คัมภีร์วิถีเซียน 1667-1668
ตอนที่ 1667 เคล็ดวิชาลับผสานการโจมตี
ไฉ่หลิวอิงเอ่ยไปพลาง มือเรียวพลันยกขึ้น ดูดกล่องหยกมาจากกลางอากาศ เปล่งแสงสว่างวาบอีกครั้งแล้วหายวับไป
หานลี่เห็นเช่นนั้นพลันฉีกยิ้ม จากนี้ก็คุยเรื่องการฝึกฝนกับไฉ่หลิวอิง ไม่ได้เป็นฝ่ายเอ่ยถึงเจตนาที่หญิงสาวผู้นี้มาเลยสักนิด
หญิงงามเผ่าผลึกเห็นหานลี่มีท่าทางเช่นนี้ มุมปากพลันประดับไปด้วยรอยยิ้ม ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่ตนเองมาหาเช่นกัน
การพูดคุยครั้งนี้กินเวลาไปหนึ่งชั่วยาม ทั้งสองคนล้วนมีท่าทีสงบนิ่ง พูดคุยกันต่อไปอีกหนึ่งชั่วยาม
หญิงสาวสวมงอบสีขาวผู้นั้นยังคงปิดปากเงียบ แต่กลับมีท่าทีนั่งไม่ติด แววตาที่มองทะลุผ่านผ้าคลุม กวาดไปบนเรือนร่างของหานลี่และหญิงงามเผ่าผลึกไปมาไม่หยุด ท่าทางเหมือนหมดความอดทนแล้ว
ไฉ่หลิวอิงเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็มองค้อนหานลี่ ปากก็เอ่ยพร้อมกลั้วหัวเราะว่า
“สหายหาน ไม่ได้พบกันเพียงไม่กี่ปี สมาธิของเจ้ากลับไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว คาดไม่ถึงว่าจะไม่เอ่ยถามเจตนาการมาของข้า หรือว่าช่วงนี้ฝึกฝนเคล็ดวิชาลับอันใดอยู่ แล้วพลังยุทธ์เพิ่มขึ้น”
“ท่านอาวุโสล้อเล่นแล้ว ชนรุ่นหลังจะมีสมาธิได้อย่างไร แค่ท่านอาวุโสไม่ได้เป็นฝ่ายบอกก่อน ชนรุ่นหลังจะกล้าบุ่มบ่ามถามได้อย่างไร” หานลี่กลับตอบด้วยสีหน้านอบน้อม
“เช่นนั้น ก็เป็นข้าที่เข้าใจสหายหานผิด ทว่าแม้ว่าข้าจะไม่พูด คิดดูแล้วเจ้าก็คงจะเดาออกได้หลายส่วน” ไฉ่หลิวอิงฉีกยิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยอย่างคร่าวๆ
“เรื่องนี้…ชนรุ่นหลังพอจะเดาออกจริงๆ ที่ท่านอาวุโสมาในครั้งนี้ หรือว่าเกี่ยวข้องกับแดนกว้างเย็น” หานลี่เอ่ยถามอย่างซื่อตรง
“เหอๆ สหายเดาออกดังคาด ข้าและศิษย์มาเพราะเรื่องนี้ เชื่อว่าหลังจากนี้ไม่นาน สหายต้วนก็จะพาอีกคนมาเยี่ยมเยียน” ไฉ่หลิวอิงลูบไล้ฝ่ามือพลางฉีกยิ้ม
“เช่นนั้นหรือว่าศิษย์ก็คือ…” หานลี่พลันตกตะลึง สายตาตกอยู่บนร่างของหญิงสวมงอบ ท่าทางประหลาดใจไปเล็กน้อย
“ใช่แล้ว ศิษย์ก็คือคนที่ข้าเคยบอกก่อนหน้า เป็นหนึ่งในผู้ที่มีร่างดูดปราณ” หญิงงามเผ่าผลึกยอมรับอย่างตรงไปตรงมา
“หากชนรุ่นหลังจำไม่ผิดล่ะก็ คนที่ท่านอาวุโสพูดคราวก่อนน่าจะเป็นแขกผู้มีเกียรติถึงจะถูก เหตุใดถึงเปลี่ยนศิษย์ล่ะ?” หานลี่เอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
“นี่มันแปลกอันใด ปีก่อนข้าเพิ่งรับศิษย์มา” ไฉ่หลิวอิงฉีกยิ้มเบิกบานขณะเอ่ย
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง กลับเป็นชนรุ่นหลังที่เลอะเลือน” หานลี่มุมปากกระตุก แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่น
“หรือสหายคิดว่าข้ารับศิษย์ผู้นี้เพราะแดนกว้างเย็น?” หญิงงามเผ่าผลึกเอ่ยถามอย่างมีเลศนัย
“ชนรุ่นหลังจะคิดเช่นนั้นได้อย่างไร” หานลี่หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
“คิดเช่นนั้นก็ไม่เป็นอันใด ทว่าข้ารับประกันกับเจ้าได้ ศิษย์ผู้นี้คารวะเข้าเป็นศิษย์ข้าด้วยความเต็มใจ ไม่ได้บีบบังคับเลยสักนิด” ไฉ่หลิวอิงเผยท่าทีไม่ใส่ใจออกมา
“ข้าคารวะท่านอาจารย์ด้วยความจริงใจ ไม่ได้ถูกบีบบังคับ” ในที่สุดหญิงสวมงอบก็เอ่ยปากในยามนี้
น้ำเสียงทุ้มต่ำเล็กน้อย แต่ก็มีความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ช่างไพเราะยิ่งนัก
หานลี่ได้ฟังใบหน้าพลันเผยสีหน้าเคลิบเคลิ้มอย่างหาได้ยากออกมา จึงทำได้เพียงฉีกยิ้มอย่างเก้อเขินไม่ได้เอ่ยอันใดอีก
“ความจริงแล้วจุดประสงค์ที่ข้ามาในครั้งนี้นั้นง่ายมาก ก็คืออยากให้เจ้ารู้จักกับศิษย์ผู้นี้ก่อน รอจนไปถึงแดนกว้างเย็น ก็ต้องให้พวกเจ้าสองคนร่วมแรงร่วมใจกัน” ไฉ่หลิวอิงเอ่ยอย่างแช่มช้า
“ท่านอาวุโสกล่าวเช่นนี้ หรือว่าแดนกว้างเย็นใกล้จะเปิดแล้ว” หานลี่อดที่จะเอ่ยถามกลับไม่ได้
“สหายเดาไม่ผิด หากไม่มีความเปลี่ยนแปลงอื่น แดนกว้างเย็นจะเปิดในอีกหนึ่งเดือน” หญิงงามเผ่าผลึกหุบยิ้ม
“หนึ่งเดือนให้หลัง เร็วถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?” หานลี่พลันตกตะลึงไปจริงๆ
“อันใด สหายหานมีเรื่องใดที่ยังสะสางไม่เสร็จหรือ?” ไฉ่หลิวอิวแววตาเปล่งประกายพลางเอ่ยถาม
“ไม่มีอันใดหรอก แค่หากให้เวลาอีกสักยี่สิบสามสิบปี ชนรุ่นหลังก็อาจจะฝึกฝนพลังปราณจนอยู่ในจุดคอขวด ถึงยามนั้นก็อาศัยโอกาสนี้บรรลุระดับได้” หานลี่เบะปาก เอ่ยอย่างจนปัญญาเล็กน้อย
“นี่เป็นโอกาสงามๆ ที่เสียเปล่าไปจริงๆ ทว่าพลังยุทธ์ของเจ้าในตอนนี้อยู่แค่ระดับเผ่าเบื้องบนขั้นที่เจ็ดเท่านั้น และยิ่งไปกว่านั้นข้าและพี่ต้วนก็สัญญาว่าจะให้ประโยชน์เจ้าตั้งมากมาย สหายหานควรจะพอใจแล้วถึงจะถูก” หญิงงามเผ่าผลึกได้ยิน กลับเอ่ยอย่างราบเรียบออกมา
“ท่านอาวุโสโปรดวางใจ ต่อให้ชนรุ่นหลังอยากถอยกลางคัน ท่านอาวุโสเชียนจีจื่อก็ไม่มีทางตอบรับแน่” หานลี่ใจหายวาบ แต่กลับตอบกลับด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม
“สหายเข้าใจก็ดีแล้ว ครั้งนี้นอกจากมาแนะนำศิษย์ให้เจ้ารู้จักแล้ว ยังมาบอกจุดที่อันตรายในแดนกว้างเย็นและซากปรักหักพังต้องห้ามในนั้น แล้วยังมีเรื่องที่ต้องมอบหมายให้เจ้าทำสองสามเรื่อง ก่อนออกเดินทาง ก็ต้องเตรียมอาวุธและสมบัติที่จำเป็นสักหน่อย” หลังจากที่ไฉ่หลิวอิงพยักหน้า ก็เปลี่ยนหัวข้อบทสนทนา
“หวังว่าท่านอาวุโสจะชี้แนะได้” หานลี่ได้ฟังพลันดีใจ ตอบกลับอย่างจริงใจ
หญิงงามเผ่าผลึกเห็นเช่นนี้ ก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ และอธิบายให้ละเอียด
“ข้อห้ามหลักๆ ในแดนกว้างเย็น ข้าจะไม่พูดถึงแล้ว ยามที่ออกเดินทางย่อมมีคนอื่นอธิบายให้พวกเจ้าฟัง สิ่งที่ข้าจะพูดกลับเป็นสิ่งที่ข้าในตอนนั้นได้สัมผัสเองในแดนกว้างเย็น และอันตรายที่ข้ามองข้ามไป ประการแรกหลังจากเข้าไปในแดนกว้างเย็น ทางที่ดีที่สุดก็คืออย่าไปยังสถานที่ที่เย็นเยียบเป็นพิเศษหรือร้อนเป็นพิเศษ สถานที่เหล่านี้ถ้าไม่ได้มีอสูรโหดเ**้ยมธาตุน้ำแข็งอาศัยอยู่ ก็เป็นเขตอาคมต้องห้ามร้ายกาจที่ถูกคนวางเอาไว้ จากพลังยุทธ์ของพวกเจ้า เป็นแค่การส่งตัวไปตายเท่านั้น ประการที่สอง หากพวกเจ้าพบกับ…”
หญิงงามเผ่าผลึกเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมไปหนึ่งมื้ออาหาร
ไม่ว่าหานลี่หรือว่าหญิงสวมงอบก็ล้วนตั้งใจฟัง ถึงอย่างไรเสียนี่ก็เกี่ยวข้องกับชีวิตน้อยๆ ของตนเอง จึงไม่กล้าประมาทเลยสักนิด
“สุดท้ายพวกเจ้าต้องจำเอาไว้ หากเจอเมฆประหลาดสีแดงสดอยู่ ให้รีบหนีไปให้ไกล มิเช่นนั้นหากลังเลเพียงชั่วครู่ พวกเจ้าย่อมต้องเพลี่ยงพล้ำอย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนสาเหตุเป็นเพราะอันใดนั้น ก็ไม่ต้องให้ข้าพูดถึง ยามที่พวกเจ้าเห็นนั้นแน่นอนว่าย่อมเข้าใจเอง เอาละ สิ่งที่ควรพูดข้าก็พูดไปหมดแล้ว สหายหานจงจำเอาไว้ให้ดี” ในที่สุดไฉ่หลิวอิงก็หยุดอธิบาย และมองไปทางหานลี่พร้อมเอ่ยถาม
“ชนรุ่นหลังจะจำเอาไว้ ขอบพระคุณคำสั่งสอนของท่านอาวุโส” หานลี่ตอบกลับอย่างนอบน้อม
“เอาละ ในเมื่อจัดการเสร็จแล้ว ข้าและศิษย์ก็จะกลับแล้ว จากนี้ยามที่พบกัน กว่าครึ่งคงเป็นวันที่ต้องเข้าไปในแดนกว้างเย็นแล้ว” หญิงงามเผ่าผลึกเอ่ยด้วยรอยยิ้มจางๆ จากนั้นก็หยัดกายลุกขึ้น
หญิงสวมงอบเห็นเช่นนั้นก็ยืนขึ้นเช่นกัน
“น้อมส่งท่านอาวุโส” หานลี่เองก็หยัดกายลุกขึ้นอย่างไม่ลนลาน ท่าทางหมายจะส่งทั้งสองคนที่ประตู
“เจ้าไม่ต้องส่งที่ประตูหรอก ข้าและศิษย์ไปเองก็ได้ จะได้ไม่มีคนสนใจ” ไฉ่หลิวอิงกลับออกคำสั่งกับหานลี่
“ขอรับ ชนรุ่นหลังเสียมารยาทแล้ว” หานลี่เห็นน้ำเสียงเฉียบขาดของหญิงสาวผู้นี้ ก็ไม่ได้ยืนหยัดอันใด แค่ค้อมกายลงเอ่ยอย่างน้อมรับความผิด
ไฉ่หลิวอิงพยักหน้า พาหญิงสวมงอบเดินตรงไปที่ประตูห้องโถง แต่เมื่อเดินไปใกล้กับประตูนั้น ก็ดูเหมือนว่าจะนึกอันใดออก จึงหันหน้ามาเอ่ยกับหานลี่ว่า
“ข้าเลอะเลือนไปจริงๆ มีอีกเรื่องที่เกือบลืมบอกสหาย”
“ท่านอาวุโสรับสั่งมาเถิด” หานลี่พลันตะลึงงัน แต่ทันใดนั้นก็เอ่ยตอบ
“เจ้าเก็บสิ่งนี้เอาไว้ให้ดี ด้านในมีบันทึกเคล็ดวิชาลับผสานการโจมตีอยู่ชนิดหนึ่ง แม้ว่าจะไม่ได้รับผิดชอบหน้าที่นี้ แต่ทางที่ดีที่สุดก็ควรจดจำเอาไว้ก่อนออกเดินทาง หากเป็นเช่นนั้น รอจนพวกเจ้าสามคนเข้าไปในแดนกว้างเย็นแล้ว ก็ไม่ต้องรีบร้อนออกเดินทาง ลองฝึกฝนเคล็ดวิชาลับการผสานลำแสงเทวะดูดปราณก่อนแล้วค่อยว่ากัน เคล็ดวิชานี้ไม่เพียงจำเป็นต่อการทลายเขตอาคมต้องห้าม และยิ่งไปกว่านั้นยามที่ต่อกรกับศัตรูก็มีอิทธิฤทธิ์ที่ร้ายกาจ เพียงพอจะปกป้องให้พวกเจ้าปลอดภัยได้ เดิมอยากให้พวกเจ้าฝึกฝนกันก่อน แต่ช่วงนี้ในเมืองเมฆามีหลายคนจับตามองอยู่ เพื่อเป็นการป้องกันถูกคนแอบมอง ก็มีเพียงต้องให้พวกเจ้าเข้าไปทำความคุ้นเคยและประสานกันในแดนกว้างเย็นแล้ว” ไฉ่หลิวอิงเอ่ย มือหยกก็ชูนิ้วทั้งห้าขึ้น ลำแสงสีขาวสายหนึ่งพุ่งมาทางหานลี่
หานลี่ตะปบไปกลางอากาศด้วยความประหลาดใจ ชั่วขณะนั้นหมอกสีเทาก็บินออกมา แค่กะพริบวาบก็ม้วนเข้ามาอยู่ในลำแสงสีขาวและดูดเข้ามาอยู่ในมือ
ก้มหน้าลงมอง เป็นแผ่นหยกสีขาวอ่อน
“เคล็ดวิชาลับผสานการโจมตี!” หานลี่มองสิ่งนี้ก็อดที่จะเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาออกมาไม่ได้ ทันใดนั้นก็แทรกจิตสัมผัสเข้าไปในเจ้าสิ่งนี้อย่างประหลาดใจ
แน่นอนว่าเขาย่อมต้องเคยได้ยินเคล็ดวิชาลับชนิดนี้มาแล้ว
ปกติแล้วเคล็ดวิชาลับผสานการโจมตีที่มีความจำเพาะนั้นล้วนเป็นสิ่งที่มีอานุภาพมากกว่าที่หลายคนร่วมมือกันสำแดงออกมา นับว่าเป็นเคล็ดวิชาลับที่หายากชนิดหนึ่ง
หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งมื้ออาหาร หานลี่ดึงจิตสัมผัสออกมาจากแผ่นหยกนั้น ในห้องโถงก็ว่างเปล่าไปตั้งนานแล้ว
ไฉ่หลิวอิงและหญิงสวมงอบหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยตั้งนานแล้ว
หานลี่ไม่ได้เผยสีหน้าประหลาดใจใดๆ ออกมา กลับสะบัดแขนเสื้อด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
ชั่วขณะนั้นหมอกลำแสงสีเขียวก็แผ่ออกมาจากเรือนร่าง และม้วนวนไป คนก็หายวับไปจากลำแสงสีเขียว
หลังจากผ่านไปชั่วครู่กลางอากาศในห้องลับก็มีลำแสงสีทองสว่างวาบ เงาร่างของหานลี่พลิ้วไหวแล้วปรากฏขึ้นกลางอากาศ และยิ่งไปกว่านั้นยังกวาดตามองในบริเวณรอบ
เห็นเพียงสัตว์ประหลาดสีทองสามหัวหกแขนและหานลี่ที่มีลำแสงสีม่วงห่อหุ้มกาย ยังคงนั่งสมาธิหลับตาฝึกฝนอันใดสักอย่างอยู่
แต่ทันใดนั้นพวกมันก็ดูเหมือนว่าจะสัมผัสได้ถึงการปรากฏตัวของหานลี่ จึงเบิกตามองไป
“เดิมทีอยากให้พวกเจ้าฝึกฝนให้สำเร็จ แล้วค่อยเข้าไปในแดนกว้างเย็น แต่ยามนี้ดูแล้วคงไม่ทัน ข้าจำต้องเตรียมการอย่างอื่น และหลอมภูเขาเทวะดูดปราณในภูเขาผสานปราณขั้นที่ห้าก่อนแล้วค่อยว่ากัน” หานลี่ราวกับเอ่ยพึมพำกับตัวเอง จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อไปทางสัตว์ประหลาดสีทองสามหัวหกแขน
หมอกลำแสงสีทองปกคลุมออกไป
ฉากที่น่าเหลือเชื่อพลันปรากฏขึ้น!
เมื่อลำแสงสีทองลดระดับลงมา ก็มีเสียงสวดมนต์ภาษาสันสกฤตดังออกมาจากร่างของสัตว์ประหลาดที่อยู่ด้านล่าง จากนั้นก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นอักขระสีทองและไอสีดำสนิทราวกับน้ำหมึกขนาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากันจำนวนนับไม่ถ้วน
อักขระสีทองเปล่งแสงสว่างวาบแล้วถูกลำแสงสีทองดูดเข้าไปในร่างของหานลี่ ส่วนไอสีดำนั้นก็หมุนวน กลับผนึกรวมตัวกันกลายเป็นทารกวิญญาณสีแดงสนิทราวกับน้ำหมึกสูงสองสามชุ่น
นั่นก็คือทารกวิญญาณที่สองของหานลี่ ทารกมารตัวนั้น
ยามนี้ทารกมารมีสีหน้ายิ้มกริ่ม บนเรือนร่างเปล่งแสงสีม่วงสว่างวาบ และสวมเกราะมารเหนือฟ้าขนาดจิ๋ว
ตอนที่ 1668 ทารกมารกับร่างวิญญาณ
หานลี่มองทารกมารแล้วหัวเราะน้อยๆ ออกมา มือหนึ่งกวักเรียกไปทางนั้น
ชั่วขณะนั้นผิวของทารกมารพลันมีลำแสงสว่างวาบ กลายเป็นลำแสงสีดำสายหนึ่งจมหายเข้าไปในร่างของเขา
ที่แท้ตอนแรกหานลี่ก็ใช้วัตถุดิบหายากสองสามชนิดหลอมร่างทองของเทวรูปขั้นแรก แต่กลับพบด้วยความบังเอิญว่าทารกมารไม่มีร่างกาย คาดไม่ถึงว่าจะสิงอยู่อยู่บนร่างทองได้ และสามารถอาศัยไอมารในร่างทองฝึกฝนไอมารสวรรค์ทมิฬที่ตอนแรกหยุดฝึกฝนไปแล้วต่อได้ และในเวลาเดียวกันทารกวิญญาณนี้ก็ฝึกฝนเคล็ดวิชามารด้วย จนสามารถพ่นไอมารออกมาหลอมร่างนี้ไม่หยุด มีประโยชน์ต่อการหลอมเทวรูปร่างทองเป็นอย่างมาก
เช่นนั้นละก็ หานลี่ย่อมยินดีให้ทารกมารสิงร่าง
ถึงอย่างไรเสียทารกวิญญาณที่สองก็แทบจะดำรงอยู่โดยลำพัง ไม่ว่าจะฝึกฝนหรือการควบคุมร่างทองล้วนไม่จำเป็นต้องแบ่งจิตสัมผัสใดๆ ไป
น่าเสียดายที่พลังยุทธ์ของทารกมารต่ำต้อยไปหน่อย
หากสามารถฝึกฝนจนอยู่ในระดับเดียวกันกับเขา สิงร่างทองแล้วต่อกรกับศัตรู ก็น่าจะกลายเป็นสิ่งที่ดำรงอยู่เหมือนร่างแยกอย่างไรอย่างนั้น และทำให้กำลังของหานลี่เพิ่มขึ้นหลายเท่า
คนธรรมดาฝึกฝนจากพลังยุทธ์ระดับก่อกำเนิดไปถึงระดับหลอมสุญตาทีละก้าวๆ แน่นอนว่าย่อมยากลำบากอย่างสุดๆ
แต่ทารกวิญญาณของหานลี่กลับสามารถถ่ายทอดประสบการณ์ฝึกฝนต่างๆ ของระดับสูงส่งให้ทารกวิญญาณที่สองได้ ประกอบกับสมุนไพรและยาลูกกลอนหายากต่างๆ ที่มีไม่ขาดแคลน ระดับความเร็วการฝึกฝนของทารกวิญญาณที่สองจึงเร็วกว่าตน
แม้จะกล่าวไม่ได้ว่าทารกมารจะไม่มีวันติดในจุดคอขวด แต่ก็ง่ายกว่าผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไปอย่างไม่ต้องสงสัย ถึงอย่างไรเสียประสบการณ์การทะลวงก่อนหน้า ก็มีประโยชน์เป็นอย่างมาก
นี่คือเหตุผลที่เพราะเหตุใดไม่ว่าเผ่ามนุษย์หรือเผ่าประหลาดหากฝึกฝนอยู่ในขั้นหนึ่งแล้ว จะรู้สึกว่าตนเองทะลวงจุดคอขวดอีกได้ยาก ส่วนใหญ่ล้วนเริ่มฝึกฝนร่างแยก หรือทารกวิญญาณที่สองอะไรประเภทนี้
แต่ไม่ว่าประเภทวิธีการบ่มเพาะ ‘ตนเอง’ คนที่สอง ก็ต้องเสียค่าเสียหายไม่น้อย ต้องใช้เวลากว่าครึ่งของตนเองถึงจะมีหวัง
นี่เป็นสาเหตุที่ทั้งๆ ที่รู้ว่าร่างแยกมีประโยชน์มาก คนปกติจึงฝึกฝนร่างแยกสักร่างสองร่าง และยิ่งไปกว่านั้นพลังยุทธ์กว่าครึ่งก็ไม่มีทางเท่ากับตนได้
ถึงอย่างไรเสียพวกเขาก็ไม่มีขวดลึกลับ ไม่สามารถเร่งการเจริญเติบโตของสมุนไพรวิญญาณที่ต้องการได้อย่างไม่มีขีดจำกัดได้
ทารกวิญญาณที่สองของหานลี่แช่อยู่ในไอมารร่างทองและกินยาลูกกลอนวิญญาณจำนวนมาก ยามนี้จึงฝึกฝนมาอยู่ในระดับยอดสุดของระดับก่อกำเนิดขั้นกลางแล้ว สามารถบรรลุไปอยู่ในระดับขั้นปลายได้ตลอดเวลา
ในเมื่อยามนี้แดนกว้างเย็นเปิดแล้ว เขาก็ไม่ยุ่งเกินไปที่จะปล่อยให้ทารกมารฝึกฝนแล้ว
หลังจากที่เขาเตรียมการเข้าแดนกว้างเย็นเสร็จ ก็ให้ทารกวิญญาณที่สองทะลวงจุดคอขวดของระดับขั้นปลายอีกครั้ง
คิดดูแล้วเขตแดนนี้มีพลังวิญญาณหนาแน่นที่ทำให้สิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตาพัฒนาขึ้นเป็นระดับผสานอินทรีย์ได้ จุดคอขวดของระดับก่อกำเนิดเพียงคนเดียว ย่อมแข็งแกร่งกว่าสมุนไพรวิญญาณและยาลูกกลอนใดๆ เป็นร้อยเท่า
หานลี่ขบคิดในใจ กลอกสายตาไป แล้วตกลงอยู่บนร่างของ ‘หานลี่’ อีกคนหนึ่ง หลังจากที่ใบหน้ามีสีหน้าประหลาดใจฉายแวบผ่าน คาดไม่ถึงว่าจะเผยสีหน้าร้อนแรงออกมา
“คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ร่างเห็ดเซียนจะเป็นวัตถุดิบที่ยอดเยี่ยมที่สุดในการหลอมร่างแยกและร่างตัวแทน สิ่งที่คิดไม่ถึงยิ่งกว่าก็คือของเหลวกระตุ้นนี้จะถูกเห็ดเซียนดูดซับจนกลายเป็นพลังปราณบริสุทธิ์ ทำให้ลมปราณในร่างกายแทบจะพัฒนาอย่างก้าวกระโดด แค่เวลาไม่ถึงสองสามปี ความบริสุทธิ์ของลมปราณก็ถูกบีบให้เพิ่มระดับขึ้นขั้นหนึ่ง จนอยู่ในระดับหลอมสุญตาขั้นกลาง คาดไม่ถึงว่าจะไม่ได้เอ่ยถึงจุดคอขวดเลยสักนิด ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ! ทว่าคิดดูแล้วก็พอจะเข้าใจได้ การที่สมุนไพรวิญญาณกลายเป็นสมุนไพรวิญญาณฟ้าดินนี้ เดิมทีก็ผ่านการฝึกฝนมาหลายปีถึงได้มีสติปัญญา หากอยากทำให้แปลงกายได้ ก็ยิ่งต้องใช้เวลาอีกยี่สิบสามสิบปีถึงจะมีโอกาสเป็นไปได้ ขั้นตอนนี้ทำได้เพียงต้องอาศัยการสะสมถึงจะค่อยๆ พัฒนาพลังยุทธ์ขึ้นมาได้ หากพัฒนาจนไปอยู่ในจุดคอขวด สวรรค์ก็คงไม่ค่อยยุติธรรมกับสิ่งนี้เท่าใดนัก ทว่าสิ่งที่น่าแปลกก็คือสมุนไพรวิญญาณฟ้าดินเช่นกัน เทลงในของเหลวเช่นกัน เหตุใดโสมวิญญาณสลับฟันปลาถึงทำได้เพียงแค่ฟื้นฟูพลังปราณ ไม่อาจพัฒนาระดับขึ้นได้ หรือว่ามีเพียงเห็ดเซียนที่สามารถดูดซับของเหลววิญญาณนี้ได้? หรือว่าสมุนไพรวิญญาณฟ้าดินจะต้องบรรลุถึงระดับที่แปลงกายได้ก่อนถึงจะมีพรสวรรค์เช่นนี้ได้” หานลี่เอ่ยพึมพำ พลางขมวดคิ้วแน่น หลังจากผ่านไปชั่วครู่ก็สั่นศีรษะกับตัวเอง
“หึๆ จะสนใจมันทำไมกัน ไม่ว่าจะอย่างไร ยามนี้มีโอกาสงามๆ อยู่ตรงหน้า แม้ว่าเพื่อไม่ให้การฝึกฝนของร่างล่าช้า เลยไม่อาจแบ่งจิตวิญญาณดั้งเดิมมาฝึกฝนร่างแยกได้ แต่การหลอมร่างตัวแทนกลับเป็นเรื่องที่ทำได้ วันข้างหน้าก็สามารถให้ทารกวิญญาณควบคุมร่างวิญญาณต่อกรกับศัตรูได้แล้ว”
หานลี่พบว่าของเหลววิญญาณในขวดเล็กลึกลับสามารถเพิ่มพลังยุทธ์ในร่างของเห็ดเซียนได้แล้ว ก็คิดออกว่าง่ายดายมาก คิดเพียงจะใช้ของเหลววิญญาณกระตุ้นร่างวิญญาณร่างนี้ ดูว่าสุดท้ายจะพัฒนาไปอยู่ในระดับผสานอินทรีย์ได้หรือไม่
แม้จะเป็นแค่สิ่งที่มีเพียงพลังปราณ แต่ไม่มีระดับ ‘ขั้นครึ่งศักดิ์สิทธิ์’ แต่เมื่อทารกวิญญาณของเขาสิงเข้ากับกายเปลือกนอกเพื่อต่อกรกับศัตรูแล้ว อาศัยอิทธิฤทธิ์ที่มีอยู่มากมายของตนและพลังปราณสะท้านฟ้าของร่างวิญญาณ ก็ไม่ต้องหวาดกลัวสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ใดๆ แล้ว
และยิ่งไปกว่านั้นพลังปราณของร่างตัวแทนวิญญาณนี้อาจจะเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง หากสุดท้ายแล้วมีพลังปราณสะท้านฟ้าเทียบเท่ากับระดับมหายาน เขาที่อยู่ในแดนวิญญาณก็แทบจะไม่ต้องหวาดกลัวผู้ใดแล้ว
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสมมุติฐานของเขา
ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาถึงรู้สึกว่าไม่อาจมีเรื่องที่เหนือชั้นสุดๆ เช่นนี้ได้ บางทีร่างของวิญญาณนี้อาจจะทำได้เพียงทำให้ลมปราณอยู่ในระดับผสานอินทรีย์หรือแม้กระทั่งหลอมสุญตาขั้นปลายเท่านั้น
ถึงอย่างไรเสียเขาใช้ของเหลววิญญาณขวดเล็กกระตุ้นไผ่อัสนีทองหมื่นปีนั้น ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ แล้ว
มีตัวอย่างที่พิเศษเช่นนี้อยู่ตรงหน้า แน่นอนว่าหานลี่ย่อมไม่กล้ายืนยันว่าร่างของเห็ดเซียนดูดซับของเหลวนี้ไปแล้วจะมีขีดจำกัดหรือไม่
และยิ่งไปกว่านั้นการใช้ของเหลววิญญาณเปลี่ยนเป็นพลังวิญญาณบริสุทธิ์สะสมอยู่ในร่างเปลือกจนอยู่ในระดับที่มั่นคงแล้ว จะต้องหลอมจุดตันเถียนและลมปราณตามชีพจรถึงจะสำเร็จได้
ร่างของเห็ดเซียนนี้ไม่อาจทำเรื่องนี้ได้เอง
โชคดีที่ภายใต้สติปัญญาที่รีบร้อนของเขา คาดไม่ถึงว่าจะคิดอีกวิธีขึ้นมาได้
หานลี่ครุ่นคิดมาถึงตรงนี้มุมปากก็เผยรอยยิ้มออกมา และออกคำสั่งกับ ‘หานลี่’ ท่ามกลางลำแสงสีม่วงว่า
“ฉู่เอ๋อร์ ที่ผ่านมาต้องรบกวนเจ้าแล้ว เจ้าเองก็ออกมาจากร่างรองเถิด ไม่ต้องหลอมพลังวิญญาณในนั้นชั่วยาม จากนี้หนึ่งเดือน ข้าจะหยุดกระตุ้นสมุนไพรวิญญาณทั้งหมด และนำของเหลววิญญาณทั้งหมดไปใส่ในร่างแทนวิญญาณ จากนี้เจ้าก็ค่อยๆ หลอมพลังวิญญาณเหล่านี้ช้าๆ เถิด”
“เจ้าค่ะ คุณชาย”
เสียงไพเราะนุ่มนวลดังออกมาจากร่างเปลือกของเห็ดเซียน จากนั้นเห็น ‘หานลี่’ ที่อยู่ในลำแสงสีม่วง ตบไปที่หน้าผากของตนเอง สองตาปิดลง ในเวลาเดียวกันลำแสงสีขาวก็บินออกมาจากด้านใน หมุนตัวกลางอากาศ คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นเด็กหญิงอายุหกเจ็ดขวบ
สวมชุดกระโปรงสีขาวหิมะ เรือนผมถักเปียสีดำสนิท เผยความน่ารักน่าเอ็นดูออกมาเป็นอย่างยิ่ง!
หานลี่เห็นเด็กหญิงปรากฏกาย ก็หัวเราะแล้วเอ่ยว่า
“ครั้งนี้ต้องเข้าไปในแดนกว้างเย็น เจ้าเองก็ไปกับข้าเถิด ข้าจะพาร่างของเจ้าไปด้วย ตอนนี้เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถิด”
“คุณชาย ข้าไปได้ด้วยหรือ?” เด็กหญิงได้ฟังพลันดีอกดีใจ รอยยิ้มบนใบหน้าบริสุทธิ์เป็นอย่างมาก
“การเข้าไปในแดนกว้างเย็นของข้าในครั้งนี้ไม่รู้ว่าต้องพบกับเรื่องอันใดบ้าง ตอนนี้จิตวิญญาณดั้งเดิมของเจ้าก็อยู่ในระดับที่แปลงกายได้แล้ว ข้าจะปล่อยให้เจ้าอยู่ที่นี่คนเดียวอย่างวางใจได้อย่างไร หากข้าจากไปแล้วมีใครบุกเข้ามาในถ้ำพำนักก็แย่เลย” หานลี่เอ่ยอย่างอ่อนโยน
“ดีจัง ไม่รู้เพราะเหตุใด หลังจากที่ข้าเปลี่ยนรูปร่างเป็นเช่นนี้ ไม่เพียงสมองจะดีมาก ตอนนี้ยังอยากออกไปดูข้างนอกด้วย” เด็กหญิงเอ่ยด้วยความดีใจ
“หึๆ เจ้าเพิ่งจะเบิกเนตรได้ไม่นาน คิดเช่นนี้ก็ไม่แปลกอันใด ทว่าช่วงเวลานี้เจ้าต้องอยู่ในสวนสมุนไพรก่อน อย่าให้ผู้ใดพบเห็น ช่วงเวลานี้เกรงว่าถ้ำพำนักของข้าคงจะไม่สงบสุขนัก” หานลี่เอ่ยอย่างเคร่งขรึม
“น้อมรับคำบัญชา ฉู่เอ๋อร์จะไปพักผ่อนในสวนสมุนไพร” เด็กหญิงได้ยินว่าในถ้ำพำนักอาจจะมีคนนอกเข้ามา ก็อดที่จะใจเต้นไม่ได้ ทันใดนั้นก็เปลี่ยนเป็นสีหน้ากังวลพลางเอ่ยออกมา
จากนั้นร่างของเด็กหญิงก็รางเลือน กลายเป็นลำแสงสีขาวพุ่งออกไปด้านล่างอีกครั้ง แค่กะพริบวาบก็จมหายเข้าไปในใต้ดินอย่างไร้ร่องรอย
แน่นอนว่าเด็กหญิงผู้นี้คือจิตวิญญาณดั้งเดิมของโสมวิญญาณสลับฟันปลา
ตอนแรกเห็ดเซียนเคยบอกเอาไว้ว่าจะเบิกเนตรให้โสมวิญญาณสลับฟันปลาเร็วหน่อย และถ่ายทอดสิ่งต่างๆ ให้มัน
แต่หานลี่คิดไม่ถึงว่าหลังจากที่เห็ดเซียนเข้าสู่วัฏสงสารแค่หนึ่งปี จิตวิญญาณดั้งเดิมของร่างกระต่ายขาวก็กลายเป็นเด็กผู้หญิง
ดูแล้วนอกจากสิ่งที่เห็ดเซียนพูดแล้ว คงจะมอบประโยชน์ให้นางอีกอย่างแน่นอน ถึงได้ทำให้พัฒนาระดับได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้
แน่นอนว่าหานลี่ย่อมรู้สึกยินดีกับเรื่องเช่นนี้
และการเบิกเนตรให้โสมวิญญาณสลับฟันปลา พร้อมกับตั้งชื่อให้ว่า ‘ฉู่เอ๋อร์’
จากนั้นเขาก็พบว่าเป็นเพราะฉู่เอ๋อร์เป็นสมุนไพรวิญญาณฟ้าดินเช่นกัน จึงสามารถเข้าไปอยู่ในร่างเปลือกของเห็ดเซียนได้ และสามารถควบคุมพลังปราณมหาศาลในร่างได้
ส่วนขั้นตอนกลางหลอมพลังวิญญาณนั้น ร่างของฉู่เอ๋อร์ก็ได้ประโยชน์จากไอวิญญาณหนาแน่นที่บริสุทธิ์ไม่น้อย
เช่นนั้นแน่นอนว่าเขาจึงยกเรื่องร่างหลอมพลังวิญญาณในร่างของเห็ดเซียนให้เด็กหญิงทำเสียเลย
ผลคือระยะเวลาสองปีก็ทำได้ไม่เลว ทำให้เขาพึงพอใจเป็นอย่างมาก
ยามนี้หานลี่เห็นเด็กหญิงจากไป ก็หัวเราะน้อยๆ ออกมา มือหนึ่งตะปบไปยัง ‘ร่างเปลือก’ กลางอากาศ
ชั่วขณะนั้นหมอกสีเทาพลันหมุนวน ชั่วครู่ก็ห่อหุ้มร่างวิญญาณนี้เอาไว้
ร่างของเห็ดเซียนที่อยู่ในลำแสงสีม่วงหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็มีขนาดสองสามชุ่น ม่านลำแสงหมุนวนกลับ พาร่างวิญญาณมาอยู่ตรงหน้าของหานลี่ และจมหายเข้าไปในแขนเสื้ออย่างไร้ร่องรอย
หลังจากที่จัดการทุกอย่างเสร็จ สายตาของหานลี่ก็กวาดไปยังห้องลับที่ว่างเปล่า แล้วหันกายไปอย่างไม่ลังเล สาวเท้ายาวๆ ไปยังประตูใหญ่
หนึ่งเดือนต่อมาหานลี่ก็มาปรากฏตัวในร้านค้าต่างๆ ในเมืองเมฆา และเริ่มรวบรวมวัตถุดิบและยุทธภัณฑ์ที่ค่อนข้างหายาก
และจากนั้นสองสามวันต้วนเทียนเริ่นและเชียนจีจื่อพร้อมพวกก็มาหาเขาถึงประตูถ้ำพำนัก โดยไม่รู้ว่าหานลี่พูดอันใด แต่หลังจากผ่านไปครึ่งวันก็จากไปด้วยสีหน้าพึงพอใจ
เวลาหนึ่งเดือนย่อมไม่ยาวนานนัก ชั่วพริบตาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
วันนี้หานลี่กำลังนั่งสมาธิหลับตาอยู่ในห้องโถง ฉับพลันนั้นลำแสงสีแดงสายหนึ่งก็บินเข้ามาในห้องลับ และวนล้อมรอบเขาพลางเริงระบำไปมา
เขาเลิกคิ้วขึ้นยกมือขึ้นดูดลำแสงสีแดงเข้ามาอยู่ในมือ จากนั้นก็แทรกจิตสัมผัสเข้าไป ตรวจสอบมัน
“ในที่สุดก็เริ่มแล้ว” หานลี่เอ่ยกับตนเองด้วยเสียงแผ่วเบา ฉับพลันนั้นพลันลุกขึ้นเดินออกไปด้านนอกถ้ำพำนัก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น