉิวฉิวหาเจอคือของดีอะไร แต่เธอก็พยายามอดกลั้นไว้ให้มากที่สุดและพูดจาดีๆออกไป “ฉิวฉิวอย่าดื้อสิ สัปดาห์หน้าเราค่อยมาซื้อดีไหม? หากว่ามีคนรู้ว่าแกสามารถหาของมีค่าได้ต้องไม่เป็นผลดีต่อตัวแกแน่ ให้พี่พาแกไปหาของอร่อยกินดีไหม?”


ฉิวฉิวไม่พอใจและสะบัดหางของมันไปมา ความสามารถของมันในตอนนี้ยังถือว่าต่ำเกินไป หากระวังให้มากกว่านี้คงจะดี คนไร้อำนาจย่อมถูกคนมีอำนาจรังแก!


สยงมู่มู่รอจนหงุดหงิดจึงได้พูดเร่ง “ไหนบอกจะเลี้ยงข้าวไง? มัวซุบซิบอะไรกับฉิวฉิวอยู่อีก? กระรอกอย่างมันจะฟังที่เธอพูดออกเหรอ?” …


ฉิวฉิวชูเท้าไปทางสยงมู่มู่อย่างเงียบๆ ไอ้บ้านี่รอก่อนเถอะ จะต้องมีสักวันที่ได้จะราดกลิ่นธัญพืชอันหอมหวนใส่ทั้งหัว!


“พวกเธอไปกินกันเถอะ เดินก็ระวังกันด้วยนะ!”


เหยียนหมิงซุ่นโบกมือลาและไม่ได้กังวลต่อเงินสองพันหยวนนั้น อู่เหมยอาจจะดูโง่ไปบ้างในด้านการเรียน แต่ในด้านอื่นๆ เธอกลับไม่โง่ ทำอะไรก็ดูหนักแน่น ยิ่งไปกว่านั้นข้างกายเธอยังมีปีศาจเจ้าเล่ห์อย่างสยงมู่มู่อยู่ คงจะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่


อู่เหมยเองก็โบกไม้โบกมือตอบให้เหยียนหมิงซุ่น เธอออกไปจากตลาดหนานสุ่ยและถาม “นายอยากกินอะไร?”


“ซาลาเปาไข่ปูที่ภัตตาคารเฟิ่งหลาย เป็นทางกลับบ้านพอดี เธอคิดว่ายังไง?” สยงมู่มู่เลียริมปากตัวเอง เขาไม่ได้กินซาลาเปาไข่ปูมานานมากแล้ว รู้สึกอยากกินพอดีเลย!


“ได้สิ งั้นไปกินซาลาเปาไข่ปู แล้วก็ห่อกลับไปให้พ่อแม่นายด้วย” อู่เหมยพูดอย่างตรงไปตรงมา


ซาลาเปาไข่ปูร้านเฟิ่งหลายตอนนี้ลูกละสามเจี่ยว แต่ผ่านไปอีกยี่สิบปีราคาก็ขึ้นเป็นลูกละสิบหยวนแล้ว วัตถุดิบยังไม่แน่นเท่าตอนนี้เลย ไข่ปูนี่ใส่ลงไปน้อยจนน่าสงสาร แต่หมูแช่แข็งยังใส่ให้เยอะอยู่ แต่มันก็ไม่มีความอร่อย


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 182 ไม่ยกให้


ภัตตาคารเฟิ่งหลายอยู่บนถนนจงซาน มีระยะห่างจากอี้จงประมาณสิบกว่านาที อู่เหมยไปที่ร้านสินค้าคั่วแล้วชั่งเมล็ดสนครึ่งจิน[1] จากนั้นเธอได้วางฉิวฉิวกลับไปยังกระเป๋าเพื่อให้มันได้แทะกินสะดวก ถ้าอุ้มมันไว้ด้านนอกจะสะดุดตาเกินไป


เวลานี้ยังไม่ถึงเวลาทานอาหาร ลูกค้าของภัตตาคารเฟิ่งหลายจึงมีไม่มาก อู่เหมยกับสยงมู่มู่สั่งมาสี่เข่ง และหาที่นั่งที่ติดกับหน้าต่างเพื่อนั่งลง พวกเขาอดใจรอไม่ไหวที่จะเริ่มลงมือกิน ซาลาเปาไข่ปูของภัตตาคารเฟิ่งหลายมีอยู่สองแบบแบบแรกคือลูกใหญ่ อีกแบบหนึ่งคือลูกเล็กและมีน้ำซุปด้านใน


อู่เหมยกับสยงมู่มู่สั่งแบบลูกใหญ่ ในหนึ่งเข่งจะมีอยู่หนึ่งลูกและมีน้ำซุปด้านใน ผิวแป้งบางราวกับกระดาษ ด้านในเป็นซุปที่มีรสชาติดี มองจากแป้งด้านนอกยังสามารถมองเห็นน้ำซุปร้อนๆ ได้อย่างชัดเจน ราวกับซุปจะทะลักออกมาด้านนอกอยู่ตลอดเวลา


“หอมจัง!”


อู่เหมยสูดลมหายใจเข้าไปเต็มๆ แม้จะวางห่างจากเธอระยะหนึ่งแต่ก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นสดใหม่ของน้ำซุป บ่งบอกได้ดีเลยว่าวัตถุดิบที่ใช้ในการทำซุปเพียงพอแค่ไหน แต่พอถึงช่วงหลังๆ ราคาของซาลาเปาก็เริ่มแพงขึ้น วัตถุดิบที่ใส่เข้าไปก็น้อยลงเรื่อยๆ!


เธอใช้มือจับรอยจีบด้านบนของซาลาเปา ซึ่งซาลาเปามีลักษณะคล้ายกับหยดน้ำที่กลิ้งอยู่บนใบบัว แต่น้ำซุปที่อยู่ด้านในไม่ไหลทะลักออกมา พอที่จะเห็นได้ว่าพ่อครัวมีความสามารถสูงในการนวดแป้ง


เมื่อค่อยๆ กัดให้แป้งแตกเป็นรูเล็กๆ รอให้ไอร้อนระเหยออกไปแล้ว จึงค่อยๆ ดูดน้ำซุปแสนสดอร่อยเป็นคำเล็กๆ ซึ่งรสชาติของมันยากที่จะบรรยายออกมาได้ สรุปแล้วหลังจากนี้คงยากที่จะได้กินซาลาเปาไข่ปูรสชาติต้นตำรับแบบนี้


อู่เหมยกับสยงมู่มู่กลับไม่พูดไม่จา ทั้งคู่อดกลั้นเพื่อที่จะดื่มซดน้ำซุป เมื่อดูดน้ำซุปที่อยู่ด้านในจนหมดถึงจะค่อยกินแป้งที่ห่อด้านนอก แบบนั้นจะได้ไม่สิ้นเปลือง ทั้งคู่กินซาลาเปาไข่ปูไปคนละสองลูก ราดน้ำซุปเข้าไปเต็มกระเพาะ ขนาดเรอออกมายังมีแต่กลิ่นสดใหม่ของน้ำซุป


“อร่อยจังเลย” อู่เหมยตีพุงน้อยๆ ของตัวเองด้วยท่าทางอิ่มอกอิ่มใจ


อู่เหมยซื้อซาลาเปาน้ำซุปอีกสามเข่ง ราคาเข่งละสามเจี่ยวเหมือนกัน ลูกใหญ่ไม่สะดวกที่จะให้เธอห่อกลับ เพราะงั้นคงต้องได้ห่อแค่ลูกเล็ก สองเข่งนี้ซื้อให้พ่อแม่ของสยงมู่มู่ อีกหนึ่งเข่งซื้อให้อู่เจิ้งซือ เหมาะมากที่จะประจบสอพลอเขา


ช่วงที่กลับบ้านสยงมู่มู่อดไม่ได้ที่จะถาม “เรื่องเงินเธอจะไม่บอกครูอู่จริงเหรอ?”


“ไม่บอก นายก็อย่าบอกพ่อกับแม่ของนายล่ะ ได้ยินไหม?” อู่เหมยกำชับเขาถึงสองครั้ง


“รู้แล้ว ทำไมเธอถึงได้จู้จี้จุกจิกนัก?” สยงมู่มู่รู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก ผู้หญิงก็มักจะจู้จี้จุกจิกเสมอ ไม่ว่าอายุจะมากหรือน้อยก็ตาม


แต่สยงมู่มู่กลับรู้สึกว่ามีบางอย่างที่เขาเริ่มไม่เข้าใจในตัวอู่เหมย ปกติเป็นแค่ผู้หญิงที่ขี้ขลาดและอ่อนแอ แต่พอเธอได้ลาภลอยมาแบบกะทันหัน สิ่งแรกที่จะทำคือไม่ใช่การยกให้พ่อแม่ แต่กลับเป็นการซื้อบ้าน แถมยังไม่อยากให้คนที่บ้านรู้อีก ซึ่งนั่นไม่เหมือนกับนิสัยที่ผ่านมาของเธอเลย


“ทำไมเธอถึงไม่อยากให้ครูอู่รู้ล่ะ?” สยงมู่มู่รู้สึกว่า อู่เจิ้งซืออาจจะหัวโบราณไปบ้าง แต่โดยรวมแล้วเขาก็ดีกว่าเหอปี้อวิ๋นมาก


อู่เหมยตั้งใจจะไม่นับญาติพี่น้องแล้วเหรอ?


“ถ้าพ่อฉันรู้ก็เท่ากับแม่ฉันรู้ แล้วคนอย่างแม่ฉัน หากเธอรู้ว่าฉันมีเงินคงต้องสั่งให้ฉันยกให้เธอทั้งหมด จากนั้นเงินแม้แต่หยวนเดียวคงจะไม่ให้ฉันได้ใช้ แต่ทั้งหมดคงให้อู่เยวี่ยใช้ นายคิดว่าฉันโง่ขนาดนั้นเลยเหรอ?” อู่เหมยยิ้มเยาะ


สยงมู่มู่พยักหน้า อู่เหมยมองอย่างโกรธจัด เขาจึงทำได้แค่ส่ายหน้าไปมา


“ถ้างั้นเธอใช้จ่ายก็ต้องระวังหน่อย อย่าให้แม่กับพี่สาวของเธอจับได้ล่ะ แต่ถ้าหากพวกเขาจับได้เธอก็ไม่ต้องกังวลหรอก บอกไปว่าเป็นเงินที่ฉันให้ไว้ รับรองว่าไม่มีใครสงสัย” สยงมู่มู่รู้สึกภูมิใจมาก ใครจะฉลาดได้เท่าเขาที่คิดวิธีที่สมบูรณ์แบบออกมาได้?


“ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ยอมให้พวกเขาจับได้หรอก นั่งลงสิ ลุยเลย!”


อู่เหมยที่พูดจบได้เพิ่มความเร็วในการปั่นขึ้นกะทันหัน ทำให้สยงมู่มู่ตกใจจนต้องเอื้อมมือไปจับเบาะหลัง เสียงหัวเราะของอู่เหมยราวกับเสียงกระดิ่งเงินอันแสนไพเราะ ทว่าอยู่ในที่ไกลๆ ยังได้ยินอย่างชัดเจน ทำให้ดึงดูดสายตาของผู้คนรอบข้างเป็นจำนวนมาก ทุกคนต่างยิ้มแย้มด้วยเจตนาดีแถมยังหลีกทางให้กับพวกเขาทั้งคู่


ใครกันที่ไม่มีช่วงเวลาอันแสนเลินเล่อในวัยเยาว์!


…………………………………………………………………………………………..


[1] ครึ่งจิน = สองขีดครึ่ง



ตอนที่ 183 กินซาลาเปาน้ำซุปเถอะ


อู่เจิ้งซือนั่งตรวจแก้เรียงความอยู่ในห้องรับแขก สิ่งที่ยุ่งยากที่สุดของครูที่สอนภาษาและวรรณคดีก็คือการตรวจแก้เรียงความ แน่นอนว่าอาจมีครูบางท่านทีอ่านจบได้อย่างรวดเร็ว แต่อู่เจิ้งซือไม่ได้เป็นเช่นนั้น ทุกๆ บทความเขาจะใช้เวลามากพอสมควรในการอ่าน หากเจอบทความที่ใช้สำนวนสวยงามในการเขียน เขามักจะอ่านวนไปซ้ำๆ และเขียนคำอธิบายอย่างละเอียด บางครั้งก็ใช้เวลาเป็นชั่วโมง


ก็เพราะอย่างนั้น อู่เจิ้งซือถึงได้หอบเอาเรียงความกลับมาแก้ที่บ้านบ่อยๆ ในเวลานี้เขากำลังเริ่มอ่านบทความของเหมยซูหานอยู่ การบ้านในครั้งนี้ที่เขาให้นักเรียนไปทำคือปกิณกะ หัวข้อก็คือความกตัญญู เพราะว่าช่วงนี้ในเมืองจินมีเรื่องที่ทำให้คนเกิดอาการวิตกกังวลเกิดขึ้น ข่าวคือมีคนชราผู้หนึ่งถูกลูกสาวและลูกชายแท้ๆ ทอดทิ้งและไม่สนใจไยดี ประชาชนในสังคมต่างพากันประณามลูกๆ ของคนชราผู้นี้ ด่าทอว่าพวกเขาอกตัญญู ไม่สำนึกในบุญคุณ ทำตัวไม่สมกับหน้าที่ของลูก


จากนั้นไม่นานทั้งลูกสาวและลูกชายของคนชราได้ออกมาให้เหตุผลว่าแท้จริงแล้วคนชราผู้นี้ในช่วงวัยเยาว์เอาแต่กินนอนเที่ยวเล่นไม่ชอบทำมาหากิน ละเลยไม่เอาใส่ใจเลี้ยงดูลูก กระทั่งนำเงินค่าเทอมของลูกที่ภรรยาหามาได้ไปเล่นการพนัน  พวกเขาสามพี่น้องโตมาได้เพราะสองมือของแม่ที่คอยฉุดลากฉุดดึง ซึ่งไม่ง่ายเลยที่พวกเขาจะประสบความสำเร็จและใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบาย ส่วนมารดาก็ทำงานหนักเกินไปจึงล้มป่วยและจากไปในวัยที่ยังไม่ถึงห้าสิบปีด้วยซ้ำ


เขาทั้งสามเสียใจมาก เพราะเหตุนี้จึงทำให้พวกเขาเคียดแค้นชิงชังต่อบิดาและตัดสินใจที่จะไม่เลี้ยงดูบิดาของพวกตน สามพี่น้องพูดเหตุผลออกมาจนทำให้รู้สึกซาบซึ้ง พวกเขากอดรูปของมารดาที่ตายไปแล้ว และร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด


“หากไม่เป็นเพราะเขา แม่คงไม่จากพวกเราไปเร็วขนาดนี้ หากพวกเราเลี้ยงดูเขา เราคงจะรู้สึกผิดต่อแม่มาก!”


หลังจากที่ลูกชายและลูกสาวของเขาได้ออกมาให้เหตุผล เสียงการประณามได้ลดลงไปมาก เจอกับคนชราใจดำอำมหิตแบบนี้ทำให้พวกเขาลำบากใจจริงๆ


แต่สุดท้ายทั้งสามพี่น้องก็ทนไม่ได้ต่อแรงกดดันของคำวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ จึงได้มารับบิดากลับไป เพราะทุกคนต่างบอกว่า บิดามารดาต่อให้แย่แค่ไหน ท่านก็ถือได้ว่าเป็นผู้ให้กำเนิดเรามา หากไม่มีพวกท่านจะมีพวกเขาในวันนี้ไหม?


บุญคุณต้องทดแทน!


บิดามารดาต้องเลี้ยงดู!


หากไม่เลี้ยงดูพวกท่านคืออกตัญญู ผิดศีลธรรมจรรยา!


และนี่คือคำพูดของคนส่วนใหญ่ในสังคม แม้จะเห็นใจต่อความรู้สึกของทั้งสามพี่น้อง แต่ความกตัญญูก็เป็นสิ่งที่ละเว้นไม่ได้ที่จะปฏิบัติ หากเนรคุณก็ไม่ถูกต้อง ทั้งสามพี่น้องก็มีหน้าที่ในการทำงานแล้ว คงต้องใช้ไม้อ่อนไม้แข็งปะปนกันไป บุญคุณและหน้าที่คงต้องปฏิบัติไปพร้อมกัน ทั้งสามพี่น้องจะขัดได้อย่างไร ทำได้เพียงกล้ำกลืนฝืนทนในการกตัญญูให้สำเร็จ


เรื่องราวนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อสองเดือนก่อน ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่เกิดในเมืองจิน หลังจากที่อู่เจิ้งซือได้อ่านข่าวนี้เขาก็ได้คิดหาทางให้นักเรียนเขียนปกิณกะคนละหนึ่งบท ซึ่งเขาได้ดูมาหลายเล่มแล้ว แต่ละเล่มมีลักษณะการเขียนที่คล้ายคลึงกัน ส่วนใหญ่จะประณามการกระทำของทั้งสามพี่น้อง ความคิดในใจคือไม่มีปัญหา แต่รูปประโยคที่เขียนดูไม่มีพลัง ซึ่งไม่สามารถทำให้คนอ่านเกิดความรู้สึกร่วมได้เลย


อู่เจิ้งซือรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย และได้เปิดดูสมุดของเหมยซูหานกับเหยียนหมิงซุ่น อยากดูว่าของพวกเขาทั้งสองจะมีอะไรที่ทำให้แปลกใจไหม


เล่มแรกที่เขาเปิดดูเป็นของเหยียนหมิงซุ่น


ความสามรถด้านวรรณคดีของเด็กคนนี้ถือว่าไม่เลว ปกติเขาอ่านหนังสือนอกตำราเรียนเยอะ ใช้คำมาแต่งประโยคได้ดีจนทำให้รู้สึกแปลกใจในความงดงาม ทุกบรรทัดจะมีประโยคที่ทำให้แปลกใจแฝงอยู่


เหมยซูหานกลับประมาทกับหมากตัวนี้ แต่เด็กคนนี้ได้มาตรฐานมากกว่าซึ่งตรงกับรสนิยมของอู่เจิ้งซือ เพราะเขาเป็นคนที่เคารพรักษากฏระเบียบดี


“พ่อคะ หนูกลับมาแล้ว” อู่เหมยที่เพิ่งแยกกับสยงมู่มู่ เดินเข้ามาบ้านมาด้วยความดีใจ ในมือยังถือซาลาเปาน้ำซุปร้อนๆ อยู่


เหอปี้อวิ๋นที่ถูพื้นอยู่หันมองลูกสาวคนเล็กด้วยสายตาเย็นชา ยัยเด็กบ้านี่พอถึงวันหยุดก็ออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก เห็นได้ชัดว่าไม่อยากทำงานบ้าน


“เหมยเหมยไปรองน้ำมาหนึ่งกะละมังแล้วเช็ดตู้ให้สะอาดนะ” เหอปี้อวิ๋นกำชับ


“ได้ค่ะ หนูขอเอากระเป๋าไปเก็บก่อน พ่อคะ หนูซื้อซาลาเปาน้ำซุปจากภัตตาคารเฟิ่งหลายมาให้ แบบที่พ่อชอบกินเลย”


อู่เหมยไม่ได้ปฏิเสธเพราะวันนี้เธออารมณ์ดีเป็นอย่างมาก ถือว่าเป็นเกียรติสักนิดต่อเหอปี้อวิ๋น!


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 184 แกเอาเงินมาจากไหน


อู่เหมยยิ้มอารมณ์ดีพร้อมทั้งยื่นถุงกระดาษไปให้อู่เจิ้งซือ ซาลาเปาน้ำซุปอันประณีตด้วยฝีมือทั้งหกลูกถูกวางคว่ำหน้าไว้ในถุงกระดาษสีน้ำตาล แค่มองก็ให้ความรู้สึกสบายตาสบายใจ ดีที่สุดสำหรับอู่เจิ้งซือก็คือซาลาเปาไข่ปู โดยเฉพาะซาลาเปาไข่ปูน้ำซุปจากภัตตาคารเฟิ่งหลาย


ตอนนี้ก็ใกล้เวลาทานอาหารแล้ว จากตอนแรกที่อู่เจิ้งซือเริ่มรู้สึกหิว ยิ่งพอได้เห็นซาลาเปาน้ำซุปแสนอร่อยก็ทำให้น้ำลายสอเต็มปาก ซึ่งถือว่าเขาพึงพอใจกับความกตัญญูของอู่เหมย ออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกแต่ยังไม่ลืมที่จะซื้อของอร่อยกลับมาให้เขา ถือว่าไม่เลว


“เหมยเหมยมีความตั้งใจจริงๆ แล้วลูกกินมาหรือยัง?” อู่เจิ้งซือยิ้มแย้มและพูดจาอ่อนโยน


“กินแล้วค่ะ หนูไปกินกับสยงมู่มู่มา พวกเรากินซาลาเปาน้ำซุปลูกใหญ่ คนหนึ่งกินไปตั้งสองลูก หนูอิ่มจนท้องจะแตกแล้วอยู่แล้ว”


ได้ลาภก้อนโตมากะทันหัน ความกล้าของอู่เหมยในตอนนี้จึงมีมากกว่าสองชาตินี้รวมกันเสียอีก คำพูดคำจาก็เริ่มเยอะขึ้น เสียงแหลมจี๊ดๆ ดั่งนกกระติ๊ดร้อง ผิวขาวอมชมพูแลดูอ่อนนุ่มจนน่าหยิก คิ้วที่ไม่ได้เขียนแต่ดกดำ ปากที่ไม่ได้เติมแต่ขึ้นสีแดงระเรื่อ ดวงตาที่เป็นประกาย และน้ำเสียงสดใสยิ่งไปกว่าการไถน้ำแข็งในฤดูหนาว ต่อให้เธอจะพูดมากแค่ไหนก็ไม่ได้ทำให้ฟังแล้วรู้สึกรำคาญ


อู่เจิ้งซือรู้สึกดีใจกับลักษณะร่าเริงของอู่เหมยในตอนนี้มาก นิสัยของเธอดีขึ้น คะแนนก็พัฒนาขึ้นอีกด้วย อีกทั้งรูปร่างหน้าตาก็พัฒนาได้แบบก้าวกระโดด หากพาลูกสาวคนเล็กตามติดออกไปด้านนอกก็ถือว่าเป็นหน้าเป็นตาให้กับเขาได้!


ในสายตาของอู่เจิ้งซือมองอู่เหมยราวกับภาพวาดภูเขาและแม่น้ำที่เป็นธรรมชาติ แต่ในสายตาของเหอปี้อวิ๋นกลับมองเธอเป็นเหมือนยิ่งกว่าภาพวาดนามธรรมของปิกัสโซที่ไม่เข้าตา เธอใช้ไม้ถูพื้นถูไปด้วยเสียงที่ดังแต่ก็ไม่ทำให้อารมณ์ร้อนในใจลดลงได้ เธอจึงตัดสินใจไม่ถูพื้นต่อและกดเสียงต่ำถาม “เหมยเหมยเธอเอาเงินจากไหนมาซื้อกินซาลาเปาน้ำซุป? แถมยังเป็นภัตตาคารเฟิ่งหลายอีก? คงไม่ได้ให้สยงมู่มู่ออกเงินให้หรอกใช่ไหม? ทำไมแกถึงได้หน้าด้านหน้าทนแบบนี้? บ้านเราทำให้แกขาดแคลนเรื่องกินเหรอ? ถึงต้องไปกินของที่คนอื่นช่วยส่งเสีย!”


สีหน้าของอู่เจิ้งซือเริ่มเปลี่ยนไป เพราะเขาไม่ได้คิดให้ละเอียดอะไร ซาลาเปานำซุปที่ภัตตาคารเฟิ่งหลายราคาไม่ใช่ถูกๆ หนึ่งเข่งแบบนี้คงจะเป็นเงินสามเจี่ยวได้ และยังรวมกับที่อู่เหมยกินลูกใหญ่ไปอีกสองลูก ก็ต้องจ่ายเงินเก้าเจี่ยว นั่นถือว่าไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ ตัวอู่เหมยเองจะเอาเงินมาจากไหนเยอะขนาดนั้น?


อู่เหมยกลับไม่ได้แก้ตัวอะไร เธออยากรอดูว่าอู่เจิ้งซือจะพูดยังไง


เธอเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงต้องทดสอบอู่เจิ้งซือ บางทีอาจเป็นเพราะอยากจะหาความอบอุ่นเล็กๆ จากความเยือกเย็นในบ้านหลังนี้!


อู่เยวี่ยที่ได้รับรู้ความเคลื่อนไหวจากด้านนอกจึงเดินออกมาและถามขึ้นด้วยความตกใจ “เหมยเหมยทำไมเธอถึงให้สยงมู่มู่เลี้ยงซาลาเปาน้ำซุปราคาแพงๆ แบบนั้นได้ล่ะ? หากว่าครูสยงกับป้าจ้าวรู้เรื่องเข้า คงจะคิดว่าบ้านเราไม่มีปัญญากินซาลาเปาไข่ปูแน่ๆ!”


สีหน้าอารมณ์ของอู่เจิ้งซือเริ่มไม่ดีและไม่อยากทนที่จะอ้าปากพูดสั่งสอน แต่คำพูดก็ติดอยู่ที่มุมปาก ยิ่งเขาได้เห็นใบหน้าราวกับภาพวาดของอู่เหมย ทำให้ต้องกลืนคำพูดลงไป


ช่วงนี้ลูกสาวคนเล็กของเขาแสดงออกได้ดี เขาควรจะพูดจาดีๆ ต่อเธอ


“เหมยเหมย ต่อไปนี้ถ้าลูกอยากกินซาลาเปาไข่ปูก็ให้บอกพ่อ พ่อจะพาลูกไปกินที่ภัตตาคารเฟิ่งหลายเอง เราจะไม่กินของของบ้านอื่น เพราะแบบนี้มันไม่ดี”


คำพูดของอู่เจิ้งซืออาจจะดูแข็งกร้าวไปบ้าง แต่น้ำเสียงของเขากลับนิ่มนวลน่าฟัง แม้ว่าอู่เหมยจะรู้สึกผิดหวังที่อู่เจิ้งซือไม่เชื่อเธอ แต่เธอก็รู้ลึกสบายใจไปบ้าง เพราะอย่างน้อยพ่อก็ไม่ได้เป็นเหมือนเหอปี้อวิ๋นที่เอาแต่ด่าจนไม่แยกแยะแดงเขียวดำขาวหรือความผิดความถูก


แบบนี้ก็เพียงพอแล้ว


“เงินที่จ่ายเป็นเงินของหนูเอง สยงมู่มู่จะเลี้ยงแต่หนูไม่ยอมให้เลี้ยง พวกเราแยกกันจ่ายในส่วนของตัวเอง” อู่เหมยพูดออกไปด้วยความอัดอั้นตันใจ


เหอปี้อวิ๋นพูดออกมาอย่างเย็นชา “แกเอาเงินมาจากไหนเยอะแยะ? ทุกวันนี้มีคำพูดไหนที่เป็นจริงบ้าง ไปหัดเรียนมาจากใคร?”


อู่เยวี่ยพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เหมยเหมย พี่ยังมีเงินค่าขนมเหลืออยู่หนึ่งหยวน เธอรีบเอาไปคืนให้สยงมู่มู่สิ”


อู่เยวี่ยรู้สึกเสียดายเพราะเงินหนึ่งหยวนสำหรับเธอก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้เธอจะใช้วิธีไหนแสดงออกถึงความเห็นใจได้ล่ะ?


ทำแบบนี้อู่เจิ้งซือถึงจะเข้าใจว่าระหว่างเธอกับอู่เหมยใครดีใครเลว!


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 185 คิดหาผลประโยชน์จากผู้อื่น แต่กลับเข้าเนื้อตัวเอง


อู่เจิ้งซือมองลูกสาวคนโตด้วยความชื่นชม สัปดาห์หนึ่งให้เงินค่าขนมแค่สองหยวน แบบนี้แล้วเธอยังประหยัดไว้อีกหนึ่งหยวน แต่มองกลับมาที่ลูกสาวคนเล็กที่ไม่รู้จักคิดเท่ากับลูกสาวคนโตเลย!


อู่เหมยยิ้มเยาะในใจและยื่นมืออกไปรับเงินหนึ่งหยวนนั้น อู่เยวี่ยเพิ่งจะรู้สึกอารมณ์ดีและเตรียมจะสาดน้ำมันราดอีกหนึ่งทัพพี แต่อู่เหมยกลับพูดขึ้นเสียก่อน


“เงินค่าขนมของหนูก็ยังใช้ไม่หมดเหมือนกัน พ่อดูนี่สิคะ หนูยังเหลืออีกหนึ่งเจี่ยว เป็นเงินที่ทอนมาจากตอนซื้อซาลาเปาน้ำซุป สัปดาห์ที่แล้วหนูใช้ไปแค่หนึ่งหยวน ส่วนอีกหนึ่งหยวนที่เหลือหนูเอาไปซื้อซาลาเปาน้ำซุปที่ภัตตาคารเฟิ่งหลายกิน ทุกคนไม่ยอมฟังหนูอธิบายเลย มาถึงก็เอาแต่จะกล่าวโทษหนู แม่เป็นแบบนี้ แล้วพี่ก็ยังเป็นแบบนี้อีก ศาลพิพากษานักโทษประหารชีวิตยังให้โอกาสจำเลยได้พูดเลย!”


อู่เหมยควักเงินเจี่ยวออกมาจากกระเป๋าด้วยสภาพยับยู่ยี่ ด้านข้างคือธนบัตรหนึ่งหยวนของอู่เยวี่ย เธอทำหน้ากล้ำกลืน นัยน์ตาแดงก่ำ ดวงตาเอ่อล้นไปด้วยหยดน้ำตา ใบหน้าบ่งบอกถึงการได้รับความไม่ยุติธรรมแลดูน่าสงสาร


ภายในใจของอู่เจิ้งซือเริ่มไม่เป็นสุข ลูกสาวคนเล็กประหยัดอดออมและใช้เงินเก็บซื้อของอร่อยกลับมาให้เขาอย่างกตัญญู แต่กลับถูกลูกสาวคนโตกับภรรยาป้ายความผิดให้อีก แบบนี้จะไม่น้อยใจได้อย่างไร!


สีหน้าของเหอปี้อวิ๋นเริ่มทนไม่ไหวจึงตำหนิออกไป “แกพูดอยู่ไม่กี่คำแล้วทำมาเป็นร้องไห้ คิดว่าตัวเองสูงส่งมากหรือไง? รีบไปเช็ดโต๊ะเดี๋ยวนี้!”


อู่เจิ้งซือจ้องกลับไปและตวาดขึ้น “เธอพูดดีๆ ไม่ได้เหรอ? ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นเธอก็ไม่เคยถามลูกก่อนแล้วเอาแต่ตัดสินว่าลูกผิด เธอควรจะปรับปรุงนิสัยแบบนี้ได้แล้ว เยวี่ยเยวี่ยลูกก็อย่าได้เลียนแบบแม่ล่ะ เอาล่ะ ลูกอยู่บ้านมาทั้งวันแล้วออกมาขยับร่างกายบ้าง ไปช่วยแม่เขาทำงานไป!”


อู่เยวี่ยรู้สึกกลุ้มใจในทันที คิดหาผลประโยชน์จากผู้อื่น แต่กลับเข้าเนื้อตัวเอง ก็คือตัวเธอเอง เสียเงินไปหนึ่งหยวนแล้วยังจะต้องทำงานอีก


“ขอโทษนะเหมยเหมย พี่ผิดเอง พี่ไม่ควรจะตัดสินอะไรก่อนที่จะได้ถามให้แน่ใจ เธออย่าโทษพี่เลยนะ!” อู่เยวี่ยพูดกับอู่เหมยอย่างนุ่มนวล สายตาจับจ้องไปที่เงินหนึ่งหยวนแทบไม่กะพริบตา เอาแต่คิดหาวิธีที่จะเอาเงินนั้นคืนมาให้ได้


ทำไมอู่เหมยจะดูไม่ออกว่าพี่เธอคิดอะไรอยู่ เลยจงใจสะบัดเงินและพูดขึ้นอย่างเห็นใจ “ช่วงนี้พี่เครียดเรื่องการเรียนมากเกินไปหรือเปล่า เพราะช่วงนี้พี่ชอบพูดผิดอยู่บ่อยๆ พี่ก็อย่าคาดหวังกับที่หนึ่งเกินไปสิ เพราะสุขภาพสำคัญที่สุด”


“แกพูดบ้าอะไร? ทำไมที่หนึ่งจะไม่สำคัญ? พี่สาวแกสอบได้ที่หนึ่งได้อย่างสบายราวกับดื่มน้ำสักอึกหนึ่ง ไม่เหมือนกับแกที่โง่…”


สุดท้ายเหอปี้อวิ๋นก็ไม่ได้พูดสองคำท้ายในประโยคออกมา แต่ในใจกลับด่าทอเธอเป็นร้อยเป็นพันคำ ยัยเด็กบ้านี่ทนเห็นเยวี่ยเยวี่ยได้ดีไม่ได้เลย ทำไมที่หนึ่งจะไม่สำคัญ?


ใครจะจำได้ว่ามีที่สองกับที่สาม?


เพราะถูกจดจำแค่ที่หนึ่งมาโดยตลอด!


เยวี่ยเยวี่ยของเธอจะต้องได้ที่หนึ่งเท่านั้น!


ที่สองหรือที่สามไม่ได้เด็ดขาด! …


เหอปี้อวิ๋นที่พูดออกมาอย่างหยิ่งยโสได้ถูกอู่เหมยมองกลับด้วยสายตาเย็นชา สบายราวกับดื่มน้ำสักอึกหนึ่ง?


งั้นเรามาดูกัน! หลังจากที่ได้เห็นคะแนนของอู่เยวี่ยจะร้องไห้ดั่งสายน้ำตกที่ไหลยาวลงมากี่พันนิ้ว!


“ขอบคุณเงินหนึ่งหยวนของพี่ด้วยนะคะ ไว้สัปดาห์หน้าหนูจะไปซื้อซาลาเปาน้ำซุปที่ภัตตาคารเฟิ่งหลายอีก และจะซื้อกลับมาให้พี่หนึ่งเข่ง” อู่เหมยยิ้มตาหยีและพูด เธอนำเงินยัดใส่ไปในกระเป๋าอย่างออกนอกหน้าโดยไม่เกรงกลัว


อู่เยวี่ยฝืนยิ้มเป็นอย่างมาก เธอให้เงินไปหนึ่งหยวนแต่กลับได้กินซาลาเปาไข่ปูแค่หนึ่งเข่ง อู่เหมยวางหมากได้ดีเลยทีเดียว รู้ดีว่าเธอไม่มีทางขอเงินคืนจากเธอต่อหน้าของอู่เจิ้งซือ


“ขอบใจเหมยเหมยมากนะ!”


นำเสียงรอดไรฟันออกมาแต่อู่เหมยกลับรู้สึกว่ามันช่างน่าฟัง เธอจึงยิ้มอย่างได้ใจ สะบัดผมหางม้าของตัวเองแล้ววิ่งกลับเข้าห้องไป ในกระเป๋าเธอยังมีเงินอีกปึกใหญ่ แต่ต้องหาที่ดีๆ เพื่อซ่อนเอาไว้


สำหรับการเช็ดโต๊ะ พ่อได้บอกให้อู่เยวี่ยไปทำแล้วนี่!


ซาลาเปาไข่ปูเข่งนี้ถือว่าคุ้มค่ามากจริงๆ ไม่เพียงแค่ไม่ขาดทุน แต่กลับได้กำไรมาตั้งเจ็ดเจี่ยว ฮ่าๆๆ!


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 186 โดราเอมอน


อู่เหมยปิดประตูลง โดยมีฉิวฉิวปีนออกมานอนคว่ำแทะเมล็ดสนอยู่บนโต๊ะ เธอหยิบเงินกองหนาๆ ออกมา ยังมีเงินเหลืออีกหนึ่งร้อยเก้าสิบเก้าใบมีสีเขียวขจี เพียงแค่ได้มองก็ทำให้คนเรามีความสุขแล้ว มีความสุขจนสุดขั้วหัวใจ


แต่เงินพวกนี้จะเอาไปวางไว้ไหนดี?


ธนาคารฝากไม่ได้ ในลิ้นชักก็ยิ่งวางไม่ได้ ช่องกำแพงเธอก็ไม่กล้าวาง ถ้าหากโดนหนูกัดกินจะทำอย่างไร จะร้องไห้ก็ไม่มีที่ให้ไปร้อง


“ฉิวฉิว ถ้าแกเป็นโดราเอมอนคงจะดีมากเลย ถ้าเป็นแบบนั้นพี่จะสามารถเอาของทุกอย่างยัดไว้ในกระเป๋าหน้าท้องของแก แล้วถ้าต้องการจะใช้มันก็แค่ควักออกมาจากกระเป๋าหน้าท้อง ฮ่าๆๆ!”


อู่เหมยกอดฉิวฉิวด้วยความกลัดกลุ้มใจ ไม่มีเงินก็กลุ้ม มีเงินอยู่ก็ยิ่งกลุ้ม โธ่!


ฉิวฉิวสะบัดหางใหญ่ๆ ของมันพลางนึกไปด้วยว่าโดราเอมอนคืออะไร?


ทำไมฟังดูแล้วเหมือนกับตัวมันเอง?


อู่เหมยพูดด้วยความมั่นใจ “ฉิวฉิวแกรู้จักโดราเอมอนไหม? มันคือหุ่นยนต์แมวที่น่ารักตัวหนึ่ง ตรงช่วงท้องมันจะมีช่องกระเป๋าอยู่ ข้างในมีของดีๆ เยอะมากเลยล่ะ เจ้าของของโดราเอมอนชื่อว่าโนบิตะ พวกเขาเล่นด้วยกันอย่างสนุก…”


โดราเอมอนเป็นการ์ตูนที่อู่เหมยดูได้อย่างไม่มีเบื่อ ที่น่าอิจฉาที่สุดเห็นจะเป็นกระเป๋าหน้าท้องของมัน ราวกับว่าเป็นฐานพระเจดีย์ขนาดใหญ่เหมือนในนิยาย อยากได้อะไรก็หาออกมาได้หมด


หากว่าฉิวฉิวเป็นเหมือนโดราเอมอน เธอคงจะเอาเงินซ่อนไว้ในกระเป๋าหน้าท้องของมัน แบบนั้นเธอจะกลุ้มใจไปทำไม?


อู่เหมยหัวเราะคิกคัก กอดฉิวฉิวไว้และกดจูบมันไปหลายครั้ง เธอรู้สึกว่าตัวเองโลภมากจริงๆ ฉิวฉิวสามารถหาของมีค่าได้ก็ถือว่ามันมีความสามารถมากพอแล้ว เธอจะต้องพอใจในสิ่งที่มี การเป็นคนไม่ควรจะโลภมาก!


“ฉิวฉิว พี่พูดไปเรื่อยเปื่อย ต่อให้ฉิวฉิวจะไม่มีกระเป๋าหน้าท้องแต่แกก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของพี่ พี่รักแกที่สุด!”


“ต๊อก ต๊อก”


ฉิวฉฺวส่งเสียงร้องอย่างจองหอง ไม่ใช่แค่กระเป๋าหน้าท้องหรอกเหรอ มีอะไรน่าสรรเสริญขนาดนั้นเลย คุณชายฉิวอย่างมันใช่ว่าจะไม่มี เพียงแค่ต้องรอไปก่อนสักช่วงหนึ่งเท่านั้นเอง!


อู่เหมยนำผ้ามาห่อธนบัตรจำนวนหนึ่งร้อยเก้าสิบเก้าใบและมัดไว้อย่างแน่น และหาหนังยางมาพันรัดไว้อีกหลายรอบ บนหลังตู้ ใต้เตียง ฟูก ลิ้นชัก…ทุกที่ก็ลองมาหมดแล้ว แต่เธอก็รู้สึกไม่วางใจจึงทำได้แค่ถอนหายใจ


“ต๊อก ต๊อก”


ฉิวฉิวทนมองต่อไปไม่ไหว มันชำเลืองมองหาความคืบหน้า มันจึงวิ่งออกไปแล้วแย่งเงินก้อนนั้นมาจากมือของอู่เหมย ซึ่งขนาดของเงินจำนวนนั้นมีขนาดพอๆ กับตัวของมัน แต่กลับถูกมันคาบออกไปได้อย่างง่ายดาย กระโดดไปไม่กี่ครั้งแล้วออกไปทางช่องกำแพงใต้โต๊ะ


อู่เหมยดูท่าไม่สะดวกนัก และคุณชายฉิวเองก็แสดงออกได้ไม่ค่อยพอใจนัก มันเลยต้องลงมือเอง โดยขุดช่องกำแพงเดิมที่มีอยู่ให้เป็นช่องที่มีขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ แต่พอดีสำหรับให้ตัวมันวิ่งเข้าออก


“ฉิวฉิวแกไปไหนมา? รีบเอาเงินกลับมาเร็ว!”


อู่เหมยฟุบหน้าลงกับพื้นแล้วเรียกมันด้วยเสียงเบา ใจเธอร้อนรนดั่งถูกเผาไหม้ เธอยังหวังจะใช้เงินพวกนี้ไปซื้อบ้าน ฉิวฉิวต้องการจะทำอะไรกันแน่?


เพียงไม่นานฉิวฉิวก็กลับออกมา ซึ่งเงินได้หายไปแล้ว แต่ในปากเพิ่มขึ้นมาด้วยต้นหญ้าที่เหี่ยวเฉา ใจของอู่เหมยเริ่มหมดหวังลงในทันที เงินของเธอไม่อยู่แล้ว ฉิวฉิวทำหายไปแล้ว


ถึงแม้อู่เหมยจะไม่สบายใจแค่ไหน แต่เธอก็ไม่นึกโทษโกรธต่อฉิวฉิว เงินพวกนี้ก็ได้มาจากฉิวฉิวที่ช่วยเธอหา ไม่มีก็ช่างมันเถอะ เพียงแค่เธอต้องหาโอกาสคุยกับเหยียนหมิงซุ่น เรื่องบ้านต้องเลื่อนออกไปก่อน


“ฉิวฉิว ต่อไปห้ามเอาเงินไปเล่นอีกนะ แกดูสิเงินหายไปแล้ว ต่อไปพี่ก็ซื้อของอร่อยให้แกไม่ได้แล้ว แถมยังซื้อบ้านไม่ได้อีก” อู่เหมยพูดสอนเจ้าตัวเล็กไม่หยุด พยายามเอาเศษหญ้าในปากของฉิวฉิวออกมา และอดไม่ได้ที่จะบ่น


“ฉิวฉิวแกอย่ากินหญ้ามั่วๆ สิ ถ้าท้องเสียขึ้นมาจะทำยังไง?”


ฉิวฉิวคายหญ้าออกมาบนฝ่ามือของอู่เหมยและวิ่งหายไปอีกครั้ง อู่เหมยที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัว คุณชายฉิวก็แบกเอาเงินก้อนนั้นออกมาอย่างหอบเหนื่อย อู่เหมยมองเงินนั้นด้วยความตกใจและอ้าปากค้างจนแทบจะหลุด


ที่แท้ฉิวฉิวก็ช่วยเธอเอาเงินไปซ่อนงั้นหรือ!


“ฉิวฉิว ทำไมแกถึงได้น่ารักแบบนี้ มาให้พี่หอมแก้มหน่อยเร็ว!”


ฉิวฉิวกลอกตามองเธอด้วยความจองหอง และแบกเอาเงินกองใหญ่นั้นกลับไป วิ่งกลับไปกลับมาอยู่สี่รอบ ทำเอามันเหนื่อยหอบจนไม่อยากจะสะบัดหางใส่อู่เหมย แต่เป็นเพราะเจ้านายของมันที่ตาไม่ถึง เลยทำให้มันเหนื่อยหอบเหมือนหมา


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 187 ทำสองอย่างไปพร้อมๆ กัน


อู่เหมยเอาใจใส่ต่อคุณชายฉิวโดยการนวดให้มัน เมื่อกี้ฉิวฉิวต้องช่วยเธอเอาเงินไปซ่อนแน่ๆ เจ้าตัวเล็กมีไหวพริบจริงๆ ซ่อนของก็น่าจะเก่งมาก


“ฉิวฉิว ต่อไปนี้พี่จะให้แกเก็บซ่อนเงินให้นะ แกก็อย่าปล่อยให้คนอื่นขโมยไปล่ะ” อู่เหมยพูดเสียงเบา และถูกฉิวฉิวมองอย่างเอือมๆ


ของของคุณชายฉิวซะอย่างจะมีไอ้บ้าหน้าไหนกล้ามาขโมยอีก? อยากมีชีวิตไม่สงบสุขหรือไง


ฉิวฉิวใช้เท้าของมันเขี่ยเอาเศษหญ้าแห้งออกมากกองตรงหน้าอู่เหมย หากเมื่อครู่ไม่รีบเอาเงินไปซ่อนมันคงลืมหญ้าแห้งนี่ไปสนิทเลย อู่เหมยมองดูต้นหญ้าด้วยความงุนงงปนสงสัย และถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “ฉิวฉิว หญ้าพวกนี้เอามาทำอะไรเหรอ? ให้พี่กินเหรอ?” …


“จิ๊ด จิ๊ด”


ฉิวฉิวโกรธมากจนต้องใช้เท้าของมันตีไปที่ฝ่ามือของอู่เหมย ร้องราวกับกำลังเป็นตะคริว แต่กระรอกพูดกับคน ก็เหมือนกับคนหนึ่งเหนื่อยจนน้ำลายฟูฟ่อง แต่อีกคนกลับทำหน้างุนงง ทั้งหมดฟังออกแค่เสียงร้องจิ๊ดๆ แม้แต่ประโยคเดียวก็ไม่เข้าใจ


ฉิวฉิวโมโหเป็นอย่างมาก เจ้านายมันโง่จะตาย แค่คำพูดของมันยังฟังไม่เข้าใจเลย ดวงตาของมันหมุนกลอกไปมา แล้วก็ก้มงอตัวกะทันหัน เท้าทั้งสองข้างกดไปตรงบริเวณท้อง ทำท่าทางแปลกประหลาด


อู่เหมยนั่งดูอยู่นานสองนาน ถึงจะเริ่มใช้สมองคิดและถาม “ฉิวฉิว หรือว่าแกกินเมล็ดสนมากไปทำให้เป็นร้อนใน จนท้องผูกเหรอ?”


หนวดตรงมุมปากของฉิวฉิวสั่นกระตุก มันอึดอัดที่ไม่สามารถทำให้เจ้านายโง่ของมันเข้าใจ มันแสดงออกคืออาการท้องเสีย แต่ในสายตาเธอมองเป็นอะไรไปได้ ฉิวฉิวจำใจต้องคาบต้นหญ้าไว้ตรงปาก ทำเป็นว่ามันกินหญ้าเข้าไป และเริ่มแสดงต่อ


ขอบคุณพระเจ้า อู่เหมยก็ไม่รู้ว่าความคิดอันเฉียบแหลมนั้นมาจากไหน สมองกลับคิดไปถึงอาการท้องเสีย และถามออกไปเสียงเบา “ฉิวฉิว แกจะบอกว่าต้นหญ้าแห้งนี้กินเข้าไปจะทำให้ปวดท้องเหรอ?”


ฉิวฉิวถอนหายใจอย่างโล่งอก แม่เจ้า! ถือว่าหมุนจะครบรอบแล้ว ไม่ง่ายเลย!


เมื่อเห็นเจ้าตัวเล็กออกแรงผงกหัว อู่เหมยก็รู้สึกตื่นเต้นมาก ความกลัดกลุ้มใจของเธอที่มีคือจะไปตามหายาถ่าย แต่ฉิวฉิวก็หามาให้ถึงที่ อู่เหมยกอดฉิวฉิวที่เหนื่อยราวกับเป็นอัมพาต และกดจุบตัวมันไปหลายครั้ง


“ฉิวฉิว แล้วยานี้จะใช้ยังไง? ผสมในน้ำผลไม้หรือต้องชงกับน้ำเพื่อดื่ม? รุนแรงไหม?”


ฉิวฉิวมองด้วยความเอือมระอา ช่วงนั้นมันกินหญ้านี้เข้าไปโดยไม่ตั้งใจ จากที่แม้แต่พิษงูเห่ายังไม่เป็นผลกับลำไส้ แต่หญ้านี้กลับทำให้ตอนนั้นมันปวดท้องไปสามวันสามคืน มื้อข้าวที่กินเข้าไปเมื่อสามร้อยปีก่อนก็ถูกขับถ่ายออกมาหมด


มันยื่นเท้าออกไปตรงหญ้าแห้งแล้วเปรียบให้ดูแค่เล็กน้อย ก็น่าจะเป็นเศษใบเล็กๆ อู่เยวี่ยแค่มีร่างกายของคนธรรมดา จะทำรุนแรงจนถึงชีวิตไม่ได้ แค่ให้เธอท้องเสียสักสิบวันหรือครึ่งเดือนก็พอแล้ว


อู่เหมยเข้าใจสัญญาณมือของฉิวฉิวกลับยิ่งดีใจ ดูท่าว่าต้นหญ้าแห้งนี้มีฤทธิ์รุนแรงเหมือนกัน ว่าแต่เจ้าฉิวฉิวเป็นกระรอกสายพันธุ์ไหน?


หาของมีค่าได้ หายาสมุนไพรได้ อีกทั้งยังฟังภาษาคนได้ด้วย มองยังไงก็ไม่ใช่กระรอกธรรมดา


“ฉิวฉิว แกคงไม่ใช่กระรอกธรรมดาใช่ไหม?”


ฉิวฉิวมองด้วยความระอาและแทะเมล็ดสนต่อ ไร้สาระ แท้จริงมันไม่ใช่กระรอกซึ่งแน่นอนว่ามันต้องไม่ธรรมดา อู่เหมยกลับไม่อยากถามต่อแล้ว เธอกดหน้าไว้บนลำตัวของฉิวฉิวที่มีขนนุ่มนิ่มปุกปุยและพูดขึ้นเบาๆ “ไม่ว่าฉิวฉิวจะเป็นตัวอะไร แกก็คือเพื่อนที่ดีของพี่ เราสองจะไม่แยกจากกันตลอดชีวิต”


ฉิวฉิวยื่นเท้าของมันออกไปตรงหน้าของอู่เหมยแล้วตบเบาๆ เจ้านายของมันช่างน่าสงสารเสียจริง มันอยู่ตรงนี้ไม่มีเรื่องอะไรให้ทำพอดี ก็อยู่กับเธอไปแบบนี้ก็แล้วกัน ใครใช้ให้เจ้านายโง่อย่างเธอช่วยชีวิตมันไว้ล่ะ!


อีกอย่างการอยู่ข้างๆ เจ้านายโง่ของมันก็ทำให้สบายใจและรู้สึกเป็นอิสระด้วย!


อู่เหมยเก็บต้นหญ้าไว้อย่างระวัง เตรียมใช้กับอู่เยวี่ยในตอนเช้าของวันพรุ่งนี้ และคืนนี้ก็ให้ฉิวฉิวฉี่ราดใส่ตัวของเธอ ทำทั้งสองอย่างไปพร้อมๆ กัน แล้วมาดูกันว่าพรุ่งนี้อู่เยวี่ยจะสอบได้ยังไง?


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 188 ในเมื่อบิดาไม่มีความเมตตา บุตรก็สามารถอกตัญญูได้


เหอปี้อวิ๋นที่อยู่ด้านนอกตะโกนเรียกให้ออกไปกินข้าว อู่เหมยจึงให้ฉิวฉิวไปแทะเมล็ดสนอยู่ใต้เตียง แล้วเปิดประตูออกไปทานข้าว ซาลาเปาน้ำซุปเข่งนั้นถูกเหอปี้อวิ๋นเตรียมและวางไว้ตรงกลางจาน ยังอยู่ครบทั้งหกลูก ไม่ขาดแม้แต่ลูกเดียว


อู่เจิ้งซือยังคงตรวจแก้เรียงความอยู่ เขากำลังดูบทความของเหยียนหมิงซุ่นซึ่งถือว่าเขียนได้ดีมาก สำนวนที่ใช้เขียนคมกริบ ลีลาในการใช้ภาษาเผ็ดร้อนซึ่งคล้ายกับคุณหลู่ซวิ่น[1] แต่ทัศนคติของบทความเขากลับไม่สามารถเห็นด้วยได้


ในบทความของเหยียนหมิงซุ่นได้คัดค้านต่อลูกชายและลูกสาวทั้งสามที่รับคนชราไปเลี้ยงดู เขาคิดว่าในเมื่อบิดาไม่มีความเมตตา บุตรก็สามารถอกตัญญูได้ กระทั่งสามารถพูดได้ว่าบิดาเป็นฆาตรกรที่ทำให้มารดาของทั้งสามพี่น้องเสียชีวิต ศัตรูของมารดาไม่สามารถอยู่ร่วมโลกกันได้ หากทั้งสามพี่น้องกตัญญูต่อบิดา นั่นคือการเนรคุณและไม่ซื่อสัตย์ต่อมารดาที่เสียชีวิตไปก่อนวัยอันควร หลักธรรมชาติแห่งสวรรค์ที่มิอาจอภัยได้


สรุปแล้วบทความของเหยียนหมิงซุ่นคือการตำหนิบิดาท่านนี้ กระทั่งยังวิพากษ์วิจารณ์ต่อประโยคที่ว่า ‘บนโลกนี้ไม่มีพ่อแม่ที่ผิด’ ได้อย่างลึกซึ้ง เขาเขียนว่าบนโลกนี้พ่อแม่ที่ผิดมีมากมายนับไม่ถ้วน ซึ่งประโยคนี้มันคือการดันทุรังกลบเกลื่อนสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ หลอกทั้งตัวเองและผู้อื่น


อันที่จริงบทความนี้เขาเขียนได้ดีมาก สำนวนในการเขียนดูช่ำชอง ไม่เหมือนกับเด็กมัธยมปลายที่เพิ่งจะอายุสิบหก แต่อู่เจิ้งซือกลับอ่านจนรู้สึกหดหู่ ราชวงศ์เซี่ยใช้ความกตัญญูเพื่อปรับทัศนคติของคนในประเทศ ข้อวิจารณ์ของเหยียนหมิงซุ่นดูประมาทเกินไป หากว่าสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้วเขียนบทความแบบนี้ ร้อยเปอร์เซ็นต์เลยที่เขาจะไม่ได้คะแนนสูง


อู่เจิ้งซือที่เริ่มกลัดกลุ้มใจจึงดูบทความของเหมยซูหานอีกครั้ง แม้ว่าสำนวนในการเขียนจะดูอ่อนหัดไปบ้าง แต่โดยรวมถือว่าสอดคล้องกันและสละสลวย แม้ว่าจะตำหนิความไม่มีเมตตาของบิดา แต่ทัศนคติของเหมยซูหานกลับตรงกับเขา บิดาสามารถไม่มีความเมตตา แต่บุตรไม่ควรอกตัญญู


ในเมื่อคุณทำแบบนั้นได้ผมก็ทำแบบนั้นได้ ซึ่งคำพูดพวกนี้ไม่ควรจะพูดกับบิดามารดา


อู่เจิ้งซือปิดสมุดการบ้านลงและอดไม่ได้ที่จะพูดกับเหอปิอวิ๋น “เจ้าเด็กหมิงซุ่นคนนี้ประมาทเกินไป ไม่รู้ว่าในหัวของเขาคิดอะไรอยู่ วันหลังจะต้องปรึกษากับคุณพ่ออู่ดีๆ ถ้าไม่อย่างนั้นหมิงซุ่นจะเป็นเด็กที่อันตรายมาก”


เหอปี้อวิ๋นหยิบเอาสมุดการบ้านขึ้นมาดูหนึ่งครั้ง และพูดขึ้นอย่างไม่เห็นด้วย “ประมาทเกินไปจริงๆ แล้วนี่เขียนคำพูดอะไร คุณอู่คงต้องไปคุยกับคุณพ่ออู่ให้ดีแล้วล่ะ แล้วเหมยซูหานเขียนว่ายังไง? ขอฉันดูหน่อย”


อู่เจิ้งซือหัวเราะและยื่นสมุดการบ้านของเหมยซูหานให้เธอ เหอปี้อวิ๋นกับอู่เยวี่ยชิดตัวเข้าหาและดูด้วยกัน ตัวบบรจงต่างกับของเหยียนหมิงซุ่น ตัวอักษรของเหมยซูหานไม่ค่อยเรียบร้อย แต่โดยรวมถือว่าสละสลวย ดูสะอาดตาและเรียบร้อย ราวกับเมฆหมอกที่ลอยอยู่บนฟ้าและกระแสน้ำที่ไหลผ่าน


“พี่ซูหานเขียนดีมากเลยค่ะ พ่อแม่ก็คือพ่อแม่ ต่อให้พวกท่านจะผิดแต่ก็ถือเป็นผู้ให้กำเนิด ทำไมถึงอกตัญญูได้!” อู่เยวี่ยพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล


อู่เจิ้งซือและเหอปี้อวิ๋นต่างยกยิ้มด้วยความพึงพอใจ ไม่ใช่เพราะหลักการหรือเหตุผลนี้หรอก แต่เป็นเพราะลูกสาวของเขาเข้าใจหลักเหตุผลดี ไม่เหมือนกับเหยียนหมิงซุ่นที่คิดทรยศหักหลัง อู่เหมยที่ฟังไม่ค่อยเข้าใจจึงหยิบเอาสมุดการบ้านของเหยียนหมิงซุ่นขึ้นมา แค่ครู่เดียวเธอก็ถูกดึงดูดด้วยประโยคในบทความนั้น


ถูกต้อง บิดาไม่มีความเมตตา บุตรก็สามารถอกตัญญูได้!


บนโลกนี้ไม่มีพ่อแม่ที่ผิดซึ่งประโยคนี้ก็ผิด ไอ้สารเลวคนไหนเป็นคนพูด จริงๆ มันเป็นแค่คำพูดเพ้อเจ้อ พ่อแม่ที่ผิดมีมากถมไป ไม่ต้องไปพูดถึงไหนไกล ตัวอย่างเช่นหนึ่งคู่พ่อแม่ที่อยู่ตรงหน้าของเธอ ไม่ได้เป็นพ่อแม่ที่ดีอะไรเลย


อย่างน้อยสำหรับเธอคือไม่ใช่!


อู่เหมยฟังคำวิจารณ์อันน่าสะอิดสะเอียนของทั้งสามคนในบ้านก็รู้สึกทนไม่ได้จึงพูดถากถางออกไปเบาๆ ว่า “แล้วถ้าพ่อแม่ฆ่าลูกล่ะคะ นั่นถือว่าถูกต้องใช่ไหม?”


อู่เจิ้งซือชะงักงันและตำหนิด้วยความไม่พอใจ “จะมีพ่อแม่แบบนี้อยู่ได้ยังไง? ขนาดเสือยังคงต้องกินเนื้อล่าเหยื่อ ทำไมถึงมีพ่อแม่แบบนั้นได้? เหมยเหมยลูกฟุ้งซ่านเกินไป!”


มุมปากของอู่เหมยยกยิ้มเยาะโดยไม่ได้คำพูดใดๆ เพียงแค่เลิกแขนเสื้อให้สูงขึ้น ช่วงก่อนหน้านี้ที่ถูกเหอปี้อวิ๋นตียังคงมีร่องรอยหลงเหลืออยู่ แม้จะจางลงไปบ้าง แต่ผิวด้านในของเธอที่ถูกเนื้อผ้าบดบังไว้ขาวดั่งสำลี ปรากฏให้เห็นถึงร่องรอยของความโหดร้ายทารุณ


…………………………………………………………………………………………..


[1] นักประพันธ์จีนผู้มีชื่อเสียงในยุคศตวรรษที่ 20


ตอนที่ 189 ความงามตามธรรมชาติที่ยากจะยอมแพ้


ร่องรอยฟกช้ำนี้ราวกับมีไม้ตะบองตีแรงๆ เข้าที่หน้าของทั้งสามคน จึงทำให้อู่เจิ้งซือไม่สามารถพูดต่อได้ ต้องเผชิญหน้ากับลูกสาวคนเล็กแบบนี้เขารู้สึกแปลกๆ และขาดความมั่นใจในตัวเอง


“เหมยเหมยเป็นแบบนี้คือเหลืออด บางครั้งพ่อแม่ทำโทษลูกด้วยการตี เพื่อให้ลูกเป็นคนดี โบราณว่าไว้หากไม่ตีลูกจะไม่เป็นโล้เป็นพาย”


อู่เจิ้งซือไม่รู้เลยว่าตัวเขาเองกำลังพูดอะไรอยู่ เขาต้องการจะให้อู่เหมยดึงแขนเสื้อลง ร่องรอยฟกช้ำพวกนั้นเห็นแล้วดูขัดหูขัดตา


“รู้แล้วค่ะ พ่อแม่ตีลูกก็เพราะเป็นสัจธรรมที่มิอาจเปลี่ยนแปลงได้ ตีจนตายก็ไม่ผิดกฎหมาย” อู่เหมยพูดออกไปอย่างไม่รู้สึกทุกข์ร้อน เธอคีบหมูน้ำแดงคำโตๆ เขาปากและเคี้ยวต่อไปอย่างโหดเหี้ยม ท่าทางการกินดุดันราวกับฆาตรกร


เหอปี้อวิ๋นกลับไม่ได้สนใจต่อการกระทำของอู่เหมย เธอคิดเพียงแค่ว่ายัยเด็กบ้านี่พูดจาแปลกประหลาด สีหน้าท่าทางของคุณอู่ก็ดูแปลกจึงอดไม่ได้ที่จะตำหนิออกไป “เป็นลูกผู้หญิงกินเนื้อน้อยๆ หน่อย อีกหน่อยอ้วนจะทำยังไง?”


“หนูไม่ใช่พี่นี่คะ ที่ดื่มแค่น้ำเปล่าก็อ้วนแล้ว หนูมีความงามตามธรรมชาติที่ยากจะยอมแพ้”


อู่เหมยยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ และยัดเนื้อที่เหลือเข้าปาก มันหมูที่มันเยิ้มทำให้อู่เยวี่ยที่เห็นรู้สึกสะอิดสะเอียน แต่อู่เหมยกลับกินได้อย่างเอร็ดอร่อย แน่นอนว่าเธอแค่เสแสร้ง มันหมูแทบไม่ได้เคี้ยวก็ถูกเธอกลืนลงไปแล้ว


ตอนแรกอู่เยวี่ยอยากกินหมูสามชั้น แต่กลับถูกอู่เหมยทำให้โมโหจนน่าเจ็บใจ เธอเป็นคนที่กินแล้วอ้วนง่าย เพียงแค่กินเยอะขึ้นนิดหน่อย ที่กินเข้าไปก็จะกลายไปเป็นไขมัน ต่างจากอู่เหมยทที่กินยังไงก็ไม่อ้วน หุ่นผอมเพรียวอยู่ตลอด


อู่เจิ้งซือมองดูท่าทีร่าเริงของลูกสาวคนเล็กก็รู้สึกดีไม่น้อย คิดว่าเมื่อครู่คงเป็นเพราะอู่เหมยยังคงคิดโมโหต่อการกระทำของเหอปี้อวิ๋น ถึงได้มีเจตนาพูดแบบนั้นออกไป แต่ในใจอาจจะไม่ได้คิดแบบนั้น


กลางคืนค่อยคุยกับเหอปี้อวิ๋นว่าต่อไปนี้ห้ามลงไม้ลงมือกับอู่เหมย เพราะอู่เหมยในตอนนี้ถือว่าไม่ได้แย่ ร่าเริงสดใสแลดูเปิดเผย ทั้งยังสง่างามและใจกว้าง คะแนนก็พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งยังรู้จักประหยัดอดออมและเอาเงินค่าขนมไปซื้อซาลาเปาน้ำซุปมาให้เขาด้วยความกตัญญูอีกด้วย บ่งบอกได้ว่าช่วงระยะนี้การใช้คุณธรรมอบรมสั่งสอนคน ก็ถือว่าได้ผลลัพธ์ที่ไม่เลวเลย


ทั้งวันเอาแต่ด่าๆ ตีๆ จะมีอะไรดี!


อู่เจิ้งซือคีบเอาเนื้อที่มีมันเยอะกว่าเนื้อชิ้นใหญ่ๆ วางไว้ในจานของอู่เหมย “เหมยเหมยชอบกินเนื้อก็กินเยอะๆ หน่อย”


“ขอบคุณค่ะพ่อ”


อู่เหมยส่งยิ้มหวานให้เขาและกัดกินคำใหญ่ๆ แต่ไขมันเยอะเกินไปทำให้น้ำมันที่อยู่ในเนื้อซึมออกมามากจนทำให้เธอเกือบจะอ้วกออกมา อู่เหมยทนกลืนลงไปและแสร้งทำเป็นพึงพอใจอย่างมาก และเธอได้แสยะยิ้มส่งให้อู่เยวี่ย


พอดีฉันเป็นประเภทที่กินเนื้อเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน เชิญเธอโมโหไปจนตายเลยยัยแม่มด!


อู่เยวี่ยมองด้วยความอัดอั้นตันใจ เธอใช้ตะเกียบคีบผักขึ้นมากิน และไม่กล้ากินเนื้ออีก ตั้งแต่ช่วงที่เธอเริ่มมีประจำเดือนเป็นต้นมา น้ำหนักตัวของเธอก็เกิดความเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่แน่นอน หากกินจนไม่ระวังก็จะทำให้น้ำหนักเกิน ปล่อยให้ตัวเองหิวไม่กี่วันได้ถึงจะลดลง ช่างน่าปวดหัวเสียจริง


พอทานข้าวเสร็จอู่เหมยได้หยิบสมุดการบ้านของเหมยซูหานขึ้นมาอ่าน บทความนั้นทำให้เธอหัวคิ้วผูกเป็นโบว์ อะไรคือบิดาสามารถไม่มีความเมตตา แต่บุตรควรกตัญญู พูดจาเหลวไหลสิ้นดี มันไม่ถูกต้อง เหมยซูหานไม่ใช่คนที่มีความกตัญญูแบบนี้


เมื่อชาติก่อนที่เธอกับเหมยซูหานแต่งงานกัน พ่อของเหมยซูหานยังแข็งแรงดี แต่ท่านเป็นเหมือนกับพ่อของทั้งสามพี่น้องนั้นที่เอาแต่กินนอนเที่ยวเล่นติดการพนันทุกอย่าง เพียงแต่ไม่เลี้ยงดูภรรยาและลูก ที่เหมยซูหานสามารถเรียนจนจบมหาวิทยาลัยได้ ทั้งหมดคือการพึ่งพาการทำงานประกอบกล่องกระดาษจากมารดาที่ป่วยหนัก และยังมีทุนการศึกษา รวมถึงเงินที่เขาขยันทำงานและประหยัดอดออมเอง แบบนั้นถึงทำให้เขาเรียนจบมาได้บนเส้นทางที่ยากลำบาก


หลังจากที่มารดาของเหมยซูหานเสียไปได้สามปีบิดาของเขาก็ได้เสียชีวิตตามด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลัน และข้างกายท่านไม่มีใครอยู่จึงทำให้เสียชีวิตไปแบบนั้น


ในเมื่อไม่มีคนคอยอยู่ข้างๆ นั่นเพราะเหมยซูหานไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับพ่อของเขา ในช่วงเวลานั้นเหมยซูหานเริ่มทำมาหากินได้ดีเลย แต่เขาก็ยังปล่อยปะละเลยที่จะดูแลพ่อ เขาเพียงแค่เช่าห้องให้พ่อและให้เงินใช้เดือนละหนึ่งพันหยวน วันหยุดปีใหม่หรือเทศกาลต่างๆ ก็ไม่เคยไปเยี่ยมท่านเลย กระทั่งงานศพก็ถูกจัดขึ้นแบบลวกๆ แค่ให้ผ่านพ้นไป แม้แต่สถานที่ฝังศพเขายังไม่ให้ความสำคัญเลย!


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 190 มีละครสนุกๆ ให้ดูแล้ว


เมื่อนึกถึงการตายเมื่อชาติก่อน ในใจของอู่เหมยกลับจมดิ่งลงสู่ห้วงความคิด ทำยังไงก็นอนไม่หลับ ทั้งที่ความคิดของเหมยซูหานเหมือนกับเหยียนหมิงซุ่น แต่เขากลับไม่เขียนแบบนั้น นั่นบ่งบอกได้ดีว่าคนคนนี้แสดงละครเก่ง


หรือว่าชาติที่แล้วเหมยซูหานทำดีต่อเธอ นั่นก็คือการแสดงละคร?


อู่เหมยถอนหายใจและเธอเองก็ไม่อยากนึกถึงเหมยซูหานแล้ว จะเป็นการแสดงละครก็ดีหรือเป็นความรู้สึกที่แท้จริงก็ช่าง ซึ่งนั่นไม่เกี่ยวอะไรกับเธออีกแล้ว


อู่เหมยหน้าโง่ที่อ่อนแอและขี้ขลาดได้ตายไปแล้ว เธอในตอนนี้คืออู่เหมยที่มีชีวิตฟื้นคืนใหม่จากความโหดร้าย เพราะอย่างนั้นใครที่ติดหนี้เธออยู่ เธอจะชดใช้คืนให้เป็นเท่าตัว


อู่เหมยหัวเราะเยาะอย่างไม่ออกเสียง พูดกับฉิวฉิวที่คว่ำหน้าชมพระจันทร์อยู่บนโต๊ะด้วยเสียงแผ่วเบา “ฉิวฉิว พรุ่งนี้เช้าอย่าใช้ธัญพืชแสนหอมอย่างสุรุ่ยสุร่ายล่ะ ทั้งหมดต้องยกให้อู่เยวี่ยใช้สระผม ไม่ใช่สิ ไม่ต้องทั้งหมดหรอกแค่ครึ่งเดียวก็พอ ลดหย่อนให้เผื่อว่ายัยชั่วนั่นจะวิ่งกลับมา”


ฉิวฉิวสะบัดหางไปมาอย่างไม่สนใจอู่เหมย มันกำลังยุ่งอยู่กับการชมแสงจันทร์!


อู่เหมยตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้า ถึงแม้จะนอนไปแค่ห้าหกชั่วโมง แต่พอได้นึกถึงความโชคร้ายของอู่เยวี่ยเธอกลับรู้สึกฮึกเหิมและมีชีวิตชีวาเป็นพิเศษ เหอปี้อวิ๋นเองก็ตื่นแล้ว เธอกำลังเตรียมอาหารเช้าอยู่ตรงระเบียง เมื่อคืนก่อนนอนอู่เหมยได้ต้มส่วนใบของต้นหญ้าไว้แล้ว ในเวลานี้สีของน้ำในแก้วมีสีเขียวอ่อนๆ ราวกับสีค็อกเทล แต่ก็ถือว่ามีสีสวย


เธอได้หลอดหยดสารมาจากบ้านตระกูลสยง ครูสยงเป็นครูประจำวิชาเคมี ซึ่งในบ้านมีของประเภทนี้อยู่เยอะมาก และสยงมู่มู่ก็ใช้เล่นตั้งแต่เด็ก อู่เหมยแค่สูบออกมาหนึ่งหยด เพราะในหนึ่งครั้งเธอก็ไม่กล้าที่จะใช้มันเยอะ กลัวว่าจะทำให้อู่เยวี่ยล้มหน้าคว่ำไปเสียก่อน


อู่เหมยซ่อนหลอดหยดสารไว้ในกระเป๋าเสื้อและเดินออกไปอย่างเงียบๆ นมร้อนๆ ที่เหอปี้อวิ๋นพึ่งจะต้มเสร็จ แก้วที่เกินมาเยอะนั้นไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นของอู่เยวี่ย อู่เหมยถือโกกาสในช่วงที่เหอปี้อวิ๋นเผลอแล้วใช้หลอดหยดสารที่มียาน้ำอยู่ในหลอกหยดลงไปในแก้วนม ยาน้ำสีเขียวอ่อนๆ ค่อยๆ ผสมเข้ากับนมจนทำให้มองไม่เห็นถึงความผิดปกติ


เป็นเพราะอู่เยวี่ยจะสอบรายเดือนเหอปี้อวิ๋นจึงได้เตรียมอาหารเช้าไว้เต็มโต๊ะ นมวัว ปาท่องโก๋หนึ่งชิ้น ไข่ต้มสองฟอง และยังมีซาลาเปาไส้หมู อู่เหมยดื่มนมแก้วนั้นของเธออย่างรวดเร็วและกินซาลาเปาไส้หมูอย่างเอร็ดอร่อย


สายตาของเหอปี้อวิ๋นมองอู่เยวี่ยด้วยความรักใคร่เอ็นดู เธอดื่มนมแก้วนั้นเข้าไปจนหมดเกลี้ยง นั่นถึงทำให้อู่เหมยรู้สึกวางใจ เธอหรี่ตามองไปที่เส้นผมดกดำของอู่เยวี่ยแต่กลับไม่พบสิ่งผิดปกติ


เธอกัดกินซาลาเปาไส้หมูอย่างอิ่มอกอิ่มใจ และคาดหวังมากกับสถาการณ์ข้างหน้าที่อู่เยวี่ยเดินออกจากประตูนี้ไป


“พี่คะ ขอให้สอบรายเดือนได้ราบรื่น และเป็นที่หนึ่งของโรงเรียน!” อู่เหมยแสดงออกอย่างจริงใจ


อู่เยวี่ยหัวเราะอย่างสบายใจ “ขอบใจนะเหมยเหมย พี่จะพยายาม เธอเองก็สู้ๆ ล่ะ พยายามสอบให้ผ่านทุกวิชานะ!”


หาได้ยากมากที่เหอปี้อวิ๋นจะไม่ชักสีหน้าใส่อู่เหมย เธอพูดด้วยความรักใคร่เอ็นดู “เยวี่ยเยวี่ยกินเยอะนะลูก กินอิ่มแล้วถึงจะทำให้มีสติทำข้อสอบ ที่หนึ่งต้องเป็นของลูกแน่นอน แม่เชื่อใจลูก”


อู่เจิ้งซือยกยิ้มและพูดขึ้น “ตอนสอบพยายามให้เต็มที่ก็พอแล้ว อย่าไปคิดแบกรับเรื่องอะไรไว้มาก เหอปี้อวิ๋นก็พูดให้น้อยๆ หน่อย”


“ใช่ๆๆ เยวี่ยเยวี่ยไม่ต้องคิดถึงภาระอะไรนะ ทำเหมือนทุกครั้งที่ลูกทำการบ้านก็พอแล้ว แม่ไม่พูดแล้ว”


อู่เหมยหัวเราะเยาะภายในใจ ครั้งก่อนเจอเรื่องเศร้าสุดแสนรันทด ครั้งต่อไปอาจเจอกับเรื่องดีในชีวิต หากว่าอู่เยวี่ยสอบได้ที่หนึ่งอีกครั้ง เธอจะบิดหัวออกมาเตะเป็นลูกฟุตบอลเลย


ในจังหวะที่เหอปี้อวิ๋นกำชับอย่างเอาใจใส่ อู่เยวี่ยได้สะพายกระเป๋าเตรียมตัวไปสอบ อู่เหมยเดินตามอยู่ด้านหลัง เธออยากจะเห็นละครสนุกๆ แล้ว


สยงมู่มู่รอเธออยู่ด้านล่างของตึกเหมือนเคย อู่เหมยบุ้ยปากไปทางอู่เยวี่ย พูดขึ้นอย่างยากที่จะปิด “วันนี้มีละครสนุกๆ ให้ดูแล้ว”


“ละครสนุกอะไร?” ในใจของสยงมู่มู่เริ่มเกิดความอยากรู้อยากเห็น จึงเอาแต่ถามไม่หยุด


“นายค่อยๆ ดูเอาเองก็แล้วกัน ” อู่เหมยกลับไม่กล้าเผยความลับ ทำเอาสยงมู่มู่มีท่าทีร้อนใจ และโกรธเคืองเป็นอย่างมาก


…………………………………………………………………………………………..

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)