พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1669-1672
บทที่ 1669 ค้างคาวกลืนวิญญาณ
“อย่าบอกนะว่าเม่ยจียืนยันเรื่องทางฝั่งหนิวโหย่วเต๋อได้แล้ว?” เสวี่ยอวี้รีบถาม
เม่ยจีก็คือศิษย์ของนาง และนางกับอวี้หลัวช่าเดิมทีก็มีความสัมพันธ์นายบ่าว ตอนหลังเพิ่มสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์อีก
“ก็ใช่ว่าจะยืนยันไม่ได้ แต่หลังจากเม่ยจีสืบได้ว่าหนิวโหย่วเต๋อวางแผนลับกับคนอื่นแล้วเอ่ยถึงสำนักหนานอู๋ ก็จะไปตามหาของบางอย่างที่น้ำพุวังเวงอีก” อวี้หลัวช่ากล่าวอย่างลังเล
“หรือว่าของของสำนักหนานอู๋ซ่อนอยู่ที่น้ำพุวังเวง? เรื่องนี้เป็นไปได้เหรอ?” เสวี่ยอวี้ประหลาดใจ
“ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ น้ำพุวังเวงอันตรายมาก เหมาะจะซ่อนของเอาไว้พอดี และเป็นไปได้สูงว่าหนิวโหย่วเต๋อจะพบเบาะแสบางอย่างจากซากสำนักหนานอู๋ ตามที่เม่ยจีบอก นางกลัวว่าหนิวโหย่วเต๋อจะไม่ยอมเคลื่อนไหว ก็เลยพูดเรื่อง ‘สำนักหนานอู๋’ มาหยั่งเชิงกระตุ้น หนิวโหย่วเต๋อถึงได้เคลื่อนไหว ดังนั้นไม่ว่าจะยังไง ก็ต้องหาทางค้นหาหลักฐานดูสักหน่อย ข้าไม่สะดวกจะออกจากที่นี่นางเกินไป เรื่องนี้เจ้าต้องไปด้วยตัวเองสักรอบ” อวี้หลัวช่ากล่าว
“ศิษย์เข้าใจแล้ว จะออกเดินทางเดี๋ยวนี้” เสวี่ยอวี้พยักหน้า
อวี้หลัวช่าบอกอีกว่า “ยังมีอีก เม่ยจีสืบได้ว่าหนิวโหย่วเต๋อต้องการหากำลังคน บอกว่าค่อนข้างอันราย เจ้าอย่าได้ประมาท พาคนไปเยอะๆ หน่อย พยายามอย่าให้ฝ่ายเราเผยพิรุธอะไร คนที่พาไปด้วยต้องเชื่อถือได้ ห้ามมีข่าวหลุด แล้วพยายามปิดบังตัวตนของพวกเราด้วย เรื่องนี้เจ้าน่าจะเข้าใจ”
ตอนที่เสวี่ยอวี้พยักหน้า ก็ถามอีกว่า “ถ้าหนิวโหย่วเต๋อหาที่นั่นเจอแล้วจริงๆ พวกเราจะจัดการตัวเองยังไงคะ? ด้วยภูมิหลังของเขา…”
“มีโค่วหลิงซวีหนุนหลังแล้วยังไงล่ะ?” อวี้หลัวช่ากล่าวอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด “ถ้าหาพบแล้ว ตอนที่ข่าวยังไม่หลุดไป ก็กำจัดเขาซะ!”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เสวี่ยอวี้ก็มีความมั่นใจแล้ว รู้แล้วว่าควรทำอย่างไร
วัดพระกษิติครรภ์ เม่ยจีได้รับข่าวจากฝั่งแดนสุขาวดีอย่างรวดเร็ว หลังจากเรียกรวมลูกศิษย์ให้รีบปลอมตัวแล้ว ก็ออกจากวัดพระกษิติครรภ์ไปอย่างเงียบๆ ออกจากตลาดผีไปแล้ว รีบมุ่งหน้าสู่น้ำพุวังเวง ได้รับคำสั่งให้สำรวจเส้นทางล่วงหน้า…
แดนรัตติกาล อยู่ในขอบเขตแดนปรภพ เขาภูตพเนจรก็อยู่ที่แดนรัตติกาลเช่นกัน แต่กลับไม่ได้อยู่ในรัศมีใจกลาง บริเวณใจกลางที่แท้จริงจะอยู่กลางดาราจักรที่ราวกับมีเมฆหมอกหมุนวนหลายกลุ่ม ทั้งแปลกประหลาดล้ำลึกทั้งเงียบสงบ ในระหว่างเมฆหมอกทุกกลุ่มล้วนมีรูปทรงกรวยอันหนึ่ง รูรูปทรงกรวยเหมือนกับตาน้ำพุ ที่นี่จึงถูกเรียกว่าน้ำพุวังเวง
ตาน้ำพุทั้งเล็กทั้งใหญ่กลางดาราจักรอันกว้างใหญ่ราวกับเป็นดวงตาผีหลายดวง ตอนที่ยังอยู่ไกลๆ จากจุดนี้จะรู้สึกเหมือนถูกดวงตาที่ล้ำลึกน่าสะพรึงจับจ้อง ถึงแม้ตาน้ำพุจำนวนนับไม่ถ้วนจะมีทั้งเล็กทั้งใหญ่ แต่ตาน้ำพุทั้งหมดล้วนมีทางผ่านไปยังสถานที่แห่งเดียว น้ำพุวังเวง!
ที่จริงตาน้ำพุนี้ก็คล้ายกับประตูดวงดาว พอคนเข้าใกล้ก็จะถูกแรงดึงดูดมหาศาลดูดเข้าไป แต่ก็ไม่เหมือนประตูดวงดาวอยู่ดี ก็อย่างที่บอก ว่าตาน้ำพุทั้งหมดล้วนเป็นทางผ่านไปยังสถานที่แห่งเดียว นั่นก็คือน้ำพุวังเวง!
กำลังพลหลายหมื่นในดาราจักรเหาะมาถึงอย่างรวดเร็ว พวกเขามาหยุดอยู่ตรงจุดที่ไม่ไกลจากเมฆหมอกหมุนวน สามารถหลบแรงดึงดูดของตาน้ำพุได้พอดี
ผู้นำที่อยู่แถวหน้ากำลังพลก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นลูกหลานของตระกูลเซี่ยโห้ว อิ๋ง ฮ่าว ก่วง โค่วนั่นเอง คนของตระกูลเซี่ยโห้วก็คือเซี่ยโห้วเจิ้งยาง คนของตระกูลอิ๋งก็คืออิ๋งหยาง คนของตระกูลฮ่าวชื่อฮ่าวอวิ๋นเทียน คนของตระกูลก่วงชื่อว่าก่วงเซิ่ง คนของตระกูลโค่วก็คือโค่วเหวินไป๋
คนของสี่อ๋องสวรรค์ล้วนเป็นลูกคนโตของลูกชายคนโต มีเพียงตระกูลเซี่ยโห้วที่ส่งลูกชายคนโตของเซี่ยโห้วลิ่งซึ่งเป็นลูกชายคนรองมา แต่ตระกูลเซี่ยโห้วก็แตกต่างจากตระกูลอื่น ไม่มีใครรู้ชัดว่าเซี่ยโห้วท่ามีลูกหลานกี่คนกันแน่ คาดว่าลูกหลานส่วนใหญ่คงหลบอยู่ในที่ลับกันหมด ในจุดนี้มีคนไม่น้อยที่รู้อยู่แก่ใจ
นอกจากคนของห้าตระกูลนี้ ยังมีลูกหลานของพวกจอมพลและเทพประจำดาวมาเข้าร่วมด้วย
“การออกล่าครั้งนี้จะเดิมพันอะไร?” อิ๋งหยางมองซ้ายมองขวา แล้วถามถึงการเดิมพันก่อน
“กติกาเดิมแล้วกัน เดิมพันว่าใครจะกลับไปมือเปล่า” เซี่ยโห้วเจิ้งยางตอบเสียงเรียบ
“ดี!” คนอื่นๆ ตอบรับ
ที่เรียกว่ากติกาเดิมก็คือดูว่าใครล่าได้เยอะที่สุด แล้วคนอื่นๆ ก็ต้องมอบของทุกอย่างที่ล่าได้ให้คนนั้น แล้วกลับบ้านมือเปล่า คนที่อยู่ในระดับอย่างพวกเขา จะบอกว่าทรัพยากรฝึกตนไม่สำคัญก็ไม่ได้ เพื่อที่จะกดดันพวกเขา ตระกูลไม่อาจให้ทุกอย่างแก่พวกเขาตามอำเภอใจได้ แต่ในโอกาสและสถานที่แบบนี้ สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือหน้าตาศักดิ์ศรี ถ้าสามารถทำให้คนอื่นกลับบ้านมือเปล่าได้ ก็เท่ากับเป็นชัยชนะสูงสุดของการออกล่าครั้งนี้
หลังจากกำหนดกติกาแล้ว ทุกคนก็ยังไม่รีบบุกเข้าไป ถ้าคนทั่วไปมาที่นี่ก็ถือว่าอันตราย แต่พวกเขามีฐานะไม่ธรรมดา ย่อมไม่เกิดความเสี่ยงได้ง่ายๆ เพราะส่งคนมาสำรวจเส้นทางล่วงหน้าแล้ว
ผ่านไปไม่นาน ก็มีคนทยอยโผล่ออกมากลางอากาศ สายลับของตระกูลเซี่ยโห้วมารายงานก่อน บอกว่าทุกอย่างปกติดี
“ไป!” เซี่ยโห้วเจิ้งยางโบกมือ นำกำลังคนในเครือข่ายของตระกูลเซี่ยโห้วออกเดินทางก่อน บุกเข้าไปที่ตาน้ำพุแห่งหนึ่ง ชั่วพริบตาเดียวก็หายเข้าไปในนั้น
ที่จริงคนของตระกูลเซี่ยโห้วมาน้อยที่สุด ก็ช่วยไม่ได้ ภายนอกตระกูลเซี่ยโห้วไม่สามารถใช้คนมาช่วยเพิ่มบารมีของตัวเองเยอะเกินไป
สายลับของตระกูลอื่นๆ ทยอยกลับมารายงาน และบุกเข้าน้ำพุวังเวงเช่นกัน
ไม่รู้เหมือนกันว่าจงใจหรือเปล่า สายลับของตระกูลอิ๋งปรากฏตัวเป็นคนสุดท้าย หลังจากรายงานว่าทุกอย่างปกติแล้ว อิ๋งหยางก็ยังถามอย่างละเอียดอีก “ในน้ำพุวังเวงไม่มีคนอื่นแล้วเหรอ?”
สายลับตอบว่า “คนกลุ่มหนึ่งกำลังออกล่า น่าจะเป็นพวกนักพรตอิสระกับคนจากบางสำนัก พวกเขาเข้าไปถึงชั้นห้าของน้ำพุวังเวงแล้วก็หยุดตามปกติ มีคนส่วนน้อยที่จะกล้าเข้าไปลึกกว่านี้”
อิ๋งหยางพยักหน้าเบาๆ นี่ก็เป็นเรื่องปกติ นักพรตอิสระบางส่วนและคนจากบางสำนักมักจะมาเสี่ยงอันตรายที่นี่เพื่อหารายได้เพิ่มเติม มีจุดระสงค์เพื่อเก็บรวบรวมพวกสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ สมุนไพรเซียนที่หายาก บางคนก็ต้องการล่าพวกสัตว์เทพ สัตว์ปีศาจเพื่อไปแลกเป็นทรัพยากรฝึกตน น้ำพุวังเวงมีสิบแปดชั้น คนพวกนี้ไม่กล้าเข้าไปลึกเกินไป สัตว์ปีศาจที่ประสบอันตรายจะสูญเสียการควบคุม ยิ่งเข้าไปลึก สัตว์ปีศาจที่เจอก็จะยิ่งน่ากลัว โดยเฉพาะตัวที่อยู่ลึกในน้ำพุวังเวงที่ถูกขนานนามไว้อย่างน่ากลัวว่า ‘เทพมรณะ’
พอนึกถึงสัตว์ปีศาจน่ากลัวที่ชื่อ ‘เทพมรณะ’ อิ๋งหยางก็เสียวสันหลังวาบ ถามว่า “สัตว์ประหลาดในส่วนลึกของน้ำพุวังเวงคงไม่อาละวาดวิ่งออกมาซี้วั้วหรอกใช่มั้ย?”
“ตอนนี้ยังไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรขอรับ” สายลับตอบ
อิ๋งหยางเอียงหน้าไปด้านหลัง ถ่ายทอดเสียงบอกหนึ่งในสองนักพรตที่ตามติดอยู่ข้างหลังตน “ตั้งค่ายอยู่ที่ชั้นห้าของน้ำพุวังเวงก็แล้วกัน ถ้าเข้าไปลึกเกินไป ด้วยความสามารถของเป้าหมายอาจจะไม่กล้าเข้าไป”
หลังจากเงียบไปสักพัก อิ๋งหยางก็โบกมือ “ออกเดินทาง!”
สองคนข้างหลังถลันตัวไปเบิกทางข้างหน้าทันที คนกลุ่มนี้พุ่งเข้ามาจนถึงตาน้ำพุ
บนดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่อยู่ไกลๆ เหมียวอี้ทีอยู่บนยอดเขาใช้ตาทิพย์ตรงหว่างคิ้ว เสาแสงสีรุ้งสายหนึ่งที่ปรับสั้นบ้างยาวบ้างกำลังจ้องไปที่กลุ่มของอิ๋งหยาง มองเห็นทุกอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง
เดิมทีตลาดผีก็อยู่ที่แดนรัตติกาลอยู่แล้ว มาที่นี่ย่อมไม่สะดวก เรียกได้ว่าต้องมารอล่วงหน้า
รอจนกระทั่งพวกอิ๋งหยางเข้าไปในตาน้ำพุแล้ว ลำแสงของตาทิพย์ถึงได้ถูกเก็บกลับมา รอยแยกตรงหว่างคิ้วปิดสนิทกลายเป็นรอยนูนสีแดง
ก็ช่วยไม่ได้ ถึงแม้ตาทิพย์จะอัศจรรย์แค่ไหน แต่ก็ยังมีข้อจำกัด ไม่สามารถมองทะลุพวกประตูดวงดาวได้
ทว่าเหมียวอี้ก็เริ่มขมวดคิ้วแล้วเช่นกัน เขามองเห็นสถานการณ์ข้างกายอิ๋งหยางอย่างชัดเจน มีแค่หนึ่งพันคนเท่านั้น ส่วนใหญ่เป็นนักพรตบงกชรุ้งด้วย มีเพียงนักพรตบงกชกลายไม่กี่คน ถ้าเทียบกระบวนทัพนี้กับตอนที่ลงมือกับเขาที่แดนสุขาวดี ก็เรียกได้ว่าต่างกันไม่ใช่น้อย แต่สำหรับเขาแล้ว อีกฝ่ายก็ไม่แกร่งพอให้ชายตามองเลย ทำให้เขาอยากจะเรียกคนไม่กี่คนข้างหลังให้ลงมือเสียเลย
แต่คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าไม่ชอบมาพากล สิ่งที่เห็นชัดเจนแบบนี้จะเรียกว่ากับดักได้หรือเปล่า? เขาถึงได้อดทนไว้
ข้างหลังเขามีคนยืนอยู่หกคน ขุนพลใหญ่ลัทธิผีเหลิ่งจัวฉุน ขุนพลใหญ่ลัทธิพุทธกุยอู๋ ขุนพลใหญ่ลัทธิมารตานฉิง ขุนพลใหญ่ลัทธิปีศาจจ่างหง ขุนพลใหญ่ลัทธิเซียนเมิ่งหรู ขุนพลใหญ่ลัทธิอู๋เลี่ยงอ๋าวเถี่ย หลังจากทั้งหกได้รับแจ้ง ก็รีบมาเจอกับเหมียวอี้ทางนี้ทันที ในตอนนี้ปลอมตัวปกปิดใบหน้า
หลังจากมองเหมียวอี้เก็บตาทิพย์อย่างช้าๆ ทั้งหกก็มองหน้ากันเลิกลั่ก แววตานั้นบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร
ขุนพลใหญ่ลัทธิปีศาจจ่างหงแอบถ่ายทอดเสียงพึมพำกับคนที่เหลือ “ทำไมมันคล้ายกลับตาทิพย์เสิ้นหมี ขุนพลใหญ่ของประมุขปีศาจล่ะ?”
“ค่อนข้างคล้าย…” บางคนก็พึมพำอย่างนี้ น้ำเสียงฟังดูประหลาดใจสงสัย
เหมียวอี้ที่สัมผัสได้ถึงคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์หันกลับมามองแวบหนึ่ง พวกเขาที่กำลังแอบคุยกันจึงหยุดทันที ส่วนเหมียวอี้ก็เขย่าระฆังดาราในมือไม่หยุด
หลังจากรอได้พักใหญ่ รอจนกระทั่งระฆังดาราฝั่งนั้นตอบกลับมาแล้ว เหมียวอี้ก็เก็บระฆังดารา แล้วพูดทิ้งท้ายว่า “เป้าหมายมาถึงแล้ว ไปกันเถอะ”
เขานำเหาะขึ้นฟ้าไปก่อน แล้วอีกหกคนก็ตามหลังไปทันที
คนกลุ่มนี้ไม่ได้เข้าไปในตาน้ำพุเดียวกับพวกอิ๋งหยาง แต่ไปเข้าตาน้ำพุอีกแห่งหนึ่ง
พอทะลุผ่านตาน้ำพุมาแล้ว ชั่วพริบตาเดียวก็ล่วงล้ำมาอยู่ในโลกที่มีแสงสลัว เป็นโลกที่มีฟ้าสลัวราวกับตอนเช้ามืด ตามองด้วยตาเปล่าก็มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด ภาพที่ตาเห็นเหมือนเข้าไปอยู่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์
เมื่อพวกเขาเหยียบลงพื้นแล้ว ก็รีบหันมองไปรอบๆ สุดท้ายก็มองไปบนท้องฟ้า บนท้องฟ้าที่มีแสงสลัวมีตาน้ำพุกำลังหมุนวนนับไม่ถ้วน บ้างก็หมุนตามเข็มนาฬิกา บ้างก็หมุนทวนเข็มนาฬิกา ราวกับมีดอกไม้นับไม่ถ้วนกำลังเบ่งบานอยู่บนฟ้าไม่หยุดนิ่ง เป็นภาพที่แปลกพิลึก
ถึงแม้เหมียวอี้จะมาเป็นครั้งแรก แต่ก็รู้เช่นกัน ว่าตาน้ำพุที่หมุนตามเข็มนาฬิกาก็คือทางเข้าน้ำพุวังเวงชั้นที่หนึ่ง ส่วนตาน้ำพุที่หมุนทวนเข็มนาฬิกาก็คือทางออก
“จี๊ดๆ…” จู่ๆ ก็มีเสียงประหลาดดังมาจากด้านข้างที่อยู่ไม่ไกล
พวกเขาหันกลับไปมอง เห็นเพียงหมอกสีเขียวสายหนึ่งเจาะออกมากลางอากาศ ทะลวงออกมาไม่หยุด แล้วสุดท้ายก็ออกมาจนหมด กลายเป็นมังกรยาวตัวหนึ่ง บินคดเคี้ยวยาวเหยียดอยู่กลางท้องฟ้า เปลี่ยนแปลงเป็นภาพต่างๆ
พอใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มอง ถึงได้พบว่าไอหมอกสีเขียวนั่นเกิดจากการรวมตัวของค้างคาวสีเขียว แต่ละตัวมีหมอกสีเทาวนเวียนรอบกายจางๆ
ค้างคาวสีเขียวกลุ่มนั้นเหมือนจะสังเกตเห็นพวกเขาแล้ว พวกมันกำลังรีบบินมาทางนี้
ไม่มีใครหวาดกลัว ถึงขั้นไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยด้วยซ้ำ อาศัยพลังของพวกเขา ถ้าแม้แต่สัตว์ประหลาดต่ำต้อยพวกนี้ยังรับมือไม่ไหว เช่นนั้นก็น่าหัวเราะเยาะเกินไปแล้ว
แต่เหมียวอี้ก็ยังถามว่า “นี่มันตัวอะไร?”
ขุนพลใหญ่ลัทธิผีเหลิ่งจัวฉุนตอบว่า “ค้างคาวกลืนวิญญาณ พวกมันดูดกินจิตวิญญาณสิ่งมีชีวิตเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตอยู่ ถึงแม้พลังโจมตีจะไม่รุนแรงมาก แต่ก็อย่าดูถูกเชียว ถ้าถูกมันกัดขึ้นมา จิตวิญญาณก็จะได้รับความเสียหาย แถมพวกมันยังฆ่าไม่ตายด้วย ชอบรวมกลุ่มรุกโจมตี บินเร็วสุดๆ นักพรตที่ระดับต่ำกว่าบงกชรุ้งยากจะต้านทานยามพวกมันโจมตีต่อเนื่องไม่หยุด ถ้าถูกมันพัวพันแล้วสลัดไม่พ้นก็จะยุ่งยากมาก พวกมันน่าจะออกมาจากน้ำพุวังเวงชั้นที่สอง”
“ยังมีสิ่งที่ฆ่าไม่ตายด้วยเหรอ?” เหมียวอี้แปลกใจ
“มีเพียงไฟหยางเท่านั้นที่ฆ่าพวกมันได้ ไม่อย่างนั้นถ้าอยู่ที่น้ำพุวังเวงก็ไม่มีทางฆ่าพวกมันได้เลย” เหลิ่งจัวฉุนตอบ
เหมียวอี้ตาลุกวาวทันที “ถ้าเป็นแบบนี้ จับกลับไปใช้ประโยชน์สักหน่อยไม่ได้เหรอ”
เหลิ่งจัวฉุนส่ายหน้า “จับออกไปก็ไม่มีประโยชน์ พวกมันมีชีวิตอยู่ได้แค่ในนี้ จุดที่มีพลังหยางรุนแรงพวกมันอาศัยอยู่ไม่ได้เลย แถมพอเจอแสงอาทิตย์ก็จะสลายกลายเป็นเถ้าถ่านทันที แล้วก็ไม่มีวิธีควบคุมได้ด้วย”
ในขณะที่พูด ค้างคาวสีเขียวกลุ่มนี้ก็โผบินเข้ามาด้วยความเร็วแล้ว เกราะลมบนตัวพวกเขาพรั่งพรูออกมา ตุ้บๆๆๆ…รู้สึกได้ว่ามีการชนปะทะอันถี่กระชั้นไม่ขาดสาย
ไม่เขาไม่แยแสค้างคาวพวกนี้ ตานฉิงหันกลับมาถามว่า “ราชาปราชญ์ ต่อไปจะทำยังไงขอรับ?”
ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะหยิบกระจกโบราณบานหนึ่งออกมา ร่ายอิทธิฤทธิ์ขยายบานกระจกให้ใหญ่ขึ้น แล้วยกมันขึ้นมาแล้ว
บทที่ 1670 น้ำพุวังเวงชั้นห้า
เจ้าหมอนี่คิดจะทำอะไร? หกขุนพลใหญ่พึมพำในใจขณะชำเลืองมองการกระทำของเขา
ปั้ง! ทันใดนั้นก็เรียกใช้งานกระจกทองแดงราวกับเป็นค้อน ทุบค้างคาวสีเขียวกระเด็นออกไปนับไม่ถ้วน
เหมียวอี้เรียกได้ว่าใช้แรงทั้งหมดที่มี ทุบจนค้างคาวกลืนวิญญาณตกลงพื้นร้อง “จี๊ดๆ” และไม่นานก็แผ่แขนขาทั้งสี่รวมทั้งปีกราวกับตายไปแล้ว แต่บนตัวกลับมีหมอกควันลอยขึ้นมา ศพที่อยู่บนพื้นกลายเป็นควัน แล้วควันที่ลอยขึ้นมาก็ก่อตัวกลายเป็นค้างคาวสีเขียวตัวแล้วตัวเล่าอีกครั้ง บินมาเข้าร่วมพุ่งปะทะกับทัพใหญ่ค้างคาวอีก
ฉากนี้ทำให้เหมียวอี้เห็นแล้วเดาะลิ้นอย่างอัศจรรย์ใจ เป็นของเล่นที่ฆ่าไม่ตายจริงๆ นึกไม่ถึงว่าใช้วิธีการแบบนี้เพื่อฟื้นชีพ เขาจึงไม่พูดพร่ำทำเพลง แผ่นกระจกที่อยู่ในมือเปล่งแสงออกมาแล้ว
หกขุนพลใหญ่ไม่เข้าใจว่าเจ้าหมอนี่กำลังเล่นอะไร แต่ละคนหันกลับมามองเงียบๆ และไม่นานก็พบต้นสายไปเหตุแล้ว
แต่เห็นค้างคาวที่พุ่งใส่ผิวกระจกโบราณไม่ได้มีทีท่าว่าจะหยุดชน กางปีกบินเข้ามาตัวแล้วตัวเล่า บินพุ่งเข้ามาในกระจกฝูงแล้วฝูงเล่า ตอนที่ผิวกระจกกระเพื่อมเหมือนคลื่นน้ำไม่หยุด พวกเขาถึงได้เข้าใจ ว่าสงสัยเจ้าหมอนี่จะเก็บรวบรวมค้างคาวกลืนวิญญาณเอาไว้
“ราชาปราชญ์ สัตว์ประเภทนี้ต่อให้นำออกไปก็ไม่มีวิธีควบคุมอยู่ดี มันจึงไม่มีราคา” เหลิ่งจัวฉุนกล่าวเตือน
“ถือโอกาสเอากลับไปสักหน่อย เอาไว้ในนี้ก็เสียของเปล่า” เหมียวอี้ตอบประโยคเดียว ให้ความรู้สึกเหมือนโจรที่ไม่ชอบกลับบ้านมือเปล่า
คนที่เหลือพูดไม่ออก คิดในใจว่า เจ้าบอกว่าจะมาทำงานหลักไม่ใช่เหรอ ช่างทำตัวว่างเหมือนเบื่อหน่ายไร้งานทำจริงๆ
ถึงแม้อานุภาพการโจมตีของฝูงค้างคาวจะไม่นับว่ารุนแรงมาก แต่ก็ไม่ได้ไร้สติปัญญาเช่นกัน พบความไม่ชอบมาพากลแล้ว เหตุใดเพื่อนค้างค้าวหลายล้านจึงน้อยลงเรื่อยๆ ล่ะ?
“จี๊ดๆ…” เสียงแหลมเล็กเริ่มดังวุ่นวาย ภาพตรงหน้าทุกคนว่างเปล่าทันที เห็นเพียงฝูงค้างคาวพลันหยุดโจมตีพวกเขา พวกมันรวมกลุ่มกันบินจากไปไกลแล้ว
เมื่อเห็นเหมียวอี้แบกกระจกพลางจ้องฝูงค้างคาวที่บินหนีไปด้วยท่าทางยังไม่หนำใจ จ่างหงขุนพลใหญ่ลัทธิปีศาจก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “จับได้เท่าไรแล้ว?”
เหมียวอี้ตรวจดูสภาพในกระจกครู่หนึ่ง เห็นฝูงค้างคาวดำเป็นพืดบินวุ่นวายอยู่ข้างในไม่หยุด พบว่าพวกมันยังไม่ตาย จึงตอบคร่าวๆ ว่า “น่าจะไม่ถึงสองล้านตัวมั้ง”
หมายความกว่าล้านกว่าตัวเหรอ? พวกเขามองหน้ากันไปมองหน้ากันมา แล้วก็ไม่มีใครพูดอะไรอีก
สรุปก็คือทุกคนต้องรออยู่ที่นี่ต่อไป พวกเขาไม่รู้ว่าเหมียวอี้กำลังรออะไรกันแน่ เอาเป็นว่าเห็นเหมียวอี้หยิบระฆังดาราออกมาเป็นระยะ ไม่รู้ว่ากำลังติดต่อไปที่ไหน
ถ้ายืนอยู่ตรงนี้ตลอดจะดูสะดุดตาเกินไป พวกเขาจึงหาที่พรางตัวตรงตีนเขา
หลังจากรอได้สักพัก ก็มีเงาคนคนหนึ่งเหาะแฉลบเข้ามา แล้วเหยียบลงพื้นด้านนอก
ผู้ที่มาคือผู้อาวุโสเชียนหลัวแห่งปราสาทดำเนินนภาที่ปลอมตัวแล้ว หลังจากได้เจอเหมียวอี้อีกครั้งและเห็นเหมียวอี้แบบต่อหน้า สายตาเขาก็สื่ออารมณ์สับสนซับซ้อนเล็กน้อย
สาเหตุที่เขามาอยู่ตรงนี้ได้ ก็ย่อมเป็นเพราะเหมียวอี้แจ้งไปทางปราสาทดำเนินนภา ทว่าการกระทำในครั้งนี้ของเหมียวอี้ค่อนข้างแตกต่างจากครั้งก่อน รอบนี้เหมียวอี้ไม่ได้เสนอเงื่อนไขแลกเปลี่ยนอะไร แทบจะออกคำสั่งโดยตรงเลย ทำให้ฝั่งปราสาทดำเนินนภาค่อนข้างงุนงง แต่ก็ยังมาตามคำพูดของเหมียวอี้เหมือนกัน
สำหรับเหมียวอี้แล้ว เมื่อได้เจอคนของปราสาทดำเนินนภาอีกครั้ง ในใจกลับแอบยิ้มเบาๆ เขาแอบมีความมั่นใจต่อเรื่องบางเรื่องแล้ว
เชียนหลัวมองหกคนข้างหลังเหมียวอี้ ดูจากแววตาหกคนข้างหลังแล้ว ก็สังเกตได้ว่าหกคนนี้คงจะไม่ธรรมดา
หกขุนพลใหญ่ก็กำลังมองประเมินเชียนหลัวเช่นกัน กำลังเดาว่าเขาเป็นใคร
“สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?” เหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงถาม
“คนของตระกูลอิ๋งหยุดอยู่ที่น้ำพุวังเวงชั้นห้า ส่วนตระกูลอื่นเข้าไปลึกกว่านั้น” เชียนหลัวตอบ
สาเหตุที่คนของปราสาทดำเนินนภามาในครั้งนี้ ก็เพื่อเป็นสายลับให้เหมียวอี้ เป็นเพราะในมือเหมียวอี้ไม่ค่อยมีคนของตำหนักสวรรค์ให้ใช้งานมากนัก อาศัยแค่ไป๋เฟิ่งหวงกับเยี่ยนเป่ยหงก็ไม่มีทางจับตาดูสถานที่ใหญ่โตอย่างน้ำพุวังเวงไหวเลย
“เห็นพวกเขาแอบจัดหากำลังพลคนอื่นๆ มาด้วยหรือเปล่า?” เหมียวอี้ถาม
“เรื่องนี้ตัดสินลำบาก น้ำพุวังเวงยังมีสมาชิกออกล่าคนอื่นอีก ไม่ง่ายที่จะแยกแยะว่าเป็นกำลังพลลับที่พวกเขาเตรียมไว้หรือเป็นนักพรตอิสระกับคนจากสำนักต่างๆ จะจับมาสอบสวนทีละคนก็ไม่ได้” เชียนหลัวตอบ
เหมียวอี้ลังเล เขาค่อนข้างมั่นใจกับกำลังที่ตัวเองเตรียมไว้ในครั้งนี้ แต่รู้อย่างแจ่มแจ้งว่าตระกูลอิ๋งอาจจะวางกับดักเอาไว้ ตระกูลอิ๋งมีกำลังพลเท่าที่เห็นภายนอกเองเหรอ? แต่ก็ทำให้เขาไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามง่ายๆ คิดไปคิดมาก็ยังตัดสินใจทำตามแผนของหยางชิ่ง ให้คนของสำนักหลัวช่าบุกนำไปก่อน ดูว่าจะสามารถล่อคนที่ตระกูลอิ๋งเตรียมสำรองไว้ออกมาได้หรือเปล่า
“ไป! ไปดูกันสักหน่อย” เหมียวอี้เรียก แล้วนำคนที่เหลือเหาะพุ่งขึ้นฟ้าไปด้วยกัน ทะลุเข้าไปยังตาน้ำพุที่กำลังหมุนวนแห่งหนึ่ง
ชั่วพริบตาเดียวภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนไป พวกเขาที่ถูกพ่นออกมากลางอากาศแทบจะปรากฏตัวอยู่กลางหินหนืดที่ไหลกลิ้งร้อนระอุ พวกเขาราวกับโผล่มาอยู่ในโลกภูเขาไฟที่กำลังปะทุ เห็นบนยอดเขาสีดำมืดโดยรอบมีหินหนืดพุ่งออกมาไม่หยุด เป็นโลกที่ผสมระหว่างความร้อนระอุแล้วความมืดเย็น เป็นน้ำพุวังเวงชั้นที่สอง
ถึงแม้พวกเขาจะรีบหยุดอยู่กลางอากาศ แต่ในหินหนืดด้านล่างกลับมีวานรเพลิงที่สูงหลายจั้งพุ่งขี้นมา เพลิงเดือดที่ถูกปกคลุมด้วยควันดำร้อนแผดเผาแยกเขี้ยวโบกกรงเล็บพุ่งขึ้นฟ้า พยายามจะเข้ามากัดขยุ้มพวกเขาอย่างดุร้าย ตรงจุดไกลๆ ก็ยิ่งมีวานรเพลิงทั้งตัวเล็กตัวใหญ่ปีนขึ้นมาจากหินหนืด บางตัวก็นั่งมองเฉยๆ บางตัวก็ไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นฝั่งนี้
พวกเขาไม่สนใจวานรเพลิงที่พุ่งเข้ามา ร่างกายทะยานขึ้นฟ้าอีกครั้ง ทะลุเข้าไปยังตาน้ำพุที่หมุนวนอีกแห่งหนึ่ง
น้ำพุวังเวงชั้นสาม สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาก็คือดินแดนหิมะ หนาวเหน็บเยือกเย็น หิมะโปรยปรายอยู่ท่ามกลางฟ้าครึ้ม
พวกเขายังไม่ทันได้ชื่นชมทัศนียภาพตรงหน้า จู่ๆ ด้านหลังก็มีแสงไฟวับวาบ พอหันกลับไปมอง ก็เห็นวานรเพลิงที่เพิ่งลอบโจมตีพวกเขาพุ่งตามเข้ามาในน้ำพุวังเวงชั้นสามด้วย กรงเล็บแหลมฟันคมพุ่งเข้ามากัดขยุ้มพวกเขาอย่างไม่ลังเล
“ฮึ!” ตานฉิงแสยะยิ้ม พอถลันตัวก็กลายเป็นเงามาฉายแฉลบหายไปทันที ทะลวงเข้าไปในปากใหญ่ของวานรเพลิงเสียเลย
วานรเพลิงที่พุ่งเข้ามาหยุดค้างอยู่กลางอากาศ ฉึก! จู่ๆ ท้องก็ขยายออก ประกายไฟเบ่งบาน ร่างกายขนาดใหญ่ระเบิดกระจายกลางอากาศแล้วตกลงพื้น ตอนนี้ร่างกายของตานฉิงปรากฎอยู่ท่ามกลางแสงไฟ
เห็นได้ชัดว่าตานฉิงจงใจจะควบคุมการระเบิด จึงทำให้เสียงไม่ดังเกินไป
เชียนหลัวหรี่ตาเล็กน้อย เหลือบมองตานฉิงด้วยแววตาล้ำลึก
“วานรเพลิงตัวนี้น่าจะเป็นเพลิงภูตสินะ?” เหมียวอี้เอ่ยถามขณะจ้องแสงไฟเล็กๆ ที่กระเพื่อมวูบไหวท่ามกลางลมหิมะด้านล่าง
“ใช่แล้ว!” เหลิ่งจัวฉุนพยักหน้า
สิ่งที่เรียกว่าเพลิงภูตที่จริงก็เป็นวิญญาณอัคคีชนิดหนึ่ง แต่วิญญาณอัคคีชนิดนี้อยู่ระหว่างหยินหยาง ไม่ใช่ทั้งไฟหยินและไม่ใช่ทั้งไฟหยาง แต่ก็ไม่กลัวไฟหยินกับไฟหยางเช่นกัน ถ้าถูกมันโจมตีให้บาดเจ็บ เวลาจะเยียวยารักษาก็ยุ่งยากมาก เทียบเท่ากับโดนพิษร้าย แทบจะรักษาได้ยาก แต่ที่โชคดีก็คือ เพลิงภูตที่น่ากลัวจริงๆ ถูกทัพใหญ่ของตำหนักสวรรค์กำจัดไปหมดแล้ว กอปรกับตำหนักสวรรค์ตั้งใจส่งเสริมให้นักพรตมาออกล่าที่นี่ ถ้าอยากจะหลายเป็นเพลิงภูตที่ร้ายอาจอีกก็ไม่น่าจะเป็นไปได้แล้ว
ไม่รู้ว่าความเคลื่อนไหวทางนี้ส่งผลกระทบอะไรหรือเปล่า ตรงที่ไกลๆ มีเสียงสะเทือน ‘บึ้ม’ ดังมา พวกเขาใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองดู เห็นเพียงสัตว์ประหลาดเกราะน้ำแข็งตัวหนึ่งกำลังเจาะหิมะพุ่งขึ้นไปบนฟ้า แล้วเงยหน้าส่งเสียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราด
เหมียวอี้เลิกคิ้ว เพราะเขาเคยเห็นเจ้าตัวนี้มาก่อน เดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็น!
ตรงด้านล่าง นักพรตหลายคนกระโดขึ้นมาจากหิมะ ไม่รู้ว่าใช่คนที่มาล่าเดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นหรือเปล่า พวกเขาตระหนักได้ถึงอันตรายแล้ว กำลังลนลานหลบหนี
ปั้งๆๆ ในน้ำแข็งมีเงาสีขาวระเบิดออกมาไม่หยุด ทั้งตัวขาวซีดราวกับศพที่ปีนออกมาจากโลง ปล่อยผมยาวสยายจนแยกชายหญิงไม่ออก แบบนั้นดูน่าสะพรึงมาก ดูน่ากลัวกว่าเหยียนซิว ราวกับภูตผีลอยละล่องอยู่ท่ามกลางลมหิมะ ขวางทางพวกนักพรตที่กำลังหลบหนี
ตัวประหลาดยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ใช้เวลาไม่นานก็ล้อมนักพรตพวกนั้นไว้หมดแล้ว
“ปีศาจหิมะหยินจีเหรอ?” เหมียวอี้ถามอีก
เหลิ่งจัวฉุนพยักหน้าอีกครั้ง พร้อมถามว่า “ท่านอยากจะยื่นมือช่วยเหรอ?”
เหมียวอี้จะมีกะจิตกะใจสอดมือไปยุ่งได้อย่างไร คนที่มาแสวงหาความร่ำรวยที่นี่ ถ้าไม่กลับไปมือเปล่าก็รวยเละ หรือไม่ก็สิ้นชีพอยู่ที่น้ำพุวังเวง ก่อนมาได้เตรียมตัวจะสู้ตายไว้แล้ว กอปรกับมีตำหนักสวรรค์คอยส่งเสริม คนที่เพ้อฝันว่าจะมาร่ำรวยอยู่ที่นี่มีไม่รู้ตั้งเท่าไร เขาจะช่วยให้หมดไหวเหรอ?
แต่จะว่าไปแล้ว เขาก็ยังนับถือเจ้าพวกนี้จริงๆ ขนาดเดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นยังกล้าล่า ถึงแม้เดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นจะมีราคาสูง แต่การใช้เสียงโจมตีก็ร้ายกาจเกินไป ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะต้านทานไหวเลย ในเมื่อเจ้าพวกนี้กล้ามา ก็คงจะมีที่พึ่งแล้วแน่นอน
ส่วนเหมียวอี้ก็ไม่ใช่เด็กหนุ่มเลือดร้อนเหมือนในปีนั้นแล้ว ถ้าเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อนเขาอาจจะมีน้ำใจไปช่วยคนให้พ้นความลำบาก แต่สำหรับตัวเขาในตอนนี้เป็นไปไม่ได้แล้ว เกี่ยวอะไรกับเขาล่ะ? เขาพุ่งขึ้นฟ้านำไปก่อน พร้อมพูดทิ้งท้ายว่า “ไปกันเถอะ!”
พวกเขาพุ่งขึ้นท้องฟ้าอีกครั้ง แล้วทะลุไปในตาน้ำพุที่หมุนวนอีกแห่ง
พอเข้ามาในน้ำพุวังเวงชั้นสี่ วินาทีที่ภาพตรงหน้าสว่างวาบ ทุกคนรวมทั้งเหมียวอี้ก็รีบหยุดอย่างกะทันหัน
ภูเขาไฟ ทะเลสาบ ทะเลสาบสีทอง ดินแดนที่มีระลอกน้ำสีทอง บางครั้งภูเขาไฟก็ปะทุ แต่สิ่งที่พ่นออกมาล้วนเป็นน้ำแกงสีทอง ทั่วทั้งดินแดนนี้ราวกับหม้อที่ต้มน้ำมันเดือดปุดๆ มีฟองเดือดไม่หยุด บนน้ำแกงสีทองมีกระดูกลอยผลุบๆ โผล่ๆ
ถึงแม้เหมียวอี้จะมาเป็นครั้งแรก แต่กลับรู้ว่าไม่ควรไปแตะต้องน้ำแกงสีทองด้านล่างพวกนี้ น้ำแกงสีทองมีชื่อว่าน้ำพุเหลือง ถ้าถูกลวกขึ้นมาก็ไม่มียาตัวใดรักษาได้ ต่อให้ถูกลวกนิดเดียว แต่ก็จะลุกลามจนเลือดเนื้อของเจ้าหลุดร่วงทั้งร่างกายได้อยู่ดี จะต้องเฉือนทิ้งให้ทันเวลา ถึงจะรักษาชีวิตไว้ได้ ไม่อย่างนั้นต่อให้เจ้าจะวรยุทธ์สูงกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์ กระดูกที่ลอยอยู่ด้านล่างก็คือจุดจบของเหยื่อ กระดูกถูกเคี่ยวจนกลายเป็นสีทองแล้ว
ที่แปลกกว่านั้นก็คือ คนที่ถูกหลอมอยู่ในน้ำพุเหลืองนี่ ไม่น่าเชื่อว่าจะรักษาพลังและวรยุทธ์ก่อนตายเอาไว้ในกระดูกขาวได้ จากนั้นก็นิทราอยู่ที่นี่ตลอดกล วิญญาณถูกกักขังอยู่ในกระดูก อยู่ในน้ำพุเหลืองตลอดกาล มีคนไม่น้อยบอกว่าน้ำพุวังเวงชั้นสี่น่ากลัวที่สุด มีคนอยากจะนำ ‘น้ำพุเหลือง’ นี่ออกไปใช้ประโยชน์เช่นกัน แต่ที่แปลกก็คือ สิ่งที่ร้ายกาจน่ากลัวในน้ำพุวังเวงไม่สามารถออกจากน้ำพุวังเวงได้เลย พอออกจากที่นี่ไป ถ้าไม่ตายก็กลายเป็นหมดฤทธิ์ บอกได้เพียงว่าในจักรวาลอันกว้างใหญ่มีสิ่งแปลกประหลาดมากมาย
ในขณะนี้เอง จู่ๆ กระดูกในน้ำพุเหลืองก็เปลี่ยนจังหวะกระเพื่อมตามธรรมชาติ เริ่มพยายามก่อตัวอยู่บนผิวทะเลสาบด้วยความเร็ว กระดูกหลายร่างเริ่มก่อตัว ตรงจุดที่ไม่ไกลถึงขั้นมีโครงกระดูกประหลาดขนาดใหญ่ตัวหนึ่งพยายามก่อตัวขึ้นมา กำลังลุกขึ้นยืนช้าๆ อยู่ในน้ำพุเหลือง
“รีบหนี!” ครั้งนี้อ๋าวเถี่ยขุนพลใหญ่ลัทธิอู๋เลี่ยงรีบตะโกนบอก น้ำเสียงฟังดูคร่ำเครียดผิดปกติ
ต่อให้หลายคนตรงนี้จะมีวรยุทธ์สูง แต่ก็ไม่กล้าอวดเก่งที่นี่ ไม่มีใครกล้าชักช้า ทุกคนพุ่งขึ้นฟ้าทะลวงเข้าไปในตาน้ำพุที่หมุนวนอีกแห่งด้วยความเร็ว
ฉากตรงหน้าเปลี่ยนไปอีกครั้ง มาถึงชั้นที่ห้าของน้ำพุวังเวงแล้ว
พวกเขาทอดสายตามองไป พบดินแดนที่เป็นป่าที่มืดครึ้ม ทุกที่มียอดเขาสูงที่ตัดสลับกันเหมือนฟันสุนัข แท่งหนามทั้งเล็กทั้งใหญ่งอกเหมือนหน่อไม้คม หนามสูงเหมือนขุนเขา หนามเล็กเหมือนปลายของรวงข้าวสาลี โลหะกะพริบแสงสลัว เป็นดินแดนโลหะแห่งหนึ่ง
บทที่ 1671 ออกล่า
โลหะที่หนาลึกแบบนั้นทำให้คนรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก หมอกที่เย็นยะเยือกล่อลอยอยู่ระหว่างฟันสุนัขที่ไขว้สลับกัน รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามีแรงดึงแปลกๆ กลุ่มหนึ่งอยู่ในท้องฟ้า ไม่ใช่แรงลม มองไปรอบๆ แล้วแต่ยังสัมผัสไม่ได้ว่าพลังกลุ่มนั้นมาจาไหน ราวกับเป็นพลังลี้ลับ
ตรงจุดที่ไม่ไกลมีแสงสีแดงเลื้อยขยุกขยิก เมื่อเบิกดวงตาอิทธิฤทธิ์มองในขณะที่อยู่บนฟ้า ก็เห็นหินหนืดกำลังถูกพ่นออกมาอย่างเบาบาง ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ นั่นไม่ใช่หินหนืดจริงๆ แต่เป็นเหล็กหลอมเหลว ขณะหินหนืดที่ถูกพ่นออกมายังไหลอยู่ ก็เหมือนจะถูกพลังประหลาดกลุ่มหนึ่งดึงไว้ หลังจากหินหนืดไหลนองเหมือนฝน ก็เติบโตสูงขึ้นราวกับเป็นหน่อไม้ ตามอุณหภูมิที่ลดต่ำลง ‘หน่อไม้’ สีแดงฉานก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีดำมืด ทำแรงดังนั้นดึงอย่างไรก็ไม่ขยับแล้ว
ใต้หล้าเต็มไปด้วยสิ่งมหัศจรรย์ วันนี้เหมียวอี้นับว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว ได้เห็นกับตาว่าหนามแหลมทั้งเล็กทั้งใหญ๋ที่มีอยู่ทั่วทุกที่นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร ที่แท้ก็เป็นเพราะพลังลึกลับกลุ่มนั้นที่ตัวเองสัมผัสได้ ที่แปลกก็คือ สามารถสัมผัสพลังนั้นได้ แต่กลับเหมือนไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อคน
หลังจากพวกเขาเหยียบลงพื้น เหมียวอี้ก็ยื่นมือไปลูบหนามแหลมรูปหน่อไม้ต้นหนึ่งที่อยู่ข้างกาย “ได้ยินว่าสิ่งนี้ทนทานกว่าอาวุธผลึกแดง เป็นของที่ทนทานที่สุดในโลก และแหลมคมที่สุดในโลกด้วย”
เหลิ่งจัวฉุนที่อยู่ข้างกายเอ่ยตอบ “เป็นเช่นนี้จริงๆ ต่อให้เป็นเกราะรบผลึกแดงที่มีความบริสุทธิ์สูง แต่ยามเผชิญหน้ากับหนามแหลมนี้ ก็ต้านทานไม่ไหวแม้เพียงครั้งเดียว แต่ที่แปลกก็คือ ในโลหะนี้เหมือนจะแฝงพลังลึกลับทนทานไร้ที่เปรียบทั้งยังทำลายไม่พังเอาไว้ ทำให้คนได้แต่มอง ใฝ่ฝันได้แต่มิอาจไขว่คว้า ไม่มีใครเคยหักของสิ่งนี้ไปใช้งานได้เลย เคยมีคนเปลืองเวลาหลายหมื่นปีเพื่อค่อยๆ เลื่อยมันไปต้นหนึ่ง แต่พอนำออกจากน้ำพุวังเวงไปแล้ว ผลปรากฏว่ามันก็กลายเป็นไอสีดำแผ่ซ่านอย่างลึกลับทันที แล้วเหล็กทนทานก็กลายเป็นเหล็กธรรมดาเช่นกัน ใช้เวลาหลายหมื่นปีแต่กลายเป็นเหล็กไร้ประโยชน์ ได้ยินว่าคนคนนั้นอยากจะอาศัยสิ่งนี้ทำให้ตัวเองร่ำรวย แต่สุดท้ายก็โมโหจนกระอักเลือด”
“น่าเสียดายจัง” เหมียวอี้กล่าวด้วยความเสียดาย เขาเองก็เคยได้ยินเรื่องนี้มาเช่นกัน ได้แต่ลูบไล้มันอย่างโปรดปรานจนวางมือไม่ลง ของที่ทนทานแหลมคมขนาดนี้แต่กลับใช้ประโยชน์ไม่ได้ รู้สึกเสียดายจริงๆ
แต่ตอนนี้เขาไม่อาจเอาความรู้สึกนึกคิดมาจมกับด้านนี้ ดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว แล้วถามเชียนหลัว “สถานที่ตั้งค่ายของตระกูลอิ๋งอยู่ตรงไหน?”
เชียนหลัวมองไปรอบๆ แล้วกล่าวอย่างลำบากใจ “สภาพทางภูมิศาตร์ของสถานที่อัปมงคลนี้ ไม่ว่าที่ไหนก็มีความต่างในความเหมือน ตอนนี้ข้ายังตัดสินตำแหน่งไม่ได้จริงๆ เกรงว่าต้องใช้เวลาอีกนิดหน่อย”
“ทำให้คนที่จับตาดูฝั่งนั้นทำเครื่องหมายให้แยกแยะง่ายๆ…” หลังจากเหมียวอี้กำชับแล้ว ก็เอียงหน้าบอกใบ้อีกหกคนให้ระวังภัย
ทั้งหกคนถลันตัวไปอยู่ตรงหกทิศทางทันที ป้องกันไม่ให้มีคนเข้าใกล้ตรงนี้
เชียนหลัวไม่เข้าใจว่าเหมียวอี้กำลังจะทำอะไร แต่กลับอดตกตะลึงไม่ได้ ตอนนี้จ้องมองตรงหว่างคิ้วเหมียวอี้ไม่ละสายตาแล้ว
รอยนูนสีแดงตรงหว่างคิ้วเหมียวอี้แยกออก เผยดวงตางามคล้ายกระจกหลิวหลีสีทอง เสาแสงแวววาวสายหนึ่งพลันยิงออกมา ตาทิพย์เริ่มกวาดสายตากลับไปกลับมารอบด้าน
ตาทิพย์ที่ก่อนหน้านี้ค่อนข้างเป็นความลับสำหรับเขา ไม่น่าเชื่อว่าตอนนี้จะแสดงต่อหน้าเชียนหลัวอย่างไม่หวาดกลัวเลยสักนิด
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม เสาแสงแวววับของตาทิพย์ก็หยุดนิ่งอยู่ตรงจุดจุดหนึ่ง ท่ามกลางสายตาทิพย์ของเหมียวอี้ บนยอดเขาที่สูงสุดของบริเวณแห่งหนึ่ง มีคนคลุมผ้าขาวยืนอยู่บนยอดเขา เป็นคนของปราสาทดำเนินนภา อีกฝ่ายหายอดเขาสูงสุดแถวนี้ตามที่นัดกันไว้ ที่คลุมผ้าขาวก็เพื่อให้สะดุดตา ตาทิพย์ของเหมียวอี้จะได้จับจ้องเขาได้สะดวก และเขาก็ทำตามวิธีที่นัดกันไว้ในระฆังดาราเช่นกัน หันหน้าเข้าหาตำแหน่งเป้าหมาย
เหมียวอี้ตาทิพย์กลอกลูกตา มองสำรวจไปทางที่คนคนนั้นหันหน้าเข้าหา ทำให้พบค่ายที่สร้างขึ้นชั่วคราวตรงระหว่างหุบเขาตามที่เชียนหลัวบอก สายตาสำรวจลึกเข้าไป ค้นหาภายในค่าย ควานหาตามกลุ่มคน ทำให้พบอิ๋งหยางในค่ายหลัก ไม่รู้ว่าตอนนี้กำลังคุยอะไรกับคนอีกสองคน
เพื่อป้องกันความผิดพลาด ตาทิพย์จงใจสำรวจดูอิ๋งหยางอีกสักหน่อย หลังจากแน่ใจแล้วว่าปลอมแปลงตัวตนกันไม่ได้ง่ายๆ เขาก็สำรวจเจออีกว่าอีกสองคนกำลังปลอมตัว ตาทิพย์สามารถมองทะลุหน้ากากได้อย่างง่ายดาย มองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของผู้ที่อยู่ข้างหลังหน้ากากแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะเป็นชายชราสองคนที่หน้าตาเหมือนกันทุกอย่าง เหมือนเป็นฝาแฝดกัน
เสาแสงที่ใสเหมือนกระจกเก็บกลับมา ตาทิพย์ตรงหว่างคิ้วปิดลงอย่างช้าๆ เหมียวอี้หรี่ตาครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
เชียนหลัวจ้องเขาอย่างตะลึงงันครู่หนึ่ง อดไม่ได้ที่จะถามว่า “ดวงตาที่สามตรงหว่างคิ้วท่านคือ?”
“เป็นตาทิพย์ที่ข้าหลอมสร้างขึ้นมา” เหมียวอี้ยิ้มเรียบๆ
“…” เชียนหลัวอ้าปากค้าง ของสิ่งนี้หลอมสร้างได้ด้วยเหรอ?
หกขุนพลใหญ่เห็นเขาเก็บตาทิพย์อยู่ไกลๆ ก็ทยอยกันหันตัวกลับมา
พอพวกเขามารวมตัวกัน เหมียวอี้ก็ถามว่า “ข้าเห็นชายชราสองคนที่หน้าตาเหมือนกันทุกอย่าง เป็นคนของตระกูลอิ๋งเหรอ?”
หกขุนพลใหญ่สบตากัน แล้วพยักหน้าให้กันขณะครุ่นคิด เหมือนนึกอะไรบางอย่างได้
ยังเป็นเชียนหลัวที่กล่าวอย่างลังเลว่า “อิ๋งจิ่วกวงมีลูกน้องคู่หนึ่งที่เป็นฝาแฝดกัน ชื่อเยี่ยนสุยกับเยี่ยนฉง ติดตามอิ๋งจิ่วกวงออกรบไปทั่วทุกหนแห่งมานานมากแล้ว วรยุทธ์ถึงระดับสำแดงฤทธิ์แล้ว ถ้าเดาไม่ผิด น่าจะเป็นสองคนนี้”
เหมียวอี้ดูปฏิกิริยาของหกขุนพลใหญ่ ไม่ได้พูดอะไรก็แสดงว่าเห็นด้วยกับคำพูดเชียนหลัว ในใจรู้สึกตกใจอยู่บ้าง โชคดีที่ตาทิพย์ของตัวเองมองทะลุได้ ไม่อย่างนั้นก็คงยังไม่รู้ความจริง หากเดินผิดทางขึ้นมา เกรงว่าจะตายอย่างไรก็ยังไม่รู้เลย เขาพบว่าตระกูลอิ๋งยอมลงทุนมากเพื่อสู้กับเขา ครั้งก่อนมีนักพรตบงกชรุ้งไม่กี่คน แต่ครั้งนี้ไม่น่าเชื่อว่าจะใช้นักพรตสำแดงฤทธิ์สองคนเลย ถ้าทำให้เหมียวอี้ตายไม่ได้ก็จะไม่หยุดสินะ!
วางประเด็นนี้ไว้ก่อน เหมียวอี้แจกจ่ายกำไลเก็บสมบัติหกวงให้ทั้งหกคน แล้วเริ่มถ่ายทอดเสียงวางแผน
หลังจากวางแผนเสร็จแล้ว ก็โบกมือชี้ไปตรงตำแหน่งตั้งค่ายของตระกูลอิ๋ง หกขุนพลใหญ่สบตากันแล้วพยักหน้า จากนั้นก็ถลันตัวออกไปพร้อมกัน
เหมียวอี้หันกลับไปมองเชียนหลัวอีกครั้ง แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “รบกวนปราสาทดำเนินนภาแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหากับปราสาทดำเนินนภาในภายหลัง พวกท่านถอนกำลังไปก่อนได้”
“เท่านี้ก็เสร็จแล้วเหรอ? ท่านต้องการจะทำอะไรกันแน่? อยากจะลงมือกับคนของตระกูลอิ๋งเหรอ? ทางนั้นถึงขั้นให้สองพี่น้องแซ่เยี่ยนออกโรงแล้ว จะให้ทางพวกเราช่วยเหลือหรือเปล่า?” เชียนหลัวลังเล
เหมียวอี้ตอบพร้อมยิ้มเรียบๆ “ท่านวางใจเถอะ ข้าย่อมมีความมั่นใจ ไม่เป็นอะไรหรอก พวกท่านถอนกำลังกลับไปก่อนเถอะ ปราสาทดำเนินนภาจะได้ไม่ถูกเปิดโปง แบบนั้นกลับจะเสียแผนด้วยซ้ำ”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้…” เชียนหลัวถอนหายใจ พยักหน้าแล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อคนร่วมสำนักให้ถอนกำลัง สุดท้ายก็กุมหมัดคารวะบอกลา
“ออกไปด้วยกัน” เหมียวอี้กล่าว
“เอ…” เชียนหลัวงุนงงไปชั่วขณะ มองไปรอบๆ ก่อนจะถามอย่างฉงนใจ “ไม่ใช่ว่าท่านจะอยู่ที่นี่…” ขณะที่พูดไปรอบๆ จะสื่อว่า เจ้าจะก่อเรื่องที่นี่ไม่ใช่เหรอ?
“ไม่รีบ คาดว่าคงมีสหายเก่ามาเยี่ยมข้า คงจะใกล้มาถึงแล้ว ข้าจะออกไปต้อนรับสักหน่อย” เหมียวอี้ตอบกลั้วหัวเราะ
ในเมื่อเขาบอกอย่างนี้ เชียนหลัวจะพูดอะไรได้อีก ทำได้เพียงพุ่งขึ้นฟ้าไปพร้อมกับเขา ทะลวงเข้าไปในตาน้ำพุที่หมุนทวนเข็มนาฬิกา
ชั่วพริบตาเดียวก็เข้ามาในแดนน้ำพุเหลืองที่อยู่ชั้นสี่ของน้ำพุวังเวง จากนั้นไปยังตาน้ำพุที่หมุนทวนเข็มนาฬิกาต่อโดยไม่หยุดพัก เข้ามาในดินแดนหนาวมืดครึ้มชั้นที่สาม แล้วบุกเข้าในตาน้ำพุทวนเข็มนาฬิกาอีก จนเข้าไปถึงแดนปรภพชั้นหนึ่งของน้ำพุวังเวง
หลังจากมาถึงที่นี่ เหมียวอี้กับเชียนหลัวก็แยกกันไปคนละทาง เชียนหลัวต้องรอคนร่วมสำนักที่นี่
ส่วนเหมียวอี้เข้าไปในตาน้ำพุที่หมุนทวนเข็มนาฬิกาต่อ ออกจากน้ำพุวังเวงไป เจอกับทะเลดาวอันกว้างใหญ่ไพศาลอีกครั้ง แล้วรีบเหาะไปตรงจุดที่นัดเจอกับหกขุนพลใหญ่ก่อนหน้านี้
ดินแดนอันเงียบสงัดดุร้าย ชั้นห้าของน้ำพุวังเวง บริเวณรอบค่ายตระกูลอิ๋งถูกกำลังพลของตระกูลอิ๋งกวาดล้างสร้างอาณาเขตปลอดภัยเป็นวงกว้างแล้ว ไม่ให้ผู้ไม่เกี่ยวข้องเข้าใกล้
ในค่ายหลัก อิ๋งหยางกำลังปรึกษากับสองพี่น้องแซ่เยี่ยน
หลังจากได้ฟังสถานการณ์ที่กำลังพลเตรียมไว้ อิ๋งหยางก็ถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจ “ไม่รู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อจะมารึเปล่า ถ้าตระกูลโค่วไม่สอดมือเข้ามายุ่ง เขาจะหาพวกเราเจอเหรอ?”
“จะมาหรือไม่นั้นไม่รู้ แต่ก่อนหน้านี้สายลับที่อยู่รอบๆ สังเกตเห็นว่ามีคนมาทำลับๆ ล่อๆ” เยี่ยนสุยตอบ
“ยืนยันได้มั้ยว่าเป็นคนของหนิวโหย่วเต๋อ?” อิ๋งหยางถาม
“ยืนยันไม่ได้ขอรับ เพิ่งได้ข่าวมา คนที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ พวกนั้นหายไปแล้ว” เยี่ยนสุยตอบ
“ยืนยันไม่ได้เหรอ?” อิ๋งหยางถูไม้ถูกมือ “พวกเราต้องสร้างความเคลื่อนไหวอะไรสักหน่อยหรือเปล่า จะได้ทำให้หนิวโหย่วเต๋อรู้ว่าข้าอยู่ตรงนี้?”
เยี่ยนฉงโบกมือ “พวกเรามาอย่างสง่าผ่าเผย หากหนิวโหย่วเต๋อตั้งใจจะลงมือกับนายน้อยจริงๆ ก็จะต้องรู้ว่าพวกเรามาแล้วแน่นอน นายน้อยเองก็อย่าประเมินหนิวโหย่วเต๋อต่ำเกินไป เขาอยู่ที่ตลาดสวรรค์มาหลายปี ครองตำแหน่งที่ทรัพยกรอุดมสมบูรณ์ ไม่ถึงขั้นหาคนทำงานให้ไม่ได้เลย หากจะจับตาดูพวกเราก็คงจับตาดูไปแล้ว หากนายน้อยจงใจสร้างความเคลื่อนไหวอีก ก็อาจจะทำให้อีกฝ่ายสงสัยได้ เขากลับจะเคลือบแคลงด้วยซ้ำว่าพวกเราวางกับดัก แต่พวกลูกน้องสามารถแยกย้ายกันไปออกล่าได้แล้ว ตรงนี้เหลือคนไว้น้อยๆ ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่ามีโอกาสดี ถึงจะล่องูออกจากถ้ำได้ เพราะว่านี่คือการออกล่า ต้องทำตัวให้เหมือนออกล่า หากกำลังพลชักช้าอยู่ที่นี่จะน่าสงสัยขอรับ”
“เหลือไว้แค่ไม่กี่คนเหรอ?” อิ๋งหยางหัวใจกระตุกวูบทันที “ถ้าหนิวโหย่วเต๋อมีพวกเยอะกว่าล่ะ จะไม่ค่อยเหมาะสมหรือเปล่า?”
สองพี่น้องแซ่เยี่ยนสบตากันแวบหนึ่งแล้วแอบทอดถอนใจ ถึงแม้จะเป็นบุคคลที่มีฝีมือของตระกูลอิ๋ง แต่เมื่อเทียบลูกหลานพวกนี้กับคนที่เดินออกมาจาลมคาวฝนเลือดแล้ว ก็นับว่าแตกต่างกันไม่ใช่น้อยๆ ถ้าให้สู้กันจริงๆ ก็ไม่สามารถเทียบกันได้เลย ขี้ขลาดตาขาวอย่างนี้น่ะเหรอ?
“นายน้อยวางใจได้ ถ้าเกิดเรื่องขึ้น พวกเราสองพี่น้องจะปกป้องอยู่ข้างกายนายน้อยทันที” เยี่ยนฉงปลอบใจ
ถึงแม้อิ๋งหยางจะมีฐานะสูงส่ง แต่กับเรื่องบางเรื่องเขาก็ยังไม่มีอำนาจตัดสินใจ ทำได้เพียงปฏบัติตามแผน เชื่อฟังตามที่พวกเขาเตรียมการไว้
กำลังพลในค่ายได้รับคำสั่งแล้ว จึงรีบแยกย้ายกันไปออกล่า เป็นการออกล่าอย่างแท้จริง ไม่รู้เหมือนกันว่าอยากจะล่าอะไร…
ตอนเหมียวอี้มาถึงจุดนัดพบหกขุนพลใหญ่นอกน้ำพุวังเวงก่อนหน้านี้ ไป๋เฟิ่งหวงที่แต่งตัวเป็นเหยียนซิวก็มาถึงล่วงหน้าแล้ว บนใบหน้าสวมใสหนังปลอม
เมื่อเห็นเหมียวอี้ ไป๋เฟิ่งหวงก็ดึงหนังปลอมบนใบหน้าออก แล้วถามอย่างสงสัย “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าตอบข้ามาอย่างซื่อสัตย์นะ เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่? เจ้าคงไม่คิดจะลงมือกับตระกูลอิ๋งหรอกใช่มั้ย? ข้าจะบอกเจ้าให้นะ เจ้าไม่มีเรื่องกับตระกูลอิ๋งไม่ไหวหรอก ข้าก็ไม่ไหวเหมือนกัน ถ้าเจ้าอยากเล่นก็ไปเล่นเองเถอะ ข้าไม่อยากเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยง” นางเอามือกอดอกแล้วหันหลังให้ ทำเสียงฮึดฮัดก้าวร้าวมาก
“เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าไม่ให้เจ้าไปรบราฆ่าฟันกับตระกูลอิ๋งหรอก แค่จะให้เจ้าช่วยนิดหน่อยเอง” เหมียวอี้บอกนาง
ราวกับจับจุดอ่อนที่ใหญ่มากได้แล้ว ไป๋เฟิ่งหวงหันตัวมาทันที แล้วชี้หน้าเขาพร้อมบอกว่า “นี่ เจ้าพูดเองนะ ข้าเกลียดคนที่กลับคำพูดที่สุด ลูกผู้ชายพูดแล้วห้ามคืนคำ เจ้าบอกเองนะว่าข้าไม่ต้องไปรบราฆ่าฟันกับตระกูลอิ๋ง เดี๋ยวต่อไปถ้าเจ้ากลับคำ ก็อย่ามาโทษว่าหูข้าไม่ดีไม่ได้ยินคำสั่งเจ้าก็แล้วกัน”
บทที่ 1672 แปลงกายเป็นข้า
“พูดมากอะไรขนาดนั้น มีใครเขาปฏิบัติต่อเจ้านายแบบที่เจ้าทำบ้าง?” เหมียวอี้
“เชอะ!” ไป๋เฟิ่งหวงยิ้มเย้ย แล้วพูดเหน็บแนม “ไม่หัดประเมินตัวเองเสียบ้าง แค่ให้ท้ายเจ้านิดหน่อย เจ้าก็อวดดีซะแล้ว จะอวดดีให้ใครดูกัน? ถ้าเจ้าเก่งนักก็ประกาศบอกทั้งใต้หล้าเลยสิ บอกว่าข้าไป๋เฟิ่งหวงเป็นทาสเจ้า ขอเพียงเจ้ากล้าบอก ข้าก็จะยอมแพ้เหมือนกัน…มัวแต่แอบลักลอบไม่กล้าบอกใคร แล้วจะมาแสร้งทำตัวเป็นนายท่านอะไรกัน!” แววตานางเหยียดหยามไร้ที่เปรียบจริงๆ บวกกับสีหน้าท่าทางหยิ่งยโสของนาง เสียบขนนกไปก้านเดียวก็แต่งตัวเป็นหงส์ได้แล้ว
เหมียวอี้เริ่มจะชินกับลักษณะของนางแล้ว ปีศาจตนนี้เป็นประเภทใช้ไม้อ่อนไม่ได้ผล เขาขี้คร้านจะเถียงกันต่อไป จึงคุยธุระหลักเสียเลย “มองเห็นคนชัดเจนแล้วหรือยัง? เรื่องเล็กแค่นี้เจ้าคงไม่ถึงขั้นจัดการไม่ได้หรอกมั้ง?”
“เชอะ!” ทำเสียงเหยียดหยามอีกแล้ว ร่างของไป๋เฟิ่งหวงขยุกขยิก เกิดความเปลี่ยนแปลงทั้งร่างกาย รูปร่างใหญ่โตขึ้นนิดหน่อย หลังจากใบหน้าและร่างกายเปลี่ยนแปลงคงที่แล้ว ก็กลายเป็นอิ๋งหยาง นางกอดอกอีกครั้งด้วยวิธีการของชายชาตรี แล้วเชิดจมูกขึ้นฟ้า “เป็นยังไงบ้าง?”
เหมียวอี้เดินอ้อมนางรอบหนึ่ง แล้วมองประเมินศีรษะจดเท้า พบว่าแปลงกายได้เหมือนมากจริงๆ คาดว่าคนที่ไม่คุ้นเคยกับอิ๋งหยางคงมองไม่ออก
ไม่ได้วิจารณ์ว่าดีหรือแย่ เหมียวอี้โบกมืออีกครั้ง โยนสตรีที่งามหยดย้อยออกมาอีกคน ไม่ใช่ใครที่ไหน นางคือเฝิ่นเอ๋อร์ จิ้งจอกพันหน้านั่นเอง
“…” ไป๋เฟิ่งหวงมองต่ำด้วยสายตาหยิ่งยโส นางจ้องประเมินเฝิ่นเอ๋อร์ แล้วก็ชำเลืองเหมียวอี้อีก ไม่รู้ว่าเหมียวอี้กำลังเล่นลูกไม้อะไร
“เจ้าคิดจะทำอะไร?” จิ้งจอกพันหน้าที่ได้เห็นแสงตะวันอีกครั้ง พอเจอเหมียวอี้ก็เรียกได้ว่าระทมทุกข์ กระทืบเท้าอย่างกระฟัดกระเฟียด
ตอนนี้นางนับว่าเข้าใจแล้ว พอหลุดจากปี้เยว่ฮูหยินมาได้ ก็ไม่ได้ใช้ชีวิตสุขสบายอยู่ดี ตกอยู่ในมือเหมียวอี้ก็ซวยเหมือนเดิม นอกจากจะเสี่ยงอันตรายแล้ว ยังต้องมาเกลือกกลั้วกับพวกโจรกบฏอีก โถ่สวรรค์ ถ้าถูกตำหนักสวรรค์จับได้ขึ้นมา จะไม่ตายอนาถหรอกหรือ
แล้วที่นี่ที่ไหนอีก! นางกวาดมองไปทั่วทุกที่ นี่จะให้ข้าทำอะไรอีก? ‘เหยียนซิว’ ที่อยู่ข้างๆ กันนางรู้จัก แน่นอนว่านางรู้จักเหยียนซิวตัวจริง
นางมั่นใจว่าการที่เหมียวอี้พานางออกจากแดนอเวจีไม่ใช่เรื่องดีอะไรแน่นอน เรื่องดีๆ ไม่มาถึงนางหรอก คาดว่าถ้าไม่มีเรื่องอะไร อีกฝ่ายก็คงไม่คิดถึงนางเลย
เหมียวอี้หรี่ตามองนาง “มีเรื่องจะใช้งานเจ้านิดหน่อย หวังว่าเจ้าจะตั้งใจทำให้ดี ถ้าทำดีข้าไม่ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร้ความยุติธรรมแน่”
จิ้งจอกพันหน้าถูกการกระทำของเขาเล่นงานจนกลัวแล้ว นางส่ายหน้าซ้ำๆ “ไม่ทำ ความสามารถข้ามีจำกัด เจ้าไปหาคนอื่นเถอะ”
เหมียวอี้เก็บรอยยิ้มทันที “จะไม่ทำจริงเหรอ?”
“…” เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเขา จิ้งจอกพันหน้าก็รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล แต่ก็ยังออกแรงส่ายหน้า
ชวิ้ง! เหมียวอี้โบกกระบี่วิเศษมาไว้ในมือ ลงมือรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ
ตอนนี้วรยุทธ์ของเขาเหนือกว่าจิ้งจอกพันหน้าแล้ว บวกกับลงมือฉับไว ทำให้จิ้งจอกพันหน้าหลบไม่ทัน
คมกระบี่เพิ่งจะจ่อคอจิ้งจอกพันหน้า ก็ได้ยินเสียงจิ้งจอกพันหน้ากล่าวอย่างตกใจแล้วว่า “ทำ!”
คมกระบี่ที่คมจนสะท้อนแสงหยุดชะงักบนคอขาวเนียนของนาง ไม่ได้แทงต่อไปอีก แต่กลับทำให้นางตกใจจนเข่าอ่อน แล้วถามเสริมอย่างตะกุกตะกักอีกว่า “ข้าทำ…เจ้าจะให้ข้าทำอะไร?”
ไป๋เฟิ่งหวงที่อยู่ข้างทำสีหน้าเหยียดหยาม “รู้จักแต่รังแกคนที่อ่อนแอกว่า”
เสียงผู้หญิงเหรอ? จิ้งจอกพันหน้ามองนางอย่างประหลาดใจสงสัย
เหมียวอี้ปักกระบี่ลงพื้น แล้วเหล่ตามองไป๋เฟิ่งหวง “ถ้าเจ้ากล้าทำให้เรื่องในครั้งนี้พัง ข้าก็จะฆ่าเจ้าไปพร้อมกันเลย!”
“โถ่!” ไป๋เฟิ่งหวงมองเหยียดพร้อมถามหยอก “น้ำหน้าอย่างเจ้าน่ะเหรอ? เจ้าไหวรึเปล่าเถอะ?”
“เจ้าก็ลองดูได้เลย ดูว่าเจ้าจะรอดชีวิตออกไปจากที่นี่ได้หรือเปล่า!” เหมียวอี้กล่าวเสียงเย็น
ไป๋เฟิ่งหวงอ้าปากหวังจะพูดถากถาง ทว่าสัมผัสได้ถึงสายตาเย็นชาของอีกฝ่าย จึงขาดความมั่นใจไปบ้าง นางไม่ได้กลัวเหมียวอี้ แต่กลัวอำนาจที่อยู่เบื้องหลังเหมียวอี้ พอนึกถึงเหตุการณ์ที่ไม่ว่านางจะหนีไปที่ไหนอีกฝ่ายก็หานางพบ นางก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบแล้ว นางชำเลืองมองกระเป๋าสัตว์ตรงเอวเหมียวอี้เงียบๆ เห็นเขาพูดอย่างมั่นใจขนาดนี้ ก็ไม่รู้ว่าพกที่พึ่งอะไรติดตัวมาด้วย นางกลืนคำพูดตัวเองทันที ได้แต่สบถว่า “เชอะ!” แล้วหันมองไปรอบๆ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกินขึ้น
สาเหตุที่เหมียวอี้ใช้วิธีแข็งกร้าวขนาดนี้ ก็เพราะไม่มีเวลามาเถียงด้วยแล้ว จะต้องบีบบังคับให้เรื่องราวดำเนินไปตามแผนการของตัวเอง เขามองจิ้งจอกพันหน้าอีกครั้ง แล้วกล่าวเสียงต่ำ “ข้า! แปลงกายเป็นข้า คงไม่ยากสำหรับเจ้าหรอก!”
“…” ไป๋เฟิ่งหวงตกใจ ทว่าเรื่อจริงก็แสดงให้เห็นตรงหน้าแล้ว เห็นเพียงจิ้งจอกพันหน้าพยักหน้า หลังจากร่างกายเลื้อยขยุกขยิกจนคงที่ นางก็กลายเป็น ‘หนิวโหย่วเต๋อ’ คนที่สองยืนเผชิญหน้ากับหนิวโหย่วเต๋อตัวจริง เขาอดไม่ได้ที่จะอุทานแล้วมองประเมินจิ้งจอกพันหน้าอย่างประหลาดใจ…
แดนอเวจี ดาวอู๋เลี่ยง บนตึกศาลาด้านหลังตำหนักหลัก จินม่านกับหยางชิ่งนั่งอยู่ตรงข้ามกัน
หลังจากใช้ระฆังดาราติดต่อเสร็จแล้ว หยางชิ่งก็กุมระฆังดาราไว้เงียบๆ ตรงหว่างคิ้วเผยอารมณ์กังวล
ทางจวนแม่ทัพภาคตลาดผีส่งคนไปจับตาดูที่วัดพระกษิติครรภ์แล้วเช่นกัน และเพื่อปฏิบัติการที่น้ำพุวังเวง ถึงขั้นวางกำลังคนไว้ตามจุดสำคัญตามทางไปน้ำพุวังเวงด้วย ทำให้พบแล้วว่ามีคนออกจากวัดพระกษิติครรภ์ไปทางน้ำพุวังเวง
ถึงแม้จะมีคนออกไปแค่คนเดียว แต่ก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าบนตัวจะไม่พกใครไปด้วย ถึงแม้ผู้ที่ออกไปจะปลอมตัวแล้ว แต่ความต่างระหว่างคนศีรษะล้านกับคนมีผมก็ยังทำให้แยกแยะได้ชัดเจน ร่างกายเจ้าตัวอยู่ในชุดคลุมมีหมวก ครอบศีรษะเอาไว้แล้ว
บางทีกำลังคนที่วางไว้อาจจะไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอะไร แต่หลังจากข่าวถูกส่งมาที่นี่ผ่านหยางเจาชิงแล้ว หยางชิ่งก็ตัดสินใจได้ทันที ว่าคนของสำนักหลัวช่าออกเดินทางแล้ว
สถานการณ์ดำเนินไปตามแผนที่วางไว้คร่าวๆ หมายความว่าศึกใหญ่กำลังจะเปิดฉากที่น้ำพุวังเวงแล้ว ที่สำคัญก็คือคู่ต่อสู้ไม่ใช่คนธรรมดา!
พอนึกถึงตรงนี้ หยางชิ่งก็รู้สึกไม่สงบใจเป็นอย่างมาก เขาไม่ได้โน้มน้าวเหมียวอี้เพียงครั้งเดียว แต่ไม่มีประโยชน์ เพราะเหมียวอี้ดึงดันจะทำอย่างนี้ให้ได้
ในเมื่อวางแผนไว้เรียบร้อยแล้ว เหตุใดยังต้องกังวลอีกล่ะ? เป็นเพราะหยางชิ่งทำนายอนาคตไม่ได้จริงๆ ไม่ว่าจะตัดสินเรื่องอะไรก็ล้วนอาศัยเบาะแส ไม่ได้นั่งเทียนหาบทสรุปเอาเอง ต่อให้เขาจะฉลาดแค่ไหน แต่ก็คาดการณ์ไม่ได้ว่าตรงน้ำพุวังเวงจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ มิหนำซ้ำเขายังไม่เคยไปน้ำพุวังเวงด้วย มีเรื่องราวมากมายที่ตัดสินไม่ได้ง่ายๆ เลย
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาเองก็ทำได้เพียงฝากความหวังไว้กับทักษะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของเหมียวอี้ แผนการคร่าวๆ ก็ร่างไว้แล้ว แค่ต้องดูว่าเหมียวอี้จะร้องเพลงอย่างไรหลังจากขึ้นเวที ความกังวลอื่นใดล้วนไม่มีประโยชน์ สถานการณ์ในที่เกิดเหตุมีโอกาสเปลี่ยนแปลงไปร้อยแปดพันเก้า หวังเพียงเหมียวอี้จะควบคุมได้ ให้สมกับชื่อเสียงบารมีที่นำกองทัพครึ่งธงพยัคฆ์ไปตีทัพใหญ่หนึ่งล้าน!
จินม่านที่นั่งตรงข้ามเห็นเขามีท่าทางกลัดกลุ้มใจ จึงจ้องเขาเงียบๆ ครู่หนึ่ง แล้วรินน้ำชายื่นให้เขา พร้อมเอ่ยถามเสียงเบา “ผู้ช่วยใหญ่กำลังกังวลเรื่องราชาปราชญ์เหรอ?”
“เอ่อ!” หยางชิ่งยื่นมือไปรับน้ำชาอย่างใจลอย
จินม่านมองปฏิกิริยาเขา แล้วเหล่ตามองมือของเขาที่ยื่นเข้ามา ดวงตางามพลันวูบไหว มือที่ยื่นถ้วยน้ำชาเบี่ยงตำแหน่งเล็กน้อย
ดังนั้นวินาทีถัดมา มือของหยางชิ่งจึงจับผิดตำแหน่งพอดี จับมือนางไว้แล้ว
จินม่านไม่สะทกสะท้าน ไม่หดมือกลับและไม่หลบเลี่ยง กำลังมองปฏิกิริยาของหยางชิ่งด้วยแววตาเรียบเฉย
“…” หยางชิ่งที่ได้สติกลับมารีบหดมือกลับ แล้วกล่าวขออภัย “ล่วงเกินแล้ว หยางชิ่งเหม่อลอย หวังว่าประมุขปราชญ์จะไม่ถือสา”
เมื่อเห็นเขาไม่มีปฏิกิริยาผิดปกติทางด้านนั้น มุมปากของจินม่านก็แข็งทื่ออย่างมีความหมายล้ำลึก จากนั้นก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า “การกระทำที่ไม่ตั้งใจ ไม่จำเป็นต้องโทษตัวเอง” จากนั้นก็เปลี่ยนประเด็นสนทนา “ทางราชาปราชญ์น่ะ ผู้ช่วยใหญ่อาจจะคิดมากไปแล้ว นำกำลังคนออกไปด้วยเยอะขนาดนั้น ทั้งยังมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ ถ้ายังรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินไม่ได้อีก เช่นนั้นหกลัทธิก็แย่เกินไปแล้ว”
หยางชิ่งพยักหน้าเบาๆ แต่สีหน้ากังวลนั้นยากจะหายไป ต่อให้ผ่านด่านน้ำพุวังเวงได้ แต่ก่อเรื่องใหญ่ขนาดนั้น ในภายหลังจะทำอย่างไรต่อล่ะ?
สายลมเย็นสบายโชยเข้ามา ชำระล้างอากาศในห้อง
ด้านนอกหน้าต่าง ทะเลและท้องฟ้ากว้างใหญ่ไพศาล คลื่นน้ำสีเขียวมรกตไร้ขอบเขต…
ดาวหยกงาม จวนอ๋องสวรรค์ โค่วหลิงซวีนำลูกน้องเหาะมาเหยียบลานบ้านด้านหลัง เขาเพิ่งจะกลับมาจากวังสวรรค์
ลูกน้องที่คอยคุ้มกันแยกย้ายกันไป โค่วหลิงซวีเดินก้าวยาว ถังเฮ่อเหนียนและโค่วเจิงที่อยู่ข้างในรีบเดินออกมารับ ขณะที่เดินไปข้างหน้าด้วยกัน โค่วเจิงก็รายงานสถานการณ์ทางด้านตลาดผี
หลังจากได้ฟังรายงาน โค่วหลิงซวีที่กำลังเดินก็ขมวดคิ้วถาม “คนที่จับตาดูวัดพระกษิติครรภ์พบว่าคนของวัดพระกษิติครรภ์ออกไปทางน้ำพุวังเวงเหรอ?”
คนของจวนแม่ทัพภาคตลาดผีล้วนเป็นคนของตระกูลโค่ว ฝั่งนี้ย่อมรู้เรื่องที่จับตาดูวัดพระกษิติครรภ์
“ขอรับ” โค่วเจิงพยักหน้า “หากยืนยันแล้ว จะรายงานกลับมาทันที”
“หรือว่าคนของวัดพระกษิติครรภ์ก็เข้าร่วมเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน?” โค่วหลิงซวีหยุดฝีเท้า บนใบหน้าฉายแววครุ่นคิดสงสัย “จับตาดูวัดพระกษิติครรภ์มานานขนาดนี้แล้ว หนิวโหย่วเต๋อคนนี้คิดจะทำอะไรกันแน่?”
“ท่านพ่อ หรือว่าจะถามหนิวโหย่วเต๋อไปตรงๆ เลยดีมั้ย?” โค่วเจิงถาม
โค่วหลิงซวียกมือห้าม แล้วหันกลับมาถามกลับ “มาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าคิดว่าถ้าถามอีกจะเหมาะสมเหรอ? บอกเหวินไป๋ ว่าให้พยายามเลี่ยงตระกูลอิ๋ง พวกเราทำเหมือนไม่รู้เรื่องอะไรต่อไปแล้วกัน หากหนิวโหย่วเต๋อพ้นเคราะห์ครั้งนี้ไปได้ พวกเราก็อธิบายว่าไม่รู้เรื่อง ก็เขาบอกว่าอยากตัดสินใจเองไม่ใช่เหรอ?” พูดจบก็ถอนหายใจเบาๆ การทิ้งหนิวโหย่วเต๋อ เขาเองก็จนปัญญาแล้วเช่นกัน เขาส่ายหน้าบอกว่า “น่าเสียดายแล้ง! ให้เมียเจ้าไปเยี่ยมเจ้าเจ็ดบ่อยๆ ก็แล้วกัน!”
“ขอรับ!” โค่วเจิงเอ่ยรับ
แทบจะเป็นในเวลาเดียวกัน เหมียวอี้ที่อยู่นอกน้ำพุวังเวงกำลังกุมระฆังดารา แล้วหันตัวมองไปยังตลาดผีที่อยู่ไกลๆ
เขาได้ข่าวจากหยางเจาชิงก่อนหยางชิ่งก้าวหนึ่ง รู้ว่าทางวัดพระกษิติครรภ์มีการเคลื่อนไหวแล้ว ที่จริงเขาก็รอความเคลื่อนไหวของฝั่งนั้นมาตลอด
ทุกครั้งที่สวีถังหรานปล่อยข่าวให้รั่วเสวี่ยรู้ ล้วนเป็นการทำตามขั้นตอนของแผนที่ฝั่งนี้วางไว้ เรียกได้ว่าให้ความร่วมมือกับฝั่งนี้ รอจนฝั่งวัดพระกษิติครรภ์มีปฏิกิริยา ทางนี้ก็เตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว
พอเก็บระฆังดาราในมือ เหมียวอี้ก็หรี่ตาเล็กน้อย รอยนูนตรงหว่างคิ้วพลันเปิดออก ดวงตาที่งามเหมือนกระจกหลิวหลีพลันยิงเสาออกมา ตาทิพย์เปิดใช้งานแล้ว
พอจิ้งจอกพันหน้าเห็นสถานการณ์เป็นแบบนี้ ก็ตกใจจนตาค้างพูดไม่ออก สงสัยนิดหน่อยว่าเหมียวอี้เป็นคนหรือปีศาจกันแน่
ไป๋เฟิ่งหวงเพียงกอดอกจ้องมอง ไม่ได้แสดงอาการตกใจอะไร นางไม่ได้เห็นเป็นครั้งแรก ตอนอยู่ที่ทะเลดาวสับสนก็รู้แล้วว่าเหมียวอี้มีตาทิพย์
ตาทิพย์มองไปยังจุดไกลๆ มองสำรวจไปยังเส้นทางที่มาจากตลาดผี แยกแยะคนมาตลอดทาง แล้วสุดท้ายก็จับจ้องผู้ที่ปลอมใบหน้าแล้วสวมชุดคลุมมีหมวกตามที่ได้รับข่าวมา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น