ลำนำบุปผาพิษ 1668-1671
บทที่ 1668 มีวันนี้ในทุกๆ ปี 4
ตี้ฝูอีกล่าวอย่างเรียบเฉย “ครั้งนี้คนที่ต้องการตามหาคือสหายของเจ้า ข้าเพียงแค่ช่วยเหลือเจ้า!” อีกนัยหนึ่งก็คือ เจ้าไม่ละอายใจที่ให้ข้าสิ้นเปลืองพลังวิญญาณตลอดเลยหรือ?
กู้ซีจิ่วพูดจาอันใดไม่ออก
เธอรับแตรสังข์นั้นมาโดยไม่พูดอะไร ใช้วิชาชำระล้างอย่างเงียบๆ จากนั้นจึงลองใช้พลังวิญญาณน้ำเป่า ผลลัพธ์คือ…ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เธอมองไปทางเขา ภายในธารน้ำใต้ดินไม่มีแสงสว่างแม้แต่น้อย ทว่าด้วยพลังยุทธ์ของทั้งสองคน ต่อให้อยู่ท่ามกลางค่ำคืนที่มืดมิดก็มองเห็นได้ ดังนั้นตี้ฝูอียังคงมองเห็นดวงตาเป็นประกายคู่นั้น ขาวดำตัดกันชัดเจน ทั้งกลมและโต
นางมีผิวพรรณขาวนวล ริมฝีปากชมพูระเรื่อ ยืนอย่างเงียบสงัดภายใต้ลำน้ำสีฟ้าคราม งดงามยิ่งกว่าชาวเงือกที่สวยที่สุดในโลกใบนี้
ตี้ฝูอีละสายตาออกในทันใด สอนวิธีการเป่าแตรสังข์ในน้ำแก่นาง เขาสอนอย่างถี่ถ้วน นางก็ตั้งใจฟังอย่างมากเช่นกัน
ยามเขาสอนนาง เนื่องจากต้องสอนกลเม็ดเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ มากมาย ร่างกายของทั้งสองย่อมใกล้ชิดกันเป็นธรรมดา ถึงขนาดที่ตี้ฝูอีได้กลิ่นหอมของสตรีจางๆ บนร่างกายนาง
ถึงแม้ทั้งสองใกล้ชิดกัน ทว่าร่างกายไม่ได้สัมผัสถูกกัน กู้ซีจิ่วยังคอยระมัดระวังหลบเลี่ยงไม่ให้สัมผัสถูกเนื้อตัวเขา
กู้ซีจิ่วย่อมได้กลิ่นหอมเย็นชาที่คุ้นเคยบนตัวเขาเช่นกัน ความเจ็บปวดและความอยุติธรรมที่คุ้นเคยส่งผ่านจากหัวใจ…
เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย ปิดการรับรู้กลิ่นของตัวเอง เพื่อป้องกันไม่ให้จิตใจตัวเองสับสนวุ่นวายอีกครั้ง
เธอเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว ไม่นานก็เรียนรู้วิธีการเป่าแตรสังข์นี้ได้แล้ว ดังนั้น เธอจึงเป็นคนรับรู้กลิ่นอายของชาวเงือกในเส้นทางที่เหลือ…
จู่ๆ เธอก็นึกคำถามหนึ่งขึ้นมาได้ “จริงสิ จิ้งจอกน้อยใช้วิชาดำน้ำไม่เป็น หากลงมาอยู่ใต้น้ำนี้จริงๆ จะขาดอากาศหายใจตาย เช่นนั้นชาวเงือกพานางไปได้อย่างไร?”
ตี้ฝูอีเหลือบมองนางแวบหนึ่ง “คำถามนี้เจ้าลองค้นหาความทรงจำชาวเงือกดูก็จะพบคำตอบ”
กู้ซีจิ่วกระชับกำปั้นเล็กน้อย ในสมองเธอมีความทรงจำบางส่วนของหลานจิ้งเคอก็จริง ทว่าจิตใต้สำนึกของเธอต่อต้านสิ่งนี้เป็นอย่างมาก ดังนั้นความทรงจำของหลานจิ้งเคอจึงถูกเธอกดทับไว้ในส่วนลึกสุดของสมอง ไม่ให้มันปรากฏออกมาแม้แต่น้อย
หากไม่ได้ทำเพื่อตามหาจิ้งจอกน้อย แม้แต่วิชาดำน้ำเธอก็ไม่อยากใช้งาน!
เขาชอบให้เธอนึกถึงความทรงจำของหลานจิ้งเคอตลอด นี่เขาคิดว่าหัวใจเธอยังบอบช้ำไม่พอ ยังอยากทำให้เธอกลายเป็นหลานจิ้งเคออีกงั้นหรือ?
ความไม่พอใจก่อตัวขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าพริ้มเพราของเธอเย็นชาเล็กน้อย “นั่นไม่ใช่ความทรงจำของข้า! ข้าก็ไม่อยากค้นหาเช่นกัน ท่านไม่ตอบก็ช่างเถิด ถือเสียว่าข้าไม่เคยเอ่ยถาม!” หันกายแล้วดำน้ำไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
ตี้ฝูอีนิ่งอึ้ง
ในความเป็นจริง นางในตอนนี้ช่างอ่อนไหวเหลือเกิน เป็นเขาเองที่นึกไม่ถึงเรื่องพวกนี้ไปชั่วขณะ จนพลั้งปากพูดแทงใจดำนาง…
เขาทอดถอนใจเบาๆ แล้วตามนางไป
เขาอธิบายในขณะที่ตามนาง “ชาวเงือกใช้ฟองอากาศห่อหุ้มพาคนไปได้ อากาศภายในฟองอากาศทำให้คนหายใจได้ไม่เกินหนึ่งชั่วยาม”
ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็เข้าใจแล้ว “หากชาวเงือกผู้นั้นไม่อยากให้จิ้งจอกน้อยมีอันเป็นไป ก็ต้องขึ้นมาหายใจเมื่อผ่านไปทุกช่วงเวลาหนึ่งอย่างแน่นอน เพื่อเปลี่ยนฟองอากาศ”
ระยะเวลาที่พูดคุยกัน ทั้งสองก็ผ่านทางแยกเจ็ดแปดทางแยก เดินทางไปทั้งหมดร้อยกว่าลี้ เมื่อเป่าแตรสังข์อีกครั้ง ระลอกคลื่นก็ปรากฏทิศทางขึ้นไปในแนวดิ่ง
ไม่ต้องสงสัยเลยชาวเงือกผู้นั้นพาคนขึ้นไป!
ทั้งสองรีบขึ้นจากธารน้ำใต้ดิน กลับมาบนผืนดินทันที
ด้านนอกเป็นทุ่งบุปผานานาพันธุ์ผืนหนึ่ง มีบุปผาที่ไม่รู้จักชื่อกระจัดกระจายกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
สถานที่ที่พวกเขาขึ้นมาจากน้ำเป็นทะเลสาบผืนใหญ่แห่งหนึ่ง
ยามนี้ท้องฟ้ามืดมิด จันทร์เสี้ยวลอยเด่นกลางท้องนภาดังขนงดำขลับ แสงจันทรากระจ่างใสสาดส่องเป็นประกายบนผืนทะเลสาบ หยดน้ำพริ้วพราว
ความงดงามของทิวทัศน์ประหนึ่งภาพวาด
จันทราเฉิดฉายเหนือกิ่งสน คู่รักนัดพบกันยามสนธยา
จินตนาการอันสวยงาม ทั้งสองคนรู้จักกันมาเนิ่นนานขนาดนี้ อยู่ร่วมกันมายาวนานถึงเพียงนี้ ไม่รู้กี่ครั้งกี่คราที่เห็นทิวทัศน์เช่นนี้ ภาพฉากแบบนี้
ตอนนั้นในใจเปี่ยมล้นด้วยความสุข แทบจะอดรนทนไม่ไหวที่จะมีวันนี้ในทุกๆ ปี มีช่วงเวลานี้ไปทุกๆ ปี
ยามนี้เมื่อเห็นภาพฉากเช่นนี้ กู้ซีจิ่วกลับรู้สึกเจ็บปวดทิ่มแทงหัวใจ…
——————————————————————
บทที่ 1669 เจ้าเคยชอบกินมาก
เธอทอดถอนใจเบาๆ ข่มความร้อนรุ่มอย่างมิอาจบรรยายได้ในใจ และเริ่มตามหาร่องรอยโดยรอบ
ร่องรอยที่แห่งนี้ไม่เคยมีผู้ใดจัดการอย่างเห็นได้ชัด ตามหาได้อย่างง่ายดาย
เธอพบร่องรอยที่ทั้งสองทิ้งไว้ได้อย่างรวดเร็ว มีอยู่ทั่วทั้งทุ่งหญ้าและบุปผานานาชนิด
จากร่องรอยเก่าของต้นไม้ใบหญ้าที่ขาดช่วงขาดตอน กู้ซีจิ่วสันนิษฐานว่านี่เป็นร่องรอยที่เหลือทิ้งไว้เมื่อสองวันก่อน และตอนนั้นจิ้งจอกน้อยยังมีสติอยู่ ทว่าอยู่ภายใต้การควบคุม เห็นได้ชัดว่าชาวเงือกที่พาตัวนางไปก็ไม่ได้วางใจ นั่งพักตรงนี้เพียงแค่ช่วงเวลาหนึ่ง
ตี้ฝูอียืนมองนางยุ่งง่วนอย่างเป็นขั้นเป็นตอนอยู่ไม่ไกล ตั้งแต่ต้นจนจบไม่แม้แต่จะเหลือบมองเขาสักนิด
ยามนี้นางมีชีวิตที่ดียิ่งนัก เชื่อว่าต่อไปจะยิ่งดีขึ้นไป บางทีต่อไปอีกไม่กี่ปีนางอาจจะลืมเขาจนหมดสิ้นก็ได้…
นางใช้ชีวิตอยู่ได้อีกนานแสนนาน ส่วนช่วงเวลานี้ของเขาและนางจะกลายเป็นแค่เพียงละครฉากหนึ่งในชีวิตที่แสนยาวนานของนาง ไม่แน่ต่อไปนางอาจได้พบเจอสามีที่อยู่ร่วมกับนางได้ตลอดไปอย่างแท้จริง ทั้งคู่ร่วมกันปกครองใต้หล้า ดังเช่นเขาและนางในตอนนั้น…
เขาจำได้ว่านางเคยพูดประโยคหนึ่ง ไม่สำคัญว่าสตรีจะพบพานบุรุษเลวทราม สิ่งสำคัญคือปล่อยวางและลืมเลือนให้ได้ทันที ทำให้ตัวเองใช้ชีวิตได้ดียิ่งขึ้นไป
เขายังจำได้ นางเคยพูดว่ากาลเวลาเป็นยารักษาความเจ็บปวดได้ดีที่สุด ความเจ็บปวดใดๆ ล้วนจืดจางและจางหายไปตามกาลเวลา จนในที่สุดก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย…
เขาจำถ้อยคำที่นางเคยพูดได้มากมาย โดยปกติเขาคร้านที่จะจำถ้อยคำยุ่งเหยิงเหล่านั้น ทว่าถ้อยคำที่นางเคยเอื้อนเอ่ยเขาล้วนจำได้และไม่มีทางลืมเลือน
เขานั่งลงบนศิลาเขียวก้อนหนึ่ง ดูนางยุ่งง่วน
เขารู้ว่าตัวเองกำลังดื่มสุราพิษดับกระหาย ทว่าเขาก็ยังอยากพบเจอนาง มองนางให้มากในบั้นปลายชีวิตที่เหลืออยู่
แม้ว่านางจะไม่แสดงท่าทีใดๆ ต่อเขา แม้ว่านางจะพูดคุยคบหากับชายคนอื่น แม้ว่านางจะมองเขาเป็นเพียงคนแปลกหน้า…
เขาหลุบตาลงมองมือของตัวเอง นึกไม่ถึงมาก่อนเลยว่าเขาจะทรมานตัวเองถึงเพียงนี้
กู้ซีจิ่วเคยบอกว่าคนประเภทนี้เป็นคนอย่างไรนะ?
พวกซาดิสม์
…
หลังจากกู้ซีจิ่วตรวจสอบเสร็จสิ้น เธอหันหลังกลับมา มองเห็นเขานั่งอยู่ตรงนั้น ด้านหน้ามีถาดผลไม้ถาดหนึ่ง ด้านในมีผลไม้อยู่สี่ชนิด มีสองชนิดที่เธอเคยชอบกิน
กู้ซีจิ่วชอบของรสหวาน ผลไม้ที่ชอบกินก็เป็นชนิดที่หวานเป็นพิเศษ
ตอนนั้นที่เขาพาเธอออกไปเที่ยวเล่นหรือทำธุระก็จะเตรียมผลไม้ไว้เสมอ อีกทั้งยังเป็นไม่กี่ชนิดที่เธอชอบกินที่สุด เพื่อเสริมสร้างพละกำลังให้
ตี้ฝูอีสบตานาง ยกมือขึ้นโยนสาลี่สีทองให้นางลูกหนึ่ง “กินสาลี่เสริมกำลังเสียหน่อย” การใช้วิชาดำน้ำสิ้นเปลืองพลังวิญญาณเป็นอย่างมาก
“ขอบคุณ” กู้ซีจิ่วพลันสะบัดแขนเสื้อ สาลี่ลูกนั้นก็ลอยกลับคืนไป เธอหยิบแอปเปิ้ลลูกหนึ่งออกมาจากช่องมิติเก็บของ นั่งแทะกินอยู่บนศิลาก้อนหนึ่งด้านข้าง
ตี้ฝูอีมองสาลี่ในมือแล้วมองนางอีกครา ยิ้มมิเชิงยิ้ม “ทูตสวรรค์กู้ ยามนี้พวกเราเป็นแค่เพียงสหายร่วมทางเพื่อทำสิ่งหนึ่งร่วมกัน ข้าให้สิ่งนี้แก่เจ้าไม่มีความหมายอื่นใด ไม่จำเป็นต้องแบ่งแยกกันชัดเจนถึงเพียงนี้กระมัง?”
แค่สาลี่ลูกเดียวเท่านั้น นางก็ไม่ต้องการรับของของเขา?
กู้ซีจิ่วไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา “ไม่เกี่ยวกับแบ่งแยกไม่แบ่งแยก ข้าเพียงแค่ไม่ชอบกินสาลี่”
“เจ้าเคยชอบกินมาก”
“ท่านก็พูดเองว่าเคย รสนิยมของคนเราก็เปลี่ยนแปลงกันได้” ขณะที่กู้ซีจิ่วพูดก็กัดแทะแอปเปิ้ลไปครึ่งลูกแล้ว แอปเปิลลูกนั้นมีรสเปรี้ยวมากกว่าหวาน ถึงขนาดที่มีรสขม ทว่าพักนี้เธอชอบรสชาติเช่นนี้จริงๆ
เมื่อกินของที่หวานเกินไปจนคุ้นชินก็จะกินรสขมไม่ไหว ทว่าชีวิตมนุษย์จะมีแต่รสชาติหวานได้อย่างไรเล่า?
อันที่จริงเธอรูปร่างไม่เตี้ย ทว่าตอนนั่งกินอยู่ตรงนั้นไม่รู้ด้วยเหตุอันใดจึงให้ความรู้สึกอรชรเปล่าเปลี่ยว เหมือนสัตว์ร้ายที่ถูกโยนเข้าไปในป่ารกร้าง พยายามเรียนรู้ที่จะอยู่รอดด้วยตัวเอง แม้แข็งแกร่งทว่าอ่อนแอ ทำให้คนทุกข์ใจ
บทที่ 1670 พวกเราไม่จำเป็นต้องแยกกันตามหา
ตี้ฝูอีละสายตาจากร่างนาง เอ่ยถามหนึ่งประโยค “ตรวจพบอะไรบ้าง?”
“ที่นี่มีรอยเท้าของคนสองคน เป็นของจิ้งจอกน้อยกับชาวเงือกผู้นั้น ข้าจำรอยเท้าของจิ้งจอกน้อยได้ แต่รอยเท้าของชาวเงือกผู้นั้นไม่ใหญ่และไม่ลึก น่าจะเป็นสตรีนางหนึ่ง สูงร้อยหกสิบสาม น้ำหนัก…”
เธอพูดน้ำหนักและส่วนสูงของชาวเงือกนั้นออกมาอย่างแม่นยำ จากนั้นสายตาก็ร่อนลงบนร่างของตี้ฝูอี “ท่านรู้ว่านางเป็นใครใช่หรือไม่?”
ตี้ฝูอีไม่ปฏิเสธ “รู้ หากไม่มีอันใดผิดพลาด น่าจะเป็นหลานจิ้งอี๋ นางหายตัวไปห้าวันแล้ว”
ทายถูกนั่นเรื่องหนึ่ง ส่วนที่เขายอมรับด้วยตัวเองก็อีกเรื่องหนึ่ง กู้ซีจิ่วแอบทอดถอนใจ “ท่านตามข้ามาก็เพื่อต้องการตามหาหลานจิ้งอี๋กระมัง?”
ตี้ฝูอีจ้องมองนางครู่หนึ่ง ไม่แสดงความคิดเห็นใด “แตกต่างกันอย่างไร? ไม่ว่าจุดมุ่งหมายของข้าคืออะไร อย่างไรเสีย ครั้งนี้พวกเราต่างก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว”
ใช่สิ เธอตามหาจิ้งจอกน้อย ส่วนเขาก็ตามหาหลานจิ้งอี๋
ทั้งสองคนยังอยู่ด้วยกัน ลงเรือลำเดียวกันจริงๆ! มิน่าเขาถึงได้ช่วยเหลือเธอตามหาคนอย่างสบายใจเช่นนี้ ที่แท้ก็แค่บังเอิญร่วมทางกันก็เท่านั้น
กู้ซีจิ่วบอกตัวเองว่าไม่จำเป็นต้องโกรธเคือง ทว่าความโศกเศร้าที่ก่อตัวถี่ขึ้นภายในอกทำให้ลำคอเธอรู้สึกบีบเกร็ง
แอปเปิลลูกนั้นที่กัดแทะไปครึ่งหนึ่งก็กลืนไม่ลงอีกต่อไป
เธอโยนแอปเปิลครึ่งซีกนั้นทิ้ง ลุกขึ้นยืนและเดินตระเวนที่จุดเดิมอยู่รอบหนึ่ง เมื่อหาธารน้ำที่แม่นยำได้แล้วก็ดำน้ำลงไปอีกครั้ง
ตี้ฝูอีลุกขึ้นยืน ยกแขนเสื้อขึ้น กลิ้งแอปเปิลที่นางกัดแทะไปครึ่งลูกมาไว้ในมือตัวเองและมองดู แอปเปิลลูกนั้นกลิ้งไปมาบนพื้นดินจนสกปรกแล้ว เนื้อในเปรอะเปื้อนเศษดินเศษหญ้า
ตี้ฝูอีใช้นิ้วมือดีดเศษดินและเศษหญ้าออก กัดกินเข้าไปคำหนึ่ง ทั้งเปรี้ยวและขม เป็นรสชาติที่ปกตินางไม่ชอบกินที่สุด
จู่ๆ ตอนนี้นางกลับชอบกิน เพราะมันเข้ากับสภาพจิตใจนางในตอนนี้หรือ?
เขานำแอปเปิลครึ่งลูกใส่ไว้ในถุงมิติเก็บของของตัวเอง จากนั้นก็ดำน้ำลงไป
ครั้งนี้กู้ซีจิ่วดำน้ำรวดเร็วยิ่งนัก ตี้ฝูอีตามไปด้างหลังอยู่หนึ่งเค่อเต็มๆ ถึงตามนางได้ทัน
เธอสงบจิตใจได้มากแล้ว เมื่อเห็นเขาตามมา จึงขมวดคิ้วเล็กน้อยและกล่าวอย่างเรียบเฉย “บางทีพวกเราแยกกันตามหาอาจจะเร็วขึ้นอีกสักหน่อย” เธอไม่อยากร่วมทางไปกับเขาแล้ว!
“เส้นทางที่พวกนางไปคือธารน้ำเส้นเดียวกัน พวกเราไม่จำเป็นต้องแยกกันตามหา” ตี้ฝูอียังคงมีเหตุผลยิ่งนัก
วาจานี้เพิ่งกล่าวจบ แตรสังข์ติดตามร่องรอยก็ถูกกู้ซีจิ่วโยนเข้าในอ้อมอกเขา “ในเมื่อท่านก็ตามหาคนอยู่เหมือนกัน เช่นนั้นก็ไม่อาจบอกได้ว่าช่วยเหลือข้า ท่านก็ควรลงแรงบ้าง!”
ตามหาคนของตัวเองทั้งนั้น เหตุใดต้องให้เธอยุ่งง่วนอยู่คนเดียว?
ตี้ฝูอีนึกไม่ถึงว่านางจะคิดเล็กคิดน้อยกับเขาเช่นนี้ จึงชะงักงันไปชั่วขณะ เขาโยนแตรสังข์นั้นให้นาง แล้วหยิบอันใหม่ออกมา “ข้ายังมีอีกอัน พวกเราเป่ากันคนละครั้งเถิด เช่นนี้ยุติธรรมดี”
กู้ซีจิ่วไร้ซึ่งวาจา เขาคิดเล็กคิดน้อยกับเธออย่างเห็นได้ชัด ไม่ยอมเสียเปรียบแม้แต่น้อย!
ช่างเถิด เธอก็ไม่อยากเอาเปรียบเขาเหมือนกัน เอาตามนี้ก็แล้วกัน
ทั้งสองดำน้ำต่อไป ทุกครั้งที่ถึงทางแยก ทั้งสองล้วนแยกกันเป่าแตรสังข์เพื่อดูระลอกน้ำ ไม่มีผู้ใดเอารัดเอาเปรียบผู้ใด
แน่นอนว่าเนื่องจากกู้ซีจิ่วเพิ่งเรียนรู้สิ่งนี้เป็นครั้งแรก ยังคงเกิดความผิดพลาดอยู่บ้างเป็นครั้งคราว ทำให้เธอไปผิดทาง
เคราะห์ดีที่ตี้ฝูอีมีสัญชาตญาณในเรื่องนี้ดีเยี่ยมจนน่าตกใจ เมื่อใดที่กู้ซีจิ่วเกิดความผิดพลาด เขาก็ดูออกและแก้ไขได้ทันท่วงที ทั้งสองจึงไม่ได้อ้อมไปไกล
ระหว่างทางนอกจากเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องพูดคุยกันแล้ว ทั้งสองก็ไม่ได้พูดคุยกันเรื่องอื่นๆ แม้แต่ประโยคเดียว
เมื่อเป็นเช่นนี้ ทั้งคู่จึงไม่ทราบเช่นกันว่าเดินทางอยู่ใต้ดินลึกสักกี่ลี้แล้ว
———————————————————————–
บทที่ 1671 สรุปแล้วเป็นอะไรกันแน่?
เมื่อเป็นเช่นนี้ ทั้งสองคนจึงไม่ทราบเช่นกันว่าเดินทางอยู่ใต้ดินลึกสักกี่ลี้แล้ว ออกจากธารน้ำใต้ดินมาหายใจบนผิวดินเป็นครั้งคราวด้วย ถือโอกาสตรวจสอบร่องรอยไปด้วย มองจากร่องรอยแล้ว พวกเขาไม่ได้ไล่ตามผิดทาง
วิชาดำน้ำประเภทนี้สิ้นเปลืองพลังกายยิ่งนัก ถึงแม้พลังวิญญาณของกู้ซีจิ่วจะสูงส่งพอแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังเป็นเด็กสาวคนหนึ่ง พลังกายย่อมสู้ตี้ฝูอีไม่ได้เป็นธรรมดา
ดังนั้นเมื่อถึงช่วงท้าย ส่วนใหญ่จึงเป็นตี้ฝูอีที่เป่าแตรสังข์นั้นเพื่อแยกแยะรูปแบบวารี กู้ซีจิ่วติดตามอยู่ด้านหลังเขา
คงเป็นเพราะเดินทางอยู่ในธารน้ำใต้ดินที่หนาวเย็นเป็นเวลานาน ท้องของกู้ซีจิ่วจึงปวดแปลบขึ้นมาเป็นพักๆ เริ่มแรกเพียงปวดแปลบๆ ต่อมาก็ลุกลามกลายเป็นอาการปวดเสียด เหมือนอาการปวดประจำเดือนที่เล่าขานกันยิ่งนัก แถมยังเป็นชนิดที่ปวดอย่างรุนแรงที่สุดด้วย
ราวกับมีมีดเล่มหนึ่งค่อยๆ บิดคว้านอยู่ด้านใน ปวดจนหน้าผากเธอมีหยาดเหงื่อเย็นเฉียบผุดพราย
ถึงอย่างไรเธอก็เป็นหมอ ต่อให้เมื่อก่อนไม่เคยมีอาการเช่นนี้มาก่อน ก็ยังทราบดีว่าเกิดอะไรขึ้น ทำเอาสบถด่าอยู่ในใจ!
บางทีอาจเกี่ยวข้องกับการมีอารมณ์แปรปรวนหลังจากคืนร่างเดิมแล้ว ตลอดครึ่งปีมานี้ประจำเดือนของเธอจึงไม่มาเลย ทำให้เธอเกือบสงสัยแล้วว่าพลังวิญญาณของตนสูงส่งเกินไป ฝึกฝนวรยุทธ์สำเร็จจนในที่สุดประจำเดือนก็หายไปด้วย ไม่มาอีกต่อไปแล้ว
แต่อาการปวดท้องเป็นพักๆ ในยามนี้ ทำให้เธอทราบว่าในที่สุดประจำเดือนของเธอก็มาเยี่ยมแล้ว!
ช่างมาได้ไม่ถูกเวลาโดยแท้!
เธอปรับลมปราณอยู่ด้านหลังอย่างเงียบๆ โคจรพลังวิญญาณไปที่หน้าท้อง สะกดความเจ็บปวดเช่นนั้นไว้
ตี้ฝูอีที่อยู่ด้านหน้าเดินทางอย่างรวดเร็ว เธอก็ร้อนใจอยากไปช่วยจิ้งจอกน้อยเหมือนกัน ดังนั้นจึงรีบเร่งพุ่งทะยานไปด้านหน้าเช่นกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้เธอจึงไม่สามารถสงบใจปรับลมปราณเพื่อรักษาตัวเองได้ ทำได้เพียงฝืนข่มกลั้นเอาไว้ ยิ่งข่มกลั้นเท่าไหร่ยิ่งปวดขึ้นเรื่อยๆ…
ถ้าเป็นในอดีต เธอคงให้เขาพาเธอเดินทางไป ถือโอกาสให้เขาทำการรักษาให้เธอด้วย
ช่วงเวลาแปดปีนั้นที่อยู่ด้วยกันมา ถ้าระหว่างเดินทางเธอรู้สึกไม่สบายเล็กๆ น้อยๆ ก็จะให้เขาอุ้มเธอหรือไม่ก็โอบประคองเธอไป บางครั้งก็ให้เขาแบกขึ้นหลังไป
ช่วงเวลานั้นเธออ่อนแอบอบบางอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ยึดเขาเป็นที่พึ่งของตน เป็นปีกคุ้มกันที่แข็งแกร่งที่สุด
ตอนนี้เขาไม่ใช่ที่พึ่งของเธออีก คนที่เธอพึ่งได้มีแต่ตัวเธอเองเท่านั้น ต่อให้ปีกหักไปแล้ว เธอก็ต้องกัดฟันยืนหยัดไว้
ถึงแม้จะปวดจนสองขาอ่อนแรง เบื้องหน้ามืดมัว แต่เธอก็ยังไม่เอ่ยออกมาสักแอะ
ลอบคำนวณอยู่ในใจว่ารอให้เดินทางต่อไปอีกไม่กี่สิบลี้ ก็สามารถขึ้นไปหายใจบนผิวดินสืบหาเบาะแสอีกครั้งได้แล้ว เมื่อถึงเวลานั้นเธอค่อยรักษาให้ตัวเองก็ยังไม่สาย…
ช่วงที่เธอคิดคำนวณอยู่ใจลอยไปพักหนึ่ง ไม่เห็นว่าตี้ฝูอีที่นำอยู่ด้านหน้าจู่ๆ ก็หยุดลง เธอไม่ทันระวังไปชั่วขณะ ชนถูกร่างเขาเข้าเต็มๆ!
การชนครั้งนี้ทำให้เธอเวียนหัวตาลายยิ่งขึ้นกว่าเดิม แต่ยังคงถอยหลังไปสองสามก้าวตามสัญชาตญาณ
อาการวิงเวียนจนเห็นดาวเพราะการชนยังไม่ทันสลายหายไป แขนก็ถูกคนจับไว้แล้ว “เจ้าเป็นอะไร?”
“ไม่เป็นไร อยู่ดีๆ ท่านหยุดทำไม?” เธอขมวดคิ้ว คิดจะชักแขนกลับมาจากการเกาะกุมของเขา
แต่เห็นได้ชัดว่าตี้ฝูอีไม่ยอมปล่อย “สีหน้าเจ้าผิดปกติ! สรุปแล้วเป็นอะไรกันแน่?”
เขายื่นมือไปหมายจะจับข้อมือนาง อยากตรวจชีพจรของนางดูสักหน่อย
กู้ซีจิ่วดิ้นซ้ายดิ้นขวาก็ดิ้นไม่หลุด โทสะโหมขึ้นมาอย่างน่าประหลาด “ปล่อยนะ! ตี้ฝูอี พวกเราหญิงชายมิพึงใกล้ชิดกัน!”
การดิ้นนี้ของเธอทำให้ปวดท้องหนักขึ้นกว่าเดิม สีหน้าซีดเซียวยิ่งขึ้น หยาดเหงื่อเย็นเฉียบก็ผุดขึ้นมากกว่าเดิม
อาการปวดพุ่งสูงขึ้นมาอย่างฉับพลันในคราวเดียว เธอแทบจะงอตัวแล้ว และลืมไปว่ากำลังใช้วิชาดำน้ำอยู่ เกือบจะสำลักน้ำแล้ว
ตี้ฝูอีไม่พูดอะไรอีก พลันออกแรงคราหนึ่ง ดึงเธอเข้าสู่อ้อมแขน จากนั้นพุ่งทะยานขึ้นสู่ด้านบน…
เมื่ออาการปวดของกู้ซีจิ่วเบาบางลง ตัวคนก็ลงมาบนพื้นดินแล้ว
หิมะขาวพิสุทธิ์ เหมยแดงเย้ายวน
พวกเขาร่อนลงกลางดงต้นเหมยผืนหนึ่ง
เป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิที่อากาศหนาวเหน็บ หิมะช่วงวสันต์ปลิวว่อนอยู่ด้านนอก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น