อัจฉริยะสมองเพชร 1668-1673

ตอนที่ 1668

 

ประวัติศาสตร์ของมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง

“นั่นคือวิหารแห่งขงจื๊อหรือ?”


จางเซวียนชะงักกับคำพูดของเหรินชิงหยวน เขาจ้องมองดวงอาทิตย์เจิดจ้าที่เพิ่งขึ้นใหม่ และรู้ได้ทันทีว่าดวงอาทิตย์นั้นอยู่ในมิติคู่ขนาน แม้จะอยู่ภายใต้ลำแสงของมัน แต่ก็ดูเหมือนจะอยู่ห่างไกลออกไปเกินกว่าจะจินตนาการได้


หรือถ้าจะพูดให้ถูก ระยะทางนั้นไม่ได้ถูกจำกัดด้วยการแทนที่ของมิติ แต่เป็นการแทนที่ของเวลาด้วย ดวงอาทิตย์ที่ขึ้นใหม่นั้นดูเหมือนจะอยู่ภายในกระแสของกาลเวลา และดูเหมือนจะต้องใช้วิถีทางแห่งมิติในการเข้าถึงมัน


ส่วนวิหารที่อยู่ภายใต้แสงอาทิตย์นั้นมีสภาพเป็นเงาดำหลายชั้น แม้จะใช้ดวงตาหยั่งรู้ จางเซวียนก็พบว่าเขาไม่อาจมองเห็นมันอย่างใกล้ชิดได้


“ตามที่ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ ครั้งหนึ่งปรมาจารย์ขงเคยถูกฮ่องเต้เผ่าพันธุ์ปีศาจที่แข็งแกร่งที่สุดกักขังไว้ในเฉินข่าย ด้วยความเข้าใจอย่างล้ำลึกเรื่องเวลาของเขา เขาจึงได้คิดค้นมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงขึ้น ตอนที่ของล้ำค่าชิ้นนั้นปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรก ฤดูกาลต่างๆของโลกถึงกับผิดเพี้ยนแปรปรวนไปเพราะอานุภาพของมัน ฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงหลอมรวมกัน ทำให้พันธุ์พืชเบ่งบานในชั่วขณะหนึ่ง และแห้งเหี่ยวไปในเวลาต่อมา ฤดูร้อนกับฤดูหนาวปะทะกัน เกิดพายุทอร์นาโดขึ้นทั่วไป ปรากฏการณ์แปลกประหลาดนี้เกิดขึ้นในบริเวณที่มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงแผ่อานุภาพไปถึง เด็กทารกเติบโตเป็นชายวัยกลางคนได้ภายในชั่วพริบตา และผู้อาวุโสที่กำลังรอคอยความตายก็กลับกลายเป็นเด็กทารกภายในชั่วอึดใจ…” เหรินชิงหยวนพูดเมื่อนึกได้ถึงรายละเอียดที่ถูกบันทึกไว้ในจารึกโบราณ


ตอนที่มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงถูกสร้างขึ้นนั้น มวลมนุษย์กำลังต่อสู้กับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น อันที่จริง อานุภาพของมหาคัมภีร์ไม่ได้ยิ่งใหญ่อย่างที่ตำนานว่าไว้


หลังจากที่ปรมาจารย์ขงหลบหนีออกมาได้แล้ว เขาก็ใช้อำนาจของมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงเพื่อเล่นงานเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น ไม่ช้าผู้คนต่างก็ยกย่องให้มันเป็นของล้ำค่า ส่งผลให้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปไกล ไม่มีเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวไหนที่ไม่หวาดกลัวอนุภาพของมหาคัมภีร์นี้


“มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง…ความสามารถในการควบคุมฤดูกาล ปรมาจารย์ขงสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของเวลาด้วยหรือ?” จางเซวียนตั้งคำถาม


นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้ยินเรื่องมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง แต่เขาไม่เคยเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่ามันมีอานุภาพอย่างไร เท่าที่ฟังจากคำอธิบายของเหรินชิงหยวน ก็ดูเหมือนว่ามันจะสามารถควบคุมกาลเวลาได้


“ใช่ คงจะเป็นแก่นสารของเวลานั่นแหละ แต่ดูเหมือนความเข้าใจของปรมาจารย์ขงจะเหนือชั้นยิ่งกว่าการเร่งเวลา ตามข้อมูลที่บันทึกไว้ ดูเหมือนเขาจะเชี่ยวชาญในการหน่วงเวลาและสกัดกั้นเวลาด้วย” เหรินชิงหยวนพูด


“การหน่วงเวลาและการสกัดกั้นเวลา?” จางเซวียนตาโตด้วยความประหลาดใจ


ก็เหมือนกับการที่ยังมีแก่นสารของมิติในรูปแบบอื่นๆนอกเหนือจากการสกัดกั้นมิติ เรื่องนี้เป็นทำนองเดียวกันกับแก่นสารของเวลา แก่นสารของเวลาที่เป็นภูมิปัญญาของตระกูลจางนั้นคือการเร่งเวลาที่ส่งผลให้นักรบสามารถเร่งเวลาของตัวเองได้


ด้วยการเร่งเวลา, 1 วินาทีของคู่ต่อสู้จะกลายเป็น 10 วินาทีของนักรบผู้นั้น ทำให้กระบวนท่าของอีกฝ่ายดูเชื่องช้าลง


แต่นอกจากการเร่งเวลา ก็ยังมีแก่นสารของเวลาที่เป็นการหน่วงเวลาและสกัดกั้นเวลาด้วย


แม้การหน่วงเวลาจะดูไม่มีประโยชน์มากนักกับนักรบส่วนใหญ่ แต่อันที่จริง มันเป็นอาวุธที่ทรงพลังที่สุดที่เหล่านักปราชญ์โบราณที่เป็นมนุษย์มีอยู่ในเวลานั้น ด้วยการจำศีลในสภาวะของการหน่วงเวลา เหล่านักปราชญ์โบราณจึงสามารถยืดอายุขัยของตัวเองและดำเนินการต่อสู้เพื่อมวลมนุษย์ต่อไปได้


ในอีกด้านหนึ่ง เป็นที่รู้กันว่าแก่นสารของเวลาเรื่องการสกัดกั้นเวลานั้นเป็นกฎเกณฑ์แห่งเวลาที่สามารถทำความเข้าใจได้ยากที่สุด ในแง่ของอานุภาพ มันแข็งแกร่งกว่าการสกัดกั้นมิติเสียอีก


การสกัดกั้นมิติสามารถยับยั้งกายเนื้อของคู่ต่อสู้ได้ แต่นักรบผู้นั้นจะยังคงมีสติสัมปชัญญะอยู่ ทำให้สามารถรับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเขา แต่สำหรับแก่นสารของการสกัดกั้นเวลาจะสกัดกั้นได้แม้แต่สติสัมปชัญญะด้วย หากนักรบผู้นั้นถูกสังหารขณะที่ตกอยู่ในสภาวะดังกล่าว เขาก็จะเสียชีวิตทันที ไม่มีโอกาสแม้แต่จะดิ้นรนเอาชีวิตรอด


ถ้าปรมาจารย์ขงสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของเวลาและการสกัดกั้นเวลาด้วย เขาจะต้องทรงพลังขนาดไหน?


ต่อให้ไอ้โหดจะเก่งกาจอย่างไร ก็ไม่มีทางเทียบชั้นกับปรมาจารย์ขงได้แน่!


“นั่นเป็นสิ่งที่คนรุ่นหลังตั้งข้อสันนิษฐานไว้ เพราะฉะนั้นอาจไม่ถูกต้องก็ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่แน่ใจได้ก็คือปรมาจารย์ขงได้ถ่ายทอดภูมิปัญญาเรื่องกฎเกณฑ์แห่งเวลาของเขาเอาไว้ในมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง หากเราได้มหาคัมภีร์และมรดกตกทอดของเขามา แน่นอนว่ามวลมนุษย์จะมีพละกำลังเพิ่มขึ้นอีกมาก ต่อให้เผ่าพันธุ์ปีศาจจะแข็งแกร่งแค่ไหน พวกเราก็จะเอาชนะมันได้อย่างง่ายดาย!” เหรินชิงหยวนพูด


อำนาจและอิทธิพลของสภาปรมาจารย์นั้นค่อยๆเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา ในยุคสมัยหลังจากที่ปรมาจารย์ขงจากไปได้ไม่นาน สภาปรมาจารย์ก็เพิ่งก่อตั้งขึ้นได้ไม่นานเช่นกัน และมีอำนาจต่างจากในปัจจุบันนี้มาก แม้จะเอาชนะเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นได้ แต่ก็ไม่มีพละกำลังหรือทรัพยากรมากพอที่จะทำลายล้างพวกมันให้สิ้นซาก อย่างมากที่สุดที่พวกเขาทำได้ก็คือขับไล่พวกมันออกไปจากสนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจ…


แต่หลังจากนั้น เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็แข็งแกร่งขึ้นมาก หากพวกเขาได้มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงมา ก็คงจะประสบความสำเร็จในสิ่งที่เหล่าบรรพบุรุษไม่อาจทำได้


“ก็จริง!” จางเซวียนพยักหน้ารับ


เผ่าพันธุ์มนุษย์ค่อยๆแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆนับตั้งแต่ยุคสมัยของปรมาจารย์ขงเป็นต้นมา แต่จำนวนของอัจฉริยะชั้นยอดกลับลดลง ไม่มีใครสำเร็จวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณอีกเลยนับตั้งแต่หมื่นปีที่แล้ว สิ่งที่มวลมนุษย์ขาดแคลนอย่างมากในตอนนี้ก็คือประสิทธิภาพการต่อสู้ในระดับที่เรียกว่าเป็นชั้นยอด


หากพวกเขาได้มรดกตกทอดของครูบาอาจารย์ของโลกใบนี้มา ก็คงจะแก้ปัญหาได้ และกลับมาถือไพ่เหนือกว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นได้อีกครั้ง


“เหล่าปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวแห่งสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่, ฟังคำสั่งของผม! นอกเสียจากผู้ที่ตรึงกำลังอยู่บริเวณฉนวนของอาณาจักรใต้ดิน พวกคุณทุกคนที่เหลือจะต้องมุ่งหน้าไปยังชูฝู่ เดี๋ยวนี้ ในเมื่อวิหารแห่งขงจื๊อปรากฏขึ้นแล้ว ไม่ช้ามันก็คงจะเปิดอย่างเป็นทางการ” เหรินชิงหยวนหันกลับมาสั่งการ


“ขอรับ!”


เหล่าปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวขานรับเป็นเสียงเดียวกันก่อนจะมุ่งหน้าไป


“ปรมาจารย์จาง ในเมื่อวิหารแห่งขงจื๊อเผยโฉมออกมาแล้ว ก็แน่นอนว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจคงจะเคลื่อนกองกำลังเร็วๆนี้ คุณจะร่วมเดินทางไปกับสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ของเราหรือจะเดินทางไปเอง?” เหรินชิงหยวนตั้งคำถาม


“ผม…” จางเซวียนกำลังจะให้คำตอบ ก็พอดีกับที่เห็นหลัวลั่วชิงส่ายหัวเบาๆอยู่ข้างๆ เขาขมวดคิ้วด้วยความสงสัยก่อนจะพูดต่อ “ผมขอขอบคุณในข้อเสนอและความเป็นห่วงของคุณ แต่ผมอยากเดินทางไปเองมากกว่า”


“ได้สิ” เหรินชิงหยวนดูจะไม่ประหลาดใจกับการตัดสินใจของจางเซวียน เขาพยักหน้าและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็พบกันที่ชูฝู่นะ!”


เมื่อพูดจบ เหรินชิงหยวนก็หันกลับไปและยกมือขึ้น ปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวกลุ่มใหญ่เข้ารุมล้อมเขา ดูเหมือนทุกคนกำลังหารือกันเรื่องแผนการที่จะรับมือกับเผ่าพันธุ์ปีศาจหลังจากที่วิหารแห่งขงจื๊อเปิดแล้ว


“เรากลับกันเถอะ” จางเซวียนเรียกหลัวลั่วชิง แล้วทั้งคู่ก็รีบจากมา


ไม่ช้า พวกเขาก็มาถึงบริเวณอาณาเขตรอบนอกของสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่


จางเซวียนนึกได้ถึงปฏิกิริยาเมื่อครู่ของหลัวลั่วชิง จึงหันไปถามเธอ “วิหารแห่งขงจื๊อเปิดแล้ว เผ่าพันธุ์ปีศาจจะต้องเคลื่อนกองกำลังแน่ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกมันจะต้องพานักปราชญ์โบราณของมันมาด้วย การอยู่กับสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่นั้นอาจมีข้อจำกัดบางอย่าง แต่ก็จะปลอดภัยกว่าภายใต้การคุ้มกันของพวกเขา ผมอยากรู้ว่าทำไมคุณถึงแนะนำให้ผมปฏิเสธข้อเสนอของพวกนั้น”


อันที่จริง จางเซวียนก็คิดจะปฏิเสธข้อเสนอของเหรินชิงหยวนอยู่แล้ว แต่ไม่คิดว่าหลัวลั่วชิงจะแนะนำให้เขาทำแบบเดียวกัน ดังนั้นจึงออกจะอยากรู้ว่าเธอมีความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร


ตามที่ปรมาจารย์หยางบอก มีข้อบังคับที่กีดกันไม่ให้เหล่านักปราชญ์โบราณเข้าสู่ใจกลางวิหารแห่งขงจื๊อเพื่อนำมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงออกมา แต่ก็แน่นอนว่าการต่อสู้ที่แท้จริงจะต้องเริ่มต้นทันทีที่มหาคัมภีร์ถูกนำออกมาจากวิหาร ทันทีที่เจ้าของมหาคัมภีร์คนใหม่เดินออกมา กลุ่มอำนาจต่างๆก็จะกลุ้มรุมเข้าใช้กำลังเพื่อแย่งชิงมัน


ซึ่งก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหล่านักปราชญ์โบราณจะต้องเข้าร่วมการตะลุมบอนครั้งนี้ด้วย!


ดูเหมือนสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่จะมีแค่นักรบที่มีวรยุทธขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่แท้ที่จริงแล้วน่าจะเป็นเพราะพวกเขายังไม่ได้นำไม้ตายออกมามากกว่า


แม้แต่ตระกูลจางก็ยังมีบรรพบุรุษเก่าแก่ที่เป็นนักปราชญ์โบราณซึ่งยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้น สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ก็ย่อมจะมีมากกว่านั้นแน่นอน การเข้าร่วมกับสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่จึงถือเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่ามาก


“ยังพอมีเวลาก่อนที่วิหารแห่งขงจื๊อจะเปิดอย่างเป็นทางการ จึงไม่จำเป็นต้องไปเข้ารวมกลุ่มกับพวกเขา อีกอย่าง การเผยโฉมของวิหารแห่งขงจื๊อจะทำให้เหล่าผู้เชี่ยวชาญมากมายนับไม่ถ้วนพากันตบเท้าไปที่นั่น การรีบร้อนไปที่วิหารในเวลานี้ไม่ทำให้เราได้ประโยชน์อะไร กลับตรงกันข้าม เราอาจจะต้องเข้าร่วมการสู้รบโดยไม่จำเป็น” หลัวลั่วชิงตอบ


“ยังพอมีเวลาก่อนที่วิหารแห่งขงจื๊อจะเปิดอย่างเป็นทางการหรือ?” จางเซวียนทวนคำด้วยความสงสัย


เขาคิดว่าเขาจะเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อได้ทันทีด้วยเครื่องรางลำดับแรกที่มีอยู่ในมือ ไม่นึกเลยว่ายังต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งกว่าที่มันจะเปิดอย่างเป็นทางการ


“เดี๋ยวก่อนนะ มันไม่ถูกต้องแล้ว…มีแต่ผู้ที่มีเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานอยู่ในครอบครองเท่านั้นไม่ใช่หรือที่จะเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อได้? ต่อให้ผู้เชี่ยวชาญจากทั้งโลกมุ่งหน้าไปที่นั่น พวกเขาก็คงทำอะไรไม่ได้หรอก” จางเซวียนตั้งคำถามขณะนึกบางอย่างขึ้นได้


มีแต่ผู้ที่มีเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานอยู่ในครอบครองเท่านั้นที่จะเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อได้ เรื่องนี้เป็นความจริงที่ไม่มีใครปฏิเสธ ไม่อย่างนั้น เหล่าผู้เชี่ยวชาญของ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์คงไม่ลงทุนลงแรงถึงขนาดเข้าท้าทายตระกูลจางและตระกูลหลัว


หากพวกเขาไม่อาจเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อได้ แล้วจะรีบร้อนไปที่นั่นเพื่ออะไร?


“เป็นความจริงที่ว่าจะต้องมีเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานถึงจะเข้าสู่ห้องโถงใหญ่และห้องโถงบริวารของวิหารแห่งขงจื๊อได้ แต่ในส่วนของบริเวณรอบนอกล่ะ?” หลัวลั่วชิงตอบยิ้มๆ


“บริเวณรอบนอก?”


“ลองนึกถึงพระราชวังชิวอู๋สิ ตัวพระราชวังนั้นออกจะเข้าถึงได้ยากสักหน่อย แต่พื้นที่บริเวณรอบนอกพระราชวังชิวอู๋น่ะเปิดรับนักรบทุกคน” หลัวลั่วชิงอธิบาย


จางเซวียนครุ่นคิดหนัก


มีค่ายกลและอุปสรรคอยู่จำนวนหนึ่งในพื้นที่บริเวณรอบนอกของพระราชวังชิวอู๋ ซึ่งหากปราศจากแผนที่ ก็แทบไม่มีทางที่จะเข้าสู่พระราชวังชิวอู๋ได้เลย


ถ้าเป็นแบบนั้น ก็ย่อมหมายความว่าวิหารแห่งขงจื๊อไม่ได้มีเพียงห้องโถงใหญ่และอีก 6 ห้องโถงบริวาร แต่ยังรวมถึงบริเวณอาณาเขตรอบนอกด้วย และมีความเป็นไปได้สูงที่จะมีค่ายกลหรือมาตรการป้องกันบางอย่างอยู่ในบริเวณรอบนอกนั้น


“ปรมาจารย์ขงยึดถือการถ่ายทอดความรู้โดยปราศจากการแบ่งชนชั้นเสมอ นอกเสียจากห้องโถงใหญ่และห้องโถงบริวารแล้ว เขายังได้ทิ้งทรัพย์สมบัติล้ำค่าและมรดกตกทอดต่างๆไว้มากมายรอบวิหารด้วย ผู้ที่ไม่มีเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานก็สามารถเข้าถึงทรัพย์สมบัติเหล่านั้นได้ ดังนั้น แน่นอนว่าคนอื่นๆจะต้องหาโอกาสเดินทางไปที่นั่นเช่นกัน” หลัวลั่วชิงพูด

 

 

 


ตอนที่ 1669

 

 อาณาจักรใต้ดินแห่งภูเขาพยัคฆ์มังกร

จางเซวียนพยักหน้ารับ


ที่ผ่านมา เขาคิดว่าวิหารแห่งขงจื๊อมีเพียงมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงกับมรดกตกทอดของปรมาจารย์ขง แต่เท่าที่เห็นตอนนี้ ดูเหมือนว่าจะไม่ต่างกับอาณาจักรโบร่ำโบราณที่อื่น ยังมีทรัพย์สมบัติล้ำค่าและข้าวของอีกมากมายที่คาดไม่ถึงซึ่งรอคอยบรรดานักรบอยู่ที่นั่น


“ไม่เพียงเท่านั้นนะ วิหารแห่งขงจื๊อยังมีรังสีของภูมิปัญญาและมรดกทางการศึกษาที่ปรมาจารย์ขงทิ้งไว้ด้วย ต่อให้นักรบคนหนึ่งไม่ได้อะไรจากวิหารเลย แต่วรยุทธของเขาก็จะก้าวหน้าขึ้นมากหากฝึกฝนวรยุทธที่นั่น อีกอย่าง ว่ากันว่าการถ่ายทอดลิขิตสวรรค์ของปรมาจารย์ขงก็ยังคงหลงเหลืออยู่ที่วิหาร ขอแค่นักรบผู้นั้นตั้งใจฟังอย่างถี่ถ้วน ก็จะฝ่าด่านคอขวดที่กำลังเผชิญอยู่ได้อย่างง่ายดาย” หลัวลั่วชิงอธิบาย


“การปรากฏของวิหารแห่งขงจื๊อเป็นเรื่องใหญ่สำหรับนักรบทุกคนในโลก นี่คือโอกาสที่ไม่มีใครอยากพลาด ไม่ว่าจะเป็นนักรบที่เป็นมนุษย์หรือเผ่าพันธุ์ปีศาจ หรือแม้แต่อสูร คุณจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมหากหวังจะได้อะไรบางอย่างจากวิหารแห่งขงจื๊อ การเดินดุ่มเข้าไปที่นั่นอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรย่อมไม่ก่อให้เกิดผลใดๆขึ้นมา”


ได้ยินคำนั้น จางเซวียนก้มหน้าลงอย่างเคร่งขรึม


เผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นมีผู้เชี่ยวชาญอยู่มากมาย และในโลกนี้ก็มีอสูรที่ทรงพลังอยู่จำนวนมาก ด้วยความเย้ายวนของวิหารแห่งขงจื๊อ ต่อให้สภาปรมาจารย์ก็ไม่อาจยับยั้งพวกเขาเหล่านั้นได้


เดิมพันนั้นยิ่งใหญ่เกินไป การยับยั้งไม่ให้ใครเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อก็เท่ากับปล้นโอกาสมากมายที่พวกเขาจะได้รับ ในกรณีเลวร้ายที่สุด อาจนำไปสู่สงครามอย่างเต็มรูปแบบ


และหากกองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นเริ่มโจมตี มวลมนุษย์จะต้องตกอยู่ในความยากลำบาก


สิ่งที่ดีที่สุดที่พวกเขาทำได้ในตอนนี้ก็คือนำมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงออกมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และควบคุมวิหารแห่งขงจื๊อไว้


สิ่งนี้เป็นหนทางเดียวที่จะแน่ใจได้ว่าสถานการณ์จะไม่บานปลาย


ปรมาจารย์ขงได้หลอมเครื่องรางบริวารไว้ 6 ชิ้น และเครื่องรางลำดับแรกอีกชิ้นหนึ่ง ซึ่งรวมแล้วก็เท่ากับว่ามีเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานทั้งหมด 7 ชิ้น เป็นที่รู้กันว่าทั้งสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ ตระกูลจาง และตระกูลหลัวต่างก็ครอบครองเครื่องรางบริวารอย่างละชิ้น ส่วนเครื่องรางบริวารอีก 3 ชิ้นที่เหลือนั้น ตำแหน่งที่อยู่ของมันยังคงเป็นความลับ


แต่ถ้าจะให้จางเซวียนคาดเดา เขารู้สึกว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจและ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์น่าจะมีเครื่องรางบริวารอยู่ในครอบครองเช่นกัน


นอกเหนือไปจากนั้น เหล่านักรบที่มีสภาวะพิเศษก็สามารถเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อได้ นั่นหมายความว่าจะมีผู้คนจำนวนมากที่สามารถเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อ ทุกอย่างอาจกลับกลายเป็นเรื่องอันตรายได้หากเขาไม่เตรียมตัวให้พร้อม


นอกจากทั้งหมดที่กล่าวมา เหล่านักรบของ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขามีเครื่องรางที่มีอานุภาพร้ายกาจอยู่มากมาย ถึงจางเซวียนจะยกระดับวรยุทธขึ้นได้มากแล้ว แต่ก็ยังรับมือกับคนเหล่านั้นได้ไม่ง่าย


จางเซวียนไม่คิดว่าตัวเองเป็นนักรบที่อ่อนแออีกต่อไป แต่เขาก็ไม่โอหังจนถึงขนาดจะคิดว่า สามารถเอาชนะผู้เชี่ยวชาญทุกคนในโลกนี้ได้


“พวกเรารีบกลับตระกูลจาง และดูว่าคนที่นั่นเตรียมการไปถึงไหนแล้วจะดีกว่า!”


อันที่จริง จางเซวียนไม่รู้อะไรมากนักเกี่ยวกับวิหารแห่งขงจื๊อและการจะได้มาซึ่งมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง แต่ดูเหมือนตระกูลจางจะมีภูมิปัญญาลับเฉพาะ และได้เตรียมการสำหรับเรื่องนี้ไว้เนิ่นนานแล้ว


เมื่อคิดขึ้นได้ จางเซวียนกับหลัวลั่วชิงก็รีบเดินทางออกจากสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่เพื่อกลับสู่ตระกูลจาง


เพราะการยกระดับวรยุทธของจางเซวียน เส้นทางแห่งมิติที่เขาสร้างขึ้นผ่านการเปิดรอยแยกแห่งมิตินั้นจึงเฉียบคมกว่าเดิมมาก ใช้เวลาไม่นาน ตระกูลจางอันใหญ่โตโอ่อ่าก็ปรากฏตรงหน้า


ทันทีที่เข้าสู่ตระกูลจาง จางเซวียนก็รู้สึกได้ทันทีว่ามีบางอย่างแปลกไป


ตระกูลจางมีผู้คนมากมายเดินไปมาคลาคล่ำอยู่ตลอดเวลา แต่ตอนนี้ทุกที่ดูเงียบเชียบอย่างไม่น่าเชื่อ แทบไม่มีใครให้เห็น


หลังจากเดินตรวจสอบไปรอบๆอยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดจางเซวียนก็พบผู้อาวุโสคนหนึ่ง เขาตั้งคำถามด้วยความร้อนใจ “เกิดอะไรขึ้น?”


“นักรบระดับเซียนและระดับที่เหนือกว่านั้นเกือบทุกคนของตระกูลจางมุ่งหน้าไปที่อาณาจักรใต้ดินเพื่อต่อต้านการรุกรานของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น เซียนดาบชิงเหมิงก็เดินทางไปที่นั่นเช่นกัน” เมื่อเห็นจางเซวียน ผู้อาวุโสรีบโค้งคำนับให้ก่อนจะรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้น


“พวกเขามุ่งหน้าไปยังอาณาจักรใต้ดินหรือ?” จางเซวียนตาโต


เขากำลังมึนงงกับการปรากฏขึ้นของวิหารแห่งขงจื๊อจนลืมเรื่องคำสั่งที่ตัวเขาได้ส่งมาก่อนหน้านี้ ตอนที่จางเซวียนอยู่ที่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ เขาได้สั่งการทั้ง 3 ตระกูลชั้นนำให้รวบรวมกำลังพลเพื่อเข้าร่วมกับสภาปรมาจารย์ในการต่อต้านกองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น


“พวกเขามุ่งหน้าไปยังอาณาจักรใต้ดินที่ไหน? พาผมไปที่นั่นที” จางเซวียนสั่งการ


เมื่อการเปิดวิหารแห่งขงจื๊อใกล้เข้ามา ภัยคุกคามจากเผ่าพันธุ์ปีศาจก็ดูจะหนักหน่วงขึ้น เพราะถึงอย่างไร พวกมันก็ไม่อยากพลาดโอกาสที่อาจมีเพียงครั้งเดียวในชีวิต


เรื่องนี้ถือเป็นความลำบากใจไม่น้อย วิหารแห่งขงจื๊อก็สำคัญ แต่ต่อให้พวกเขาได้มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงมา ก็ย่อมไร้ความหมายหากต้องสูญเสียทวีปแห่งปรมาจารย์ไป


มหาคัมภีร์จะช่วยยกระดับประสิทธิภาพการต่อสู้ของนักรบได้อีกมาก แต่หากต้องเข้าร่วมสงครามที่ยิ่งใหญ่ระดับนี้ ก็จะต้องใช้กองกำลังทหารมากมายนับไม่ถ้วน คงเป็นหายนะแน่หากกองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจสามารถฝ่าวงล้อมของแนวป้องกันเข้ามาได้ในเวลานี้


ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่จึงตื่นตระหนกและรีบร้อนถึงขั้นมอบตำแหน่งปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวให้กับเขาโดยผ่านการทดสอบเพียงเล็กน้อย


เพราะหากใช้กระบวนการแบบทั่วไป การพิสูจน์ว่าปรัชญาและการถ่ายทอดความรู้ของเขาใช้การได้นั้นก็จะต้องใช้เวลาหลายปีเป็นอย่างน้อย


“ถึงจะมีความไม่สงบเกิดขึ้นไปทั่วอาณาจักรใต้ดินทั้ง 108 แห่ง แต่กองลาดตระเวนของเราพบว่า อาณาจักรใต้ดินส่วนใหญ่เผชิญหน้ากับการโจมตีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น สภาปรมาจารย์ในพื้นที่น่าจะรับมือไหว แต่ภัยคุกคามที่แท้จริงอยู่ที่อาณาจักรใต้ดิน 6 แห่ง คืออาณาจักรใต้ดินของสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ อาณาจักรใต้ดินประตูมังกร อาณาจักรใต้ดินทะเลน้ำแข็ง อาณาจักรใต้ดินทะเลเมฆา อาณาจักรใต้ดินแห่งภูเขาพยัคฆ์มังกรของตระกูลจาง และอาณาจักรใต้ดินแห่งกลุ่มดาวของตระกูลหลัว!”


“ตอนนี้มีปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวมากมายตรึงกำลังอยู่ที่อาณาจักรใต้ดินของสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่แล้ว พวกเขาจึงไม่ต้องการความช่วยเหลือ”


“สำหรับอาณาจักรใต้ดินประตูมังกรและอาณาจักรใต้ดินทะเลเมฆา เจิ้งหยาง, ทายาทยอดขุนพล ได้รวบรวมกองกำลังยอดขุนพลจำนวนนับไม่ถ้วนเข้าตรึงกำลังที่สถานที่ทั้งสองแห่ง”


“ส่วนอาณาจักรใต้ดินทะเลน้ำแข็ง ทางศาลาว่าการที่ราบธารน้ำแข็ง ตระกูลหยวน ปูชนียสถานนักปราชญ์ และสมาคมผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณได้ผนึกกำลังกันเพื่อรับมือกับบริเวณนั้น”


“ส่วนตระกูลนักปราชญ์อื่นๆ เหล่าสมาคมวิชาชีพต่างๆ และกลุ่มอำนาจที่เหลือต่างก็เดินหน้าเข้าสู่ อาณาจักรใต้ดินที่อื่นๆเพื่อเสริมกำลังในบริเวณที่ต้องการ”


“สุดท้าย ตระกูลเจียงได้ผนึกกำลังกันกับตระกูลจางและตระกูลหลัวเพื่อตรึงกำลังบริเวณอาณาจักรใต้ดินแห่งภูเขาพยัคฆ์มังกรและอาณาจักรใต้ดินแห่งกลุ่มดาว”


“เผ่าพันธุ์ปีศาจยกพลเข้าสู่อาณาจักรใต้ดินแห่งภูเขาพยัคฆ์มังกรและอาณาจักรใต้ดินแห่งกลุ่มดาว ทำให้ฉนวนที่นักปราชญ์โบราณชิวอู๋สร้างไว้ไม่อาจป้องกันพวกมันได้ ด้วยเหตุนี้ เหล่าปรมาจารย์ระดับ 6 ดาวขึ้นไปของตระกูลจางจึงผนึกกำลังกันเดินทางไปยังอาณาจักรใต้ดินเพื่อตรึงกำลังที่นั่น” ผู้อาวุโสอธิบาย


“ผมได้รับคำสั่งให้ดูแลตระกูลขณะที่คนอื่นๆออกเดินทางไป หากสถานการณ์เลวร้ายกว่าเดิม ผมก็มีหน้าที่ต้องอพยพเหล่าสมาชิกของตระกูลจางออกไปเพื่อรักษาสายเลือดตระกูลจางเอาไว้”


“อาณาจักรใต้ดินแห่งภูเขาพยัคฆ์มังกร? แปลว่ามีอาณาจักรใต้ดินอยู่ใต้พื้นดินที่เราเหยียบอยู่นี่หรือ?” จางเซวียนเลิกคิ้ว


เขารู้ว่ามีสภาปรมาจารย์ในท้องถิ่นบางสาขาที่มีความรับผิดชอบในการดูแลอาณาจักรใต้ดินทั่วทั้งทวีป อย่างเช่นสถาบันปรมาจารย์หงหย่วน…เขาน่าจะรู้ว่าตระกูลจางก็ต้องมีเหมือนกัน!


ภูเขาพยัคฆ์มังกรนั้นอยู่ติดกับตระกูลจาง และในเมื่ออาณาจักรใต้ดินได้ชื่อตามภูเขา ก็แปลว่ามันจะต้องอยู่ในบริเวณใกล้เคียง


“ใช่แล้ว ทางเข้าอยู่ใต้ตระกูลจางนี่เอง หากคุณอยากไป ผมพาคุณไปได้เดี๋ยวนี้เลย” ผู้อาวุโสตอบ


“พาผมไปที ผมอยากเห็น” จางเซวียนสั่งการ


ในเมื่อตอนนี้วิหารแห่งขงจื๊อยังไม่เปิด หรือต่อให้มันเปิด ก็คงไม่สำคัญเท่ากับการผลักดันการบุกรุกของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น


“ท่านหัวหน้า กรุณาตามผมมา!”


ผู้อาวุโสนำทางไปโดยไม่ลังเล ไม่ช้าก็มาถึงที่หมาย


“นี่คือ…สุสานตระกูลจาง?” จางเซวียนชะงัก


“ใช่แล้ว อาณาจักรใต้ดินอยู่ใต้สุสานของพวกเรา” ผู้อาวุโสตอบ


“ใช้จิตวิญญาณวีรบุรุษของเหล่าบรรพบุรุษตระกูลจางควบคุมอาณาจักรใต้ดินไว้…” จางเซวียนพึมพำ


เรื่องนี้เหมือนกับที่สถาบันปรมาจารย์หงหย่วน โดยอาจารย์ใหญ่แต่ละคนของสถาบันปรมาจารย์หงหย่วนจะทิ้งเจตจำนงเสี้ยวหนึ่งไว้ที่บริเวณทางเข้าอาณาจักรใต้ดินเพื่อเพิ่มพละกำลังให้กับฉนวน ทำให้กองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจไม่สามารถเข้าสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์ได้


“มีแต่จิตวิญญาณวีรบุรุษของเหล่าบรรพบุรุษเท่านั้นที่สามารถควบคุมอำนาจของเผ่าพันธุ์ปีศาจ และป้องกันไม่ให้พวกมันเข้ารุกรานทวีปแห่งปรมาจารย์ได้…ท่านหัวหน้า อาณาจักรใต้ดินอยู่ตรงหน้านี่เอง ผมยังมีเรื่องอื่นที่ต้องไปจัดการ เพราะฉะนั้นต้องขอตัวก่อน” ผู้อาวุโสกล่าวอำลาก่อนจะออกจากบริเวณนั้นไป


ถ้าเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นสามารถทำลายแนวป้องกันของตระกูลจางและตระกูลเจียงได้ จุดหมายแรกของพวกมันในทวีปแห่งปรมาจารย์ก็จะต้องเป็นตระกูลจาง ดังนั้นพวกเขาจึงต้องเตรียมพร้อมที่จะโยกย้ายเหล่าสมาชิกของตระกูลจางออกไปได้ทุกขณะ


เพราะไม่อย่างนั้น แม้แต่สมาชิกรุ่นเยาว์ก็จะต้องเสียชีวิตในสงครามครั้งนี้ ซึ่งนั่นจะทำให้มวลมนุษย์ไม่มีกองกำลังสำหรับรับมือกับเผ่าพันธุ์ปีศาจอีกต่อไป


“ได้” จางเซวียนพยักหน้าก่อนจะเดินเข้าสู่สุสานตระกูลจางพร้อมกับหลัวลั่วชิง


มีป้ายชื่ออยู่มากมายนับไม่ถ้วน เมื่อดูใกล้ๆ ก็จะเห็นรายชื่อจารึกไว้บนแผ่นหินนั้น พวกเขาคือผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดในแต่ละยุคสมัยของตระกูลจาง แต่ก็น่าเสียดายที่ไม่อาจหนีพ้นกฎเกณฑ์ของกาลเวลาได้ สิ่งที่พวกเขาทิ้งไว้ก็มีเพียงฝุ่นผงธุลี


ต่อให้ใครสักคนจะปราดเปรื่องแค่ไหนในยุคสมัยของเขา แต่เมื่อเวลาผ่านไปอีกหลายหมื่นปี ก็จะเหลือไว้แต่เพียงชื่อที่ถูกจารึกไว้บนแผ่นหินเท่านั้น


ด้วยกาลเวลาที่ผ่านไป แม้แต่ประวัติศาสตร์ก็จะหลงลืมว่าพวกเขาเคยเป็นใครและเคยทำอะไรไว้บ้าง ทั้งหมดที่เหลืออยู่ก็มีแต่จิตวิญญาณวีรบุรุษเท่านั้น


 

 

 


ตอนที่ 1670

 

เข้าสู่อาณาจักรใต้ดินอีกครั้ง

“เพราะการเสียสละของพวกเขา มวลมนุษย์จึงเจริญรุ่งเรืองและมั่นคงอย่างทุกวันนี้ หากปราศจากคนเหล่านี้ โลกคงตกอยู่ในมิคสัญญี…”


จางเซวียนไม่เคยเป็นคนอ่อนไหวมาก่อน นับตั้งแต่ทะลุมิติมาหรือแม้แต่ในชีวิตเก่าของเขา เขาก็มองโลกอย่างไม่รู้สึกรู้สามาตลอดแต่เมื่อได้เห็นบรรดานักเรียนของสถาบันปรมาจารย์หงหย่วนพุ่งเข้าสู่การสู้รบโดยปราศจากความหวาดกลัว และปรมาจารย์อีกนับไม่ถ้วนต้องเสี่ยงชีวิตอยู่ในอาณาจักรใต้ดิน…พูดตามตรง มันสะเทือนความรู้สึกของเขามาก


ความรู้สึกแรกที่เขามีต่อตระกูลจางคือความน่าเกลียดน่ากลัว แต่เมื่อได้เห็นป้ายชื่อมากมายนับไม่ถ้วนที่เรียงรายอยู่รอบตัว ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างหม่นหมอง


ไม่ใช่เพียงเพราะความแข็งแกร่งและการสะสมทรัพย์สมบัติที่ทำให้ตระกูลจางกลายเป็นตระกูลนักปราชญ์หมายเลข 1 แต่ที่มากกว่านั้นก็คือทั้งหมดที่พวกเขาได้ทำลงไป


หลายหมื่นปีมาแล้วที่คนเหล่านี้กดข่มเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นไว้ให้อยู่แต่ในอาณาจักรใต้ดิน ด้วยคุณงามความดีและการเสียสละของพวกเขา มวลมนุษย์จึงมีความสงบสุขและได้รับสันติภาพอย่างที่เป็นอยู่


ถ้าปราศจากคนเหล่านี้ มนุษย์คงไม่มีวันเจริญรุ่งเรืองและพัฒนามาได้ไกลอย่างที่เห็น


ครืนนนนน!


ขณะที่จางเซวียนกำลังครุ่นคิด ก็พลันรู้สึกว่าพื้นดินที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าสั่นสะท้านอย่างรุนแรง รังสีที่บ่งบอกถึงอันตรายระเบิดขึ้นจากใต้พื้นดิน


วิ้ง!


ทันทีที่รังสีเหล่านั้นขึ้นมาถึงหน้าดิน ป้ายหลุมศพก็เรืองแสงที่สว่างราวกับไข่มุกกระจ่างราตรีออกมา จากนั้น รังสีอันตรายก็ค่อยๆสลายตัวไปอย่างเงียบๆ


การที่รังสีอันตรายมาถึงที่นี่ได้ย่อมหมายความว่าฉนวนที่อยู่ด้านล่างถึงขีดสุดแห่งความทนทานของมันแล้ว เราควรรีบไปดูเดี๋ยวนี้!จางเซวียนคิด


เพราะเคยเข้าสู่อาณาจักรใต้ดินที่อยู่ใต้สถาบันปรมาจารย์หงหย่วน จางเซวียนจึงคุ้นเคยกับสถานการณ์แบบนี้ดี เขาร้องเรียกหลัวลั่วชิงโดยไม่ลังเลและรีบรุดหน้าไป ไม่ช้าก็มาถึงรูปปั้นขนาดใหญ่


มันคือรูปปั้นของผู้ก่อตั้งตระกูลจาง


จางเซวียนทาบฝ่ามือลงไปบนรูปปั้น


บึ้มมมม!


เกิดแสงเจิดจ้าระเบิดออกมา ทั้งจางเซวียนและหลัวลั่วชิงหายวับไปจากจุดนั้น ในชั่วพริบตา ทั้งคู่ก็มายืนอยู่ท่ามกลางความมืดมิดรังสีอันตรายแผ่ซ่านไปโดยรอบ ทำให้เกิดความรู้สึกหวาดระแวง


ทั้งสองคนรีบรุดหน้าต่อไป ไม่ช้าก็มาถึงป้อมปราการขนาดใหญ่


อาณาจักรใต้ดินแห่งนี้ใหญ่กว่าอาณาจักรใต้ดินที่อยู่ใต้สถาบันปรมาจารย์หงหย่วนมาก ป้อมปราการก็แข็งแกร่งอย่างน่าทึ่ง มีค่ายกลที่กำลังถูกเปิดใช้งานติดตั้งไว้โดยรอบเพื่อป้องกันศัตรู


จางเซวียนเข้าไปในป้อมปราการและเห็นสมาชิกตระกูลจางจำนวนนับไม่ถ้วน พวกเขากำลังยืนเรียงกันเป็นระเบียบในรูปของค่ายกล ดูเหมือนเหล่าทหารหาญที่กำลังตบเท้าเข้าสู่สงคราม


“ท่านหัวหน้า!”


เมื่อเห็นจางเซวียน ผู้อาวุโสที่ทำหน้าที่ดูแลกองกำลังก็รีบเข้ามาทักทาย


“สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?” จางเซวียนถาม


“ดูจะไม่ดีนัก กองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจเข้าโจมตีมากกว่า 10 ครั้งแล้ว และพวกเราทั้งสองฝ่ายก็ได้รับความเสียหายยับเยิน แต่ด้วยความแข็งแกร่งของฉนวน เผ่าพันธุ์ปีศาจจึงได้รับความเสียหายมากกว่าเราหลายเท่า แต่ผมก็เกรงว่าเราคงจะต้านทานไว้ไม่ได้นานหากมันยังคงโจมตีอย่างบ้าคลั่งแบบนี้” ผู้อาวุโสตอบด้วยความกังวล


“แล้วตอนนี้ฉนวนเป็นอย่างไร?” จางเซวียนตั้งคำถามอีก


“ผมก็ไม่แน่ใจนัก เมื่อครู่นี้คนของเรายังควบคุมพื้นที่อยู่ แต่ก็ถูกกองทัพเผ่าพันธุ์ปีศาจขับไล่ ผมเกรงว่าตอนนี้เราจะไม่สามารถเข้าถึงฉนวนได้” ผู้อาวุโสตอบ


“เราสูญเสียการควบคุมฉนวนหรือ? นั่นถือว่าเสียเปรียบนะ ตระกูลจางมีผู้เชี่ยวชาญตั้งมากมาย เราสูญเสียการควบคุมฉนวนไปได้อย่างไร?” จางเซวียนตาโตด้วยความไม่อยากเชื่อ


เหตุผลหลักที่กองทัพเผ่าพันธุ์ปีศาจไม่อาจบุกโจมตีครั้งใหญ่ได้ก็เพราะมีฉนวนแห่งมิติกีดขวางไว้


ฉนวนแห่งมิติที่นักปราชญ์โบราณชิวอู๋สร้างขึ้นนั้นทรงพลังมากมนุษย์สามารถผ่านเข้าออกได้อย่างง่ายดาย แต่ไม่ใช่กับเผ่าพันธุ์ปีศาจ ดังนั้น กองกำลังที่ทำหน้าที่ตั้งรับจึงทำเพียงแค่ตรึงกำลังอยู่บริเวณด้านนอกฉนวน เพื่อสังหารเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวไหนก็ตามที่บังเอิญผ่านเข้ามา


ถ้าเผ่าพันธุ์ปีศาจสามารถควบคุมฉนวนเอาไว้ได้ ก็แปลว่ามันจะสามารถจับผู้คนที่อยู่ในอาณาจักรใต้ดินมากเท่าไหร่ก็ได้ตามที่ต้องการ? นั่นแปลว่ากองกำลังของพวกเขาจะต้องลดจำนวนลงอย่างรวดเร็วแน่


ตระกูลจางทรงพลังก็จริง แต่ก็ยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะรับมือกับพละกำลังไร้เทียมทานของกองทัพเผ่าพันธุ์ปีศาจ พวกเขาแทบไม่มีโอกาสเลย!


“พ่อคือคนที่สั่งการให้เหล่าสมาชิกตระกูลจางล่าถอย”


ยังไม่ทันที่ผู้อาวุโสจะได้ตอบคำถาม เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น


จางเซวียนหันไป และเห็นท่านพ่อกับท่านแม่ของเขา, เซียนดาบชิงกับเซียนดาบเหมิงกำลังก้าวยาวๆเข้ามา


เมื่อได้ยินคำพูดนั้นจากปากของเซียนดาบชิง จางเซวียนขมวดคิ้ว


“พวกมันทำลายฉนวนของนักปราชญ์โบราณชิวอู๋แล้ว การตรึงกำลังบริเวณนั้นจึงไม่มีประโยชน์อีกต่อไป แทนที่จะสูญเสียกำลังพลของเราไปกับฉนวนที่ถูกทำลาย น่าจะดีกว่าถ้าเรารักษาป้อมปราการนี้ไว้ ด้วยการปกป้องของค่ายกลมากมายที่นี่ พวกเราน่าจะสูญเสียน้อยที่สุด” เซียนดาบชิงอธิบายอย่างเคร่งเครียด


“ฉนวนถูกทำลายแล้ว?” จางเซวียนกำหมัดแน่น


“ใช่ คราวนี้กองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจเตรียมตัวมาอย่างดี พวกมันตั้งใจจะบุกรุกเข้าสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์ให้ได้ ไม่ว่าจะต้องสูญเสียมากแค่ไหนก็ตาม” เซียนดาบชิงส่ายหน้า เขาโบกมือและพูดว่า“ตามพ่อมา!”


จางเซวียนรีบเดินตามไปยังกำแพงของป้อมปราการ


เมื่อมองจากป้อมปราการที่สูงสง่า จางเซวียนรู้สึกได้ทันทีถึงเจตนาสังหารโหดเหี้ยมที่อบอวลไปทั่ว เผ่าพันธุ์ปีศาจจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนกำลังตั้งแถวอยู่ในรูปของค่ายกล ไม่ต่างอะไรกับกองทัพ


แม้พวกมันจะยืนนิ่ง แต่การปรากฏตัวนั้นก็แผ่แรงกดดันหนักหน่วงเข้าสู่ป้อมปราการ


มีเต็นท์และที่พักชั่วคราวถูกสร้างขึ้นไว้มากมายรอบๆกองทัพ เท่าที่เห็น ดูเหมือนเผ่าพันธุ์ปีศาจก็รู้ดีว่าการจะบุกเข้าสู่ป้อมปราการนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย


“ฉนวนถูกทำลายไปแล้ว ซึ่งก็หมายความว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจสามารถเข้าสู่อาณาจักรใต้ดินได้อย่างง่ายดาย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกมันถ่วงเวลาเอาไว้เพื่อให้กองกำลังของตัวเองเข้ามาเสริมหากสิ่งนี้ยังคงดำเนินต่อไป เราจะต้องสูญเสียการควบคุมอาณาจักรใต้ดินแน่” จางเซวียนวิเคราะห์พร้อมกับขมวดคิ้ว


“พ่อก็รู้ แต่จากการสู้รบกับเผ่าพันธุ์ปีศาจมานานนับปีไม่ถ้วน พวกเรารู้ระดับพละกำลังของพวกมันดี ในเมื่อพวกมันเข้าโจมตีอาณาจักรใต้ดินทั้ง 108 แห่งพร้อมๆกัน จำนวนกำลังพลของพวกมันที่อยู่ที่นี่จึงมีจำกัด หากมันมีความแข็งแกร่งมากพอที่จะทำลายอาณาจักรใต้ดินทั้ง 108 แห่งได้พร้อมกันจริงๆล่ะก็ มวลมนุษย์คงสูญพันธุ์ไปนานแล้ว” เซียนดาบชิงตอบอย่างมั่นใจ


มีความแค้นที่ฝังรากลึกยาวนานระหว่างเผ่าพันธุ์มนุษย์กับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น


หากเผ่าพันธุ์ปีศาจสามารถทำลายอาณาจักรใต้ดินทั้ง 108 แห่งได้พร้อมกันจริงๆ พวกมันคงทำแบบนั้นไปนานแล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะต้องตรึงกำลังอยู่ในสนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจมาเนิ่นนานและได้รับความเสียหายมากมายแบบนี้


“ท่านพ่อกำลังพูดว่า…พวกมันแสร้งทำเป็นแข็งแกร่งหรือ?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


“พ่อไม่ได้หมายความว่าพวกมันแสร้งทำ แต่นอกเหนือจากการรอคอยกำลังเสริมแล้ว ก็ดูเหมือนพวกมันจะหวาดกลัวด้วย พวกมันเฝ้าสังเกตการณ์สถานการณ์ในอาณาจักรใต้ดินแห่งอื่นๆก่อนจะตัดสินใจว่าควรเข้าโจมตีหรือไม่ หากกองกำลังของพวกมันต้องพ่ายแพ้ในอาณาจักรใต้ดินแห่งอื่นๆ ต่อให้มันเข้ายึดครองที่นี่ได้ก็คงไร้ความหมาย หากปราศจากกำลังเสริม ไม่นานพวกเราก็จะสามารถผลักดันพวกมันกลับเข้าสู่สนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจได้เหมือนเดิม แน่นอนว่าไม่มีประโยชน์ที่พวกมันจะยอมสูญเสียมากมายเพียงเพื่อให้ได้ครอบครองดินแดนหนึ่งชั่วคราว พูดอีกอย่างก็คือ หากเผ่าพันธุ์ปีศาจยึดครองอาณาจักรใต้ดินแห่งอื่นได้พวกเราก็จะตกอยู่ในอันตราย” เซียนดาบชิงพูด


จางเซวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า “ท่านพ่อพูดถูก…”


แต่ถึงอย่างไร นี่ก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น อีกอย่าง ต่อให้มีอาณาจักรใต้ดินเพียงแห่งเดียวที่ถูกทำลาย มวลมนุษย์ก็ยังต้องแบกรับความเสียหายมากมายอยู่ดี ดังนั้น การที่พวกเขาตรึงกำลังไว้จึงมีความสำคัญมาก


“เดี๋ยวก่อน เป็นไปได้หรือไม่ว่าสถานการณ์แบบเดียวกันนี้จะเกิดขึ้นในอาณาจักรใต้ดินที่อื่นๆด้วย? ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง มันจะเป็นกลยุทธ์เบี่ยงเบนความสนใจหรือเปล่า?” จางเซวียนหรี่ตาขณะที่เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา


“กลยุทธ์เบี่ยงเบนความสนใจ?” เซียนดาบชิงกับผู้อาวุโสคนอื่นๆของตระกูลจางพากันขมวดคิ้ว


สำหรับเผ่าพันธุ์ปีศาจ ไม่น่าจะมีอะไรที่สำคัญไปกว่าการเข้ายึดครองอาณาจักรใต้ดิน


“พวกคุณอยู่ในอาณาจักรใต้ดินมาตลอด ก็ไม่น่าแปลกที่จะไม่รู้เรื่องนี้ เมื่อครู่ก่อนนี้เอง วิหารแห่งขงจื๊อได้ปรากฏขึ้น ดูเหมือนมันจะเปิดอย่างเป็นทางการเร็วๆนี้แหละ การที่เผ่าพันธุ์ปีศาจเข้ารุกรานอาณาจักรใต้ดินในเวลานี้และทำให้เหล่าผู้เชี่ยวชาญต้องมารวมตัวกันที่นี่ เป็นไปได้ไหมว่าพวกมันกำลังยื้อเวลา? ขณะที่แสร้งทำเป็นรอคอยกองกำลังเสริม เป็นไปได้หรือเปล่าว่าแท้ที่จริงมันกำลังรั้งคนของเราไว้ที่นี่ เพื่อที่เราจะได้ไม่หันไปสนใจกับการส่งกองกำลังเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อ?” จางเซวียนเปิดเผยความคิดของเขา


เพราะเคยปะทะกับเผ่าพันธุ์มนุษย์มาหลายครั้ง เผ่าพันธุ์ปีศาจจึงรู้ดีว่าพวกมันจะต้องได้รับความเสียหายอย่างหนักหากเดินหน้าเข้าโจมตีทวีปแห่งปรมาจารย์โดยตรง ต่อให้กองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจมีพละกำลังพอที่จะยึดครองทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่พวกมันก็จะต้องสูญเสียไม่น้อย เพราะฉะนั้น พวกมันจำเป็นต้องทำแบบนี้จริงๆหรือเปล่า?


หรือนี่เป็นราคาที่พวกมันเต็มใจจ่ายเพื่อแลกกับการทำลายเผ่าพันธุ์มนุษย์?


แถมเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ไม่ใช่กลุ่มอำนาจหลักเพียงกลุ่มเดียวที่อยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์


เป็นความจริงที่ว่าวิหารแห่งขงจื๊อกับมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงมีความสำคัญ แต่สิ่งเหล่านี้สำคัญถึงขนาดที่พวกมันต้องพลีชีพเผ่าพันธุ์ปีศาจมากมายเพื่อให้ได้มาหรือ?


พูดอีกอย่างก็คือ เป็นไปได้หรือไม่ว่าเหตุผลที่พวกมันไม่รีบร้อนเข้าโจมตี ก็เพราะมันได้บรรลุเป้าหมายของตัวเองแล้ว มันสามารถยื้อเหล่าผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากให้มารวมตัวกันที่นี่ ซึ่งก็หมายความว่าพวกมันจะอยู่ในภาวะที่ได้เปรียบสำหรับการต่อสู้ที่วิหารแห่งขงจื๊อ!

 

 

 


ตอนที่ 1671

 

ฉายเดี่ยว

“เอ่อ…” เซียนดาบชิงเงียบไป


เขารู้สึกว่าข้อสันนิษฐานของลูกชายก็ฟังขึ้น


หากเผ่าพันธุ์ปีศาจอยากเล่นงานมวลมนุษย์จริงๆ ก็ไม่มีเหตุผลที่พวกมันจะต้องกระจายกองกำลังไปทั่วอาณาจักรใต้ดินทั้ง 108 แห่ง เพราะถึงการกระจายกองกำลังจะทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์รับมือกับการโจมตีของมันได้ยากขึ้น แต่ก็ทำให้การโจมตีนั้นปราศจากความเด็ดขาด


หากพวกมันทุ่มกองกำลังเข้าใส่อาณาจักรใต้ดินเพียง 2-3 แห่ง ก็ย่อมจะมีประสิทธิภาพกว่ากันมาก การบุกเข้าโจมตีอาณาจักรใต้ดินที่มีกองกำลังอารักขาไม่แน่นหนานักอย่างปุบปับจะช่วยเพิ่มโอกาสที่พวกมันจะประสบความสำเร็จให้มีมากขึ้น


“ต่อให้กองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจรั้งพวกเราไว้ที่อาณาจักรใต้ดินแต่พวกมันก็ไม่มีทางยึดครองวิหารแห่งขงจื๊อได้ด้วยจำนวนผู้เชี่ยวชาญที่มีเพียงหยิบมือหรอก ถ้าสิ่งที่เจ้าพูดเป็นความจริง นั่นก็หมายความว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจได้ระดมผู้เชี่ยวชาญเกือบทั้งหมดของพวกมันเข้าสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์แล้ว” เซียนดาบชิงพูดอย่างเคร่งเครียด


ระยะเวลาหลายหมื่นปีได้สั่งสมผู้เชี่ยวชาญมากมายนับไม่ถ้วนให้ก่อเกิดในสภาปรมาจารย์ เมื่อมีมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงเป็นเดิมพัน ก็ไม่มีทางที่สภาปรมาจารย์จะยอมถอย และแน่นอนว่าเหล่าผู้อาวุโสสูงสุดและบรรพบุรุษเก่าแก่ของสภาปรมาจารย์จะต้องออกจากการปลีกวิเวกมาเพื่อการต่อสู้ครั้งนี้


ดูจะเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาหายหน้าหายตาไปจากหน้าประวัติศาสตร์ แต่ก็ไม่มีทางระบุได้ว่าคนเหล่านั้นตายไปแล้วจริงๆหรือไม่


บางคนก็เสียชีวิตไปแล้วจริงๆ แต่ก็มีบางส่วนที่เลือกจะเข้าสู่ภาวะจำศีลเหมือนกับนักปราชญ์โบราณ พวกเขารอเวลาและโอกาสที่จะได้ฝ่าด่านวรยุทธ


ตอนนี้ ดูเผินๆก็เหมือนว่าปรมาจารย์หยางจะเป็นผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดานักรบที่มีวรยุทธต่ำกว่าขั้นนักปราชญ์โบราณ แต่ก็ไม่ควรลืมว่าเขามีอายุราว 800 ปีเท่านั้น ด้วยความกว้างใหญ่ของทวีปแห่งปรมาจารย์ จะต้องมีปรมาจารย์รุ่นพี่อีกหลายคนที่เคยเป็นผู้นำในยุคสมัยก่อนหน้าเขา โดยเฉพาะเมื่ออายุขัยของนักรบขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่นั้นอยู่ที่ราวๆ 1,500 ปี


ต่อให้บางส่วนจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ก็มีอีกจำนวนหนึ่งที่ยังมีชีวิตอยู่และพร้อมสำหรับการต่อสู้!


ถ้าวิหารแห่งขงจื๊อยังไม่เปิด พวกเขาก็คงเลือกปลีกวิเวกต่อไป ด้วยวิธีนี้ พลังชีวิตที่เสียไปก็จะอยู่ในระดับต่ำ และสามารถยืดอายุขัยของพวกเขาออกไปได้ยาวนานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ในเมื่อวิหารแห่งขงจื๊อใกล้จะเปิดเป็นที พวกเขาจึงจำเป็นต้องเคลื่อนไหว


มีความเป็นไปได้ว่ากุญแจของการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณจะอยู่ในวิหารแห่งขงจื๊อ บางที พวกเขาอาจได้ทรัพย์สมบัติหรือของล้ำค่าที่จะช่วยยืดอายุขัยได้ นี่เป็นโอกาสที่ทุกคนรอคอย เพราะฉะนั้น ไม่มีทางที่ใครจะนิ่งเฉย


และก็แน่นอนว่ากองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจไม่มีทางลืมเรื่องนี้


ในเมื่อพวกมันเต็มใจจะสูญเสียสมาชิกของตัวเองจำนวนมากมายเพื่อยื้อเหล่าผู้เชี่ยวชาญของสภาปรมาจารย์และกลุ่มอำนาจหลักเอาไว้ ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกมันตั้งใจจะเข้ายึดครองวิหารแห่งขงจื๊อให้ได้ และเป็นธรรมดาที่พวกมันจะต้องส่งกองกำลังที่มีความแข็งแกร่งพอเข้าสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์ เพื่อให้แน่ใจว่าจะบรรลุเป้าหมาย


“ผมได้ปะทะกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจำนวนหนึ่งในทวีปแห่งปรมาจารย์เมื่อไม่นานมานี้ พวกมันส่วนใหญ่เป็นนักรบขั้นชั่วกัลปาวสาน มีแม้กระทั่งนักปราชญ์โบราณ” จางเซวียนพูดพร้อมกับพยักหน้า


เมื่อครั้งที่เขาอยู่ที่สมาคมผู้หยั่งรู้ในเมืองหุบเขาเก็บเกี่ยว เขาได้สังหารนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 4-ชั่วกัลปาวสานที่เป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจไปถึง 4 ตัว ประสิทธิภาพการต่อสู้ของพวกมันนั้นเหนือชั้นมาก ทัดเทียมกับเหล่าผู้อาวุโสสูงสุดของสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่เลยทีเดียว


ยิ่งไปกว่านั้น เขายังได้พบนักปราชญ์โบราณตัวเป็นๆด้วย!


ในเมื่อเผ่าพันธุ์ปีศาจที่เป็นนักปราชญ์โบราณหลุดรอดการตรวจจับของสภาปรมาจารย์มาได้ เขาก็ไม่อยากคิดเลยว่าจะมีเผ่าพันธุ์ปีศาจจำนวนมากแค่ไหนที่แทรกซึมเข้าสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์ไปแล้ว


ลำพังความคิดนี้ก็ทำให้จางเซวียนสั่นสะท้านไปถึงกระดูกสันหลัง


ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด บางทีกองกำลังที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาอาจเป็นแค่พลทหารธรรมดาสามัญที่รับมอบหมายภารกิจมาให้ยื้อพวกเขาไว้ ส่วนเผ่าพันธุ์ปีศาจที่เป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่นั้นได้แทรกซึมเข้าสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์เป็นผลสำเร็จแล้ว


“ในการปะทะ ท่านแม่ได้เจอเผ่าพันธุ์ปีศาจที่เป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่บ้างหรือเปล่า?” จางเซวียนตั้งคำถาม


“ตอนที่พวกเรากำลังอารักขาฉนวน ท่านพ่อของเจ้ากับแม่ได้ปะทะกับผู้เชี่ยวชาญตัวหนึ่ง มันเป็นคู่ต่อสู้ที่น่าสะพรึงมาก ถ้าไม่ใช่เพราะการผนึกกำลังกันของศิลปะเพลงดาบของเรา เราคงไม่ได้รอดชีวิตกลับมาแน่ แต่ถึงอย่างนั้น แม่ก็ยังได้รับบาดเจ็บ” เซียนดาบเหมิงตอบ


“ท่านแม่ได้รับบาดเจ็บหรือ?” จางเซวียนรีบถามด้วยความเป็นห่วง


“ไม่ต้องกังวลหรอก ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แม่กินยาฟื้นฟูสภาพร่างกายแล้ว” เห็นลูกชายเป็นห่วงเป็นใยเธอ เซียนดาบเหมิงตอบพร้อมกับยิ้มเพื่อให้ความมั่นใจ


“ค่อยยังชั่ว…” จางเซวียนพยักหน้า “คู่ต่อสู้ที่ต้องใช้การผนึกกำลังกันของศิลปะเพลงดาบของท่านพ่อและท่านแม่เพื่อรับมือกับมัน…อย่างน้อยก็ต้องเป็นนักรบขั้นชั่วกัลปาวสาน”


เซียนดาบชิงเหมิงเป็นนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 3-แรงผลักดันสัญชาตญาณ โลกจารึก แต่ประสิทธิภาพการต่อสู้ของพวกเขาที่ได้จากการผนึกกำลังกันของศิลปะเพลงดาบนั้นเหนือชั้นกว่านักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโดยทั่วไปเสียอีก


หากแม้แต่เซียนดาบเหมิงยังได้รับบาดเจ็บทั้งๆที่สำแดงศิลปะเพลงดาบออกไปแล้ว ก็หมายความว่าคู่ต่อสู้ที่พวกเขาเผชิญนั้นทรงพลังมาก


ถ้าเป้าหมายของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นคือเข้ายึดครองวิหารแห่งขงจื๊อ พวกมันก็ควรจะระดมผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดทั้งหมดเข้าสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์ น่าประหลาดใจมากที่ได้รู้ว่ายังมีนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานอยู่ในกองทัพที่ตรึงกำลังบริเวณนี้


แต่ก็แน่นอนว่ายังเร็วเกินไปที่จะด่วนสรุป เพียงแต่ข้อเท็จจริงนี้ทำให้การสันนิษฐานของจางเซวียนด้อยความน่าเชื่อถือลงไปมาก


“ไม่ว่าเหตุผลของพวกมันจะเป็นอะไร ผมก็อยากเข้าไปพิสูจน์ให้เห็นกับตา มัวคาดเดาอยู่แบบนี้คงไม่ได้การแน่” เมื่อไม่อาจทำความเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จางเซวียนยกมือและออกความเห็น


หากเป็นอย่างนี้ต่อไป เผ่าพันธุ์มนุษย์จะต้องสูญเสียกำลังพลจำนวนมากที่วิหารแห่งขงจื๊อ และถ้าเผ่าพันธุ์ปีศาจประสบความสำเร็จในการยึดครองของล้ำค่าส่วนใหญ่ที่นั่น เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็จะยิ่งตกอยู่ในภาวะที่เสียเปรียบมากขึ้น


แต่ตอนนี้ กองกำลังขนาดใหญ่ของเผ่าพันธุ์ปีศาจก็อยู่ตรงหน้าพวกเขา พวกเขาไม่อาจละทิ้งพื้นที่นี้เพื่อไปดูแลสถานการณ์ที่วิหารแห่งขงจื๊อได้


หากข้อสันนิษฐานของเขาเป็นความจริง แผนการที่เหมาะสมที่สุดก็คือเข้าโจมตีกองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจที่อยู่ตรงหน้าเสียตอนนี้และควบคุมฉนวนไว้ให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนจะไปควบคุมสถานการณ์ที่วิหารแห่งขงจื๊อ


แต่ถ้าข้อสันนิษฐานของเขาไม่ถูกต้อง ก็แปลว่าพวกเขาจะต้องออกจากการคุ้มกันของค่ายกลไป และนั่นเป็นการเดินหมากที่มีความเสี่ยงมาก


ดังนั้น สิ่งเดียวที่จางเซวียนทำได้ตอนนี้ก็คือเข้าไปสอดแนมสถานการณ์ด้วยตัวเองและหาเจตนาที่แท้จริงของกองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจ


“ลูกจะเข้าไปสอดแนมด้วยตัวเองหรือ? ทำแบบนั้นไม่ได้นะ! ลูกเป็นหัวหน้าของ 3 ตระกูลชั้นนำและหัวหน้าปูชนียสถานนักปราชญ์ด้วย หากเกิดอะไรขึ้นกับลูก มวลมนุษย์จะต้องสูญเสียครั้งใหญ่!”เซียนดาบชิงรีบคัดค้านการตัดสินใจของจางเซวียน


ลูกชายของเขามีอิทธิพลมากต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์ บางทีอาจจะมากกว่าเหรินชิงหยวนและปรมาจารย์หยางด้วยซ้ำ แน่นอนว่าเขาจะต้องมีบทบาทสำคัญในการผนึกกองกำลังมวลมนุษย์ให้เป็นหนึ่งเดียวเพื่อการทำสงครามกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น


พวกเขาจะปล่อยให้จางเซวียนแบกรับความเสี่ยงอย่างนั้นไม่ได้!


หากจางเซวียนถูกเผ่าพันธุ์ปีศาจจับตัวไปขณะที่เข้าไปสอดแนมโอกาสที่เขาจะได้กลับมาโดยยังมีชีวิตนั้นก็แทบเป็นศูนย์ หรือต่อให้พวกเขาระดมกองกำลังตระกูลจางเข้าช่วยชีวิตจางเซวียน ก็มีโอกาสที่ปฏิบัติการนั้นจะล้มเหลว


ถือเป็นพรอันยิ่งใหญ่ของมวลมนุษย์ที่มีใครคนหนึ่งซึ่งมีอิทธิพลทั้งในกลุ่มอำนาจชั้นนำและทวีปแห่งปรมาจารย์ปรากฏตัวขึ้นเวลานี้จางเซวียนจะเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างหลากหลายกองกำลังและหลากหลายฝ่ายของมวลมนุษย์ หากเขาเสียชีวิตไป กองกำลังแต่ละฝ่ายก็จะกระจัดกระจายไปอีกครั้ง ซึ่งนั่นจะเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเผ่าพันธุ์ปีศาจ


“ลูกไปไม่ได้นะ!” เซียนดาบเหมิงอุทานด้วยความพรั่นพรึง


“ผมสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติแล้ว ซึ่งผมเข้าใจว่าตอนนี้ฉนวนแห่งมิติถูกทำลาย และตัวผมน่าจะซ่อมแซมมันได้ หากทำสำเร็จ เผ่าพันธุ์ปีศาจก็ไม่อาจยกกองกำลังบุกรุกเข้ามาได้โดยง่าย ทำให้พวกเรามีโอกาสที่จะได้ชัยชนะมากขึ้น…ไม่ต้องห่วงหรอก ผมมีอุปกรณ์ช่วยชีวิตอยู่มากมาย อีกอย่างผมก็แค่จะเข้าไปดูว่าพวกมันคิดอะไรอยู่ ไม่ได้จะไปหาเรื่องหรือเปิดการโจมตี พวกมันหาตัวผมไม่พบง่ายๆหรอก” รู้ดีถึงความกังวลใจของทั้งคู่ จางเซวียนยิ้ม เพื่อให้ความมั่นใจ


“แต่…” เซียนดาบเหมิงยังคงไม่สบายใจอยู่


“นี่เป็นสิ่งที่ผมต้องทำ ผมเข้าไปสอดแนมเพื่อหาข้อมูลเท่านั้นเพราะฉะนั้นก็ไม่น่าจะมีอันตรายอะไรมากมาย ถ้าท่านพ่อกับท่านแม่ไม่เชื่อผมล่ะก็ ถามลั่วชิงดูก็ได้” จางเซวียนพูด


“จางเซวียนไม่เป็นอะไรหรอกถ้าเขาแค่เข้าไปสอดแนม” หลัวลั่วชิงยืนยันพร้อมกับพยักหน้า


เครื่องรางแห่งการปลอมตัวของเธอสามารถปลอมได้แม้แต่สายเลือด เพราะฉะนั้น จางเซวียนจะไม่ต้องเผชิญกับปัญหาใดหากปลอมตัวเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น หรือต่อให้เกิดอะไรขึ้นจริงเขาก็เก่งกาจพอที่จะเอาตัวรอดได้ ตราบใดที่คู่ต่อสู้ของเขาไม่ใช่ผู้ที่มีวรยุทธระดับนักปราชญ์โบราณ ไม่มีอะไรจะต้องกังวล


“ถ้าอย่างนั้น…ลูกต้องทำทุกอย่างด้วยความระมัดระวังสูงสุดนะถ้าเห็นอะไรผิดปกติ รีบกลับมาทันที อย่าดันทุรัง เข้าใจไหม?” เมื่อเห็นว่าแม้แต่หลัวลั่วชิงยังยืนยัน เซียนดาบเหมิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ


“ตามนั้น!” จางเซวียนตอบยิ้มๆ


เขาสูดหายใจลึก แล้วกระโจนลงจากกำแพงป้อมปราการ


ขณะที่กระโจนลงไป ร่างของเขาก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอยต่อหน้าต่อตาทุกคน


“เอ่อ…”


“ท่านหัวหน้าของเราหายตัวไปได้อย่างไร?”


“ผมใช้การรับรู้จิตวิญญาณ ก็ยังไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน!”


เหล่าผู้อาวุโสอุทานด้วยนัยน์ตาเบิกโพลง


“มันคือกระบวนท่าของแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติ ด้วยการสกัดกั้นมิติที่อยู่รอบตัวของเขาไว้ เขาสามารถปัดป้องลำแสงและการรับรู้จิตวิญญาณออกไปจากตัวได้ ทำให้แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ใครจะรู้ว่ามีเขาอยู่ เว้นเสียแต่ว่าระดับวรยุทธของจิตวิญญาณหรือความเข้าใจในเรื่องมิติของผู้นั้นจะสูงถึงระดับหนึ่งถ้าไม่อย่างนั้นล่ะก็ ไม่มีทางหาตัวเขาพบ” หลัวลั่วชิงอธิบายกับฝูงชนที่พากันงงงัน


ทุกคนมีสีหน้าว่าเข้าใจ


พวกเขาไม่รู้ว่ามีกระบวนท่าที่สามารถควบคุมมิติที่ให้ประสิทธิภาพอันน่าทึ่งขนาดนี้


ไม่น่าแปลกใจเลยที่แก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติจะเป็นมรดกตกทอดสูงสุดของตระกูลหลัว ประสิทธิภาพของมันน่าทึ่งแบบนี้นี่เอง!


หากพวกเขาสามารถพรางตัวด้วยกรรมวิธีนี้ได้ ก็จะเป็นวิถีทางที่เยี่ยมยอดในการบุกเข้าสู่ฐานที่ตั้งของคู่ต่อสู้โดยไม่ทำให้พวกมันรู้ตัว


เมื่อครู่นี้พวกเขายังคงกังวลเรื่องความปลอดภัยของท่านหัวหน้าตระกูล แต่หลังจากที่รู้แล้วว่าอีกฝ่ายมีความสามารถแบบนี้ ก็วางใจได้


ด้วยความสามารถในการพรางตัวและการเร่งเวลา แน่นอนว่าจางเซวียนจะต้องผ่านพ้นอันตรายและกลับมาได้อย่างปลอดภัย!


อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆

ตอนที่ 1672 นายพลอ้าววั่ว

จางเซวียนใช้แก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติ เขาพรางตัวไว้และรุดหน้าเข้าสู่ฐานที่ตั้งของเผ่าพันธุ์ปีศาจอย่างรวดเร็ว ไม่ช้าก็มาถึงค่ายกองกำลังปีศาจ เขาชะงักฝีเท้า


“แคร่ก แคร่ก แคร่ก” กระดูกและกล้ามเนื้อของจางเซวียนเริ่มขยับและเปลี่ยนแปลง ความสูงของเขาเพิ่มขึ้นราว 1 สือ เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น จางเซวียนก็ดูไม่ต่างอะไรกับเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวหนึ่ง


แน่นอนว่าเขาไม่ลืมที่จะปรับเปลี่ยนรังสีของตัวเองด้วย คราวนี้จางเซวียนยั้งมือไว้เล็กน้อยเพื่อไม่ให้เจตนาสังหารที่เขาแผ่ออกมาบริสุทธิ์อย่างเคย ตอนนี้เจตนาสังหารของเขามีความบริสุทธิ์ต่ำกว่าราชาใบไม้สีเขียวและคนอื่นๆ ซึ่งถือว่าไม่ต่างจากพลทหารทั่วไปที่อยู่ในค่ายเผ่าพันธุ์ปีศาจ


หลังจากเสร็จสิ้นการปลอมตัว จางเซวียนก็ร่อนลงสู่พื้น เขาพบกองกำลังลาดตระเวนส่วนหนึ่งและลอบเข้าโจมตีพวกนั้นจากด้านหลังจางเซวียนยกนิ้วขึ้นแล้วแตะเข้าที่แผ่นหลังของพลทหารเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวหนึ่งอย่างแผ่วเบา


ฟึ่บ!


มันคือการเสียเลือดหยดแรกอย่างเงียบเชียบ เขารีบเก็บศพของทหารเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวนั้นไว้ในแหวนเก็บสมบัติ


หลังจากเคลียร์พื้นที่แล้ว จางเซวียนก็ปลอมตัวเป็นพลทหารเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวนั้น แน่นอนว่าเขาไม่ลืมเรื่องพื้นฐานอย่างการเปลี่ยนเสื้อผ้า


ดังนั้น เมื่อจางเซวียนปรากฏตัวอีกครั้ง เขาก็สวมชุดเกราะหนักอึ้งเต็มยศพร้อมกับถือหอกยาวไว้ในมือ เขาแยกตัวออกจากกลุ่มแล้วเดินเข้าสู่ฐานที่ตั้งหลัก


เผ่าพันธุ์ปีศาจนั้นเชี่ยวชาญด้านการตั้งรับ แค่มองแวบเดียวก็เห็นแล้วว่าค่ายกลอารักขาที่พวกมันจัดตั้งขึ้นเป็นผลงานของผู้เชี่ยวชาญ โชคดีที่เซียนดาบชิงได้สั่งการให้ทุกคนตรึงกำลังป้อมปราการไว้ เพราะหากพวกเขาพยายามจะฝ่าค่ายกลเหล่านี้เข้ามาตระกูลจางอาจต้องสูญเสียกำลังพลของตัวเองไปกว่าครึ่ง


ค่ายกลพวกนี้ต่างจากค่ายกลของสมาคมผู้เชี่ยวชาญด้านค่ายกลมันมีอักษรโบราณของเผ่าพันธุ์ปีศาจจารึกไว้ ผู้ที่ก้าวล้ำเข้าไปในค่ายกลเหล่านี้จะต้องปะทะกับเจตนาสังหารรุนแรง ทำให้พวกเขาหมดสภาพ จางเซวียนคิดขณะวิเคราะห์ค่ายกลอย่างถี่ถ้วน


เขาเคยเจอค่ายกลแบบเดียวกันนี้เมื่อครั้งก่อนที่ลงไปยังอาณาจักรใต้ดิน แต่ค่ายกลที่เห็นในตอนนั้นเรียกได้ว่าธรรมดาสามัญหากเปรียบเทียบกับค่ายกลที่อยู่ตรงหน้าเขาในเวลานี้ ต่อให้ผู้เชี่ยวชาญที่เป็นนักรบระดับเซียนขั้น 9 ก็ยังต้องเดือดร้อนหากบุกเข้าไปในค่ายกลอย่างไม่ดูตาม้าตาเรือ นับประสาอะไรกับนักรบที่อ่อนแอกว่า


แต่แน่นอนว่าด้วยสภาวะพิเศษของพวกมัน ค่ายกลเหล่านี้จึงไม่ส่งผลกระทบอะไรกับเผ่าพันธุ์ปีศาจ


ขณะที่จางเซวียนรุดหน้าไป เขาก็วิเคราะห์โครงสร้างของค่ายกลอย่างถี่ถ้วนและพยายามค้นหา ตำแหน่งที่ตั้งของใจกลางค่ายกลตามมาด้วยการแอบถ่ายทอดพลังปราณเทียบฟ้าเข้าสู่ค่ายกลเหล่านั้น แต่ก็ไม่ได้รีบร้อนทำลายมัน


เขามาที่นี่เพื่อสอดแนมหาข้อมูล หากทำลายค่ายกลเสียตั้งแต่ตอนนี้ ก็เท่ากับเปิดเผยว่าตัวเองเข้ามาเป็นสายลับ ซึ่งจะทำให้พวกมันเพิ่มมาตรการการรักษาความปลอดภัยฐานที่ตั้งให้แน่นหนาขึ้นและนั่นจะทำให้เขาทำงานได้ยากกว่าเดิม


ที่ผ่านมา เผ่าพันธุ์ปีศาจที่จางเซวียนพบมีวรยุทธตั้งแต่ระดับเซียนขั้น 3 ไปจนถึงขั้น 9 เขายังไม่เคยเผชิญหน้ากับเผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีวรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่มาก่อน แต่พวกมันก็คงจะอยู่ในฐานที่ตั้งส่วนที่ลึกเข้าไป


ราชวงศ์ฉิงเทียนเทียบอะไรกับที่นี่ไม่ได้เลย…จางเซวียนได้แต่ส่ายหน้า


ราชาเผ่าพันธุ์ปีศาจแห่งราชวงศ์ฉิงเทียนสำเร็จวรยุทธขั้นจิตวิญญาณต้นกำเนิดเท่านั้น และแม้แต่ฮ่องเต้ฉิงเทียนเองก็เป็นแค่นักรบระดับเซียนขั้น 6 ประสิทธิภาพการต่อสู้เพียงเท่านั้นเทียบอะไรไม่ได้เลยกับกองกำลังที่อยู่ตรงหน้าเขา


เท่าที่จางเซวียนเห็น ดูเหมือนจะมีช่องว่างอยู่ไม่น้อยในบรรดาผู้ที่มีตำแหน่งฮ่องเต้ด้วยกัน เป็นไปได้ว่าราชวงศ์ฉิงเทียนเป็นหนึ่งในนั้น


น่าเสียดายที่ไอ้โหดยังคงอยู่ในภาวะจำศีล ไม่อย่างนั้น มันคงจะเรียกความทรงจำบางส่วนฟื้นคืนกลับมาได้หลังจากที่ได้หลอมรวมเข้ากับร่างกายท่อนบนของตัวเอง แล้วจางเซวียนจะได้สอบถามมันเกี่ยวกับสถานการณ์ของเผ่าพันธุ์ปีศาจและหามาตรการป้องกันได้อย่างเหมาะสม


“คุณควรจะลาดตระเวนให้ทั่วพื้นที่และตรวจสอบว่ามีใครบุกรุกเข้ามาหรือไม่ ทำไมถึงมาอ้อยอิ่งอยู่ตรงนี้?”


ในตอนนั้น จางเซวียนได้ยินเสียงแหบห้าวดังขึ้นด้านหลัง เขาหันขวับไปมองและเห็นเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวหนึ่งที่สวมหมวกเกราะสีดำกำลังเดินตรงเข้ามาพร้อมกับขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ


เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวนั้นเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 8 เท่าที่ฟังจากน้ำเสียง ดูเหมือนจะเป็นนายทหารระดับสูงตัวหนึ่งในกองทัพ


หมอนั่นพูดด้วยสำเนียงของเผ่าพันธุ์ปีศาจอย่างชัดเจน โชคดีที่จางเซวียนได้เรียนรู้ภาษานี้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาลงไปยังอาณาจักรใต้ดิน อันที่จริง ก็เพราะการใช้ภาษาของพวกมันนี่แหละที่ทำให้เขาล่อลวงราชาใบไม้สีทองกับราชาใบไม้เขียวให้สังหารกันเองได้สำเร็จ


“มีคนสลับตำแหน่งกับผม ผมจึงกลับมาที่ฐานทัพเพื่อหยุดพักชั่วครู่” จางเซวียนรีบก้มศีรษะและคำนับ


เขารู้ว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจเพิ่งเปลี่ยนกะเมื่อครู่ที่ผ่านมา และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เขาเลือกโจมตีมัน หากพลทหารเผ่าพันธุ์ปีศาจยังอยู่ระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ การจะสลับตำแหน่งกับพวกมันก็คงมีปัญหา


“ตามผมมา มีบางอย่างที่ผมอยากให้คุณทำ!” เผ่าพันธุ์ปีศาจที่สวมหมวกเกราะสีดำคำรามขณะเรียกจางเซวียนให้ตามไป


“ขอรับ”


เพื่อไม่ให้มีปัญหา จางเซวียนตามเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวนั้นไปอย่างว่าง่าย


เผ่าพันธุ์ปีศาจที่สวมหมวกเกราะสีดำเข้าไปรวมพลกับทหารเผ่าพันธุ์ปีศาจอีก 10 ตัว พลทหารเหล่านั้นมีวรยุทธระดับเซียนขั้น 3 เป็นอย่างต่ำ เหมือนกับตัวที่จางเซวียนเพิ่งสังหารและปลอมตัวเป็นมัน


“นายพลอ้าววั่วต้องการให้พวกเราทำอะไรหรือ?”


พลทหารเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวหนึ่งที่เดินตามหลังเผ่าพันธุ์ปีศาจที่สวมหมวกเกราะสีดำกระซิบกระซาบกับพรรคพวก


“ผมก็ไม่แน่ใจ แต่คิดว่าน่าจะเป็นงานก่อสร้างอะไรสักอย่าง” เผ่าพันธุ์ปีศาจอีกตัวหนึ่งส่ายหน้า


“ก่อสร้าง? เรายังสร้างฐานทัพไม่เสร็จอีกหรือ?”


“อย่าถามอะไรไม่เข้าท่าหน่อยเลย ก็แค่ทำตามที่นายพลอ้าววั่วสั่งลองยื่นจมูกเข้าไปวุ่นวายในสิ่งที่ไม่ใช่เรื่องของคุณสิ จะได้ตายไม่รู้ตัว!” พลทหารเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวหนึ่งคำรามอย่างหงุดหงิด และตัวอื่นๆก็เงียบไป


เขาคือนายพลอ้าววั่วหรือ จางเซวียนจดจำชื่อนั้นไว้


เผ่าพันธุ์ปีศาจที่สวมหมวกเกราะสีดำยังไม่ได้สำแดงเทคนิคการต่อสู้ออกมา เขาจึงไม่มีโอกาสรู้ตัวตนของอีกฝ่าย แต่ถึงอย่างไรก็ต้องจดจำชื่อนี้ไว้ก่อน เพื่อต่อไปจะได้ไม่สับสน


“หยุด!”


หลังจากเดินไปครู่หนึ่ง พวกเขาก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าอาคารที่มีรูปร่างหน้าตาประหลาด นายพลอ้าววั่วก้าวไปข้างหน้า เขาผลักประตูแล้วนำทางไป


ภายในตึกนั้นว่างเปล่า มีเพียงกล่องขนาดใหญ่ไม่กี่ใบวางอยู่ในนั้น แต่ละกล่องมีความสูงพอๆกับมนุษย์และวางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ แต่ละกล่องห่างกันราว 10 เมตร


จางเซวียนรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างแปลกๆ เขาพิจารณากล่องเหล่านั้นอย่างถี่ถ้วน ไม่มีอำนาจหรือรังสีใดๆแผ่ออกมาจากกล่องเหล่านั้น ซึ่งบ่งบอกว่าพวกมันไม่ได้มีฉนวนคุ้มกันหรือมีค่ายกลใดๆปกป้องไว้


“ผมต้องการให้พวกคุณย้ายกล่องเหล่านี้ไปอีกด้านหนึ่ง!” นายพลอ้าววั่วสั่งการ


เขาเรียกรวมพลพวกเรามาที่นี่เพียงเพื่อย้ายกล่องไม่กี่ใบนี่นะ?จางเซวียนสงสัย


เหล่าพลทหารเผ่าพันธุ์ปีศาจต่างก็งุนงงกับสถานการณ์ตรงหน้า


ด้วยระดับวรยุทธของพวกมัน พวกมันสามารถใช้การรับรู้จิตวิญญาณเก็บทุกสิ่งเข้าไปในแหวนเก็บสมบัติและย้ายไปที่ไหนก็ได้แต่กลับถูกเรียกให้มารวมตัวกันที่นี่เพื่อทำงานง่ายๆแบบนี้?


“พวกคุณมัวรีรออะไรอยู่? เร็วเข้าสิ!” เมื่อเห็นว่าไม่มีใครขยับเขยื้อน นายพลอ้าววั่วหน้าดำคร่ำเครียด “แค่ทำตามคำสั่งก็พอ ไม่จำเป็นต้องรู้อะไรให้มากกว่านี้!”


“ขอรับ”


ไม่มีใครกล้าทักท้วงผู้บังคับบัญชา พลทหารเหล่านั้นรีบยกกล่องขึ้นและนำมันออกไปนอกอาคาร


กล่องเหล่านั้นไม่ได้หนักอะไร จางเซวียนพยายามใช้การรับรู้จิตวิญญาณของเขาตรวจสอบกล่องเพื่อดูว่ามีอะไรอยู่ข้างใน แต่ก็ดูเหมือนจะมีฉนวนปกป้องภายในไว้ การรับรู้จิตวิญญาณของเขาจึงซึมซาบเข้าไปไม่ได้


เขาพยายามใช้หอสมุดเทียบฟ้าด้วย แต่ก็ทำได้แค่ประมวลรายละเอียดของกล่องเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ข้างใน ลงท้ายจางเซวียนก็ถอดใจและเดินตามฝูงชนออกไปข้างนอก


“รักษาระยะห่างระหว่างกล่องแต่ละใบด้วยนะ!” นายพลอ้าววั่วสั่งการด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด


ในฐานะนักรบระดับเซียนขั้น 3 เผ่าพันธุ์ปีศาจแต่ละตัวมีความจำดีเยี่ยม พวกมันถือกล่องให้อยู่ในรูปแบบเดิมกับเมื่อครั้งแรกที่เห็นอยู่ในอาคาร


“ดีมาก!” เมื่อเห็นกล่องถูกรักษาระยะห่างอย่างเป็นระเบียบ นายพลอ้าววั่วพยักหน้าอย่างพอใจก่อนจะเรียกพลทหารเหล่านั้นให้เดินเข้ามา


พลทหารเหล่านั้นยังคงรักษาระยะห่างระหว่างกันขณะที่เดินไปหานายพลอ้าววั่ว


จะต้องรักษาระยะห่างระหว่างแต่ละกล่องไปเพื่ออะไร? จางเซวียนขมวดคิ้วด้วยความสงสัย


ถ้ากล่องพวกนี้เป็นส่วนหนึ่งของค่ายกล เขาก็ยังพอเข้าใจว่าทำไมจะต้องรักษาระยะห่าง แต่ในเมื่อเขาไม่รู้สึกถึงพลังงานหรืออำนาจใดๆจากกล่องเหล่านี้เลย แล้วมีความจำเป็นอะไรที่จะต้องจุกจิกกับรายละเอียดเล็กน้อยแบบนี้?


ที่สำคัญกว่านั้น ทำไมไม่นำกล่องใส่เข้าไปในแหวนเก็บสมบัติ?


ฟึ่บ!


จางเซวียนงุนงงกับสถานการณ์แปลกประหลาดตรงหน้า เขาเปิดใช้งานดวงตาหยั่งรู้และสำรวจพื้นที่โดยรอบอย่างถี่ถ้วน จากนั้นก็ตัวแข็งด้วยความอัศจรรย์ใจ ความรู้สึกนี้…เหมือนกับตอนที่เราได้รับเมื่อครั้งเข้าสู่สมาคมผู้หยั่งรู้…พวกมันกำลังพยายามปกปิดบางอย่างจากสวรรค์หรือนี่?



อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆

ตอนที่ 1673 ของล้ำค่าระดับกึ่งนักปราชญ์โบราณ

การที่กล่องเหล่านั้นถูกจัดเรียงเป็นรูปแบบของค่ายกลที่ดูลึกลับทำให้จางเซวียนไม่ได้คิดในแง่นั้นมาก่อน แต่หลังจากเปิดใช้ดวงตาหยั่งรู้ เขาก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ


ตัวกล่องแต่ละกล่องไม่ได้มีความแปลกประหลาดอะไร แต่เมื่อพวกมันถูกจัดเรียงเป็นรูปแบบเฉพาะ ก็จะให้ความรู้สึกเหมือนกับเมื่อครั้งที่เขาได้รับตอนเข้าสู่สมาคมผู้หยั่งรู้


มีความเป็นไปได้ที่จะใช้การรับรู้จิตวิญญาณและวิถีทางอื่นๆในสมาคมผู้หยั่งรู้ แต่จะใช้ศาสตร์แห่งการทำนายกับสมาคมผู้หยั่งรู้ไม่ได้เลย!


แน่นอนว่าสิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่าเหล่าผู้หยั่งรู้ไม่อาจทำนายจากในสมาคมผู้หยั่งรู้ได้ ความหมายที่แท้จริงของมันก็คือไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำนายใครหรืออะไรสักอย่างภายในสมาคมผู้หยั่งรู้ มันเหมือนกับกระจกเงาที่มีด้านเดียว ผู้ที่อยู่ภายในสมาคมผู้หยั่งรู้จะสามารถทำนายได้เฉพาะสิ่งที่อยู่ภายนอก แต่ผู้ที่อยู่ภายนอกไม่อาจทำนายสิ่งที่อยู่ในสมาคมผู้หยั่งรู้ได้


ในบรรดาเก้าสถานะระดับบน เก้าสถานะระดับกลาง และเก้าสถานะระดับล่าง คำว่า ‘เก้า’นั้นคือสัญลักษณ์ของความพิเศษ ไม่ได้หมายความว่าในแต่ละสถานะมีเพียงเก้าอาชีพ อันที่จริง มีอาชีพที่ได้การยอมรับอย่างเป็นทางการในโลกนี้อยู่มากกว่า 30 อาชีพด้วยซ้ำ


มีหลายอาชีพที่จางเซวียนไม่เคยร่ำเรียนมาก่อน แต่ด้วยหนังสือมากมายที่เขาได้อ่านตลอดปีที่ผ่านมา จึงพอเข้าใจบทสนทนาที่มีศัพท์เทคนิคเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผู้หยั่งรู้…เขาไม่รู้อะไรสักอย่าง!


เขาพยายามจะศึกษาศาสตร์แห่งการทำนายในสมาคมผู้หยั่งรู้อยู่หลายครั้ง แต่ทันทีที่พยายามจะศึกษา สายฟ้าจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนก็จะฟาดลงมาจากสวรรค์


หอสมุดเทียบฟ้าที่อยู่ในสมองของเขาเปรียบได้กับสวรรค์ และเหล่าผู้หยั่งรู้ที่พยายามค้นหาความลับของสวรรค์ก็ไม่ต่างอะไรกับหัวขโมย จึงเป็นธรรมดาที่หอสมุดเทียบฟ้าจะไม่ปล่อยให้มีศาสตร์แห่งการทำนายหลุดรอดเข้ามา ส่งผลให้จางเซวียนไม่สามารถเรียนรู้มันได้


ก็เพราะสิ่งนี้ที่ทำให้เขาไม่มีทางเลือก นอกจากต้องยอมถอดใจจากการเรียนรู้ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการทำนาย


แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังรู้สึกได้ว่ามันเป็นความรู้สึกเดียวกับที่ได้รับเมื่อครั้งอยู่ในสมาคมผู้หยั่งรู้ นั่นนั่นคือสิ่งที่จางเซวียนรู้สึกอยู่ในตอนนี้


เราเคยคิดว่าสมาคมผู้หยั่งรู้ร่วมมือกับเผ่าพันธุ์ปีศาจเพื่อช่วยพวกมันให้ลักลอบเข้าสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่อาจไม่เป็นอย่างนั้นก็ได้ จางเซวียนคิด


นับตั้งแต่ร่างกายท่อนบนของไอ้โหดถูกขโมยไป เขาก็คิดมาตลอดว่าสมาคมผู้หยั่งรู้สาขาต่างๆได้ทรยศมวลมนุษย์ ไม่อย่างนั้น พวกเขาก็ควรจะทำนายการมาถึงของเผ่าพันธุ์ปีศาจที่เป็นนักปราชญ์โบราณซึ่งเข้าสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์ และรายงานเรื่องนี้ให้สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ได้รับรู้


แต่มาคิดอีกที เผ่าพันธุ์ปีศาจก็ไม่จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากสมาคมผู้หยั่งรู้เพื่อทำสิ่งนั้น สิ่งที่พวกมันต้องการก็คือผู้หยั่งรู้ระดับ 9 ดาวสักคนหนึ่งเพื่อร่วมมือกับพวกมันในการสร้างของล้ำค่าขึ้นมา เมื่อมีของล้ำค่าที่ต้านทานการทำนายได้ ก็จะสามารถปกปิดการปรากฏตัวของนักปราชญ์โบราณจากสายตาของสวรรค์ทำให้การทำนายของสมาคมผู้หยั่งรู้ไม่เป็นผล


แต่ทำไมของล้ำค่าที่ต่อต้านการทำนายถึงมาอยู่ที่นี่? เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นการสู้รบที่ยืดเยื้อ บรรดาสมาคมผู้หยั่งรู้ก็ไม่น่าจะเป็นภัยคุกคามอะไรมากมายกับเผ่าพันธุ์ปีศาจ หรือว่าพวกมันกำลังวางแผนจะใช้ของล้ำค่าเหล่านี้สังหารเซียนดาบชิงเหมิง? ความคิดของจางเซวียนล่องลอยไปไกล


ด้วยความสามารถในการทำนายอนาคต เหล่าผู้หยั่งรู้จึงเป็นผู้ที่รับมือด้วยได้ยาก แต่พวกเขาก็มีขีดจำกัดของตัวเอง คือสามารถทำนายบุคคลหรือสภาวะของเหตุการณ์ทั่วไปได้เท่านั้น บรรดาผู้หยั่งรู้จะทำอะไรไม่ได้มากนักในการเปิดเผยความลับสุดยอดทางการทหาร อย่างเช่นแผนการและยุทธวิธีของศัตรู ดังนั้น ความสามารถในการต่อสู้ของพวกเขาจึงมีจำกัด


ด้วยเหตุนี้ ตระกูลจางจึงไม่ได้นำผู้หยั่งรู้ของตระกูลเข้าสู่สนามรบ


เผ่าพันธุ์ปีศาจก็น่าจะรู้เรื่องนี้เหมือนกัน ดังนั้นจึงไม่น่าเป็นไปได้ที่กล่องเหล่านี้จะถูกจัดเตรียมไว้เพื่อรับมือกับเหล่าผู้หยั่งรู้


แล้วถ้าตัดบรรดาผู้หยั่งรู้ออกไป ผู้ที่จะได้รับผลกระทบจากเครื่องรางต่อต้านการทำนายก็มีแต่เซียนดาบชิงเหมิงเท่านั้น


เซียนดาบชิงเหมิงเป็นนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 3-แรงผลักดันสัญชาตญาณ ซึ่งทำให้พวกเขารับรู้ถึงอันตรายได้โดยสัญชาตญาณและสามารถหลบเลี่ยงได้ทันท่วงที กล่องเหล่านี้จะสกัดกั้นความสามารถของพวกเขาไว้ ทำให้การสังหารทั้งคู่เป็นไปได้ง่ายขึ้น


หากเราไม่รู้ก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ในเมื่อเราตอนนี้เรารู้แล้ว ก็จะไม่มัวมีพิธีรีตองอยู่ละนะ…จางเซวียนคิดขณะเหยียดริมฝีปากยิ้ม


คนอื่นๆอาจไม่รู้วิธีที่จะเข้าโจมตีและทำลายของล้ำค่าที่ต่อต้านการทำนาย แต่สำหรับเขานั้นไม่ใช่ ทั้งหมดที่จางเซวียนต้องทำก็คือแตะหอสมุดเทียบฟ้า แล้วสายฟ้าก็จะฟาดลงมา…


ตอนนี้เราไม่ควรรีบร้อน เราให้สัญญากับเล่ยเล่ยน้อยไว้ว่าจะให้คำชี้แนะ หากเราเรียกมันมาตอนนี้ อย่างน้อยเราก็ควรจะได้ให้คำชี้แนะกับมันสักหน่อยเพื่อที่มันจะได้แข็งแกร่งขึ้น หากเราทำให้มันแข็งแกร่งขึ้นได้มากพอที่จะทำลายเผ่าพันธุ์ปีศาจได้ทั้งหมด ก็คงจะเยี่ยมยอด…จางเซวียนคิด


ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเรียกการทดสอบสายฟ้าเข้าสู่อาณาจักรใต้ดินแต่ด้วยการยั่วยุจากของล้ำค่าเหล่านั้น สวรรค์ย่อมจะตอบสนองคำขอของหอสมุดเทียบฟ้า และส่งการลงทัณฑ์มายังคนทรยศ!


เพียงแต่…เขาเคยเผชิญหน้ากับการทดสอบสายฟ้าที่ส่งการลงทัณฑ์เข้าใส่เหล่าผู้หยั่งรู้มาหลายครั้งแล้ว ซึ่งอานุภาพทำลายล้างของมันไม่เหมือนกับการทดสอบวรยุทธ การทดสอบสายฟ้านี้จะเล่นงานเพียงแค่ของล้ำค่าหรือตัวบุคคลเท่านั้น…แล้วเขาจะต้องทำอย่างไร ถึงจะเรียกการทดสอบสายฟ้าที่มีขนาดใหญ่โตพอจะสังหารเผ่าพันธุ์ปีศาจทั้งหมดได้?


เผ่าพันธุ์ปีศาจพวกนี้ไม่ได้เป็นพวกที่เล่นตามกฎเกณฑ์เหมือนอย่างเหล่านักรบจากศาลาว่าการที่ราบธารน้ำแข็งและปูชนียสถานนักปราชญ์ หากการทดสอบสายฟ้ามาปรากฏเหนือพวกมันในตอนนี้พวกมันคงจะขับไล่การทดสอบสายฟ้าไปก่อนที่จะทันได้ทำอย่างอื่น


เมื่อต้องเผชิญกับทั้งกองทัพ ก็ไม่มีทางที่การทดสอบสายฟ้าจะทำอะไรได้


อีกอย่าง การทดสอบสายฟ้าโดยทั่วไปไม่มีอันตรายมากนักกับนักรบที่มีระดับวรยุทธเหนือกว่าขั้นร่างอันทรงเกียรติหากพวกมันเตรียมตัวพร้อม ในวรยุทธระดับนี้ มีแต่เปลวเพลิงสวรรค์เท่านั้นที่สามารถทำอันตรายพวกมันได้


เผ่าพันธุ์ปีศาจที่ได้เผชิญหน้ากับเซียนดาบชิงเหมิงน่าจะเป็นนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานเป็นอย่างน้อย เพราะฉะนั้น การทดสอบสายฟ้าแบบทั่วไปจึงทำอันตรายมันไม่ได้มาก


หากเราจะทำจริงๆ ก็ต้องเรียกการทดสอบสายฟ้าที่มีพลังมากพอตั้งแต่แรก ไม่อย่างนั้นก็มีแต่จะทำให้พวกมันรู้ตัว…จางเซวียนคิดขณะที่พยายามระงับความอยากใช้หอสมุดเทียบฟ้าเอาไว้


“หยุด!”


ขณะที่ความคิดของจางเซวียนกำลังล่องลอยไป เขาก็ยังคงเดินไปพร้อมกับพลทหารเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวอื่น พวกเขาเดินทางมาหลายลี้ก่อนที่นายพลอ้าววั่วจะยกมือขึ้นและสั่งการให้หยุด


เห็นเผ่าพันธุ์ปีศาจทุกตัวชะงักฝีเท้า จางเซวียนก็ไม่กล้าทำอะไรให้เป็นที่ผิดสังเกต


“วางกล่องลงที่นี่ แล้วพวกคุณก็กลับไปได้!”


“ขอรับ”


ทุกตัวรีบพยักหน้า พวกมันวางกล่องลงก่อนจะออกจากพื้นที่นั้นไป


จางเซวียนออกมาพร้อมกับพลทหารเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวอื่นๆ แต่หลังจากเดินมาได้ระยะหนึ่ง เขาก็แอบสร้างฉนวนแห่งมิติขึ้นล้อมรอบตัวเองเพื่อพรางตัวไว้ ก่อนจะลักลอบกลับไป


หลังจากที่เขาเดินกลับไปได้ไม่นาน ก็เห็นเผ่าพันธุ์ปีศาจร่างใหญ่โตตัวหนึ่งกำลังเดินเข้ามา


เผ่าพันธุ์ปีศาจร่างใหญ่ตัวนั้นแผ่รังสีที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าตัวอื่นๆทำให้เกิดความน่าเกรงขามอย่างน่าทึ่ง เจตนาสังหารอันทรงพลังที่มันแผ่ออกมารอบตัวมันนั้นดำมืดราวกับหมึก แค่การเหลือบมองเพียงครั้งเดียวก็มากพอจะทำให้เจตนาสังหารเข้าเล่นงานจิตใจของอีกฝ่ายจนสูญสิ้นประสิทธิภาพการต่อสู้แล้ว


ฮ่องเต้เผ่าพันธุ์ปีศาจ! จางเซวียนหรี่ตา


ลำพังแค่ความเข้มข้นของเจตนาสังหารที่เผ่าพันธุ์ปีศาจร่างใหญ่แผ่ออกมา ก็เหนือชั้นกว่าฮ่องเต้ฉิงเทียนมาก จางเซวียนรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่คล้ายคลึงกับไอ้โหดและเผ่าพันธุ์ปีศาจที่เป็นนักปราชญ์โบราณที่เขาเพิ่งสังหารไป แน่นอนว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวนี้อ่อนด้อยกว่ามากหากเปรียบเทียบกับทั้งคู่ แต่ก็ยังถือว่าไร้เทียมทานอยู่ดี


ต่อให้มันไม่ใช่ฮ่องเต้เผ่าพันธุ์ปีศาจ ก็คงจะใกล้เคียง


“คารวะท่านแม่ทัพ” นายพลอ้าววั่วรีบประสานมือและทักทายเผ่าพันธุ์ปีศาจร่างใหญ่ตัวนั้น


“อือ!” แม่ทัพพยักหน้า “ตอนนี้คุณไปได้แล้ว ผมไม่อยากให้ใครรบกวน”


“ขอรับ ท่านแม่ทัพ” นายพลอ้าววั่วพยักหน้าก่อนจะรีบเดินจากมา


หลังจากแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ๆ แม่ทัพเผ่าพันธุ์ปีศาจก็เดินเข้าหากล่องเหล่านั้น ด้วยการโบกมืออย่างสง่างาม ทุกกล่องก็ระเบิดออก เปิดเผยให้เห็นความลับที่อยู่ภายใน


ภายในแต่ละกล่องคือแผ่นหินที่มีความสูงเท่าๆกัน มีกระจกเงาบานหนึ่งวางอยู่บนแผ่นหินแต่ละแผ่น กระจกเงาเหล่านี้อยู่ในมุมแตกต่างกันไป เมื่อส่งแสงสะท้อนออกมาก็ก่อเกิดเป็นภาพสามมิติที่มีรูปร่างเหมือนกระดองเต่าอยู่กลางอากาศ


การปรากฏขึ้นของภาพ 3 มิติกระตุกความรู้สึกของจางเซวียน มันคือสัญญาณที่บ่งบอกว่าปราการที่ปกปิดบางอย่างจากสวรรค์ไว้มีความแข็งแกร่งขึ้น หากเขาไม่เห็นกับตา เขาจะไม่รู้เลยว่ามีของล้ำค่าแบบนี้ซ่อนอยู่


ยังมีอีกกล่องหนึ่งอยู่ตรงนั้น


ถึงตอนนี้ จางเซวียนสังเกตเห็นว่ายังมีอีกกล่องหนึ่งอยู่ตรงกลางซึ่งยังไม่ถูกเปิดออก


แม่ทัพเผ่าพันธุ์ปีศาจหลับตาและสัมผัสรังสีที่อยู่รอบตัวก่อนจะเดินไปยังกล่องที่อยู่ตรงกลาง มันทาบฝ่ามือลงไปบนฝากล่อง


บึ้มมม!


กล่องนั้นระเบิดออก เผยให้เห็นกระบี่สีแดงก่ำราวกับเลือดที่ลอยอยู่กลางอากาศ ด้ามกระบี่เป็นรูปหัวกระโหลกที่มีสีหน้าดุร้ายกระบี่เล่มนั้นให้ความรู้สึกที่ดูโหดเหี้ยม


ช่างเป็นกระบี่ที่ไร้เทียมทานอะไรอย่างนี้…ถึงจะยังเทียบไม่ได้กับหอกสวรรค์กระดูกมังกร แต่แน่นอนว่าจะต้องเป็นของล้ำค่าที่ไม่ธรรมดา…จางเซวียนหรี่ตา


รังสีอันตรายที่แผ่ออกมาจากกระบี่นั้นแข็งแกร่งกว่าดาบของนักปราชญ์โบราณจื่อร่งที่หนานกงหยวนเฟิงมอบให้ตระกูลหลัวเสียอีก!


“นี่มันของล้ำค่าระดับกึ่งนักปราชญ์โบราณนี่!” เสียงหอกสวรรค์กระดูกมังกรดังขึ้นในหัวของจางเซวียน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)