คัมภีร์วิถีเซียน 1669-1670

ตอนที่ 1669 ตราประทับดาวเหนือ

 

ด้านนอกถ้ำพำนักมีชนต่างเผ่าสิบกว่าคนรออยู่ตรงนั้น 


 


 


ผู้นำทั้งสี่คนสวมชุดสีเหลือง ล้วนอยู่ในระดับหลอมสุญตา คนที่เหลือเป็นนักรบชุดเกราะถือง้าวยาวสีเงิน ท่าทางพร้อมรบ 


 


 


“สหายหาน พวกเราพี่น้องรับคำสั่งของท่านอาวุโสของท่านเชียนจีจื่อมา จึงมาส่งสหายไปที่จุดรวมตัว” ชายร่างใหญ่สวมชุดสีเหลืองที่เป็นผู้นำเห็นหานลี่ออกมาจากถ้ำพำนักก็คารวะพร้อมเอ่ยขึ้นในทันใด 


 


 


“เช่นนั้นก็ต้องรบกวนเหล่าสหายแล้ว” หานลี่ไม่เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา พลางตอบกลับด้วยสีหน้าราบเรียบ 


 


 


ก่อนหน้านี้ที่เขากระตุ้นแผ่นป้ายกว้างเย็นมีเพียงชนชั้นสูงของเผ่าเมฆาจำนวนน้อยที่รู้ แต่ยามนี้หลังจากแดนกว้างเย็นเปิดออก เดาว่าผู้ที่รู้ฐานะของเขาก็มีไม่น้อยแล้ว 


 


 


เชียนจีจื่อย่อมกลัวว่าจะมีคนก่อความวุ่นวาย ลักพาตัวเขาหรือว่าสังหารเขาในยามนี้ถึงได้ส่งฝ่ายสนับสนุนมา 


 


 


ชายร่างใหญ่สวมชุดสีเหลืองได้ยินคำพูดของหานลี่ก็หัวเราะ และโบกมือไปที่นักรบชุดเกราะด้านหลัง 


 


 


ชั่วขณะนั้นนักรบชุดเกราะที่แต่เดิมที่ยืนเรียงแถวกันสิบกว่าคนพลันแยกตัวออก เผยรถวิญญาณลำแสงสีเขียวออกมาคันหนึ่ง 


 


 


ที่ลากรถอยู่ด้านหน้าเป็นวิหคยักษ์ขนสีเขียวมรกตสองตัวดูสวยงามเป็นอย่างมาก 


 


 


มองปราดเดียวก็ดูออกว่ารถวิญญาณคันนี้ไม่ธรรมดา! 


 


 


หานลี่เห็นเช่นนั้นก็เดินเข้าไปในรถวิญญาณอย่างไม่เกรงใจ 


 


 


ชนต่างเผ่าสวมชุดสีเหลืองสี่คนนั้นก็บินมาอยู่บนรถเช่นกัน แยกกันยืนอยู่ทั้งสี่มุมของรถวิญญาณอย่างคุ้นเคย คุ้มครองหานลี่เอาไว้ตรงกลางอย่างแน่นหนา 


 


 


วิหคสีเขียวสองตัวเปล่งเสียงร้องสองสามครั้ง สยายปีกทั้งสองข้างออก แล้วพารถวิญญาณบินขึ้นไป 


 


 


นักรบชุดเกราะสีเงินเหล่านั้นทยอยกันปล่อยจานอาคมทรงกลมสีเงินออกมา เหยียบไปบนยุทธภัณฑ์และลอยขึ้นกลางอากาศ 


 


 


หลังจากผ่านไปชั่วครู่รถวิญญาณสีเขียวก็อยู่สูงขึ้นไปสองสามร้อยจั้ง ตรงไปยังทิศทางใดทิศทางหนึ่งของเมืองเมฆา 


 


 


เห็นได้ชัดว่าทั้งเมืองเมฆาในยามนี้อยู่ในการเฝ้าระวัง ไม่เพียงตามจุดต่างๆ จะมีผู้คนสัญจรไปมาอยู่บางตาทุกแห่งหนบนถนนก็เห็นนักรบชุดเกราะหลากสีสันเป็นกลุ่มๆ ทั้งบนพื้นและกลางอากาศ 


 


 


หานลี่สังเกตเห็นว่าบางจุดที่ปกติและค่อนข้างสำคัญมีระลอกคลื่นเขตอาคมต้องห้ามส่งลงมารางๆ ดูเหมือนว่าเขตอาคมต้องห้ามเหล่านี้จะถูกกระตุ้นทั้งหมด 


 


 


ดูแล้วชนชั้นสูงของเมืองเมฆาคงให้ความสำคัญกับการเปิดแดนกว้างเย็นในครั้งนี้จริงๆ 


 


 


ระหว่างทางที่รถวิญญาณบินไปไม่พบกับเรื่องไม่คาดฝันใดๆ นำรถวิญญาณมาถึงใกล้ๆ กับโรงเตี๊ยมที่หานลี่กระตุ้นแผ่นป้ายกว้างเย็นในวันนั้น 


 


 


ในยามนี้บริเวณนี้ถูกเขตอาคมปิดผนึกเอาไว้อย่างแน่นหนา และยิ่งไปกว่านั้นยังมองเห็นเสาขนาดยักษ์สูงร้อยจั้ง ยี่สิบสามสิบเสาตั้งตระหง่านอยู่ในเขตอาคมอยู่ไกลๆ ล้อมรอบกันเป็นวงกลมในรัศมีสิบกว่าลี้ โดยมีโรงเตี๊ยมเป็นจุดศูนย์กลาง 


 


 


เสาเหล่านี้แผ่รังสีหลากสีสันออกมา มันทอตัวกันเป็นดั่งม่านลำแสงห้าสี ยิ่งทำให้ด้านในถูกปกคลุมไว้อย่างแน่นหนา คนนอกไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ด้านในได้ 


 


 


ทว่าเมื่อเข้าใกล้เขตนี้ก็พบกับนักรบชุดเกราะที่กำลังควบคุมเขตนี้อยู่มากกว่าสถานที่อื่นเป็นสิบเท่า แทบจะถูกนักรบชุดเกราะเหล่านี้ล้อมเอาไว้ 


 


 


และยังมีหุ่นเชิดนิรนามสูงเจ็ดแปดจั้งร้อยกว่าตัว บ้างก็เป็นสีดำสนิทดุจน้ำหมึกบ้างก็เป็นสีแดงสดดุจเปลวเพลิง กระจายตัวยืนนิ่งอยู่ตามจุดต่างๆ 


 


 


หานลี่เห็นทุกอย่างก็มีสีหน้าตกตะลึงฉายแวบออกมา 


 


 


นักรบชุดเกราะที่รักษาการณ์อยู่ที่นี่ได้อย่างน้อยที่สุดก็ต้องอยู่ในระดับหลอมรวมขึ้นไป ระดับก่อกำเนิดซะส่วนใหญ่ 


 


 


ส่วนกลิ่นอายของระดับหลอมสุญตานั้น เขากวาดจิตสัมผัสไปเร็วๆ ก็พบอยู่ในบริเวณนี้ยี่สิบสามสิบคนแล้ว 


 


 


ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเขตอาคมต้องห้ามเป็นชั้นๆ ที่ดูเหมือนตาข่ายเทียนหลัวในบริเวณรอบ 


 


 


เห็นได้ชัดว่าที่นี่ถูกคุ้มกันไว้อย่างแน่นหนา! 


 


 


รถวิญญาณสีเขียวมีสัญลักษณ์อันใดสักอย่างที่สามารถแยกแยะฐานะได้ระหว่างทางที่บินมาจึงไม่มีผู้ใดเข้ามาตรวจสอบหรือขวางทาง 


 


 


ยามนี้เมื่อเข้าใกล้ม่านลำแสงนี้กลับมีนักรบชุดเกราะที่ขี่แมวที่ดูเหมือนหมาป่ายักษ์แต่แผ่นหลังมีปีกแมลงสองปีกยื่นออกมาสองสามคนบินออกมาจากม่านลำแสงพลางตรงมาหาหานลี่และพวก 


 


 


“ท่านแม่ทัพเถี่ย! สหายหานมาถึงแล้ว” นักรบชุดเกราะสีเขียวคนหนึ่งเป็นบุรุษอายุห้าสิบกว่าปีเห็นรถวิญญาณสีเขียวก็เอ่ยถามอยู่บนแผ่นหลังของหมาป่ายักษ์อยู่ไกลๆ  


 


 


“หึๆ เป็นท่านอาวุโสเชียนที่ให้พี่ฮัวออกมาต้อนรับสินะ วางใจเถอะ สหายหานอยู่ในรถแล้ว สหายฮัวเปิดเขตอาคมเถิด” ชายร่างใหญ่สวมชุดคลุมสีเหลืองที่อยู่ในรถวิญญาณตอบกลับด้วยรอยยิ้ม 


 


 


“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ข้าจะเปิดเขตอาคมเดี๋ยวนี้” บุรุษขี่หมาป่ายักษ์ได้ยินพลันดีใจ 


 


 


จากนั้นเขาและคนที่เหลือพลันควักของสิ่งหนึ่งออกมาจากทรวงอก กลับเป็นแผ่นป้ายต้องห้าม จากนั้นพลันโบกสะบัดไปทางม่ายลำแสงที่เพิ่งบินออกมา 


 


 


ชั่วขณะนั้นเสาลำแสงหลากสีสันจำนวนนับไม่ถ้วนพลันทะลักออกมาจากแผ่นป้ายพุ่งไปทางม่านลำแสงแล้วกลายเป็นเขตอาคมลำแสงขนาดสองสามจั้ง 


 


 


ม่านลำแสงบริเวณรอบพลิ้วไหวเล็กน้อยแล้วปริแตกออกเป็นช่องทางสายหนึ่งท่ามกลางเสียงหวีดร้อง กลายเป็นทางเดินสายหนึ่ง 


 


 


แต่ในทางเดินยังคงมีลำแสงห้าสีสันไหลวนโคจรอยู่ ดูแล้วลึกลับเป็นอย่างมาก 


 


 


ทันใดนั้นชายร่างใหญ่สวมชุดคลุมสีเหลืองก็กระตุ้นวิหควิญญาณสีเขียวตรงหน้า รถวิญญาณกระโจนออกไป 


 


 


ผู้ที่ออกมาต้อนรับสองสามคนพลันติดตามนักรบชุดเกราะเหล่านั้นไปอย่างรีบร้อน 


 


 


ทางเดินม่านลำแสงที่ดูเหมือนจะมีเพียงชั้นหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าพอรถวิญญาณบินอยู่ข้างในได้หนึ่งมื้ออาหาร ในที่สุดถึงได้มองเห็นทางออก 


 


 


เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้หานลี่พลันรู้สึกตกตะลึงไปเล็กน้อย 


 


 


คาดไม่ถึงว่าม่านลำแสงนี้จะมีเขตอาคมต้องห้ามแฝงอยู่ข้างใน หากไม่รู้แล้วแอบเข้ามาในม่านลำแสงเกรงว่าต่อให้มีเคล็ดวิชาหลีกหนีที่ยอดเยี่ยมขนาดไหนก็คงถูกกักอยู่ข้างในในทันที 


 


 


เมื่อเสียเวลาไปนานขนาดนี้ผู้ที่แอบเข้ามาคงถูกคนด้านในพบเข้าไปตั้งนานแล้ว 


 


 


หานลี่ขบคิดอยู่ในใจอย่างรวดเร็ว 


 


 


ยามนี้รถวิญญาณสีเขียวบินออกมาจากทางออกแล้ว ตรงหน้ามีลำแสงสว่างวาบทุกอย่างปรากฏอยู่ในครรลองสายตาของหานลี่ 


 


 


เห็นเพียงด้านล่างมีเขตอาคมขนาดยักษ์เส้นผ่านศูนย์กลางยี่สิบสามสิบจั้ง ผิวของมันมีผลึกศิลาขนาดเท่ากำปั้นจำนวนนับไม่ถ้วนฝังอยู่ ตรงขอบมีลวดลายสลับซับซ้อน ลำแสงหลากสีสันเปล่งแสงวาบๆ อยู่รางๆ  


 


 


มองไกลๆ ช่างงดงามเสียจริง 


 


 


ตรงใจกลางของเขตอาคมทั้งสองนอกจากตำหนักที่สร้างขึ้นใหม่กินพื้นที่ขนาดสองสามหมู่แล้ว ก็ไม่มีสิ่งปลูกสร้างใดๆ อีก 


 


 


แต่ไม่ว่ารอบๆ เขตอาคมหรือว่าตำหนักขนาดยักษ์นั้น ล้วนมีเงาร่างคนพลิ้วไหวไปมารวมตัวกันอยู่ประมาณสองสามพันคน 


 


 


ส่วนใหญ่เป็นนักรบชุดเกราะที่รับหน้าที่ควบคุมดูแล นอกจากนี้ยังมีผู้ที่สวมเสื้อผ้าหลากหลายอีกสองสามร้อยคน แต่ทุกคนล้วนมีพลังยุทธ์ลึกล้ำ 


 


 


คนเหล่านี้ล้อมเขตอาคมทั้งสองและตำหนักเอาไว้พลางๆ คาดไม่ถึงว่าจะไม่มีใครเอ่ยปากออกมาสักคำ 


 


 


ทว่าเมื่อรถวิญญาณที่หานลี่โดยสารอยู่บินออกมาจากกลางอากาศผู้คนที่อยู่ด้านล่างจำนวนไม่น้อยก็พบเงาร่างของเขาภายในทันที ต่างทยอยกันเงยหน้าขึ้นมอง 


 


 


แต่ชายร่างใหญ่สวมชุดสีเหลืองกลับไม่สนใจสายตาของคนเหล่านี้ ควบคุมรถวิญญาณบินวนอยู่กลางอากาศแล้วร่อนลงตรงพื้นที่ว่างที่จงใจเว้นไว้ด้านหน้าตำหนัก 


 


 


หานลี่กวาดสายตาไปถึงได้พบว่าด้านข้างมีรถวิญญาณที่เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วจอดอยู่อีกคันหนึ่ง แต่ว่ารถคันนั้นมีสีขาวราวกับหิมะเท่านั้น 


 


 


“สหายหาน อาวุโสเชียนจื่อจีและพวกกำลังรอสหายอยู่ในตำหนัก พวกเรามีภารกิจจึงส่งได้เพียงเท่านี้” ชายร่างใหญ่สวมชุดคลุมสีเหลืองรอจนรถหยุดนิ่งก็ประสานกำปั้นให้หานลี่อย่างมีมารยาท 


 


 


“ขอบคุณพี่เถี่ยที่คุ้มกัน!” หานลี่เองก็มีมารยาทกับชายร่างใหญ่ตอบกลับด้วยรอยยิ้มจางๆ 


 


 


จากนั้นร่างของเขาก็พลิ้วไหววนลอยลงมาจากรถ และหลังจากที่สองเท้าเหยียบลงบนพื้นก็เดินเข้าไปในตำหนักด้วยท่าทีที่ไม่รีบร้อน 


 


 


นักรบชุดเกราะสิบกว่าคนที่รักษาการณ์อยู่นอกตำหนักเห็นหานลี่ลงมาจากรถวิญญาณด้วยตาของตัวเอง ก็แค่ใช้สายตาสงสัยพิจารณาเขาสองสามแวบแต่ไม่ได้เข้ามาซักถามใดๆ 


 


 


หานลี่เห็นเช่นนั้นย่อมเดินเข้าไปอย่างอารมณ์ดี ทำท่าทีไม่รู้ไม่ชี้ 


 


 


เมื่อเดินผ่านทางเดินที่มีนักรบชุดเกราะอยู่เต็มทั้งสองฝั่งไป หานลี่ก็มาถึงห้องโถงที่ดูกว้างขวางเป็นพิเศษ 


 


 


ด้านในมีคนนั่งบ้างยืนบ้างอยู่ทั้งสองฝั่งถึงสี่สิบห้าสิบคน 


 


 


ตรงใจกลางมีเก้าอี้เปล่งแสงระยิบระยับตัวหนึ่ง กลับมีชายหนุ่มผิวขาวอายุประมาณยี่สิบกว่าปีนั่งอยู่ นั่นก็คือชายหนุ่มแซ่เวิง 


 


 


ส่วนเชียนจีจื่อ ต้วนเทียนเริ่น รวมทั้งไช่หลิวอิงและผู้ที่อยู่ในระดับผสานอินทรีย์อีกเจ็ดแปดคนนั่งอยู่ด้านล่างอยู่หร็อมแหร็ม 


 


 


ส่วนผู้ที่อยู่ด้านหลังกลับเป็นบุรุษและสตรีหน้าตาแตกต่างกันไป กลิ่นอายล้วนไม่อ่อนแอคาดไม่ถึงว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตาขั้นสุดยอด 


 


 


ยามที่หานลี่เข้าไปพวกของเชียนจีจื่อก็กำลังเอ่ยอันใดสักอย่างพร้อมกับกลั้วหัวเราะกับชายหนุ่มแซ่เวิง คนอื่นๆ ต่างฟังอยู่อย่างเงียบๆ 


 


 


ยามนี้หานลี่เดินเข้าไปในห้องโถง สายตาของคนกว่าครึ่งก็กวาดผ่านมา 


 


 


“ชนรุ่นหลังคารวะท่านอาวุโสทุกท่าน!” หานลี่เห็นชายหนุ่มแซ่เวิงก็อดที่จะรู้สึกตกตะลึงไม่ได้ แต่ใบหน้ากลับเรียบเฉยขณะคารวะตัวประหลาดเฒ่าเหล่านี้ 


 


 


“สหายหานเจ้าก็มาถึงแล้วเยี่ยมมาก สองสามชั่วยามหลังจากนี้แดนกว้างเย็นก็จะเปิดแล้ว อีกเดี๋ยวข้าจะแนะนำผู้ที่จะร่วมเดินทางไปกับเจ้าให้รู้จัก” เชียนจีจื่อเผยรอยยิ้มออกมาขณะเอ่ย 


 


 


“ขอรับ ชนรุ่นหลังน้อมรับคำสั่งของท่านอาวุโส” หานลี่ในยามนี้ย่อมไม่มีทางพูดว่าไม่ 


 


 


“เจ้าคือสหายน้อยหานที่กระตุ้นแผ่นป้ายกว้างเย็นโดยไม่ได้ตั้งใจสินะ!” ชายหนุ่มแซ่เวิงกวาดสายตามาบนเรือนร่างของหานลี่ ดูเหมือนว่าจะพบอันใดสักอย่าง แววตามีแววตกตะลึงฉายแวบผ่านไป คาดไม่ถึงว่าจะเอ่ยเช่นนี้ออกมา 


 


 


“รายงานท่านอาวุโสเวิงเป็นชนรุ่นหลังนี่แหละขอรับ” หานลี่ไม่กล้าดูแคลน ค้อมตัวตอบกลับอย่างนอบน้อม 


 


 


“เจ้ารู้จักข้า” ชายหนุ่มกลับรู้สึกประหลาดใจไปเล็กน้อย 


 


 


“ชนรุ่นหลังเคยพบบารมีของท่านอาวุโสครั้งหนึ่งในงานประมูลสี่เผ่า” หานลี่ตอบกลับอย่างซื่อตรง 


 


 


“งานประมูลสี่เผ่า ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง เช่นนั้นข้าและเจ้าก็มีวาสนาต่อกัน ข้าว่าแม้เจ้าจะมีพลังยุทธ์แค่ระดับเผ่าเบื้องบนขั้นที่เจ็ด แต่พลังปราณและจิตสัมผัสกลับเหนือกว่าผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันหลายเท่า ข้ามี ‘ตราประทับดาวเหนือ’ ที่ได้มาโดยบังเอิญอยู่อันหนึ่ง เวลาสำแดงออกมาต้องสูญเสียจิตสัมผัสเป็นอย่างมาก แต่มีประโยชน์กับผู้ที่อยู่ในระดับต่ำกว่าระดับศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างมาก เหมาะสมกับเจ้าพอดี มอบให้เจ้าก็แล้วกัน” ชายหนุ่มแซ่เวิงพิจารณาหานลี่อย่างละเอียดอีกสองสามแวบ หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อยคาดไม่ถึงว่าจะเอ่ยคำพูดที่ผู้อื่นคิดไม่ถึงออกมา 


 


 


เมื่อสิ้นเสียงเขาพลันสะบัดแขนเสื้อ ชั่วขณะนั้นของที่มีลำแสงสีเงินระยิบระยับพลันเปล่งแสงสว่างวาบแล้วพุ่งมาทางหานลี่ 


 


 


หานลี่พลันตกตะลึง ทันใดนั้นก็รู้สึกทั้งดีใจทั้งตกตะลึง ความคิดเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ปากก็เอ่ยขอบคุณอย่างต่อเนื่อง มือหนึ่งตะปบไปทางของที่บินมาทันที 


 


 


ผลคือม่านลำแสงสีเขียวพ่นออกมาจากปลายนิ้วแล้วม้วนเอาของสิ่งนั้นไว้ข้างในพลางดึงมาในมือ 


 


 


เขาเพ่งสมาธิมองเป็นตราประทับสีเงินขนาดห้าหกชุ่นแต่มีรูปทรงที่วิจิตรงดงามมาก 


 


 


ทำให้ตราประทับนี้หมุนวนเล็กน้อยทำให้มองเห็นตัวอักษรสีม่วงขนาดเท่าเมล็ดถั่วสามตัวที่สลักอยู่ด้านล่าง 


 


 


นั่นก็คือตัวอักษรโบราณ ‘ตราประทับดาวเหนือ’ 


 


 


นี่คือตัวอักษรโบราณที่พบเห็นได้ยากชนิดหนึ่ง โชคดีที่ตอนที่เขาร่ำเรียนอย่างมั่วซั่วในปีนั้นได้บังเอิญโชคดีร่ำเรียนมา ดังนั้นมองปราดเดียวจึงอ่านออก 

 

 

 


ตอนที่ 1670 ของขวัญกว้างเย็น

 

แม้ว่าหานลี่จะรู้สึกตกตะลึงกับการที่สิ่งมีชีวิตระดับมหายานผู้หนึ่งมอบสมบัติวิเศษให้เพียงพบหน้าครั้งหนึ่ง แต่แน่นอนว่าย่อมไม่ปฏิเสธ หลังจากรับมาแล้ว กลับพิจารณาสาเหตุที่อีกฝ่ายทำเช่นนี้อยู่เงียบๆ


 


 


เชียนจีจื่อและพวกเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา มองสบตากันไปมาแวบหนึ่ง


 


 


เดิมคิดว่าชายหนุ่มแซ่เวิงจะพูดอันใดต่อกับหานลี่ แต่ชายหนุ่มกลับเอนกายไปด้านหลังและปิดปากเงียบ


 


 


เชียนจีจื่อพลันตกตะลึง แต่ทันใดนั้นก็ได้สติกลับคืนมาเอ่ยกับหานลี่ด้วยรอยยิ้ม


 


 


“คาดไม่ถึงว่าสหายหานจะได้รับสมบัติจากท่านอาวุโสเวิง นับว่าเป็นโชคชั้นใหญ่ คิดดูแล้วมีสมบัตินี้ปกป้องร่าง คงไม่เป็นอันตรายใดๆ ในแดนวิญญาณ ทว่าเวลามีไม่มากแล้ว ข้าจะแนะนำสหายที่ต้องเข้าไปในแดนกว้างเย็นด้วยกันให้เจ้ารู้จักก็แล้วกัน” 


 


 


“เช่นนั้นต้องรบกวนท่านอาวุโสเชียนแล้ว” หานลี่ตอบกลับอย่างนอบน้อม


 


 


“เช่นนั้นจะอธิบายเซียนเย่ว์ให้ท่านรู้จักก่อน นางและเจ้าเป็นเหมือนกันคือเป็นผู้ที่กระตุ้นแผ่นป้ายกว้างเย็น จะพาคนอีกกลุ่มหนึ่งเข้าไป แม้ว่าหลังจากส่งตัวแล้ว ความเป็นไปได้ที่พวกเจ้าทั้งสองกลุ่มจะถูกส่งไปที่เดียวกันจะมีอยู่ไม่มาก แต่หากไปพบกัน ก็ต้องดูแลกันและกัน” เชียนจีจื่อชี้ไปทางหญิงสาวสวมชุดชาววังสีฟ้า หน้าตาซีดขาวคนหนึ่ง


 


 


“ที่แท้ก็ท่านเซียนเย่ว์นี่เอง!” หานลี่หันหน้าไปพิจารณาหญิงสาวผู้นี้แวบหนึ่ง แต่ก็ดูไม่ออกว่ามาจากเผ่าใด ทันใดนั้นจึงประสานกำปั้นคารวะด้วยรอยยิ้มจางๆ


 


 


 ‘ท่านเซียนเย่ว์’ ผู้นี้พยักหน้าให้หานลี่เล็กน้อย ไม่ได้เอ่ยอันใดออกมา


 


 


“นี่คือสือคุนของเผ่าศิลารังไหม มีความสามารถป้องกัน จัดอยู่ในอันดับต้นๆ ในกลุ่มของพวกเจ้า ด้านข้างคือพี่น้องฝาแฝดเฟิงเสี้ยวและอวิ๋นเถิงจากเผ่ามรกต เชี่ยวชาญการประสานการต่อสู้…” เชียนจีจื่อชี้ระดับหลอมสุญตาที่ยืนอยู่ทีละคนๆ


 


 


แต่เขากลับไม่ได้แนะนำลึกซึ้ง แค่บรรยายถึงทุกคนเพียงคร่าวๆ ดังนั้นชั่วครู่ก็แนะนำทุกคนเสร็จ


 


 


ส่วนคนเหล่านั้นก็ไม่ได้สนใจผู้บำเพ็ญเพียรขั้นที่เจ็ดคนหนึ่งอย่างหานลี่ บ้างกลับมีสีหน้าเย็นชา มีเพียงส่วนน้อยที่ส่งยิ้มมาให้ 


 


 


มิน่าล่ะ พวกเขาล้วนเป็นเผ่าเบื้องบนขั้นที่เก้า และยิ่งไปกว่านั้นล้วนเป็นผู้ที่อยู่ในจุดคอขวดใกล้จะก้าวเข้าสู่ระดับศักดิ์สิทธิ์ของเผ่า มิเช่นนั้นคงไม่ถูกเลือกให้มาเข้าร่วมการเดินทางครั้งนี้ จะไปสนใจชนต่างเผ่าคนหนึ่งที่ระดับต่ำกว่าตนเองสองขั้นได้อย่างไร แม้ว่าคนผู้นี้จะถูกชายหนุ่มแซ่เวิงเอ่ยชมก่อนหน้าก็ตาม


 


 


นี่เป็นเพราะอีกฝ่ายฝึกฝนเคล็ดวิชาที่ค่อนข้างพิเศษเท่านั้น ผู้ที่ยืนอยู่จำนวนไม่น้อยล้วนคิดเช่นนั้น


 


 


เชียนจีจื่อเห็นเช่นนั้น ก็ขมวดคิ้วไปเล็กน้อย


 


 


คนอื่นไม่รู้ แต่เขากลับรู้ว่าหานลี่เคยใช้กำลังของตนเองเพียงคนเดียวสังหารผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันไปสองสามคน แม้ว่าจากอิทธิฤทธิ์ของเคล็ดวิชานั้นจะไม่กล้ารับประกันว่ามีพลังกดทุกคนเอาไว้ได้ แต่กำลังนั้นก็น่าจะจัดอยู่ในสามอันดับแรกเห็นจะได้


 


 


หานลี่กลับไม่ใส่ใจเลยสักนิด พลันพยักหน้าให้คนเหล่านั้น


 


 


ในบรรดาคนเหล่านี้ล้วนมีศิษย์ของไฉ่หลิวอิงและต้วนเทียนเริ่นอยู่ด้วย


 


 


สือคุนของเผ่าศิลารังไหมผู้นั้นเป็นศิษย์ของต้วนเทียนเริ่น ส่วนหญิงสาวสวมงอบผู้นั้นเพิ่งได้ฟังชัดเจนว่านางมีนามว่า ‘หลิวสุ่ยเอ๋อร์’


 


 


“เดิมแผ่นป้ายกว้างเย็นหนึ่งแผ่นสามารถส่งคนผ่านเขตอาคมส่งตัวไปแดนกว้างเย็นได้แค่สิบสามคน แต่เขตอาคมนี้ได้ถูกแก้ไขด้วยพวกเราและปรมาจารย์ด้านเขตอาคมต่างๆ ของเผ่าผลึก ยามนี้จึงส่งตัวได้ทั้งหมดสิบห้าคน ดังนั้นพวกเจ้าจึงจะเข้าไปในแดนกว้างเย็นทั้งหมดสามสิบคน เอาล่ะ อธิบายจบแล้ว ข้าจะแบ่งกลุ่มให้พวกเจ้า จากนี้อ่านชื่อใครก็ให้ส่งตัวไปพร้อมกับท่านเซียนเย่ว์ คนที่เหลือตามสหายหานไปก็พอแล้ว ม่อซา เฟิงเสี้ยว…” เชียนจีจื่ออธิบายจบ ก็เริ่มขานชื่อ


 


 


ผลคือผ่านไปชั่วครู่ ทุกคนก็ถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม และแบ่งกันยืนอยู่ด้านหลังหานลี่และหญิงสาวสวมชุดสีฟ้า


 


 


หานลี่ดูเหมือนจะมีสีหน้าเยือกเย็น แต่ในใจกลับรู้สึกกังขาอยู่เล็กๆ


 


 


ไม่รู้ว่าไฉ่หลิวอิงและต้วนเทียนเริ่นใช้วิธีอันใด เชียนจีจื่อ หลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนถึงถูกแบ่งมาอยู่กลุ่มเขา ทว่าทั้งสองกลับเยือกเย็นเป็นพิเศษ ราวกับว่าเพิ่งเคยพบหานลี่เป็นครั้งแรก


 


 


เช่นนั้นดูแล้วเขาคงต้องบุกเข้าไปในเขตแดนต้องห้ามของแดนกว้างเย็นจริงๆ แล้ว


 


 


หลังจากที่แบ่งกลุ่มทุกคนเสร็จสิ้น ภายใต้การส่งสัญญาณจากเชียนจีจื่อ ตัวประหลาดเผ่าระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่คุ้นหน้าอีกคนหนึ่งก็หยัดกายลุกขึ้น เริ่มอธิบายกฎข้อห้ามและเรื่องเล็กๆ น้อยในแดนกว้างเย็นให้หานลี่และพวกฟัง


 


 


แม้ว่าหานลี่และพวกจะได้ฟังสิ่งนี้จากวิธีการอื่นมาไม่ต่ำกว่าหนึ่งรอบแล้ว แต่ในยามนี้ก็ยังคงตั้งใจฟังอย่างไม่กล้าว่อกแว่ก


 


 


เมื่อตัวประหลาดเฒ่าอธิบายจบ เชียนจีจื่อก็โบกมือ หมอกลำแสงสีขาวผืนหนึ่งบินออกมาจากแขนเสื้อ เปล่งแสงสว่างวาบ แล้วมีสมบัติน้อยใหญ่ห้าสิบหกสิบชิ้นปรากฏขึ้นกลางอากาศตรงหน้า


 


 


สมบัติเหล่านี้มีทั้งเป็นกำไลทรงกลม ขวดสีทอง ธงเล็กๆ ไม้เท้าต่างๆ เรียกได้ว่ามีอยู่มากมาย ไอสมบัติพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า 


 


 


แต่ดาบบิน กระบี่บินซึ่งเป็นสมบัติที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดกลับไม่มีเลยสักชิ้น


 


 


ทุกคนมองสบตากลางอากาศ ชั่วขณะนั้นพลันรู้สึกตาลาย ใบหน้าอดที่จะเผยสีหน้าตกตะลึงระคนสงสัยออกมาไม่ได้


 


 


คนเหล่านี้มองไปที่เชียนจีจื่อ ขยับริมฝีปาก ดูเหมือนว่าจะเอ่ยถามอันใดสักอย่าง


 


 


แต่ในยามนั้นเชียนจีจื่อกลับหัวเราะยาวๆ แล้วเอ่ยว่า


 


 


“พวกเจ้าจะรออันใดล่ะ สมบัติเหล่านี้ล้วนนำมาจากคลังลับของเมือง เพื่อให้การเดินทางของพวกเจ้าราบรื่น จึงมอบให้พวกเจ้าโดยเฉพาะ ทุกชิ้นล้วนใช้ได้โดยไม่ต้องหลอม แต่คนหนึ่งเอาไปได้แค่ชิ้นเดียว ที่เหลือตาเฒ่าจะเก็บไป”


 


 


เมื่อฟังจบ ทุกคนพลันตกตะลึง ทันใดนั้นก็เผยสีหน้ายินดีออกมา


 


 


คนจำนวนไม่น้อยร่ายอาคมทันที บ้างก็ตะปบมือไปกลางอากาศ ทยอยกันหยิบสมบัติที่ตนเองต้องการ


 


 


สมบัติสองสามชิ้นในนั้นที่มีกลิ่นอายแข็งแกร่งที่สุดก็แทบจะถูกคนสองสามคนถูกใจ ยามนั้นสมบัติเหล่านั้นจึงเปล่งแสงต่างๆ แค่สั่นไหวไปมาอยู่กลางอากาศ สุดท้ายก็ไม่ได้ตกอยู่ในมือของใคร แน่นอนว่าย่อมต้องดูฝีมือแล้ว


 


 


ชั่วพริบตาสมบัติกลางอากาศก็ถูกหยิบออกไปครึ่งหนึ่ง แต่ก็ยังคงมีสองสามคนที่ยังไม่ได้ลงมือ แค่พิจารณาสมบัติที่เหลือด้วยท่าทางครุ่นคิด


 


 


สำหรับคนเหล่านี้กลิ่นอายของสมบัติที่แข็งแกร่งย่อมมีอานุภาพไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสมบัติที่มีกลิ่นอายอ่อนแอ จะไม่ต้องใจตนเอง บางครั้งสมบัติที่สอดคล้องกับเคล็ดวิชาของตนเอง กลับสามารถเพิ่มอานุภาพได้หลายเท่า


 


 


หานลี่เองก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ยังไม่ได้หยิบสมบัติใดๆ ไป


 


 


ทว่าเขาไม่รอให้เวลาผ่านไปนานนัก แววตาเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ มือหนึ่งตะปบออกไปกลางอากาศ


 


 


สมบัติชิ้นหนึ่งเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ มือยักษ์สีเขียวข้างหนึ่งปรากฏขึ้นพลางตะปบลงไป จากนั้นก็กลายเป็นหมอกลำแสงสีเขียวบินมาหาหานลี่


 


 


ในมือของหานลี่มีลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบ หมอกลำแสงสีเขียวสลายหายไป กลับเผยพัดหยกสีเขียวมรกตเปล่งแสงสีฟ้าสดใสออกมา ผิวของมันมีรูปยอดเขางดงามแห่งหนึ่งสลักอยู่ แต่กลับมีพลังเย็นเยียบแผ่ออกมาจากตัวพัด


 


 


คาดไม่ถึงว่าจะเป็นสมบัติวิเศษธาตุน้ำแข็งชิ้นหนึ่ง


 


 


หานลี่หยักมุมปากขึ้น พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ แต่ครู่ต่อมาก็สัมผัสอันใดได้ จึงเงยหน้าขึ้นมองฝั่งตรงข้ามด้วยสีหน้าราบเรียบแวบหนึ่ง


 


 


ผลคือมองเห็น ‘ท่านเซียนเย่ว์’ ผู้นั้นกำลังมองเขาด้วยแววตาเปล่งประกาย สายตาที่มองมานั่นก็คือพัดหยกสีฟ้าในมือของเขา


 


 


แต่ยามนี้เห็นหานลี่กวาดสายตามากลับชักสายตากลับไป มองไปยังกลางอากาศอีกครั้ง


 


 


หญิงสาวผู้นี้ก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ไม่ได้หยิบสมบัติ 


 


 


มุมปากของหานลี่เผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา แววตากลับเปล่งประกายครุ่นคิด


 


 


สุดท้าย ‘ท่านเซียนเย่ว์’ ผู้นี้ก็หยิบสมบัติทรงไม้บรรทัดไป เป็นสีขาวนวล คาดไม่ถึงว่าจะเป็นสมบัติธาตุเย็นชิ้นหนึ่ง


 


 


หลังจากที่คนสุดท้ายหยิบสมบัติที่ต้องการออกไปแล้ว เชียนจีจื่อก็สะบัดแขนเสื้อไปกลางอากาศ ชั่วขณะนั้นลำแสงสีขาวพลันสว่างวาบ สมบัติที่เหลือกลายเป็นลำแสงบินเข้าไปในแขนเสื้อของเขาเป็นสายๆ


 


 


“เวลาก็ผ่านมาพอสมควรแล้ว พวกเจ้าเองก็เตรียมตัวเถิด” เชียนจีจื่อส่งสัญญาณให้ชายหนุ่มแซ่เวิง ออกคำสั่งด้วยเสียงเคร่งขรึม


 


 


ดังนั้นทุกคนในตำหนักจึงเกิดเสียงอื้ออึงขึ้น เริ่มทะลักออกมาด้านนอกตำหนัก


 


 


หานลี่ยืนอยู่บนจัตุรัสนอกตำหนักแล้วกวาดตามองไปยังท้องฟ้าแวบหนึ่ง เห็นเพียงดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าเปล่งแสงเจิดจ้า เห็นได้ชัดว่ายามนี้เป็นยามเที่ยง


 


 


จากนั้นสายตาก็มองไปยังเขตอาคมขนาดใหญ่สองเขตที่อยู่ไม่ไกลนัก


 


 


เห็นเพียงตรงใจกลางของเขตอาคมทั้งสองมีนักรบชุดเกราะร้อยกว่าคนมือถือจานอาคมและธงอาคมต่างๆ ยืนอยู่ตรงนั้น


 


 


ส่วนศิลาวิญญาณที่ฝังอยู่เต็มไปหมดในเขตอาคมก็เริ่มเปล่งแสงจางๆ ท่าทางเตรียมการทุกอย่างพร้อมแล้ว


 


 


ทว่าหานลี่พลันหรี่ตาทั้งสองข้างลง กลับมองไปยังกลางอากาศตรงใจกลางของเขตอาคม


 


 


กลางอากาศมีดวงแสงขนาดเท่าศีรษะอยู่ลูกหนึ่งผิวของมันมีลำแสงห้าสีเปล่งแสงระยิบระยับไม่หยุด ด้านในมีอันใดสักอย่างอยู่รางๆ


 


 


หานลี่พลันหน้าเปลี่ยนสี จิตสัมผัสรับรู้ได้เล็กน้อย ก็รู้ว่าในดวงแสงนั้นนั่นก็คือแผ่นป้ายกว้างเย็นที่ตนเองกระตุ้นมันโดยไม่ได้ตั้งใจ


 


 


แต่แค่แผ่นป้ายนี้ดูเหมือนว่าจะถูกดวงแสงห้าสีกักเอาไว้ชั่วคราว ยามนี้เขาจึงไม่อาจกระตุ้นได้เลยสักนิด


 


 


ยามนี้เชียนจีจื่อและพวกก็เดินออกมาจากตำหนัก และหยุดอยู่ที่ประตูของตำหนัก จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองพระอาทิตย์บนท้องฟ้าเช่นกัน แววตาเปล่งประกายวาวโรจน์


 


 


“เวลาในการเปิดห้ามผิดพลาด ย้ายของขวัญกว้างเย็นออกมาเถิด” ฉับพลันนั้นเขาก็ออกคำสั่งกับนักรบชุดเกราะในบริเวณนั้น 


 


 


“ขอรับ”


 


 


หลังจากตอบรับแล้ว ชั่วขณะนั้นนักรบชุดเกราะสองสามคนก็กลายเป็นสายรุ้งสีเงินบินเข้าไปในตำหนักเป็นสายๆ 


 


 


หลังจากผ่านไปชั่วครู่คนเหล่านั้นก็เงยหน้าขึ้นมองของชิ้นใหญ่ชิ้นหนึ่งที่เดินออกมาจากตำหนักอีกครั้งอย่างกินแรง


 


 


ของสิ่งนี้สูงประมาณสิบจั้งเศษ รูปทรงเหมือนระฆังสีเขียวใบหนึ่ง แต่ผิวของมันกลับมีรูปปั้นแกะสลักหัวมังกรหลับตาอยู่สิบกว่าตัว ทำให้มันดูลึกลับเป็นอย่างมาก 


 


 


หลังจากเสียง “เกร๊ง” ดังขึ้น ‘ของขวัญกว้างเย็น’ ก็ถูกวางลงใจกลางจัตุรัส คาดไม่ถึงว่าจะทำให้พื้นดินสั่นสะเทือน 


 


 


เชียนจีจื่อพลันขมวดคิ้ว มือหนึ่งร่ายอาคมแล้วชูขึ้นอีกครั้ง 


 


 


อาคมสีขาวสายหนึ่งบินออกไป เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในของขวัญกว้างเย็น พลางหายไปอย่างไร้ร่องรอย


 


 


ผิวของระฆังสีเขียวมีม่านลำแสงปรากฏขึ้นเป็นหมื่นสาย ในเวลาเดียวกันก็มีอักขระสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนทะลักออกมา รูปปั้นแกะสลักหัวมังกรที่ดูสมจริงสิบกว่าตัวเคลื่อนไหวราวกับมีชีวิต แต่โชคดีที่พลันฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติในทันใด


 


 


ผิวของระฆังยักษ์เหลือเพียงอักขระลึกลับกะพริบวาบๆ ไม่หยุด 


 


 


ทุกคนรวมทั้งหานลี่ล้วนพิจารณาของสิ่งนั้นไม่หยุด แต่แน่นอนว่าย่อมมองอันใดไม่ออก


 


 


ยามนี้เชียนจีจื่อและพวกตัวประหลาดเฒ่ากลับไม่ได้ใส่ใจของขวัญกว้างเย็น ต่างสนทนากันไปมา 


 


 


 กลับเป็นชายหนุ่มแซ่เวิงที่ไม่ได้เดินออกมาจากตำหนักด้วยเพราะเหตุใดก็สุดจะรู้ได้

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)